Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 44 การทำบายศรี นางอ่อน ชาฏา

44 การทำบายศรี นางอ่อน ชาฏา

Published by artaaa144, 2019-05-09 08:32:30

Description: 44 การทำบายศรี นางอ่อน ชาฏา

Search

Read the Text Version

ภมู ปิ ญั ญาศกึ ษา เรื่อง การทาบายศรี โดย 1. นางอ่อน ชาฎา (ผถู้ า่ ยทอดภมู ิปัญญา) 2. นางสาวพรทิพย์ แหว้ สโุ น (ผู้เรยี บเรียงภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ) เอกสารภมู ปิ ัญญาศกึ ษานเี้ ปน็ ส่วนหนง่ึ ของการศึกษา ตามหลักสูตรโรงเรยี นผูส้ งู อายเุ ทศบาลเมอื งวังนา้ เย็นประจาปกี ารศึกษา 2561 โรงเรยี นผ้สู งู อายุเทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น สงั กัดเทศบาลเมอื งวงั นา้ เย็น จังหวดั สระแก้ว

ก คานา ภมู ปิ ๓ญญาท๎องถน่ิ หรอื เรียกช่ืออีกอยํางหนง่ึ วาํ ภมู ปิ ๓ญญาชาวบา๎ น คือองคค๑ วามร๎ทู ช่ี าวบา๎ นได๎ สั่งสมจากประสบการณ๑จริงที่เกิดขึ้นหรือจากบรรพบุรุษท่ีได๎ถํายทอดสืบกันมาต้ังแตํในอดีตมาจนถึงป๓จจุบัน เพื่อนามาใช๎แก๎ป๓ญหาในชีวิตประจาวัน การทามาหากิน การประกอบการงานเลี้ยงชีพ หรือกิจกรรมอื่นๆ เป็น การผํอนคลายจากการทางาน หรือการย๎ายถิ่นฐานเพ่ือมาตั้งถ่ินฐานใหมํแล๎วคิดค๎นหรือค๎นหาวิธีการดังกลําว เพ่ือการแก๎ป๓ญหา โดยสภาพพื้นที่นั้น ชุมชนวังน้าเย็นแหํงน้ี เกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 50 ปีที่ผํานมา จากการอพยพ ถิ่นฐานของผคู๎ นมาจากทุกๆ ภาคของประเทศไทย แลว๎ มากอํ ตง้ั เป็นชุมชนวงั น้าเยน็ ซึ่งบางคนได๎นาองค๑ความร๎ู มาจากถ่ินฐานเดิมแล๎วมีการสืบทอดสืบสานมาจนถึงป๓จจุบัน เชํนเดียวกับการทาบายศรี โดย นางอํอน ชาฎา ได๎รวบรวมเรียบเรียงถํายทอดประสบการณ๑ให๎คนรุํนหลังได๎สืบค๎นหรือค๎นคว๎าเป็นภูมิป๓ญญาศึกษา ของ เทศบาลเมืองเมืองวงั นา้ เย็น จังหวดั สระแกว๎ ผ๎ูศึกษาขอขอบพระคุณ นายวันชัย นารีรักษ๑ นายกเทศมนตรีเมอื งวงั น้าเยน็ และนายคนองพล เพ็ชรร่ืน ปลัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น คณะกรรมการโรงเรียนผ๎ูสูงอายุ กองสวัสดิการสังคม กองสาธารณสุขและ ส่ิงแวดล๎อม เทศบาลเมืองวังน้าเย็น โรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธว๑ ิทยา โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมือวังน้าเย็น หนํวยงานอน่ื ๆ ที่เก่ียวข๎อง และขอขอบพระคุณ นางสาวพรทิพย๑ แห๎วสุโน ที่ได๎เป็นที่ปรึกษาดแู ลรับผิดชอบ งานด๎านธุรการ บันทึกเร่ืองราวและจัดทาเป็นรูปเลํมท่ีสมบูรณ๑ครบถ๎วนความรู๎อันใดหรือกุศลอันใดที่เกิดจาก การรํวมมือรํวมแรงรํวมใจรํวมพลังจนเกดิ มภี มู ิปญ๓ ญาศึกษาฉบับน้ี ขอกุศลผลบญุ น้ันจงเกิดมีแกํผู๎เก่ียวข๎องดงั ท่ี กลําวมาทกุ ๆ ทํานเพ่อื สรา๎ งสังคมแหงํ การเรียนตอํ ไป ออํ น ชาฎา พรทพิ ย๑ แห๎วสโุ น ผจู๎ ัดทา

สารบญั หนา้ เรือ่ ง ก ข คานา ค สารบัญ ง ทีม่ าและความสาคัญของภมู ิปญ๓ ญาศึกษา 1 ภูมปิ ๓ญญาเช่อื มโยงสํูสารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน 1 ความเป็นมาและความสาคัญของบายศรี 2- 8 ประวตั คิ วามเปน็ มาของพธิ บี ายศรีสขูํ วญั 8 -12 ประเภทของบายศรี 12 ประเภทการสูํขวญั 13-16 สญั ลักษณ๑และความหมายของเคร่ืองประกอบพิธกี รรม 17 ข้ันตอนการทาบายศรี 18 การนาภมู ปิ ญ๓ ญาศกึ ษา เรอื่ งบายศรี ไปใชใ๎ นชีวติ ประจาวัน 19 ภาคผนวก 20-22 23 - ประวัติผจ๎ู ดั ทา 24-25 - ภาพประกอบ 26-27 เอกสารอา๎ งอิง ผู๎รับรอง / คารับรอง การประเมินผล / ผูต๎ รวจ / ผ๎ูอนมุ ัติ

ที่มาและความสาคญั ของภูมปิ ัญญาศกึ ษา จากพระราชดารัสของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช ทว่ี ํา “ประชาชนนนั่ แหละ ที่เขามีความรเู๎ ขาทางานมาหลายชัว่ อายคุ น เขาทากันอยาํ งไรเขามคี วามเฉลยี วฉลาด เขารวู๎ ําตรงไหน ควรทากสิกรรมเขารู๎วําตรงไหนควรเก็บรักษาไว๎แตํที่เสียไปเพราะพวกไมํรู๎เรื่องไมํได๎ทามานานแล๎วทาให๎ลืมวํา ชี วิ ต มั น เ ป็ น ไ ป โ ด ย ก า ร ก ร ะ ท า ท่ี ถู ก ต๎ อ ง ห รื อ ไ มํ ”พ ร ะ ร า ช ด า รั ส ข อ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ภูมพิ ลอดุลยเดชทส่ี ะทอ๎ นถึงพระปรชี าสามารถในการรับรแ๎ู ละความเข๎าใจหย่ังลกึ ทท่ี รงเหน็ คุณคาํ ของ ภมู ปิ ๓ญญาไทยอยํางแท๎จริงพระองค๑ทรงตระหนกั เปน็ อยาํ งย่ิงวาํ ภมู ิปญ๓ ญาท๎องถน่ิ เปน็ สงิ่ ท่ีชาวบ๎าน มีอยูแํ ลว๎ ใชป๎ ระโยชน๑เพือ่ ความอยูํรอดกนั มายาวนาน ความสาคัญของภมู ปิ ๓ญญาทอ๎ งถิ่นซ่งึ ความร๎ูท่สี ง่ั สมจาก การปฏิบตั จิ ริงในห๎องทดลองทางสงั คมเป็นความร๎ดู ัง้ เดิมทถ่ี ูกคน๎ พบ มีการทดลองใช๎แก๎ไขดดั แปลงจนเปน็ องค๑ ความรูท๎ ่ีสามารถแกป๎ ญ๓ หาในการดาเนินชวี ติ และถํายทอดสืบตํอกันมาภมู ิปญ๓ ญาท๎องถนิ่ เปน็ ขมุ ทรัพยท๑ าง ปญ๓ ญาที่คนไทยทกุ คนควรร๎ูควรศึกษาปรบั ปรุงและพฒั นาใหส๎ ามารถนาภมู ิป๓ญญาทอ๎ งถ่นิ เหลําน้ันมาแก๎ไข ปญ๓ หาใหส๎ อดคล๎องกับบริบททางสงั คมวฒั นธรรมของกลุํมชมุ ชนน้ัน ๆอยํางแท๎จรงิ การพฒั นาภมู ิปญ๓ ญาศกึ ษานบั เป็นสิ่งสาคัญตํอบทบาทของชุมชนท๎องถิ่นที่ได๎พยายามสร๎างสรรคเ๑ ป็น นา้ พกั น้าแรงรวํ มกนั ของผ๎สู งู อายแุ ละคนในชุมชนจนกลายเปน็ เอกลกั ษณ๑และวัฒนธรรม ประจาถิ่นท่ีเหมาะตํอการดาเนินชีวิตหรือภูมิป๓ญญาของคนในท๎องถิ่นน้ัน ๆแตํภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นสํวนใหญํเป็น ความร๎ูหรือเป็นส่ิงที่ได๎มาจากประสบการณ๑หรือเป็นความเชื่อสืบตํอกันมาแตํยังขาดองค๑ความร๎ูหรือขาด หลกั ฐานยืนยันหนกั แนํนการสร๎างการยอมรับทเ่ี กดิ จากฐานภูมปิ ๓ญญาท๎องถิน่ จงึ เปน็ ไปไดย๎ าก ดงั นน้ั เพ่อื ใหเ๎ กดิ การสํงเสริมพฒั นาภูมิป๓ญญาท่ีเป็นเอกลักษณ๑ของท๎องถิ่นกระต๎ุนเกิดความภาคภมู ิใจใน ภูมิป๓ญญาของบุคคลในท๎องถ่ิน ภูมิป๓ญญาไทยและวัฒนธรรมไทยเกิดการถํายทอดภูมิป๓ญญาสํูคนรํุนหลัง โรงเรียนผ๎ูสูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็นได๎ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาศักยภาพ ผ๎ูสูงอายุในท๎องถิ่นที่เน๎นให๎ผู๎สูงอายุได๎พัฒนาตนเองให๎มีความพร๎อมสํูสังคมผ๎ูสูงอายุที่มีคุณภาพในอนาคต รวมท้ังสืบทอดภูมิป๓ญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผ๎ูสูงอายุท่ีได๎ส่ังสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิป๓ญญา ของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู๎สูงอายุจะเป็นผู๎ถํายทอดองค๑ความร๎ู และมีครูพี่เลี้ยงซึ่งเป็นคณะครูของ โรงเรียนในสังกดั เทศบาลเมืองวังน้าเยน็ เป็นผ๎เู รยี บเรยี งองค๑ความร๎ูไปสกูํ ารจัดทาภูมิปญ๓ ญาศึกษา ให๎ปรากฏออกมาเป็นรูปเลํมภูมิป๓ญญาศึกษา ใช๎เป็นสํวนหน่ึงในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียน ผู๎สูงอายุ ประจาปีการศึกษา 2561พร๎อมทั้งเผยแพรํและจัดเก็บคลังภูมิป๓ญญาไว๎ในห๎องสมุดของโรงเรียน เทศบาลมิตรสมั พนั ธว๑ ทิ ยา เพอื่ ใหภ๎ มู ิป๓ญญาทอ๎ งถ่นิ เหลําน้ีเกิดการถํายทอดสคํู นรนุํ หลงั สืบตํอไป จากความรํวมมือในการพัฒนาบุคลากรในหนํวยงานและภาคีเครือขํายท่ีมีสํวนรํวมในการผสมผสานองค๑ ความร๎ู เพือ่ ยกระดบั ความร๎ูของภมู ปิ ญ๓ ญาน้ัน ๆเพือ่ นาไปสํูการประยกุ ตใ๑ ช๎และผสมผสานเทคโนโลยีใหมํ ๆให๎ สอดรับกับวถิ ชี ีวิตของชุมชนไดอ๎ ยํางมีประสิทธภิ าพการนาภูมิป๓ญญาไทยกลับสํูการศึกษา สามารถสํงเสริมให๎มี การถาํ ยทอดภมู ิปญ๓ ญาในโรงเรยี นเทศบาลมติ รสัมพนั ธ๑วทิ ยาและโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองวงั น้าเย็น เกิด

การมีสํวนรํวมในกระบวนการถํายทอด เชื่อมโยงความรู๎ให๎กับนักเรียนและบุคคลทั่วไปในท๎องถ่ิน โดยการนา บุคลากรทมี่ คี วามรู๎ความสามารถในท๎องถ่นิ เข๎ามาเปน็ วทิ ยากรใหค๎ วามรู๎ กับนักเรียนในโอกาสตําง ๆหรือการท่ีโรงเรียนนาองค๑ความร๎ูในท๎องถ่ินเข๎ามาสอนสอดแทรกในกระบวนการ จดั การเรียนร๎ู สิ่งเหลําน้ที าใหก๎ ารพัฒนาภมู ิปญ๓ ญาทอ๎ งถ่นิ นาไปสูํการสืบทอดภมู ิปญ๓ ญาศึกษา เกิดความสาเร็จอยํางเป็นรูปธรรมนักเรียนผู๎สูงอายุเกิดความภาคภูมิใจในภูมิป๓ญญาของตนที่ได๎ถํายทอดสํูคน รุํนหลังให๎คงอยํูในท๎องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตประจาท๎องถิ่น เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตคูํ แผนํ ดินไทยตราบนานเทาํ นาน นยิ ามคาศพั ท์ในการจัดทาภูมปิ ัญญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองที่ผ๎ูสูงอายุเชี่ยวชาญที่สุด ของ ผู๎สูงอายุที่เข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิปญ๓ ญา ในรูปแบบตําง ๆ มีการสืบทอดภูมิป๓ญญาโดยการปฏบิ ัตแิ ละการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษรตามรูปแบบท่ี โรงเรียนผู๎สูงอายุกาหนดข้ึนใช๎เป็นสํวนหน่ึงในการจบหลักสูตรการศึกษาเพ่ือให๎ภูมิป๓ญญาของผู๎สูงอายุได๎รับ การถาํ ยทอดสคูํ นรุนํ หลังและคงอยใํู นทอ๎ งถิ่นตอํ ไป ซง่ึ แบงํ ภมู ปิ ญ๓ ญาศึกษาออกเปน็ 3 ประเภท ได๎แกํ 1. ภมู ิปญ๓ ญาศกึ ษาท่ีผ๎สู งู อายุเป็นผู๎คิดคน๎ ภูมปิ ๓ญญาในการดาเนนิ ชีวติ ในเรอ่ื งทีเ่ ชยี่ วชาญทสี่ ดุ ดว๎ ยตนเอง 2. ภูมิป๓ญญาศึกษาที่ผู๎สูงอายุเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต๑ใช๎ในการดาเนิน ชีวติ จนเกดิ ความเช่ียวชาญ 3. ภมู ิปญ๓ ญาศึกษาท่ีผ๎ูสูงอายุเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาใชใ๎ นการดาเนินชีวิตโดย ไมํมกี ารเปล่ยี นแปลงไปจากเดมิ จนเกิดความเช่ียวชาญ ผู้ถ่ายทอดภูมปิ ัญญา หมายถึง ผู๎สูงอายุท่ีเข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็นเป็นผ๎ูถํายทอดภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองที่ตนเองเชี่ยวชาญมากท่ีสุด นามาถํายทอดให๎แกํผู๎ เรียบเรยี งภูมิป๓ญญาทอ๎ งถน่ิ ได๎จัดทาข๎อมูลเปน็ รูปเลมํ ภูมิป๓ญญาศึกษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถ่ิน หมายถึง ผ๎ูที่นาภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีผ๎ูสูงอายุ เชี่ยวชาญที่สุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษร ศึกษาหาข๎อมูลเพิ่มเติมจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรปู เลํม ใชช๎ ่อื วาํ “ภูมปิ ๓ญญาศึกษา”ตามรูปแบบทีโ่ รงเรยี นผ๎ูสงู อายุเทศบาลเมืองวงั น้าเย็นกาหนด ครูที่ปรึกษา หมายถึง ผ๎ูที่ปฏิบัติหน๎าท่ีเป็นครูพี่เล้ียง เป็นผ๎ูเรียบเรียงภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น ปฏิบัติ หน๎าท่ีเป็นผ๎ูประเมินผล เป็นผ๎ูรับรองภูมิป๓ญญาศึกษา รวมท้ังเป็นผ๎ูนาภมู ิป๓ญญาศึกษาเข๎ามาสอนในโรงเรียน โดยบูรณาการการจดั การเรยี นรู๎ตามหลักสตู รท๎องถิน่ ทโี่ รงเรียนจดั ทาข้ึน

ภูมิปญั ญาศกึ ษาเช่ือมโยงสู่สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ 1. ลักษณะของภูมิปญั ญาไทย ลักษณะของภมู ิป๓ญญาไทย มีดังนี้ 1. ภมู ปิ ๓ญญาไทยมลี กั ษณะเปน็ ทั้งความรู๎ ทักษะ ความเชอ่ื และพฤติกรรม 2. ภมู ิปญ๓ ญาไทยแสดงถึงความสมั พนั ธ๑ระหวาํ งคนกบั คน คนกับธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ๎ ม และคนกบั สงิ่ เหนอื ธรรมชาติ 3. ภมู ปิ ๓ญญาไทยเป็นองค๑รวมหรือกจิ กรรมทุกอยํางในวถิ ีชวี ติ ของคน 4. ภูมิปญ๓ ญาไทยเป็นเรอ่ื งของการแก๎ป๓ญหา การจัดการ การปรับตัว และการเรยี นร๎ู เพ่อื ความอยรูํ อดของบคุ คล ชุมชน และสังคม 5. ภมู ิปญ๓ ญาไทยเป็นพ้นื ฐานสาคัญในการมองชีวติ เป็นพืน้ ฐานความรใ๎ู นเรอื่ งตาํ งๆ 6. ภมู ิป๓ญญาไทยมลี กั ษณะเฉพาะ หรือมีเอกลกั ษณ๑ในตวั เอง 7. ภูมปิ ๓ญญาไทยมีการเปลย่ี นแปลงเพ่อื การปรับสมดลุ ในพัฒนาการทางสงั คม 2. คุณสมบัติของภมู ิปญั ญาไทย ผ๎ูทรงภมู ปิ ญ๓ ญาไทยเปน็ ผ๎มู ีคณุ สมบัตติ ามท่ีกาหนดไว๎ อยาํ งนอ๎ ยดังตํอไปน้ี 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู๎ความสามารถในวิชาชีพตํางๆ มีผลงานด๎านการพัฒนา ท๎องถิ่นของตน และได๎รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไปอยํางกว๎างขวาง ท้ังยังเป็นผู๎ที่ใช๎หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเปน็ เคร่ืองยึดเหนยี่ วในการดารงวิถีชีวติ โดยตลอด 2. เป็นผ๎ูคงแกํเรียนและหม่ันศึกษาหาความร๎ูอยูํเสมอ ผ๎ูทรงภมู ิปญ๓ ญาจะเป็นผู๎ท่ีหมั่นศึกษา แสวงหาความร๎ูเพิ่มเติมอยํูเสมอไมํหยุดนิ่ง เรียนรู๎ทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผ๎ูลงมือทา โดยทดลองทา ตามที่เรียนมา อีกทั้งลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผ๎ูร๎ูอืน่ ๆ จนประสบความสาเร็จ เป็นผ๎ูเชย่ี วชาญ ซึ่งโดด เดํนเป็นเอกลักษณ๑ในแตํละด๎านอยํางชัดเจน เป็นที่ยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู๎ใหมํๆ ท่ีเหมาะสม นามา ปรับปรงุ รับใช๎ชุมชน และสงั คมอยเูํ สมอ 3. เป็นผ๎ูนาของท๎องถิ่น ผู๎ทรงภูมิปญ๓ ญาสํวนใหญํจะเปน็ ผ๎ูท่ีสังคม ในแตํละท๎องถ่ินยอมรับให๎ เป็นผู๎นา ท้ังผ๎ูนาท่ีได๎รับการแตํงต้ังจากทางราชการ และผ๎ูนาตามธรรมชาติ ซ่ึงสามารถเป็นผู๎นาของท๎องถิ่น และชวํ ยเหลือผู๎อืน่ ไดเ๎ ปน็ อยํางดี 4.เปน็ ผ๎ทู ่ีสนใจป๓ญหาของท๎องถิ่น ผู๎ทรงภูมิปญ๓ ญาล๎วนเป็นผ๎ูท่ีสนใจป๓ญหาของท๎องถ่ิน เอาใจ ใสํ ศึกษาป๓ญหา หาทางแก๎ไข และชํวยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล๎เคียงอยํางไมํยํอท๎อ จน ประสบความสาเรจ็ เป็นที่ยอมรับของสมาชิกและบุคคลทั่วไป 5. เป็นผ๎ขู ยนั หมัน่ เพยี ร ผ๎ทู รงภูมิป๓ญญาเปน็ ผ๎ูขยนั หม่นั เพยี ร ลงมอื ทางานและผลิตผลงานอยูํ เสมอ ปรบั ปรงุ และพัฒนาผลงานใหม๎ ีคุณภาพมากขน้ึ อกี ทงั้ มุงํ ทางานของตนอยาํ งตํอเนอื่ ง

6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชน๑ของท๎องถ่ิน ผู๎ทรงภูมิป๓ญญา นอกจากเป็นผู๎ท่ี ประพฤติตนเป็นคนดี จนเป็นที่ยอมรับนับถือจากบคุ คลท่ัวไปแล๎ว ผลงานที่ทํานทายังถือวาํ มีคุณคํา จึงเป็นผ๎ูท่ี มที ้ัง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผ๎ูประสานประโยชน๑ให๎บุคคลเกิดความรัก ความเข๎าใจ ความเห็น ใจ และมคี วามสามัคคกี นั ซ่งึ จะทาให๎ทอ๎ งถ่นิ หรือสงั คม มีความเจรญิ มีคุณภาพชีวติ สูงขึน้ กวําเดมิ 7. มคี วามสามารถในการถํายทอดความรเ๎ู ป็นเลศิ เมื่อผ๎ทู รงภมู ปิ ๓ญญามคี วามร๎คู วามสามารถ และประสบการณเ๑ ป็นเลิศ มผี ลงานท่เี ป็นประโยชน๑ตอํ ผอู๎ นื่ และบุคคลทวั่ ไป ทัง้ ชาวบ๎าน นกั วิชาการ นกั เรียน นิสติ /นักศึกษา โดยอาจเข๎าไปศึกษาหาความรู๎ หรอื เชิญทาํ นเหลาํ น้ันไป เป็นผถ๎ู าํ ยทอดความรูไ๎ ด๎ 8.เป็นผ๎ูมีคํูครองหรือบริวารดี ผู๎ทรงภูมิป๓ญญา ถ๎าเป็นคฤหัสถ๑ จะพบวํา ล๎วนมีคูํครองท่ีดีที่ คอยสนับสนุน ชํวยเหลือ ให๎กาลังใจ ให๎ความรํวมมือในงานที่ทํานทา ชํวยให๎ผลิตผลงานที่มีคุณคํา ถ๎าเป็น นักบวช ไมวํ าํ จะเปน็ ศาสนาใด ตอ๎ งมีบริวารทีด่ ี จึงจะสามารถผลิตผลงานทีม่ คี ุณคําทางศาสนาได๎ 9. เป็นผู๎มปี ๓ญญารอบร๎แู ละเชี่ยวชาญจนไดร๎ บั การยกยอํ งวําเปน็ ปราชญ๑ ผู๎ทรงภูมิปญ๓ ญา ต๎อง เป็นผ๎ูมีป๓ญญารอบร๎ูและเช่ียวชาญ รวมท้ังสร๎างสรรค๑ผลงานพิเศษใหมํๆ ท่ีเป็นประโยชน๑ตํอสังคมและ มนุษยชาติอยํางตํอเนอ่ื งอยํเู สมอ 3. การจดั แบ่งสาขาภูมิปัญญาไทย จากการศกึ ษาพบวาํ มกี ารกาหนดสาขาภูมิปญ๓ ญาไทยไวอ๎ ยาํ งหลากหลาย ข้ึนอยํูกบั วัตถุประสงค๑ และ หลักเกณฑ๑ตํางๆ ท่ีหนํวยงาน องค๑กร และนักวิชาการแตํละทํานนามากาหนด ในภาพรวมภูมิป๓ญญาไทย สามารถแบงํ ได๎เปน็ 10 สาขาดงั น้ี 1. สาขาเกษตรกรรมหมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค๑ความรู๎ ทักษะ และเทคนิคด๎าน การเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพฒั นาบนพน้ื ฐานคุณคําด้ังเดิม ซ่ึงคนสามารถพึง่ พาตนเองในภาวการณ๑ตํางๆ ได๎ เชํน การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรํนาสวนผสม และสวนผสมผสาน การ แก๎ป๓ญหาการเกษตรด๎านการตลาด การแก๎ป๓ญหาด๎านการผลิต การแก๎ไขป๓ญหาโรคและแมลง และการร๎ูจัก ปรบั ใช๎เทคโนโลยที เี่ หมาะสมกับการเกษตร เป็นต๎น 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การร๎ูจักประยุกต๑ใช๎เทคโนโลยีสมัยใหมํในการแปรรูป ผลิตผล เพ่ือชะลอการนาเข๎าตลาด เพื่อแก๎ป๓ญหาด๎านการบริโภคอยํางปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อัน เป็นกระบวนการท่ีทาให๎ชุมชนท๎องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได๎ ตลอดทั้งการผลิต และการ จาหนาํ ย ผลติ ผลทางหัตถกรรม เชนํ การรวมกลมุํ ของกลํุมโรงงานยางพารา กลุมํ โรงสี กลุมํ หัตถกรรม เปน็ ต๎น 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการปูองกัน และรักษาสุขภาพของคนใน ชุมชน โดยเน๎นให๎ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเอง ทางด๎านสุขภาพ และอนามัยได๎ เชํน การนวดแผนโบราณ การ ดูแลและรกั ษาสุขภาพแบบพนื้ บ๎าน การดแู ลและรักษาสุขภาพแผนโบราณไทย เปน็ ตน๎ 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมหมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม ทั้งการอนุรักษ๑ การพัฒนา และการใช๎ประโยชน๑จากคุณคําของ

ทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ๎ ม อยํางสมดลุ และย่ังยนื เชํน การทาแนวปะการงั เทียม การอนุรักษ๑ปาุ ชาย เลน การจัดการปาุ ต๎นน้า และปุาชุมชน เปน็ ต๎น 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด๎านการสะสม และ บรกิ ารกองทุน และธรุ กจิ ในชมุ ชน ท้ังท่เี ปน็ เงินตรา และโภคทรพั ย๑ เพ่อื สงํ เสริมชวี ติ ความเป็นอยขํู องสมาชิกใน ชมุ ชน เชนํ การจดั การเรอื่ งกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณอ๑ อมทรัพย๑ และธนาคารหมูํบ๎าน เป็นต๎น 6. สาขาสวสั ดกิ ารหมายถึง ความสามารถในการจัดสวสั ดิการในการประกันคุณภาพชีวิตของคน ให๎เกิด ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เชํน การจัดต้ังกองทุนสวัสดกิ ารรักษาพยาบาลของชุมชน การ จดั ระบบสวสั ดิการบรกิ ารในชุมชน การจดั ระบบส่ิงแวดลอ๎ มในชุมชน เปน็ ต๎น 7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด๎านศิลปะสาขาตํางๆ เชํน จิตรกรรม ประตมิ ากรรม วรรณกรรม ทัศนศลิ ป์ คีตศิลป์ ศลิ ปะมวยไทย เปน็ ตน๎ 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานขององค๑กรชุมชน ตํางๆ ให๎สามารถพัฒนา และบริหารองคก๑ รของตนเองได๎ ตามบทบาท และหน๎าท่ีขององค๑การ เชํน การจัดการ องคก๑ รของกลํมุ แมบํ ๎าน กลุํมออมทรัพย๑ กลมุํ ประมงพน้ื บา๎ น เป็นต๎น 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเกี่ยวกบั ด๎านภาษา ท้ังภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช๎ภาษา ตลอดท้ังด๎านวรรณกรรมทุกประเภท เชํน การจัดทา สารานกุ รมภาษาถน่ิ การปริวรรต หนังสือโบราณ การฟื้นฟกู ารเรียนการสอนภาษาถิ่นของท๎องถิ่นตาํ งๆ เป็นต๎น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถงึ ความสามารถประยุกต๑ และปรับใช๎หลกั ธรรมคาสอนทาง ศาสนา ความเชอ่ื และประเพณีดั้งเดิมทม่ี ีคุณคาํ ใหเ๎ หมาะสมตํอการประพฤตปิ ฏบิ ัติ ให๎บงั เกดิ ผลดตี ํอบุคคล และสง่ิ แวดลอ๎ ม เชนํ การถํายทอดหลกั ธรรมทางศาสนา ลกั ษณะความสมั พันธข๑ องภมู ิปญ๓ ญาไทยภมู ิ-ป๓ญญา ไทยสามารถสะทอ๎ นออกมาใน 3 ลักษณะทส่ี ัมพันธใ๑ กลช๎ ิดกัน คอื 10.1 ความสมั พนั ธอ๑ ยํางใกล๎ชดิ กนั ระหวํางคนกบั โลก สิง่ แวดล๎อม สตั ว๑ พืช และธรรมชาติ 10.2 ความสมั พันธข๑ องคนกับคนอนื่ ๆ ท่ีอยํรู วํ มกันในสงั คม หรอื ในชมุ ชน 10.3 ความสัมพันธ๑ระหวาํ งคนกับสิ่งศักดิ์สิทธสิ์ ิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งส่ิงที่ไมํสามารถสัมผัสได๎ท้ังหลาย ท้ัง 3 ลักษณะนี้ คือ สามมิตขิ องเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวติ ชมุ ชน สะท๎อนออกมาถึงภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวิต อยํางมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหล่ียม ภูมิป๓ญญา จึงเป็นรากฐานในการดาเนินชวี ิตของคนไทย ซึ่ง สามารถแสดงใหเ๎ หน็ ได๎อยํางชัดเจนโดยแผนภาพ ดังน้ี ลักษณะภูมิป๓ญญาที่เกิดจากความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม จะแสดงออกมาใน ลกั ษณะภูมปิ ญ๓ ญาในการดาเนินวถิ ีชีวิตขน้ั พน้ื ฐาน ดา๎ นป๓จจัยสี่ ซึง่ ประกอบดว๎ ย อาหาร เครอ่ื งนุํงหํมทีอ่ ยํูอาศัย และยารักษาโรค ตลอดทั้งการประกอบอาชพี ตํางๆ เป็นต๎น ภูมิป๓ญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับคนอื่นในสังคม จะแสดงออกมาในลักษณะ

จารตี ขนบธรรมเนียมประเพณี ศลิ ปะ และนนั ทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดท้ังการสื่อสารตาํ งๆ เป็น ต๎น แผนภาพแสดงความสัมพนั ธ๑ระหวํางคนกบั ธรรมชาตสิ ิง่ แวดลอ๎ ม ภูมิป๓ญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ๑ระหวํางคนกับสิ่งศักด์ิสิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลกั ษณะของสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ ศาสนา ความเชอื่ ตาํ งๆ เป็นตน๎ 4. คณุ คา่ และความสาคญั ของภูมิปัญญาไทย คุณคําของภูมิป๓ญญาไทย ได๎แกํ ประโยชน๑ และความสาคัญของภูมิป๓ญญา ที่บรรพบุรุษไทย ได๎ สร๎างสรรค๑ และสืบทอดมาอยํางตํอเนื่อง จากอดีตสูํปจ๓ จุบัน ทาให๎คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ ท่ีจะรํวมแรงรํวมใจสืบสานตอํ ไปในอนาคต เชํน โบราณสถาน โบราณวตั ถุ สถาป๓ตยกรรม ประเพณีไทย การมี นา้ ใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน๑ เป็นต๎น ภูมปิ ญ๓ ญาไทยจึงมีคุณคํา และความสาคญั ดงั น้ี 1. ภูมปิ ๓ญญาไทยชํวยสรา๎ งชาติให๎เปน็ ปึกแผํน พระมหากษัตริย๑ไทยได๎ใช๎ภูมิป๓ญญาในการสร๎างชาติ สร๎างความเป็นปึกแผํนให๎แกํ ประเทศชาติมาโดยตลอด ต้ังแตํสมัยพํอขุนรามคาแหงมหาราช พระองค๑ทรงปกครองประชาชน ด๎วยพระ เมตตา แบบพํอปกครองลูก ผ๎ูใดประสบความเดือดร๎อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร๎อน เพื่อขอรับ พระราชทานความชํวยเหลือ ทาให๎ประชาชนมีความจงรักภักดีตํอพระองค๑ ตํอประเทศชาติรํวมกันสร๎าง บ๎านเรอื นจนเจริญรุงํ เรืองเป็นปึกแผํน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค๑ทรงใช๎ภูมิป๓ญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข๎าศึกศัตรู และทรงกอบก๎ูเอกราชของชาติไทยคืนมาได๎ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยํูหัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลป๓จจุบัน พระองค๑ทรงใชภ๎ ูมิปญ๓ ญาสร๎างคุณประโยชน๑แกํประเทศชาติ และเหลําพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช๎ พระปรีชาสามารถ แก๎ไขวกิ ฤตการณ๑ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพน๎ ภัยพบิ ัติหลายครั้ง พระองค๑ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด๎าน แม๎แตํด๎านการเกษตร พระองค๑ได๎พระราชทานทฤษฎีใหมํให๎แกํพสกนิกร ท้ัง ด๎านการเกษตรแบบสมดุลและยั่งยืน ฟ้ืนฟูสภาพแวดล๎อม นาความสงบรํมเย็นของประชาชนให๎กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎีใหมํ\" แบํงออกเป็น 2 ขน้ั โดยเรม่ิ จาก ข้ันตอนแรก ให๎เกษตรกรรายยํอย \"มีพออยํูพอ กิน\" เป็นข้ันพ้ืนฐาน โดยการพัฒนาแหลํงน้า ในไรํนา ซ่ึงเกษตรกรจาเป็นที่จะต๎องได๎รับความชํวยเหลือจาก

หนํวยราชการ มูลนิธิ และหนํวยงานเอกชน รํวมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในข้ันท่ีสอง เกษตรกรต๎องมีความ เขา๎ ใจ ในการจดั การในไรํนาของตน และมกี ารรวมกลํุมในรูปสหกรณ๑ เพื่อสร๎างประสิทธภิ าพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจํายด๎านความเป็นอยูํ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค๑กรเอกชน เมื่อกลํุมเกษตร วิวัฒน๑มาขั้นที่ 2 แล๎ว ก็จะมีศักยภาพ ในการพฒั นาไปสํูขั้นที่สาม ซึ่งจะมีอานาจในการตอํ รองผลประโยชน๑กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค๑กรที่เป็นเจ๎าของแหลํงพลังงาน ซ่ึงเป็นป๓จจัยหนึ่งในการผลิต โดยมีการ แปรรูปผลิตผล เชนํ โรงสี เพอ่ื เพิ่มมูลคําผลิตผล และขณะเดียวกันมีการจัดตั้งร๎านค๎าสหกรณ๑ เพ่ือลดคําใชจ๎ ําย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได๎วํา มิได๎ทรงทอดทิ้งหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดตั้งสหกรณ๑ ซึ่งทรงสนับสนุนให๎กลํุมเกษตรกรสร๎างอานาจตํอรองในระบบ เศรษฐกิจ จึงจะมีคุณภาพชีวติ ที่ดี จึงจัดได๎วํา เป็นสังคมเกษตรท่ีพัฒนาแล๎ว สมดงั พระราชประสงค๑ท่ีทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ญ๓ ญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหงํ การครองราชย๑ 2. สรา๎ งความภาคภูมใิ จ และศกั ดิ์ศรี เกียรติภูมิแกํคนไทย คนไทยในอดีตที่มีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร๑มีมาก เป็นท่ียอมรับของนานา อารยประเทศ เชํน นายขนมต๎มเป็นนักมวยไทย ท่ีมีฝีมือเกํงในการใช๎อวัยวะทุกสํวน ทุกทําของแมํไม๎มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมําได๎ถึงเก๎าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม๎ในป๓จจุบัน มวยไทยก็ยังถือวํา เป็น ศิลปะช้นั เยี่ยม เป็นท่ี นิยมฝึกและแขํงขันในหมํูคนไทยและชาวตําง ประเทศ ป๓จจุบันมีคํายมวยไทยทั่วโลกไมํ ตา่ กวาํ 30,000 แหงํ ชาวตํางประเทศท่ไี ดฝ๎ กึ มวยไทย จะรสู๎ กึ ยินดีและภาคภมู ิใจ ในการที่จะใช๎กตกิ า ของมวย ไทย เชํน การไหว๎ครูมวยไทย การออก คาสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เชํน คาวํา \"ชก\" \"นับหนึ่งถึงสิบ\" เป็นต๎น ถือเป็นมรดก ภูมิป๓ญญาไทย นอกจากนี้ ภูมิป๓ญญาไทยที่โดด เดํนยังมีอีกมากมาย เชํน มรดกภูมิ ป๓ญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาตัง้ แตํสมัยกรุงสุโขทัย และววิ ัฒนาการ มาจนถึงป๓จจุบัน วรรณกรรมไทยถือวํา เป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได๎อรรถรสครบทุกด๎าน วรรณกรรม หลายเรื่องได๎รับการแปลเป็นภาษาตํางประเทศหลายภาษา ด๎านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารท่ีปรุงงําย พืชท่ี ใช๎ประกอบอาหารสํวนใหญํเป็นพชื สมุนไพร ท่ีหาไดง๎ ํายในท๎องถ่ิน และราคาถูก มี คุณคําทางโภชนาการ และ ยังปูองกันโรคได๎หลายโรค เพราะสํวนประกอบสํวนใหญํเป็นพืชสมุนไพร เชํน ตะไคร๎ ขิง ขํา กระชาย ใบมะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นตน๎ 3. สามารถปรบั ประยกุ ต๑หลกั ธรรมคาสอนทางศาสนาใชก๎ บั วถิ ีชีวิตได๎อยํางเหมาะสม คนไทยสํวนใหญํนับถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช๎ในวถิ ีชวี ิต ได๎อยํางเหมาะสม ทาให๎คนไทยเป็นผู๎อํอนน๎อมถํอมตน เอือ้ เฟือ้ เผื่อแผํ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ อดทน ให๎อภัยแกํผู๎สานึกผิด ดารงวิถีชวี ิตอยํางเรียบงําย ปกติสุข ทาให๎คนในชมุ ชนพ่งึ พากันได๎ แม๎จะอดอยาก เพราะ แห๎งแล๎ง แตํไมํมีใครอดตาย เพราะพ่ึงพาอาศัย กัน แบงํ ป๓นกันแบบ \"พริกบ๎านเหนือเกลือบ๎านใต๎\" เป็น ต๎น ทัง้ หมดนส้ี บื เนือ่ งมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เป็นการใช๎ภูมิปญ๓ ญา ในการนาเอาหลักขอ

พระพทุ ธศาสนามา ประยุกต๑ใชก๎ ับชีวิตประจาวัน และดาเนินกุศโลบาย ดา๎ นตาํ งประเทศ จนทาให๎ชาวพุทธท่ัว โลกยกยํอง ให๎ประเทศไทยเป็นผู๎นาทางพุทธศาสนา และเปน็ ที่ต้ังสานักงานใหญํองค๑การพทุ ธศาสนิกสัมพันธ๑ แหํงโลก (พสล.) อยูํเย้ืองๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักด์ิ องคมนตร)ี ดารงตาแหนงํ ประธาน พสล. ตอํ จาก ม.จ.หญงิ พูนพศิ มยั ดศิ กลุ 4. สร๎างความสมดลุ ระหวาํ งคนในสงั คม และธรรมชาตไิ ดอ๎ ยํางยั่งยืน ภูมิป๓ญญาไทยมีความเดํนชัดในเร่ืองของการยอมรับนับถือ และให๎ความสาคัญแกํคน สังคม และธรรมชาติอยาํ งย่ิง มเี คร่ืองชี้ท่ีแสดงให๎เห็นไดอ๎ ยํางชัดเจนมากมาย เชํน ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดทั้งปี ล๎วนเคารพคุณคําของธรรมชาติ ได๎แกํ ประเพณีสงกรานต๑ ประเพณีลอยกระทง เป็นต๎น ประเพณีสงกรานต๑ เป็นประเพณีท่ีทาใน ฤดูร๎อนซ่ึงมีอากาศร๎อน ทาให๎ต๎องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ๎านเรือน และธรรมชาติสิ่งแวดล๎อม มีการแหํนางสงกรานต๑ การทานายฝนวําจะตกมากหรือน๎อยในแตํละปี สํวนประเพณีลอยกระทง คุณคําอยูํที่การบูชา ระลึกถึงบุญคุณของน้า ท่ีหลํอเล้ียงชีวิตของ คน พืช และสัตว๑ ให๎ได๎ใช๎ทั้งบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแมํน้า ลาธาร บูชาแมํน้าจากตัวอยําง ข๎างตน๎ ลว๎ นเป็น ความสมั พันธร๑ ะหวํางคนกบั สงั คมและธรรมชาติ ทงั้ สนิ้ ในการรกั ษาปาุ ไมต๎ ๎นน้าลาธาร ได๎ประยุกต๑ให๎มีประเพณีการบวชปุา ให๎คนเคารพส่ิงศักดส์ิ ิทธ์ิ ธรรมชาติ และสภาพแวดล๎อม ยังความอุดมสมบูรณ๑แกํต๎นน้า ลาธาร ให๎ฟ้ืนสภาพกลับคืนมาได๎มาก อาชีพ การเกษตรเป็นอาชีพหลักของคนไทย ที่คานึงถึงความสมดลุ ทาแตํนอ๎ ยพออยพํู อกนิ แบบ \"เฮ็ดอยเํู ฮด็ กนิ \" ของ พํอทองดี นันทะ เม่ือเหลอื กนิ ก็แจกญาติพี่นอ๎ ง เพ่ือนบ๎าน บ๎านใกล๎เรือนเคียง นอกจากน้ี ยังนาไปแลกเปลี่ยน กบั สิ่งของอยํางอน่ื ทีต่ นไมํมี เมื่อเหลือใช๎จริงๆ จึงจะนาไปขาย อาจกลําวไดว๎ ํา เป็นการเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให๎คนในสังคมได๎ชํวยเหลือเกื้อกูล แบํงป๓นกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมํูบ๎าน จึงอยูํ รวํ มกันอยํางสงบสุข มคี วามสมั พันธก๑ นั อยํางแนบแนํน ธรรมชาตไิ มํถูกทาลายไปมากนัก เน่ืองจากทาพออยูํพอ กิน ไมํโลภมากและไมํทาลายทุกอยํางผิดกับป๓จจุบัน ถือเป็นภูมิป๓ญญาท่ีสร๎างความ สมดุลระหวํางคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปล่ยี นแปลงปรบั ปรุงได๎ตามยุคสมัย แม๎วาํ กาลเวลาจะผํานไป ความรู๎สมยั ใหมํ จะหล่งั ไหลเข๎ามามาก แตภํ มู ปิ ญ๓ ญาไทย ก็สามารถ ปรับเปลยี่ นให๎เหมาะสมกบั ยคุ สมัย เชนํ การรู๎จักนาเคร่ืองยนต๑มาติดตั้งกับเรือ ใสํใบพัด เป็นหางเสือ ทาให๎เรือ สามารถแลํนได๎เร็วขึ้น เรียกวํา เรือหางยาว การรู๎จักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟื้นคืน ธรรมชาติให๎ อุดมสมบรู ณ๑แทนสภาพเดมิ ที่ถูกทาลายไป การร๎ูจักออมเงิน สะสมทุนให๎สมาชิกก๎ูยืม ปลดเปลื้อง หนี้สนิ และจัดสวัสดกิ ารแกํสมาชกิ จนชุมชนมคี วามม่ันคง เข๎มแขง็ สามารถชวํ ยตนเองไดห๎ ลายร๎อยหมํูบา๎ นทั่ว ประเทศ เชํน กลุํมออมทรัพย๑คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชวํ ยตนเองได๎

เมื่อปุาถูกทาลาย เพราะถูกตัดโคํน เพื่อปลูกพืชแบบเดี่ยว ตามภูมิป๓ญญาสมัยใหมํ ท่ีหวัง ร่ารวย แตใํ นท่ีสุด ก็ขาดทุน และมีหน้ีสิน สภาพแวดล๎อมสูญเสียเกิดความแห๎งแล๎ง คนไทยจึงคิดปลูกปุา ที่กิน ได๎ มีพืชสวน พืชปุาไม๎ผล พืชสมุนไพร ซ่ึงสามารถมีกินตลอดชวี ิตเรียกวํา \"วนเกษตร\" บางพ้ืนท่ี เมื่อปุาชุมชน ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกัน เป็นกลุํมรักษาปุา รํวมกันสร๎างระเบียบ กฎเกณฑ๑กันเอง ให๎ทุกคนถือ ปฏิบัติได๎ สามารถรักษาปุาได๎อยํางสมบูรณ๑ดังเดิม เมื่อปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไมํมีที่อยํูอาศัย ประชาชนสามารถสร๎าง \"อูหยัม\" ข้ึน เป็นปะการังเทียม ให๎ปลาอาศัยวางไขํ และแพรํพันธุ๑ให๎เจริญเติบโต มี จานวนมากดังเดิมได๎ ถือเป็นการใช๎ภูมปิ ญ๓ ญาปรบั ปรุงประยกุ ตใ๑ ช๎ได๎ตามยุคสมัย สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เลํมท่ี 19 ให๎ความหมายของคาวํา ภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน หมายถึง ความร๎ูของชาวบ๎าน ซ่ึงได๎มาจากประสบการณ๑ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ๎าน รวมท้ังความรู๎ที่ สั่งสมมาแตบํ รรพบุรุษ สืบทอดจากคนรุํนหนึ่งไปสูํคนอกี รุํนหนึ่ง ระหวํางการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต๑ และ เปลีย่ นแปลง จนอาจเกดิ เปน็ ความร๎ใู หมํตามสภาพการณท๑ างสังคมวัฒนธรรม และ สง่ิ แวดลอ๎ ม ภมู ิป๓ญญาเป็นความรู๎ท่ีประกอบไปด๎วยคุณธรรม ซ่ึงสอดคล๎องกับวิถีชีวิตด้ังเดิมของชาวบ๎าน ในวิถีดั้งเดิมน้ัน ชวี ิตของชาวบ๎านไมํได๎แบงํ แยกเป็นสํวนๆ หากแตํทุกอยํางมีความสัมพันธ๑กัน การทามาหากิน การอยํูรํวมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรู๎เป็นคุณธรรม เมื่อผู๎คนใช๎ความรู๎น้ัน เพ่ือสร๎างความสัมพันธ๑ท่ีดีระหวําง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ๑ที่ดี เป็นความสัมพันธ๑ท่ีมีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไมํทาร๎ายทาลายกัน ทาให๎ทุกฝุายทุกสํวนอยํูรํวมกันได๎ อยํางสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ๑ของการอยํูรํวมกัน มีคนเฒําคนแกํเป็นผู๎นา คอยให๎คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ปุา เขา ข๎าว แดด ลม ฝน โลก และจกั รวาล ชาวบ๎านเคารพผหู๎ ลกั ผูใ๎ หญํ พํอแมํ ปูยุ ําตายาย ทั้งที่มีชวี ิตอยูํและลํวงลับไปแล๎วภูมิปญ๓ ญาจึงเปน็ ความรู๎ท่ีมีคุณธรรม เป็นความรู๎ที่มีเอกภาพของทุกส่ิงทุกอยําง เป็นความรู๎วาํ ทุกสิ่งทุกอยํางสัมพันธก๑ ันอยํางมี ความสมดุล เราจึงยกยํองความรู๎ข้ันสูงสํง อันเป็นความรู๎แจ๎งในความจริงแหํงชีวิตนี้วํา \"ภูมิป๓ญญา\"ความคิด และการแสดงออกเพือ่ จะเข๎าใจภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน จาเป็นต๎องเข๎าใจความคิดของชาวบ๎านเก่ียวกับโลก หรือที่ เรียกวํา โลกทัศน๑ และเก่ียวกับชีวิต หรือที่เรียกวํา ชีวทัศน๑ สิ่งเหลําน้ีเป็นนามธรรม อันเกี่ยวข๎องสัมพันธ๑ โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะตํางๆ ที่เป็นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เป็นแนวคิด พื้นฐานของภูมิป๓ญญาชาวบา๎ น การแพทย๑แผนไทย หรือที่เคยเรียกกันวํา การแพทย๑แผนโบราณนั้นมีหลักการ วํา คนมีสุขภาพดี เมื่อรํางกายมีความสมดุลระหวํางธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข๎ได๎ปุวยเพราะธาตุ ขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช๎ยาสมุนไพร หรือวิธกี ารอื่นๆ คนเปน็ ไข๎ตัวร๎อน หมอยาพ้ืนบ๎านจะให๎ ยาเย็น เพ่ือลดไข๎ เป็นต๎น การดาเนินชีวิตประจาวันก็เชํนเดียวกัน ชาวบ๎านเช่ือวาํ จะต๎องรักษาความสมดุลใน ความสัมพันธ๑สามดา๎ น คือ ความสัมพันธก๑ บั คนในครอบครัว ญาติพีน่ อ๎ ง เพื่อนบ๎านในชุมชน ความสัมพนั ธท๑ ่ีดีมี หลักเกณฑ๑ ที่บรรพบุรุษไดส๎ ่ังสอนมา เชํน ลูกควรปฏิบัติอยํางไรกับพํอแมํ กับญาติพ่นี ๎อง กับผ๎ูสูงอายุ คนเฒํา

คนแกํ กับเพื่อนบ๎าน พํอแมํควรเล้ียงดูลูกอยํางไร ความเอ้ืออาทรตํอกันและกัน ชํวยเหลือเก้ือกูล กัน โดยเฉพาะในยามทุกข๑ยาก หรือมีป๓ญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช๎ความสามารถน้ันชํวยเหลือผ๎ูอ่ืน เชํน บางคนเป็นหมอยา กช็ วํ ยดแู ลรกั ษาคนเจ็บปุวยไมํสบาย โดยไมํคิดคํารักษา มีแตํเพียงการยกครู หรือการราลึก ถึงครูบาอาจารย๑ท่ีประสาทวิชามาให๎เทํานั้น หมอยาต๎องทามาหากิน โดยการทานา ทาไรํ เล้ียงสัตว๑เหมือนกับ ชาวบ๎านอื่นๆ บางคนมคี วามสามารถพิเศษดา๎ นการทามาหากนิ ก็ชวํ ยสอนลกู หลานใหม๎ วี ิชาไปด๎วย ความสมั พนั ธร๑ ะหวํางคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ๑เป็นข๎อปฏิบัติ และข๎อห๎ามอยําง ชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรมตํางๆ เชํน การรดน้าดาหัวผู๎ใหญํ การบายศรีสูํ ขวัญ เป็นต๎น ความสัมพนั ธก๑ ับธรรมชาติ ผู๎คนสมัยกํอนพงึ่ พาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด๎าน ตั้งแตํอาหารการกิน เคร่ืองนุํงหํม ท่ีอยูํอาศัย และยารักษาโรค วทิ ยาศาสตร๑ และเทคโนโลยียังไมํพฒั นาก๎าวหน๎าเหมือนทุกวนั นี้ ยัง ไมํมีระบบการค๎าแบบสมัยใหมํ ไมํมีตลาด คนไปจับปลาลําสัตว๑ เพ่ือเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม๎ เพ่ือสร๎างบ๎าน และใช๎สอยตามความจาเป็นเทําน้ัน ไมํได๎ทาเพื่อการค๎า ชาวบ๎านมีหลักเกณฑ๑ในการใช๎สิ่งของในธรรมชาติ ไมํ ตัดไม๎ออํ น ทาให๎ตน๎ ไม๎ในปาุ ข้ึนแทนต๎นท่ีถูกตดั ไปไดต๎ ลอดเวลาชาวบ๎านยังไมํร๎ูจักสารเคมี ไมํใชย๎ าฆําแมลง ฆํา หญา๎ ฆาํ สัตว๑ ไมใํ ชป๎ ๋ยุ เคมี ใช๎สง่ิ ของในธรรมชาตใิ ห๎เกื้อกลู กนั ใชม๎ ลู สตั ว๑ ใบไม๎ใบ หญา๎ ทเ่ี นําเปื่อยเป็นปยุ๋ ทาให๎ ดนิ อุดมสมบูรณ๑ น้าสะอาด และไมํเหือดแห๎ง ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติ เชื่อวํา มีเทพมีเจ๎าสถิตอยํูในดนิ น้า ปาุ เขา สถานท่ีทุกแหํง จะทาอะไรต๎องขออนุญาต และทาด๎วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ๎านร๎ูคุณ ธรรมชาติ ท่ีได๎ให๎ชีวิตแกํตน พิธีกรรมตํางๆ ล๎วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกลําว เชํน งานบุญพิธี ท่ีเก่ียวกับ น้า ข๎าว ปุาเขา รวมถึงสัตว๑ บ๎านเรือน เครื่องใช๎ตํางๆ มีพิธีสํูขวัญข๎าว สูํขวัญควาย สํูขวัญเกวียน ทางอีสานมีพิธี แฮกนา หรอื แรกนา เลยี้ งผีตาแฮก มีงานบุญบ๎าน เพ่อื เลีย้ งผี หรือสงิ่ ศักดิ์สิทธ์ปิ ระจาหมบูํ า๎ น เป็นต๎น ความสัมพันธ๑กับส่ิงเหนือธรรมชาติ ชาวบ๎านร๎ูวํา มนุษย๑เป็นเพียงสํวนเล็กๆ สํวนหน่ึง ของ จักรวาล ซึ่งเต็มไปด๎วยความเร๎นลับ มีพลัง และอานาจ ท่ีเขาไมํอาจจะหาคาอธิบายได๎ ความเร๎นลับดังกลําว รวมถงึ ญาตพิ ่นี อ๎ ง และผ๎คู นทลี่ ํวงลบั ไปแล๎ว ชาวบา๎ นยงั สมั พนั ธ๑กับพวกเขา ทาบุญ และราลึกถึงอยํางสม่าเสมอ ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกน้ันเป็นผีดี ผีร๎าย เทพเจ๎าตํางๆ ตามความเชื่อของแตํละแหํง ส่ิงเหลําน้ีสิง สถติ อยํูในสิ่งตํางๆ ในโลก ในจักรวาล และอยํูบนสรวงสวรรคก๑ ารทามาหากิน แม๎วิถีชีวิตของชาวบ๎านเมื่อกํอนจะดูเรียบงํายกวําทุกวันน้ี และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แตํพวกเขาก็ต๎องใช๎สติป๓ญญา ที่บรรพบุรุษถํายทอดมาให๎ เพ่ือจะได๎อยํู รอด ทัง้ นเี้ พราะป๓ญหาตํางๆ ในอดตี กย็ ังมีไมนํ ๎อย โดยเฉพาะเม่ือครอบครัวมีสมาชิกมากข้ึน จาเป็นต๎องขยายที่ ทากนิ ต๎องหกั ร๎างถางพง บุกเบิก พน้ื ที่ทากินใหมํ การปรับพ้ืนท่ีป๓้นคันนา เพื่อทานา ซ่ึงเป็นงานที่หนัก การทา ไรํทานา ปลูกพืชเล้ียงสัตว๑ และดูแลรักษาให๎เติบโต และได๎ผล เป็นงานท่ีต๎องอาศัยความรู๎ความสามารถ การจับปลาลําสัตว๑ก็มีวิธีการ บางคนมีความสามารถมากรู๎วาํ เวลาไหน ท่ีใด และวิธใี ด จะจับปลาไดด๎ ีที่สุด คน ท่ีไมเํ กงํ ก็ต๎องใช๎เวลานาน และไดป๎ ลานอ๎ ย การลําสัตว๑ก็เชํนเดยี วกัน

การจัดการแหลํงน้า เพ่ือการเกษตร ก็เป็นความรู๎ความสามารถ ที่มีมาแตํโบราณ คนทาง ภาคเหนือรู๎จักบริหารน้า เพื่อการเกษตร และเพ่ือการบริโภคตํางๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบํงป๓นน้ากันตามระบบประเพณีท่ี สืบทอดกันมา มีหัวหน๎าท่ีทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สัดสํวน และตามพ้ืนท่ีทากิน นับเป็นความร๎ูท่ีทาให๎ชุมชนตํางๆ ท่ีอาศัยอยํูใกล๎ลาน้า ไมํวาํ ต๎นน้า หรือปลายน้า ไดร๎ ับการแบงํ ปน๓ น้าอยํางยุตธิ รรม ทกุ คนได๎ประโยชน๑ และอยรํู ํวมกนั อยาํ งสันติ ชาวบ๎านรู๎จักการแปรรูปผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให๎กินได๎นาน การดองการ หมัก เชนํ ปลารา๎ นา้ ปลา ผกั ดอง ปลาเคม็ เนอ้ื เค็ม ปลาแห๎ง เนอื้ แห๎ง การแปรรูปขา๎ ว ก็ทาได๎มากมายนับร๎อย ชนิด เชํน ขนมตํางๆ แตํละพิธีกรรม และแตํละงานบุญประเพณี มีข๎าวและขนมในรูปแบบไมํซ้ากัน ต้ังแตํ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอ่ืนๆ ซึ่งยังพอมีให๎เห็นอยูํจานวนหนึ่ง ใน ปจ๓ จุบนั สวํ นใหญํปรับเปลี่ยนมาเปน็ การผลติ เพอื่ ขาย หรอื เปน็ อุตสาหกรรมในครัวเรือน ความรู๎เร่ืองการปรุงอาหารก็มีอยูํมากมาย แตํละท๎องถ่ินมีรูปแบบ และรสชาติแตกตาํ งกันไป มีมากมายนับร๎อยนับพันชนิด แม๎ในชวี ิตประจาวนั จะมีเพียงไมํกี่อยําง แตํโอกาสงานพิธี งาน เลี้ยง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอยํางดี และพิถีพิถันการทามาหากินในประเพณีเดิมนั้น เป็นท้ังศาสตร๑และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม๎ ไมํได๎เป็นเพียงเพื่อให๎รับประทานแล๎วอรํอย แตํให๎ได๎ความ สวยงาม ทาให๎สามารถสัมผัสกับอาหารน้ัน ไมํเพียงแตทํ างปาก และรสชาตขิ องลิ้น แตํทางตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ท่ีปรุงแตํด๎วยความต้ังใจ ใช๎เวลา ฝีมือ และความร๎ูความสามารถ ชาวบ๎าน สมยั กอํ นสํวนใหญํจะทานาเปน็ หลัก เพราะเม่ือมีข๎าวแล๎ว ก็สบายใจ อยํางอนื่ พอหาไดจ๎ ากธรรมชาติ เสร็จหน๎า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ๎า ทาเส่ือ เลี้ยงไหม ทาเคร่ืองมือ สาหรับจับสัตว๑ เครื่องมือการเกษตร และ อุปกรณ๑ตํางๆ ทีจ่ าเปน็ หรือเตรียมพืน้ ที่ เพื่อการทานาครั้งตํอไป หัตถกรรมเป็นทรัพย๑สิน และมรดกทางภูมิป๓ญญาที่ยิ่งใหญํที่สุดอยํางหนึ่งของบรรพบุรุษ เพราะเป็นส่ือที่ถํายทอดอารมณ๑ ความร๎ูสึก ความคิด ความเชื่อ และคุณคําตํางๆ ที่ส่ังสมมาแตํนมนาน ลายผ๎า ไหม ผา๎ ฝูาย ฝมี ือในการทออยํางประณีต รปู แบบเคร่ืองมอื ท่สี านด๎วยไม๎ไผํ และอุปกรณ๑ เคร่ืองใชไ๎ ม๎สอยตาํ งๆ เคร่ืองดนตรี เคร่ืองเลํน ส่ิงเหลําน้ีได๎ถูกบรรจงสร๎างข้ึนมา เพ่ือการใช๎สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให๎ใครคน หน่ึง ไมํใชํเพื่อการค๎าขาย ชาวบ๎านทามาหากินเพียงเพอื่ การยังชีพ ไมํได๎ทาเพื่อขาย มีการนาผลิตผลสํวนหน่ึง ไปแลกส่ิงของที่จาเป็น ท่ีตนเองไมํมี เชํน นาข๎าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไกํ หรือเส้ือผ๎า การขายผลิตผลมีแตํ เพียงสํวนน๎อย และเม่ือมีความจาเป็นต๎องใช๎เงิน เพื่อเสียภาษีให๎รัฐ ชาวบ๎านนาผลิตผล เชํน ข๎าว ไปขายใน เมอื งใหก๎ บั พอํ คา๎ หรอื ขายให๎กับพํอค๎าท๎องถ่ิน เชํน ทางภาคอีสาน เรียกวาํ \"นายฮอ๎ ย\" คนเหลําน้ีจะนาผลิตผล บางอยําง เชนํ ขา๎ ว ปลารา๎ ววั ควาย ไปขายในท่ไี กลๆ ทางภาคเหนอื มีพํอคา๎ วัวตํางๆ เป็นต๎น แมว๎ าํ ความรู๎เร่ืองการค๎าขายของคนสมัยกํอน ไมํอาจจะนามาใช๎ในระบบตลาดเชํนปจ๓ จุบนั ได๎ เพราะสถานการณ๑ได๎เปล่ียนแปลงไปอยํางมาก แตํการค๎าที่มีจริยธรรมของพํอค๎าในอดีต ที่ไมํได๎หวังแตํเพียง

กาไร แตคํ านึงถึงการชํวยเหลือ แบงํ ป๓นกนั เปน็ หลัก ยงั มีคุณคาํ สาหรับป๓จจบุ ัน นอกนนั้ ในหลายพื้นท่ีในชนบท ระบบการแลกเปลีย่ นสิ่งของยังมอี ยํู โดยเฉพาะในพ้นื ทยี่ ากจน ซึง่ ชาวบ๎านไมํมีเงินสด แตํมีผลิตผลตาํ งๆ ระบบ การแลกเปลี่ยนไมํได๎ยึดหลักมาตราช่ังวัด หรือการตีราคาของสิ่งของ แตํแลกเปลี่ยน โดยการคานึงถึง สถานการณ๑ของผู๎แลกทั้งสองฝุาย คนที่เอาปลาหรือไกํมาขอแลกข๎าว อาจจะได๎ข๎าวเป็นถัง เพราะเจ๎าของข๎าว คานึงถงึ ความจาเป็นของครอบครัวเจา๎ ของไกํ ถ๎าหากตรี าคาเปน็ เงิน ขา๎ วหน่งึ ถงั ยอํ มมีคําสงู กวาํ ไกหํ นึง่ ตัว การอยู่รว่ มกันในสงั คม การอยูํรํวมกันในชุมชนด้ังเดิมน้ัน สํวนใหญํจะเป็นญาติพี่น๎องไมํก่ีตระกูล ซ่ึงได๎อพยพย๎ายถิ่นฐานมา อยูํ หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได๎ทั้งชุมชน มีคนเฒําคนแกํที่ชาวบ๎านเคารพนับถือเป็นผู๎นาหน๎าท่ี ของผู๎นา ไมํใชํการส่ัง แตํเป็นผู๎ให๎คาแนะนาปรึกษา มีความแมํนยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสินไกลํเกล่ีย หากเกิดความขัดแย๎ง ชํวยกันแก๎ไขป๓ญหาตํางๆ ที่เกิดข้ึน ป๓ญหาในชุมชนก็มีไมํน๎อย ป๓ญหา การทามาหากิน ฝนแล๎ง น้าทํวม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต๎น นอกจากนั้น ยังมีป๓ญหาความขัดแย๎ง ภายในชุมชน หรือระหวํางชมุ ชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี สํวนใหญํจะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพ บุรุษ ผ๎ูซึ่งได๎สร๎างกฎเกณฑ๑ตํางๆ ไว๎ เชํน กรณีที่ชายหนํุมถูกเนื้อต๎องตัวหญิงสาวที่ยังไมํแตํงงาน เป็นต๎น หาก เกิดการผิดผีขึ้นมา ก็ต๎องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒําคนแกํเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการวํากลําวสั่ง สอน และชดเชยการทาผิดน้ัน ตามกฎเกณฑ๑ที่วางไว๎ ชาวบ๎านอยํูอยํางพ่ึงพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข๎ได๎ปุวย ยาม เกิดอุบัติเหตุเภทภัย ยามที่โจรขโมยวัวควายข๎าวของ การชํวยเหลือกันทางานท่ีเรียกกันวํา การลงแขก ทั้ง แรงกายแรงใจท่ีมีอยํูก็จะแบํงป๓นชํวยเหลือ เอ้ืออาทรกัน การ แลกเปลี่ยนสิ่งของ อาหารการกิน และอื่นๆ จึง เกี่ยวข๎องกับวิถีของชุมชน ชาวบ๎านชํวยกันเก็บเกี่ยวข๎าว สร๎างบ๎าน หรืองานอื่นท่ีต๎องการคนมากๆ เพ่ือจะได๎ เสรจ็ โดยเร็ว ไมมํ ีการจา๎ ง กรณตี ัวอยํางจากการปลูกข๎าวของชาวบ๎าน ถ๎าปีหน่ึงชาวนาปลูกข๎าวไดผ๎ ลดี ผลิตผลท่ีไดจ๎ ะใชเ๎ พือ่ การ บริโภคในครอบครวั ทาบุญทว่ี ดั เผื่อแผํใหพ๎ ่ีนอ๎ งท่ีขาดแคลน แลกของ และเก็บไว๎ เผื่อวําปีหน๎าฝนอาจแล๎ง น้า อาจทํวม ผลิตผล อาจไมํดีในชุมชนตํางๆ จะมีผู๎มีความรู๎ความสามารถหลากหลาย บางคนเกํงทางการรักษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลี้ยงสัตว๑ บางคนทางด๎านดนตรีการละเลํน บางคนเกํง ทางด๎านพิธีกรรม คนเหลําน้ีตํางก็ใช๎ความสามารถ เพื่อประโยชน๑ของชุมชน โดยไมํถือเป็นอาชีพ ท่ีมี คําตอบแทน อยาํ งมากก็มี \"คําครู\" แตํเพยี งเล็กน๎อย ซ่ึงปกติแล๎ว เงินจานวนน้ัน ก็ใช๎สาหรับเคร่ืองมือประกอบ พธิ กี รรม หรอื เพือ่ ทาบุญท่ีวดั มากกวําทห่ี มอยา หรอื บคุ คลผ๎นู ั้น จะเก็บไว๎ใชเ๎ อง เพราะแท๎ท่ีจริงแล๎ว \"วชิ า\" ท่ี ครูถํายทอดมาให๎แกํลูกศิษย๑ จะต๎องนาไปใช๎ เพื่อประโยชน๑แกํสังคม ไมํใชํเพื่อผลประโยชน๑สํวนตัว การตอบ แทนจึงไมํใชํเงินหรือส่ิงของเสมอไป แตํเป็นการชํวยเหลือเก้ือกูลกันโดยวิธีการตํางๆด๎วยวิถีชีวิตเชํนน้ี จึงมี คาถาม เพือ่ เปน็ การสอนคนรํุนหลังวํา ถ๎าหากคนหน่ึงจับปลาชํอนตวั ใหญํไดห๎ นึ่งตัว ทาอยํางไรจึงจะกินไดท๎ ั้งปี คนสมัยนอ้ี าจจะบอกวํา ทาปลาเค็ม ปลารา๎ หรือเกบ็ รักษาดว๎ ยวธิ กี ารตํางๆ แตํคาตอบที่ถูกตอ๎ ง คือ แบงํ ปน๓ ให๎

พีน่ ๎อง เพื่อนบา๎ น เพราะเม่ือเขาได๎ปลา เขาก็จะทากับเราเชํนเดียวกัน ชีวิตทางสังคมของหมํูบ๎าน มีศูนย๑กลาง อยทํู ีว่ ดั กจิ กรรมของสํวนรวม จะทากนั ที่วัด งานบญุ ประเพณตี าํ งๆ ตลอดจนการละเลนํ มหรสพ พระสงฆ๑เป็น ผู๎นาทางจติ ใจ เปน็ ครทู ส่ี อนลกู หลานผ๎ูชาย ซ่งึ ไปรับใชพ๎ ระสงฆ๑ หรอื \"บวชเรยี น\" ท้งั นีเ้ พราะกอํ นนีย้ ังไมมํ ี โรงเรยี น วดั จงึ เปน็ ทง้ั โรงเรียน และหอประชุม เพื่อกิจกรรมตํางๆ ตํอเมอื่ โรงเรียนมีขนึ้ และแยกออกจากวดั บทบาทของวดั และของพระสงฆ๑ จงึ เปล่ยี นไป งานบุญประเพณีในชุมชนแตํกํอนมีอยูํทุกเดือน ตํอมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมูํบา๎ นรํวมกันจัด หรือ ผลัดเปล่ียนหมุนเวียนกัน เชํน งานเทศน๑มหาชาติ ซึ่งเป็นงานใหญํ หมูํบ๎านเล็กๆ ไมํอาจจะจัดได๎ทุกปี งาน เหลาํ นม้ี ีท้ังความเชื่อ พิธกี รรม และความสนุกสนาน ซ่งึ ชมุ ชนแสดงออกรํวมกนั ระบบคณุ คา่ ความเชื่อในกฎเกณฑ๑ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนด้ังเดิม ความเช่ือนี้เป็นรากฐานของ ระบบคุณคําตํางๆ ความกตัญ๒ูรู๎คุณตํอพํอแมํ ปูุยําตายาย ความเมตตาเอื้ออาทรตํอผู๎อ่ืน ความเคารพตํอส่ิง ศักดิ์สทิ ธิใ์ นธรรมชาติรอบตวั และในสากลจกั รวาล ความเช่ือ \"ผี\" หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ เป็นที่มาของการดาเนินชีวิต ท้ังของสํวนบุคคล และของ ชมุ ชน โดยรวมการเคารพในผีปุูตา หรือผีปูุยํา ซ่ึงเป็นผีประจาหมํูบ๎าน ทาให๎ชาวบ๎านมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เปน็ ลกู หลานของปตูุ าคนเดยี วกัน รักษาปุาที่มีบา๎ นเล็กๆ สาหรับผี ปลูกอยํูตดิ หมํูบ๎าน ผีปาุ ทาให๎คนตัดไม๎ดว๎ ย ความเคารพ ขออนญุ าตเลือกตัดตน๎ แกํ และปลูกทดแทน ไมํท้ิงสิ่งสกปรกลงแมํน้า ดว๎ ยความเคารพในแมํคงคา กินขา๎ วด๎วยความเคารพ ในแมํโพสพ คนโบราณกนิ ข๎าวเสร็จ จะไหว๎ข๎าว พิธีบายศรีสูํขวัญ เป็นพิธีรื้อฟ้ืน กระชับ หรือสร๎างความสัมพันธ๑ระหวํางผ๎ูคน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหมํ ในชุมชน คนปุวย หรือกาลังฟ้ืนไข๎ คนเหลํานี้จะได๎รับพิธีสํูขวัญ เพื่อให๎เป็น สิริมงคล มีความอยูํเย็นเป็นสุข นอกน้นั ยังมพี ธิ ีสบื ชะตาชีวิตของบคุ คล หรือของชมุ ชน นอกจากพิธีกรรมกับคนแล๎ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว๑และธรรมชาติ มีพิธีสูํขวัญข๎าว สํูขวัญควาย สํูขวัญ เกวียน เป็นการแสดงออกถงึ การขอบคณุ การขอขมา พิธีดังกลําวไมํได๎มีความหมายถึงวํา ส่ิงเหลํานี้มีจิต มีผีใน ตัวมันเอง แตํเป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ๑กับจิตและสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ อันเป็นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทา ให๎ผู๎คนมีความสัมพันธ๑อันดีกับทุกส่ิง คนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ที่มาจากหมูํบ๎าน ยังซ้ือดอกไม๎ แล๎วแขวนไว๎ที่ กระจกในรถ ไมํใชํเพ่ือเซํนไหว๎ผีในรถแท็กซ่ี แตํเป็นการราลึกถึงส่ิงศักดิ์สิทธิ์ ใน สากลจักรวาล รวมถึงท่ีสิงอยํู ในรถคันน้ันผู๎คนสมัยกํอนมีความสานึกในข๎อจากัดของตนเอง ร๎ูวํา มนุษย๑มีความอํอนแอ และเปราะบาง หาก ไมรํ กั ษาความสัมพนั ธ๑อนั ดี และไมํคงความสมดลุ กับธรรมชาติรอบตวั ไว๎ เขาคงไมํสามารถมีชวี ิตไดอ๎ ยํางเป็นสุข และยืนนาน ผู๎คนทั่วไปจึงไมํมีความอวดกล๎าในความสามารถของตน ไมํท๎าทายธรรมชาติ และสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ มี ความออํ นนอ๎ มถอํ มตน และรกั ษากฎระเบยี บประเพณอี ยาํ งเครงํ ครดั

ชีวิตของชาวบ๎านในรอบหนึ่งปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเชื่อ และความสัมพันธ๑ ระหวํางผู๎คนในสังคม ระหวํางคนกับธรรมชาติ และระหวํางคนกับส่ิงศักดิ์สิทธ์ิตํางๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานท่ีเรียกวําฮตี สิบสอง คือเดอื นอา๎ ย (เดือนท่ีหน่ึง) บญุ เข๎ากรรม ให๎พระภิกษุเข๎าปริวาสกรรมเดือน ย่ี (เดือนที่สอง) บุญคูณลาน ให๎นาข๎าวมากองกันท่ีลาน ทาพิธีกํอนนวด เดือนสาม บุญข๎าวจี่ ให๎ถวายข๎าวจ่ี (ข๎าวเหนียวป๓้นชุบไขํทาเกลือนาไปยํางไฟ)เดือนสี่ บุญพระเวส ให๎ฟ๓งเทศน๑มหาชาติ คือ เทศน๑เร่ืองพระ เวสสันดรชาดก เดือนห๎า บุญสรงนา้ หรือบุญสงกรานต๑ ให๎สรงนา้ พระ ผู๎เฒาํ ผ๎แู กํ เดือนหก บญุ บ้ังไฟ บูชาพญา แถน ตามความเช่ือเดิม และบุญวิสาขบูชา ตามความเช่ือของชาวพุทธ เดือนเจ็ด บุญซาฮะ (บุญชาระ) ให๎บน บานพระภูมิเจ๎าที่ เล้ียงผีปูุตา เดือนแปด บญุ เข๎าพรรษา เดือนเก๎า บุญข๎าวประดับดิน ทาบุญอุทิศสํวนกุศลให๎ ญาติพี่น๎องผ๎ูลํวงลับ เดือนสิบ บุญข๎าวสาก ทาบุญเชํนเดือนเก๎า รวมให๎ผีไมํมีญาติ (ภาคใต๎มีพิธีคล๎ายกัน คือ งานพิธีเดือนสิบ ทาบุญให๎แกํบรรพบุรุษผู๎ลํวงลับไปแล๎ว แบํงข๎าวปลาอาหารสํวนหน่ึงให๎แกํผีไมํมีญาติ พวก เดก็ ๆ ชอบแยํงกนั เอาของทีแ่ บํงใหผ๎ ไี มํมีญาตหิ รือเปรต เรียกวาํ \"การชงิ เปรต\") เดอื นสบิ เอด็ บุญออกพรรษา เดอื นสบิ สอง บุญกฐิน จัดงานกฐิน และลอยกระทง ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านในสังคมป๓จจุบันภูมิป๓ญญาชาวบ๎านได๎กํอเกิด และสืบทอดกันมาในชุมชนหมํูบ๎าน เมื่อหมูํบ๎านเปล่ียนแปลงไปพร๎อมกับสังคมสมัยใหมํ ภูมิป๓ญญาชาวบ๎านก็มีการปรับตัวเชํนเดียวกัน ความรู๎ จานวนมากได๎สูญหายไป เพราะไมํมีการปฏบิ ัตสิ ืบทอด เชนํ การรักษาพ้ืนบ๎านบางอยําง การใช๎ยาสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาที่เกํงๆ ได๎เสียชีวิต โดยไมํได๎ถํายทอดให๎กับคนอ่ืน หรือถํายทอด แตํคนตํอมาไมํได๎ปฏิบัติ เพราะชาวบ๎านไมํนิยมเหมือนเม่ือกํอน ใช๎ยาสมัยใหมํ และไปหาหมอ ท่ีโรงพยาบาล หรือคลินิก งํายกวํา งาน หันตถกรรม ทอผ๎า หรือเครื่องเงิน เคร่ืองเขิน แม๎จะยังเหลืออยูํไมํน๎อย แตํก็ได๎ถูกพัฒนาไปเป็นการค๎า ไมํ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบด้ังเดิมไว๎ได๎ ในการทามาหากินมีการใช๎เทคโนโลยีทันสมัย ใช๎รถไถแทน ควาย รถอแี ตน๐ แทนเกวยี น การลงแขกทานา และปลูกสร๎างบ๎านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ๎างงานกันมากข้ึน แรงงานก็หา ยากกวําแตํกํอน ผ๎คู นอพยพย๎ายถ่ิน บา๎ งก็เข๎าเมือง บา๎ งก็ไปทางานท่ีอน่ื ประเพณีงานบญุ ก็เหลือไมํมาก ทาได๎ ก็ตํอเม่ือ ลูกหลานท่ีจากบ๎านไปทางาน กลับมาเยี่ยมบ๎านในเทศกาลสาคัญๆ เชํน ปใี หมํ สงกรานต๑ เข๎าพรรษา เปน็ ต๎น สงั คมสมยั ใหมมํ รี ะบบการศึกษาในโรงเรียน มีอนามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วทิ ยุ โทรทัศน๑ และ เครื่องบันเทิงตํางๆ ทาให๎ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมูํบ๎านเปล่ียนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ๎าหน๎าที่ราชการ ฝาุ ยปกครอง ฝาุ ยพัฒนา และอนื่ ๆ เขา๎ ไปในหมํูบ๎าน บทบาทของวัด พระสงฆ๑ และคนเฒําคนแกํเริ่มลดน๎อยลง การทามาหากินก็เปลี่ยนจากการทาเพ่ือยังชีพไปเป็นการผลิตเพื่อการขาย ผ๎ูคนต๎องการเงิน เพ่ือซ้ือเคร่ือง บริโภคตํางๆ ทาให๎ส่ิงแวดล๎อม เปลี่ยนไป ผลิตผลจากปุาก็หมด สถานการณ๑เชํนน้ีทาให๎ผ๎ูนาการพัฒนาชุมชน หลายคน ท่ีมีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เริ่มเห็นความสาคัญของภมู ิป๓ญญา

ชาวบา๎ น หนํวยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให๎การสนับสนุน และสํงเสริมให๎มีการอนุรักษ๑ ฟ้นื ฟู ประยุกต๑ และค๎นคดิ สิ่งใหมํ ความร๎ใู หมํ เพอ่ื ประโยชนส๑ ขุ ของสังคม

1 บายศรี ความเปน็ มาและความสาคญั ของการทาบายศรี บายศรี เปน็ ของสงู เป็นสงิ่ ท่ีมีคําของคนไทย ตงั้ แตโํ บราณมาจนถงึ ปจ๓ จุบันนับตง้ั แตํเกดิ จะจดั พธิ ีสังเวย และทาขวญั ในวาระตาํ งๆ ซ่ึงจะตอ๎ ง มบี ายศรเี ปน็ ส่ิงสาคญั ในพิธนี นั้ ๆ ซงึ่ เป็นศาสนาพิธีของพราหมณ๑ คาวาํ บาย ภาษาเขมร แปลวํา ข๎าวสุก บาย ภาษาถิน่ อีสาน แปลวํา จบั ต๎อง สมั ผัส ศรี เปน็ คามาจากภาษา สนั สกฤตตรงกบั ภาษาบาลี วํา สิริ แปลวํา มงิ่ ขวญั คาวํา “ บายศรี ” แปลวํา ข๎าวขวญั หรอื ส่งิ ท่ี นําสมั ผัส กบั ความดงี าม (ความหมายของชาวอสี าน) บายศรี ตามพจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน แปลวํา ขา๎ วอัน เป็น สริ ิ ,ขวัญขา๎ ว หรอื ภาชนะใสเํ คร่อื งสงั เวยในโบราณมีการเรยี กพธิ สี ขํู วญั วํา บาศรี เหตทุ ี่เรยี กวํา บาศรี เนอ่ื งมาจากเป็นพิธีสาหรับ บุคคลชนั้ เจ๎านายผใ๎ู หญํทากัน จงึ มคี าวาํ บา อยดํู ๎วย “บา” ในภาษาโบราณอีสาน ใชเ๎ ปน็ คานาหนา๎ เรยี กเจา๎ นาย เชํน บาท๎าว บาบําว บาคราญ เป็นตน๎ สวํ นคาวาํ ศรี หมายถงึ ผู๎หญิงและสิ่งท่ี เปน็ สิริมงคล บาศรี จงึ หมายถงึ การทาพธิ ีทเี่ ป็นสิรมิ งคลแตํป๓จจบุ นั น้ี คาวํา บาศรี ไมํคอํ ยนยิ มเรยี กกันแล๎ว มกั นิยมเรียกวาํ บายศรี เป็นสํวนมาก ประวัติความเปน็ มาของพธิ บี ายศรีสขู่ วญั กลาํ วกนั วําพธิ ีบายศรสี ขํู วญั มาพรอ๎ มกบั พราหมณ๑ทมฬิ ชานอินเดียทอี่ พยพมาสูํสวุ รรณภมู ิ หนงั สือเกาํ ท่ีพบซงึ่ ออกในสมยั พระเจา๎ อทํู องกลําวไว๎วํา บายเป็นภาษาเขมรแปลวาํ ขา๎ ว ขา๎ วอันเปน็ สิริมงคล ข๎าวขวัญ กลําวคอื ข๎าวทห่ี งุ ปรงุ รสโอชาอยํางดีเหมาะสมทจ่ี ะเปน็ เครื่องสังเวยให๎เทวดาโปรด พิธีใดเปน็ พธิ ีเทวดาโดยตรง หรอื ตอ๎ งการทจ่ี ะอัญเชิญเทวดามาเปน็ ประธาน ตอ๎ งหาของสงั เวยทีด่ ีและมีสสี ะดดุ ตา ชาวทมิฬจึงมเี คล็ดลบั ความเช่ือในขา๎ วทย่ี ๎อมสตี ามสปี ระจาองคเ๑ ทวดา รวมถึงใช๎สลี อํ เทวดาฝุายรา๎ ยใหไ๎ ปรวมตาํ งหากไมํให๎มาทา อปั มงคลใหโ๎ ทษแกมํ ณฑลพธิ แี ละบุคคล ซง่ึ ขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยกับทมิฬไดม๎ คี วามเป็นมาอยําง เดียวกัน เนอื่ งจากไดม๎ กี ารถาํ ยทอดวัฒนธรรมตาํ ง ๆแกํกนั โดยเฉพาะอยํางย่งิ พิธีบวงสรวงเทวดา มีขนมตม๎ ขาว มะพร๎าวอํอน กล๎วย ข๎าวยอ๎ มสี เชํนขา๎ วเหนยี วดา ขา๎ วเหนียวแดง กน็ ามาใชใ๎ นพิธไี ทยอยาํ งชัดเจน นอกจากนภ้ี าชนะบายศรีตองเป็นกระทงทส่ี าหรบั บรรจอุ าหาร ภายหลังเอาพานซ๎อนกนั ขน้ึ ไปแล๎วเอาของตง้ั บนปากพาน เมอ่ื มกี ารถาํ ยทอดมาที่ประเทศไทย ซง่ึ มศี ลิ ปศาสตร๑ทีเ่ จรญิ ขึน้ กระทงใบตองก็ถูก ประดิดประดอยใหส๎ วยงามเป็นกระทงเจมิ ซงึ่ ประดบั ประดาตกแตงํ ที่ปากกระทงให๎มคี วามงดงามมีกระจงั มี ยอดแหลมตามศลิ ปะแบบไทย ๆ พิธบี ายศรีสํขู วญั หรอื หลายท๎องถ่ินในภาคอสี านจะเรยี กวําสูขํ วัญหรือสูดขวญั ตามความเชอ่ื ของคน ไทยเชื่อกันวําคนท่เี กิดมามขี วัญประจากายมีหนา๎ ท่ใี นการพิทกั ษร๑ กั ษา ขวญั เป็นเหมือนพีเ่ ลยี้ งทคี่ อยดูแล ประคับประคองชีวิต คอยเลยี้ งดู และตดิ ตามไปทกุ หนทุกแหงํ เปน็ สิ่งไมํมตี ัวตนคล๎ายจิตหรือวญิ ญาณแฝงอยํู ในตัวคนและสตั ว๑ ซึ่งขวัญตามความเชือ่ ทางพระพทุ ธศาสนาเชอ่ื วาํ ในราํ งกายเรามี 2 สิง่ รวมกนั คอื ราํ งกาย และจิตใจหรอื ขวญั

2 ขวญั คอื ความรูส๎ ึก ถ๎าขวญั ของผใ๎ู ดอยกํู บั ตัว ผูน๎ ้นั จะมคี วามสขุ กายสบายใจเป็นปกติ แตถํ า๎ ขวญั ของผใู๎ ด หลบลี้หนีหาย ผูน๎ นั้ จะมลี กั ษณะอาการตรงกนั ขา๎ ม คนไทยจงึ เชอ่ื วําพธิ สี ํูขวัญเปน็ พิธีหน่ึงทีจ่ ะชํวยสํงเสริมเพม่ิ พลังใจใหเ๎ ขม๎ แข็ง เมอื่ มีขวญั ท่มี ัน่ คง พลงั ใจท่ี เข๎มแขง็ ดแี ล๎ว ยํอมสํงผลใหก๎ ารประกอบภารกิจหนา๎ ทน่ี ั้น ๆ บรรลุผลสาเรจ็ ไดต๎ ามความมุงํ หมาย ซ่ึงให๎กาลงั ใจ กันเม่ือมคี วามทกุ ข๑ใจ หรือเสริมใหม๎ คี วามสขุ ย่ิง ๆขึ้นไปเมอ่ื มีความสขุ ความพอใจอยแูํ ลว๎ กส็ ามารถทาได๎ การ ทาพิธสี ขํู วญั อาจทาไดท๎ ัง้ พธิ ีทางพระพุทธศาสนาและพธิ ที างศาสนาพราหมณ๑ ซ่งึ ป๓จจบุ ันกย็ งั คงยึดถอื ปฏบิ ัติสืบ ตอํ กนั มา พิธีกรรม 1 องค์ประกอบของพธิ กี รรม 1.1 พานบายศรี ประเภทของบายศรี พานบายศรี หรือ บายศรีโดยทั่วไปแบงํ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญคํ อื 1. บายศรีพิธีหลวงหรอื บายศรีหลวง หรอื บายศรีของหลวง บายศรพี ิธกี รรม (ทีม่ า : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=38&chap=2&page=t38-2-infodetail03.html ) โดยทั่วไปบายศรีของหลวงมี 3 ชนดิ คอื ก. บายศรสี ารบั เล็ก มีช้นั บายศรีแกว๎ บายศรที องบายศรเี งินซ๎อนกนั 3หรอื 5 ชนั้ ขนาดเลก็ ตง้ั บายศรีแกว๎ ไวต๎ รงกลางทอง ทางขวาเงินทางซา๎ ยของผูร๎ ับทาขวญั ซ่งึ ในแตํละชั้นจะจดั วางสารับคาวหวาน ประดับประดาด๎วยดอกไมม๎ งคล ใชใ๎ นพธิ กี ารทาขวญั เลก็ ๆเทาํ นน้ั

3 บายศรปี ากชาม ปจ๓ จบุ ันนยิ มวางบนพานแทนชาม (ที่มา : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=38&chap=2&page=t38-2-infodetail03.html ) ข. บายศรสี ารบั ใหญ่ มลี ักษณะเหมือนบายศรีสารับเลก็ แตมํ ขี นาดใหญํกวาํ เพราะใช๎ในพธิ ใี หญํ (ท่มี า : https://sites.google.com/site/kmsaengthammnat/prawati-khwam-pen-ma ) ค. บายศรตี องลองทองขาว คือบายศรใี หญํใช๎แปนู ไม๎แกนไม๎เปน็ ทองคาขาวสูง7ช้นั องคบ๑ ายศรีจะตกแตงํ ดว๎ ยใบตองจัดอยํางสวยงามใช๎ เฉพาะในพระราชพธิ สี มโภชขนาดใหญํ

4 บายศรแี กว้ ทอง เงนิ (ทม่ี า : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=38&chap=2&page=t38-2-infodetail03.html ) 5บายศรพี ธิ ีราษฎร์ แบํงตามลักษณะองคบ๑ ายศรีได๎ 2 ประเภทคอื 1. บายศรีพิธีราษฎรช์ ดุ เลก็ ไดแ๎ กํ บายศรปี ากชามกับบายศรตี อ บายศรีตอ (ท่มี า : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=38&chap=2&page=t38-2-infodetail04.html

5 2. บายศรพี ิธีราษฎรช์ ดุ ใหญ่ ไดแ๎ กํ บายศรเี ทพ และบายศรพี รหม บายศรพี รหม (ท่ีมา : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=38&chap=2&page=t38-2-infodetail04.html ) 1. บายศรพี ิธรี าษฎร์ชดุ เลก็ ก. บายศรปี ากชาม ลักษณะรูปราํ งจะไมใํ หญํโตมากนักเปน็ บายศรีชั้นเดยี ว วธิ กี ารทา หาชามงามๆมา1ใบไมมํ ฝี านาใบตองหรอื ทางมะพร๎าวมาจบั จีบพบั ม๎วนกลมเป็นรปู กรวยแหลม ทับกนั สามแผนํ พบั หรือห๎าแผนํ พับ เจด็ แผนํ พับตามแตํจะทาเปน็ สามชดุ ใสเํ รียงในปากชามและมดี อกพุด หรอื ดอกมะลิ หรือดอกบานไมรํ ๎ูโรยกไ็ ด๎เสยี บยอดสวํ นมากนยิ มดอกมะลติ ดั ใบตองเป็นรปู แมงดา 3 ตวั และทา บายศรี 3 ชั้นวางรอบกรวยแหลมตดั เจยี นใบตองเปน็ แผํนวาํ งปากชามสลบั ไว๎ตามชํองวํางบายศรี 3 แผนํ ตรง กลางใช๎ใบตองทาเป็นกรวยแหลมภายในใสขํ า๎ วสุก ปากหมอ๎ ไว๎ข๎าวสกุ ปากหมอ๎ คือข๎าวทีส่ กุ ใหมํยงั ไมมํ ีใครตัก เอาไปและท่ยี อดแหลมปลายกรวยจะมกี า๎ นไม๎ปลายแหลมป๓กไว๎เพือ่ เสยี บไขํเปด็ ทต่ี ม๎ สุกแล๎วไขนํ ้เี รียกวํา ไขํ ขวญั และจดั กลว๎ ย น้า แตงกวา ขนม เชํน ฝอยทองวางเป็นกองๆบนใบตองทีเ่ ป็นรปู แมงดานั้นเอาดอกไม๎เสยี บ บายศรี 3 ช้นั เอาดา๎ ยสายสิญจนข๑ นาดผูกข๎อมือได๎พาดตามขนมบายศรจี นครบ เรยี กวาํ บายศรีปากชาม ข. บายศรีตอ จะมีลกั ษณะกรวยแกนกลางเป็นหยวกกลว๎ ยสูงประมาณ1ฟุตมีพานรองฐานตกแตํงนํงุ บายศรี ดว๎ ยใบตองพับจับจีบใบตอง ให๎เป็นยอดเเหลมเหมือนบายศรีตน๎ ใช๎ไมเ๎ หลาแหลมเสยี บป๓กตวั บายศรที ย่ี อดตอก กลว๎ ยท่ีตดั ไว๎ และดอกไมม๎ งคลเป็นทรงบวั คว่าหรือบัวหงายและโดยท่ัวๆไปตัวองคบ๑ ายศรีจะมีชนั้ เดียวแตจํ ะมี องค๑ลูกเป็นชั้นๆรอบองคแ๑ มํ และจะนาผลไมม๎ าวาํ งสังเวยไว๎ในบริเวณชอํ งวํางระหวาํ งองค๑แมกํ ับองคล๑ ูก ใน กรวยใสํขา๎ วสุกปากหมอ๎ และเอาไขเํ ป็ดตม๎ สกุ เสียบยอดกรวย เหมอื นบายศรปี ากชามหรือใชด๎ อกไม๎สดเสยี บ ยอดกรวยแทนไขเํ ป็ดตม๎ สุกก็ได๎

6 2. บายศรพี ธิ รี าษฎร์ชุดใหญ่ ก. บายศรเี ทพ เปน็ บายศรที รงสูงรองฐานด๎วยพานแบํงองคบ๑ ายศรีออกเป็น3หน๎าโดยแบํงตามสดั สวํ นของฐานเทําๆกนั การนุงํ องคก๑ ็แล๎วแตํชั้นขององคแ๑ มแํ ละองคล๑ กู แตจํ ะหํางชวํ งกนั เทาํ กัน2เชํน 9-7,7-5หรอื 5-3และบริเวณชํอง วางระหวํางองค๑แมแํ ละองค๑ลกู ก็จะใสอํ าหารกบั ขา๎ วตอกดอกไมไ๎ วเ๎ หมือนกบั บายศรีปากชาน วิธีการทาพับ ใบตองเป็น ยอด เเหลมยาวทาเป็น 9 พับซงึ่ ชาํ งทาบายศรีชอบเรยี กกนั วํา 9 หนมุํ พบั ทับกันแล๎สสงู ถงึ เก๎าน้ิว ยอดแหลมปก๓ ดอกมะลิห๎าชดุ วางในวงกลมพานเป็นรูปบวั หงายใช๎ใบตองทาเป็นกรวยแหลม(ไมตํ อ๎ งใสํข๎าวสกุ ปากหม๎อ)ยอดกรวยแหลมเสยี บดว๎ ยดอก บัวฉตั ร บายศรเี ทพใชใ๎ นงานบายศรสี ขํู วญั ข. บายศรพี รหม มลี กั ษณะคลา๎ ยบายศรเี ทพแตํจะมี 4 หน๎า นยิ มใหจ๎ านวนชน้ั ขององค๑แมเํ ปน็ 16 องคล๑ ูกเป็น 11ซง่ึ วํากันวําเป็น รปู แบบทสี วยงามมาก วธิ ีการทา พับใบตองเป็นยอดแหลมยาวเหมอื นบายศรีเทพ16 พบั ซอ๎ นกันปลายยอดแหลมก็ปก๓ ดอกมะลิ หรือดอกบานไมรํ ู๎โรยหรอื ดอกดาวเรอื ง ทาเปน็ สีช่ ดุ วางรอบในพาน ทง้ั ตัง้ ขน้ึ และหงายลง (ท่ีทาเป็นสช่ี ุดคงจะ หมายถึงพรหมส่หี นา๎ )ตรงกลางพานใชใ๎ บตองทากรวยแหลม(ไมใํ สขํ ๎าวสกุ ปากหม๎อ)ป๓กดอกไม๎ทีย่ อดกรวย บายศรีประเภทอนื่ ๆ ก. บายศรใี หญห่ รือ บายศรชี ั้น นาใบตองมาหักพนั ให๎มยี อดแหลมอยํางยอดกระทงเจิมไวห๎ ลายๆอันถา๎ ไมํมใี บตองให๎ใช๎ใบไมท๎ ม่ี ีลายเป็นสี ตาํ งๆหรอื ใบพลแู ทนกไ็ ดใ๎ บตองทพ่ี บั เปน็ ยอดแหลมนใี้ หก๎ ๎นชนกันเปน็ คูๆํ แล๎วทาใหโ๎ ค๎งเป็นวงกลมๆอยํางวง กาไลมขี นาดเทําๆกนั เม่อื ทาให๎โค๎งแลว๎ ใหเ๎ อายอดแหลมที่ยนื่ ไปท้งั ขา๎ งบนและข๎างลาํ งนี้ตรึงรอบขอบไมแ๎ ปูนท่ี เปน็ รปู วงกลมตรงกลางเจาะรูใช๎ไมย๎ าวเปน็ แกนวางไม๎แปูนเป็นวงซ๎อนกนั เปน็ ชัน้ ๆในระยะหํางพอสมควรไม๎นี้ วางให๎ไดข๎ นาดตัง้ แตํ ใหญํ กลาง เล็กเรยี งขน้ึ ไป 5 ชัน้ จะทา 3ชัน้ 7 ชน้ั หรือ 9 ชนั้ กไ็ ด๎ แตํ9 ชน้ั ใหญเํ กนิ ไป เขาไมนํ ยิ มทากนั นอกจากพธิ ีนน้ั เปน็ พธิ พี ิเศษจริงๆไมํนยิ มทาช้นั เป็นจานวนคูํชั้นเหลํานี้ ใชว๎ างอาหารขนม ผลไม๎ สาหรับเลยี้ งขวัญบนยอดของบายศรีใหญตํ งั้ ชามหรอื โถขนาดเลก็ โดยมากมกั ใชช๎ ามเบญจรงค๑หรือขัน งามๆประดับด๎วยพมํุ ดอกไม๎ตํอจากนั้นก็เอาบายศรีปากชามไวบ๎ นชั้นยอดของบายศรีใหญํอกี ทหี นึง่ บายศรีใหญนํ ถี้ า๎ ทาอยํางดีมากจะต๎องแกะสลกั เป็นรปู ตุก๏ ตาซึ่งเป็นเครอื่ งละครทรี่ ๎จู กั กันแกะสลกั เปน็ ลวดลาย งดงามประดบั ตามช้ันของบายศรีบางแหงํ บายศรีใหญใํ ชไ๎ ม๎ไผสํ กุ ผําซีก3ซีกพันด๎วยผ๎าขาวเอาวางรอขา๎ งบายศรี ผูกเปน็ สามเปลาะเพื่อไมใํ หโ๎ งนเงน แลว๎ เอาใบตองอํอน3ยอดประทบั ปิดซีกไม๎ตอํ จากนัน้ ก็เอาผา๎ ดมี รี าคาเชนํ ผา๎ ตาดคลุมรอบบายศรอี กี ชั้นหนงึ่ เรยี กวําผ๎าหอํ ขวญั เคร่ืองประกอบบายศรีใหญํ มขี ันปก๓ แวํนโลหะสาหรบั เวียนเทยี นสามใบ ใสขํ ๎าวสารแล๎วเอาแวํนเวียน เทยี น ปก๓ ไวข๎ ันละ5แวนํ ตดิ เทียนแวํนละ3เลํมป๓กบนเชิง เรียกวาํ เทยี นชัย บางแหํงมเี ลํมเดียวและตอ๎ งหา ภาชนะใสนํ ้ามนั หอมสาหรบั ควกั ปาู ยใสํเทียน ที่แวํนพานใสํใบพลวู างซอ๎ นกนั ได๎ผูกข๎อมอื หลายเส๎นสาหรบั ใสํ วางลงในพานรองใบพลู มะพร๎าวออํ นปอกเปลอื ก เฉาะปากรองพานมชี ๎อนสาหรบั ตักด๎วยบางทอี าจมหี วั หมู

7 โต๏ะเงินสาหรบั เครอ่ื งอาหารตํางหาก สํวนมากภาชนะท่ีใสแํ วํนเวียนเทยี นน้ีมักใชจ๎ านวนสามคือ แกว๎ ทอง เงนิ เรียกวาํ บายศรีแกว๎ บายศรที อง บายศรีเงนิ ข. บายศรตี น้ มีไม๎ตงั้ เป็นหลกั แกนกลางป๓กไวต๎ รงกลางแปนู ไม๎ แผนํ ใหญํ ไม๎แปนู นี้ทาเปน็ วงกลมหรอื เปน็ เหลย่ี มก็มีวาง ตง้ั ไว๎เพื่อมใิ หล๎ ๎ม และยงั แปูนไมเ๎ ป็นรูปวงกลมวางเป็นชนั้ ๆ ช้ันใหญํอยูลํ าํ ง ชัน้ เลก็ อยูํบน เลก็ สอบขน้ึ ไป ตามลาดบั เเปูนไม๎วงกลมแผนํ เลก็ สดุ อยชํู ัน้ บน ทาเปน็ สามชน้ั ห๎าชน้ั เจ็ดชน้ั เกา๎ ชัน้ ทท่ี าชนั้ ตํางๆกันชํางทา บายศรกี ็ทาตามความประสงคข๑ องผจ๎ู ัดทาใบตอง ที่ทาบายศรี ชาํ งทาบายศรีกจ็ ับจีบพดั ใบตองให๎เเหลมเป็น สามเหล่ยี มยาวซอ๎ นกันหา๎ เเผํนพบั หรือเจด็ แผํนพบั หรือเก๎าแผนํ พับ สดุ แทแ๎ ตชํ าํ งจะทาให๎ทางแหลมหงายขึน้ ตดิ รอบแปูนไม๎แผนํ กลม และทางแหลมหงายลงติดรอบแปนู ไมแ๎ ผํนกลมเหมอื นบัวคว่าบวั หงาย ทาอยํางนี้ เหมอื นกันทกุ ช้ันปลายยอดแหลมของบายศรี ที่หงายขน้ึ และหงายลงก็นยิ มใช๎ดอกพดุ หรือดอกมะลิเสียบท่ี ปลายยอดแหลมทุกยอด หากไมมํ ดี อกมะลิกใ็ ช๎ดอกบานไมรํ ๎ูโรย สแี ดงหรอื สีชมพูเสยี บปลายยอดแหลมแทน ดอกมะลิ รอบวงกลมของแปนู บายศรีก็จะประดับดว๎ ยดอกไมด๎ อกใหญํเชนํ ดอกเบญจมาศ หรอื ดอกดาวเรือง หรอื ดอกบวั ท่พี ับกลีบแลว๎ ใชด๎ อกรักหรือดอกมะลริ อ๎ ยเป็นพวงอุบะปลายอบุ ะกเ็ ป็นดอกกุหลาบแดงหรือดอก ดาวเรือง หรอื ดอกจาปี พวงอุบะก็ตดิ กบั ปลายยอด บายศรีทหี่ งายลงและเเปนู บายศรีแผํนกลมช้ันทอ่ี ยูสํ ูงสุดก็ จะมบี ายศรีปากชานวางไวท๎ ี่ต๎นบายศรกี จ็ ะมีไมไ๎ ผํสามดนั ขนาบ อยํสู ามดา๎ นโดยมีสายสญิ จน๑พนั รอบตน๎ บายศรี สามเปลาะ ไมไ๎ ผํสามอนั ที่ขนาบบายศรนี ้ัน แตโํ บราณมากน็ ยิ มใชไ๎ ม๎ไผสํ สี กุ เม่ือหาไม๎ไผสํ สี กุ ไมไํ ดจ๎ งึ จะใช๎ไมไ๎ ผํ ชนิดอื่นๆแทน บายศรีตน๎ นิยมใช๎ทาขวัญนาคมากขึน้ หรือบางคนกเ็ รยี กทาขวัญนาค วําสํขู วัญนาค หรือเชญิ ขวญั นาคแตํ สํวนใหญํ มกั เรยี กกนั วําทาขวัญนาคบายศรตี ๎นท่ีใชใ๎ นงานทาขวญั นาคสวํ นมากใชบ๎ ายศรหี า๎ ชัน้ และมเี ครอ่ื ง สงั เวย ในทุกชอํ งชั้นของบายศรสี วํ นบายศรีตน๎ สามชน้ั นิยมทากนั ในงานขวญั จุกและบายศรตี ๎นเจด็ ชั้นนยิ มใช๎ ในงานทาขวัญนาคท่เี จา๎ นาคจะบวชนั้น เปน็ ข๎าราชการบายศรีต๎นเก๎าชนั้ นยิ มใช๎ทาสาหรับทาขวัญนาคทเ่ี ป็น ลูกหลานเจา๎ พระยาหรอื ผู๎มีบรรดาศักดิส์ ูงเเละปจ๓ จบุ นั น้ีเจ๎าพระยาหรือผูม๎ บี รรดาศักดสิ์ งู ก็ไมํมอี กี แล๎วแตํ บายศรีต๎นทกุ ช้ันกน็ ามาใช๎ในงานขวญั รํางทรงเทพ พานบายศรีทพ่ี บเหน็ ในปจั จบุ ัน บายศรสี ขํู วญั ภาคเหนอื บายศรชี ้นั เดยี วขนาดใหญํ จดั ประดษิ ฐ๑ในขนั น้าพานรอง ใช๎ในพิธสี ขํู วัญของชาว ภาคเหนือประกอบด๎วย ตวั บายศรี 6 ตัว และดอกไม๎ใบไมม๎ งคลสสี นั สดใส บายศรีสขูํ วัญภาคอีสาน บายศรีขนาดใหญํ จดั ประดษิ ฐใ๑ สํในภาชนะขนาดใหญเํ ชนํ โตกโดยซ๎อนเรยี งกนั 3 ชนั้ ใช๎ในพิธีสํขู วญั ของชาวอสิ านประกอบด๎วย ตวั บายศรีชนั้ ละ 6 ตวั แตํละชนั้ จะลดหลน่ั กนั พองาม ช้ันบน มพี มํุ ยอดบายศรี บายศรตี อ บายศรีชน้ั เดียว ใช๎ในงานพธิ บี วงสรวง สงั เวยบูชาครูชํางแขนงตาํ งๆ ประกอบด๎วย หยวกกล๎วยสาหรับทาบายศรี ตวั บายศรี แมงดา เขม็ ขดั กรวยขา๎ ว ไขํตม๎ และกลว๎ ยนา้ วา๎ บายศรปี ากชาม บายศรขี นาดเลก็ ใชใ๎ นงานพธิ ีบวงสรวง สงั เวย และอาจใชต๎ ้ังเปน็ สวํ นประกอบบนช้นั ยอดของบายศรีใหญํ

8 ประกอบดว๎ ยตัวแมงดา กรวยใสขํ ๎าว กล๎วยนา้ ว๎าผาํ สามเสา๎ และไขํต๎มบนยอดกรวยบวงสรวง บายศรีตน๎ 3 ชั้นใชเ๎ ป็นเคร่อื งสมโภช สังเวยในพิธมี งคลตาํ งๆ หรอื สูขํ วญั ในพิธสี มรสของชัน้ หลานเจา๎ นายฝุาย เหนอื ใช๎ใบตองพับเป็นกลีบหน๎านาคตดั กบั ต๎นกล๎วยเป็น 3 ชน้ั คาดเขม็ ขัดมาลยั แบน ตกแตงํ ด๎วยดอกไม๎สด บายศรีสขูํ วัญบางกอกบายศรีขนาดใหญํ จดั ประดิษฐ๑ในภาชนะรูปพานซ๎อนกนั 5 ชนั้ ใชใ๎ นพิธีสขํู วัญ สมโภช ของชาวภาคกลาง ประกอบดว๎ ยตวั บายศรีชัน้ ละ 5 ตวั แตลํ ะชน้ั ลดหลั่นกนั มพี มุํ กรวยยอดบายศรี ตกแตงํ ด๎วย ดอกดาวเรือง บางทีเรียกวําบายศรดี าวเรืองบายศรีพรหมบายศรีชั้นเดยี วขนาดใหญํ ใช๎ในพระราชพธิ ีตํางและ พธิ ขี องราษฎร สาหรบั เป็นเครอื่ งสังเวยบชู าครูบาอาจารยช๑ นั้ พรหม ประกอบดว๎ ยตัวบายศรีชัน้ ขนึ้ 4 ตัว ลง 4 ตัว มีกรวยใสขํ า๎ วและดอกไม๎มงคลบายศรีเทพบายศรีชน้ั เดียวขนาดใหญทํ รงพุํม ใชใ๎ นพระราชพิธตี ํางๆและ พธิ ีของราษฎร สาหรบั เป็นเคร่ืองบวงสรวง สงั เวยบูชาเทวาอารกั ษ๑ ซ่ึงประกอบไปด๎วยตัวบายศรีเป็นทรงพุํม และดอกไม๎ทมี่ ชี ่ือเปน็ มงคลบายศรสี ขํู วัญกาแพงเพชรบายศรีขนาดใหญํ จดั ประดิษฐใ๑ นภาชนะเคร่ืองปน้๓ ดนิ เผา ใชใ๎ นพิธีสขํู วัญ สมโภช และบูชาพระบรมธาตุ ประกอบด๎วยตวั บายศรี และกาแพงแก๎วทกุ ช้ัน ดอกไม๎ใบไม๎ มงคลบายศรตี น๎ 7 ช้นั ใช๎สาหรับเจา๎ นายชน้ั เจ๎าฟูา และพระราชอาคนั ตุกะชัน้ ประธานาธบิ ดี เรียกอกี ช่ือหนงึ่ วํา บายศรตี น๎ กลีบหน๎านาคแตํละชน้ั จะประดบั ดว๎ ยดอกบัวใชใ๎ นพธิ ีสมโภชพระพุทธรปู บายศรตี ๎น 9 ชั้นใช๎สาหรับ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยํหู ัว และสมเด็จพระนางเจา๎ พระบรมราชินนี าถในพธิ ีหรอื พระราชพธิ ที ่เี ปน็ มงคล ตํางๆ ในภาพเปน็ บายศรกี ลบี บัวหลวง ตกแตํงดว๎ ยอุบะ ดอกจาปาฐานเปน็ ฟ๓กทองแกะสลัก บายศรีตน๎ 5 ชัน้ ใชใ๎ นพธิ ีตาํ ง ๆ สาหรับเจา๎ นายทที่ รงกรมหรอื เสนาบดบี ายศรีต๎นน้ีเป็นบายศรีที่เรยี กอีกอยาํ งหนงึ่ วาํ บายศรี ตองรองทองขาว ซึง่ แตลํ ะชัน้ ของบายศรจี ะบรรจุด๎วยขนมหวานหรือดอกไมท๎ ี่มีชื่อเปน็ มงคล บทสวดส่ขู วญั และโอกาสในการจัดพิธกี รรม บทสวดสูข่ วัญ ก. คาไหวพ้ ระ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ ( 3 ครัง้ ) สาธุ ธปู ะ ทีปะ คนั ธมาลา อัคคที ฆิ ัง พฆุปุปฝง๓ สคุ นธงั วะรัง ปเู ชมะ ชเิ น กัตตวา สติ กิ ปั ปก๓ โก ติโย อภิรูโป มหาป๓ญโญ ปุรปิ ๓ญโญ ทาเรนโด ปติ ก ตยั ยงั นพิ พานงั ปรมัง สขุ ัง พุทธะบูชา เตชะวนั ดา ธรรมบชู า ปญ๓ ญาวัน ตา สงั ฆบชู า โภคควันตา ตนิ นงั รตั ตานานงั วรัง ปเู ชมะ ยงั ยงั ชะนะปะทัง ญาติมกิ ขัง มริ า ลัททาปโิ ย ลพั พ ถะ ปชู โิ ต โหติ สัพพะ โสภี ภวนั ตเุ ต ข. การป่าวเทวดา สัคเคกาเมจะรเู ป ศิริสิขะระตะเต จนั ทะริกเข วิมาเน ทเี ปรตั เถจะ คาเม ตะรวุ ะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิเขตเต พรหมมา จะยนั ตุเทวา สะระถะระวสิ ะเม ยังคะคันธพั พะนาคา ติฏฐันตา สันตเิ กยงั มุนวิ ะระ วะจะนัง สาธะโวเม สณุ นั ตุ ธัมมัสสะ วะนะกาโร อะยัมภะทนั ตา ธมั มสั สะวะนะ กาโร อะยมั ภะทันตา ธัมมสั สะวะนะกาโร อะยัมภะ ทนั ตา ค. การวิดฟาย สาธุเดอ น้าอนั นี้ได๎ช่ือวํา น้าอมฤต ประสิทธจ์ิ ากพระสงั ฆะเจา๎ เก๎าพระองคท๑ ําน ก็ได๎ทรงพระธรรมคา

9 สอน ใสํในนา้ อนั นีจ้ งึ ได๎ช่ือน้าอามฤตปพูุ ระเจ๎าให๎ขา๎ วดิ ขา๎ จึงไดว๎ ดิ ยาพระเจ๎าใหข๎ ๎าฟายขา๎ สิไดฟ๎ าย ๆ ไปไฮํ ผี เชอ้ื ไฮํอยูํปุาคาก็ให๎มากินเสีย ฟายไปนา้ ผีเชื้อนา้ อยํปู าฮูกใ็ ห๎มากินเสีย ฟายเมอ่ื ภูเทวดาอยเํู คา๎ ไม๎ ก็ใหม๎ ากนิ เสีย เมอ่ื มิดฟายหลายน้าอามฤตก็บํอมาก นา้ อมฤตแตกพากออกจากกนั ผันธลุ ีกนั ไปทกุ แหงํ แบงํ กันไปทุกฝุายย๎าย กนั ไปทกุ กา้ เม็ดหน่งึ ตกไปก้าทางอีสานงวั อยูํ ขอให๎เจา๎ นจี้ งมบี ริวารหลายพรา่ พรอ๎ ม โอมออํ นนอ๎ มขวัญเข๎า นามา เม็ดหนึง่ ตกไปก้าบูรพาตะวันออก บอกวําให๎เจ๎านจ่ี งมีสติปญ๓ ญาเหมอื นพระเจ๎ามะโหสถ ให๎เจา๎ มใี จอดใจ เพยี รเหมือนพระเจา๎ เตเม เมด็ หนงึ่ ตกไปก้าอาคะเนพน้ื ขอใหเ๎ จ๎าน้ีจงมีเคหาอนั ใหญํกว๎าง ตัวอยา่ งคากลา่ วผกู แขน ผูกกา้ ซ๎ายให๎ขวัญมา ผกู กา้ ขวาใหข๎ วญั อยํู วํามาเยอขวญั เอยขวัญเจ๎า ไปกินปลาขํอนอยหูํ ัวนา ก็ใหม๎ ามอื้ นว้ี นั นี้ ขวัญเจา๎ ไปเฮด็ นากินข๎าวกใ็ ห๎มามื้อนีว้ นั น้ี วาํ มาเยอขวัญเอย ขวัญเจา๎ ไปปน๓้ เบ๎าหลํอเงนิ ทองก็ให๎มาม้อื น้ี วนั นี้ ขวัญเจา๎ ไปขายของอยํูในตลาด กใ็ ห๎มามื้อนี้วันนี้ ขวญั เจ๎าไปเบิ่งนักปราชญ๑ เจา๎ กอํ สรา๎ งกระทาบุญ ก็ให๎ มามอื้ นวี้ นั น้ี ขวญั เจ๎าไปนาดอมขนุ และยศใหญํ กใ็ หม๎ ามื้อนีว้ นั นี้ ขวญั เจา๎ ไปอยูสํ ุขสมสร๎างกนิ ทานทกุ เช๎าคา่ เชญิ ขวัญหวั เกษเกลา๎ ใหย๎ นื หม่นั หมื่นปี อายุ วณั โณ สุขงั พะลงั ฯ โอกาสในการจดั พธิ ีกรรม พธิ ีบายศรีสขํู วัญสามารถจาแนกได๎ 3 ประเภท ตามลกั ษณะและโอกาสทใ่ี ชใ๎ นการประกอบพธิ ี คอื พิธี กรรมการสขํู วญั ในชํวงเปลย่ี นผาํ นของชวี ิต การเซนํ สรวง และสาหรับผูท๎ ห่ี ายจากการเจบ็ ปุวย 1. การส่ขู วญั ในช่วงเปล่ยี นผ่านของชวี ติ 1.1 การสขู่ วญั เด็กแรกเกิด พิธสี ูขํ วญั เดก็ แรกเกดิ เป็นการสขูํ วัญทารกทีถ่ อื วาํ เป็นสมาชิกใหมํของครอบครวั เพือ่ ใหเ๎ กดิ ความเป็น สิรมิ งคลแกํเดก็ และพํอแมํ โดยเฉพาะแกํแมํทถ่ี ือวําผาํ นอันตรายหลงั จากการคลอดบุตร ซึง่ ถอื วําเปน็ เหตุการณ๑ สาคัญอยาํ งหน่งึ ของผูห๎ ญิง 1.2 การสู่ขวัญนาค ผู๎ชายทนี่ ับถอื ศาสนาพุทธเมื่ออายคุ รบ 20 ปบี รบิ รู ณจ๑ ะต๎องเข๎าพธิ อี ุปสมบท ผทู๎ ีป่ ระสงคจ๑ ะ อุปสมบทต๎องขออนญุ าตจากบดิ ามารดาหรือผปู๎ กครอง เมอื่ ได๎รบั อนญุ าตแล๎วก็จะกาหนดวันประกอบพิธีสูํ ขวัญนาคข้ึนเพอื่ ความเป็นสริ ิมงคล 1.3 การสูข่ วญั พระภกิ ษสุ งฆ์ พธิ สี ขูํ วญั พระภิกษุสงฆเ๑ ป็นการสํขู วัญท่ชี าวบา๎ นรํวมกนั จดั ให๎กบั พระในวัดของหมูํบ๎านในโดกาสท่ี ได๎รบั ตาแหนงํ หรือสมณศักดส์ิ ูงขน้ึ 1.4 การสู่ขวญั ในการแต่งงาน พิธสี ขํู วัญในการแตงํ งานจัดข้ึนในโอกาสที่หนมุํ สาวตกลงใจทจ่ี ะอยูรํ วํ มกันในฐานะสามภี รรยา เมื่อผูใ๎ หญํทงั้ สองฝุายตกลงยินยอมกนั ก็จดั พธิ แี ตงํ งานตามข้ันตอนหรอื ตามวัฒนธรรมในสงั คมนั้น ซง่ึ พิธกี าร แตงํ งานจะมพี ิธบี ายศรสี ูขํ วัญเป็นขัน้ ตอนหนึง่ ของพิธีกรรมดว๎ ย 1.5 การสูข่ วัญพระพทุ ธรูป พธิ ีสํูขวญั พระพุทธรูปเป็นพิธจี ัดขนึ้ ภายหลงั จากการประกอบพิธเี ผาศพของชาวกูย เมื่อเจา๎ ภาพ

10 ไดป๎ ระกอบพิธเี ผาศพเรียบร๎อยแล๎วก็จะจัดพธิ สี ํูขวัญพระพทุ ธรูปทใี่ ชใ๎ นการประกอบพธิ ดี ว๎ ย เพราะเมื่อมีคน ตายถือวาํ เป็นสง่ิ ไมํเป็นมงคลกบั บ๎านที่อาศัยอยํูชาวกยู จงึ จัดพิธสี ขูํ วัญพระพทุ ธรูปถวายวัดเพอ่ื ลบลา๎ งสิง่ ไมเํ ปน็ มงคล 1.6 การสขู่ วญั เพอ่ื ความเป็นสิรมิ งคล พธิ ีสูํขวัญเพ่ือความเปน็ สิริมงคลเป็นการสูขํ วัญเมือ่ เกิดการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกในครอบครัว หรอื ญาติผใ๎ู หญํ เชํน 1.6.1 เม่อื มญี าติผู๎ใหญํ หรอื ผทู๎ ี่เจ๎าของบา๎ นมคี วามเคารพนบั ถอื เดินทางมาจากจังหวัดอื่นเขา๎ มา ในหมบํู ๎านหรือเขา๎ มาอาศยั ผูใ๎ หญใํ นหมบํู ๎านก็จัดงานพธิ บี ายศรีสูํขวัญให๎ 1.6.2 เมือ่ มขี า๎ ราชการช้นั ผู๎ใหญยํ า๎ ยเข๎ามารับตาแหนงํ ท่ีสาคญั หรอื ผูม๎ ตี าแหนงํ ราชการสงู พ๎น จากหนา๎ ที่การงานหรือยา๎ ยออกไป ผ๎ใู ตบ๎ งั คบั บญั ชาและผทู๎ เ่ี คารพรักกจ็ ะรํวมกนั จัดงานพิธีบายศรสี ํขู วญั สงํ ให๎ ทํานทีจ่ ากไปมีขวัญและโชคดี 1.6.3 ผชู๎ ายทอ่ี ยํูในหมบูํ ๎านเมอื่ ถกู เกณฑ๑ทหารพอํ แมํหรอื ญาตพิ น่ี ๎องก็จะหาหมอขวัญมาทาพิธี บายศรสี ขํู วัญ เพ่อื ใหล๎ ูกหลานมขี วญั และกาลังใจดีในการเดินทางไปรบั ราชการทหารเกณฑ๑ และเม่อื ลกู หลาน เป็นทหารครบสองปแี ลว๎ กเ็ ดนิ ทางกลับมาบ๎านพํอแมหํ รอื ญาติผ๎ูใหญกํ จ็ ะติดตํอเชญิ หมอขวัญมาทาพธิ บี ายศรสี ูํ ขวญั รับขวญั ลกู หลานท่ีกลับมาอยูํบา๎ นใหม๎ ขี วัญดีมสี ิริมงคล 1.6.4 หากเปน็ บคุ คลทีม่ าจากตํางจังหวัดเขา๎ มาพกั อยูํในหมํบู ๎านและไดอ๎ ุปสมบทเม่อื บวชเสรจ็ แลว๎ กจ็ ะลงศาลามารวํ มกบั พระเกําทใี่ นวดั เพ่ือสวดมนตเ๑ ยน็ 3 วันรุงํ ขึ้นวันที่ 4 เจ๎าภาพทที่ าการบวชให๎กจ็ ะจดั ภัตตาหารมาถวายพระใหมํและพระเกาํ เปน็ การฉลองพระเมอื่ พระฉนั เสรจ็ แล๎วเจ๎าภาพถวายธูป เทียน ดอกไม๎ และจตุปจ๓ จยั และจัดทาพธิ ีบายศรสี ขูํ วัญรับพระใหมํมหี มอขวญั ที่สูงอายุอยูใํ นหมูบํ ๎านมาเป็นเจ๎าพธิ ีกจ็ ะรอ๎ ง แหลเํ ป็นสาเนยี งและภาษาที่นยิ มของหมบูํ า๎ นน้ัน 1.6.5 เมอ่ื นักเรียนหรอื นกั ศกึ ษาทีจ่ ะจบการศึกษากจ็ ะให๎หมอขวัญมาทาพธิ ีบายศรสี ขูํ วญั เพื่ ความเปน็ สิรมิ งคลแกตํ นเอง 2 การสูข่ วญั ในการเซน่ สรวง 2.1 การสขู่ วญั ข้าวเปลอื ก พิธสี ูํขวญั ขา๎ วเปลอื กจัดข้นึ หลงั ฤดูเกบ็ เกีย่ ว คือประมาณเดอื นธันวาคมถงึ มกราคม โดยชาวบา๎ นทุก ครัวเรือนจะนาข๎าวเปลือกจานวนหนึ่งจากย๎งุ หรือเล๎าข๎าวของตนมากองรวมกนั ที่วัดและกอํ เปน็ เจดยี ๑ ข๎าวเปลือก แลว๎ ทาพธิ สี ูขํ วญั เพ่ือความเป็นสิรมิ งคล ขอขมาแมํโพสพ ขา๎ วขายได๎ราคาดีและสามารถเกบ็ เกยี่ วได๎ ผลผลติ มากข้ึนในฤดูกาลตอํ ไป 2.2 การสขู่ วัญขนึ้ บ้านใหม่ พิธีการสูขํ วญั ข้ึนบ๎านใหมํจดั ข้นึ เมอ่ื ยา๎ ยไปอยบูํ า๎ นหลังใหมหํ รอื สรา๎ งบ๎านหลงั ใหมเํ สร็จและกอํ นท่ีจะ เข๎าพกั อาศยั จะต๎องจัดพธิ ีสํูขวัญเพือ่ ความเปน็ สิรมิ งคลแกเํ จา๎ ของบ๎านตามความเช่ือดัง้ เดิมทีว่ ํา ทดี่ ินและไม๎ท่ี นามาสร๎างบ๎านมักมีเจา๎ ของรักษาอยํู เมอื จะเข๎าพกั อาศยั หรือประกอบกจิ กรรมใด ๆ จงึ ต๎องประกอบพธิ ีเพ่อื

11 ความเป็นสิริมงคลหรอื เพ่อื ปด๓ เปาุ สงิ่ ท่ไี มดํ ที ง้ั ปวงออกไปกํอนทจ่ี ะเข๎าพักอาศัยจงึ จะทาใหช๎ วี ิตมคี วามสุขความ เจริญ 2.3 การส่ขู วญั สาหรบั ผปู้ ่วย การเจบ็ ปุวยเกดิ จากการมีเคราะหห๑ รอื เกดิ จากการกระทาท่ีผติ จารคี ประเพณีของชุมชนหรือลบหลํูส่งิ ศักดิ์สิทธท์ิ ชี่ าวบ๎านนบั ถือและชาวบ๎านเช่อื วําผู๎ทเี่ จ็บปุวยอยํนู ้ันขวญั หรอื สภาพจติ ใจไมํเปน็ ปกติอาจไปตกหลนํ อยํู ณ ที่หนึง่ จงึ ต๎องประกอบพิธกี รรมการสขํู วญั เพื่อเรยี กใหข๎ วญั กลับมาอยูรํ าํ งกายของผู๎ปุวยตาเดิม พธิ กี รรมการสขูํ วญั สาหรบั ผป๎ู ุวยมี 2 พิธดี งั นี้ 1. สูข่ วัญสะเดาะเคราะห์ เปน็ การสขูํ วญั ผู๎ปวุ ยท่ีหายจากการเจบ็ ปุวยแลว๎ และเปน็ การเรยี กขวัญผูป๎ ุวย ทเ่ี ช่ือวาํ หายไปขณะท่ีปวุ ยนั้นใหก๎ ลับมาเหมือนเดมิ 2. สอ้ นขวญั ผ้ปู ่วย คาวาํ สอ๎ น หมายถงึ การช๎อนหรือการตัก ดงั นนั้ การสอ๎ นขวัญกค็ ือช๎อนหรอื ตกั ขวัญ ซ่งึ เปน็ การสขํู วญั ของผู๎ปวุ ยท่ไี มทํ ราบสาเหตขุ องความเจบ็ ปุวยและบอกใหท๎ ราบวําขวัญไปตกหลํนอยูํที่ใด ญาติ ก็จะไปประกอบพิธีกรรมการส๎อนขวญั ณ สถานทีห่ มอดูได๎บอกไว๎ เมื่อประกอบพธิ ีสอ๎ นขวญั เสร็จแล๎วกเ็ ช่อื วาํ ทาใหผ๎ ู๎ปุวยหายจากอาการน้ัน ๆ ได๎ ขน้ั ตอนในการประกอบพิธกี รรม กอํ นทีจ่ ะเริ่มพธิ ีการได๎นัน้ เจ๎าของขวัญหรือเจ๎าภาพนน้ั จะต๎องไปติดตํอปรกึ ษาหารอื เก่ยี วกับการจดั งาน และขอวันเวลาที่จะจดั กับหมอสูตรหรือพํอพราหมณ๑ ซึง่ เมอื่ ไดว๎ ันเวลาทเ่ี ปน็ มงคลแล๎ว เจ๎าภาพก็จะไป ดาเนินการ “บอกบุญ” ให๎แกํญาติพ่ีนอ๎ ง เพ่ือนบา๎ น และคนทีเ่ คารพนับถือ จากนัน้ กจ็ ะมีการเตรยี มสถานท่ี พานบายศรี เครอ่ื งเซนํ และฝูายผกู แขน เมอ่ื ถงึ วนั ทจ่ี ะจดั พธิ เี จา๎ ของขวัญกจ็ ะตอ๎ งไปเชิญพอํ พราหมณม๑ า เพอื่ ท่จี ะประกอบพิธกี ถ็ อื วาํ ทุกสิง่ ทุกอยํางพร๎อมแล๎ว พธิ กี ารกจ็ ะเริ่มข้นึ ดังน้ี 1.พอํ พราหมณ๑จะจัดให๎เจา๎ ของขวญั นง่ั หันหนา๎ ตามทิศท่ีเหมาะสม เพ่อื เปน็ สิริมงคล โดยพอํ พราหมณ๑จะ น่ังจะน่งั ตรงข๎ามกับเจา๎ ของขวัญ สํวนพํอแมํจะนง่ั ทางทิศเหนอื ของเจา๎ ของขวญั และญาติพ่ีน๎องและผร๎ู ํวมงาน จะนัง่ ล๎อมรอบ โดยมีพานบายศรี เครือ่ งเซํน พํอพราหมณแ๑ ละเจา๎ ของขวัญจะนงั่ อยูํตรงกลาง 2.เจา๎ ของขวัญจะผูกฝูายผูกแขนท่ีเตรยี มไว๎ให๎แกํพราหมณ๑ เพื่อเป็นการบูชาครู โดยฝาู ยท่ใี ช๎ผูกนน้ั กจ็ ะมี การมดั ธนบตั รเป็นคาํ บชู าพราหมณ๑ จะจานวนมากจานวนน๎อยก็แล๎วแตํเจ๎าของขวัญจะเหน็ สมควร 3.เมอ่ื ผกู ฝาู ยเสรจ็ แลว๎ พํอพราหมณก๑ จ็ ะคลฝ่ี าู ยทเี่ ตรยี มไวท๎ ่พี านบายศรี แลว๎ ดึงฝาู ยใหโ๎ อบล๎อมผคู๎ นใน พธิ ีท้ังหมด 4.จากน้ันเจ๎าของขวัญกจ็ ะยกมือไหวพ๎ อํ พราหมณ๑ แลว๎ ใชม๎ อื ขวาจับพานบายศรแี ละตงั้ จิตอธษิ ฐานขอให๎ เทวดาบนั ดาลให๎เปน็ ไปตามทพ่ี อํ พราหมณ๑ พอํ แมํ ญาตพิ ่นี ๎อง และผรู๎ ํวมงานกจ็ ะจับฝูายแล๎วอธิษฐานให๎เจ๎า ของขวัญเชํนกนั 5.พอํ พราหมณ๑กจ็ ะเร่มิ จุดธูปเทียนป๓กลงในพานบายศรี ยกขัน 5 ขน้ึ แล๎วกลาํ ววาํ “นโม...” 3 จบ และ กลาํ วคาบูชาพระรตั นตรยั ตอํ 6.จากนนั้ พอํ พราหมณก๑ ็จะทาการปุาวเทวดา (ชุมนมุ เทวดา) ซึ่งเป็นการกลําวคาอญั เชญิ เทวดาและส่ิง

12 ศกั ดสิ์ ิทธิ์ตํางรํวมลงมาเปน็ เกียรตแิ ละเปน็ สกั ขพี ยานในพิธี โดยพอํ พราหมณ๑จะยกขนั นา้ มนต๑ขน้ึ ตง้ั ข๎างหนา๎ ตนเอง แล๎วจดุ เทียนคงี หรอื เทยี นทีใ่ ชเ๎ ปน็ ตวั แทนของเจา๎ ของขวญั แล๎วนาไปปก๓ ทข่ี นั น้ามนต๑ พร๎อมกับกลําวคา เชิญเทวดาเปน็ ภาษาบาลวี าํ “สคั เค กา เม จ รเู ป ...” 7.เมื่อทาการปุาวเทวดาเสร็จ พํอพราหมณก๑ จ็ ะเรม่ิ ทาการสูตรขวัญ โดยจะใชค๎ าสูตรขวัญประเภทอะไร ก็ ใหเ๎ ลือกเอาตามความเหมาะสมของพธิ ที จี่ ัด เชํน เปน็ บายศรีสขํู วัญแตงํ งาน กจ็ ะต๎องใช๎คาสตู รขวัญแตงํ งาน เป็นตน๎ สัญลกั ษณแ์ ละความหมายของเครือ่ งประกอบพธิ ีกรรม เครื่องประกอบพธิ กี รรมสาหรับบารงุ ขวัญ ไขตํ ๎ม เคร่ืองประกอบพธิ ีกรรมทีม่ คี วามสาคญั คือ เปน็ เครอื่ งประกอบทใ่ี ชเ๎ สย่ี งทายภายหลังเมอ่ื ประกอบพิธีเสรจ็ แลว๎ กลําวคือ เมือ่ หมอขวัญประกอบพธิ ีเสรจ็ แลว๎ หมอขวญั จะปลอกเปลอื กไขํตม๎ และผํา ออกเปน็ 2 ซกี เพือ่ ทานายวาํ เมอ่ื ภายหลงั ประกอบพิธีเสร็จแลว๎ ตอํ ไปเจ๎าของขวัญจะมคี วามสขุ หรือไมอํ ยํางไร ถ๎าผําไขอํ อกแลว๎ ผวิ เรยี บสวยงาม ไขํแดงและไขํขาวเตม็ ฟอง ซง่ึ เปน็ สญั ลักษณข๑ องขวญั ทม่ี อี าการครบสมบรู ณ๑ หมอขวญั ก็จะทานายวาํ เจา๎ ของขวัญจะมีความสุข สบาย ไมํมโี รคภัย แตถํ ๎าไขอํ ยใูํ นลักษณะตรงกนั ขา๎ มก็อาจ ทาให๎เจ๎าของขวัญไมสํ บาย และมีทกุ ขภ๑ ยั ในระยะเวลาอันใกลน๎ ี้ หากวาํ เป็นลักษณะท่ีไมดํ เี ชนํ นี้ หมอขวัญจะมี วิธีแก๎ไขคือ การประกอบพิธสี ะเดาะเคราะห๑อกี ครัง้ จะทาใหเ๎ จ๎าของขวญั มีกาลงั ทีด่ ีขน้ึ นอกจากความสาคญั ของไขํทเี่ ปน็ สญั ลกั ษณ๑แทนการเสยี่ งทายแล๎ว ไขยํ ังมีความหมายและมคี วามสมั พันธ๑ เกย่ี วกับขวัญ คือ ไขํมคี วามหมายแทนชีวิตทเี่ กดิ ใหมภํ ายหลังการประกอบพธิ กี รรมแล๎วเหมือนกบั การทาขวัญ นี้ ทาใหร๎ าํ งกายอยูํได๎ตามปกติ ซงึ่ วิไลวรรณ ขนษิ ฐานันท๑ (2525 : 83 ) กลาํ วถงึ ความสัมพนั ธ๑ของไขแํ ละขวญั ในแงํความหมายวํา “ไขํ เปน็ สญั ลักษณ๑แทนขวัญ ทัง้ น้ไี ขแํ ละขวัญมีสญั ลกั ษณ๑คลา๎ ยคลงึ กันคือ ไขมํ เี ปลือกหุม๎ ในขณะท่ขี วญั มรี าํ งกายหุ๎มหอํ อกี ท้ังไขํเป็นต๎นกาเนิดของของชีวิต เป็นที่มาของชีวิต ในทานองเดยี วกนั กบั ความเชอ่ื ทวี่ าํ ขวญั คือส่ิงที่ทาให๎รํางกายมชี วี ติ อยไูํ ด๎เป็นปกติ” เจ๎าของขวญั จะรบั ประทานไขตํ ม๎ เมือ่ เสร็จพธิ ี แล๎วจงึ ถือวาํ ขวญั ไดก๎ ลับเขา๎ สรูํ าํ งกาย สวํ นไขํท่ไี มสํ วยงามมลี ักษณะไมดํ กี ็จะไมรํ ับประทาน แตํหมอขวญั จะนดั วันทาพธิ สี ะเดาะเคราะหก๑ อํ นดงั ทก่ี ลําวขา๎ งต๎น ไกํ เปน็ เครอ่ื งประกอบพิธกี รรมท่มี ีความสาคญั คือ ใชส๎ าหรับเสย่ี งทาย โดยใชบ๎ ริเวณคางไกํ เปน็ เครอื่ งเส่ียง ทาย เมอื่ ประกอบพธิ เี สรจ็ แลว๎ หมอขวัญจะแกะตรงกระดกู คางไกอํ อก หยิบเอาบริเวณคางไกํออกมาเสีย่ งทาย ถ๎าคางไกซํ ง่ึ มกี ระดูก 2 ชนิ้ ช้อี อกมามลี ักษณะง๎ุมงอ สวยงาม กท็ านายวาํ เจา๎ ของขวญั จะมโี ชค มีความสขุ ถ๎า คางไกปํ รากฏในลักษณะตรงข๎าม คือ กระดกู ไมชํ ี้ออกทงั้ 2 ข๎าง หมอขวญั กจ็ ะประกอบพธิ ีสะเดาะเคราะหเ๑ พอื่ แกเ๎ คล็ด ใบไม้มงคลต่าง ๆ ดอกไม๎ ใบเตย ใบคณู ใบยอ ใบบวั หญา๎ คา หญ๎าแพรก ดอกเงินดอกทอง ใบมะพรา๎ ว เป็นพชื ทมี่ ีช่ือ เป็นความสิรมิ งคล ใบไมท๎ กี่ ลาํ วมาแล๎วเปน็ เครือ่ งประกอบพิธกี รรมทีม่ คี วามสาคัญในการทาน้ามนตแ๑ ละ บายศรี การนาพชื ทม่ี ชี อื่ มงคลมาประกอบพธิ ีกรรมเป็นสัญลกั ษณแ๑ ทนความตอ๎ งการให๎เกดิ ความเปน็ สริ ิมงคล

13 ความสุข ความเจริญรํุงเรืองกบั เจ๎าของขวัญ ใบเตย เปน็ สญั ลักษณแ๑ ทนความสดชนื่ รื่นรวย เพราะเป็นพืชทีม่ ีกล่ินหอม ใบคณู เปน็ สญั ลักษณแ๑ ทนความยง่ั ยนื คา้ คูณ คม๎ุ ครองปลอดภยั ใบมะยม เปน็ สญั ลักษณแ๑ ทนความนยิ มชมชอบ และการยอมรบั ใบยอ เป็นสัญลักษณ๑แทนการยกยอ ชมเชย นับถอื สรรเสริญ ใบบัว เป็นสัญลักษณ๑แทนความบริสุทธิ์ ไมมํ ีมลทินใด ๆ มาเปน็ อุปสรรคในระหวํางการประกอบพิธี ดอกเงินดอกทอง เป็นสญั ลกั ษณ๑แทนความร่ารวยมั่งมี หญ๎าคา เปน็ สญั ลักษณ๑แทนความอดทน ย่งั ยืน หญ๎าแพรก เปน็ สญั ลกั ษณ๑แทนความอดทน ใบมะพร๎าว เปน็ สัญลักษณ๑แทนความแขง็ แรง ยนื ยาว อุปกรณ์ทใี่ ช้ในการทาบายศรี การเตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ๑ไวใ๎ หพ๎ ร๎อม เปน็ การเตรยี มการที่ดี สามารถดาเนนิ งานได๎ดว๎ ยความเรียบร๎อย รวดเรว็ ซ่ึงมีอุปกรณท๑ ค่ี วรจะต๎องเตรียมไว๎ดังตอํ ไปนี้ 1. ใบตอง (ควรใหใ๎ บตองกลว๎ ยตานี) 2. พานแวํนฟูา ขนาดเลก็ กลาง ใหญํ ผูกตดิ กนั ไว๎ดว๎ ยลวด และรองพนื้ พานดว๎ ยโฟม 3. ภาชนะปากกวา๎ งสาหรับใสํนา้ แชํใบตอง 2 ใบ 4. สารส๎ม 5. นา้ มนั มะกอก ชนิดสีเหลือง หรือขาว 6. ไม๎ปลายแหลม (ขนาดไม๎เสยี บลกู ชนิ้ ) ประมาณ 20-30 อัน 7. ดอกไม๎ (ดอกพดุ ดอกดาวเรือง ดอกบานไมํรู๎โรย ฯลฯ) 8. กรรไกร สาหรับตัดใบตอง 9. ลวดเยบ็ กระดาษการเลอื ก และ การทาความสะอาดใบตอง ใบตองทนี่ ามาใช๎สาหรับทาบายศรี มกั นยิ มใชใ๎ บตองจากกลว๎ ยตานี เนอื่ งจากเป็นใบตองท่มี ีลักษณะเปน็ เงา มันวาว เม่ือโดนน้าจะย่งิ เกิดประกายสีเขยี วเขม๎ สวยงามยงิ่ ขน้ึ และทสี่ าคญั ใบตองจากกล๎วยตานี มคี วาม คงทน ไมํแตกงาํ ย ไมเํ หี่ยวงาํ ย สามารถนามาพับมว๎ นเปน็ รูปลักษณะตาํ งๆได๎งําย และสามารถเก็บไวไ๎ ด๎นาน หลายวนั หรือถา๎ รักษาโดยหมัน่ พรมน้าบํอยๆ ใบตองกลว๎ ยตานี จะสามารถคงทนอยูไํ ด๎นานเปน็ สัปดาหท๑ เี ดยี ว เมอ่ื ไดใ๎ บตองกล๎วยตานมี าแลว๎ จะต๎องนามาทาความสะอาดกํอน ดว๎ ยการเช็ด โดยใช๎ผา๎ นุมํ ๆ เชด็ ฝุนละออง และสง่ิ สกปรกตํางๆออกจากใบตองเสยี กอํ น โดยการเชด็ จะตอ๎ งใชผ๎ า๎ เช็ดตามรอยของเส๎นใบไปในทางเดยี ว อยําเชด็ กลับไปกลบั มา หรืออยําเช็ดขวางเสน๎ ใบเปน็ อันขาด เพราะจะทาใหใ๎ บตองเสียหาย มีรอยแตก และชา้ ทาใหไ๎ มสํ ามารถนาใบตองมาใช๎งานไดเ๎ ต็มที่

14 เมอ่ื เช็ดสะอาดดีแล๎ว ก็ให๎พับพอหลวมๆ เรยี งซอ๎ นกันไว๎ให๎เปน็ ระเบียบ เพ่อื รอนามาใชง๎ านในขั้นตอนตอํ ไป การฉกี ใบตองเพือ่ เตรมี ทากรวยบายศรี ใบตองทไ่ี ด๎ทาความสะอาดเปน็ ทีเ่ รยี บร๎อยแล๎ว หยิบมาทีละใบ แล๎วนามาฉีกเพื่อเตรียมไว๎สาหรบั มว๎ น หรอื พับทากรวยบายศรีการพับหรอื ฉกี ใบตอง แบํงเปน็ สามประเภทคือ 1. ใบตองสาหรบั ทากรวยแมํ ฉีกกวา๎ งประมาณ 2 น้ิวฟตุ 2. ใบตองสาหรับทากรวยลูก ฉีกกว๎างประมาณ 2 นว้ิ ฟุต 3. ใบตองสาหรับหํอ ฉกี กวา๎ งประมาณ 1.5 นว้ิ ฟตุ ใบตองแตลํ ะประเภท ควรฉกี เตรยี มไวใ๎ หไ๎ ดจ๎ านวนทตี่ ๎องการ กลําวคอื ถ๎าทาพานบายศรี 3 ชั้น ชนั้ ละ 4 ทศิ ( 4 รว้ิ ) นั่นกห็ มายถึงวําจะมรี ้วิ ท้ังหมด 12 ร้ิว ในแตํละรวิ้ จะประกอบด๎วยกรวยแมํ 1 กรวย และ กรวยลูก 9 กรวย รวมทั้งสนิ้ จะมกี รวยแมํ 12 กรวย และ กรวยลูก 108 กรวย นัน่ เอง แสดงวาํ จะตอ๎ งมีใบตองสาหรบั ทา กรวยแมํ 12 ช้ิน ใบตองสาหรบั ทากรวยลกู 108 ชน้ิ ใบตองสาหรับหํอ 120 ช้นิ น่นั เอง แตใํ บตองสาหรบั หํอ จะต๎องเตรยี มไว๎เพือ่ หํอรว้ิ อกี คอื ใน 1 ร้วิ จะประกอบไปดว๎ ย กรวยแมํ 1 กรวย กรวยลกู 9 กรวย ซึง่ จะตอ๎ งมา หํอรวมกัน ดังนั้น จงึ ต๎องเพิม่ ใบตองสาหรบั หํออีก 120 ช้ิน รวมเป็นใบตองสาหรบั หํอ 240 การพบั กรวย และหํอกรวย (ทมี่ า : https://sites.google.com/site/baysri00/home/phithikrrm-keiyw.../withi-kar-tha-baysri)

15 การพบั หรือหํอกรวย หมายถงึ การนาใบตองท่ีฉีกเตรียมไวแ๎ ลว๎ สาหรับพับกรวย มาพบั โดยการพบั กรวยแมํและ กรวยลูกจะมีลกั ษณะวิธีการพับเหมอื นกัน คือ การนาใบตองมาพับมว๎ นใหเ๎ ป็นกรวยปลายแหลม เพียงแตกํ รวย ลกู จะมกี ารนาดอกพุด มาวางเสยี บไว๎ที่สํวนยอดปลายแหลมของกรวยด๎วย เมอ่ื พับหรอื ม๎วนใบตองเป็นกรวย เสร็จในแตํละกรวยแลว๎ ให๎นาลวดเยบ็ กระดาษ มาเยบ็ ใบตองไวเ๎ พอ่ื ปูองกนั ใบตองคลายตวั ออกจากกนั แล๎ว เกบ็ กรวยแตํละประเภทไว๎จนครบจานวนทต่ี อ๎ งการเม่อื ได๎กรวยแตํละประเภทครบตามจานวนทีต่ อ๎ งการแลว๎ ก็ นากรวยท่ีไดม๎ าหอํ โดยการนาใบตองทฉี่ ีกเตรียมไว๎สาหรับหอํ มาหอํ กรวย หรือเรยี กอกี อยาํ งวาํ หมํ ผ๎า หรือ แตํงตวั ให๎กรวยบายศรี สวํ นวิธีการหอํ ศกึ ษาได๎จากภาพยนตรท๑ ี่แสดงใหช๎ ม ตอนท่ี 6 การหํอริ้วบายศรแี ละการแชนํ า้ การหอํ ร้ิวบายศรี คือการนากรวยแมํ และ กรวยลกู ทีไ่ ด๎หอํ กรวยไว๎ เรียบร๎อยแลว๎ มาหํอมัดรวมเขา๎ ไว๎ด๎วยกัน ท่ีนยิ มทากัน ใน 1 ริ้ว จะประกอบด๎วย กรวยแมํ 1 กรวย กรวยลกู 9 กรวยวธิ กี ารหํอรวิ้ มีการหอํ คล๎ายกับการหํอกรวยแมหํ รือกรวยลูกแตจํ ะแบํงวธิ ตี ามลกั ษณะงานทีไ่ ด๎เป็น 2 วิธี คือ 1. หอํ แบบตรง คอื การหํอโดยเร่มิ ตน๎ จากกรวยแมํ แล๎ววางกรวยลกู ไว๎ดา๎ นบนกรวยแมํเป็นช้นั ๆทบั กนั ขน้ึ มา หรอื หนั กรวยลกู เขา๎ หาตวั ผห๎ู อํ การหอํ แบบน้ี จะไดร๎ ว้ิ บายศรคี อํ นขา๎ งตรง และในชวํ งตวั รว้ิ จะมรี อย หยักของใบตองหํอเรยี กวํา มีเกลด็ 2. หํอแบบหวาน คือการหํอ โดยเริ่มต๎นจากกรวยแมํ แตํวางกรวยลูกไวด๎ า๎ นลํางของกรวยแมํ และ วางซ๎อนลงด๎านลํางลงไปจนครบ หรอื หันกรวยแมํเขา๎ หาตวั ผหู๎ อํ โดยวางกรวยลูกลงด๎านลาํ งจนครบนน่ั เอง การ หํอแบบน้ี จะไดร๎ ้ิวบายศรเี ป็นลกั ษณะออํ นช๎อย งอน อํอนหวาน เมอ่ื หํอรว้ิ จนเสรจ็ ในแตํละร้ิวแลว๎ จึงนารวิ้ ท่ี ไดล๎ งแชใํ นนา้ ผสมสารส๎มทเ่ี ตรียมไวป๎ ระมาณ 20 นาที เพอ่ื ให๎ใบตองเข๎ารูปทรง อยตํู ัวตามทไ่ี ด๎พบั และหํอ จากนนั้ จึงนาไปแชํในน้าผสมนา้ มันมะกอกตํอไป เพอื่ ใหร๎ ้วิ มีความเปน็ มันวาว เนน๎ สเี ขียวเขม๎ ของใบตองมาก ขนึ้ และมกี ลิ่นหอมในตวั เอง การประกอบพานบายศรี การประกอบพานบายศรี ถอื เปน็ ขนั้ ตอนสดุ ทา๎ ยในการทาบายศรี คือการนารว้ิ ท่ีทาเสรจ็ แลว๎ และแชํในนา้ ผสม น้ามันมะกอกแลว๎ มาประกอบเขา๎ กบั พานบายศรี 3 ชัน้ ทไ่ี ด๎เตรยี มไว๎ การน้าร้ิว มาประกอบกบั พาน ควรเริ่มตน๎ จากพานใหญํสดุ หรอื พานทว่ี างอยชูํ ัน้ ลาํ งสดุ กํอน โดยการวางใหร๎ ้ิว อยูบํ นพานใหม๎ รี ะยะหาํ งเทําๆกนั 4 รว้ิ ( 4 ทิศ ) ซ่งึ จะยึดร้วิ ติดกบั พานโดยใชไ๎ ม๎ปลายแหลมที่เตรียมไว๎แล๎ว มากลัด หรอื เสยี บจากด๎านบนของริ้วใหท๎ ะลุไปยึดติดกบั โฟมทรี่ องไว๎บนพืน้ พาน การประกอบร้ิวกบั พานช้นั กลาง และช้นั บนสดุ กใ็ ชว๎ ธิ เี ดยี วกัน แตํจะต๎องใหร๎ ว้ิ ชัน้ ที่ 2 วางสลับกบั ริว้ ช้นั แรก และร้ิวบนพานช้ันบนสดุ ก็ใหส๎ ลบั กบั รวิ้ บนพานชัน้ กลางการประกอบร้วิ กบั พานช้ันบนสดุ ให๎หํอใบตองเป็น กรวยขนาดใหญพํ อควรวางไวเ๎ ปน็ แกนกลางของพาน เม่อื วางริว้ ทง้ั 4 ร้วิ เสร็จแล๎ว ใหร๎ วบปลายสุดของริว้ ทัง้ 4 เขา๎ หากัน โดยมกี รวยท่ที าเป็นแกนกลางอยดํู า๎ นใน แล๎วนาใบตองม๎วนเป็นกรวยขนาดใหญอํ กี กรวย มาครอบ ทบั ยอดทั้ง 4 ของรวิ้ ไว๎ ซึ่งจะทาใหพ๎ านบายศรที ี่ได๎ มยี อดแหลมทีส่ วยงามและมัน่ คง

การนาไปใช้ 1. เพอื่ สืบสานภมู ปิ ๓ญญาทอ๎ งถนิ่ เรีองการทาบายศรี สูํลกู หลานสืบตอํ ไป 2. เพอ่ื นาความร๎ูท่ไี ด๎มาประกอบพธิ กี รรมตํางๆ 3. ทาให๎ผสู๎ งู อายไุ ดใ๎ ช๎เวลาวาํ งใหเ๎ กิดประโยชน๑

ภาคผนวก - ประวัตผิ ูจ้ ัดทาภมู ปิ ญั ญาศึกษา - ภาพประกอบ

16 ประวัติผถู้ ่ายทอดภมู ปิ ัญญา ชือ่ : นางหนเู ตียง กวา๎ งขวาง เกดิ : 12 พฤศจกิ ายน 2504 อายุ 58 ปี ภูมิลาเนา : บ๎านกดุ น้าใส ตาบลวมุง อาเภอหนองววั ซอ จงั หวัดอุดรธานี ทีอ่ ยูป่ จั จบุ นั : บ๎านเลขท่ี 27 หมูํ 18 ตาบลวังนา้ เยน็ อาเภอวังน้าเย็น จงั หวดั สระแกว๎ สถานภาพ: สมรส กบั นายประมาณ ชาฎา มีบุตรด๎วยกนั จานวน 2 คนดงั น้ี 1. นางลาดวน ชาฎา 2. นายภธู ร ชาฎา การศกึ ษา: ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองแวงชุมพล ตาบลหนองวัวซอ จังหวดั อุดรธานี ปจั จบุ ัน ประกอบอาชพี : เกษตรกร ประวัตผิ ู้เรียบเรยี งภมู ปิ ัญญาศกึ ษา ชอื่ : นางสาวพรทิพย๑ แห๎วสุโน เกิด : 20 เมษายน 2525 อายุ 37 ปี ภมู ิลาเนา: 38 / 1 ตาบลวงั น้าเยน็ อาเภอวงั นา้ เย็น จงั หวัดสระแกว๎ ที่อยู่ปัจจุบนั : 38 / 1 ตาบลวังน้าเย็น อาเภอวังนา้ เยน็ จังหวัดสระแกว๎ สถานภาพ: โสด การศึกษา: ปรญิ ญาโท ปัจจุบนั ประกอบอาชีพ รบั ราชการครู

ภาพประกอบการจัดทาภมู ปิ ญั ญาศึกษา เรื่อง การทาบายศรี

18 เตรียมอปุ กรณท๑ ่ใี ชใ๎ นการทาบายศรี มี ใบตอง ดอกพุดตมู นาใบตองฉกี ในขนาดท่ีเทาํ กันและนามาม๎วน โดยใชแ๎ ม๏กเย็บติดกนั เปน็ ชอํ ๆ

19 นาดอกพดุ ตูมมาตดิ ทียอดของใบตองท่ีมว๎ นไวป๎ ระดบั ตกแตํง นามาชอํ บายศรีมาประกอบใสํในพาน ตกแตํงในสวยงาม

20 เอกสารอา้ งองิ ประวตั คิ วามเปน็ มาบายศรี- KM saengthammnat – Google Siteshttps://sites.google.com/site/kmsaengthammnat/prawati-khwam-pen-ma {Online}. {Accessed:24/05/2559} ประเภทและลกั ษณะของบายศรี-สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชนฯ http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=38&chap=2&page=t38-2- infodetail04.html{Online}. วธิ กี ารทาบายศร-ี บายศรี – Google Sites https://sites.google.com/site/baysri00/home/phithikrrm- keiyw.../withi-kar-tha-baysri {Online}.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook