Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 8การสานแห นายอ่อนศรี โฉมสวย

8การสานแห นายอ่อนศรี โฉมสวย

Published by artaaa144, 2019-05-10 01:52:00

Description: 8การสานแห นายอ่อนศรี โฉมสวย

Search

Read the Text Version

ภมู ปิ ัญญาศกึ ษา เรื่อง การสานแห โดย 1. นายอ่อนศรี โฉมสวย (ผถู้ า่ ยทอดภมู ปิ ัญญา) 2. นายศภุ โชค นันตา (ผู้เรียบเรยี งภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่นิ ) เอกสารภมู ิปญั ญาศึกษาน้เี ป็นสว่ นหนง่ึ ของการศึกษา ตามหลักสตู รโรงเรยี นผู้สงู อายุเทศบาลเมืองวังน้าเยน็ ประจา้ ปกี ารศึกษา 2561 โรงเรียนผสู้ งู อายุเทศบาลเมืองวังน้าเยน็ สงั กดั เทศบาลเมอื งวังน้าเยน็ จังหวดั สระแกว้

ก คา้ นา้ ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน หรือเรียกช่ืออีกอยา่ งหนึง่ ว่า ภมู ปิ ัญญาชาวบา้ น คือองคค์ วามรู้ท่ีชาวบา้ นได้ ส่ังสมจากประสบการณ์จริงท่ีเกิดขึ้นหรือจากบรรพบุรุษท่ีได้ถ่ายทอดสืบกันมาต้ังแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อนามาใช้แก้ปัญหาในชวี ิตประจาวนั การทามาหากิน การประกอบการงานเล้ียงชีพ หรือกิจกรรมอน่ื ๆ เป็น การผ่อนคลายจากการทางาน หรือการย้ายถ่ินฐานเพ่ือมาต้ังถิ่นฐานใหม่แล้วคิดค้นหรือค้นหาวิธีการดังกล่าว เพ่ือการแก้ปัญหา โดยสภาพพื้นท่ีน้ัน ชุมชนวังน้าเย็นแห่งน้ี เกิดข้ึนเม่ือราว ๆ 50 ปีท่ีผ่านมา จากการอพยพ ถ่ินฐานของผู้คนมาจากทุก ๆ ภาคของประเทศไทย แล้วมาก่อตั้งเป็นชุมชนวังน้าเย็น ซ่ึงบางคนได้นาองค์ ความรู้มาจากถ่ินฐานเดิม แล้วมีการสืบทอด สืบสาน มาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับเรื่อง การสานแห โดย นายอ่อนศรี โสมสวย ได้รวบรวมเรียบเรียงถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนรุ่นหลังได้สืบค้น หรือค้นคว้าเป็นภูมิ ปญั ญาศกึ ษา ของเทศบาลเมืองเมืองวงั นา้ เยน็ จงั หวัดสระแกว้ ผู้ศึกษาขอขอบพระคุณ นายวนั ชัย นารรี ักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองวงั น้าเยน็ นายคนองพล เพช็ รร่ืน ปลัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น คณะกรรมการโรงเรียนผู้สูงอายุ กองสวัสดิการสังคม กองสาธารณสุขและ สิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองวงั น้าเย็น โรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธว์ ทิ ยา โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมือวังนา้ เยน็ หน่วยงานอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง และขอขอบพระคุณ นายศุภโชค นันตา ท่ีได้เป็นที่ปรึกษา ดูแลรับผิดชอบงาน ด้านธุรการ บันทึกเร่ืองราวและจัดทาเป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์ครบถ้วน ความรู้อันใดหรือกุศลอันใดที่เกิดจากการ ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมพลังจนเกิดมีภูมิปัญญาศึกษาฉบับน้ี ขอกุศลผลบุญนั้นจงเกิดมีแก่ผู้เก่ียวข้องดังที่ กลา่ วมาทกุ ๆ ทา่ นเพือ่ สรา้ งสงั คมแหง่ การเรียนตอ่ ไป นายอ่อนศรี โฉมสวย นายศุภโชค นันตา ผ้จู ัดทา

สารบญั ข เร่ือง หนา้ คานา ก สารบญั ข ทมี่ าและความสาคัญของภมู ปิ ัญญาศกึ ษา ค ภมู ิปัญญาศึกษาเช่ือมโยงสูส่ ารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชนฯ ง ความเปน็ มาและความสาคัญของการสานแห 1-3 วัสดุอุปกรณ์ และขัน้ ตอนการสานแห 4-9 การนาภูมิปญั ญาศึกษา เร่อื งการสานแห ไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั 10 ภาคผนวก 12 - ประวตั ิผจู้ ดั ทา 14-19 - ภาพประกอบ 20 บรรณานกุ รม 21 ผรู้ ับรอง 22 คารับรอง 23 การประเมินผล / ผตู้ รวจ / ผอู้ นมุ ตั ิ

ค ทมี่ าและความสา้ คญั ของภมู ิปญั ญาศกึ ษา จากพระราชดารัสของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช ท่ีวา่ “ประชาชนนัน่ แหละ ท่เี ขามีความร้เู ขาทางานมาหลายช่วั อายุคน เขาทากนั อย่างไร เขามคี วามเฉลยี วฉลาด เขาร้วู ่าตรงไหน ควรทากสิกรรม เขารู้ว่าตรงไหนควรเก็บรักษาไว้ แต่ที่เสียไปเพราะพวกไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ทามานานแล้ว ทาให้ ลมื วา่ ชีวติ มันเป็นไปโดยการกระทาท่ีถูกต้องหรือไม่” พระราชดารสั ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิ- พลอดุลยเดช ที่สะท้อนถึงพระปรีชาสามารถในการรับรู้และความเข้าใจหยั่งลึก ท่ีทรงเห็นคุณค่าของ ภูมปิ ญั ญาไทยอย่างแท้จริง พระองคท์ รงตระหนักเปน็ อยา่ งย่ิงว่า ภมู ิปัญญาท้องถ่นิ เป็นสิ่งทช่ี าวบา้ นมีอยู่แล้ว ใช้ประโยชน์เพ่ือความอยู่รอดกันมายาวนาน ความสาคัญของภูมิปัญญาท้องถ่ิน ซ่ึงความรู้ท่ีส่ังสมจากการ ปฏบิ ัติจรงิ ในห้องทดลองทางสังคม เปน็ ความรู้ด้ังเดมิ ทถี่ ูกค้นพบ มกี ารทดลองใช้ แกไ้ ข ดัดแปลง จนเป็นองค์ ความรู้ที่สามารถแก้ปัญหาในการดาเนินชีวิตและถ่ายทอดสืบต่อกันมา ภูมิปัญญาท้องถ่ิน เป็นขุมทรัพย์ทาง ปัญญาท่ีคนไทยทุกคนควรรู้ ควรศึกษา ปรับปรุง และพัฒนาให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านั้นมาแก้ไขปัญหาให้ สอดคล้องกับบริบททางสังคม วัฒนธรรมของกลุ่มชุมชนนั้น ๆ อย่างแท้จริง การพัฒนาภูมิปัญญาศึกษา นับเป็นสิ่งสาคัญต่อบทบาทของชุมชนท้องถ่ินท่ีได้พยายามสร้างสรรค์ เป็นน้าพักน้าแรงร่วมกันของผู้สูงอายุ และคนในชุมชนจนกลายเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมประจาถิ่นที่เหมาะต่อการดาเนินชีวิต หรือภูมิปัญญา ของคนในท้องถ่นิ นัน้ ๆ แต่ภมู ิปญั ญาท้องถิ่นสว่ นใหญ่เปน็ ความรู้ หรอื เปน็ ส่งิ ท่ีได้มาจากประสบการณ์ หรือ เปน็ ความเชอื่ สบื ตอ่ กันมา แตย่ ังขาดองค์ความรู้ หรือขาดหลักฐานยืนยันหนักแน่น การสรา้ งการยอมรับท่ีเกิด จากฐานภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ จึงเป็นไปได้ยาก ดังนั้น เพื่อให้เกิดการส่งเสริมพัฒนาภูมิปัญญาท่ีเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น กระตุ้นให้เกิดความ ภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของบุคคลในท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย เกิดการถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่ คนรุ่นหลัง โรงเรียนผสู้ งู อายุเทศบาลเมอื งวงั น้าเยน็ ได้ดาเนนิ การจัดทาหลักสตู รการเรยี นการสอนเพื่อพัฒนา ศักยภาพผู้สูงอายุในท้องถ่ินที่เน้นให้ผู้สูงอายุได้พัฒนาตนเองให้มีความพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุท่ีมีคุณภาพใน อนาคต รวมทั้งสืบทอดภูมิปัญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผู้สูงอายุท่ีได้สั่งสมมา เกิดจากการสืบทอด ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู้สูงอายุจะเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ และมีครูพี่เลี้ยงซึ่งเป็นคณะครู ของโรงเรียนในสงั กัดเทศบาลเมืองวงั น้าเยน็ เป็นผเู้ รยี บเรียงองคค์ วามรู้ไปสู่การจดั ทาภมู ปิ ญั ญาศึกษาให้ ปรากฏออกมาเป็นรูปเล่มภูมิปัญญาศึกษา ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนผู้สูงอายุ ประจาปกี ารศึกษา 2561 พร้อมทั้งเผยแพรแ่ ละจัดเกบ็ คลังภมู ิปัญญาไวใ้ นห้องสมุดของโรงเรียนเทศบาลมิตร สมั พันธว์ ิทยา เพื่อใหภ้ ูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินเหลา่ น้เี กิดการถา่ ยทอดสู่คนรนุ่ หลงั สืบตอ่ ไป จากความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานและภาคีเครือข่ายท่ีมีส่วนร่วมในการผสมผสาน องค์ความรู้ เพื่อยกระดับความรู้ของภูมิปัญญานั้น ๆ เพ่ือนาไปสู่การประยุกต์ใช้ และผสมผสานเทคโนโลยี ใหม่ ๆ ให้สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนาภูมิปัญญาไทยกลับสู่การศึกษา สามารถส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาในโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ์วิทยา และโรงเรียนในสังกัด เทศบาลเมืองวังน้าเย็น เกิดการมีส่วนร่วมในกระบวนการถ่ายทอด เช่ือมโยงความรู้ให้กับนักเรียนและบุคคล ทั่วไปในทอ้ งถิน่ โดยการนาบคุ ลากรท่ีมคี วามรู้ความสามารถในท้องถ่นิ เข้ามาเปน็ วิทยากรให้ความรู้

ง กับนักเรยี นในโอกาสต่าง ๆ หรอื การท่ีโรงเรียนนาองค์ความรู้ในท้องถิ่น เขา้ มาสอนสอดแทรกในกระบวนการ จดั การเรยี นรู้ สิง่ เหล่านี้ทาใหก้ ารพฒั นาภูมปิ ัญญาท้องถ่ิน นาไปสู่การสบื ทอดภูมปิ ญั ญาศึกษา เกิดความสาเร็จอย่างเป็นรูปธรรม นักเรียนผู้สูงอายุเกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของตนที่ได้ถ่ายทอดสู่ คนรุ่นหลังให้คงอยู่ในท้องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตประจาท้องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตคู่ แผน่ ดินไทยตราบนานเท่านาน นิยามค้าศัพท์ในการจัดทา้ ภูมปิ ัญญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ผู้สูงอายุเช่ียวชาญท่ีสุด ของ ผู้สูงอายทุ ี่เข้าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวงั น้าเย็น มาศกึ ษาและสืบทอดภูมิปัญญา ในรูปแบบต่าง ๆ มีการสืบทอดภูมิปัญญาโดยการปฏิบตั ิและการเรียบเรียงเป็นลายลกั ษณ์อักษรตามรูปแบบ ท่ีโรงเรียนผู้สูงอายุกาหนดขึ้น ใช้เป็นส่วนหน่ึงในการจบหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้ภูมิปัญญาของผู้สูงอายุ ไดร้ ับการถา่ ยทอดส่คู นรุ่นหลังและคงอยใู่ นท้องถนิ่ ตอ่ ไป ซึง่ แบ่งภูมิปัญญาศกึ ษาออกเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ภูมปิ ญั ญาศกึ ษาท่ีผู้สูงอายุเป็นผ้คู ดิ คน้ ภมู ปิ ัญญาในการดาเนินชีวติ ในเรอื่ งทีเ่ ชย่ี วชาญที่สดุ ด้วยตนเอง 2. ภูมิปัญญาศึกษาท่ีผู้สูงอายุเป็นผูน้ าภมู ิปัญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต์ใช้ในการดาเนนิ ชวี ิตจนเกดิ ความเชีย่ วชาญ 3. ภูมิปัญญาศึกษาท่ีผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช้ในการดาเนินชีวิตโดย ไม่มีการเปลีย่ นแปลงไปจากเดมิ จนเกดิ ความเชี่ยวชาญ ผู้ถา่ ยทอดภูมิปัญญา หมายถงึ ผสู้ ูงอายทุ ีเ่ ขา้ ศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผ้สู ูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็น เป็นผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีตนเองเชยี่ วชาญมากท่ีสุด นามาถ่ายทอดให้แก่ผู้ เรยี บเรยี งภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ได้จัดทาขอ้ มูลเปน็ รปู เลม่ ภูมปิ ญั ญาศึกษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถ่ิน หมายถึง ผู้ที่นาภูมิปัญญาในการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ผู้สูงอายุ เชี่ยวชาญท่ีสุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษร ศึกษาหาข้อมูลเพ่ิมเติมจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรูปเล่ม ใชช้ ่ือว่า “ภูมปิ ัญญาศึกษา”ตามรปู แบบทโี่ รงเรยี นผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเยน็ กาหนด ครูท่ีปรึกษา หมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูพ่ีเลี้ยง เป็นผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถิ่น ปฏิบัติ หน้าที่เป็นผู้ประเมินผล เป็นผู้รับรองภูมิปัญญาศึกษา รวมท้ังเป็นผู้นาภูมิปญั ญาศึกษาเข้ามาสอนในโรงเรยี น โดยบูรณาการการจัดการเรียนรตู้ ามหลกั สตู รท้องถ่ินทีโ่ รงเรยี นจัดทาขน้ึ

ง ภูมิปญั ญาศกึ ษาเช่อื มโยงสู่สารานุกรมไทยสา้ หรับเยาวชนฯ 1. ลักษณะของภมู ิปัญญาไทย ลักษณะของภมู ิปัญญาไทย มีดังนี้ 1. ภูมปิ ญั ญาไทยมีลกั ษณะเป็นทงั้ ความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤตกิ รรม 2. ภูมปิ ญั ญาไทยแสดงถึงความสมั พันธร์ ะหวา่ งคนกบั คน คนกบั ธรรมชาติ สิง่ แวดล้อม และคนกบั ส่งิ เหนือธรรมชาติ 3. ภูมปิ ัญญาไทยเปน็ องคร์ วมหรอื กจิ กรรมทุกอยา่ งในวถิ ชี วี ติ ของคน 4. ภมู ิปัญญาไทยเป็นเร่ืองของการแก้ปญั หา การจดั การ การปรบั ตัว และการเรยี นรู้ เพอ่ื ความอย่รู อดของบุคคล ชมุ ชน และสงั คม 5. ภมู ิปัญญาไทยเปน็ พ้นื ฐานสาคัญในการมองชีวติ เป็นพ้นื ฐานความรู้ในเรอื่ งต่างๆ 6. ภมู ปิ ญั ญาไทยมีลกั ษณะเฉพาะ หรือมเี อกลักษณ์ในตวั เอง 7. ภูมปิ ญั ญาไทยมกี ารเปลีย่ นแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสงั คม 2. คณุ สมบัตขิ องภูมิปัญญาไทย ผทู้ รงภมู ิปัญญาไทยเป็นผูม้ ีคุณสมบตั ิตามท่กี าหนดไว้ อยา่ งนอ้ ยดงั ต่อไปน้ี 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพตา่ งๆ มีผลงานดา้ นการพัฒนา ท้องถ่นิ ของตน และไดร้ ับการยอมรบั จากบุคคลทวั่ ไปอย่างกว้างขวาง ทงั้ ยงั เป็นผูท้ ใ่ี ชห้ ลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวในการดารงวิถชี วี ติ โดยตลอด 2. เปน็ ผคู้ งแกเ่ รยี นและหมน่ั ศึกษาหาความรู้อยูเ่ สมอ ผูท้ รงภมู ปิ ญั ญาจะเปน็ ผู้ที่หมั่น ศึกษาแสวงหาความร้เู พิ่มเตมิ อย่เู สมอไมห่ ยดุ นิ่ง เรียนรู้ท้งั ในระบบและนอกระบบ เปน็ ผู้ลงมอื ทา โดยทดลอง ทาตามท่ีเรยี นมา อีกท้ังลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผู้รู้อ่ืนๆ จนประสบความสาเรจ็ เปน็ ผูเ้ ช่ียวชาญ ซง่ึ โดดเดน่ เปน็ เอกลักษณ์ในแตล่ ะด้านอย่างชดั เจน เป็นท่ียอมรบั การเปล่ียนแปลงความรู้ใหม่ๆ ท่เี หมาะสม นามา ปรบั ปรงุ รบั ใชช้ มุ ชน และสงั คมอยเู่ สมอ 3. เป็นผนู้ าของทอ้ งถน่ิ ผ้ทู รงภูมิปญั ญาส่วนใหญจ่ ะเปน็ ผู้ทสี่ งั คม ในแตล่ ะท้องถนิ่ ยอมรับ ใหเ้ ปน็ ผูน้ า ทัง้ ผู้นาทไี่ ดร้ บั การแตง่ ตงั้ จากทางราชการ และผนู้ าตามธรรมชาติ ซ่งึ สามารถเป็นผนู้ าของท้องถน่ิ และชว่ ยเหลอื ผ้อู น่ื ได้เปน็ อยา่ งดี 4. เปน็ ผทู้ สี่ นใจปญั หาของท้องถ่ิน ผ้ทู รงภูมปิ ัญญาล้วนเปน็ ผู้ทส่ี นใจปัญหาของท้องถน่ิ เอา ใจใส่ ศกึ ษาปญั หา หาทางแก้ไข และช่วยเหลอื สมาชิกในชุมชนของตนและชมุ ชนใกลเ้ คียงอย่างไม่ย่อท้อ จนประสบความสาเรจ็ เป็นที่ยอมรับของสมาชิกและบุคคลท่ัวไป 5. เปน็ ผู้ขยนั หมนั่ เพียร ผู้ทรงภมู ิปัญญาเป็นผขู้ ยนั หม่ันเพียร ลงมือทางานและผลติ ผลงาน อยเู่ สมอ ปรับปรุงและพัฒนาผลงานให้มีคณุ ภาพมากขึ้นอกี ทง้ั มุ่งทางานของตนอย่างต่อเนอื่ ง 6. เป็นนกั ปกครองและประสานประโยชนข์ องท้องถ่ิน ผทู้ รงภูมปิ ัญญา นอกจากเปน็ ผู้ที่ ประพฤติตนเป็นคนดี จนเป็นทย่ี อมรับนับถือจากบคุ คลท่ัวไปแลว้ ผลงานท่ที ่านทายังถือว่ามคี ณุ คา่ จงึ เป็นผู้ท่ี มีทั้ง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผู้ประสานประโยชน์ให้บุคคลเกิดความรกั ความเขา้ ใจ ความเห็นใจ และมคี วามสามัคคีกนั ซ่ึงจะทาให้ท้องถิน่ หรือสงั คม มีความเจรญิ มีคุณภาพชวี ติ สงู ขน้ึ กว่าเดมิ

จ 7. มีความสามารถในการถ่ายทอดความร้เู ปน็ เลิศ เมื่อผทู้ รงภูมิปัญญามีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เปน็ เลศิ มผี ลงานที่เป็นประโยชนต์ ่อผอู้ ืน่ และบคุ คลทวั่ ไป ท้งั ชาวบา้ น นกั วชิ าการ นกั เรยี น นิสติ /นักศกึ ษา โดยอาจเขา้ ไปศกึ ษาหาความรู้ หรอื เชญิ ทา่ นเหลา่ นน้ั ไป เปน็ ผู้ถ่ายทอด ความรู้ได้ 8. เป็นผมู้ คี คู่ รองหรอื บริวารดี ผู้ทรงภูมิปัญญา ถ้าเปน็ คฤหัสถ์ จะพบวา่ ลว้ นมคี ู่ครองท่ีดี ทคี่ อยสนบั สนนุ ชว่ ยเหลือ ให้กาลังใจ ให้ความร่วมมือในงานที่ทา่ นทา ชว่ ยให้ผลิตผลงานทมี่ คี ุณค่า ถ้าเปน็ นกั บวช ไม่ว่าจะเปน็ ศาสนาใด ต้องมีบรวิ ารท่ีดี จึงจะสามารถผลิตผลงานท่ีมคี ุณคา่ ทางศาสนาได้ 9. เป็นผู้มปี ญั ญารอบรู้และเชยี่ วชาญจนได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ ผู้ทรงภูมปิ ญั ญา ต้องเป็นผ้มู ีปญั ญารอบรู้และเชีย่ วชาญ รวมท้ังสรา้ งสรรค์ผลงานพิเศษใหม่ๆ ทเ่ี ปน็ ประโยชน์ตอ่ สังคมและ มนุษยชาตอิ ยา่ งต่อเนื่องอยเู่ สมอ 3. การจัดแบ่งสาขาภูมิปัญญาไทย จากการศึกษาพบว่า มีการกาหนดสาขาภูมิปญั ญาไทยไวอ้ ย่างหลากหลาย ขนึ้ อยู่กับวตั ถุประสงค์ และ หลกั เกณฑต์ า่ งๆ ทหี่ น่วยงาน องค์กร และนักวชิ าการแตล่ ะท่านนามากาหนด ในภาพรวมภูมิปัญญาไทย สามารถแบ่งได้เปน็ 10 สาขา ดังนี้ 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทกั ษะ และ เทคนคิ ด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพ้นื ฐานคุณค่าด้งั เดมิ ซ่ึงคนสามารถพึง่ พาตนเอง ในภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การทาเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไร่นาสวนผสม และสวน ผสมผสาน การแกป้ ญั หาการเกษตรด้านการตลาด การแกป้ ัญหาดา้ นการผลิต การแกไ้ ขปัญหาโรคและแมลง และการร้จู ักปรับใชเ้ ทคโนโลยที ่ีเหมาะสมกบั การเกษตร เปน็ ตน้ 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี มัยใหม่ ในการแปรรปู ผลติ ผล เพ่ือชะลอการนาเขา้ ตลาด เพื่อแก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยดั และ เป็นธรรม อนั เป็นกระบวนการทีท่ าใหช้ ุมชนท้องถนิ่ สามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดทงั้ การผลิต และการจาหนา่ ย ผลติ ผลทางหัตถกรรม เชน่ การรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุม่ หัตถกรรม เปน็ ต้น 3. สาขาการแพทยแ์ ผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษา สุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นใหช้ ุมชนสามารถพงึ่ พาตนเอง ทางด้านสุขภาพ และอนามัยได้ เช่น การนวด แผนโบราณ การดแู ลและรักษาสุขภาพแบบพ้ืนบ้าน การดูแลและรักษาสุขภาพแผนโบราณไทย เปน็ ตน้ 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกีย่ วกับ การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ท้ังการอนรุ ักษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากคณุ ค่าของ ทรัพยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดลอ้ ม อย่างสมดุล และยงั่ ยืน เช่น การทาแนวปะการังเทียม การอนรุ ักษ์ป่าชาย เลน การจดั การป่าต้นน้า และป่าชุมชน เป็นตน้ 5. สาขากองทนุ และธุรกิจชุมชน หมายถงึ ความสามารถในการบรหิ ารจัดการด้านการ สะสม และบรกิ ารกองทุน และธรุ กิจในชุมชน ท้งั ท่ีเป็นเงนิ ตรา และโภคทรัพย์ เพื่อส่งเสรมิ ชวี ติ ความเปน็ อยู่ ของสมาชิกในชมุ ชน เช่น การจดั การเร่อื งกองทุนของชมุ ชน ในรูปของสหกรณ์ออมทรพั ย์ และธนาคารหมบู่ า้ น เปน็ ต้น

ฉ 6. สาขาสวัสดกิ าร หมายถงึ ความสามารถในการจัดสวสั ดกิ ารในการประกันคณุ ภาพชีวิต ของคน ให้เกิดความม่นั คงทางเศรษฐกจิ สังคมและวฒั นธรรม เชน่ การจดั ตั้งกองทุนสวสั ดกิ ารรกั ษาพยาบาล ของชุมชน การจดั ระบบสวสั ดิการบริการในชมุ ชน การจดั ระบบสิง่ แวดลอ้ มในชมุ ชน เป็นต้น 7. สาขาศลิ ปกรรม หมายถงึ ความสามารถในการผลิตผลงานทางดา้ นศิลปะสาขาตา่ ง ๆ เช่น จติ รกรรม ประตมิ ากรรม วรรณกรรม ทัศนศลิ ป์ คีตศลิ ป์ ศลิ ปะมวยไทย เป็นต้น 8. สาขาการจดั การองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจดั การดาเนนิ งานของ องค์กรชุมชนต่างๆ ใหส้ ามารถพฒั นา และบรหิ ารองค์กรของตนเองได้ ตามบทบาท และหนา้ ทขี่ ององค์การ เชน่ การจัดการองคก์ รของกลุ่มแมบ่ า้ น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มประมงพน้ื บ้าน เปน็ ตน้ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถงึ ความสามารถผลิตผลงานเก่ยี วกับดา้ นภาษา ทัง้ ภาษาถ่นิ ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษา ตลอดทง้ั ดา้ นวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทา สารานกุ รมภาษาถิน่ การปริวรรต หนงั สือโบราณ การฟน้ื ฟูการเรียนการสอนภาษาถ่ินของท้องถ่นิ ต่าง ๆ เป็นต้น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถงึ ความสามารถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเช่อื และประเพณีดั้งเดิมทม่ี คี ุณคา่ ให้เหมาะสมต่อการประพฤตปิ ฏิบตั ิ ใหบ้ งั เกิดผลดีต่อ บคุ คล และสิง่ แวดล้อม เชน่ การถ่ายทอดหลกั ธรรมทางศาสนา ลักษณะความสมั พันธข์ องภมู ปิ ัญญาไทย ภมู ิปัญญาไทยสามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลักษณะท่สี ัมพันธ์ใกลช้ ิดกนั คอื 10.1 ความสัมพนั ธ์อยา่ งใกลช้ ดิ กันระหว่างคนกบั โลก สิ่งแวดล้อม สตั ว์ พชื และธรรมชาติ 10.2 ความสมั พันธข์ องคนกับคนอื่นๆ ท่อี ยรู่ ่วมกนั ในสังคม หรือในชุมชน 10.3 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งคนกบั สง่ิ ศักดสิ์ ิทธส์ิ ิ่งเหนอื ธรรมชาติ ตลอดทั้งสิ่งท่ีไม่สามารถ สมั ผัสได้ท้งั หลาย ท้ัง 3 ลักษณะนี้ คือ สามมติ ิของเร่อื งเดยี วกัน หมายถึง ชวี ติ ชมุ ชน สะทอ้ นออกมาถึงภมู ิ ปญั ญาในการดาเนินชีวิตอยา่ งมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลย่ี ม ภูมปิ ัญญา จงึ เปน็ รากฐานในการ ดาเนนิ ชวี ิตของคนไทย ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นได้อย่างชดั เจนโดยแผนภาพ ดงั น้ี ลักษณะภูมิปญั ญาทเ่ี กดิ จากความสมั พนั ธ์ ระหว่างคนกบั ธรรมชาติสงิ่ แวดล้อม จะแสดงออกมา ในลักษณะภูมิปญั ญาในการดาเนินวถิ ชี วี ติ ขั้นพ้นื ฐาน ดา้ นปจั จัยสี่ ซงึ่ ประกอบด้วย อาหาร เคร่ืองนุง่ หม่ ทอ่ี ยอู่ าศยั และยารักษาโรค ตลอดทั้งการประกอบ อาชพี ต่างๆ เป็นต้น ภูมิปัญญาทเ่ี กดิ จาก ความสมั พันธ์ระหว่างคนกับคนอื่นในสงั คม จะแสดง ออกมาในลกั ษณะ จารตี ขนบธรรมเนียมประเพณี ศลิ ปะ และนนั ทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอด ทงั้ การส่ือสารต่างๆ เปน็ ตน้ ภมู ิปัญญาท่ีเกิดจากความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคนกับสิง่ ศักดส์ิ ทิ ธิ์ สง่ิ เหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลกั ษณะของส่ิงศักดิ์สทิ ธิ์ ศาสนา ความเช่อื ต่างๆ เปน็ ตน้

ช 4. คุณค่าและความสา้ คญั ของภูมิปญั ญาไทย คุณคา่ ของภูมิปญั ญาไทย ไดแ้ ก่ ประโยชน์ และความสาคัญของภูมปิ ญั ญา ท่บี รรพบรุ ษุ ไทย ได้ สรา้ งสรรค์ และสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง จากอดีตส่ปู ัจจบุ นั ทาให้คนในชาติเกดิ ความรัก และความภาคภมู ิใจ ทจ่ี ะร่วมแรงรว่ มใจสบื สานต่อไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปตั ยกรรม ประเพณีไทย การมี นา้ ใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นต้น ภูมปิ ญั ญาไทยจึงมคี ุณคา่ และความสาคญั ดงั น้ี 1. ภมู ปิ ัญญาไทยช่วยสรา้ งชาตใิ ห้เป็นปกึ แผ่น พระมหากษัตริย์ไทยได้ใชภ้ มู ิปญั ญาในการสรา้ งชาติ สร้างความเป็นปกึ แผ่นใหแ้ ก่ ประเทศชาติมาโดยตลอด ตงั้ แต่สมยั พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชน ด้วยพระ เมตตา แบบพอ่ ปกครองลกู ผู้ใดประสบความเดือดร้อน กส็ ามารถตรี ะฆัง แสดงความเดือดรอ้ น เพื่อขอรบั พระราชทานความช่วยเหลือ ทาให้ประชาชนมีความจงรกั ภักดีตอ่ พระองค์ ต่อประเทศชาติรว่ มกันสร้าง บ้านเรือนจนเจริญรงุ่ เรืองเปน็ ปกึ แผน่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข้าศึกศตั รู และทรงกอบกเู้ อกราชของชาติไทยคนื มาได้ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวภมู พิ ลอดุลยเดช รัชกาลปจั จบุ ัน พระองค์ทรงใช้ภูมิปญั ญาสร้างคุณประโยชน์แกป่ ระเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลอื คณานับ ทรงใช้ พระปรชี าสามารถ แก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมอื ง ภายในประเทศ จนรอดพน้ ภัยพิบตั หิ ลายคร้งั พระองค์ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด้าน แมแ้ ตด่ ้านการเกษตร พระองค์ไดพ้ ระราชทานทฤษฎีใหม่ใหแ้ ก่พสกนิกร ท้งั ดา้ นการเกษตรแบบสมดลุ และยัง่ ยืน ฟน้ื ฟูสภาพแวดล้อม นาความสงบร่มเยน็ ของประชาชนให้กลบั คนื มา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎใี หม่\" แบง่ ออกเปน็ 2 ขน้ั โดยเริม่ จาก ขน้ั ตอนแรก ใหเ้ กษตรกรรายย่อย \"มพี ออยู่ พอกิน\" เปน็ ขัน้ พน้ื ฐาน โดยการพฒั นาแหล่งนา้ ในไรน่ า ซึง่ เกษตรกรจาเปน็ ทีจ่ ะต้องไดร้ ับความชว่ ยเหลอื จาก หนว่ ยราชการ มลู นธิ ิ และหน่วยงานเอกชน รว่ มใจกนั พัฒนาสงั คมไทย ในขั้นที่สอง เกษตรกรต้องมคี วาม เขา้ ใจ ในการจัดการในไร่นาของตน และมกี ารรวมกลุม่ ในรูปสหกรณ์ เพื่อสรา้ งประสิทธภิ าพทางการผลติ และ การตลาด การลดรายจา่ ยดา้ นความเปน็ อยู่ โดยทรงตระหนกั ถงึ บทบาทขององค์กรเอกชน เมือ่ กลุ่มเกษตร ววิ ัฒนม์ าข้ันที่ 2 แล้ว ก็จะมีศักยภาพ ในการพฒั นาไปสูข่ ั้นทสี่ าม ซงึ่ จะมอี านาจในการต่อรองผลประโยชนก์ บั สถาบนั การเงินคอื ธนาคาร และองคก์ รท่เี ป็นเจา้ ของแหลง่ พลงั งาน ซ่ึงเป็นปัจจัยหนงึ่ ในการผลติ โดยมีการ แปรรูปผลิตผล เช่น โรงสี เพ่ือเพ่ิมมูลคา่ ผลิตผล และขณะเดียวกันมีการจัดต้ังรา้ นคา้ สหกรณ์ เพื่อลดค่าใช้จา่ ย ในชวี ิตประจาวัน อนั เป็นการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของบุคคลในสังคม จะเหน็ ได้วา่ มิไดท้ รงทอดท้ิงหลกั ของ ความสามัคคีในสงั คม และการจัดตง้ั สหกรณ์ ซ่ึงทรงสนบั สนุนใหก้ ลุ่มเกษตรกรสรา้ งอานาจต่อรองในระบบ เศรษฐกิจ จึงจะมีคุณภาพชวี ติ ทด่ี ี จึงจัดได้ว่า เปน็ สงั คมเกษตรท่พี ฒั นาแล้ว สมดังพระราชประสงค์ท่ที รงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ัญญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหง่ การครองราชย์ 2. สรา้ งความภาคภูมิใจ และศกั ดิศ์ รี เกียรตภิ มู ิแก่คนไทย คนไทยในอดีตทม่ี ีความสามารถปรากฏในประวตั ิศาสตร์มมี าก เปน็ ท่ยี อมรับของนานา อารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเป็นนกั มวยไทย ท่ีมีฝมี ือเกง่ ในการใช้อวัยวะทุกส่วน ทกุ ท่าของแมไ่ มม้ วยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพม่าได้ถงึ เก้าคนสบิ คนในคราวเดยี วกัน แมใ้ นปจั จุบนั มวยไทยก็ยังถือว่า เปน็ ศิลปะชนั้ เย่ียม เป็นท่ี นิยมฝึกและแข่งขนั ในหม่คู นไทยและชาวต่าง ประเทศ ปัจจบุ ันมีค่ายมวยไทยท่วั โลกไม่ ตา่ กวา่ 30,000 แห่ง ชาวตา่ งประเทศทีไ่ ดฝ้ ึกมวยไทย จะรู้สึกยินดีและภาคภมู ิใจ ในการท่จี ะใช้กติกา ของมวย

ซ ไทย เชน่ การไหวค้ รูมวยไทย การออก คาสงั่ ในการชกเป็นภาษาไทยทกุ คา เชน่ คาว่า \"ชก\" \"นับหน่งึ ถึงสิบ\" เปน็ ตน้ ถอื เป็นมรดก ภมู ปิ ญั ญาไทย นอกจากนี้ ภมู ิปัญญาไทยทโี่ ดด เด่นยงั มอี ีกมากมาย เชน่ มรดกภูมิ ปญั ญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยทม่ี ีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาต้ังแตส่ มัยกรงุ สุโขทัย และววิ ฒั นาการ มาจนถึงปัจจบุ นั วรรณกรรมไทยถือว่า เป็นวรรณกรรมท่ีมีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทุกดา้ น วรรณกรรม หลายเร่ืองได้รับการแปลเป็นภาษาตา่ งประเทศหลายภาษา ดา้ นอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารที่ปรงุ ง่าย พชื ที่ ใช้ประกอบอาหารส่วนใหญเ่ ป็นพืชสมนุ ไพร ท่หี าได้งา่ ยในท้องถิ่น และราคาถกู มี คุณค่าทางโภชนาการ และ ยงั ป้องกนั โรคไดห้ ลายโรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพชื สมนุ ไพร เชน่ ตะไคร้ ขงิ ขา่ กระชาย ใบ มะกรูด ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นตน้ 3. สามารถปรับประยุกต์หลกั ธรรมคาสอนทางศาสนาใช้กับวิถีชวี ิตไดอ้ ยา่ งเหมาะสม คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพทุ ธ โดยนาหลกั ธรรมคาสอนของศาสนา มาปรบั ใช้ในวถิ ีชีวิต ได้อยา่ งเหมาะสม ทาให้คนไทยเปน็ ผ้อู อ่ นน้อมถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ ประนปี ระนอม รกั สงบ ใจเยน็ มคี วาม อดทน ให้อภยั แก่ผู้สานกึ ผิด ดารงวถิ ชี วี ติ อย่างเรยี บง่าย ปกตสิ ุข ทาให้คนในชุมชนพึ่งพากันได้ แมจ้ ะอดอยาก เพราะ แห้งแลง้ แต่ไมม่ ีใครอดตาย เพราะพึง่ พาอาศัย กนั แบง่ ปนั กนั แบบ \"พรกิ บา้ นเหนือเกลือบ้านใต้\" เป็น ตน้ ท้งั หมดนส้ี ืบเนือ่ งมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพทุ ธศาสนา เปน็ การใชภ้ มู ปิ ญั ญา ในการนาเอาหลกั ของพระพุทธศาสนามา ประยุกต์ใชก้ ับชวี ิตประจาวัน และดาเนนิ กศุ โลบาย ด้านต่างประเทศ จนทาใหช้ าว พทุ ธท่วั โลกยกย่อง ใหป้ ระเทศไทยเปน็ ผู้นาทางพทุ ธศาสนา และเป็น ทีต่ ง้ั สานักงานใหญ่องค์การพุทธศาสนกิ สมั พนั ธ์ แหง่ โลก (พสล.) อยูเ่ ย้อื งๆ กับอุทยานเบญจสริ ิ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สญั ญา ธรรม ศกั ดิ์ องคมนตรี) ดารงตาแหน่งประธาน พสล. ตอ่ จาก ม.จ.หญงิ พูนพิศมัย ดิศกลุ 4. สรา้ งความสมดลุ ระหวา่ งคนในสงั คม และธรรมชาติได้อยา่ งยงั่ ยืน ภมู ปิ ญั ญาไทยมคี วามเดน่ ชัดในเรื่องของการยอมรับนบั ถือ และใหค้ วามสาคญั แกค่ น สงั คม และธรรมชาตอิ ย่างยิ่ง มีเครื่องชีท้ ี่แสดงให้เห็นได้อย่างชดั เจนมากมาย เชน่ ประเพณีไทย 12 เดอื น ตลอดทง้ั ปี ลว้ นเคารพคุณคา่ ของธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ประเพณสี งกรานต์ ประเพณลี อยกระทง เปน็ ตน้ ประเพณสี งกรานต์ เป็นประเพณที ี่ทาใน ฤดูร้อนซงึ่ มอี ากาศร้อน ทาให้ต้องการความเย็น จงึ มีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บา้ นเรอื น และธรรมชาติสงิ่ แวดลอ้ ม มกี ารแห่นางสงกรานต์ การทานายฝนวา่ จะตกมากหรือน้อยในแตล่ ะปี ส่วนประเพณีลอยกระทง คุณคา่ อยู่ที่การบูชา ระลึกถึงบญุ คุณของน้า ที่หล่อเล้ยี งชวี ิตของ คน พชื และสตั ว์ ให้ไดใ้ ช้ทัง้ บริโภคและอุปโภค ในวนั ลอยกระทง คนจงึ ทาความสะอาดแมน่ ้า ลาธาร บูชาแม่น้าจากตวั อย่าง ข้างตน้ ล้วนเป็น ความสมั พันธร์ ะหวา่ งคนกบั สงั คมและธรรมชาติ ท้ังส้นิ ในการรักษาป่าไมต้ น้ นา้ ลาธาร ไดป้ ระยุกตใ์ หม้ ีประเพณกี ารบวชป่า ใหค้ นเคารพสิง่ ศกั ด์ิสิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดลอ้ ม ยังความอดุ มสมบรู ณ์แกต่ ้นน้า ลาธาร ใหฟ้ ื้นสภาพกลบั คืนมาไดม้ าก อาชีพ การเกษตรเป็นอาชีพหลกั ของคนไทย ที่คานงึ ถึงความสมดุล ทาแต่น้อยพออยู่พอกิน แบบ \"เฮด็ อยูเ่ ฮ็ดกนิ \" ของ พอ่ ทองดี นนั ทะ เม่ือเหลอื กิน ก็แจกญาติพ่นี ้อง เพ่ือนบา้ น บา้ นใกลเ้ รอื นเคียง นอกจากนี้ ยงั นาไปแลกเปลี่ยน กบั ส่งิ ของอยา่ งอ่นื ที่ตนไม่มี เม่ือเหลือใช้จรงิ ๆ จงึ จะนาไปขาย อาจกลา่ วไดว้ ่า เปน็ การเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาใหค้ นในสังคมไดช้ ่วยเหลอื เกอื้ กลู แบ่งปันกนั เคารพรกั นับถอื เปน็ ญาติกัน ทั้งหมบู่ ้าน จงึ อยู่ รว่ มกนั อย่างสงบสุข มีความสัมพันธ์กันอยา่ งแนบแน่น ธรรมชาติไม่ถกู ทาลายไปมากนกั เนื่องจากทาพออยู่

ฌ พอกิน ไมโ่ ลภมากและไม่ทาลายทกุ อย่างผิด กบั ในปจั จุบนั ถอื เป็นภูมิปัญญาทสี่ รา้ งความ สมดลุ ระหว่างคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลีย่ นแปลงปรับปรุงไดต้ ามยุคสมัย แม้ว่ากาลเวลาจะผา่ นไป ความรู้สมยั ใหม่ จะหลั่งไหลเข้ามามาก แตภ่ มู ปิ ญั ญาไทย ก็สามารถ ปรับเปล่ยี นใหเ้ หมาะสมกับยุคสมยั เช่น การรูจ้ ักนาเครื่องยนต์มาติดต้ังกับเรือ ใส่ใบพัด เปน็ หางเสือ ทาใหเ้ รือ สามารถแลน่ ได้เรว็ ขึ้น เรียกว่า เรือหางยาว การรู้จกั ทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลกิ ฟ้นื คืน ธรรมชาติให้ อดุ มสมบูรณ์แทนสภาพเดมิ ท่ีถูกทาลายไป การรจู้ ักออมเงนิ สะสมทนุ ใหส้ มาชิกก้ยู มื ปลดเปลื้อง หน้สี นิ และจัดสวสั ดิการแก่สมาชิก จนชุมชนมคี วามมัน่ คง เขม้ แข็ง สามารถช่วยตนเองไดห้ ลายร้อยหมู่บ้านทั่ว ประเทศ เชน่ กลุ่มออมทรัพย์ครี วี ง จงั หวดั นครศรีธรรมราช จดั ในรปู กองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ช่วยตนเองได้ เม่ือป่าถกู ทาลาย เพราะถูกตัดโค่น เพ่ือปลูกพืชแบบเดยี่ ว ตามภูมิปัญญาสมัยใหม่ ทีห่ วงั ร่ารวย แต่ในที่สุด กข็ าดทนุ และมหี นสี้ ิน สภาพแวดลอ้ มสูญเสียเกิดความแห้งแล้ง คนไทยจึงคดิ ปลูกป่า ทกี่ นิ ได้ มพี ชื สวน พืชปา่ ไม้ผล พืชสมุนไพร ซ่ึงสามารถมกี ินตลอดชวี ิตเรียกวา่ \"วนเกษตร\" บางพื้นท่ี เมื่อปา่ ชมุ ชน ถูกทาลาย คนในชุมชนกร็ วมตวั กัน เป็นกลุ่มรักษาปา่ ร่วมกนั สรา้ งระเบียบ กฎเกณฑก์ ันเอง ใหท้ ุกคนถือ ปฏบิ ัตไิ ด้ สามารถรักษาปา่ ได้อย่างสมบรู ณ์ดงั เดิม เม่ือปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไมม่ ีทอี่ ยู่อาศยั ประชาชนสามารถสรา้ ง \"อหู ยัม\" ข้นึ เป็นปะการังเทยี ม ให้ปลาอาศัยวางไข่ และแพร่พันธ์ใุ ห้เจริญเตบิ โต มีจานวนมากดงั เดมิ ได้ ถอื เป็นการใช้ภมู ปิ ญั ญาปรบั ปรุงประยุกต์ใช้ได้ตามยุคสมัย สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชนฯ เล่มที่ 19 ใหค้ วามหมายของคาว่า ภูมิปญั ญาชาวบา้ น หมายถึง ความรู้ของชาวบ้าน ซึ่งไดม้ าจากประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบา้ น รวมทง้ั ความรูท้ ่ี สัง่ สมมาแต่บรรพบรุ ษุ สืบทอดจากคนรนุ่ หนงึ่ ไปสู่คนอีกรนุ่ หนงึ่ ระหว่างการสบื ทอดมีการปรับ ประยกุ ต์ และ เปล่ยี นแปลง จนอาจเกิดเปน็ ความรูใ้ หม่ตามสภาพการณท์ างสงั คมวฒั นธรรม และ ส่ิงแวดล้อม ภูมปิ ัญญาเปน็ ความรู้ที่ประกอบไปดว้ ยคุณธรรม ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบา้ น ในวถิ ีดงั้ เดิมนน้ั ชีวิตของชาวบ้านไม่ได้แบง่ แยกเป็นสว่ นๆ หากแตท่ ุกอย่างมคี วามสัมพันธ์กัน การทามาหากนิ การอยรู่ ่วมกันในชมุ ชน การปฏบิ ตั ิศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรเู้ ป็นคณุ ธรรม เมอื่ ผคู้ นใชค้ วามรู้นั้น เพื่อสร้างความสมั พันธ์ท่ดี ีระหว่าง คนกับคน คนกบั ธรรมชาติ และคนกบั สงิ่ เหนอื ธรรมชาติ ความสัมพนั ธ์ทดี่ ี เป็นความสัมพันธ์ที่มคี วามสมดลุ ทีเ่ คารพกันและกนั ไมท่ ารา้ ยทาลายกนั ทาใหท้ กุ ฝา่ ยทุกสว่ นอยูร่ ว่ มกนั ได้ อยา่ งสันติ ชมุ ชนด้ังเดมิ จึงมีกฎเกณฑข์ องการอยู่ร่วมกนั มีคนเฒา่ คนแกเ่ ป็นผนู้ า คอยให้คาแนะนาตักเตือน ตัดสนิ และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบา้ นเคารพธรรมชาตริ อบตวั ดนิ นา้ ปา่ เขา ข้าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบา้ นเคารพผหู้ ลักผูใ้ หญ่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ทัง้ ทีม่ ชี วี ิตอยู่และลว่ งลบั ไปแลว้ ภมู ิปัญญาจงึ เปน็ ความรทู้ ีม่ ีคณุ ธรรม เป็นความรทู้ มี่ เี อกภาพของทุกสงิ่ ทุกอยา่ ง เปน็ ความรู้ว่า ทกุ สิง่ ทุกอย่างสัมพันธก์ นั อยา่ งมีความสมดุล เราจงึ ยกย่องความรู้ขั้นสูงสง่ อนั เป็นความรแู้ จง้ ในความจริงแหง่ ชีวิตน้วี า่ \"ภูมปิ ญั ญา\" ความคดิ และการแสดงออก เพ่อื จะเขา้ ใจภูมิปญั ญาชาวบา้ น จาเปน็ ตอ้ งเข้าใจความคดิ ของชาวบ้านเกีย่ วกบั โลก หรือท่ีเรยี กว่า โลกทัศน์ และเก่ยี วกบั ชีวิต หรือที่เรยี กว่า ชวี ทศั น์ สิ่งเหล่าน้ีเป็นนามธรรม อนั เก่ยี วขอ้ ง สมั พนั ธ์โดยตรงกบั การแสดงออกใน ลกั ษณะต่างๆ ที่เป็นรปู ธรรม แนวคดิ เร่อื งความสมดุลของชวี ติ

ญ เปน็ แนวคดิ พ้นื ฐานของภูมิปัญญาชาวบา้ น การแพทย์แผนไทย หรือที่เคยเรยี กกนั วา่ การแพทย์แผนโบราณนั้น มหี ลักการว่า คนมีสุขภาพดี เมอื่ ร่างกายมีความสมดลุ ระหว่างธาตทุ งั้ ๔ คอื ดนิ น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะธาตุขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช้ยาสมนุ ไพร หรือวิธีการอ่ืนๆ คนเป็นไขต้ วั รอ้ น หมอยา พน้ื บา้ นจะใหย้ าเย็น เพ่ือลดไข้ เปน็ ตน้ การดาเนินชีวิตประจาวันก็เช่นเดยี วกัน ชาวบ้านเช่อื ว่า จะตอ้ งรักษา ความสมดลุ ในความสัมพนั ธส์ ามด้าน คือ ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ญาติพ่ีนอ้ ง เพือ่ นบา้ นในชมุ ชน ความสมั พันธท์ ด่ี ีมหี ลกั เกณฑ์ ที่บรรพบรุ ษุ ไดส้ ั่งสอนมา เช่น ลูกควรปฏบิ ัตอิ ยา่ งไรกับพอ่ แม่ กับญาติพน่ี อ้ ง กบั ผ้สู ูงอายุ คนเฒ่าคนแก่ กบั เพ่ือนบ้าน พ่อแม่ควรเล้ียงดูลกู อยา่ งไร ความเอ้ืออาทรตอ่ กนั และกนั ช่วยเหลือ เก้ือกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกขย์ าก หรือมปี ัญหา ใครมีความสามารถพเิ ศษก็ใช้ความสามารถนน้ั ชว่ ยเหลือ ผอู้ นื่ เช่น บางคนเปน็ หมอยา กช็ ว่ ยดแู ลรักษาคนเจบ็ ป่วยไมส่ บาย โดยไมค่ ดิ คา่ รักษา มีแต่เพียงการยกครู หรือ การราลกึ ถึงครูบาอาจารยท์ ี่ประสาทวชิ ามาให้เท่านั้น หมอยาต้องทามาหากนิ โดยการทานา ทาไร่ เลยี้ งสัตว์ เหมอื นกับชาวบ้านอื่นๆ บางคนมีความสามารถพเิ ศษด้านการทามาหากนิ กช็ ่วยสอนลูกหลานให้มีวชิ าไปดว้ ย ความสมั พันธร์ ะหวา่ งคนกับคนในครอบครวั ในชมุ ชน มกี ฎเกณฑเ์ ป็นข้อปฏบิ ตั ิ และข้อห้าม อยา่ งชดั เจน มกี ารแสดงออกทางประเพณี พธิ กี รรม และกิจกรรมต่างๆ เช่น การรดน้าดาหวั ผู้ใหญ่ การบายศรี สู่ขวัญ เปน็ ต้น ความสมั พันธ์กับธรรมชาติ ผูค้ นสมัยกอ่ นพ่งึ พาอาศยั ธรรมชาตแิ ทบทุกดา้ น ตัง้ แตอ่ าหารการ กิน เคร่อื งนุ่งหม่ ที่อยู่อาศยั และยารักษาโรค วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยยี งั ไม่พัฒนาก้าวหนา้ เหมือนทุกวนั นี้ ยงั ไม่มรี ะบบการค้าแบบสมยั ใหม่ ไม่มตี ลาด คนไปจบั ปลาล่าสตั ว์ เพื่อเป็นอาหารไปวนั ๆ ตัดไม้ เพอื่ สร้างบ้าน และใช้สอยตามความจาเปน็ เท่านน้ั ไม่ไดท้ าเพ่ือการคา้ ชาวบ้านมีหลกั เกณฑ์ในการใช้สิ่งของในธรรมชาติ ไม่ ตัดไม้ออ่ น ทาใหต้ น้ ไม้ในป่าข้ึนแทนตน้ ที่ถูกตัดไปไดต้ ลอดเวลา ชาวบ้านยงั ไมร่ ู้จกั สารเคมี ไมใ่ ชย้ าฆ่าแมลง ฆา่ หญา้ ฆ่าสัตว์ ไม่ใช้ปุย๋ เคมี ใช้สิ่งของในธรรมชาติใหเ้ กื้อกูลกนั ใช้มูลสัตว์ ใบไมใ้ บ หญา้ ทเี่ น่าเป่อื ยเปน็ ปยุ๋ ทาให้ดินอุดมสมบรู ณ์ นา้ สะอาด และไมเ่ หือดแห้ง ชาวบา้ นเคารพธรรมชาติ เชือ่ ว่า มีเทพมีเจ้าสถติ อยใู่ นดิน น้า ปา่ เขา สถานท่ีทุกแหง่ จะทาอะไรต้องขออนุญาต และทาด้วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ้าน รู้คุณธรรมชาติ ทไี่ ด้ใหช้ วี ิตแก่ตน พธิ กี รรมต่างๆ ลว้ นแสดงออกถึงแนวคดิ ดังกลา่ ว เชน่ งานบญุ พธิ ี ท่เี ก่ียวกบั น้า ขา้ ว ปา่ เขา รวมถึงสตั ว์ บ้านเรือน เครื่องใชต้ า่ งๆ มพี ธิ ีส่ขู วัญขา้ ว ส่ขู วญั ควาย สูข่ วัญเกวยี น ทางอีสานมี พิธีแฮกนา หรอื แรกนา เล้ยี งผตี าแฮก มีงานบุญบา้ น เพอื่ เล้ยี งผี หรอื สิง่ ศักด์สิ ิทธ์ิประจาหมบู่ ้าน เปน็ ตน้ ความสัมพันธ์กับสง่ิ เหนือธรรมชาติ ชาวบ้านรวู้ ่า มนุษย์เปน็ เพยี งส่วนเลก็ ๆ สว่ นหนง่ึ ของ จักรวาล ซ่งึ เตม็ ไปดว้ ยความเรน้ ลบั มีพลัง และอานาจ ทีเ่ ขาไม่อาจจะหาคาอธิบายได้ ความเร้นลบั ดงั กลา่ ว รวมถงึ ญาติพ่นี ้อง และผคู้ นที่ล่วงลับไปแลว้ ชาวบา้ นยงั สมั พนั ธก์ บั พวกเขา ทาบญุ และราลกึ ถงึ อย่างสมา่ เสมอ ทุกวัน หรอื ในโอกาสสาคัญๆ นอกนัน้ เป็นผีดี ผรี า้ ย เทพเจา้ ตา่ งๆ ตามความเชอื่ ของแตล่ ะแหง่ สิง่ เหลา่ น้สี งิ สถิตอยูใ่ นสง่ิ ตา่ งๆ ในโลก ในจักรวาล และอยูบ่ นสรวงสวรรค์การทามาหากนิ แม้วถิ ีชีวติ ของชาวบ้านเม่ือก่อนจะดูเรียบงา่ ยกวา่ ทุกวันนี้ และยังอาศยั ธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากนิ แต่พวกเขากต็ ้องใชส้ ตปิ ญั ญา ท่ีบรรพบรุ ุษถ่ายทอดมาให้ เพื่อจะได้อยู่ รอด ท้งั นเี้ พราะปัญหาตา่ งๆ ในอดตี ก็ยังมีไม่นอ้ ย โดยเฉพาะเม่ือครอบครวั มีสมาชิกมากข้ึน จาเป็นตอ้ งขยายท่ี ทากนิ ต้องหักร้างถางพง บุกเบิก พน้ื ที่ทากินใหม่ การปรับพ้ืนทปี่ ้นั คนั นา เพ่ือทานา ซึ่งเปน็ งานท่ีหนัก การทา ไร่ทานา ปลูกพชื เลีย้ งสตั ว์ และดูแลรกั ษาใหเ้ ตบิ โต และไดผ้ ล เปน็ งานทต่ี ้องอาศัยความรู้ความสามารถ การ

ฎ จบั ปลาล่าสัตว์กม็ ีวธิ ีการ บางคนมคี วามสามารถมากรู้วา่ เวลาไหน ที่ใด และวธิ ใี ด จะจบั ปลาไดด้ ีทีส่ ดุ คนที่ไม่ เก่งกต็ ้องใชเ้ วลานาน และได้ปลาน้อย การลา่ สตั ว์กเ็ ช่นเดียวกนั การจัดการแหลง่ น้า เพื่อการเกษตร ก็เปน็ ความรคู้ วามสามารถ ทม่ี มี าแตโ่ บราณ คนทาง ภาคเหนือร้จู กั บริหารนา้ เพอื่ การเกษตร และเพอื่ การบรโิ ภคตา่ งๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มกี ารจัด แบ่งปันน้ากันตามระบบประเพณีท่ี สืบทอดกันมา มีหวั หน้าทีท่ ุกคนยอมรบั มีคณะกรรมการจดั สรรนา้ ตาม สดั สว่ น และตามพนื้ ท่ีทากนิ นบั เป็นความรทู้ ท่ี าให้ชมุ ชนต่างๆ ท่ีอาศยั อยู่ใกล้ลาน้า ไมว่ า่ ต้นนา้ หรอื ปลายน้า ไดร้ บั การแบ่งปันนา้ อย่างยตุ ิธรรม ทกุ คนได้ประโยชน์ และอยู่รว่ มกนั อย่างสนั ติ ชาวบา้ นร้จู กั การแปรรูปผลิตผลในหลายรปู แบบ การถนอมอาหารให้กินไดน้ าน การดองการ หมัก เช่น ปลารา้ น้าปลา ผักดอง ปลาเค็ม เน้ือเค็ม ปลาแหง้ เนอื้ แห้ง การแปรรปู ข้าว กท็ าไดม้ ากมายนบั ร้อย ชนิด เชน่ ขนมตา่ งๆ แตล่ ะพิธีกรรม และแต่ละงานบญุ ประเพณี มขี า้ วและขนมในรปู แบบไม่ซ้ากนั ต้งั แต่ ขนมจนี สงั ขยา ไปถงึ ขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอ่นื ๆ ซ่ึงยังพอมีใหเ้ ห็นอยู่จานวนหนึ่ง ใน ปัจจบุ ันส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนมาเปน็ การผลิตเพอื่ ขาย หรือเปน็ อตุ สาหกรรมในครวั เรอื น ความรเู้ รอ่ื งการปรุงอาหารก็มีอยู่มากมาย แตล่ ะท้องถ่นิ มรี ปู แบบ และรสชาติแตกตา่ งกันไป มีมากมายนบั ร้อยนบั พนั ชนดิ แม้ในชวี ติ ประจาวัน จะมีเพียงไม่กอี่ ย่าง แต่โอกาสงานพิธี งาน เล้ียง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอยา่ งดี และพิถีพิถัน การทามาหากินในประเพณีเดมิ น้ัน เป็นท้ังศาสตรแ์ ละ ศิลป์ การเตรยี มอาหาร การจัดขนม และผลไม้ ไมไ่ ด้เป็นเพียงเพ่อื ให้รบั ประทานแลว้ อร่อย แต่ให้ได้ความ สวยงาม ทาใหส้ ามารถสัมผัสกบั อาหารนัน้ ไมเ่ พยี งแต่ทางปาก และรสชาตขิ องล้ิน แต่ทางตา และทางใจ การ เตรยี มอาหารเป็นงานศิลปะ ทีป่ รุงแตด่ ้วยความต้ังใจ ใช้เวลา ฝีมอื และความรู้ความสามารถ ชาวบ้าน สมัยกอ่ นส่วนใหญจ่ ะทานาเป็นหลกั เพราะเมื่อมีขา้ วแล้ว ก็สบายใจ อยา่ งอน่ื พอหาไดจ้ ากธรรมชาติ เสร็จหน้า นาก็จะทางานหตั ถกรรม การทอผ้า ทาเสื่อ เลี้ยงไหม ทาเครื่องมือ สาหรับจับสตั ว์ เครื่องมอื การเกษตร และ อุปกรณ์ตา่ งๆ ทจ่ี าเป็น หรอื เตรียมพื้นที่ เพ่ือการทานาครง้ั ต่อไป หตั ถกรรมเปน็ ทรพั ยส์ ิน และมรดกทางภมู ิปญั ญาท่ยี ิง่ ใหญ่ท่ีสุดอย่างหนงึ่ ของบรรพบุรุษ เพราะเป็นส่ือท่ีถา่ ยทอดอารมณ์ ความรูส้ กึ ความคดิ ความเชื่อ และคุณค่าต่างๆ ท่ีสง่ั สมมาแตน่ มนาน ลายผา้ ไหม ผ้าฝ้าย ฝมี อื ในการทออยา่ งประณตี รปู แบบเครื่องมือ ท่ีสานด้วยไม้ไผ่ และอุปกรณ์ เครื่องใชไ้ ม้สอยต่างๆ เครือ่ งดนตรี เครอ่ื งเลน่ ส่งิ เหล่านี้ได้ถกู บรรจงสรา้ งขน้ึ มา เพ่อื การใช้สอย การทาบุญ หรือการอทุ ิศใหใ้ ครคน หนึง่ ไมใ่ ช่เพื่อการคา้ ขาย ชาวบา้ นทามาหากนิ เพียงเพ่ือการยังชีพ ไม่ไดท้ าเพ่ือขาย มีการนาผลิตผลสว่ นหนึ่ง ไปแลกสง่ิ ของท่จี าเปน็ ทีต่ นเองไมม่ ี เช่น นาขา้ วไป แลกเกลือ พริก ปลา ไก่ หรอื เส้ือผา้ การขายผลิตผลมแี ต่ เพียงส่วนน้อย และเมอ่ื มีความจาเปน็ ต้องใชเ้ งนิ เพ่ือเสียภาษใี หร้ ัฐ ชาวบา้ นนาผลิตผล เช่น ข้าว ไปขายใน เมืองให้กับพอ่ ค้า หรือขายให้กบั พ่อค้าทอ้ งถ่นิ เชน่ ทางภาคอสี าน เรียกว่า \"นายฮ้อย\" คนเหลา่ นี้จะนาผลิตผล บางอยา่ ง เช่น ขา้ ว ปลาร้า ววั ควาย ไปขายในท่ีไกลๆ ทางภาคเหนอื มีพ่อคา้ วัวตา่ งๆ เป็นต้น แม้วา่ ความร้เู ร่อื งการค้าขายของคนสมยั กอ่ น ไม่อาจจะนามาใช้ในระบบตลาดเช่นปจั จุบันได้ เพราะสถานการณไ์ ด้เปลีย่ นแปลงไปอยา่ งมาก แต่การคา้ ที่มจี ริยธรรมของพ่อคา้ ในอดตี ที่ไม่ไดห้ วงั แตเ่ พยี ง กาไร แต่คานงึ ถึงการช่วยเหลือ แบง่ ปันกนั เป็นหลกั ยังมีคุณคา่ สาหรบั ปจั จบุ ัน นอกนั้น ในหลายพนื้ ที่ในชนบท ระบบการแลกเปลย่ี นสงิ่ ของยังมอี ยู่ โดยเฉพาะในพ้ืนที่ยากจน ซ่งึ ชาวบา้ นไม่มีเงินสด แต่มผี ลติ ผลตา่ งๆ ระบบ การแลกเปลย่ี นไมไ่ ด้ยึดหลักมาตราชั่งวดั หรอื การตรี าคาของสง่ิ ของ แต่แลกเปลี่ยน โดยการคานึงถึง

ฏ สถานการณ์ของผู้แลกท้ังสองฝ่าย คนท่เี อาปลาหรือไกม่ าขอแลกขา้ ว อาจจะไดข้ ้าวเปน็ ถัง เพราะเจา้ ของขา้ ว คานึงถึงความจาเปน็ ของครอบครัวเจ้าของไก่ ถ้าหากตรี าคาเป็นเงนิ ขา้ วหนึ่งถงั ย่อมมีค่าสูงกวา่ ไก่หน่ึงตัว การอยูร่ ว่ มกันในสังคม การอยู่ร่วมกนั ในชมุ ชนดง้ั เดิมนั้น สว่ นใหญจ่ ะเป็นญาติพี่น้องไม่กีต่ ระกลู ซึ่งได้อพยพยา้ ยถน่ิ ฐานมา อยู่ หรือสบื ทอดบรรพบรุ ุษจนนับญาตกิ นั ได้ท้งั ชุมชน มีคนเฒ่าคนแก่ท่ชี าวบา้ นเคารพนับถอื เปน็ ผนู้ าหนา้ ท่ี ของผู้นา ไม่ใช่การสัง่ แต่เป็นผใู้ ห้คาแนะนาปรึกษา มคี วามแมน่ ยาในกฎระเบยี บประเพณีการดาเนนิ ชีวิต ตดั สินไกลเ่ กลีย่ หากเกดิ ความขดั แย้ง ช่วยกนั แก้ไขปัญหาตา่ งๆ ท่เี กดิ ขึ้น ปัญหาในชมุ ชนก็มไี มน่ อ้ ย ปัญหา การทามาหากิน ฝนแล้ง นา้ ท่วม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต้น นอกจากนั้น ยงั มปี ัญหาความขดั แยง้ ภายในชุมชน หรือระหวา่ งชุมชน การละเมดิ กฎหมาย ประเพณี สว่ นใหญ่จะเป็นการ \" ผดิ ผี\" คือ ผีของบรรพ บุรษุ ผู้ซึง่ ได้สร้างกฎเกณฑ์ตา่ งๆ ไว้ เช่น กรณที ่ีชายหนมุ่ ถูกเนอื้ ต้องตัวหญงิ สาวทย่ี งั ไม่แตง่ งาน เปน็ ต้น หาก เกดิ การผิดผขี ึ้นมา ก็ต้องมีพธิ ีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒา่ คนแกเ่ ป็นตวั แทนของบรรพบรุ ษุ มีการว่ากล่าวสั่ง สอน และชดเชยการทาผดิ นนั้ ตามกฎเกณฑ์ทว่ี างไว้ ชาวบา้ นอยูอ่ ย่างพึ่งพาอาศยั กนั ยามเจบ็ ไข้ไดป้ ว่ ย ยาม เกดิ อุบตั ิเหตุเภทภยั ยามท่ีโจรขโมยววั ควายขา้ วของ การชว่ ยเหลือกนั ทางานที่เรียกกันวา่ การลงแขก ทั้ง แรงกายแรงใจท่มี ีอยกู่ ็จะแบง่ ปันชว่ ยเหลอื เอื้ออาทรกัน การ แลกเปลี่ยนสง่ิ ของ อาหารการกนิ และอืน่ ๆ จงึ เก่ียวขอ้ งกบั วถิ ขี องชุมชน ชาวบ้านช่วยกันเกบ็ เก่ยี วขา้ ว สรา้ งบา้ น หรอื งานอื่นทตี่ ้องการคนมากๆ เพื่อจะได้ เสรจ็ โดยเร็ว ไม่มกี ารจ้าง กรณีตวั อย่างจากการปลกู ข้าวของชาวบา้ น ถ้าปหี นง่ึ ชาวนาปลูกข้าวได้ผลดี ผลติ ผลที่ได้จะใชเ้ พื่อการ บริโภคในครอบครวั ทาบุญท่ีวัด เผ่อื แผ่ใหพ้ น่ี ้องท่ีขาดแคลน แลกของ และเก็บไว้ เผ่อื วา่ ปีหน้าฝนอาจแลง้ น้า อาจท่วม ผลติ ผล อาจไม่ดีในชุมชนต่างๆ จะมีผ้มู ีความรคู้ วามสามารถหลากหลาย บางคนเกง่ ทางการรกั ษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลย้ี งสัตว์ บางคนทางดา้ นดนตรีการละเล่น บางคนเกง่ ทางด้านพิธีกรรม คนเหลา่ น้ตี ่างก็ใชค้ วามสามารถ เพื่อประโยชน์ของชุมชน โดยไมถ่ ือเป็นอาชพี ที่มี คา่ ตอบแทน อย่างมากก็มี \"ค่าคร\"ู แต่เพียงเล็กน้อย ซ่งึ ปกตแิ ลว้ เงินจานวนน้นั ก็ใชส้ าหรับเครื่องมือประกอบ พิธกี รรม หรือ เพือ่ ทาบุญที่วัด มากกว่าทหี่ มอยา หรือบคุ คลผูน้ ั้น จะเกบ็ ไว้ใช้เอง เพราะแท้ทจ่ี รงิ แล้ว \"วิชา\" ที่ ครูถา่ ยทอดมาใหแ้ ก่ลูกศิษย์ จะต้องนาไปใช้ เพอื่ ประโยชน์แกส่ ังคม ไมใ่ ช่เพือ่ ผลประโยชนส์ ่วนตัว การตอบ แทนจึงไมใ่ ชเ่ งินหรอื ส่งิ ของเสมอไป แต่เป็นการช่วยเหลอื เก้ือกูลกนั โดยวธิ ีการต่าง ๆ ดว้ ยวิถชี วี ติ เชน่ น้ี จึงมี คาถาม เพอื่ เป็นการสอนคนรุ่นหลงั ว่า ถ้าหากคนหน่งึ จบั ปลาช่อนตัวใหญไ่ ด้หนึ่งตัว ทาอยา่ งไรจึงจะกินไดท้ ั้งปี คนสมยั นีอ้ าจจะบอกว่า ทาปลาเคม็ ปลาร้า หรอื เก็บรักษาดว้ ยวธิ กี ารต่างๆ แต่คาตอบท่ีถกู ต้อง คือ แบ่งปันให้ พี่น้อง เพอื่ นบ้าน เพราะเมื่อเขาไดป้ ลา เขากจ็ ะทากับเราเช่นเดยี วกนั ชวี ิตทางสังคมของหมบู่ า้ น มีศูนย์กลาง อยทู่ ี่วดั กจิ กรรมของสว่ นรวม จะทากันทีว่ ดั งานบญุ ประเพณีตา่ งๆ ตลอดจนการละเลน่ มหรสพ พระสงฆ์เป็น ผนู้ าทางจิตใจ เป็นครูทส่ี อนลูกหลานผูช้ าย ซ่งึ ไปรบั ใชพ้ ระสงฆ์ หรอื \"บวชเรยี น\" ทง้ั นเ้ี พราะก่อนนยี้ งั ไม่มี โรงเรียน วัดจึงเป็นทงั้ โรงเรียน และหอประชมุ เพื่อกิจกรรมต่างๆ ต่อเมื่อโรงเรียนมีขน้ึ และแยกออกจากวดั บทบาทของวัด และของพระสงฆ์ จงึ เปลย่ี นไป งานบญุ ประเพณีในชุมชนแต่ก่อนมีอยทู่ กุ เดือน ต่อมากล็ ดลงไป หรือสองสามหมบู่ ้านรว่ มกนั จัด หรอื ผลัดเปลย่ี นหมนุ เวียนกนั เชน่ งานเทศน์มหาชาติ ซึ่งเปน็ งานใหญ่ หมบู่ ้านเลก็ ๆ ไม่อาจจะจัดได้ทุกปี งาน เหล่านมี้ ที ้ังความเชื่อ พิธีกรรม และความสนุกสนาน ซ่ึงชมุ ชนแสดงออกรว่ มกนั

ฐ ระบบคณุ ค่า ความเช่อื ในกฎเกณฑป์ ระเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนดั้งเดิม ความเชือ่ นี้เปน็ รากฐานของ ระบบคณุ ค่าต่างๆ ความกตญั ญูรูค้ ุณต่อพ่อแม่ ปยู่ ่าตายาย ความเมตตาเอ้ืออาทรต่อผู้อ่นื ความเคารพตอ่ สิง่ ศักดสิ์ ิทธ์ใิ นธรรมชาติรอบตัว และในสากลจักรวาล ความเช่ือ \"ผ\"ี หรือสง่ิ ศกั ดิ์สิทธ์ใิ นธรรมชาติ เปน็ ที่มาของการดาเนนิ ชวี ติ ทัง้ ของส่วนบุคคล และของ ชุมชน โดยรวมการเคารพในผีปู่ตา หรือผปี ยู่ ่า ซึง่ เป็นผปี ระจาหมบู่ ้าน ทาให้ชาวบ้านมีความเปน็ หน่งึ เดยี วกัน เปน็ ลูกหลานของปูต่ าคนเดยี วกัน รักษาป่าทมี่ ีบา้ นเล็กๆ สาหรับผี ปลูกอยตู่ ดิ หมู่บา้ น ผปี ่า ทาให้คนตดั ไมด้ ้วย ความเคารพ ขออนญุ าตเลอื กตัดต้นแก่ และปลูกทดแทน ไม่ทิ้งสง่ิ สกปรกลงแม่น้า ดว้ ยความเคารพในแม่คงคา กินขา้ วดว้ ยความเคารพ ในแมโ่ พสพ คนโบราณกินข้าวเสร็จ จะไหว้ข้าว พิธบี ายศรีส่ขู วญั เป็นพธิ ีรื้อฟ้ืน กระชับ หรอื สร้างความสัมพันธร์ ะหวา่ งผคู้ น คนจะเดินทางไกล หรือ กลบั จากการเดินทาง สมาชิกใหม่ ในชุมชน คนป่วย หรอื กาลังฟน้ื ไข้ คนเหล่านจ้ี ะไดร้ ับพิธสี ่ขู วัญ เพือ่ ใหเ้ ป็น สริ ิมงคล มคี วามอย่เู ย็นเปน็ สุข นอกน้นั ยังมพี ธิ สี ืบชะตาชวี ิตของบุคคล หรือของชุมชน นอกจากพธิ ีกรรมกบั คนแลว้ ยังมีพิธกี รรมกบั สัตวแ์ ละธรรมชาติ มีพิธสี ขู่ วัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญ เกวยี น เป็นการแสดงออกถึงการขอบคณุ การขอขมา พธิ ดี งั กลา่ วไมไ่ ดม้ ีความหมายถึงวา่ สง่ิ เหล่าน้มี ีจิต มผี ีใน ตัวมันเอง แต่เปน็ การแสดงออก ถึงความสัมพนั ธ์กบั จติ และสง่ิ ศักด์ิสทิ ธ์ิ อันเป็นสากลในธรรมชาตทิ ั้งหมด ทา ให้ผ้คู นมคี วามสมั พนั ธ์อนั ดีกับทกุ สงิ่ คนขับแท็กซีใ่ นกรุงเทพฯ ท่มี าจากหมบู่ ้าน ยังซอ้ื ดอกไม้ แลว้ แขวนไวท้ ี่ กระจกในรถ ไมใ่ ช่เพ่ือเซ่นไหว้ผีในรถแท็กซ่ี แตเ่ ปน็ การราลกึ ถงึ ส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ ใน สากลจักรวาล รวมถึงทีส่ งิ อยู่ ในรถคนั นัน้ ผคู้ นสมัยก่อนมีความสานึกในข้อจากดั ของตนเอง รู้วา่ มนุษย์มีความอ่อนแอ และเปราะบาง หากไม่รักษาความสมั พันธอ์ นั ดี และไม่คงความสมดลุ กับธรรมชาติรอบตัวไว้ เขาคงไม่สามารถมีชวี ิตได้อย่าง เปน็ สุข และยนื นาน ผคู้ นทั่วไปจงึ ไม่มีความอวดกล้าในความสามารถของตน ไมท่ ้าทายธรรมชาติ และสงิ่ ศักดิ์สิทธิ์ มีความอ่อนนอ้ มถ่อมตน และรกั ษากฎระเบยี บประเพณีอยา่ งเครง่ ครดั ชีวิตของชาวบ้านในรอบหนง่ึ ปี จงึ มีพิธกี รรมทกุ เดือน เพื่อแสดงออกถึงความเชื่อ และความสัมพันธ์ ระหว่างผคู้ นในสังคม ระหวา่ งคนกบั ธรรมชาติ และระหว่างคนกับสงิ่ ศักด์ิสทิ ธิต์ ่างๆ ดังกรณีงานบญุ ประเพณี ของชาวอีสานท่เี รยี กวา่ ฮตี สบิ สอง คอื เดือนอ้าย (เดอื นทห่ี น่ึง) บุญเขา้ กรรม ให้พระภกิ ษเุ ขา้ ปริวาสกรรม เดอื นยี่ (เดือนทีส่ อง) บญุ คณู ลาน ใหน้ าข้าวมากองกนั ท่ีลาน ทาพธิ กี ่อนนวด เดอื นสาม บญุ ขา้ วจ่ี ใหถ้ วาย ข้าวจี่ (ข้าวเหนยี วป้ันชุบไขท่ าเกลอื นาไปย่างไฟ) เดอื นส่ี บุญพระเวส ให้ฟังเทศนม์ หาชาติ คอื เทศน์เรื่องพระ เวสสนั ดรชาดก เดือนห้า บุญสรงนา้ หรือบุญสงกรานต์ ให้สรงนา้ พระ ผเู้ ฒ่าผ้แู ก่ เดือนหก บุญบั้งไฟ บชู า พญาแถน ตามความเช่อื เดิม และบุญวสิ าขบูชา ตามความเช่ือของชาวพทุ ธ เดอื นเจด็ บุญซาฮะ (บญุ ชาระ) ให้บนบานพระภมู ิเจา้ ที่ เล้ยี งผปี ตู่ า เดอื นแปด บญุ เข้าพรรษา เดอื นเกา้ บุญข้าวประดับดนิ ทาบญุ อุทิศสว่ น กศุ ลให้ญาติพ่นี ้องผ้ลู ว่ งลับ เดอื นสิบ บญุ ข้าวสาก ทาบญุ เชน่ เดอื นเก้า รวมให้ผีไม่มีญาติ (ภาคใตม้ ีพธิ คี ลา้ ยกนั คือ งานพธิ ีเดอื นสิบ ทาบุญให้แกบ่ รรพบุรุษผลู้ ว่ งลบั ไปแล้ว แบง่ ข้าวปลาอาหารสว่ นหน่ึงใหแ้ กผ่ ไี ม่มีญาติ พวก เดก็ ๆ ชอบแย่งกันเอาของท่ีแบ่งให้ผไี ม่มีญาติหรือเปรต เรียกว่า \"การชิงเปรต\") เดอื นสบิ เอ็ด บุญออกพรรษา เดือนสิบสอง บุญกฐนิ จดั งานกฐิน และลอยกระทง ภูมปิ ญั ญาชาวบา้ นในสงั คมปัจจบุ นั ภูมิปัญญาชาวบา้ นไดก้ อ่ เกิด และสืบทอดกันมาในชุมชนหม่บู า้ น เมอ่ื หมบู่ า้ นเปล่ยี นแปลงไปพรอ้ มกบั สังคมสมยั ใหม่ ภูมปิ ัญญาชาวบ้านก็มีการปรับตัวเช่นเดียวกนั ความรู้

ฑ จานวนมากได้สูญหายไป เพราะไม่มกี ารปฏิบตั สิ บื ทอด เชน่ การรกั ษาพ้นื บา้ นบางอย่าง การใชย้ าสมุนไพรบาง ชนดิ เพราะหมอยาที่เกง่ ๆ ได้เสียชีวติ โดยไม่ได้ถา่ ยทอดให้กบั คนอน่ื หรือถา่ ยทอด แตค่ นต่อมาไม่ได้ปฏบิ ตั ิ เพราะชาวบา้ นไม่นิยมเหมือนเมอ่ื ก่อน ใช้ยาสมัยใหม่ และไปหาหมอ ท่ีโรงพยาบาล หรอื คลนิ กิ งา่ ยกว่า งาน หันตถกรรม ทอผา้ หรือเครอ่ื งเงนิ เคร่อื งเขนิ แม้จะยังเหลืออยู่ไมน่ ้อย แตก่ ็ได้ถูกพฒั นาไปเป็นการคา้ ไม่ สามารถรกั ษาคุณภาพ และฝีมอื แบบด้ังเดิมไว้ได้ ในการทามาหากนิ มีการใช้เทคโนโลยีทันสมยั ใชร้ ถไถแทน ควาย รถอแี ตน๋ แทนเกวียน การลงแขกทานา และปลกู สร้างบ้านเรอื น กเ็ กือบจะหมดไป มกี ารจา้ งงานกนั มากข้ึน แรงงานก็หา ยากกว่าแต่ก่อน ผูค้ นอพยพย้ายถน่ิ บา้ งก็เขา้ เมือง บ้างกไ็ ปทางานท่ีอื่น ประเพณงี านบุญ กเ็ หลอื ไมม่ าก ทาได้ กต็ ่อเมือ่ ลูกหลานทีจ่ ากบา้ นไปทางาน กลบั มาเย่ียมบา้ นในเทศกาลสาคญั ๆ เชน่ ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา เปน็ ต้น สังคมสมัยใหม่มรี ะบบการศึกษาในโรงเรียน มอี นามัย และโรงพยาบาล มโี รงหนงั วิทยุ โทรทัศน์ และ เคร่อื งบนั เทิงตา่ งๆ ทาใหช้ วี ิตทางสังคมของชุมชนหมบู่ า้ นเปลีย่ นไป มตี ารวจ มโี รงมศี าล มีเจ้าหน้าทรี่ าชการ ฝา่ ยปกครอง ฝา่ ยพฒั นา และอน่ื ๆ เข้าไปในหมู่บ้าน บทบาทของวดั พระสงฆ์ และคนเฒ่าคนแกเ่ ร่ิมลดน้อยลง การทามาหากนิ ก็เปล่ียนจากการทาเพอ่ื ยังชีพไปเปน็ การผลติ เพือ่ การขาย ผคู้ นต้องการเงิน เพื่อซ้ือเครอ่ื ง บรโิ ภคต่างๆ ทาใหส้ ิ่งแวดล้อม เปล่ยี นไป ผลติ ผลจากปา่ ก็หมด สถานการณเ์ ช่นนท้ี าให้ผ้นู าการพฒั นาชุมชน หลายคน ท่มี ีบทบาทสาคญั ในระดบั จังหวัด ระดับภาค และระดบั ประเทศ เรมิ่ เหน็ ความสาคัญของภมู ปิ ญั ญา ชาวบ้าน หน่วยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให้การสนับสนุน และส่งเสรมิ ใหม้ ีการอนรุ ักษ์ ฟื้นฟู ประยุกต์ และคน้ คิดสิ่งใหม่ ความรู้ใหม่ เพือ่ ประโยชน์สุขของสงั คม

1 ความเปน็ มาและความส้าคญั ของการสานแห แห แห เปน็ เครือ่ งมอื จบั ปลาเพ่ือการยงั ชีพ หรอื เพื่อประกอบอาชพี ของคนชน้ั ลา่ งของสงั คม ท่ีกล่าวเชน่ นี้ เพราะยังไม่เคยเหน็ คนชนั้ สงู หรอื คนชนั้ กลางใชแ้ ห เพ่ือหาปลาเป็นอาหารหรอื ใช้แห หาปลา เพอื่ การจาหน่าย เปน็ ประจา แตจ่ ะเห็นเป็นครัง้ คราวของบุคคลชนชัน้ ดังกล่าว เพือ่ ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ ในยามว่าง หรอื อาจจะมบี ้างท่ีบางคนอดตี เป็นชาวบ้านธรรมดาอยูต่ ามชนบท ตอนหลงั อพยพเขา้ สู่ตวั เมืองและเปลยี่ นอาชีพใน สังคมเมืองฐานะดขี ้ึน จงึ อยากราลกึ ถึงอดตี ของตวั เองบ้างเทา่ นัน้ เอง ดงั นน้ั แหจึงถือเป็นเครอื่ งมอื เพอื่ การ ยงั ชีพ หมายถึงใช้จับปลาเพื่อ การบรโิ ภคในชีวติ ประจาวันและใชป้ ระกอบอาชีพคือใช้จบั ปลา เพอื่ การ จาหน่ายของชาวบ้านในชนบท ซง่ึ เป็นฐานของสงั คม แหถือเปน็ “ภมู ปิ ัญญา” หน่งึ ของชาวบ้านทแี่ ท้จรงิ เพราะมันคือส่วนหน่ึง ของชีวิตใหช้ ีวติ มคี วามหวังเร่อื งอาหารและรายได้ในชวี ติ ประจาวัน แหจงึ ได้รับการ พฒั นาและเอาใจใสเ่ ร่ิมจากการได้รบั การถ่ายทอดเบ้ืองต้นจากบรรพบรุ ุษแลว้ ลองผิดลองถูกจนเป็นองค์ความรู้ และประสบการณ์เฉพาะตวั ของบคุ คลความแตกตา่ งของความเชือ่ เร่ืองแห ทั้งโครงสรา้ ง ขนาด วธิ ีทอด วิธยี อ้ ม และวิธีโสกที่ดูแล้วคล้าย ๆ กัน แตล่ กึ ๆ แล้ว มีหลายอยา่ งที่แตกต่างกนั ซึง่ กแ็ ลว้ แต่ ความเช่อื จากวธิ ีปฏบิ ัติ จริง ๆ และไดผ้ ลที่ต่างกันของบุคคล จนกลายเป็นประสบการณ์และภูมิปญั ญาของตนเองในทส่ี ดุ น่ีเองที่ นกั วิชาการเพิ่งเห็นความจาเป็นเข้าใจและเลือกใช้คาว่าภมู ิปัญญา (wisdom) , ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ (Popular wisdom) , ภมู ปิ ัญญาชาวบา้ น (Local wisdom) กนั อยา่ งแพร่หลายในปจั จบุ ัน ความจรงิ แหเขาใช้ทอด, เหว่ียง (ภาษากลาง) หรอื ตึก (ภาษาอสี าน) เพอ่ื หาปลาในนา้ เท่านนั้ แต่ก็ บ่อยครง้ั ท่แี หใชท้ อดบนบกก็มี ในบางกรณบี างโอกาส เช่น ใช้ทอดหรอื ตึกเพือ่ จับไก่, เพอ่ื จบั งู, เพื่อจบั หมา หลาย ๆ กรณตี า่ งกรรมต่างวาระดังกล่าว มาจากการไลจ่ บั จนหมดแรงแลว้ จงึ ตอ้ งทุน่ แรงโดยการพ่ึงแหซึ่งเปน็ วธิ ีสุดท้าย อย่างไรก็ตามบทความนีก้ ค็ งให้รายละเอยี ดใน บางเรื่องบางประเด็นทเี่ กีย่ วกบั แหเป็นมุมมองเชงิ มานษุ ยวทิ ยาวัฒนธรรม ใหผ้ ้อู า่ นท่ีไมเ่ คย ทราบมากอ่ นว่าแหคอื อะไรรปู ร่างหนา้ ตาเปน็ อยา่ งไร มคี วามยาก งา่ ยเก่ียวกับวิธีสานความเชื่อ ทเ่ี กย่ี วกบั แหและหน้าทีเ่ ฉพาะ (Role-Set) ของแหเพื่อเสริมแต่งความรู้แกผ่ สู้ นใจ ใหเ้ ขา้ ใจ และ บันทกึ ไว้เป็นองค์ความรู้อกี ทางหน่งึ แม้จะไม่สมบรู ณน์ กั กา้ เนดิ แหจับปลา พมิ ผกา มลอา และโสรยา มลอาร์ (2556) ได้อธิบายเก่ียวกับการกาเนดิ แหและความรู้ ข้อมลู ของแห ไวว้ า่ เกดิ มาจากการพัฒนาความคดิ หาวิธี จับปลาใหไ้ ด้จานวนมากของนายแห ชาวประมงยากจนท่ี ตั้ง บา้ นเรอื นอยู่ริมบงึ ใหญ่ ชาวบ้านและนายแหจบั ปลาด้วยมือเปลา่ หรอื ใช้ไม้ แหลมแทงเอา ตอ่ มานายแห มี ภรรยาและลกู หลายคน วนั หนง่ึ นายแห จบั ปลาด้วยมอื เปล่าไม่ได้ ปลาสักตวั นายแห เร่ิมคิดว่าถึงจะใชไ้ ม้แทง ปลาเป็นเครือ่ งมือช่วยก็ไดป้ ลาเพียงครั้งละ 1 ตัว เท่านน้ั ต้องหาวิธใี ห้จบั ปลาได้คร้งั ละหลาย ๆ ตัว นายแห เลยเอาไม้ไผ่มาปักลอ้ มเปน็ วงกลมแลว้ ต้อนปลาเข้าไปอยูใ่ นทีแ่ คบ ๆ ทาใหจ้ บั ปลาได้มากขน้ึ แต่ต่อมาเม่ือ ลกู ๆ เรมิ่ โตขน้ึ ปลาทหี่ าไดก้ ็ไม่ เพยี งพออีก นายแห ลองเปลยี่ นวิธจี ากเดมิ เพราะไม้ไผ่ที่นามาล้อมเป็นคอก เพ่อื จับปลานั้น ไมเ่ ป็น อันหน่ึงอนั เดียวกนั ไม้แตล่ ะอนั ปักอยกู่ บั ท่เี คล่ือนไปไหนมาไหนไม่ได้ นายแห คดิ ว่าถ้า นาเชอื กเสน้ เลก็ ๆ มามดั ไมไ้ ผ่เรยี งกนั เขา้ ก็จะสามารถยกแผงไม้ไผเ่ คลอ่ื นทไี่ ด้ นายแห และภรรยาจงึ หาเชอื ก มามดั ไม้ไผ่ใหต้ ิดกนั เปน็ แผงลอ้ มรกุ จับปลาไดม้ ากกวา่ เดิม วันเวลาผ่านไปลกู ของนายแห ก็ เจริญเติบโตข้นึ อีก มีความต้องการอาหารมากขน้ึ ตามวัยท่ีมากข้ึน ซึ่งนายแห จะต้องหาปลาให้ได้ เพ่ิมขนึ้ อีก แผงไม้ไผ่ท่ผี ูกเรยี ง กนั น้นั กลายเป็นของใช้เก้งก้างเชอื่ งชา้ ไม่ทนั กับความวอ่ งไวของปลา ในบึงใหญ่นน้ั นายแห ร้สู ึกวา่ จบั ปลาไดไ้ ม่ ทนั กินขนึ้ มาเสียแล้ว คราวนนี้ ายแห ตอ้ งกลบั มานอน กลดั กล้มุ รอ้ นรุม่ ใจคดิ หาวธิ ีใหม่ ลูก ๆ รอ้ งหิวกับพ่อแม่

2 นายแห ไดแ้ ต่นอนก่ายหน้าผากถอนหายใจเพราะสงสารลูก ๆ นกึ บนบานศาลกลา่ วขอใหเ้ ทวดาช่วยดลใจให้ คิดหาวธิ ีใหม่ ๆ ได้ ทันใด นน้ั สายตาของนายแห กม็ องเหน็ แมงมมุ ตัวหนึง่ กาลงั ชกั ใยเปน็ วงกลม นายแห เกดิ ความคดิ สร้างสรรคข์ น้ึ มาอีกทันที จึงนาดา้ ยทีป่ ่นั ไวม้ ัดเป็นรปู วงกลมเหมือนใยแมงมมุ เลียนแบบใยแมงมุม ท่ี หลังคาบ้านนายแห ขยายขนาดให้ใหญ่ขน้ึ เป็นเคร่อื งมอื จบั ปลาชนิ้ ใหม่ ไมเ่ ก้งก้างเกะกะเหมอื น ไมไ้ ผ่ สามารถ ใช้ลอ้ มกบั ชายตลงิ่ แม้จะมกี อหญ้าไดเ้ ป็นอย่างดี นายจบั ปลาได้มากข้ึนอกี นายแห เหว่ียงเคร่ืองมอื ไดเ้ ป็นวง กวา้ งตามความกว้างของเครอ่ื งมือ เมื่อตกลงในน้า กจ็ ะครอบคลมุ ปลา เอาไวไ้ ด้ บรรดาปลาหลบหนีไม่ถูกไมร่ ู้ ว่านายแห มเี ครอื่ งมอื แบบใหม่ทีล่ อยลงมาจากเบื้องบนก็ เลยถูกครอบตวั ไว้หนไี ม่ทันถูกจับได้ ชาวบ้านคน อื่น ๆ ที่ยังจับปลาดว้ ยมือเปล่าหรอื ใช้ไม้แทงปลา พากันชนื่ ชมกบั ความคิดของนายแห ว่าช่างเปน็ เครอื่ งมือท่ี วเิ ศษเหลอื ประมาณ นายแหใช้ เครอ่ื งมือน้ีจบั ปลาในบึงเลี้ยงภรรยาและลูก ๆ ไดต้ ลอดมาไม่เดือดร้อนใจอีก แลว้ ชาวบ้านพากนั มาขอดแู บบเครื่องมอื ใหมข่ องนายแห นายแห กใ็ หด้ ูอยา่ งเตม็ ใจ นายแห เป็นคนจนแต่ใจ ดไี มม่ ี หวงวชิ า เพราะเห็นว่าเครือ่ งมือนจี้ ะนาไปจับปลาท่ีไหนก็ไดท้ ้ังหว้ ยหนองคลองบึงแม่น้าหรอื ใน ทะเล ชาวบ้านทสี่ รา้ งเครื่องมือนเ้ี ลียนแบบมาจากนายแห พากนั สานกึ บญุ คณุ เม่ือมใี ครถามว่า เคร่อื งมือนเี้ รียกว่า อะไร ชาวบา้ นตา่ งตอบเป็นเสยี งเดยี วกนั วา่ เคร่ืองมือนายแห และพากันเรียก เคร่ืองมือนี้ติดปากกันวา่ “ แห” แหจงึ มีกาเนดิ มาจากความเพียรพยายามใช้ความคดิ หาวธิ ีท่ีจะ เลีย้ งภรรยาและลกู ของนายแห ชาวประมงลูก ดกนเี่ อง แหถือเป็นอปุ กรณ์ชนิดหน่ึงสาหรบั ใชจ้ บั ปลาซงึ่ นยิ มกันมากของชาวอีสานเพราะ โดยทว่ั ไปอสี านจะมี แหลง่ นา้ ขนาดเลก็ มากมายสว่ นหนอง, บึง, หรือแมน่ า้ ขนาดใหญ่จะมีน้อยมาก และไมส่ ามารถเก็บน้าไดต้ ลอด ปีวิธีจับปลาท่ีได้ผลเร็วและสะดวกท่ีสดุ ของชาวชนบทอีสานก็คอื การใช้แหเทา่ นน้ั ดังนน้ั แหของชาวอสี านจึงมี หลายขนาดหลายชนดิ ด้วยความจาเปน็ เพ่ือการยงั ชีพ ในอดีตแทบทุกครัวเรอื นของชาวบ้านจงึ มีแหไวจ้ ับปลา และถ่ายทอดภูมิปัญญาที่เก่ียวกับแหไว้ อย่างต่อเน่ืองดงั ความเชอ่ื โบราณหรือเปน็ วิถชี วี ิตปกติ (Folk way) ทวี่ า่ ชายทีห่ ว่านแหไม่ “มน” (กลม) ถือเปน็ ชายท่ีไมส่ มบรู ณ์พอที่จะแต่งงานไดด้ งั น้ันต้องฝกึ หดั เหว่ยี งแหใหม้ น ก่อนคือหาอยหู่ า กนิ ไดพ้ ่อตาจงึ จะยกลกู สาวให้อดีต, แหทาจากเชือกป่านหรือปอเทือง ซ่ึงได้จากการปลกู แลว้ ตัด ตน้ ป่านหรอื ปอเทืองน้ีแช่นา้ 10-15 วนั แลว้ นามาทุบใหเ้ น้อื ไม้แตกเป็นเสน้ ๆ แล้วนาแผ่นเหลก็ มา พูดให้ เปน็ เส้น ๆ แล้วนาไปตากแห้งและปัน่ เปน็ เชือกใชส้ านแหซ่ึงลาบากมากและปัจจบุ ันไมม่ ีให้เหน็ เพราะใชด้ า้ ย ไนล่อนแทนทแ่ี ลว้ น่ีคือความเปล่ยี นแปลงทมี่ ผี ลต่อวฒั นธรรมในเรื่องดังกล่าวทช่ี ดั เจน การสานแห เรมิ่ จากสว่ นจอมแหโดยใชไ้ ม้แบบ “ปานแห” และ “จมี ” สานโดยการถกั ห่วงเป็นจอมแห เรยี กว่า “แขแห” ถา้ เร่มิ ดว้ ย 11 หว่ งเรียกว่า “แขแห 16\" จากแขแหชุดแรกน้จี ะเปน็ หลกั ของแห ชดุ ต่อไปจนถงึ ปาก แหแขแห 16 น้จี ะทาแขแหทุกระยะเวน้ 2 ตาแหหรือเมื่อสานได้ 4 รอบแขแหมปี ระโยชน์ เพ่ือจะชว่ ย ใหแ้ หบานแผก่ ว้างขนึ้ เร่ือย ๆ รอบ ๆ จอมแหดังนั้นจึงจาเป็นตอ้ งเพิม่ ตาแหคราวละ 11 ตาหรอื 16 ตาดังกลา่ ว อันจะทาใหแ้ หแผ่เป็นวงกลมไดร้ ปู ไมเ่ ป็นแผ่นตึงหรอื เปน็ ถงุ หย่อนยานจนเกินไปซ่งึ โดยปกติแลว้ แขแห 11 จะ หย่อนยานกว่าแขแห 16 เพราะการเพิ่มตาแหมีความถี่สงู แบบตาเว้นตาความยาวของแหวดั ด้วยศอกของผู้ถัก หรอื สานแต่ต้องนับแขจากจอมแหแล้ว “ถูก โสก” หรือตอ้ ง “ถูกโฉลก” อนั เปน็ ความเช่อื ท่โี บราณสอนไว้ถา้ ไม่ ถกู โสกจะใชจ้ ับปลาได้น้อยหรือไม่ เป็นมงคลซ่ึงคาโสกแหมี 2 แบบ การย้อมแห กอ่ นจะนาแหไปหาปลาจะต้องย้อมแหด้วยวิธีธรรมชาตทิ ชี่ าวบ้านนยิ มยอ้ มกนั มากก็ คือย้อมด้วยเลอื ด วัวเลือดควายผสมกบั ใบไม้เช่นใชใ้ บบก, ใบกะบาก, เปลอื กตน้ มะมว่ งน้อย, ยอด ต้นกระถนิ , ลูกตะโกดิบ, ใบ แก่นแทว โดยการโขลกหรือตาใบไมด้ ังกลา่ วอย่างใดอย่างหนึง่ ให้ ละเอยี ดดว้ ยครกหินหรือครกไม้ขนาดใหญ่

3 แลว้ คลกุ กบั เลือดววั หรอื เลอื ดควายในกะละมังขนาด ใหญ่โดยนาแหลงคลุกกบั สว่ นผสมทเี่ ตรียมไว้ใช้มือบีบคั้น, คลุกจนได้ท่ีแลว้ จึงนาแหนีไ้ ปนึง่ ดว้ ย หวดประมาณคร่ึงช่วั โมง (เลือดสุกดแี ล้ว) กน็ าแหไปตากหรอื ผึ้งแดด จุดประสงค์ของการย้อมแหก คือนอกจากเลือดและยางใบไมท้ ีเ่ หนยี วจะช่วยเคลอื บเน้ือไนล่อนหรอื ปมขมวดท่ี สานกันของแหให้ กลมกลนื น้าซึมเข้าไม่ไดแ้ ล้วยังจะทาให้เนือ้ แหมีความล่ืนจมน้าไดเ้ ร็วและสีของเปลือกไม้กับ เลือด เม่อื นึ่งสุกแลว้ จะทาให้แหมีสีดาและมีความโปร่งง่ายแกก่ าร “สาวแห\" และง่ายแก่การเก็บปลา การถว่ งแห หลงั จากตากแหแห้งดีแลว้ ปราชญช์ าวบ้านบางทา่ นกล่าววา่ แหก็ยังนาไปทอดหรือตึก ไม่ได้จะต้องนา แหมาถว่ งโดยการใชไ้ หบรรจุน้าจนเต็มดว้ ยการนาไหใส่ในตัวแหแลว้ มัดตนี แหให้จอมมัดกบั ช่ือหรอื กง่ิ ไม้ท้งิ ไว้ ข้ามคนื โดยประมาณจุดประสงคเ์ พ่ือให้แหมคี วามกระชบั และอยู่ตวั หลงั จากนัน้ แหกใ็ ชท้ อดหรือตึกได้เลยการ เหวี่ยงแห (ทอดแห ตึกแห) ถือเป็นศาสตรเ์ ฉพาะตัวที่ จะต้องใชค้ วามรู้ ความสามารถเฉพาะตัวมากดงั น้ัน ผเู้ ขยี นคงต้องไมแ่ นะนาเพราะมขี น้ั ตอนและ รายละเอยี ดมากถ้าสนใจกไ็ ปศกึ ษาและทดลองเองจากผเู้ ชี่ยวชาญ ทผี่ ู้เขียนกล่าวอ้างอิงไว้ท้าย บทความนีก้ ็แล้วกัน การตากแห หลังจากที่ใชแ้ หจับปูปลาเสรจ็ แลว้ ควรจะนามาตากใหแ้ ห้งสลดั เอาเศษไม้, กงิ่ ไม้, ใบไมห้ รือเศษปลา เล็ก ๆ ออกใหห้ มด เพื่อไม่ให้มกี ล่นิ คาวของปลาซงึ่ แมลงสาบหรือหนูหรอื จงิ้ จกและมดชอบจะทาให้แหขาด ดงั นนั้ จึงตอ้ งนาแหมาผูกกบั เชือกแขวนไวห้ รอื ห้อยไว้กับต้นไม้ หรือท่ีสงู ๆ โดยใชเ้ ชือกมัดที่จอมแหแขวนไว้ และใช้ไม่ไผค่ ้ายนั ตัวแหเพ่ือใหแ้ หแห้งเร็วและทาความสะอาดได้ง่ายหลงั จากนัน้ นามามัดแบบกันจกุ แล้วเกบ็ ไว้ ในกระสอบแขวนไว้ในทส่ี งู หรือใน ตูเ้ กบ็ ของ สาหรับชาวชนบทแลว้ แหคอื ความหวังเร่อื งอาหารและรายได้ เพ่อื การยงั ชีพตราบใดท่ี แหลง่ นา้ ธรรมชาติยงั มีอยู่ นน้ั หมายถงึ ที่น่ันย่อมมปี ลาและอาหารธรรมชาติ ดงั นัน้ วัฒนธรรมท่ี เกี่ยวกบั แหยังคงโยงใย กับชีวติ ชาวชนบทของคนอสี านตลอดไป เพราะวิถชี วี ติ ได้ถูกกาหนดและ ถ่ายทอดจากอดีตถงึ ปัจจบุ ันแม้ วฒั นธรรมหลายอยา่ งเปลย่ี นแปลงไป แตแ่ หกค็ งผูกพนั กับช่วงชัน้ ของบคุ คลระดับลา่ งของสงั คมชนบท เพราะ ธรรมชาติกาหนดใหเ้ ขาและสิ่งแวดลอ้ มนีต้ ้องอยู่ ร่วมกันมใิ ชห่ รอื ภาพที่ 1 แสดงลักษณะของแหเอ็นและแหด้าย ท่ีมา: บ้านสขุ พอเพียง. เข้าถงึ เม่ือ 16 ตุลาคม 2556, เข้าถึงไดจ้ าก www.bansuanporpeang.com

4 การศกึ ษาภมู ปิ ญั ญาท้องถนิ่ ด้านการสานแห จากนายอ่อนศรี โฉมสวย นักเรียนผู้สงู อายโุ รงเรยี น ผูส้ ูงอายเุ ทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น อาเภอวงั นา้ เยน็ จังหวัดสระแก้วในครง้ั น้ี ทาให้ไดเ้ รยี นรู้ เขา้ ใจวถิ ชี ีวิต ค่านยิ ม ความเชื่อ ขนบธรรมเนยี มประเพณีท้องถิน่ ที่มีความสัมพันธ์เชือ่ มโยง การถ่ายทอดภมู ปิ ัญญาการสาน แห ของนายอ่อนศรี โฉมสวย ซึง่ ภมู ลิ าเนาเดมิ เกิดที่จงั หวดั อุดรธานี และได้พาครอบครัวย้ายถิ่นฐาน มาอยู่ท่ี อาเภอวังน้าเยน็ จงั หวดั สระแก้ว เม่อื ปี พ.ศ. 2520 (เดิมคือจงั หวัดปราจนี บรุ )ี ประกอบอาชพี ทานา ทาไร่ แต่ รกั ในการสานแห มีฝีมือด้านการสานแห ตลอดเวลาทอี่ ยู่ในอาเภอวงั น้าเย็น ไดส้ อนเร่ืองการสานแห ใหก้ บั คน ทีส่ นใจหลายต่อหลายคน จนเปน็ ท่ียอมรบั ในกลุ่มคนทสี่ นใจด้านการสานแห ถือเป็นภูมิปญั ญาท้องถิ่นที่มอี ยู่ ในการเสริมสรา้ งคุณภาพชีวติ เพ่ือการดารงอยูข่ องวฒั นธรรมควบคูก่ ับการพฒั นาเป็นอาชีพและรายไดข้ องคน ชุมชน ต่อไป วสั ดุอุปกรณท์ ่ีใชใ้ นการสานแห อปุ กรณ์ในการสานแห ไดแ้ ก่ ชนุ (ภาษากลาง) กีมหรอื จีม (ภาษาอสี าน), โซ่, ดา้ ย, ปานหรอื แปน้ ชนุ หรอื จมี โซ่ (ลกู แห) ดา้ ยไนลอน ปาน อปุ กรณ์ทั้งหมด ภาพที่ 2 แสดงอุปกรณ์การสานแหของคุณตาอ่อนศรี โฉมสวย

5 ส่วนประกอบของแห ภาพท่ี 3 จอมแห ภาพที่ 4 ตัวแห ภาพที่ 5 ลกู แห

6 ขั้นตอนการสานแห วธิ ีการสานแห 1. เอาดา้ ยไนลอ่ นสีขาวมาทาจอมแห คือ จุดเร่ิมต้นในการสานลักษณะการทาจอมมีบว่ งไว้ สาหรับหอ้ ยแขวนระหว่างสาน การกอ่ จอมตีตะปูสองตวั กับเกา้ อ้ีไม้ระยะหา่ งแล้วแตค่ วามต้องการจอม เลก็ จอมใหญ่เสรจ็ แลว้ ใชด้ ้ายพนั รอบตะปแู ปดรอบ ผูกหรือมดั ไวใ้ หแ้ น่น ดังภาพท่ี 6 ภาพท่ี 6 แสดงขั้นตอนการทาจอมแห

7 ถกั เพอ่ื ความแขง็ แรงสวยงาม เว้นปล่อยทั้งสองข้างประมาณข้างละ 3 ซม. ดังภาพท่ี 7 ภาพที่ 7 แสดงการถักจอมแห เพือ่ เพิม่ ความแขง็ แรง ถักเสรจ็ แลว้ หน้าตาเป็น ดังภาพที่ 8 ภาพท่ี 8 แสดงภาพสาเรจ็ ของจอมแห

8 2. สานตวั แห เรม่ิ จากการสานแข/ตัวขยาย สานเรื่อยๆ ให้มคี วามยาวประมาณ 3 เมตร ( หรอื ตาม ความต้องการ ) แล้วทาแหสาหรบั ผกู เพลาปล่อยตาลง อกี ประมาณ 50 เซนตเิ มตร ดงั ภาพท่ี 9 ภาพท่ี 9 แสดงขั้นตอนการสานตวั แห แบบเกย่ี วก้อยของคุณตาอ่อนศรี โฉมสวย

9 3. เม่อื สานไดข้ นาดความยาวตามตอ้ งการแล้ว นาโซ่ หรือลกู ตะกั่ว หรอื ลูกแห มาสานต่อจากดา้ ย ดงั ภาพที่ 10 ภาพที่ 10 แสดงขน้ั ตอนการใสล่ ูกแห วิธีการยอ้ มแห เอาเปลอื กไม้ประดู่มาต้มเค่ยี วให้แดง พอน้าร้อนแดงได้ที่ ยกลงปล่อยให้อุ่นพอประมาณ ให้เอาแห ลงแชป่ ระมาณ 2-3 ชม. จึงนาออกตากแดดให้แห้ง ก็จะได้แหทีผ่ ่านการย้อม ดงั ภาพท่ี 11 ภาพที่ 11 แสดงกรรมวิธยี อ้ มแหจากเปลือกไมป้ ระดู่

10 การน้าผลงานภมู ิปัญญาศึกษา เร่อื งการสานแห ไปใชใ้ นชวี ติ ประจา้ วัน จากตาราง ข้อมลู แสดงการเปรียบเทียบราคาแห ตามขนาดความยาวของแห ระหว่างแหสาเร็จรปู จาก โรงงาน และแหทช่ี าวบ้านสาน – ถกั ขาย จะเหน็ ได้วา่ แหทส่ี าน-ถักขาย ราคาจะสูงกว่าแหสาเรจ็ รปู จาก โรงงานคอ่ นข้างมาก และจากการพูดคุย สอบถาม คุณตาอ่อนศรี โฉมสวย ผู้ถ่ายทอดภูมปิ ญั ญาศึกษา เรอ่ื ง การสานแห เก่ียวกับราคาแหที่สานเสร็จแล้ว เม่ือนาไปขายให้กบั คนทส่ี นใจซอื้ ขายไดร้ าคาใกล้เคียงกบั ราคา จากตารางข้างต้น ซง่ึ จะเหน็ ได้ว่า การสานแหของคุณตาอ่อนศรี โฉมสวย สามารถสรา้ งเป็นรายได้ให้คุณตาได้ อกี ท้ังคณุ ตายงั ใช้เปน็ เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการหาปลาในแต่ละวันไดเ้ ปน็ อย่างดี ถือเป็นการออกกาลงั กายเพ่ือ สุขภาพทีด่ ขี องคุณตาได้อีกดว้ ย สาหรับชาวบ้านชาวชนบทแลว้ แหคอื หว่ งโซ่เรือ่ งอาหารและรายได้ เพือ่ การยงั ชพี ตราบใดท่ีแหลง่ น้า ธรรมชาติยังมีอยู่ นัน้ หมายถงึ ทีน่ ้นั ยอ่ มมีปลาและอาหารธรรมชาติ ดงั นน้ั วัฒนธรรมทีเ่ กยี่ วกบั แห ยงั คงโยงใย กบั ชวี ิตชาวบ้านของชนบท ทุกภาคตลอดไป เพราะวถิ ีชวี ิตไดถ้ กู กาหนดและถา่ ยทอดจากอดตี ถึงปจั จบุ ัน แม้ วัฒนธรรมหลายอย่างเปล่ียนแปลงไป แตแ่ ห ยังผูกพันกับปวงชนของบุคคลระดับกลางของสงั คมชนบท ประโยชนข์ องการสานแห 1. สามารถนาการสานแหนี้มาประกอบอาชีพได้ 2. การลงมือสานแหเองจะช่วยประหยดั คา่ ใช้จา่ ยได้ 3. ได้เรียนรู้วัฒธรรมของไทย 4. สามารถนาแหไปใช้หาปลาได้ 5. สามารถนาการสานแหไปเผยแพรใ่ หผ้ ้อู ื่นร้จู ักและหันมาสานแหได้

11 ภาคผนวก - ประวตั ิผ้จู ัดท้าภูมิปญั ญาศกึ ษา - ภาพประกอบ

12 ประวตั ผิ ้ถู ่ายทอดภูมิปญั ญา ชอ่ื : นายอ่อนศรี โฉมสวย เกดิ : เกิด ปี พ.ศ. 2482 อายุ 80 ปี ภูมิล้าเนา : จังหวัดอดุ รธานี ท่อี ยู่ปัจจบุ ัน: 853 หมู่ 1 ต.วังนา้ เย็น อ.วงั น้าเยน็ จ.สระแก้ว สถานภาพ : แต่งงานกบั นางบุญเรอื น โฉมสวย มบี ตุ ร 4 คน 1. นายสุภาพ โฉมสวย อายุ 58 ปี 2. นางบุญฮุ้ โฉมสวย อายุ 55 ปี 3. นายเสน่ห์ โฉมสวย อายุ 52 ปี 4. นายจุฬา โฉมสวย อายุ 45 ปี สถานภาพ สมรส ปัจจุบนั ประกอบอาชพี : ทานา ทาไร่ ประวัติผเู้ รยี บเรยี งภูมปิ ัญญาศึกษา ชื่อ: นายศุภโชค นนั ตา เกดิ : 16 เมษายน พ.ศ. 2519 อายุ 43 ปี ภมู ลิ า้ เนา : อาเภอวงั นา้ เยน็ จงั หวัดสระแก้ว ที่อยู่ปจั จุบัน: 18 หมู่ 16 ต.ตาหลังใน อ.วังน้าเยน็ จ.สระแก้ว สถานภาพ : สมรส การศกึ ษา ปริญญาตรี มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร ปรญิ ญาโท มหาวิทยาลยั ปทมุ ธานี ปจั จบุ ัน ประกอบอาชีพ : ข้าราชการครู โรงเรยี นเทศบาลมิตรสัมพนั ธว์ ทิ ยา สงั กดั เทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็

13 ภาพประกอบการจัดท้าภูมิปญั ญาศกึ ษา เร่อื ง การสานแห

14 ภาพประกอบการจดั ท้าภูมปิ ัญญาศกึ ษา เรื่องการสานแห นายอ่อนศรี โฉมสวย ผถู้ า่ ยทอดภมู ปิ ัญญาศึกษา

15 ภาพประกอบการจดั ท้าภูมปิ ญั ญาศกึ ษา เรื่องการสานแห ประชมุ รับฟังแนวทางการจัดทาภูมปิ ญั ญาศึกษาจากผู้อานวยการโรงเรยี นผ้สู ูงอายเุ ทศบาลเมอื ง วงั น้าเยน็ และผอู้ านวยการโรงเรียนเทศบาลมิตรสมั พนั ธ์วทิ ยา

16 ภาพประกอบการจัดท้าภูมปิ ัญญาศึกษา เรอื่ งการสานแห ประชมุ รบั ฟงั การจดั ทารปู เล่มและองค์ประกอบต่างๆ รวมถึงการเกบ็ ขอ้ มลู ภมู ิปัญญาศกึ ษา โดยรองผ้อู านวยการฝ่ายวิชาการโรงเรียนเทศบาลมิตรสมั พันธว์ ิทยา

17 ภาพประกอบการจดั ท้าภูมิปญั ญาศึกษา เร่อื งการสานแห ลงพ้ืนทเี่ พอื่ สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลเบ้ืองต้นจากภมู ิปัญญาศึกษา นายออ่ นศรี โฉมสวย ที่บา้ นเลขที่ 853 หมู่ 1 ต.วังน้าเย็น อ. วงั น้าเยน็ จ. สระแก้ว

18 ภาพประกอบการจดั ทา้ ภูมปิ ญั ญาศกึ ษา เรอ่ื งการสานแห ลงพ้ืนที่เพอื่ สมั ภาษณ์ และเก็บข้อมูลด้านวสั ดุอุปกรณ์ และศึกษาข้ันตอนการสานแห จากภูมิ ปญั ญาศึกษา นายอ่อนศรี โฉมสวย ทบ่ี า้ นเลขท่ี 853 หมู่ 1 ต.วังนา้ เยน็ อ. วงั นา้ เยน็ จ. สระแกว้

19 ภาพประกอบการจดั ทา้ ภูมปิ ญั ญาศึกษา เรอื่ งการสานแห เรียนรูก้ ารสานแห จากนายอ่อนศรี โฉมสวย ผ้ถู า่ ยทอดภูมิปัญญาศึกษา

20 บรรณานุกรม บา้ นสขุ พอเพียง. (2556) ลักษณะของแหเอน็ และแหด้าย. เข้าถงึ เมื่อ 16 ตลุ าคม. เขา้ ถงึ ได้จาก http://www.bansuanporpeang.com/ พิมผกา มลอา. (2556). กา้ เนดิ แหจบั ปลา, เข้าถึงเม่ือ 16 ตุลาคม, เข้าถึงได้จาก http://www.thaigoodview.com/node/115684

21 ผู้รบั รอง ขอรับรองว่าภูมิปัญญาศึกษานี้เป็นของ นายอ่อนศรี โฉมสวย จริง และสามารถนาไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ในสังคมได้ตามวัตถปุ ระสงค์ของหลกั สตู รการศึกษาของโรงเรยี นผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวังนา้ เย็น 1. นางอารยี ์ ชยั ชนะสมบัติ ทอ่ี ยู่ บา้ นเลขท่ี 1799 หมู่ 1 ต.วังน้าเย็น อ.วังนา้ เยน็ จ.สระแกว้ 2. นางปราณี ฝางแก้ว ทอ่ี ยู่ บา้ นเลขท่ี 2110 หมู่ 1 ต.วังนา้ เยน็ อ.วังนา้ เย็น จ.สระแกว้ 3. นางทองพูน เพชรรมั ย์ ที่อยู่ บา้ นเลขที่ 591/10 หมู่ 1 ต.วงั น้าเยน็ อ.วงั นา้ เยน็ จ.สระแก้ว 4. นางบงั อร คามา ทอ่ี ยู่ บา้ นเลขท่ี 2084 หมู่ 1 ต.วงั นา้ เยน็ อ.วงั น้าเย็น จ.สระแกว้ 5. นางแฉล้ม ย่งั ยนื ทอ่ี ยู่ บา้ นเลขที่ 1201/1 หมู่ 1 ต.วงั น้าเย็น อ.วงั นา้ เย็น จ.สระแกว้ 6. นางสมาน สาวงษ์ ที่อยู่ บา้ นเลขที่ 1682/1 หมู่ 1 ต.วงั นา้ เยน็ อ.วังน้าเยน็ จ.สระแก้ว 7. นางสนิม ยสี่ นุ่ แกว้ ทอ่ี ยู่ บา้ นเลขท่ี 2461 หมู่ 1 ต.วังนา้ เย็น อ.วังน้าเย็น จ.สระแกว้ 8. นางอารี มหา ท่ีอยู่ บา้ นเลขที่ 538/2 ม.1 ต.วังน้าเย็น อ.วงั นา้ เย็น จ.สระแกว้ 9. นางแก้ว จินตนา ทอ่ี ยู่ บ้านเลขที่ 1023 หมู่ 1 ต.วงั น้าเย็น อ.วังนา้ เยน็ จ.สระแก้ว 10. นางเกลือน ยืนย่ัง ทอ่ี ยู่ บ้านเลขท่ี 1557 หมู่ 1 ต.วังนา้ เยน็ อ.วังน้าเยน็ จ.สระแก้ว

22 ค้ารบั รอง ภมู ปิ ัญญาศึกษา เรอ่ื ง การสานแห ผจู้ ดั ทา้ นายออ่ นศรี โฉมสวย การสานแห เป็นภูมปิ ัญญาศึกษาทผี่ ูส้ งู อายเุ ปน็ ผคู้ ดิ ค้นภมู ิปัญญาในการดาเนนิ ชีวิตในเรือ่ งท่ีเชี่ยวชาญที่สดุ ด้วย ตนเองประกอบกับความสามารถพเิ ศษ และความคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์ เป็นสัญลักษณ์ในแต่ละชมุ ชน ท่สี ะท้อน ใหเ้ ห็นวถิ ีชีวติ และสังคมในแต่ละภูมภิ าค ปจั จบุ ันวถิ ชี วี ิตของคนในชุมชนอาเภอวงั น้าเย็น ไดเ้ ปลีย่ นแปลงไป ทาใหก้ ารสานแหดว้ ยมอื ตามแบบด้งั เดมิ น้ันขาดการสืบทอด และการเรยี นรทู้ ่ีตอ่ เนื่อง มีผลทาให้องค์ความรู้ ดังกล่าวอาจจะสูญหายไป หากไม่ไดร้ บั การอนุรักษ์ ฟ้นื ฟูและพัฒนา อีกคร้ัง ข้าพเจ้า ร้สู ึกปลาบปล้ืมใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ผจู้ ดั ทาภูมิปัญญาศกึ ษา ได้เห็นถึงความสาคัญของการ อนุรักษภ์ มู ิปัญญาไทยดา้ นการสานแห ในชมุ ชนอาเภอวังน้าเย็น ทาให้เกดิ ความภมู ใิ จ ในวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ ได้ ปลกู ฝังให้ชมุ ชนได้รซู้ ึ้งถึงคุณค่าของภมู ิปญั ญาไทย ตลอดจนได้เป็นส่วนหนึง่ ในการอนรุ ักษ์ภมู ิปญั ญาของบรรพ บรุ ษุ ใหค้ งอยู่ และสืบทอดเป็นมรดกของลกู หลานสบื ไป ขา้ พเจ้า ขอรบั รองว่าภมู ปิ ัญญาน้ีเปน็ ของ นายอ่อนศรี โฉมสวย จริง และสามารถนาไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ในสังคมไดต้ ามวัตถุประสงค์ต่อไป ลงชื่อ....................................................................... (นายศุภโชค นันตา) ตาแหนง่ ครู โรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพนั ธ์วทิ ยา

23 การประเมนิ ภูมปิ ญั ญาศึกษาการประเมินผล / ผตู้ รวจ / ผ้อู นมุ ตั ิ 1. การประเมินภูมปิ ญั ญาศกึ ษาการประเมินผล คา้ ชี้แจง ครทู ป่ี รึกษาประเมนิ ภูมปิ ัญญาศึกษาตามหวั ขอ้ การประเมินที่กาหนดให้ โดยใสเ่ คร่ืองหมายหนา้ ข้อ ตามความเปน็ จรงิ พรอ้ มทง้ั ลงลายมอื ช่อื ผู้ประเมิน ตอนท่ี 1 ข้อมลู การถา่ ยทอดภูมปิ ัญญาและกระบวนการถ่ายทอดภูมิปญั ญา ผถู้ ่ายทอดภมู ิปัญญาช่ือ นายออ่ นศรี โฉมสวย อายุ 80 ปี จัดทาภมู ิปัญญาศึกษา เร่อื ง การสานแห เป็นนักเรียนผูส้ งู อายุตามหลักสตู รการศึกษาของโรงเรยี นผ้สู งู อายุ เทศบาลเมืองวงั น้าเย็น ประจาปีการศึกษา 2561  เปน็ ผู้ถา่ ยทอดภูมิปญั ญาทีด่ าเนนิ การตามขั้นตอนทีห่ ลกั สูตรกาหนด ประจาปี เปน็ ผ้ถู ่ายทอดภูมิปัญญาที่ไมด่ าเนินการตามข้ันตอนทห่ี ลกั สูตรกาหนด ตอนที่ 2 การจดั ประเภทภูมิปัญญาศกึ ษา ภูมิปญั ญาศึกษา เรื่อง การสานแห เปน็ ภมู ิปญั ญาศึกษาประเภท  ประเภทท่ี 1 ภูมปิ ัญญาศึกษาทีผ่ สู้ งู อายเุ ปน็ ผู้คดิ คน้ ภมู ิปญั ญาในการดาเนินชวี ติ ในเร่ือง ทเ่ี ชย่ี วชาญทีส่ ุดด้วยตนเอง  ประเภทที่ 2 ภมู ิปัญญาศึกษาทผ่ี สู้ ูงอายเุ ป็นผูน้ าภมู ปิ ัญญาที่สบื ทอดจากบรรพบรุ ุษมา ประยุกต์ใชใ้ นการดาเนินชวี ิตจนเกดิ ความเชย่ี วชาญ  ประเภทท่ี 3 ภมู ิปัญญาศึกษาท่ีผสู้ ูงอายุเปน็ ผนู้ าภูมิปญั ญาทีส่ บื ทอดจากบรรพบุรุษมาใช้ ในการดาเนินชวี ิตโดยไม่มีการเปล่ยี นแปลงไปจากเดิมจนเกิดความเชี่ยวชาญ  ไม่สามารถจัดประเภทภูมิปัญญาศึกษาได้ ตอนที่ 3 สรุปผลการประเมิน  ผา่ นการประเมินภูมปิ ญั ญาศกึ ษา เนอ่ื งจากเป็นผู้ถา่ ยทอดภมู ปิ ัญญาท่ดี าเนนิ การตาม ขั้นตอนที่หลักสตู รกาหนดตามการประเมนิ ตอนท่ี 1 และ ภมู ปิ ญั ญาศกึ ษาสามารถจัดประเภทได้ตามการ ประเมนิ ตอนที่ 2  ไม่ผา่ นการประเมนิ ภมู ิปัญญาศกึ ษา เน่ืองจากเปน็ ผู้ถ่ายทอดภมู ิปัญญาที่ไมด่ าเนนิ การ ตามข้นั ตอนทหี่ ลักสูตรกาหนดตามการประเมินตอนที่ 1 และ ภูมิปญั ญาศึกษาไมส่ ามารถจดั ประเภทไดต้ าม การประเมินตอนท่ี 2 ลงช่อื ...........................................................ผ้ปู ระเมินผล (นายศภุ โชค นันตา) ตาแหน่ง ครู โรงเรียนเทศบาลมติ รสัมพันธว์ ทิ ยา

2. การประเมนิ รปู เล่มภมู ปิ ัญญาศึกษา ผลการประเมนิ 24 ผ่าน ไมผ่ ่าน หมายเหตุ ท่ี รายการประเมินองคป์ ระกอบของเลม่ 1 ปกหน้า 2 ปกใน 3 คานา 4 สารบญั 5 ทม่ี าและความสาคัญของภูมปิ ัญญาศึกษา 6 ความเปน็ มาและความสาคญั 7 ขั้นตอน 8 การนาไปใช้ 9 การประเมินผล / ผู้ตรวจ / ผอู้ นุมตั ิ 10 ผู้รบั รอง / คารบั รอง 11 ภาคผนวก 12 - ประวตั ผิ ู้จดั ทา (ประวัติผู้ถ่ายทอด/ประวตั ิผูเ้ รียบเรยี ง) 13 - ภาพประกอบ (อย่างน้อง10ภาพ) 14 บรรณานุกรม 15 รองปกหลัง 16 ปกหลัง ข้อเสนอแนะของผปู้ ระเมินรปู เลม่ ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ลงชื่อ...........................................................ผปู้ ระเมนิ รูปเล่ม (นายเกรยี งไกร ปริธรรมมงั ) ตาแหน่ง รองผอู้ านวยการโรงเรียนเทศบาลมิตรสมั พันธ์วิทยา

25 ผู้ตรวจ / ผอู้ นมุ ตั ิ ผ่าน สามารถนาไปเผยแพร่ได้ ลงช่อื ( นายจุมพล สัณหวงศ์) หัวหน้าฝา่ ยวชิ าการโรงเรยี นผูส้ ูงอายุเทศบาลเมืองนา้ เย็น อนมุ ตั ิ ลงชื่อ ( นายวรี ะ นามวงศ์ ) ผ้อู านวยการโรงเรียนผู้สงู อายเุ ทศบาลเมืองวงั น้าเยน็ เห็นชอบ ลงช่อื ( นายวเิ ชียร บวั เรือง ) ประธานกรรมการบรหิ ารโรงเรียนผสู้ ูงอายุเทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น

26


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook