Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 19การทำนาหว่าน นางราตรี บุญยืน

19การทำนาหว่าน นางราตรี บุญยืน

Published by artaaa144, 2019-05-10 01:55:55

Description: 19การทำนาหว่าน นางราตรี บุญยืน

Search

Read the Text Version

ภมู ปิ ัญญาศึกษา เร่ือง การทานาหว่าน โดย 1. นางราตรี บญุ ยนื (ผ้ถู ่ายทอดภูมปิ ญั ญา) 2. นางสาวจนั ทิมา แพนลา (ผ้เู รยี บเรียงภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่น) เอกสารภูมปิ ญั ญาศกึ ษานเี้ ป็นส่วนหนง่ึ ของการศกึ ษา ตามหลกั สตู รโรงเรยี นผ้สู งู อายุเทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น ประจาปกี ารศึกษา 2561 โรงเรียนผูส้ งู อายเุ ทศบาลเมอื งวังนา้ เย็น สังกัดเทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็ จงั หวดั สระแกว้

คานา ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ หรือเรียกช่ืออกี อยา่ งหน่งึ ว่า ภมู ิปญั ญาชาวบา้ น คือองค์ความรู้ที่ชาวบา้ นได้ สั่งสมจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นหรือจากบรรพบุรุษท่ีได้ถ่ายทอดสืบกันมาต้ังแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อนามาใช้แก้ปัญหาในชวี ิตประจาวัน การทามาหากิน การประกอบการงานเลย้ี งชีพ หรือกิจกรรมอื่นๆ เป็น การผ่อนคลายจากการทางาน หรือการย้ายถ่ินฐานเพ่ือมาตั้งถ่ินฐานใหม่แล้วคิดค้นหรือค้นหาวิธีการดังกล่าว เพื่อการแก้ปัญหา โดยสภาพพื้นที่นั้น ชุมชนวังน้าเย็นแห่งนี้ เกิดขึ้นเม่ือราวๆ 50 ปีที่ผ่านมา จากการอพยพ ถิ่นฐานของผู้คนมาจากทุกๆ ภาคของประเทศไทย แล้วมาก่อตั้งเป็นชุมชนวังน้าเย็น ซึ่งบางคนได้นาองค์ ความรู้มาจากถ่ินฐานเดิมแล้วมีการสืบทอดสืบสานมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับ ภูมิปัญญาศึกษา เร่ือง การทานาหว่าน โดยนางราตรี บุญยืน ได้รวบรวม เรียบเรียง ถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนรุ่นหลัง ได้สืบคน้ หรอื ค้นควา้ เป็นภมู ิปญั ญาศกึ ษา ของคนในชมุ ชนเทศบาลเมืองเมอื งวงั น้าเย็น จังหวัดสระแกว้ ผู้ศึกษาขอขอบพระคุณ นายวันชัย นารีรักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้าเย็น นายคนองพล เพ็ชรร่ืน ปลัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น คณะกรรมการโรงเรียนผู้สูงอายุ กองสวัสดิการสังคม กองสาธารณสุขและ สง่ิ แวดล้อม เทศบาลเมืองวังน้าเย็น โรงเรยี นเทศบาลมิตรสัมพันธ์วิทยา โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองวังน้าเย็น หนว่ ยงานอ่ืนๆ ท่ีเกย่ี วข้อง และขอขอบพระคณุ นางสาวจนั ทิมา แพนลา ทีไ่ ดเ้ ป็นท่ปี รึกษาดูแลรับผดิ ชอบงาน ด้านธุรการ บันทึกเร่ืองราวและจัดทาเป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์ครบถ้วน ความรู้อันใดหรือกุศลอันใดท่ีเกิดจากการ ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมพลังจนเกิดมีภูมิปัญญาศึกษาฉบับน้ี ขอกุศลผลบุญนั้นจงเกิดมีแก่ผู้เก่ียวข้องดังท่ี กล่าวมาทกุ ๆ ท่านเพือ่ สรา้ งสงั คมแหง่ การเรียนตอ่ ไป นางราตรี บุญยืน นางสาวจนั ทมิ า แพนลา ผู้จัดทา

ท่มี าและความสาคญั ของภูมิปัญญาศึกษา จากพระราชดารสั ของพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช ท่ีวา่ “ประชาชนนั่นแหละ ทีเ่ ขามคี วามร้เู ขาทางานมาหลายชั่วอายคุ น เขาทากันอยา่ งไร เขามคี วามเฉลยี วฉลาด เขารวู้ ่าตรงไหน ควรทากสิกรรม เขารู้ว่าตรงไหนควรเก็บรักษาไว้ แตท่ ี่เสียไปเพราะพวกไม่รู้เร่ือง ไมไ่ ด้ทามานานแลว้ ทาให้ ลืมว่าชีวิตมันเป็นไปโดยการกระทาที่ถูกต้องหรือไม่” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา- ภมู ิพลอดลุ ยเดช ท่ีสะทอ้ นถงึ พระปรชี าสามารถในการรับรู้และความเขา้ ใจหย่งั ลึก ท่ีทรงเหน็ คุณค่าของ ภมู ิปัญญาไทยอยา่ งแทจ้ ริง พระองคท์ รงตระหนักเป็นอยา่ งยิ่งวา่ ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ เป็นสงิ่ ท่ชี าวบา้ น มอี ยู่แล้ว ใช้ประโยชน์เพ่ือความอยู่รอดกนั มายาวนาน ความสาคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึง่ ความรู้ท่ีสั่งสม จากการปฏิบัติจริงในห้องทดลองทางสังคม เป็นความรู้ดั้งเดิมท่ีถูกค้นพบ มีการทดลองใช้ แกไ้ ข ดัดแปลง จนเปน็ องคค์ วามรู้ทสี่ ามารถแก้ปญั หาในการดาเนนิ ชวี ิตและถ่ายทอดสบื ต่อกันมา ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น เป็นขุมทรพั ย์ทางปัญญาที่คนไทยทุกคนควรรู้ ควรศึกษา ปรับปรุง และพัฒนาให้สามารถนาภูมิปัญญาท้องถ่ิน เหล่านั้นมาแกไ้ ขปัญหาใหส้ อดคลอ้ งกับบรบิ ททางสังคม วฒั นธรรมของกล่มุ ชุมชนน้ัน ๆ อย่างแท้จริง การพัฒนาภูมิปัญญาศึกษานับเป็นส่ิงสาคัญต่อบทบาทของชุมชนท้องถ่ินท่ีได้พยายาม สร้างสรรค์ เปน็ น้าพักนา้ แรงร่วมกนั ของผ้สู งู อายแุ ละคนในชุมชนจนกลายเปน็ เอกลักษณแ์ ละวฒั นธรรม ประจาถ่นิ ที่เหมาะต่อการดาเนนิ ชีวิต หรือภูมิปัญญาของคนในท้องถ่ินนั้น ๆ แตภ่ ูมปิ ัญญาท้องถิ่นสว่ นใหญ่เป็น ความรู้ หรือเป็นส่ิงที่ได้มาจากประสบการณ์ หรือเป็นความเชื่อสืบต่อกันมา แต่ยังขาดองค์ความรู้ หรือขาด หลักฐานยืนยันหนักแนน่ การสร้างการยอมรับที่เกดิ จากฐานภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินจงึ เปน็ ไปได้ยาก ดังน้ัน เพ่ือให้เกิดการส่งเสริมพัฒนาภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถ่ิน กระตุ้นเกิดความ ภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของบุคคลในท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย เกิดการถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่ คนรุ่นหลัง โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น ได้ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อ พฒั นาศักยภาพผู้สูงอายุในท้องถ่ินท่ีเน้นให้ผูส้ ูงอายไุ ด้พัฒนาตนเองใหม้ ีความพรอ้ มสสู่ ังคมผู้สูงอายุท่ีมีคุณภาพ ในอนาคต รวมท้ังสืบทอดภูมิปัญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผู้สูงอายุที่ได้สั่งสมมา เกิดจากการสืบทอด ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู้สูงอายุจะเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ และมีครูพี่เล้ียงซ่ึงเป็นคณะครู ของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมอื งวงั นา้ เย็น เปน็ ผ้เู รยี บเรยี งองคค์ วามรู้ไปส่กู ารจดั ทาภมู ปิ ัญญาศึกษา ให้ปรากฏออกมาเป็นรูปเล่มภูมิปัญญาศึกษา ใช้เป็นส่วนหน่ึงในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียน ผู้สูงอายุ ประจาปีการศึกษา 2560 พร้อมท้ังเผยแพร่และจัดเก็บคลังภูมิปัญญาไว้ในห้องสมุดของโรงเรียน เทศบาลมติ รสมั พนั ธ์วิทยา เพอื่ ให้ภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ เหล่าน้ีเกิดการถา่ ยทอดส่คู นรุ่นหลงั สบื ต่อไป จากความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่มีส่วนร่วมในการผสมผสาน องค์ความรู้ เพื่อยกระดับความรู้ของภูมิปัญญาน้ัน ๆ เพ่ือนาไปสู่การประยุกต์ใช้ และผสมผสานเทคโนโลยี ใหม่ ๆ ให้สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนาภูมิปัญญาไทยกลับสู่การศึกษา สามารถส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาในโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ์วิทยา และโรงเรียนในสังกัด เทศบาลเมืองวังน้าเย็น เกิดการมีส่วนร่วมในกระบวนการถ่ายทอด เชื่อมโยงความรู้ให้กับนักเรียนและบุคคล ทั่วไปในท้องถิ่น โดยการนาบุคลากรท่ีมีความรู้ความสามารถในท้องถิ่นเข้ามาเป็นวิทยากรให้ความรู้กับ นักเรียนในโอกาสต่างๆ หรือการที่โรงเรียนนาองค์ความรู้ในท้องถิ่น เข้ามาสอนสอดแทรกในกระบวนการ จัดการเรยี นรู้ ส่ิงเหลา่ นท้ี าให้การพัฒนาภูมิปญั ญาทอ้ งถิ่น นาไปสกู่ ารสบื ทอดภมู ปิ ัญญาศึกษา

เกิดความสาเร็จอย่างเป็นรูปธรรม นักเรียนผู้สูงอายุเกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของตนท่ีได้ถ่ายทอดสู่คน รุ่นหลังให้คงอยู่ในท้องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตประจาท้องถ่ิน เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตคู่ แผน่ ดนิ ไทยตราบนานเท่านาน นิยามคาศัพทใ์ นการจดั ทาภูมิปัญญาศึกษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ผู้สูงอายุเช่ียวชาญท่ีสุด ของ ผู้สูงอายุท่ีเข้าศกึ ษาตามหลักสตู รของโรงเรียนผู้สูงอายเุ ทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมปิ ัญญา ในรูปแบบต่าง ๆ มีการสืบทอดภูมิปัญญาโดยการปฏิบัติและการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษรตามรูปแบบท่ี โรงเรียนผู้สูงอายกุ าหนดขึ้น ใช้เปน็ สว่ นหน่ึงในการจบหลักสูตรการศกึ ษา เพ่ือใหภ้ ูมิปัญญาของผู้สูงอายุไดร้ ับ การถา่ ยทอดสคู่ นรุ่นหลงั และคงอยใู่ นท้องถน่ิ ต่อไป ซึ่งแบง่ ภูมปิ ญั ญาศกึ ษาออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ 1. ภมู ิปญั ญาศึกษาท่ีผู้สูงอายุเป็นผู้คิดคน้ ภูมปิ ัญญาในการดาเนินชีวิตในเร่ืองทเี่ ช่ยี วชาญท่สี ดุ ดว้ ยตนเอง 2. ภูมิปัญญาศึกษาที่ผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต์ใช้ในการดาเนิน ชีวิตจนเกดิ ความเชีย่ วชาญ 3. ภูมิปัญญาศึกษาท่ีผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช้ในการดาเนินชีวิตโดย ไม่มีการเปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ จนเกิดความเช่ียวชาญ ผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญา หมายถึง ผู้สูงอายุที่เข้าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็น เป็นผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ตนเองเชี่ยวชาญมากที่สุด นามาถ่ายทอดให้แก่ผู้ เรียบเรียงภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ินไดจ้ ัดทาข้อมลู เป็นรปู เล่มภมู ิปัญญาศกึ ษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ผู้ที่นาภูมิปัญญาในการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีผู้สูงอายุ เช่ียวชาญที่สุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษร ศึกษาหาข้อมูลเพ่ิมเติมจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรปู เลม่ ใชช้ ื่อว่า “ภูมปิ ญั ญาศกึ ษา”ตามรูปแบบที่โรงเรยี นผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวงั น้าเย็นกาหนด ครูท่ีปรึกษา หมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูพ่ีเล้ียง เป็นผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถ่ิน ปฏิบัติ หน้าท่ีเป็นผู้ประเมนิ ผล เป็นผู้รับรองภูมิปัญญาศึกษา รวมท้ังเป็นผู้นาภูมิปัญญาศึกษาเข้ามาสอนในโรงเรียน โดยบรู ณาการการจัดการเรยี นรู้ตามหลักสูตรท้องถน่ิ ท่ีโรงเรยี นจดั ทาข้นึ

ภมู ิปญั ญาศกึ ษาเชอื่ มโยงสู่สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชนฯ 1. ลักษณะของภูมิปัญญาไทย ลกั ษณะของภมู ปิ ญั ญาไทย มีดงั น้ี 1. ภูมปิ ัญญาไทยมีลักษณะเป็นทง้ั ความรู้ ทักษะ ความเช่อื และพฤตกิ รรม 2. ภูมิปญั ญาไทยแสดงถงึ ความสมั พันธ์ระหว่างคนกบั คน คนกับธรรมชาติ สง่ิ แวดล้อม และคนกบั สิ่งเหนือธรรมชาติ 3. ภมู ปิ ัญญาไทยเปน็ องคร์ วมหรอื กจิ กรรมทกุ อย่างในวิถีชีวติ ของคน 4. ภมู ิปญั ญาไทยเป็นเร่ืองของการแก้ปญั หา การจดั การ การปรบั ตัว และการเรยี นรู้ เพือ่ ความอยู่รอดของบุคคล ชมุ ชน และสังคม 5. ภมู ิปญั ญาไทยเป็นพ้นื ฐานสาคญั ในการมองชีวิต เป็นพ้นื ฐานความรใู้ นเรอ่ื งต่างๆ 6. ภมู ิปญั ญาไทยมลี ักษณะเฉพาะ หรือมีเอกลกั ษณใ์ นตัวเอง 7. ภูมิปญั ญาไทยมีการเปล่ยี นแปลงเพ่ือการปรบั สมดุลในพัฒนาการทางสงั คม 2. คณุ สมบัติของภูมิปัญญาไทย ผู้ทรงภมู ิปัญญาไทยเป็นผูม้ ีคุณสมบตั ิตามท่กี าหนดไว้ อยา่ งนอ้ ยดังต่อไปน้ี 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่างๆ มีผลงานด้านการพัฒนา ท้องถิ่นของตน และได้รับการยอมรับจากบุคคลท่ัวไปอย่างกว้างขวาง ท้ังยังเป็นผู้ท่ีใช้หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเปน็ เคร่อื งยดึ เหน่ยี วในการดารงวถิ ชี วี ติ โดยตลอด 2. เป็นผู้คงแก่เรียนและหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ผู้ทรงภูมิปัญญาจะเป็นผู้ที่หมั่นศึกษา แสวงหาความรู้เพ่ิมเติมอยู่เสมอไม่หยุดนิ่ง เรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผู้ลงมือทา โดยทดลองทา ตามท่ีเรียนมา อีกทั้งลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผู้รู้อื่นๆ จนประสบความสาเร็จ เป็นผู้เชี่ยวชาญ ซ่งึ โดด เด่นเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละด้านอย่างชัดเจน เป็นที่ยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู้ใหม่ๆ ท่ีเหมาะสม นามา ปรบั ปรุงรับใชช้ ุมชน และสังคมอยูเ่ สมอ 3. เป็นผู้นาของท้องถ่ิน ผู้ทรงภูมิปัญญาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่สังคม ในแต่ละท้องถิ่นยอมรับให้ เป็นผู้นา ทั้งผู้นาท่ีได้รับการแต่งต้ังจากทางราชการ และผู้นาตามธรรมชาติ ซ่ึงสามารถเป็นผู้นาของท้องถ่ิน และช่วยเหลือผูอ้ นื่ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 4. เปน็ ผู้ท่ีสนใจปัญหาของทอ้ งถิน่ ผู้ทรงภมู ิปัญญาลว้ นเป็นผู้ท่สี นใจปญั หาของทอ้ งถ่นิ เอาใจ ใส่ศึกษาปัญหา หาทางแก้ไข และช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล้เคียงอย่างไม่ย่อท้อ จนประสบความสาเร็จเปน็ ทยี่ อมรับของสมาชกิ และบคุ คลท่ัวไป 5. เป็นผขู้ ยันหมัน่ เพยี ร ผ้ทู รงภูมปิ ัญญาเป็นผู้ขยนั หมน่ั เพียร ลงมือทางานและผลติ ผลงานอยู่ เสมอ ปรับปรงุ และพัฒนาผลงานให้มคี ุณภาพมากขนึ้ อีกทัง้ มุง่ ทางานของตนอยา่ งต่อเนื่อง 6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชน์ของท้องถ่ิน ผู้ทรงภูมิปัญญา นอกจากเป็นผู้ที่ ประพฤติตนเป็นคนดี จนเป็นท่ียอมรับนับถือจากบุคคลทั่วไปแล้ว ผลงานท่ีท่านทายังถือว่ามีคุณคา่ จึงเป็นผู้ที่ มีทั้ง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผู้ประสานประโยชน์ให้บุคคลเกิดความรกั ความเข้าใจ ความเห็น ใจ และมคี วามสามัคคีกนั ซึ่งจะทาใหท้ ้องถ่ิน หรือสังคม มคี วามเจริญ มคี ุณภาพชีวิตสูงขน้ึ กวา่ เดิม

7. มคี วามสามารถในการถ่ายทอดความรเู้ ป็นเลศิ เม่ือผู้ทรงภมู ปิ ัญญามีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์เป็นเลิศ มผี ลงานทเ่ี ปน็ ประโยชน์ต่อผู้อืน่ และบคุ คลท่ัวไป ทัง้ ชาวบา้ น นกั วิชาการ นักเรียน นิสติ /นักศกึ ษา โดยอาจเขา้ ไปศกึ ษาหาความรู้ หรอื เชิญทา่ นเหล่าน้นั ไป เป็นผถู้ ่ายทอดความรู้ได้ 8. เป็นผู้มีคู่ครองหรือบริวารดี ผู้ทรงภูมิปัญญา ถ้าเป็นคฤหัสถ์ จะพบว่า ล้วนมีคู่ครองท่ีดีที่ คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้กาลังใจ ให้ความร่วมมือในงานที่ท่านทา ช่วยให้ผลิตผลงานท่ีมีคุณค่า ถ้าเป็น นกั บวช ไม่วา่ จะเปน็ ศาสนาใด ต้องมบี รวิ ารที่ดี จงึ จะสามารถผลติ ผลงานท่ีมีคุณค่าทางศาสนาได้ 9. เป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเชี่ยวชาญจนได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ ผู้ทรงภูมิปัญญา ต้องเป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเชี่ยวชาญ รวมทั้งสร้างสรรค์ผลงานพิเศษใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและ มนษุ ยชาตอิ ย่างตอ่ เนอื่ งอยู่เสมอ 3. การจดั แบ่งสาขาภูมปิ ัญญาไทย จากการศึกษาพบว่า มีการกาหนดสาขาภูมิปัญญาไทยไว้อย่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ และหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่หน่วยงาน องค์กร และนักวิชาการแต่ละท่านนามากาหนด ในภาพรวมภูมิปัญญาไทย สามารถแบ่งได้เป็น 10 สาขา ดงั นี้ 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และเทคนคิ ด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพฒั นาบนพ้ืนฐานคุณค่าด้งั เดมิ ซึง่ คนสามารถพึ่งพาตนเองใน ภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไร่นาสวนผสม และ สวนผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิต การแก้ไขปัญหาโรคและ แมลง และการรู้จักปรับใช้เทคโนโลยที ่ีเหมาะสมกับการเกษตร เป็นต้น 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ใน การแปรรปู ผลิตผล เพ่อื ชะลอการนาเข้าตลาด เพอื่ แก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการท่ีทาให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดทั้งการผลิต และการจาหน่าย ผลติ ผลทางหัตถกรรม เชน่ การรวมกลมุ่ ของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุ่มหัตถกรรม เป็นตน้ 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษา สุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพ่ึงพาตนเอง ทางด้านสุขภาพ และอนามัยได้ เช่น การนวด แผนโบราณ การดูแลและรักษาสขุ ภาพแบบพื้นบา้ น การดแู ลและรกั ษาสขุ ภาพแผนโบราณไทย เป็นต้น 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเก่ียวกับ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม ทั้งการอนุรกั ษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากคุณค่าของ ทรพั ยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล และย่ังยืน เชน่ การทาแนวปะการงั เทยี ม การอนุรักษ์ป่าชาย เลน การจดั การปา่ ต้นน้า และปา่ ชมุ ชน เป็นตน้ 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการ สะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ท้ังท่ีเป็นเงินตรา และโภคทรัพย์ เพ่ือส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ ของสมาชกิ ในชมุ ชน เช่น การจดั การเร่อื งกองทุนของชมุ ชน ในรูปของสหกรณ์ออมทรัพย์ และธนาคารหมู่บ้าน เป็นต้น 6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เช่น การจัดต้ังกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล ของชมุ ชน การจดั ระบบสวัสดกิ ารบริการในชุมชน การจดั ระบบสง่ิ แวดลอ้ มในชุมชน เป็นตน้

7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น จติ รกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทศั นศิลป์ คีตศลิ ป์ ศลิ ปะมวยไทย เป็นตน้ 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค์กรชุมชนต่างๆ ให้สามารถพัฒนา และบริหารองค์กรของตนเองได้ ตามบทบาท และหน้าท่ีขององค์การ เช่น การจัดการองค์กรของกลุม่ แม่บ้าน กล่มุ ออมทรพั ย์ กลมุ่ ประมงพ้ืนบา้ น เป็นต้น 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลติ ผลงานเกีย่ วกบั ด้านภาษา ทั้งภาษาถ่ิน ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษา ตลอดทั้งด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทา สารานุกรมภาษาถ่ิน การปรวิ รรต หนงั สือโบราณ การฟื้นฟกู ารเรยี นการสอนภาษาถิน่ ของท้องถิ่นต่าง ๆ เป็นตน้ 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเชื่อ และประเพณีด้ังเดิมท่ีมคี ุณค่าให้เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติ ให้บังเกิดผลดีต่อ บุคคล และสิ่งแวดล้อม เช่น การถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาไทยภูมิ- ปัญญาไทยสามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลักษณะทสี่ ัมพนั ธใ์ กลช้ ิดกนั คือ 10.1 ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันระหว่างคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช และ ธรรมชาติ 10.2 ความสัมพันธข์ องคนกับคนอ่ืนๆ ท่ีอยู่ร่วมกนั ในสังคม หรือในชมุ ชน 10.3 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับส่ิงศักด์ิสิทธ์ิส่ิงเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งส่ิงท่ีไม่ สามารถสัมผัสได้ท้ังหลาย ท้ัง 3 ลักษณะน้ี คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท้อนออก มาถึงภมู ิปญั ญาในการดาเนินชีวิตอยา่ งมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหล่ียม ภูมิปัญญา จึงเป็นรากฐาน ในการดาเนินชวี ติ ของคนไทย ซงึ่ สามารถแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนโดยแผนภาพ ดังนี้ ลักษณะภูมิปัญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ์ ระหว่างคนกับธรรมชาติส่ิงแวดล้อม จะแสดงออกมา ในลักษณะภูมิปัญญาในการดาเนินวิถีชีวิตข้ันพ้ืนฐาน ด้านปัจจัยสี่ ซึ่งประกอบด้วย อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ตลอดทั้งการประกอบ อ า ชี พ ต่ า ง ๆ เป็ น ต้ น ภู มิ ปั ญ ญ า ท่ี เกิ ด จ า ก ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนอ่ืนในสังคม จะแสดง ออกมาในลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และนันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดทั้งการส่อื สารตา่ งๆ เป็นต้น ภูมิปัญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับส่ิงศักดิ์สิทธิ์ ส่ิงเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลกั ษณะของสง่ิ ศักดิ์สทิ ธ์ิ ศาสนา ความเชอื่ ต่างๆ เปน็ ต้น 4. คณุ ค่าและความสาคัญของภมู ิปัญญาไทย คุณค่าของภูมิปัญญาไทย ได้แก่ ประโยชน์ และความสาคัญของภูมิปัญญา ท่ีบรรพบุรุษไทย ได้สร้างสรรค์ และสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง จากอดีตสู่ปัจจุบัน ทาให้คนในชาติเกิดความรัก และความ

ภาคภูมใิ จ ท่ีจะรว่ มแรงรว่ มใจสืบสานตอ่ ไปในอนาคต เชน่ โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ประเพณี ไทย การมนี า้ ใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นตน้ ภูมิปญั ญาไทยจึงมีคุณคา่ และความสาคัญดังน้ี 1. ภูมปิ ญั ญาไทยชว่ ยสร้างชาติใหเ้ ปน็ ปึกแผน่ พระมหากษัตริย์ไทยได้ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ ประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชน ด้วยพระ เมตตา แบบพ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบความเดือดร้อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร้อน เพื่อขอรับ พระราชทานความช่วยเหลือ ทาให้ประชาชนมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ ต่อประเทศชาติร่วมกันสร้าง บ้านเรือนจนเจรญิ รงุ่ เรืองเป็นปกึ แผน่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข้าศึกศัตรู และทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้ พระปรีชาสามารถ แก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ้นภัยพิบัติหลายครง้ั พระองค์ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด้าน แม้แต่ด้านการเกษตร พระองค์ได้พระราชทานทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนิกร ทั้งด้านการเกษตรแบบสมดุลและย่ังยืน ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นาความสงบร่มเย็นของประชาชนให้กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎใี หม\"่ แบ่งออกเป็น 2 ข้ัน โดยเริ่มจาก ขน้ั ตอนแรก ให้เกษตรกรรายย่อย \"มพี ออยู่พอ กิน\" เป็นข้ันพื้นฐาน โดยการพัฒนาแหล่งน้า ในไร่นา ซ่ึงเกษตรกรจาเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจาก หน่วยราชการ มูลนิธิ และหน่วยงานเอกชน ร่วมใจกันพัฒนาสังคมไทย ในขั้นท่ีสอง เกษตรกรต้องมีความ เข้าใจ ในการจัดการในไร่นาของตน และมีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ เพ่ือสร้างประสิทธิภาพทางการผลิต และการตลาด การลดรายจ่ายด้านความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนกั ถึงบทบาทขององคก์ รเอกชน เม่ือกลุ่มเกษตร วิวัฒน์มาข้ันท่ี 2 แล้ว ก็จะมีศักยภาพ ในการพัฒนาไปสู่ข้ันท่ีสาม ซึ่งจะมีอานาจในการต่อรองผลประโยชน์กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค์กรท่ีเป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหน่ึงในการผลิต โดยมีการ แปรรปู ผลิตผล เช่น โรงสี เพ่ือเพิม่ มลู ค่าผลิตผล และขณะเดียวกันมกี ารจดั ตง้ั รา้ นค้าสหกรณ์ เพอื่ ลดคา่ ใช้จ่าย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได้ว่า มิได้ทรงทอดท้ิงหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดตั้งสหกรณ์ ซ่ึงทรงสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรสร้างอานาจต่อรองในระบบ เศรษฐกิจ จึงจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงจัดได้ว่า เป็นสังคมเกษตรที่พัฒนาแล้ว สมดังพระราชประสงคท์ ี่ทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสติปัญญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ 2. สร้างความภาคภมู ิใจ และศกั ด์ิศรี เกียรติภูมแิ ก่คนไทย คนไทยในอดีตท่ีมีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์มีมาก เป็นท่ียอมรับของนานา อารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเป็นนักมวยไทย ที่มีฝีมือเก่งในการใช้อวัยวะทุกส่วน ทุกท่าของแม่ไม้มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพม่าได้ถึงเก้าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม้ในปัจจุบัน มวยไทยก็ยังถือว่า เปน็ ศิลปะชั้นเยยี่ ม เป็นท่ี นยิ มฝกึ และแขง่ ขันในหมคู่ นไทยและชาวตา่ ง ประเทศ ปัจจุบันมคี ่ายมวยไทยทั่วโลก ไม่ต่ากว่า 30,000 แห่ง ชาวต่างประเทศท่ีได้ฝึกมวยไทย จะรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจ ในการที่จะใช้กติกา ของมวยไทย เช่น การไหว้ครูมวยไทย การออก คาสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เช่น คาว่า \"ชก\" \"นับหนึ่ง ถึงสิบ\" เป็นต้น ถือเป็นมรดก ภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้ ภูมิปัญญาไทยที่โดด เด่นยังมีอีกมากมาย เช่น มรดก ภูมิปัญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย

และวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถือว่า เป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทุก ด้าน วรรณกรรมหลายเรื่องได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา ด้านอาหาร อาหารไทยเป็น อาหารท่ีปรุงง่าย พืชที่ใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และราคาถูก มีคุณค่าทางโภชนาการ และยังป้องกันโรคได้หลายโรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ใบมะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นต้น 3. สามารถปรับประยุกต์หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใชก้ ับวถิ ีชวี ติ ได้อย่างเหมาะสม คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช้ในวิถีชีวิต ได้อย่างเหมาะสม ทาให้คนไทยเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ อดทน ให้อภัยแก่ผู้สานึกผิด ดารงวิถีชวี ิตอย่างเรียบง่าย ปกติสุข ทาให้คนในชุมชนพ่ึงพากันได้ แม้จะอดอยาก เพราะ แห้งแล้ง แต่ไม่มีใครอดตาย เพราะพึ่งพาอาศัย กัน แบ่งปันกันแบบ \"พริกบ้านเหนือเกลือบ้านใต้\" เป็นต้น ท้ังหมดนี้สืบเน่ืองมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เป็นการใช้ภูมิปัญญา ในการนาเอา หลักขอพระพุทธศาสนามา ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจาวัน และดาเนินกศุ โลบาย ด้านต่างประเทศ จนทาให้ชาว พุทธท่ัวโลกยกย่อง ให้ประเทศไทยเป็นผู้นาทางพุทธศาสนา และเป็น ที่ต้ังสานักงานใหญ่องค์การพุทธศาสนิก สมั พันธ์ แห่งโลก (พสล.) อยู่เย้ืองๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สญั ญา ธรรม ศกั ด์ิ องคมนตรี) ดารงตาแหนง่ ประธาน พสล. ตอ่ จาก ม.จ.หญงิ พูนพิศมัย ดิศกลุ 4. สรา้ งความสมดุลระหวา่ งคนในสังคม และธรรมชาติได้อย่างย่งั ยืน ภูมิปัญญาไทยมีความเด่นชัดในเร่ืองของการยอมรับนับถือ และให้ความสาคัญแก่คนสังคม และธรรมชาติอย่างย่งิ มเี ครื่องช้ีทแ่ี สดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนมากมาย เชน่ ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดท้งั ปี ล้วนเคารพคุณค่าของธรรมชาติ ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น ประเพณีสงกรานต์ เป็นประเพณีที่ทาใน ฤดูร้อนซ่ึงมีอากาศร้อน ทาให้ต้องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ้านเรือน และธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มีการแห่นางสงกรานต์ การทานายฝนว่าจะตกมากหรือน้อยในแต่ละปี ส่วนประเพณีลอยกระทง คุณค่าอยู่ท่ีการบูชา ระลึกถึงบุญคุณของน้า ที่หล่อเล้ียงชีวิตของ คน พืช และสัตว์ ให้ได้ใช้ทั้งบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแม่น้า ลาธาร บูชาแม่น้าจากตัวอย่าง ข้างต้น ล้วนเป็น ความสมั พันธร์ ะหว่างคนกับสังคมและธรรมชาติ ท้ังสิน้ ในการรักษาป่าไม้ต้นนา้ ลาธาร ไดป้ ระยุกต์ให้มีประเพณีการบวชป่า ให้คนเคารพส่ิงศกั ดส์ิ ิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม ยังความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้า ลาธาร ให้ฟ้ืนสภาพกลับคืนมาได้มาก อาชีพ การเกษตรเป็นอาชีพหลักของคนไทย ที่คานึงถึงความสมดุล ทาแต่น้อยพออยู่พอกิน แบบ \"เฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน\" ของพ่อทองดี นันทะ เม่ือเหลือกิน ก็แจกญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน บ้านใกล้เรือนเคียง นอกจากน้ี ยังนาไป แลกเปลยี่ นกบั ส่งิ ของอย่างอื่น ท่ีตนไม่มี เม่ือเหลือใช้จริงๆ จงึ จะนาไปขาย อาจกลา่ วได้ว่า เป็นการเกษตรแบบ \"กิน-แจก-แลก-ขาย\" ทาให้คนในสังคมได้ช่วยเหลือเก้ือกูล แบ่งปันกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมู่บ้าน จึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ธรรมชาติไม่ถูกทาลายไปมากนัก เน่ืองจากทาพออยู่พอกิน ไม่โลภมากและไม่ทาลายทุกอย่างผิด กับในปัจจุบัน ถือเป็นภูมิปัญญาที่สร้างความ สมดลุ ระหวา่ งคน สงั คม และธรรมชาติ

5. เปล่ยี นแปลงปรับปรงุ ได้ตามยุคสมัย แมว้ ่ากาลเวลาจะผา่ นไป ความรู้สมัยใหม่ จะหลั่งไหลเขา้ มามาก แต่ภูมิปัญญาไทย ก็สามารถ ปรบั เปลีย่ นให้เหมาะสมกับยุคสมัย เช่น การรู้จกั นาเครื่องยนต์มาติดต้ังกับเรือ ใสใ่ บพัด เป็นหางเสอื ทาให้เรือ สามารถแล่นได้เร็วขึ้น เรียกว่า เรือหางยาว การรู้จักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟื้นคืน ธรรมชาติให้ อุดมสมบูรณ์แทนสภาพเดิมท่ีถูกทาลายไป การรู้จักออมเงิน สะสมทุนให้สมาชิกกูย้ ืม ปลดเปล้ือง หน้สี นิ และจดั สวสั ดิการแก่สมาชิก จนชุมชนมคี วามมน่ั คง เขม้ แข็ง สามารถชว่ ยตนเองไดห้ ลายรอ้ ยหมู่บา้ นทั่ว ประเทศ เช่น กลุ่มออมทรัพย์คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ช่วยตนเองได้ เม่ือป่าถูกทาลาย เพราะถูกตัดโค่น เพ่ือปลูกพืชแบบเด่ียว ตามภูมิปัญญาสมัยใหม่ ท่ีหวัง ร่ารวย แต่ในที่สุด ก็ขาดทุน และมีหน้ีสิน สภาพแวดล้อมสูญเสียเกิดความแห้งแล้ง คนไทยจึงคิดปลูกป่า ท่ีกินได้ มีพืชสวน พืชป่าไม้ผล พืชสมุนไพร ซึ่งสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกว่า \"วนเกษตร\" บางพื้นท่ี เมื่อป่า ชุมชนถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกัน เปน็ กลุ่มรักษาปา่ ร่วมกันสรา้ งระเบยี บ กฎเกณฑ์กนั เอง ใหท้ ุกคนถือ ปฏิบัติได้ สามารถรักษาป่าได้อย่างสมบูรณ์ดังเดิม เมื่อปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไม่มีที่อยู่อาศัย ประชาชนสามารถสร้าง \"อูหยัม\" ขึ้น เป็นปะการังเทียม ให้ปลาอาศัยวางไข่ และแพร่พันธุ์ให้เจริญเติบโต มจี านวนมากดงั เดมิ ได้ ถอื เป็นการใช้ภูมิปญั ญาปรบั ปรุงประยุกตใ์ ช้ไดต้ ามยุคสมยั สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 19 ให้ความหมายของคาว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง ความรู้ของชาวบ้าน ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมท้ังความรู้ท่ี ส่ังสมมาแต่บรรพบุรุษ สืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหน่ึง ระหว่างการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต์ และเปลยี่ นแปลง จนอาจเกิดเปน็ ความรู้ใหมต่ ามสภาพการณ์ทางสังคมวฒั นธรรม และ ส่ิงแวดล้อม ภูมิปัญญาเป็นความรูท้ ่ีประกอบไปด้วยคุณธรรม ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน ในวิถีด้ังเดิมนั้น ชีวิตของชาวบ้านไม่ได้แบ่งแยกเป็นส่วนๆ หากแต่ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน การทามาหากิน การอยู่ร่วมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรู้เป็นคุณธรรม เม่ือผู้คนใช้ความรู้นั้น เพ่ือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง คนกับคน คนกบั ธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์ที่ดี เป็นความสัมพันธ์ท่ีมีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไม่ทาร้ายทาลายกัน ทาให้ทุกฝ่ายทุกส่วนอยู่ร่วมกันได้ อย่างสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกัน มีคนเฒ่าคนแก่เป็นผู้นา คอยให้คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ้านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ป่า เขา ข้าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ้านเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ทั้งท่ีมีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว ภูมิปัญญาจึง เป็นความรู้ท่ีมีคุณธรรม เป็นความรู้ที่มีเอกภาพของทุกส่ิงทุกอย่าง เป็นความรู้ว่า ทุกส่ิงทุกอย่างสัมพันธ์กัน อย่างมีความสมดุล เราจึงยกย่องความรู้ข้ันสูงส่ง อันเป็นความรู้แจ้งในความจริงแห่งชีวิตนี้ว่า \"ภูมิปัญญา\" ความคิดและการแสดงออก เพื่อจะเข้าใจภูมิปัญญาชาวบ้าน จาเป็นต้องเข้าใจความคิดของชาวบ้านเก่ียวกับ โลก หรือท่ีเรียกว่า โลกทัศน์ และเกี่ยวกับชีวิต หรือที่เรียกว่า ชีวทัศน์ สิ่งเหล่าน้ีเป็นนามธรรม อันเก่ียวข้อง สัมพันธ์โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะต่างๆ ที่เป็นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เปน็ แนวคิดพ้ืนฐานของภูมิปัญญาชาวบ้าน การแพทย์แผนไทย หรือทเ่ี คยเรยี กกันว่า การแพทย์แผนโบราณนั้น มีหลักการว่า คนมีสุขภาพดี เม่ือร่างกายมีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะธาตุขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช้ยาสมุนไพร หรือวิธีการอื่นๆ คนเป็นไข้ตัวร้อน หมอยา

พ้ืนบ้านจะให้ยาเย็น เพ่ือลดไข้ เป็นต้น การดาเนินชีวิตประจาวันก็เช่นเดียวกัน ชาวบ้านเชื่อว่า จะต้องรักษา ความสมดุลในความสัมพันธ์สามด้าน คือ ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ญาติพ่ีน้อง เพื่อนบ้านในชุมชน ความสัมพันธ์ที่ดีมีหลักเกณฑ์ ที่บรรพบุรุษได้สั่งสอนมา เช่น ลูกควรปฏิบัติอย่างไรกับพ่อแม่ กับญาติพี่น้อง กบั ผู้สงู อายุ คนเฒ่าคนแก่ กับเพื่อนบ้าน พ่อแม่ควรเลี้ยงดูลูกอย่างไร ความเอื้ออาทรต่อกันและกัน ช่วยเหลือ เก้ือกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข์ยาก หรือมีปัญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช้ความสามารถนั้นช่วยเหลือ ผู้อื่น เช่น บางคนเป็นหมอยา ก็ช่วยดูแลรักษาคนเจ็บป่วยไม่สบาย โดยไม่คิดค่ารักษา มีแต่เพียงการยกครู หรือการราลึกถึงครูบาอาจารย์ท่ีประสาทวิชามาให้เท่านั้น หมอยาต้องทามาหากิน โดยการทานา ทาไร่ เล้ียงสัตว์เหมือนกับชาวบ้านอื่นๆ บางคนมีความสามารถพิเศษด้านการทามาหากิน ก็ช่วยสอนลูกหลานให้มี วชิ าไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ์เป็นข้อปฏิบัติ และข้อห้ามอย่าง ชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรมต่างๆ เช่น การรดน้าดาหัวผู้ใหญ่ การบายศรีสู่ ขวัญ เป็นต้น ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ผู้คนสมัยก่อนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด้าน ต้ังแต่อาหารการ กนิ เคร่อื งนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยียังไมพ่ ัฒนาก้าวหน้าเหมอื นทกุ วนั นี้ ยงั ไม่มีระบบการค้าแบบสมัยใหม่ ไม่มีตลาด คนไปจับปลาล่าสัตว์ เพื่อเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม้ เพื่อสร้างบ้าน และใช้สอยตามความจาเป็นเท่าน้ัน ไม่ได้ทาเพื่อการค้า ชาวบ้านมีหลักเกณฑ์ในการใช้สิ่งของในธรรมชาติ ไมต่ ัดไมอ้ ่อน ทาให้ตน้ ไมใ้ นป่าข้ึนแทนต้นท่ีถูกตัดไปได้ตลอดเวลา ชาวบ้านยงั ไมร่ ู้จกั สารเคมี ไมใ่ ชย้ าฆ่าแมลง ฆ่าหญ้า ฆ่าสัตว์ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ใช้ส่ิงของในธรรมชาติให้เกื้อกูลกัน ใช้มูลสัตว์ ใบไม้ใบ หญ้าท่ีเน่าเป่ือยเป็นปุ๋ย ทาให้ดินอุดมสมบูรณ์ น้าสะอาด และไม่เหือดแห้ง ชาวบ้านเคารพธรรมชาติ เชื่อว่า มีเทพมีเจ้าสถิตอยู่ในดิน น้า ป่า เขา สถานท่ีทุกแห่ง จะทาอะไรต้องขออนุญาต และทาด้วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ้าน รคู้ ุณธรรมชาติ ท่ีได้ให้ชีวิตแก่ตน พิธีกรรมต่างๆ ล้วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกล่าว เช่น งานบุญพิธี ที่เก่ียวกับ น้า ข้าว ป่าเขา รวมถึงสัตว์ บ้านเรือน เคร่ืองใช้ต่างๆ มีพิธีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญเกวียน ทางอีสานมี พิธแี ฮกนา หรือแรกนา เลีย้ งผีตาแฮก มงี านบญุ บา้ น เพือ่ เล้ยี งผี หรอื สิง่ ศกั ด์สิ ิทธิ์ประจาหมูบ่ า้ น เปน็ ตน้ ความสัมพันธ์กับส่ิงเหนือธรรมชาติ ชาวบ้านรู้ว่า มนุษย์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหน่ึง ของจักรวาล ซึ่งเต็มไปด้วยความเร้นลับ มีพลัง และอานาจ ท่ีเขาไม่อาจจะหาคาอธิบายได้ ความเร้นลับ ดังกล่าวรวมถึงญาติพี่น้อง และผคู้ นที่ล่วงลับไปแล้ว ชาวบ้านยังสัมพันธ์กับพวกเขา ทาบุญ และราลึกถึงอย่าง สม่าเสมอทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกน้ันเป็นผีดี ผีร้าย เทพเจ้าต่างๆ ตามความเชื่อของแต่ละแห่ง สิ่งเหล่าน้สี งิ สถิตอยู่ในส่ิงตา่ งๆ ในโลก ในจักรวาล และอยูบ่ นสรวงสวรรคก์ ารทามาหากนิ แม้วิถีชีวิตของชาวบ้านเมื่อก่อนจะดูเรียบง่ายกว่าทุกวันนี้ และยังอาศัยธรร มชาติ และแรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แต่พวกเขาก็ต้องใช้สติปัญญา ที่บรรพบุรุษถ่ายทอดมาให้ เพ่ือจะได้ อยู่รอด ทั้งน้ีเพราะปัญหาต่างๆ ในอดีตก็ยังมีไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวมีสมาชิกมากขึ้น จาเป็นต้อง ขยายท่ีทากิน ต้องหักร้างถางพง บุกเบิก พ้ืนที่ทากินใหม่ การปรบั พื้นท่ีป้ันคันนา เพ่ือทานา ซ่ึงเป็นงานที่หนัก การทาไร่ทานา ปลูกพืชเลีย้ งสัตว์ และดูแลรักษาให้เติบโต และได้ผล เป็นงานทีต่ ้องอาศัยความรูค้ วามสามารถ การจับปลาล่าสัตว์ก็มีวิธีการ บางคนมีความสามารถมากรู้ว่า เวลาไหน ที่ใด และวิธีใด จะจับปลาได้ ดีที่สุด คนทีไ่ มเ่ ก่งก็ตอ้ งใชเ้ วลานาน และไดป้ ลานอ้ ย การลา่ สตั วก์ ็เช่นเดียวกนั

การจัดการแหล่งน้า เพื่อการเกษตร ก็เป็นความรู้ความสามารถ ท่ีมีมาแต่โบราณ คนทาง ภาคเหนือรู้จักบริหารน้า เพื่อการเกษตร และเพื่อการบริโภคต่างๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจั ด แบ่งปันน้ากันตามระบบประเพณีท่ี สืบทอดกันมา มีหัวหน้าท่ีทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สดั ส่วน และตามพ้ืนที่ทากิน นับเป็นความรู้ท่ีทาให้ชุมชนต่างๆ ที่อาศยั อยู่ใกล้ลาน้า ไม่ว่าต้นน้า หรือปลายน้า ได้รบั การแบง่ ปนั น้าอย่างยุตธิ รรม ทกุ คนได้ประโยชน์ และอยู่ร่วมกนั อยา่ งสนั ติ ชาวบ้านรจู้ ักการแปรรปู ผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให้กินได้นาน การดองการ หมกั เช่น ปลารา้ นา้ ปลา ผักดอง ปลาเคม็ เนอื้ เค็ม ปลาแหง้ เน้ือแห้ง การแปรรปู ขา้ ว กท็ าไดม้ ากมายนับรอ้ ย ชนิด เช่น ขนมต่างๆ แต่ละพิธีกรรม และแต่ละงานบุญประเพณี มีข้าวและขนมในรูปแบบไม่ซ้ากัน ตั้งแต่ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอ่ืนๆ ซ่ึงยังพอมีให้เห็นอยู่จานวนหน่ึง ในปจั จุบนั ส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนมาเปน็ การผลิตเพื่อขาย หรอื เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ความรู้เรื่องการปรุงอาหารก็มีอยู่มากมาย แต่ละท้องถ่ินมีรปู แบบ และรสชาติแตกต่างกันไป มีมากมายนับร้อยนับพันชนิด แม้ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไม่ก่ีอย่าง แต่โอกาสงานพิธี งาน เลี้ยง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอย่างดี และพิถีพิถัน การทามาหากินในประเพณีเดิมนั้น เป็นท้ังศาสตรแ์ ละ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม้ ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อให้รับประทานแล้วอร่อย แต่ให้ได้ความ สวยงาม ทาให้สามารถสัมผัสกับอาหารน้ัน ไม่เพียงแต่ทางปาก และรสชาติของล้ิน แต่ทางตา และทางใจ การเตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ท่ีปรุงแต่ด้วยความต้ังใจ ใช้เวลา ฝีมือ และความรู้ความสามารถ ชาวบ้าน สมัยก่อนสว่ นใหญ่จะทานาเป็นหลัก เพราะเม่ือมีขา้ วแล้ว ก็สบายใจ อย่างอื่นพอหาได้จากธรรมชาติ เสร็จหน้า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ้า ทาเส่ือ เล้ียงไหม ทาเครื่องมือ สาหรับจับสัตว์ เคร่ืองมือการเกษตร และ อุปกรณ์ตา่ งๆ ท่จี าเปน็ หรอื เตรียมพนื้ ที่ เพื่อการทานาครั้งต่อไป หัตถกรรมเป็นทรัพย์สิน และมรดกทางภูมิปัญญาที่ย่ิงใหญ่ท่ีสุดอย่างหน่ึงของบรรพบุรุษ เพราะเป็นส่ือท่ีถ่ายทอดอารมณ์ ความรูส้ ึก ความคิด ความเชื่อ และคุณค่าตา่ งๆ ที่ส่ังสมมาแตน่ มนาน ลายผ้า ไหม ผา้ ฝ้าย ฝมี ือในการทออย่างประณีต รูปแบบเครอ่ื งมือ ทีส่ านด้วยไม้ไผ่ และอุปกรณ์ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ เครื่องดนตรี เคร่ืองเล่น ส่ิงเหล่าน้ีได้ถูกบรรจงสร้างข้ึนมา เพื่อการใช้สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให้ใครคน หนึ่ง ไม่ใช่เพอื่ การคา้ ขาย ชาวบ้านทามาหากินเพียงเพ่ือการยังชพี ไมไ่ ด้ทาเพ่ือขาย มีการนาผลิตผลส่วนหนึ่ง ไปแลกสิ่งของท่ีจาเป็น ท่ีตนเองไม่มี เช่น นาข้าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไก่ หรือเสื้อผ้า การขายผลิตผลมีแต่ เพียงส่วนน้อย และเมื่อมีความจาเป็นต้องใช้เงิน เพื่อเสียภาษีให้รัฐ ชาวบ้านนาผลิตผล เช่น ข้าว ไปขายใน เมืองให้กบั พอ่ ค้า หรือขายให้กับพ่อคา้ ท้องถ่ิน เช่น ทางภาคอีสาน เรียกวา่ \"นายฮ้อย\" คนเหล่านี้จะนาผลติ ผล บางอย่าง เชน่ ขา้ ว ปลารา้ ววั ควาย ไปขายในท่ีไกลๆ ทางภาคเหนอื มพี อ่ คา้ ววั ต่างๆ เป็นตน้ แม้วา่ ความร้เู รอ่ื งการค้าขายของคนสมัยก่อน ไมอ่ าจจะนามาใช้ในระบบตลาดเช่นปัจจุบันได้ เพราะสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่การค้าที่มีจริยธรรมของพ่อค้าในอดีต ท่ีไม่ได้หวังแต่เพียง กาไร แตค่ านึงถึงการช่วยเหลือ แบง่ ปันกนั เปน็ หลัก ยงั มีคณุ ค่าสาหรบั ปจั จบุ นั นอกน้ัน ในหลายพ้ืนทใ่ี นชนบท ระบบการแลกเปล่ียนส่ิงของยงั มอี ยู่ โดยเฉพาะในพื้นท่ียากจน ซงึ่ ชาวบ้านไมม่ ีเงนิ สด แตม่ ผี ลติ ผลตา่ งๆ ระบบ การแลกเปล่ียนไม่ได้ยึดหลักมาตราชั่งวัด หรือการตีราคาของสิ่งของ แต่แลกเปล่ียน โดยการคานึงถึง สถานการณ์ของผู้แลกท้ังสองฝ่าย คนที่เอาปลาหรือไก่มาขอแลกข้าว อาจจะได้ข้าวเป็นถัง เพราะเจ้าของข้าว คานงึ ถงึ ความจาเปน็ ของครอบครวั เจา้ ของไก่ ถา้ หากตีราคาเปน็ เงิน ข้าวหนงึ่ ถังยอ่ มมคี ่าสูงกวา่ ไกห่ นึง่ ตวั

การอยรู่ ่วมกันในสังคม การอยู่ร่วมกันในชุมชนดั้งเดิมน้ัน ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพ่ีน้องไม่กี่ตระกูล ซ่ึงได้อพยพย้ายถ่ินฐานมา อยู่ หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได้ท้ังชุมชน มีคนเฒ่าคนแก่ท่ีชาวบ้านเคารพนับถือเป็นผู้นาหน้าท่ี ของผู้นา ไม่ใช่การสั่ง แต่เป็นผู้ให้คาแนะนาปรึกษา มีความแม่นยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสินไกล่เกล่ีย หากเกิดความขัดแย้ง ช่วยกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ปัญหาในชุมชนก็มีไม่น้อย ปัญหา การทามาหากิน ฝนแล้ง น้าท่วม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีปัญหาความขัดแย้ง ภายในชุมชน หรือระหว่างชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี ส่วนใหญ่จะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพ บุรุษ ผู้ซ่ึงได้สร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ ไว้ เช่น กรณีที่ชายหนุ่มถูกเนื้อต้องตัวหญิงสาวท่ียังไม่แต่งงาน เป็นต้น หากเกิดการผดิ ผีข้ึนมา ก็ต้องมีพิธกี รรมขอขมา โดยมคี นเฒา่ คนแกเ่ ป็นตวั แทนของบรรพบรุ ุษ มีการว่ากล่าวสั่ง สอน และชดเชยการทาผิดนั้น ตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ ชาวบ้านอยู่อย่างพ่ึงพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข้ได้ ป่วย ยามเกิดอุบัติเหตุเภทภัย ยามที่โจรขโมยวัวควายข้าวของ การช่วยเหลือกันทางานที่เรียกกันว่า การลง แขก ทั้งแรงกายแรงใจที่มีอยู่ก็จะแบ่งปันช่วยเหลือ เอื้ออาทรกัน การ แลกเปล่ียนสิ่งของ อาหารการกิน และ อื่นๆ จึงเกี่ยวข้องกับวิถีของชุมชน ชาวบ้านช่วยกันเก็บเก่ียวข้าว สร้างบ้าน หรืองานอื่นที่ต้องการคนมากๆ เพื่อจะไดเ้ สรจ็ โดยเร็ว ไม่มกี ารจ้าง กรณีตวั อย่างจากการปลกู ขา้ วของชาวบ้าน ถ้าปีหน่งึ ชาวนาปลูกข้าวไดผ้ ลดี ผลติ ผลท่ีได้จะใช้เพอ่ื การ บริโภคในครอบครัว ทาบุญที่วัด เผ่ือแผ่ให้พี่น้องท่ีขาดแคลน แลกของ และเก็บไว้ เผื่อว่าปีหน้าฝนอาจแล้ง น้าอาจท่วม ผลิตผล อาจไม่ดใี นชุมชนต่างๆ จะมผี ู้มคี วามรคู้ วามสามารถหลากหลาย บางคนเก่งทางการรักษา โรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเล้ียงสัตว์ บางคนทางด้านดนตรีการละเล่น บางคนเก่ง ทางด้านพิธีกรรม คนเหล่านี้ต่างก็ใช้ความสามารถ เพื่อประโยชน์ของชุมชน โดยไม่ถือเป็นอาชีพท่ีมี ค่าตอบแทน อยา่ งมากก็มี \"ค่าครู\" แต่เพียงเล็กน้อย ซงึ่ ปกติแล้ว เงินจานวนนั้น กใ็ ชส้ าหรับเครื่องมือประกอบ พิธีกรรม หรือ เพื่อทาบุญท่ีวัด มากกว่าที่หมอยา หรือบุคคลผู้น้ัน จะเก็บไว้ใช้เอง เพราะแท้ที่จริงแล้ว \"วิชา\" ท่ีครูถ่ายทอดมาให้แก่ลูกศิษย์ จะต้องนาไปใช้ เพ่ือประโยชน์แก่สังคม ไม่ใช่เพ่ือผลประโยชน์ส่วนตัว การตอบ แทนจึงไม่ใช่เงินหรือส่ิงของเสมอไป แต่เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยวิธีการต่างๆ ด้วยวิถีชีวิตเช่นนี้ จึงมีคาถามเพื่อเป็นการสอนคนรุ่นหลังว่า ถ้าหากคนหนึ่งจับปลาช่อนตัวใหญ่ได้หนึ่งตัว ทาอย่างไรจึงจะกินได้ ทั้งปี คนสมัยน้ีอาจจะบอกว่า ทาปลาเค็ม ปลาร้า หรือเก็บรักษาด้วยวิธีการต่างๆ แต่คาตอบที่ถูกต้อง คือ แบ่งปันให้พี่น้อง เพื่อนบ้าน เพราะเม่ือเขาได้ปลา เขาก็จะทากับเราเช่นเดียวกัน ชีวิตทางสังคมของหมู่บ้าน มีศูนย์กลางอยู่ที่วัด กิจกรรมของส่วนรวม จะทากันท่ีวัด งานบุญประเพณีต่างๆ ตลอดจนการละเล่นมหรสพ พระสงฆ์เป็นผูน้ าทางจิตใจ เปน็ ครูท่ีสอนลกู หลานผู้ชาย ซึ่งไปรับใช้พระสงฆ์ หรอื \"บวชเรียน\" ทั้งนี้เพราะก่อน นี้ยังไม่มีโรงเรียน วัดจึงเป็นท้ังโรงเรียน และหอประชุม เพ่ือกิจกรรมต่างๆ ต่อเมื่อโรงเรียนมีข้ึน และแยกออก จากวดั บทบาทของวัด และของพระสงฆ์ จึงเปลยี่ นไป งานบุญประเพณีในชุมชนแต่ก่อนมีอยู่ทุกเดือน ต่อมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมู่บ้านร่วมกันจัด หรือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เช่น งานเทศน์มหาชาติ ซึ่งเป็นงานใหญ่ หมู่บ้านเล็กๆ ไม่อาจจะจัดได้ทุกปี งานเหลา่ นม้ี ที ั้งความเช่ือ พิธกี รรม และความสนุกสนาน ซง่ึ ชุมชนแสดงออกร่วมกัน

ระบบคณุ คา่ ความเช่ือในกฎเกณฑ์ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนดั้งเดิม ความเชื่อน้ีเป็นรากฐานของ ระบบคุณค่าต่างๆ ความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ความเมตตาเอ้ืออาทรต่อผู้อ่ืน ความเคารพต่อสิ่ง ศกั ด์สิ ิทธใ์ิ นธรรมชาตริ อบตวั และในสากลจกั รวาล ความเชื่อ \"ผี\" หรือส่ิงศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ เป็นที่มาของการดาเนินชีวิต ทั้งของส่วนบุคคล และของ ชุมชน โดยรวมการเคารพในผีปู่ตา หรือผีปู่ย่า ซ่ึงเป็นผีประจาหมู่บ้าน ทาให้ชาวบ้านมีความเป็นหน่ึงเดียวกัน เปน็ ลูกหลานของปู่ตาคนเดียวกนั รักษาป่าท่ีมีบา้ นเลก็ ๆ สาหรบั ผี ปลูกอยู่ติดหมบู่ ้าน ผีป่า ทาให้คนตัดไม้ด้วย ความเคารพ ขออนุญาตเลือกตดั ต้นแก่ และปลูกทดแทน ไมท่ ้ิงสิ่งสกปรกลงแมน่ ้า ด้วยความเคารพในแมค่ งคา กินขา้ วดว้ ยความเคารพ ในแม่โพสพ คนโบราณกนิ ขา้ วเสรจ็ จะไหวข้ า้ ว พิธีบายศรีสู่ขวัญ เป็นพิธีรื้อฟ้ืน กระชับ หรือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน คนจะเดินทางไกล หรือกลับจากการเดินทาง สมาชิกใหม่ ในชุมชน คนป่วย หรือกาลังฟื้นไข้ คนเหล่านี้จะได้รับพิธีสู่ขวัญ เพ่ือให้ เปน็ สิรมิ งคล มีความอยเู่ ย็นเป็นสุข นอกนั้นยังมีพิธีสืบชะตาชีวิตของบคุ คล หรือของชมุ ชน นอกจากพิธีกรรมกับคนแล้ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว์และธรรมชาติ มีพิธีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญ เกวียน เปน็ การแสดงออกถึงการขอบคุณ การขอขมา พิธีดังกล่าวไมไ่ ดม้ ีความหมายถึงว่า สิ่งเหล่าน้ีมจี ิต มีผีใน ตัวมันเอง แต่เป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ์กับจิตและสิ่งศักด์ิสิทธ์ิ อันเป็นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทาให้ผูค้ นมคี วามสัมพนั ธอ์ ันดีกับทุกส่งิ คนขับแทก็ ซใี่ นกรุงเทพฯ ทม่ี าจากหมู่บ้าน ยังซ้ือดอกไม้ แล้วแขวนไว้ท่ี กระจกในรถ ไม่ใช่เพ่ือเซ่นไหว้ผีในรถแท็กซ่ี แต่เป็นการราลึกถึงส่ิงศักดิ์สิทธิ์ ใน สากลจักรวาล รวมถึงท่ีสิงอยู่ ในรถคันน้ัน ผู้คนสมัยก่อนมีความสานึกในข้อจากัดของตนเอง รู้ว่า มนุษย์มีความอ่อนแอ และเปราะบาง หากไม่รักษาความสัมพันธ์อันดี และไม่คงความสมดุลกับธรรมชาติรอบตัวไว้ เขาคงไม่สามารถมีชีวิตได้อย่าง เป็นสุข และยืนนาน ผู้คนท่ัวไปจึงไม่มีความอวดกล้าในความสามารถของตน ไม่ท้าทายธรรมชาติ และสิ่ง ศักดส์ิ ทิ ธิ์ มคี วามอ่อนน้อมถ่อมตน และรกั ษากฎระเบยี บประเพณีอยา่ งเคร่งครดั ชีวิตของชาวบ้านในรอบหนึ่งปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเช่ือ และความสัมพันธ์ ระหว่างผู้คนในสังคม ระหว่างคนกับธรรมชาติ และระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิต่างๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานท่ีเรียกว่า ฮีตสิบสอง คือ เดือนอ้าย (เดือนท่ีหน่ึง) บุญเข้ากรรม ให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม เดือนยี่ (เดือนท่ีสอง) บุญคูณลาน ให้นาข้าวมากองกันท่ีลาน ทาพิธีก่อนนวด เดือนสาม บุญข้าวจี่ ให้ถวาย ข้าวจ่ี (ข้าวเหนียวป้ันชุบไข่ทาเกลือนาไปย่างไฟ) เดือนส่ี บุญพระเวส ให้ฟังเทศน์มหาชาติ คือ เทศนเ์ รอ่ื งพระ เวสสันดรชาดก เดือนห้า บุญสรงน้า หรือบุญสงกรานต์ ให้สรงน้าพระ ผู้เฒ่าผู้แก่ เดือนหก บุญบ้ังไฟ บูชา พญาแถน ตามความเชื่อเดิม และบุญวิสาขบูชา ตามความเช่ือของชาวพุทธ เดือนเจ็ด บุญซาฮะ (บุญชาระ) ให้บนบานพระภูมิเจ้าที่ เล้ียงผีปู่ตา เดือนแปด บุญเข้าพรรษา เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน ทาบุญอุทิศส่วน กุศลให้ญาตพิ ่นี ้องผูล้ ่วงลบั เดือนสิบ บญุ ข้าวสาก ทาบุญเชน่ เดอื นเก้า รวมใหผ้ ีไมม่ ีญาติ (ภาคใต้มพี ธิ ีคลา้ ยกัน คือ งานพิธีเดือนสิบ ทาบุญให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว แบ่งข้าวปลาอาหารส่วนหน่ึงให้แก่ผีไม่มีญาติ พวกเด็กๆ ชอบแย่งกันเอาของที่แบ่งให้ผีไม่มีญาติหรือเปรต เรียกว่า \"การชิงเปรต\") เดือนสิบเอ็ด บุญออก พรรษา เดอื นสิบสอง บุญกฐิน จดั งานกฐนิ และลอยกระทง ภมู ิปัญญาชาวบ้านในสังคมปัจจุบัน ภูมิปัญญาชาวบ้านได้ก่อเกดิ และสืบทอดกันมาในชุมชนหมู่บ้าน เม่ือหมู่บ้านเปล่ียนแปลงไปพร้อมกับสังคมสมัยใหม่ ภูมิปัญญาชาวบ้านก็มีการปรับตัวเช่นเดียวกัน ความรู้

จานวนมากไดส้ ูญหายไป เพราะไม่มกี ารปฏบิ ตั ิสืบทอด เช่น การรักษาพื้นบ้านบางอยา่ ง การใช้ยาสมนุ ไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาที่เก่งๆ ได้เสียชีวิต โดยไม่ได้ถ่ายทอดให้กับคนอื่น หรือถ่ายทอด แต่คนต่อมาไม่ได้ปฏิบัติ เพราะชาวบ้านไม่นิยมเหมือนเม่ือก่อน ใช้ยาสมัยใหม่ และไปหาหมอ ท่ีโรงพยาบาล หรือคลินิก ง่ายกว่า งานหันตถกรรม ทอผ้า หรือเคร่ืองเงิน เครื่องเขิน แม้จะยังเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ก็ได้ถูกพัฒนาไปเป็นการค้า ไมส่ ามารถรักษาคณุ ภาพ และฝีมือแบบดั้งเดิมไว้ได้ ในการทามาหากินมีการใชเ้ ทคโนโลยีทันสมัย ใช้รถไถแทน ควาย รถอีแต๋นแทนเกวยี น การลงแขกทานา และปลูกสร้างบ้านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ้างงานกันมากข้ึน แรงงานก็หา ยากกว่าแต่ก่อน ผูค้ นอพยพย้ายถ่ิน บา้ งก็เข้าเมอื ง บา้ งก็ไปทางานที่อืน่ ประเพณีงานบุญ กเ็ หลือไม่มาก ทาได้ กต็ ่อเม่ือ ลูกหลานท่ีจากบ้านไปทางาน กลับมาเย่ียมบ้านในเทศกาลสาคัญๆ เช่น ปใี หม่ สงกรานต์ เขา้ พรรษา เป็นต้น สังคมสมัยใหม่มีระบบการศึกษาในโรงเรียน มีอนามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วิทยุ โทรทัศน์ และเคร่ืองบันเทิงต่างๆ ทาให้ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมู่บ้านเปล่ียนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ้าหน้าที่ ราชการฝ่ายปกครอง ฝ่ายพัฒนา และอื่นๆ เข้าไปในหมู่บ้าน บทบาทของวัด พระสงฆ์ และคนเฒ่าคนแก่เร่ิม ลดน้อยลงการทามาหากินก็เปลี่ยนจากการทาเพ่ือยังชีพไปเป็นการผลิตเพ่ือการขาย ผู้คนต้องการเงิน เพ่ือซื้อ เคร่ืองบริโภคต่างๆ ทาให้ส่ิงแวดล้อม เปลี่ยนไป ผลิตผลจากป่าก็หมด สถานการณ์เช่นนี้ทาให้ผู้นาการพัฒนา ชุมชนหลายคน ที่มีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เริ่มเห็นความสาคัญของภูมิ ปัญญาชาวบ้าน หน่วยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให้การสนับสนุน และส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู ประยกุ ต์ และคน้ คดิ สิ่งใหม่ ความรใู้ หม่ เพ่ือประโยชนส์ ุขของสงั คม

ความเป็นมาและความสาคัญของการทานาหว่าน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีลักษณะภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทา เกษตรกรรม จากอดีตจนถึงปัจจุบันพน้ื ท่ีส่วนใหญ่ของประเทศเป็นพ้ืนท่ีเกษตรกรรมโดยเฉพาะอย่างย่ิงนาข้าว ซึ่งพบได้มากทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และใต้ อันแสดงให้เห็นถึงความสาคัญ ของอาชีพชาวนา ท่ีมีต่อประเทศและคนในประเทศเปรียบเหมือนกระดูกสันหลังของชาติ โดยที่ประเทศไทย ได้ชื่อว่าผู้ผลิตแหล่งอาหารสาคัญไม่เฉพาะแต่ของคนในชาติ แต่รวมถึงการเป็นแหล่งอาหารที่สาคัญของคน ในโลกดว้ ย คนไทยในสมัยก่อนส่วนมากมีอาชีพทาไร่ทานา พืชที่เพาะปลูกเป็นอาหารหลักคือ ข้าว จึงถือว่า การเกษตรนั้นเป็นงานท่ีสาคัญมากสาหรับประเทศของเรา เพราะเป็นงานท่ีสร้างเสริมความสุขสมบูรณ์ให้แก่ บ้านเมืองโดยส่วนรวม ผู้ท่ีมีอาชีพทางการเกษตรจึงควรต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยความรู้ ความสังเกต พจิ ารณา ตลอดจนความขยันหมน่ั เพียร และความบากบ่ันอดทน การผลิตข้าวของชุมชนเกษตรกรชาวนาท่ีทานาเป็นอาชีพหลักในอดีตน้ันผลิตเพ่ือยังชีพในครัวเรือน แต่ปัจจุบันจากการเข้ามาของภาครัฐท่ีให้ความสาคัญกับการพัฒนาชนบท จึงทาให้ชุมชนชาวนามีการ เปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตจานวนมากเพื่อการส่งออก ซ่ึงลักษณะการ เปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจของชุมชนชาวนาจึงเปลี่ยนแปลงไปเป็นเชิงพาณิชย์ คือ ผลิตเพื่อขาย เพ่ือท่ีจะ ได้เงินมาซื้อปัจจัยในการดารงชีวิต โดยทั่วไปสังคมไทยมีการลงทุนทุกขั้นตอน มีการจ้างแรงงาน ใช้เทคโนโลยี ทันสมัยในการผลิต เช่น เครื่องจักรกล ปุ๋ยเคมี ยากาลังแมลง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ส่ิงท่ีตามมา คือ รายจ่าย ในครัวเรือนเพิ่มสงู ขึน้ ตามการพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศท่มี ุ่งการพัฒนาทเี่ จริญให้ทันกับโลกยุคปจั จบุ ัน จากปัญหาท่ีเกิดขึ้นกับอาชีพการทานาของชาวนาไทย ผู้ศึกษาจึงเล็งเห็นถึงความสาคัญของอาชีพ ชาวนาไทย เพราะหากแนวโน้มของอาชีพการทานาลดลงแล้ว จะทาให้ประเทศไทยประสบกับปัญหาความ มั่นคงด้านอาหารก็เป็นได้ ทั้งน้ีเพราะประชากรในประเทศยังคงต้องบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก หากเราไม่มี อาชีพนี้อาจจะต้องนาเข้าข้าวมาจากประเทศอ่ืน หากเป็นเช่นน้ีราคาข้าวจะเพ่ิมข้ึนและส่งผลต่อการดารงชีวิต เพราะรายจ่ายในครัวเรือนย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากปัจจัยที่สาคัญมากมายที่ทาให้อาชีพน้ีมีการ เปลี่ยนแปลง ไป ซึ่งส่งผลต่ออาชีพการทานาแสดงให้เห็นถึงความจาเป็นที่จะต้องเร่งรัดให้มีการพัฒนาศักยภาพของชาวนา สนับสนนุ การให้ความรู้ให้ความสาคัญตอ่ อาชพี น้โี ดยการให้การช่วยเหลือชาวนาให้มีหลักประกันให้กับชาวนา ไดม้ ่ันใจว่าการทานาก่อใหเ้ กิดรายได้ทีม่ นั่ คง โดยการชว่ ยเหลือนน้ั ต้องเปน็ แนวทางทค่ี วรใหช้ าวนาไดพ้ ึ่งตนเอง และสามารถอยไู่ ดด้ ว้ ยตนเอง คุณยายราตรีกล่าวว่า “อาชีพทานาเป็นอาชีพที่สืบทอดจากรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ เป็นอาชีพหลัก ของครอบครัวของคุณยายในการทานาส่วนใหญ่เม่ือเก็บผลผลิตได้ก็จะเก็บไว้กินส่วนหนึ่ง อีกส่วนหน่ึงก็ขาย บ้าง ดาเนินชวี ติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง พออยู่พอกิน พอประมาณ”

2. ประวตั ิการทานา ในประเทศไทย เมล็ดขา้ วท่ีเก่าแก่ท่ีสุดท่พี บมลี ักษณะคล้ายข้าวปลกู ของชุมชนสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ อายุราว 3,500-3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ได้แก่รอยแกลบข้าวซึ่งเป็นส่วนผสมของดินท่ีใช้ปั้นภาชนดินเผาที่ โนนนกทา ตาบลบ้านโคก อาเภอภูเวียง จังหวดั ขอนแก่น เปน็ หลกั ฐานทยี่ อมรบั กันโดยท่วั ไปว่าเกา่ แก่ท่สี ุดคือ ประมาณ 3,500 ปีกอ่ นคริสตศ์ ักราช หลักฐานอ่นื ๆ ท่ีแสดงให้เห็นวา่ สยามประเทศเป็นแหล่งปลูกข้าวมาแต่โบราณ อาทิ เมล็ดขา้ วที่ขุดพบ ท่ีถ้าปุงฮุง จังหวัดแม่ฮ่องสอน แสดงว่ามีการปลูกข้าวในบริเวณนี้เมื่อ 3,500–3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช หรือราว 5,400 ปีมาแล้ว แกลบข้าวท่ีพบท่ีถ้าปุงฮุง มีทั้งลักษณะของข้าวเหนียวเมล็ดใหญ่ที่เจริญงอกงามอยู่ ในที่สูงเป็นข้าวไร่และข้าวเจ้า แต่ไม่พบลักษณะของข้าวเหนียวเมล็ดป้อม หรือข้าวพวก Japonica แหล่งโบราณคดีท่ีบ้านเชียงจังหวัดอุดรธานพี บรอยแกลบข้าวผสมอยู่กับดินที่นา มาป้ันภาชนะดนิ เผา กาหนดอายุได้ใกล้เคียงกับแกลบข้าวที่ถ้าปุงฮุง คือประมาณ 3,500–2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชลักษณะเป็น ข้าวเอเชีย (Oryza sativa) พวกเมล็ดป้อมพันธ์ุ Japonica หลักฐานการค้นพบเมล็ดข้าว เถ้าถ่านในดินและ รอยแกลบบนเคร่ืองปั้นดินเผาที่โคกพนมดีอาเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี สดงให้เห็นถึงชุมชนปลูกข้าว สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชายฝั่งทะเล นอกจากน้ียังพบหลักฐานคล้ายดอกข้าวป่าเมืองไทยท่ีถ้าเขาทะลุ จังหวัด กาญจนบุรี อายุประมาณ 2,800 ปี (อาจจะก่อนหน้าหรือหลังจากน้ันประมาณ 300 ปี) ซ่ึงเป็นช่วงรอยต่อยุค หนิ ใหม่ตอนปลายกบั ยคุ โลหะตอนตน้ ส่วนหลักฐานภาพเขียนบนผนังถ้าหรือผนังหินอายุไม่น้อยกว่า 2,000 ปี ท่ีผาหมอนน้อย บ้านตากุ่ม ตาบลห้วยไผ่ อาเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี บันทึกการปลูกธัญพืชอย่างหน่ึงมีลักษณะเหมือนข้าว ภาพควายแปลงพืชคล้ายข้าวอาจตีความได้ว่ามนุษย์สมัยน้ันรู้จักข้าวหรือการเพาะปลูกข้าวแล้วศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี สรุปไว้เม่ือปี พ.ศ. 2535 ว่าประเทศไทยทานาปลูกข้าวมาแล้วประมาณ 5,471 ปี (นับถึงปี พ.ศ. 2514) ก่อนการปลูกข้าวในประเทศจีนหรืออินเดียราว 1,000 ปี ผลของการขุดค้นท่ีโนนนกทาสนับสนุน สมมติฐานทว่ี า่ ขา้ วเรม่ิ ปลกู ในทวีปเอเชยี อาคเนยใ์ นสมยั หนิ ใหม่ จากนน้ั แพร่ขนึ้ ไปที่ประเทศอนิ เดียประเทศจีน ประเทศญ่ปี ่นุ และประเทศเกาหลี 3. การปลกู ขา้ วในภาคตา่ งๆ ของประเทศไทย ประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม ประชาชนส่วนใหญ่เป็นกสิกร ทาการเพาะปลูกพืชไร่ เช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย ถั่วเหลือง ถ่ัวเขียว ทาการปลูกไม้ผล เช่น ทุเรียน ส้ม มะม่วง มังคุด ลางสาด นอกจากนี้ ในท้องที่ต่างๆ ของภาคใต้ และจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด ได้ทาการปลูกยางพาราอีกด้วย ในจานวนพืชท่ี กสิกรปลูกดังกล่าวน้ี ข้าวมพี ื้นท่ีปลูกมากกว่าพืชชนิดอ่นื ๆ คิดเป็นพื้นท่ีประมาณ 11.3% ของพ้ืนที่ท่ัวประเทศ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ทานามากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ภาคเหนือ และภาคใต้ ตามลาดบั

ตารางท่ี 1 เนอ้ื ที่เพาะปลกู และจานวนผลติ ผลขา้ วเปลอื กในประเทศไทยในระหว่างปี พ.ศ. 2520-271 พ.ศ. เน้ือท่ีเพาะปลูก จานวนผลติ ผลขา้ วเปลอื ก ผลผลิตเฉลีย่ ตอ่ ไร่ (ล้านไร่) (ล้านตนั ) (กิโลกรมั ) 2520–2521 2521–2522 56.4 13.9 255 2522–2523 62.7 17.5 313 2523–2524 59.1 15.8 291 2524–2525 60.1 17.4 302 2525–2526 60.1 17.8 312 2526–2527 60.1 16.9 302 62.6 19.6 326 1 รวบรวมจากเอกสารสถิติการเกษตร เลขที่ 213 พ.ศ. 2527 เน่ืองจากประชาชนในประเทศไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก และจานวนประชากรก็เพ่ิมมากขึ้นทุกๆ ปี ด้วยเหตุน้ีชาวนาจึงจาเป็นต้องพยายามปลูกข้าวให้ได้ผลิตผลมากย่ิงข้ึน เพ่ือให้พอเพียงกับความต้องการของ ประชากร วิธีหน่ึงที่ชาวนาได้พยายาม เพื่อเพิ่มผลิตผล ได้แก่ การขยายพ้ืนที่ทานา โดยเปิดปา่ ใหม่ ทานาปลูก ข้าว จากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่า ผลิตผลได้เพิ่มขึ้นตามพ้ืนที่นาที่เพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี ส่วนวิธีการเพ่ิมผลิตผล โดยวธิ ีอ่ืนนนั้ ชาวนาไม่สามารถทาได้ เชน่ การคัดเลือกหาพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลิตผลสูง พันธุต์ ้านทานโรคและแมลง ข้าวพันธุ์ท่ีตอบสนองต่อปุ๋ย วิธีการป้อง กันกาจัดโรค แมลง และวัชพืชในนาข้าว ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็น ผู้ดาเนินการชว่ ยเหลอื ชาวนา หน่วยงานท่ีเก่ียว ข้องเรื่องน้ีโดยตรง ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ลกั ษณะรวงข้าว ชนดิ ออไรซา แกลเบอร์รมิ า www.kanchanapisek.or.th

ข้าวที่ปลูกเพ่ือการบริโภคเป็นอาหาร มี 2 ชนิด คือ ออไรซา ซาไทวา ซ่ึงมีปลูกทั่วไปในทุกประเทศ และออไรซา แกลเบอร์ริมา ซ่ึงมีปลูกเฉพาะในแอฟริกาเท่านั้น ข้าวสองชนดิ น้ีแตกต่างกันที่ ออไรซา แกลเบอร์ ริมา ไม่มีแขนงท่ีสองท่ีรวงข้าว และมีเยื่อกันน้าฝนส้ันกว่าออไรซา ซาไทวาด้วย ข้าวพวกออไรซา ซาไทวา ยังแยกออกได้เป็นอินดิคามีปลูกมากในเขตร้อน และจาปอนิคามีปลูกมากในเขตอบอุ่น ข้าวที่ปลูกในประเทศ ไทยเปน็ พวกอนิ ดิคา ซง่ึ แบ่งออกเปน็ ขา้ วเจา้ และข้าวเหนยี ว พ้ืนทป่ี ลูกขา้ ว www.kanchanapisek.or.th ภาคเหนือ ทาการปลูกข้าวนาสวนในที่ราบระหว่างภูเขากันเป็นส่วนใหญ่ เพราะมีระดับน้าในนาต้ืนกว่า 80 เซนติเมตร และทาการปลูกข้าวไร่ในที่ดอน และที่สูงบนภูเขา เพราะไม่มีน้าขังในพื้นท่ีปลูก ส่วนมากชนิดของ ข้าวท่ีปลูกเป็นท้ังข้าวเหนียว และข้าวเจ้า และในบางท้องท่ีมีการปลูกข้าวนาปรังด้วย แมลงศัตรูข้าวท่ีสาคัญ ได้แก่ แมลงบวั่ หนอนกอ เพลีย้ จกั จ่ันสเี ขียว และสีนา้ ตาล และโรคข้าวทสี่ าคัญ ได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคใบสีแสด และโรคถอดฝักดาบ ภาคน้ีมีความอุดมสมบูรณ์ของดินนา ดีกว่าภาคอื่นๆ ข้าวนาปีทาการเก็บ เกยี่ วในระหวา่ งเดอื นพฤศจกิ ายน และธันวาคม ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื สภาพของพ้ืนนาในภาคน้ีเป็นที่ราบ และมักจะแห้งแล้งในฤดูปลูกข้าวเสมอๆ ชาวนาทาการปลูกข้าว นาสวน ทางตอนเหนือของภาคปลูกข้าวเหนียวอายุเบา ส่วนทางตอนใต้ปลูกข้าวเจ้าอายุหนัก แถบริมฝ่ัง แม่น้าโขง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดอุบลราชธานี นครพนม และสกลนคร ได้มีแมลงบั่วทาลายต้นข้าวนาปีจน เสียหายเสมอ นอกจากน้ี ได้มีแมลงเพลี้ยกระโดดสนี ้าตาลระบาดด้วย โรคข้าวที่สาคัญไดแ้ ก่ โรคไหม้ โรคขอบ ใบแห้ง และโรคใบจุดสีน้าตาล ความอุดมสมบูรณ์ของดินในภาคนี้เลวมากบางแห่งก็เป็นดินเกลือ และมักจะมี ความแห้งแล้งกว่าภาคอ่ืนๆ ด้วยเหตุนี้ จงึ มกี ารทานาปรังนอ้ ยมาก ขา้ วนาปจี ะทาการเกบ็ เกี่ยวในระหวา่ งเดือน ตุลาคม และธนั วาคม ภาคกลาง พน้ื ที่ทานาในภาคนี้เป็นท่ีราบลุ่ม ทาการปลูกข้าวเจ้ากันเปน็ ส่วนใหญ่ ในเขตจังหวัด ปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี อุทัย ธานี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุพรรณบุรี และปราจีนบุรี ระดับน้าในนาระหว่าง เดือนกันยายน และพฤศจกิ ายน จะลึกประมาณ 1-3 เมตร ด้วยเหตุนี้ ชาวนาในจงั หวัดดงั กล่าวจึงตอ้ งปลูกขา้ ว

นาเมือง หรือข้าวขึ้นน้า นอกน้ันปลูกข้าวนาสวน และบางท้องที่ ซึง่ อยู่ในเขตชลประทาน เช่น จังหวัดนนทบุรี นครปฐม เพชรบุรี ปทุมธานี สุพรรณบุรี ชัยนาท และฉะเชิงเทรา ได้มีการทานาปรังด้วย โรคข้าวที่สาคัญ ได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคใบสีส้ม โรคจู๋ และแมลงศัตรูข้าวที่สาคัญ ได้แก่ แมลงเพลี้ยกระโดดสี น้าตาล แมลงเพล้ียจักจ่ันสีเขียว แมลงหนอนกอ ความอุดมสมบูรณ์ของดินดีปานกลาง และบางท้องท่ีเขต จังหวดั ปทุมธานี นครนายก และปราจีนบุรี ดินที่ปลูกข้าวมีฤทธ์ิเปน็ กรด หรือเป็นดนิ เหนยี ว มากกว่าในท้องที่ นาอื่นๆ ข้าวนาปที ี่ปลูกเป็นข้าวนาสวน จะเกบ็ เกี่ยวในระหว่างเดอื นตุลาคม และธนั วาคม ส่วนข้าวนาปีท่ีปลูก เป็นขา้ วนาเมอื ง เก็บเกี่ยวระหวา่ งเดือนธันวาคม และมกราคม การทานาในทลี่ ุ่มภาคกลาง www.kanchanapisek.or.th ภาคใต้ สภาพพ้ืนท่ีท่ีปลูกข้าวในภาคใต้เป็นท่ีราบริมทะเล และเป็นท่ีราบระหว่างภูเขา ส่วนใหญ่ใช้น้าฝนใน การทานา และฝนจะมาล่าช้ากว่าภาคอื่นๆ ด้วยเหตุนี้การทานาในภาคใต้จึงล่าช้ากวา่ ภาคอื่น ชาวนาในภาคนี้ ปลูกข้าวเจ้าในฤดูนาปีกันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยในเขตชลประทานของจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา มีการปลูกขา้ วนาปรัง และปลูกแบบนาสวน บริเวณพ้ืนท่ีดอน และที่สูงบนภเู ขา ชาวนาปลกู ข้าวไร่ เช่น การปลูกขา้ วไรเ่ ป็นพืชแซมยางพารา แมลงศัตรูข้าวที่สาคัญได้แก่ หนอนกอ เพลี้ยจกั จ่ันสีเขียว และเพลี้ย กระโดดสีน้าตาล โรคข้าวท่ีสาคัญ ได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคดอกกระถิน โรคใบจุดสีน้าตาล และโรค ใบจุดขีดสีน้าตาล นอกจากน้ี ดินนาก็มีปัญหาเกี่ยวกับดินเค็ม และดินเปร้ียวด้วย วิธีการเกี่ยวข้าวในภาคใต้ แตกต่างไปจากภาคอื่น เพราะชาวนาใช้แกระเกี่ยวข้าว โดยเกบ็ ทีละรวงแล้วมัดเป็นกาๆ ปกติทาการเก็บเกี่ยว ในระหว่างเดือนพฤศจิกายน และกมุ ภาพันธ์

การเก่ียวขา้ วดว้ ยแกระ www.kanchanapisek.or.th ภาคตะวนั ออก สภาพภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นท่ีและท้องทะเลท่ีกว้างใหญ่ ภาคตะวันออกซึ่ง ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี ตราด และสระแก้ว ประชากรจึงประกอบอาชีพท่ี หลากหลาย ได้แก่ สวนผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน มงั คดุ สับปะรด สวนยางพาราที่นาพันธุ์มาจากภาคใต้มีการทา ประมง ส่วนอาเภอวังน้าเย็น จังหวัดสระแก้วนั้นส่วนใหญ่จะเป็นการเกษตร เช่น การปลูกข้าว มันสาปะหลัง ปลูกขา้ วโพดเลยี้ งสตั ว์ เป็นต้น ตารางท่ี 2 การเกษตรตามสถานทขี่ ้นึ ทะเบียนของพืน้ ทอี่ าเภอวังน้าเยน็ การปลกู พชื ไร่ ผกั สมุนไพร และไม้ผลไม้ยนื ตน้ ลาดับท่ี ชนิดพชื จานวนครวั เรอื น เนอื้ ทเ่ี พาะปลูก เนอ้ื ที่เกบ็ เกยี่ ว ผลผลิตรวม ผลผลิตเฉลย่ี (ไร่) (ไร)่ (ต้น) (กก./ไร่) 1 ขา้ วนาปี 4,860 52,954 50,171 21,295 424.45 2 มนั สาปะหลงั 3,004 60,444 56,849 194,467 3,420.76 3 ข้าวโพดเล้ยี งสตั ว์ รุ่น 1 1,578 19,773 18,704 12,859 687.49 4 ยูคาลิปตสั 586 6,467 2,218 905 408.03 5 อ้อยโรงงาน 539 26,161 23,628 176,316 7,462.15 6 หญา้ เลีย้ งสตั ว์ 423 7,219 6,795 264 38.88 7 มะม่วง 311 2,737 1,964 492 250.51 8 ลาไย 278 1,593 1,426 423 296.63 9 ยางพารา 148 2,548 1,030 222 215.51 10 ไผ่ (ยนื ต้น) 137 842 613 209 340.13

4. พันธขุ์ า้ ว พันธขุ์ า้ วเปน็ ปัจจัยหน่ึงทมี่ คี วามสาคัญอนั ดับแรกในการเพิ่มประสิทธภิ าพการผลิตขา้ ว โดยไม่ต้องเพ่ิม ต้นทุนการผลิต ถ้าหากว่ามีพันธ์ุข้าวที่ให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ ท้ังข้าวคุณภาพดี ข้าวคุณภาพปานกลาง ขา้ วคุณภาพต่า และข้าวคุณภาพพิเศษ ท่ีตรงกับความต้องการของตลาดและเพ่ือทาผลิตภัณฑ์มคี วามต้านทาน ต่อโรคแมลง และมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่นแล้วจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการผลิต ข้าวหรอื เปน็ การลดต้นทุนการผลติ ข้าวได้เปน็ อย่างดี จากอดีตถึงปัจจุบัน สานักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว ได้ดาเนินงานปรับปรุงพันธ์ุข้าวมาอย่าง ตอ่ เนื่องจนได้ข้าวพันธ์ุรับรอง พนั ธุ์แนะนา และพันธ์ุทั่วไป ให้เกษตรกรปลูกในระบบนิเวศน์ต่างๆ ซึ่งมที ้ังพันธ์ุ ข้าวนาสวน ข้าวไร่ ขา้ วขนึ้ น้า ข้าวน้าลึก ข้าวญป่ี ุ่น และธัญพืชเมอื งหนาว จานวน 116 พนั ธุ์ ดงั นี้ พนั ธุ์ขา้ วนาสวนไวตอ่ ช่วงแสง 43 พันธุ์ พนั ธุ์ข้าวนาสวนไม่ไวตอ่ ช่วงแสง 38 พันธ์ุ พนั ธ์ุข้าวข้นึ น้าไวตอ่ ช่วงแสง 5 พันธ์ุ พันธ์ขุ า้ วน้าลึกไวต่อชว่ งแสง 6 พันธุ์ พนั ธข์ุ ้าวน้าลึกไม่ไวต่อชว่ งแสง 1 พนั ธ์ุ พันธุ์ข้าวไรไ่ วต่อช่วงแสง 9 พนั ธ์ุ พนั ธุ์ข้าวไ์ร่ไม่ไวต่อชว่ งแสง 1 พนั ธุ์ พันธข์ุ ้าวแดงไวต่อชว่ งแสง 2 พันธ์ุ พันธุ์ข้าวแดงไมไ่ วต่อช่วงแสง 1 พนั ธ์ุ พันธุข์ ้าวญปี่ ่นุ 2 พนั ธุ์ พนั ธข์ุ ้าวสาลี 4 พนั ธ์ุ พนั ธุ์ขา้ วบาร์เลย์ 2 พันธ์ุ พนั ธุ์ข้าวลูกผสม 2 พนั ธุ์

พนั ธขุ์ า้ วเหล่านม้ี ีทงั้ ชนดิ ข้าวเจ้าและขา้ วเหนียว มีทง้ั พันธุ์ท่ปี ลูกเฉพาะนาปีและปลูกได้ตลอดปี และมี บางพันธ์ุเป็นข้าวหอม พันธ์ุข้าวส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ท่ีให้ผลผลิตสูง มีความต้านทานต่อโรคและแมลงที่สาคัญมี คุณภาพการหุงต้มตามความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนทนทานต่อสภาพแวดล้อมท่ีเป็นปัญหาสาคัญ อย่างไรก็ตามงานปรับปรุงพันธ์ุข้าวยังคงต้องดาเนินการต่อไปอย่างต่อเน่ือง เพราะพันธุ์ที่ออกแนะนาแล้ว ปจั จุบันบางพันธุ์เกษตรกรอาจจะยังคงนิยมปลูกอยู่ แต่บางพันธ์ุเกษตรกรอาจเลิกปลกู เนื่องจากมีข้อด้อยบาง ประการ การนาเอาพันธ์ุข้าวเหล่าน้ันไปใช้ของเกษตรกรจึงเป็นไปในลักษณะของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าใน ระยะที่ออกพันธ์ุข้าวนั้นเท่านั้น รวมท้ังบางพันธ์ุเม่ือแนะนาให้ปลูกไปในช่วงระยะเวลาหน่ึงแล้วอาจไม่มีความ เหมาะสมในระยะเวลาต่อมา เน่ืองจากสภาพแวดล้อมเปล่ียนแปลง หรือโรคแมลงศัตรูข้าวมีการเปล่ียนแปลง รวมทั้งต้องหาพันธุ์ท่ีมคี ุณภาพดีตามความต้องการของตลาดโลก และมีศกั ยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลกได้ จึงตอ้ งดาเนินงานปรบั ปรุงพันธุโ์ ดยไม่มที สี่ ้ินสดุ 5. การปรับปรงุ พันธข์ุ ้าว พันธุข์ ้าวท่ีดจี ะใหผ้ ลติ ผลสงู และมีคุณภาพดีกวา่ พนั ธุ์ขา้ วท่ีไม่ดี และเปน็ ท่ียอมรับกันทั่วไปว่าพนั ธ์ุขา้ ว ท่ีดีเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญ สาหรับการเกษตรแผนใหม่ซึ่งการเกษตรแผนใหม่มีจุดประสงค์ท่ีจะปลูกพืชท่ี ตลาดต้องการให้ได้ผลิตผลสูง และทารายได้ท่ีคุ้มค่าให้กับกสิกรผู้ปลูก การเกษตรแผนใหม่มีองค์ประกอบ ตา่ งๆ ดงั นี้ - การปลกู พชื พันธุ์ดี และเหมาะสมกับท้องถน่ิ - การใสป่ ุย๋ บารุงดิน - การปราบวชั พชื - การปอ้ งกนั กาจัดโรค และแมลงศัตรพู ืช - การชลประทาน เพ่อื ให้มีน้าเพยี งพอกับความต้องการของพชื โดยเหตุนี้การปรับปรุงพันธ์ุเพ่ือให้ได้ข้าวพันธุ์ดีจึงมีความสาคัญยิ่ง และการปรับปรุงพันธ์ุข้าวได้มีมาต้ังแต่สมัย โบราณ เพราะมนุษย์มีนิสัยอยากจะได้ของท่ีดีย่ิงๆ ข้ึนไป อย่างไรก็ตาม วิธีการปรับปรุงพันธ์ุในสมัยก่อน และในสมัยปัจจุบันน้ันมีความแตกต่างกันมากมาย เพราะมนุษย์ในปัจจุบันได้เรียนรู้ถึงวิชาการต่างๆ มากกว่า ในสมัยก่อน ฉะนั้นวิธีการปรับพันธ์ุข้าวในปัจจุบันจึงดีกว่าสมัยก่อน และงานปรับปรุงพันธ์ุข้าวในปัจจุบัน สถาบนั วิจัยขา้ ว กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผดู้ าเนินงาน ซง่ึ วธิ กี ารปรับปรงุ พันธุ์ขา้ ว พอสรุปไดด้ งั นี้ พันธุ์ข้าวเลบ็ มอื นาง www.kanchanapisek.or.th

1) การเอาพันธขุ์ ้าวจากท้องท่ีตา่ งๆ เขา้ มาปลูก เป็นท่ีทราบกนั ว่า พันธุ์ข้าวที่ปลูกในท้องท่ีตา่ งๆ ภายในประเทศ หรือพันธุ์ข้าวที่ปลูกในประเทศต่างๆ นั้นมีความแตกต่างกัน ท้ังลักษณะภายนอกและพันธุกรรม จึงสมควรเอามาปลูกเพ่ือศึกษาลักษณะต่างๆ ของมัน จากการศึกษาพบว่า พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ ซ่ึงเอามาจากท้องท่ีอาเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในภาคกลาง เมื่อเอาไปปลูกในท้องท่ีจังหวัดสุรินทร์ จะให้ผลิตผลสูง และคุณภาพเมล็ดได้มาตรฐาน เหมาะกับสภาพของท้องถ่ิน จนกระทั่งบัดน้ีพันธ์ุข้าวขาวดอกมะลิ ได้มีการปลูกกันอย่างแพร่หลาย ในจังหวัด ต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในทานองเดียวกันพันธ์ุข้าวเหนียวสันป่าตอง จากอาเภอ สันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ เม่ือเอาไปปลูกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ให้ผลิตผลสูงและคุณภาพเมล็ดได้ มาตรฐาน นี่คือ ผลดีของการเอาพันธ์ุข้าวจากท้องที่หน่ึง ไปทดลองปลูก เพ่ือศึกษาในอีกท้องท่ีหน่ึง ซึ่งเป็น วิธีการปรับปรุงพันธ์ุที่เรียกว่า อินโทรดักชัน (introduction) นอกจากน้ี เรายังได้พบพันธุ์ข้าวไออาร์ 8 (IR8) จากสถาบันวิจัยขา้ วระหว่างชาติ ณ ประเทศ ฟลิ ิปปนิ ส์ ซ่ึงมีความต้านทานต่อโรคใบสีส้ม ต้นเตีย้ ใหผ้ ลิตผลสูง เม่ือใส่ปุ๋ยมากข้ึน เม่ือเอาพันธุ์นี้ผสมกับ พันธ์ุไทยช่ือ เหลืองทอง ซึ่งมีลาต้นสูง ไม่ต้านทาน โรคใบสีส้ม คุณภาพเมล็ดได้มาตรฐาน จะให้ลูกผสมท่ีดีจนสามารถคัดเลือกได้สายพันธ์ุดีที่ให้ผลิตผลสูง ต้านทานโรคใบสี ส้ม คุณภาพเมล็ดได้มาตรฐาน และตอบสนองต่อปุ๋ยสูง ซึ่งสายพันธุ์ดีน้ีต่อมาได้ออกขยายให้ชาวนาปลูก ช่ือ กข.1 ขณะนี้ชาวนาโดยเฉพาะผู้ปลูกข้าวนาปรัง ได้รู้จักข้าว กข.1 เป็นอย่างดี ฉะน้ันพันธุ์ข้าวที่เอามาจาก ท้องทตี่ ่างๆ ทัง้ ภายในและภายนอกประเทศนั้น อาจใช้เป็นพันธดุ์ ีสาหรบั ปลูกหรือใช้เปน็ พันธพุ์ ่อแมใ่ นการผสม พนั ธุ์ก็ได้ พนั ธข์ุ า้ วขาวดอกมะลิ www.kanchanapisek.or.th 2) การคัดเลอื กพันธุ์ ปกติพันธ์ุข้าวท่ีเอามาจากท้องถ่ินต่างๆ น้ันมีจานวนมาก จนไม่สามารถคัดเลือกได้ทันทีว่าพันธ์ุใดดี พนั ธุ์ใดไม่ดี ด้วยเหตุน้ี จึงต้องเอาพันธเุ์ หลา่ นั้นมาปลูกทดสอบและเปรียบเทียบเพ่ือคัดเลือก ซ่ึงการคัดเลือกก็มี หลายวธิ ดี ้วยกันดังนี้ 2.1) การคัดเลอื กพนั ธ์หุ มู่ (mass selection) โดยเอา เมลด็ พนั ธขุ์ องแต่ละพนั ธ์มุ าปลกู เพือ่ คัดเลอื กหาตน้ ที่มีลกั ษณะดแี ละเหมือนกันไวเ้ ป็น จานวนมาก แล้วเก็บเกี่ยวเมล็ดจากต้นเหล่านี้รวมกันเพื่อปลูกเปรียบเทียบ และทดสอบหาพันธ์ุท่ีดีที่สุด เชน่ ให้ผลิตผลสูง คณุ ภาพ เมลด็ ได้มาตรฐาน ตา้ นทานตอ่ โรคและแมลงทส่ี าคญั ๆ 2.2) การคดั เลอื กพันธแุ์ ท้ (pure line selection)

พันธุ์แท้ หมายถึง กลุ่มของต้นลูกท่ีเกิดจากการผสมตัวเองในต้นเดียวกัน และต่างก็มีลักษณะ เหมือนต้นเดิม ฉะน้ันการคัดเลือกแบบน้ีจึงเป็นการคัดเลือกหาต้นที่มีลักษณะดี แต่ละต้นท่ีคัดเลือกเก็บเกี่ยว เมล็ดแยกกันเพ่ือเอาไปปลูกทดสอบเป็นสายพันธ์ุต่างๆ และสายพันธ์ุที่ดีเท่านั้นจะได้รับการคัดเลือก เชน่ สายพันธุ์ทีใ่ หผ้ ลิตผลสงู คุณภาพเมล็ดไดม้ าตรฐาน ต้านทานต่อโรคและแมลงท่ีสาคญั ๆ และทุกต้นในสาย พนั ธุ์มีลกั ษณะเหมอื นกนั พันธ์ุขา้ วนางมล www.kanchanapisek.or.th 3) การผสมพนั ธุ์ พันธุ์ข้าวท่ีได้มาจากท้องถิ่นต่างๆ ท้ังภายในและภายนอกประเทศส่วนใหญ่จะเป็นพันธ์ุท่ีมีลักษณะดี เพียงลักษณะหนึ่งลักษณะใดเท่านั้น พันธ์ุเหล่าน้ีจึงไม่ดีพอท่ีจะขยายพันธุ์ให้ชาวนาปลูกได้ เช่น พันธ์ุท่ีต้าน ทานโรคมักจะให้ผลิตผลต่าหรือคุณภาพเมล็ดไม่ได้มาตรฐาน หรือพันธุ์ท่ีให้ผลิตผลสูงก็มักจะไม่ต้านทานโรค ฉะน้ันต้องเอาพันธ์ุท่ีมีลักษณะดีคนละอย่างมาผสมกัน เพื่อจะได้รวมเอาลักษณะดีต่างๆ ไว้ในต้นหรือพันธ์ุ เดียวกัน ซึ่งจะได้เป็นพันธ์ุท่ีให้ผลิตผลสูง คุณภาพเมล็ดได้มาตรฐานและต้านทานโรค แต่ต้นข้าวเป็นพืชพวก ผสมตัวเอง และเมื่อผสมกันแล้วต้นลูกในชั่วท่ี 2 จะมีการกระจายตัวมาก และการกระจายตัวน้ีจะลดน้อยลง เร่ือยๆ จนถึงชั่วที่ 5 ซึ่งจะมีการกระจายตัวน้อยที่สุด สมมุติเอาพันธ์ุต้านทานโรคผสมกับพันธุ์ไม่ต้านทานโรค ต้นลูกผสมชั่วที่ 1 ทุกต้นจะมีลักษณะเหมือนกัน คือ ทุกต้นต้านทานโรคหรือทุกต้นไม่ต้านทานโรค เม่ือเอา เมล็ดจากต้นเหล่านี้ไปปลูกเป็น ชว่ั ที่ 2 มันก็จะกระจายตัวออกเป็นตน้ ท่ีต้านทานโรค และต้นท่ีไม่ต้านทานโรค และเม่ือเอาต้นที่ต้านทานไปปลูกช่ัวที่ 3 มันก็จะกระจายตัวออกเป็นต้นต้านทานและต้นไม่ต้านทาน ซึ่งการ กระจายตัวนี้น้อยกว่าในช่ัวที่ 2 และเม่ือคัดเลือกเอาเฉพาะต้นที่ต้านทานไว้ปลูกในทุกชั่วของข้าวลูกผสม ก็จะได้เป็นพันธ์ุแท้ท่ีต้านทานในชั่วท่ี 5 หรือชั่วที่ 6 ซ่ึงไม่มีการกระจายตัวเหลืออยู่อีกเลย ดังน้ัน การปลูก คัดเลือกขา้ วลกู ผสม จึงมี 2 วิธี ดังน้ี 3.1) การคัดเลอื กแบบหมู่ (bulk method) หมายถึง การเอาข้าวลูกผสมมาปลูก โดยไม่มีการคัดเลือกในช่ัวที่ 2,3 และ 4 ทั้งนี้เพราะข้าว ลูกผสมมกี ารกระจายตวั มากในระหว่างน้ี แตจ่ ะทาการคัดเลือกในช่ัวท่ี 5 หรอื ชั่วท่ี 6 ซึง่ เป็นช่ัวที่มีการกระจาย ตวั น้อยหรือไม่มีการกระจายตัวเลย แล้วเอาต้นท่ีคัดเลือกไปปลูกเปน็ สายพันธ์ุ เพ่ือทดสอบและเปรยี บเทียบหา สายพนั ธด์ุ ีตอ่ ไป

เมล็ดขา้ วกาลงั งอก www.kanchanapisek.or.th 3.2) การคัดเลือกแบบสบื ตระกลู (pedigree method) หมายถงึ การเอาขา้ วลูกผสมมาปลูกโดยมีการคัดเลือกต้นตั้งแต่ช่วั ที่ 2,3 และ 4 โดยคดั เลอื ก เอาต้นทมี่ ีลักษณะดีไปปลกู เป็นสายพันธุ์ เพ่ือคัดเลือกหาสายพันธุ์ดีและต้นที่ดีในสายพันธุ์ดตี ่อไปเรื่อยๆ จนถึง ช่ัวที่ 5 หรือ 6 ซึ่งในท่ีสุดก็จะได้สายพันธุ์ดีที่ไม่มีการกระจายตัว การคัดเลือกแบบนี้ได้ผลดีมาก แต่ส้ินเปลือง แรงงานมากกว่าวธิ แี รก 4) การชกั นาใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธกุ รรม โดยใชส้ ารเคมหี รือกัมมันตภาพรงั สี เนื่องจากสารเคมีบางจาพวก เช่น เอทีลีนไอมีน (ethylene imine EI) และเอทิลมีเทนซัลโฟเนต (ethyl methane sulfonate, EMS) และกัมมันตภาพรังสี เช่น เอกซเรย์ (X-rays) แกมมาเรย์ (gamma- rays) สามารถทาให้สว่ นประกอบของโครโมโซมเปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ จนมผี ลให้ต้นพืชนน้ั มีพันธุกรรมผิดไป จากเดิม จึงแสดงออกเปน็ ลักษณะใหม่ทีไ่ มเ่ คยมีในพนั ธุน์ ั้นมาก่อนเลย เพื่อเปิดโอกาสให้นกั บารงุ พนั ธพุ์ ืชได้คัด เลือกเอาลกั ษณะใหม่ท่ีดีไว้ ลกั ษณะใหมท่ ่ีได้น้อี าจไม่เคยมใี นโลกนมี้ าก่อนก็ได้ ชาวนากาลงั เกี่ยวข้าว www.kanchanapisek.or.th ผลจากการปรับปรุงพันธุ์ข้าวในประเทศไทย ได้มีข้าวพันธ์ุดีหลายพันธ์ุขยายออกให้ชาวนาปลูกใน ปัจจุบัน เช่น ในภาคเหนือ ได้แก่ พันธุ์เหลืองใหญ่ 148, เหนียวสันป่าตอง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่

พันธ์ุเหนียวสันป่าตอง, ขาวดอกมะลิ 105, น้าสะกุย 19 ในภาคกลาง ได้แก่ ป่ินแก้ว 56, ขาวปากหม้อ 148, เหลืองประทิว 132, กข.21, กข.23 ในภาคใต้ ได้แก่ พันธ์ุนางพญา 132, กข.13, และเผือกน้า 43 อย่างไร ก็ตาม พันธ์ุเหล่านี้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะโรคและแมลงศัตรูข้าวชนิดใหม่ๆ จะมีเกิดขึ้นซ่ึง พันธุ์เหล่านอ้ี าจไมต่ ้านทานในเวลาน้นั จึงจาเป็นตอ้ งหาพันธ์ุใหม่มาแทน 5. ชนิดของพนั ธข์ุ ้าว ชนดิ ของพนั ธข์ุ า้ วแบ่งได้เปน็ ๒ ลกั ษณะดังนี้ 1) แบ่งตามนิเวศนก์ ารปลูก ข้าวนาสวน ข้าวทป่ี ลกู ในนาทมี่ ีน้าขงั หรือกักเกบ็ นา้ ได้ระดบั น้าลึกไม่เกิน 50 เซนตเิ มตร ขา้ วนาสวนมี ปลูกทกุ ภาคของประเทศไทย แบง่ ออกได้ 2 ชนดิ คอื ขา้ วนาสวนนานา้ ฝน และขา้ วนาสวนนาชลประทาน www.ricethailand.go.th - ข้าวนาสวนนานา้ ฝน ขา้ วที่ปลกู ในฤดูนาปีและอาศยั น้าฝนตามธรรมชาติ ไมส่ ามารถควบคมุ ระดบั นา้ ได้ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กบั การกระจายตวั ของฝน ประเทศไทยมีพน้ื ทีป่ ลกู ข้าวนาน้าฝนประมาณ 70% ของพืน้ ท่ปี ลูกข้าวทง้ั หมด - ข้าวนาสวนนาชลประทาน ข้าวที่ปลูกได้ตลอดท้งั ปีในนาทส่ี ามารถควบคมุ ระดบั น้าได้ โดยอาศยั น้าจากการชลประทาน ประเทศ ไทยมีพนื้ ท่ีปลกู ขา้ วนาชลประทาน 24% ของพืน้ ท่ปี ลูกขา้ วท้งั หมด และพ้นื ท่ีสว่ นใหญจ่ ะอยู่ในภาคกลาง ขา้ วขึ้นน้า ข้าวท่ปี ลูกในนาที่มีน้าท่วมขังในระหว่างการเจริญเติบโตของข้าว มีระดบั น้าลึกตง้ั แต่ 1-5 เมตร เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 เดอื น ลกั ษณะพเิ ศษของขา้ วขึน้ นา้ คือ มีความสามารถในการยดื ปล้อง (internode elongation ability) การแตกแขนงและรากท่ีข้อเหนือผวิ ดิน (upper nodal tillering and rooting ability) และการชูรวง (kneeing ability) ข้าวนา้ ลึก ข้าวท่ีปลกู ในพ้ืนทน่ี ้าลึก ระดับน้าในนามากกวา่ 50 เซนตเิ มตร แต่ไม่เกิน 100 เซนติเมตร ขา้ วไร่ ข้าวทป่ี ลูกในทดี่ อนหรือในสภาพไร่ บรเิ วณไหล่เขาหรอื พื้นท่ีซึ่งไม่มนี ้าขัง ไมม่ กี ารทาคันนา เพ่ือกักเก็บน้า

ขา้ วนาทีส่ ูง ขา้ วที่ปลกู ในนาทม่ี นี ้าขังบนท่ีสูงต้ังแต่ 700 เมตรเหนอื ระดับนา้ ทะเลขึน้ ไป พนั ธ์ุข้าวนาที่ สูงต้องมีความสามารถทนทานอากาศหนาวเย็นไดด้ ี 1) แบ่งตามการตอบสนองต่อชว่ งแสง ข้าวไวต่อช่วงแสง เป็นข้าวทีอ่ อกดอกเฉพาะเมอ่ื ชว่ งเวลากลางวันสัน้ กว่า 12 ช่ัวโมง โดยพบวา่ ข้าวไวต่อชว่ งแสงใน ประเทศไทยมักจะออกดอกในเดือนท่ีมีความยาว ของกลางวันประมาณ 11 ชั่วโมง 40 นาที หรือส้ันกว่าน้ี ดังน้ันข้าวท่ีออกดอกได้ในเดือนท่ีมีความยาวของกลางวัน 11 ชั่วโมง 40-50 นาที จึงได้ชื่อวา่ เป็นข้าวที่มีความ ไวต่อช่วงแสงน้อย (less sensitive to photoperiod) และพันธ์ุที่ออกดอกเฉพาะในเดือนท่ีมีความยาวของ กลางวันประมาณ 11 ชั่วโมง 10-20 นาทีก็ได้ชื่อว่าเป็นพันธุ์ท่ีมีความไวต่อช่วงแสงมาก (strongly sensitive to photoperiod) พันธ์ุข้าวประเภทนี้จึงปลูกและให้ผลผลิตได้ปีละหนึ่งครั้ง หรือปลูกได้เฉพาะในฤดูนาปี บางคร้ังจึงเรียกว่า ข้าวนาปี พันธ์ุข้าวในประเทศไทยที่เป็นพันธุ์พื้นเมืองส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ท่ีมีความไวต่อ ช่วงแสง ข้าวไมไ่ วต่อช่วงแสง เปน็ ขา้ วที่ออกดอกเมื่อข้าวมรี ะยะเวลาการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตตามอายุ จึงใชป้ ลูกและ ใหผ้ ลผลติ ไดต้ ลอดท้งั ปี หรือปลูกไดใ้ นฤดนู าปรัง บางคร้ังจงึ เรียกวา่ ขา้ วนาปรัง ตารางท่ี 3 พันธ์ุข้าวนาสวน พนั ธข์ุ ้าวนาสวนไวต่อช่วงแสง พนั ธุข์ ้าวนาสวนไม่ไวต่อช่วงแสง - กข5 - ปทุมธานี 60 - กข1 - ข้าวเจา้ หอมสพุ รรณบรุ ี - กข6 - พวงไร่ 2 - กข2 - ชัยนาท 1 - กข8 - พัทลงุ 60 - กข3 - ชยั นาท 2 - กข12 (หนองคาย 80) - พิษณุโลก 3 - กข4 - ปทุมธานี 1 - กข13 - พิษณุโลก 60-1 - กข7 - บางแตน - กข15 - พิษณุโลก 80 - กข9 - พัทลุง - กข16 - ลกู แดงปตั ตานี - กข10 - พิษณโุ ลก 2 - กข27 - เล็บนกปตั ตานี - กข11 - พษิ ณโุ ลก 60-2 - กข35 (รงั สติ 80) - หางยี 71 - กข14 - แพร่ 1 - กาผาย 15 - เหมยนอง 62 เอ็ม - กข21 - สกลนคร - เก้ารวง 88 - เหนียวสันป่าตอง - กข23 - สนั ป่าตอง 1 - ขาวดอกมะลิ 105 - เหนยี วอบุ ล 1 - กข25 - สุพรรณบุรี 1 - ขาวตาแหง้ 17 - เหนยี วอุบล 2 - กข29 (ชัยนาท 80) - สุพรรณบรุ ี 2 - ขาวปากหม้อ 148 - เหลอื งประทิว 123 - กข31 (ปทมุ ธานี 80) - สพุ รรณบรุ ี 3 - ข้าวเจ้าหอมพิษณุโลก 1 - เหลืองใหญ่ 148 - กข33 (หอมอุบล 80) - สพุ รรณบุรี 60 - เฉีย้ งพัทลุง - เข็มทองพัทลุง - กข37 - สพุ รรณบุรี 90 - ชุมแพ 60 - ขา้ วหลวงสนั ปา่ ตอง - กข39 - สรุ นิ ทร์ 1 - นางพญา 132 - แก่นจนั ทร์ - กข41

ตารางที่ 4 พันธข์ุ า้ วขน้ึ นา้ ข้าวน้าลกึ พนั ธุข์ า้ วข้นึ นา้ ไวตอ่ ช่วงแสง พันธขุ์ า้ วน้าลกึ ไวต่อช่วงแสง พนั ธขุ์ า้ วนา้ ลึกไม่ไวต่อช่วงแสง - กข17 - ตะเภาแกว้ 161 - กข 19 - นางฉลอง - กข 45 - ป่ินแกว้ 56 - หนั ตรา 60 - พลายงามปราจนี บุรี - ปราจีนบุรี 1 - เลบ็ มอื นาง 111 - ปราจนี บรุ ี 2 - อยธุ ยา 1 ตารางที่ 5 พนั ธข์ุ ้าวไร่ พนั ธุข์ า้ วไร่ไมไ่ วต่อชว่ งแสง - อาร์ 258 พันธุ์ขา้ วไร่ไวต่อช่วงแสง พันธุ์ขา้ วแดงไม่ไวต่อช่วงแสง - กเู้ มืองหลวง - ขา้ วหอมกหุ ลาบแดง - ขาวโป่งไคร้ - เจา้ ฮ่อ - ซวิ แม่จัน - ดอกพะยอม - น้ารู - เจา้ ลีซอสันปา่ ตอง - เจา้ ขาวเชยี งใหม่ - เหนยี วดาช่อไม้ไผ่ 4 ตารางท่ี 6 พันธข์ุ า้ วแดง พันธ์ขุ ้าวแดงไวต่อช่วงแสง - ข้าวหอมแดง - สงั ขห์ ยดพัทลงุ ตารางท่ี 7 พันธุข์ ้าว พนั ธุ์ขา้ วบาร์เลย์ พนั ธ์ุขา้ วลูกผสม พันธขุ์ ้าวญีป่ นุ่ - สะเมงิ 1 - ซพี ี 304 - กวก. 1 - สะเมิง 2 - กขผ 1 - กวก. 2

6. แมลงศตั รขู า้ ว แมลงศตั รขู ้าวมหี ลายชนิด แตช่ นิดที่สาคญั และระบาดเสมอๆ ได้แก่ เพลย้ี ไฟ เพลย้ี กระโดดสี น้าตาล หนู ปนู า นก เป็นต้น 1) เพลี้ยไฟ (rice thrips) มชี อ่ื วทิ ยาศาสตร์วา่ ทริพส์ ออไรซี (Thrips oryzae) เป็นแมลงที่มีปากแทงดดู และชอบดดู กินน้า เล้ยี งจากตน้ กล้าขา้ ว โดยเฉพาะตรงส่วนทีเ่ ปน็ สีเขยี ว เพราะมีคลอโรฟลี ล์ระบาดรนุ แรงมากเม่ือมีอากาศแหง้ แลง้ ฝนตกนอ้ ย ขา้ วทถี่ ูกเพลย้ี ไฟทาลายจะมีใบเหลอื งเจริญเตบิ โตชา้ ต้นข้าวแคระแกรน็ แลว้ แผน่ ใบคอ่ ยๆ มว้ นตามความยาวเข้าหาส่วนกลางของใบ ต่อจากนัน้ ปลายใบกจ็ ะแหง้ ซึ่งในระยะนี้ตวั เพลีย้ ไฟจะอาศัยอยู่ใน รอยม้วนของใบต้นกล้าที่ถูกทาลายมากๆ จะตายในที่สดุ ส่วนตน้ ข้าวทีโ่ ตแล้วหรอื หลังปกั ดาจะไม่ไดร้ ับความ เสียหายจากเพล้ยี ไฟ ยกเว้นบางกรณีในระยะออกดอกเพล้ยี ไฟอาจเขา้ ไปดูดกนิ น้าเลีย้ งในดอกจนทาใหเ้ มล็ด ลบี เปน็ จานวนมาก ลักษณะขา้ วท่ีถูกเพล้ียไฟทาลาย www.kanchanapisek.or.th การปอ้ งกนั และกาจดั 1) สมุ ไฟดว้ ยฟางขา้ วไว้ด้านเหนอื ของแปลงกล้า แลว้ โรยผงกามะถนั ลงบนกองไฟน้ัน อากาศทีเ่ กิดจาก กองไฟจะเปน็ พิษทาลายเพลย้ี ไฟ 2) ใช้ยาฆ่าแมลงผสมน้าพ่นลงบนต้นกล้า ยาทีใ่ ช้ได้ผล เชน่ มาลาไทออน (malathion) 57% 2) เพลี้ยกระโดดสีนา้ ตาล (brown plant hopper) มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า นลิ าพารว์ าทาลูเยนส์ เป็นแมลงทใี่ ช้ปากแทงดูด ชอบดดู กินน้าเล้ยี งจากกาบ ใบของตน้ ขา้ ว ตัวสีนา้ ตาล และสามารถทาลายต้นข้าวในทุกระยะของการเจริญเติบโตให้เสียหายได้ เชน่ ระยะ ต้นกล้า ระยะแตกกอ ระยะออกรวง และแมลงเพลี้ยกระโดด ตัง้ แต่ตัวอ่อนจนถงึ ตวั แกส่ ามารถทาลายต้นข้าว ได้อยา่ งรุนแรง ต้นขา้ วที่ถกู แมลงนี้ทาลายจะมีอาการเห่ยี วแลว้ แห้งเป็นสนี ้าตาลแก่ ซ่งึ อาจมคี ราบของเชอ้ื รา สีดาเกาะติดอยู่กบั ต้นข้าวด้วย ตน้ ข้าวทกี่ าลังแตกกอที่ถูกทาลายจะแหง้ ตาย ตน้ ข้าวที่ออกรวงแล้วจะมีเมล็ด ไม่สมบรู ณ์และมนี ้าหนักเบา ลม้ งา่ ย ลกั ษณะกลุ่มของตน้ ข้าวทถี่ กู แมลงเพลยี้ กระโดดสนี ้าตาลทาลายเรยี กวา่ ฮอพเพอรเ์ บริ ์น (hopper burn) แมลงชนิดนีช้ อบดูดกนิ น้าเลี้ยงและอาศยั อยูบ่ นต้นข้าวที่แตกกอมาก ต้นไม่

คอ่ ยสงู เช่น พนั ธ์ุ กข.1 และจะระบาดรนุ แรงมากในระหวา่ งเดือนท่ีมีอากาศร้อนและความชื้นคอ่ นข้างสงู เชน่ เดือนพฤษภาคม มิถนุ ายน และกรกฎาคม ตวั แก่ของเพลยี้ กระโดดสนี า้ ตาล www.kanchanapisek.or.th การป้องกนั และกาจดั 1) จุดตะเกียงล่อให้ตวั แกม่ าเลน่ ไฟ แลว้ จบั ทาลาย 2) ใชส้ ารเคมีพวกคารบ์ าเมต (carbamate) พน่ ลงบนต้นข้าวที่ถูกแมลงน้ีทาลายเพือ่ ใหแ้ มลงตาย ยาท่ี ใชไ้ ด้ผล เช่น มพิ ซิน 50% ฟูราดาน (furadan) 3% 3) ปลูกด้วยพันธข์ุ ้าวที่ตา้ นทานแมลงเพลี้ยกระโดดสีนา้ ตาล เช่น กข.9, กข.21, กข.23 3) หนู หนูเป็นศัตรูท่ีสาคัญชนดิ หน่ึงของขา้ ว เพราะหนไู ด้กัดกินต้นขา้ วในระยะแตกกอ ระยะตั้ง ทอ้ ง และระยะทเ่ี มลด็ แกเ่ ก็บเกีย่ วได้ นอกจากนีห้ นยู งั ได้กนิ เมลด็ ขา้ วที่เก็บไว้ในยงุ้ ฉางอีกดว้ ย หนูทเ่ี ป็นศัตรู ทาลายข้าว ไดแ้ ก่ หนพู ุกเล็ก หนนู า หนูสวน หนจู ด๊ี หนูขยะ และหนหู ร่ิง หนเู หล่านม้ี ีขนาดตวั และสขี องขน แตกตา่ งกนั สภาพความเสยี หายของขา้ วในระยะแตกกอ ซงึ่ เกิดจากหนู www.kanchanapisek.or.th การป้องกันและกาจัด ใช้กับดกั หรอื ใช้ยารมในรทู ่หี นูอาศัยอยู่

4) ปูนา ปนู าเปน็ ศตั รูของขา้ ว เพราะปูได้กัดกินต้นข้าวทีป่ กั ดาใหม่ๆ ทาให้ชาวนาตอ้ งปกั ดาซา้ หลายครั้ง นอกจากนป้ี ูยงั ทาใหค้ นั นาเป็นรอู ีกดว้ ย ปูนา www.kanchanapisek.or.th การปอ้ งกันและกาจดั 1) ปรับทน่ี าให้เรยี บเสมอเพื่อจะไดไ้ ขน้าออก ให้แห้งเป็นเวลา 10-15 วัน หลงั จากการปกั ดา 2) ใช้ต้นกลา้ ทแ่ี ขง็ แรงปักดา และปักดากอละ 3-5 ตน้ 3) เอาเหย่ือท่มี ีกลิน่ แรงจดั เชน่ ปลารา้ ใสล่ งในปบี แลว้ เอาปีบนไ้ี ปฝงั ไวใ้ นนา โดยให้ปากปีบเสมอกบั พื้นนา ปูก็จะลงไปกินเหยอ่ื แต่ขึน้ มาไม่ได้ แล้วจบั ปทู าลาย 5) นก นกทาลายข้าวโดยกินเมล็ดข้าวในระยะที่ข้าวออกรวง นกจะกินเมล็ดข้าวท้ังในระยะท่ีเป็นน้านม และเป็นเมล็ดแก่ นอกจากนี้นกยังกินเมล็ดข้าวท่ีเก็บไว้ในยุ้งฉางอีกด้วย นกที่เป็นศัตรูข้าวที่สาคัญ ได้แก่ นกกระต๊ิด นกกระจาบ และนกกระจอก นกท่กี ินเมล็ดข้าวในนาขา้ ว www.kanchanapisek.or.th

7. การทานาหว่าน การทานาหว่าน คือ เปน็ การปลกู ข้าวโดยการหว่านเมลด็ ลงไปในนาท่เี ตรียมพืน้ ที่ไวแ้ ล้วโดยตรง เป็นวธิ กี ารท่นี ิยมมากขนึ้ ในปัจจุบนั เนื่องจากประหยัดแรงงานและเวลา ที่ทานาของคุณยายราตรี บุญยืน ตั้งอยู่ท่ีบ้านเลขที่ 7 หมู่ 5 ตาบลวังน้าเย็น อาเภอวงั น้าเย็น จงั หวัดสระแก้ว คุณยายราตรี เม่ือครั้งเริ่มทานา ได้เข้าร่วมฟังบรรยายเกี่ยวพันธุ์ข้าว และกู้ยืม เงินกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร อาเภอวังน้าเย็น เพ่ือเป็นเงินทุน ในการซ้ือเมล็ดพันธ์ุข้าวมาปลูก เมื่อถึงเวลาเก็บเก่ียวข้าวก็จะแบ่งเงินท่ีได้ไว้ใช้จ่ายใน ครัวเรือน และอีกส่วนหนึ่งก็นาไปใช้หนี้กับทางธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร คอ่ ยๆ เกบ็ หอมรอมริบ ประหยัดอดออม ยึดตามหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง ประเภทของการทานาหวา่ น 1. นาหวา่ นข้าวแห้ง นาหวา่ นข้าวแห้งเป็นการหว่านเมล็ดขา้ วเพ่ือคอยฝน และมชี ่ือเรียกปลกี ย่อยไปตามวิธปี ฏบิ ตั ิ คอื - การหวา่ นสารวย เปน็ การหว่านเมลด็ ข้าวแห้งในสภาพดนิ แหง้ เน่อื งจากฝนยังไมต่ กโดยหลังจาก การไถแปรครั้งสุดท้ายแล้วหว่านเมล็ดข้าวลงไปโดยไม่ต้องคราดกลบ เมล็ดจะตกลงไปอยู่ในระหว่างก้อนดิน เมือ่ ฝนตกลงมาเมล็ดข้าวจะงอกข้ึนมา ในบางพ้ืนท่หี ลังจากการหวา่ นข้าวแหง้ แลว้ มีการคราดกลบหรอื ไถกลบ - การหว่านหลังขี้ไถ เป็นการหว่านในสภาพท่ีมีฝนตกลงมา และน้าเริ่มจะขังในกระทงนาเม่ือไถ แปรแล้วก็หว่านเมลด็ พันธข์ุ ้าวตามหลงั แลว้ คราดกลบทันที

การหวา่ นสารวย การหว่านหลังขไ้ี ถ www.ricethailand.go.th 2. นาหว่านข้าวงอก หวา่ นนา้ ตม นาหว่านข้าวงอก หว่านน้าตม โดยการนาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ถูกเพาะให้งอกมีขนาดตุ่มตา (มีราก งอกประมาณ 1-2 มลิ ลเิ มตร) ไปหว่านลงในกระทงนา ซ่งึ มีการเตรียมดินจนเปน็ เทอื ก แยกไดเ้ ป็นดังนี้ - การหว่านหนีน้า ทาในนาน้าฝน เน่ืองจากการหวา่ นข้าวแห้งหรือทาการตกกล้าไม่ทัน เม่อื ฝนมา มากหลังจากเตรียมดินเป็นเทือกดีแล้ว ก็หว่านข้าวที่เพาะจนงอกลงไปในกระทงนาท่ีมีน้าขังอยู่มากจึงเรียกว่า นาหว่านนา้ ตม - นาชลประทาน หรอื นาในเขตท่ีมแี หล่งน้าอดุ มสมบรู ณ์ การทานาในสภาพนี้มักจะให้ผลผลิตสูง หลังจากเตรียมดินเป็นเทือกดีแล้วระบายน้าออกหรือให้เหลือน้าขังบนผืนนาน้อยท่ีสุด นาเมล็ดพันธ์ุข้าวที่งอก ขนาด “ตุ่มตา” หวานลงไป แล้วคอยดูแลควบคุมการให้น้า มักจะเรียกการทานาแบบน้ีว่า “การทานาน้าตม แผนใหม่” คณุ ยายราตรี กล่าววา่ คุณยายใช้วธิ ีการหว่านขา้ วแบบหวา่ นน้าตม เพราะในปจั จุบนั เปน็ วิธีทีน่ ยิ มกนั มาก ต้นทนุ ไมส่ งู มาก และไดผ้ ลผลิตค่อนข้างดี

ขนั้ ตอนในการทานาหว่าน 1. การเตรยี มดิน การเตรยี มดินสาหรับการทานาตอ้ งคานงึ ถงึ สภาพแวดลอ้ ม เชน่ น้า ภูมอิ ากาศ ลักษณะพนื้ ที่ ตลอดจนแบบวิธกี ารทานา และเครอ่ื งมือการเตรียมดนิ ที่แตกตา่ งกนั การเตรียมดินแยกไดเ้ ป็น 2 ข้นั ตอนคือ 1) การไถดะ และไถแปร การไถดะ คือ การไถพลิกหนา้ ดินครั้งแรกเพ่ือกาจัดวัชพชื และตากดนิ ให้แห้ง การไถแปร คือ การไถครั้งท่สี องโดยไถขวางแนวไถดะ เพ่ือย่อยดนิ และคลกุ เคล้าฟาง วชั พืช ฯลฯ ลงไปในดิน การไถ ไถด้วยแรงงานสตั ว์ เช่น วัว ควาย รถไถเดินตาม รถแทรกเตอร์ www.ricethailand.go.th 2) การคราดหรือใช้ลูกทุบ คอื การกาจดั วชั พืช ตลอดจนการทาให้ดินแตกตวั และเปน็ เทือกพร้อมทจ่ี ะปกั ดาหรอื หว่านได้ ขน้ั ตอนนี้เปน็ ข้ันตอนทีท่ าต่อจากขนั้ ตอนท่ี 1 และขงั นา้ ไว้ระยะหน่ึงเพ่ือให้มีสภาพดนิ ทเ่ี หมาะสมในการคราด การใชล้ ูกทบุ หรือเคร่ืองไถพรวนจอบหมนุ (Rotary) การคราด www.ricethailand.go.th

ข้อควรระวังในการเตรยี มดิน 1. ควรปลอ่ ยให้ดินนามีโอกาสแหง้ สนทิ เปน็ ระยะเวลานานพอสมควร และถ้าสามารถไถพลิกดินล่าง ขึ้นมาตากให้แหง้ ได้ก็จะดยี ง่ิ ขึ้น ถา้ ดนิ เปียกนา้ ติดต่อกันโดยไมม่ ีโอกาสแหง้ จะเกดิ การสะสมของสารพษิ เช่น แกส๊ ไข่เน่า (ไฮโดรเจนซลั ไฟด์) และกรดอนิ ทรยี ์ เปน็ ต้น ซ่ึงถ้าสารเหล่าน้ีมปี รมิ าณมากก็จะเปน็ อันตรายตอ่ ราก ข้าวได้ 2. ควรมกี ารหมกั ฟาง หญ้ารวมทัง้ อนิ ทรียวัตถุเพื่อใหส้ ลายตวั สมบรู ณป์ ระมาณ 2 สัปดาห์ หลงั การ ไถเตรยี มดิน เพ่ือให้ดินปรบั ตัวอยู่ในสภาพทีเ่ หมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตของข้าว และสามารถปลดปลอ่ ยธาตุ อาหารทีจ่ าเป็นออกมาใหแ้ ก่ต้นข้าว 2. การเตรียมเมลด็ พนั ธุ์ คณุ ยายราตรีกลา่ ววา่ ควรคัดเมลด็ พันธุ์ให้ได้เมล็ดที่แข็งแรง มนี ้าหนกั เมลด็ ดีทเี่ รียกวา่ ขา้ วเต็มเมล็ด จะไดต้ ้นข้าวท่ีเจรญิ เติบโตแข็งแรง - การเตรยี มเมลด็ พันธ์ุ ต้องเป็นเมลด็ พนั ธ์ทุ ่ีบรสิ ุทธิ์ ปราศจากสงิ่ เจือปน มีเปอร์เซน็ ต์ความงอกสงู (ไมต่ ่ากวา่ 80 เปอรเ์ ซ็นต์) ปราศจากการทาลายของโรคและแมลง - การแช่และหมุ้ เมล็ดพนั ธ์ุ นาเมล็ดข้าวท่ีไดเ้ ตรยี มไว้บรรจุในภาชนะ เช่น ตะกรา้ ไมไ้ ผ่สาน กระสอบ ป่าน หรือถงุ ผา้ ไปแชใ่ นน้าสะอาดนานประมาณ 12-24 ชว่ั โมง จากนั้นนาเมลด็ พันธุ์ขึ้นมาวางบนพ้นื ท่นี ้าไมข่ ัง และมกี ารถา่ ยเทอากาศดี นากระสอบปา่ นชุบนา้ จนชุ่มมาหุม้ เมล็ดพันธ์โุ ดยรอบ รดน้าทุกเชา้ และเยน็ เพื่อรักษาความช่มุ ชนื้ หุ้มเมล็ดพันธุ์ไว้นานประมาณ 30-48 ชวั่ โมง เมลด็ ข้าวจะงอกขนาด “ตุ่มตา” (มียอด และรากเล็กนอ้ ยโดยรากจะยาวกว่ายอด) พรอ้ มท่จี ะนาไปหว่านได้

เมล็ดขา้ วหลังจากแช่และหุ้มแลว้ พรอ้ มที่จะนาไปหว่าน www.ricethailand.go.th 3. การหวา่ น การหวา่ นควรหวา่ นให้สมา่ เสมอทวั่ แปลง ข้าวจะไดร้ บั ธาตอุ าหาร แสงแดด และเจรญิ เตบิ โต สม่าเสมอกันทาให้ได้ผลผลิตสูง โดยเดนิ หวา่ นในรอ่ งแคบๆ ทีท่ าไว้เมล็ดพันธุ์ท่ีใช้หว่านแต่ละแปลงยอ่ ย ควรแบ่งออกเป็นสว่ นๆ ตามขนาดและจานวนแปลงย่อย เพ่ือเมล็ดข้าวทห่ี ว่านลงไปจะได้สม่าเสมอท่ัวทั้งแปลง ในนาที่เปน็ ดินทรายมตี ะกอนนอ้ ยหลังจากทาเทือกแลว้ ควรหว่านทนั ที กักน้าไว้หน่ึงคนื แล้วจึงระบายออก จะทาให้ขา้ วงอกและจับดนิ ดียิง่ ข้ึน การหวา่ น การกระจายของเมล็ดขา้ วหลงั หว่าน www.ricethailand.go.th

สภาพการงอกและเจริญเติบโตหลังหว่าน คุณยายราตรีกล่าวว่า “หลังจากการหว่านข้าวแล้วส่ิงที่สาคัญ คือ การดูแลรักษาและการควบคุมระดับน้า โดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มหว่านจนข้าวแตกกอ ระดับน้าไม่ควรเกิน 5-10 เซนติเมตร เพราะถ้าระดับน้าสูงจะทา ให้ต้นข้าวที่แตกกอเต็มที่แล้ว เพ่ิมความสูงของต้น และความยาวของใบเป็นเหตุให้ต้นข้าวล้ม เกิดการ ทาลายของโรคและแมลงได้งา่ ย” 4. การดแู ลรักษา ในระหว่างการเจริญเติบโตของต้นข้าวการหว่าน เมล็ดในการปลูกข้าวนาหว่าน ต้นข้าวต้องการ น้าและปุ๋ยสาหรับการเจริญเติบโต ในระยะน้ีต้นข้าวอาจถูกโรคและแมลงศัตรูข้าวหลายชนิดเข้ามาทาลายต้น ข้าว โดยทาให้ต้นข้าวแห้งตายหรือผลิตผลต่าและคุณภาพเมล็ดไม่ได้มาตรฐาน เพราะฉะนั้นนอกจากจะมี วิธีการปลูกที่ดีแล้วจะต้องมีวิธีการดูแลรักษาที่ดีอีกด้วย ผู้ปลูกจะต้องหมั่นออกไปตรวจดูต้นข้าวท่ีปลูกไว้ เสมอๆ ในแปลงท่ีปลูกข้าวไร่จะต้องมีการกาจัดวัชพืช ใส่ปุ๋ย และพ่นยาเคมี เพ่ือป้องกันและกาจัดโรคแมลง ศัตรทู ี่อาจเกิดระบาดข้ึนได้ นอกจากน้ีจะตอ้ งหมั่นกาจัดวชั พืชในแปลงปักดาอกี ด้วย เพราะวัชพืชเป็นตวั ทแี่ ย่ง ปุ๋ยไปจากต้นข้าว ในพื้นท่ีนาหว่านชาวนาจะต้องกาจัดวัชพืชโดยใช้สารเคมี หรือจะใช้แรงคนถอนท้ิงไปก็ได้ นอกจากนจ้ี ะต้องพน่ สารเคมีเพ่ือป้องกันกาจัดโรคและแมลงอีกด้วย เนอ่ื งจากพื้นที่นาหวา่ นมักจะมีระดับนา้ ลึก กวา่ นาดา ฉะนั้นชาวนาควรใสป่ ุย๋ ก่อนท่ีนา้ จะลกึ ยกเวน้ ในพ้นื ทท่ี ่ีน้าไมล่ กึ มากกใ็ หใ้ สป่ ุย๋ แบบนาดาทว่ั ๆ ไป การใสป่ ๋ยุ ในนาข้าว www.google.co.th/search?q=การหว่านปุ๋ย

5. การเก็บเก่ียว หลังจากท่ขี า้ วออกดอกหรือออกรวงประมาณ 20 วัน ชาวนาจะเร่งระบายน้าออกเพอื่ เป็นการเร่งให้ข้าวสุก พร้อมๆ กัน และทาให้เมล็ดมีความชื้นไม่สูงเกินไป จะสามารถเก็บเก่ียวได้หลังจากระบายน้าออก ประมาณ 10 วันระยะเวลาทเ่ี หมาะสมสาหรับการเก็บเกี่ยว เรียกวา่ ระยะพลับพลึง คือสังเกตท่ีปลายรวงจะมี สีเหลือง กลางรวงเป็นสีตองอ่อน การเก็บเกี่ยวในระยะน้ีจะได้เมล็ดข้าวมีความแข็งแกร่ง มีน้าหนัก และมี คุณภาพดี ข้าวอยู่ในระยะท่เี กบ็ เกยี่ วได้ คุณยายราตรีกล่าววา่ “ปัจจบุ ันการเกบ็ เกยี่ วขา้ วจะใชร้ ถเก่ียวขา้ วแทนการเกีย่ วดว้ ยมอื หรือการจา้ ง แรงงาน เพราะการจ้างแรงงานนน้ั หายาก ประกอบกับสภาพปัจจุบันทีช่ าวนาตอ้ งการลดเวลาในการเกย่ี วข้าว ลง ดงั นนั้ การใช้รถเกี่ยวขา้ วซ่ึงเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อานวยความสะดวก รวดเรว็ และประหยดั เวลาอีกดว้ ย” รถเกยี่ วขา้ ว www.google.co.th/search?q=รถเก่ยี วข้าว

6. การตากข้าว หลังจากท่ีเก็บเกี่ยวข้าวแล้วน้ัน จะต้องนาข้าวมาตากเพื่อรักษาคุณภาพเมล็ดข้าวให้ได้มาตรฐาน อยู่เป็นเวลานานๆ และทาความสะอาดเมล็ดก่อนที่จะเอาไปเก็บไว้ในยุ้งฉาง ท้ังนี้เพ่ือให้ได้เมล็ดข้าวเปลือก ท่ีแห้ง และมีความช้ืนของเมล็ดประมาณ 13-15% เมล็ดข้าวในยุ้งฉางที่มีความช้ืนสูงกว่านี้จะทาให้เกิดความ ร้อนสูงจนคุณภาพขา้ วเสื่อม นอกจากน้ีจะทาใหเ้ ชือ้ ราต่างๆ ท่ีตดิ มากับเมล็ดขยายพันธ์ุได้ดีจนสามารถทาลาย เมล็ดข้าวเปลือกได้เป็นจานวนมาก การตากข้าวในระยะนี้ควรตากบนลานที่สามารถแผ่กระจายเมล็ดข้าวให้ ได้รับแสงแดดโดยทั่วถงึ กัน และควรตากไว้นานประมาณ 3-4 แดด 7. การเก็บรักษาขา้ ว คุณยายราตรีกล่าวว่า “หลังจากได้ตากเมล็ดข้าวจนแห้งแล้ว ก็จะเก็บขา้ วไว้ในยงุ้ ฉาง เพ่ือไว้บรโิ ภค และแบ่งขายเมื่อข้าวมีราคาสูง และอีกส่วนหนึ่งคุณยายก็แบ่งไว้ทาพันธุ์ ฉะนั้นข้าวพวกนี้จะต้องเก็บไว้เป็น อย่างดี โดยรักษาให้ข้าวนั้นมีคุณภาพไดม้ าตรฐานอย่ตู ลอดเวลา และไม่สูญเสียความงอก ข้าวพวกน้ีควรเก็บไว้ ในยุ้งฉาง คุณยายบอกอีกว่า ยุ้งฉางท่ีดีจะต้องเป็นยุ้งฉางท่ีทาด้วยไม้ยกพื้นสูงจากพื้นดิน อย่างน้อย 1 เมตร อากาศถ่ายเทได้สะดวกเพื่อจะได้ระบายความชื้นและความร้อนออกไปจากยุ้งฉาง นอกจากนี้หลังคาของฉาง จะต้องไม่ร่ัวกันน้าฝนไม่ให้หยดลงไปในยุ้งฉางได้เป็นอันขาด ก่อนเอาข้าวข้ึนไปเก็บไว้ในยุ้งฉางจาเป็นต้องทา ความสะอาดฉางเสียกอ่ นโดยปดั กวาดแลว้ พน่ ดว้ ยยาฆา่ แมลง”

การนาภมู ปิ ญั ญาศึกษา เรือ่ ง การทานาหว่านไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ภู มิ ปั ญ ญ า ไท ย จึ งเป็ น ก า ร ถ่ าย ท อ ด วั ฒ น ธ ร ร ม ที่ มี ค ว า ม ห ม า ย ผู ก พั น ลึ ก ซ้ึ ง จ า ก อ ดี ต สู่ ปั จ จุ บั น อันแสดงออกถึงการเข้าใจมูลเหตุการณ์สร้างสรรค์อย่างชาญฉลาด แสดงถึงความมีภูมิปัญญาของคนไทยใน สมัยหน่ึง ที่สามารถค้นคดิ สิ่งที่เป็นระเบียบแบบแผน มีรูปแบบทยี่ อมรับกันภายในสังคม เพ่ือเอื้อประโยชน์ต่อ การดารงชีวิตในการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมนั้นๆ ท้ังยังมีคุณค่างดงามในรูปแบบของงานศิลปะ ผลงานจากภูมิ ปัญญาไทยของคนโบราณจะปรากฏคุณค่าเด่นชัดและน่าหวงแหนเม่ือเราได้ประจักษ์ ชัดถึงความสัมพันธ์ที่ สอดคลอ้ งระหว่างศลิ ปวฒั นธรรม ประเพณีกับสภาพความเปน็ อยู่ วิถชี วี ิตของคนในสงั คมแตล่ ะยุคสมยั ภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่นกบั การดาเนินชีวิตแบบเศรษฐกจิ พอเพียง เร่ือง “การทานาหว่าน” พบวา่ เกดิ ความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นการทานาหว่าน เป็นการนาส่ิงทม่ี ีในทอ้ งถ่นิ ใช้ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า สามารถอนุรักษ์และเผยแพร่ได้เกิดทักษะการคดิ วิเคราะห์จากการปฏบิ ตั ิ สามารถปฏิบัติตามข้ันตอนภูมิปัญญา ท้องถิ่นการทานาหว่าน เกิดเป็นการใช้พื้นที่ที่มีอยู่เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นการสร้างและเพ่ิมรายได้ภายใน ครอบครัวและชุมชนสามารถสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวและชุมชน พัฒนาการดาเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจ พอเพียง

ภาคผนวก - ประวตั ิผู้จัดทาภูมิปัญญาศกึ ษา - ภาพประกอบ

ประวตั ผิ ูถ้ า่ ยทอดภูมิปญั ญา ชื่อ: นางราตรี บญุ ยืน เกิด : 9 สิงหาคม 2499 อายุ 62 ปี ภูมลิ าเนา : ตาบลท่งุ ใหญ่ อาเภอหนองหาน จงั หวดั อดุ รธานี ทอ่ี ยปู่ ัจจบุ ัน: บา้ นเลขท่ี 7 หมู่ 5 ตาบลวงั นา้ เย็น อาเภอวงั น้าเยน็ จังหวัดสระแกว้ สถานภาพ: สมรส กับ นายเจรญิ บุญยืน มีบุตรดว้ ยกนั จานวน 3 คน ดังนี้ 1. นางทองบาง เทพเมืองไพร 2. นางนชั ชาพร บุญยืน 3. นายสมนกึ บุญยืน การศกึ ษา: มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ปจั จุบัน ประกอบอาชีพ : ทานา ประวัตผิ เู้ รียบเรยี งภูมปิ ัญญาศกึ ษา ช่อื : นางสาวจนั ทิมา แพนลา เกิด : 23 สงิ หาคม 2530 อายุ 31 ปี ภมู ลิ าเนา : ตาบลนาดี อาเภอนาดี จงั หวดั ปราจีนบรุ ี ทอ่ี ยปู่ จั จุบัน : บ้านเลขท่ี 205 หมู่ 4 ตาบลนาดี อาเภอนาดี จังหวดั ปราจนี บุรี สถานภาพ : สมรส การศกึ ษา : ปริญญาตรี สาขาวชิ าสถิติ มหาวิทยาลัยบรู พา ปัจจุบันประกอบอาชพี : รับราชการครู

ภาพประกอบการจดั ทาภมู ิปญั ญาศึกษา เร่อื ง การทานาหว่าน

ภาพประกอบการจัดทาภูมปิ ัญญาศกึ ษา เร่อื ง การทานาหว่าน ประชมุ รับฟังแนวทางในการจัดทาภมู ิปัญญาศึกษาจากผู้อานวยการโรงเรยี นผ้สู ูงอายุ เทศบาลเมืองวังนา้ เย็น และผ้อู านวยการโรงเรียนเทศบาลมิตรสมั พันธ์วิทยา

สมั ภาษณค์ ุณยายราตรี บญุ ยนื เกี่ยวกบั ภมู ปิ ัญญาศึกษา ความเป็นมาและภมู ิปญั ญาในทอ้ งถ่นิ

ไถและคราดดินเสรจ็ เรียบร้อยแล้ว ก็จะหว่านเมล็ดพันธขุ์ า้ วท่ไี ดเ้ ตรยี มไว้ ลงในแปลงนา การหว่านควรหว่านใหส้ มา่ เสมอทัว่ แปลง ข้าวจะได้รบั ธาตุอาหาร แสงแดด และเจริญเติบโต สม่าเสมอกนั ทาให้ไดผ้ ลผลติ สงู

ข้าวทงี่ อกและเจริญเตบิ โตหลงั หวา่ น โดยจะต้องมีการดแู ลรกั ษาและควบคุม ระดบั นา้ ให้มปี ริมาณที่พอเหมาะ ตน้ ขา้ วต้องการน้าและปุย๋ สาหรับการเจรญิ เตบิ โต ในระยะน้ีตน้ ขา้ วอาจถกู โรคและแมลงศัตรูข้าวหลายชนดิ เข้ามาทาลายต้นขา้ ว ดงั น้ันจะต้องหม่ันออกไปตรวจดูตน้ ข้าวที่ปลูกไวเ้ สมอๆ

หลังจากทขี่ ้าวออกดอกหรือออกรวงประมาณ 20 วนั จะมีการเรง่ ระบายน้าออกเพื่อเป็นการเรง่ ให้ ขา้ วสกุ พร้อมๆ กนั ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ โดยสังเกตท่ปี ลายรวงจะมีสีเหลือง กลางรวงเป็นสตี องออ่ น

บรรณานุกรม สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน เลม่ ท่ี 3 เรื่องท่ี 1 ข้าว ทฤษฏกี ารเกษตรแบบผสมผสาน. [ออนไลน์]. สืบค้นเมอ่ื วันที่ 20 ธันวาคม 2561. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : https://www.osservatorioagroambientale.org/ การทานา.ประวัตกิ ารทานา. [ออนไลน์]. สืบคน้ เมอื่ วนั ท่ี 20 ธันวาคม 2561. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : https://sites.google.com/site/pimonmart44367/history-of-rice- farming-1/difference องค์ความรูเ้ รอื่ งขา้ ว. การทานาหวา่ น. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อวนั ท่ี 20 ธันวาคม 2561. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.ricethailand.go.th/Rkb/management/index.php- file=content.php&id=2.htm องค์ความรเู้ รื่องข้าว. พันธ์ขุ า้ ว. [ออนไลน์]. สืบคน้ เมื่อวนั ท่ี 24 ธนั วาคม 2561. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.ricethailand.go.th/Rkb/management/index.php- file=content.php&id=1.htm เกษตรอาเภอวงั นา้ เย็น. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อวนั ที่ 24 ธนั วาคม 2561. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://wangnamyen.sakaeo.doae.go.th/about4.html ข้าว. โรคข้าว. [ออนไลน์]. สบื คน้ เม่อื วันที่ 24 ธนั วาคม 2561. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book =3&chap=1&page=t3-1- infodetail10.html เมล็ดพนั ธ์ขุ า้ ว. [ออนไลน์]. สบื ค้นเมอื่ วันท่ี 4 มกราคม 2562. เขา้ ถงึ ได้จาก : www.google.co.th/search?q=เมล็ดพนั ธ์ุขา้ ว การหวา่ นปุ๋ย. [ออนไลน์]. สบื ค้นเมอื่ วนั ท่ี 4 มกราคม 2562. เข้าถึงไดจ้ าก : www.google.co.th/search?q=การหว่านปุย๋ รถเกี่ยวข้าว. [ออนไลน์]. สืบค้นเมอ่ื วันท่ี 4 มกราคม 2562. เข้าถงึ ได้จาก : www.google.co.th/search?q=รถเก่ียวขา้ ว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook