ภมู ปิ ญั ญาศึกษา เรอ่ื ง สมุนไพรทิพย์ (นา้ กระเจ๊ียบแดง) โดย 1. นางตา ดวงแกว้ (ผถู้ ่ายทอดภูมปิ ญั ญา) 2. นางญาณศิ าศิรกานตก์ ลุ (ผู้เรียบเรยี งภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ) เอกสารภูมปิ ัญญาศกึ ษาน้เี ปน็ ส่วนหน่ึงของการศึกษา ตามหลักสตู รโรงเรียนผู้สงู อายเุ ทศบาลเมอื งวังน้าเยน็ ประจา้ ปกี ารศกึ ษา 2561 โรงเรยี นผู้สงู อายุเทศบาลเมอื งวังนา้ เย็น สงั กดั เทศบาลเมอื งวังน้าเย็น จงั หวดั สระแก้ว
คา้ น้า ภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นหรือเรียกช่ืออีกอยํางหน่ึงวํา ภูมิป๓ญญาชาวบ๎าน คือองค๑ความรู๎ที่ชาวบ๎านได๎ ส่ังสมจากประสบการณ๑จริงท่ีเกิดข้ึนหรือจากบรรพบุรุษท่ีได๎ถํายทอดสืบกันมาตั้งแตํในอดีตมาจนถึงป๓จจุบัน เพื่อนามาใช๎แก๎ป๓ญหาในชีวิตประจาวัน การทามาหากิน การประกอบการงานเลี้ยงชีพ หรือกิจกรรมอ่ืนๆเป็น การผํอนคลายจากการทางาน หรือการย๎ายถ่ินฐานเพื่อมาตั้งถ่ินฐานใหมํแล๎วคิดค๎นหรือค๎นหาวิธีการดังกลําว เพื่อการแก๎ป๓ญหา โดยสภาพพ้ืนที่น้ันชุมชนวังน้าเย็นแหํงนี้ เกิดข้ึนเม่ือราว ๆ 50 ปีท่ีผํานมา จากการอพยพ ถน่ิ ฐานของผ๎คู นมาจากทุกๆ ภาคของประเทศไทยแล๎วมากํอตั้งเป็นชุมชนวังน้าเย็น ซ่ึงบางคนได๎นาองค๑ความร๎ู มาจากถ่ินฐานเดิมแล๎วมีการสืบทอดสืบสานมาจนถึงป๓จจุบัน เชํนเดียวกับ การรักษาโรคด๎วยสมุนไพรโดยนาง ทองคา จันมานะสกุลได๎รวบรวมเรียบเรียงถํายทอดประสบการณ๑ให๎คนรุํนหลังได๎สืบค๎น หรือค๎นคว๎าเป็นภูมิ ป๓ญญาศกึ ษา ของเทศบาลเมอื งเมอื งวงั น้าเย็น จังหวดั สระแก๎ว ผศ๎ู กึ ษาขอขอบพระคณุ นายวันชัย นารรี ักษ๑ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้าเย็น และ นายคนองพล เพ็ชรร่ืน ปลัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น คณะกรรมการโรงเรียนผู๎สูงอายุ กองสวัสดิการสังคม กองสาธารณ สุข และสิง่ แวดล๎อม เทศบาลเมอื งวงั นา้ เย็น โรงเรยี นเทศบาลมิตรสัมพันธ๑วิทยา โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมือวังน้า เย็น หนํวยงานอ่ืนๆ ที่เก่ียวข๎อง และขอขอบพระคุณ นางญาณิศา ศิรกานต๑กุล ท่ีได๎เป็นท่ีปรึกษาดูแล รบั ผดิ ชอบงานดา๎ นธุรการ บนั ทกึ เรอ่ื งราวและจดั ทาเปน็ รูปเลมํ ท่ีสมบูรณ๑ครบถ๎วนความร๎อู ันใดหรือกุศลอันใดที่ เกิดจากการรํวมมือรํวมแรงรํวมใจรํวมพลังจนเกิดมีภูมิป๓ญญาศึกษาฉบับนี้ ขอกุศลผลบุญน้ันจงเกิดมีแกํ ผ๎ูเกีย่ วข๎องดงั ท่กี ลําวมาทุกๆ ทาํ นเพอื่ สรา๎ งสงั คมแหงํ การเรียนตอํ ไป ตา ดวงแก๎ว ญาณิศา ศริ กานตก๑ ลุ ผจ๎ู ัดทา
ทม่ี าและความส้าคญั ของภมู ปิ ัญญาศึกษา จากพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทวี่ ํา “ประชาชนนัน่ แหละ ที่เขามีความร๎ูเขาทางานมาหลายช่ัวอายุคนเขาทากันอยํางไรเขามีความเฉลียวฉลาดเขาร๎ูวําตรงไหนควร ทากสกิ รรมเขารู๎วําตรงไหนควรเก็บรักษาไว๎แตํท่ีเสียไปเพราะพวกไมํร๎ูเรื่องไมํได๎ทามานานแล๎วทาให๎ลืมวําชีวิต มันเป็นไปโดยการกระทาที่ถูกต๎องหรือไมํ ”พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล - อดุลยเดชทีส่ ะทอ๎ นถงึ พระปรีชาสามารถในการรับร๎ูและความเข๎าใจหย่ังลึกท่ีทรงเห็นคุณคําของภูมิป๓ญญาไทย อยํางแท๎จริงพระองค๑ทรงตระหนักเป็นอยํางยิ่งวําภูมิป๓ญญาท๎องถิ่นเป็นส่ิงที่ชาวบ๎านมีอยูํแล๎ว ใช๎ประโยชน๑เพ่ือ ความอยํูรอดกันมายาวนาน ความสาคัญของภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินซึ่งควา มร๎ูท่ีสั่งสมจากการปฏิบัติจริง ในห๎องทดลองทางสังคมเป็นความรู๎ด้ังเดิมท่ีถูกค๎นพบ มีการทดลองใช๎แก๎ไขดัดแปลงจนเป็นองค๑ความร๎ู ที่สามารถแก๎ป๓ญหาในการดาเนินชีวิตและถํายทอดสืบตํอกันมาภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินเป็นขุมทรัพย๑ทางป๓ญญา ที่คนไทยทุกคนควรรู๎ควรศึกษาปรับปรุงและพัฒนาให๎สามารถนาภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินเหลํานั้นมาแก๎ไขป๓ญหา ให๎สอดคล๎องกับบรบิ ททางสังคมวัฒนธรรมของกลุํมชมุ ชนน้ัน ๆอยํางแท๎จริงการพัฒนาภูมิป๓ญญาศึกษานับเป็น สิ่งสาคัญตํอบทบาทของชุมชนท๎องถิ่นที่ได๎พยายามสร๎างสรรค๑เป็นน้าพักน้าแรงรํวมกันของ ผ๎ูสูงอายุและคนใน ชุมชนจนกลายเป็นเอกลักษณ๑และวัฒนธรรมประจาถิ่นท่ีเหมาะตํอการดาเนิน ชีวิตหรือภูมิป๓ญญาของคนใน ท๎องถ่ินน้ันๆแตํภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินสํวนใหญํเป็นความรู๎หรือเป็นส่ิงท่ีได๎มาจากประสบการณ๑หรือเป็น ความเชื่อสืบตํอกันมาแตํยังขาดองค๑ความร๎ูหรือขาดหลักฐานยืนยันหนักแนํนการสร๎างการยอมรับท่ีเกิดจาก ฐานภูมปิ ญ๓ ญาท๎องถนิ่ จงึ เป็นไปไดย๎ าก ดงั นั้นเพอื่ ให๎เกิดการสํงเสริมพัฒนาภูมิป๓ญญาท่ีเป็นเอกลักษณ๑ของท๎องถิ่นกระต๎ุนเกิดความภาคภูมิใจ ในภูมิป๓ญญาของบุคคลในท๎องถิ่น ภูมิป๓ญญาไทยและวัฒนธรรมไทยเกิดการถํายทอดภูมิป๓ญญาสํูคนรํุนหลัง โรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็นได๎ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนเพ่ื อพัฒนาศักยภาพ ผ๎ูสูงอายุในท๎องถิ่นท่ีเน๎นให๎ผ๎ูสูงอายุได๎พัฒนาตนเองให๎มีความพร๎อมสูํสังคมผ๎ูสูงอายุที่มีคุณภาพในอนาคต รวมท้ังสืบทอดภูมิป๓ญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผ๎ูสูงอายุที่ได๎ส่ังสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิป๓ญญา ของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผ๎ูสูงอายุจะเป็นผ๎ูถํายทอดองค๑ความร๎ู และมีครูพ่ีเล้ียงซึ่งเป็นคณะครูของโรงเรียน ในสังกดั เทศบาลเมอื งวังน้าเย็นเปน็ ผ๎ูเรียบเรียงองค๑ความรู๎ไปสํูการจัดทาภูมิป๓ญญาศึกษาให๎ปรากฏออกมาเป็น รูปเลํมภูมิป๓ญญาศึกษา ใช๎เป็นสํวนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนผ๎ูสูงอายุประจาปีการศึกษา 2561พรอ๎ มท้ังเผยแพรํและจัดเก็บคลังภูมิป๓ญญาไว๎ในห๎องสมุดของโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธ๑วิทยา เพื่อให๎ ภูมิป๓ญญาท๎องถิน่ เหลํานีเ้ กิดการถาํ ยทอดสํคู นรุํนหลงั สบื ตอํ ไป จากความรวํ มมือในการพัฒนาบคุ ลากรในหนํวยงานและภาคเี ครอื ขาํ ยท่ีมีสวํ นรํวมในการผสมผสาน องค๑ความร๎เู พ่ือยกระดับความร๎ูของภูมปิ ญ๓ ญานั้นๆเพื่อนาไปสูกํ ารประยุกต๑ใชแ๎ ละผสมผสานเทคโนโลยใี หมๆํ ให๎ สอดรบั กับวถิ ชี ีวติ ของชมุ ชนไดอ๎ ยํางมปี ระสทิ ธิภาพการนาภูมปิ ๓ญญาไทยกลับสกํู ารศึกษาสามารถสงํ เสรมิ ให๎มี การถํายทอดภมู ิปญ๓ ญาในโรงเรยี นเทศบาลมิตรสัมพันธ๑วิทยาและโรงเรียนในสงั กดั เทศบาลเมอื ง วงั นา้ เยน็ เกิดการมีสํวนรวํ มในกระบวนการถาํ ยทอด เช่ือมโยงความรใู๎ ห๎กบั นักเรียนและบุคคลท่ัวไปในท๎องถ่ิน โดยการนาบคุ ลากรท่มี คี วามรู๎ความสามารถในท๎องถิ่นเข๎ามาเปน็ วทิ ยากรให๎ความรู๎กบั นักเรยี นในโอกาสตาํ งๆ หรือการทีโ่ รงเรียนนาองค๑ความร๎ใู นทอ๎ งถ่ินเข๎ามาสอนสอดแทรกในกระบวนการจดั การเรียนรู๎ สง่ิ เหลาํ นี้ทาให๎ การพฒั นาภูมิป๓ญญาท๎องถนิ่ นาไปสํูการสบื ทอดภมู ปิ ๓ญญาศึกษาเกดิ ความสาเร็จอยํางเป็นรปู ธรรมนกั เรียน
ผู๎สงู อายเุ กิดความภาคภูมิใจในภูมิป๓ญญาของตนที่ไดถ๎ ํายทอดสูํคนรุนํ หลงั ให๎คงอยูํในทอ๎ งถน่ิ เปน็ วฒั นธรรม การดาเนินชวี ติ ประจาท๎องถิน่ เป็นวฒั นธรรมการดาเนินชีวติ คูแํ ผํนดินไทยตราบนานเทํานาน นิยามค้าศัพท์ในการจัดทา้ ภมู ปิ ญั ญาศึกษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีผ๎ูสูงอายุเชี่ยวชาญที่สุด ของผ๎ูสูงอายุที่เข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็นมาศึกษาและสืบทอด ภมู ิป๓ญญาในรูปแบบตาํ ง ๆ มีการสบื ทอดภูมปิ ญ๓ ญาโดยการปฏิบัติและการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษรตาม รูปแ บบที่ โ ร งเรี ยน ผ๎ู สู ง อายุ กา ห นด ข้ึน ใช๎เ ป็น สํ ว น ห นึ่ง ใน การ จ บ ห ลั ก สู ต ร กา รศึก ษา เพื่อ ให๎ ภูมิป๓ ญญ า ข อ ง ผ๎ู สู ง อ า ยุ ไ ด๎ รั บ ก า ร ถํ า ย ท อ ด สูํ ค น รํุ น ห ลั ง แ ล ะ ค ง อ ยํู ใ น ท๎ อ ง ถิ่ น ตํ อ ไ ป ซ่ึ ง แ บํ ง ภู มิ ป๓ ญ ญ า ศึ ก ษ า อ อ ก เปน็ 3 ประเภท ได๎แกํ 1. ภมู ปิ ญ๓ ญาศึกษาท่ีผ๎ูสงู อายุเปน็ ผคู๎ ดิ ค๎นภมู ิป๓ญญาในการดาเนนิ ชีวิตในเร่อื งท่ีเชี่ยวชาญท่ีสดุ ดว๎ ยตนเอง 2. ภูมิป๓ญญาศึกษาท่ีผ๎ูสูงอายุเป็นผ๎ูนาภูมิป๓ญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต๑ใช๎ในการดาเนิน ชีวติ จนเกิดความเช่ียวชาญ 3. ภูมิป๓ญญาศึกษาท่ีผ๎ูสูงอายุเป็นผู๎นาภูมิป๓ญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช๎ในการดาเนินชีวิตโดย ไมมํ ีการเปล่ียนแปลงไปจากเดิมจนเกดิ ความเชี่ยวชาญ ผ้ถู ่ายทอดภมู ิปัญญาหมายถงึ ผสู๎ ูงอายทุ ่ีเข๎าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู๎สูงอายุเทศบาลเมืองวัง น้าเยน็ เป็นผ๎ถู ํายทอดภมู ิป๓ญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ตนเองเชี่ยวชาญมากท่ีสุด นามาถํายทอดให๎แกํผู๎เรียบ เรยี งภมู ปิ ญ๓ ญาทอ๎ งถิน่ ได๎จัดทาขอ๎ มูลเป็นรปู เลํมภมู ปิ ๓ญญาศกึ ษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถ่ิน หมายถึง ผ๎ูที่นาภูมิป๓ญญาในการดาเนินชีวิตในเรื่องที่ผู๎สูงอายุ เชี่ยวชาญที่สุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ๑อักษร ศึกษาหาข๎อมูลเพิ่มเติมจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ จัดทาเป็น เอกสารรปู เลมํ ใชช๎ ่อื วํา “ภูมปิ ๓ญญาศกึ ษา”ตามรปู แบบทโ่ี รงเรยี นผูส๎ ูงอายเุ ทศบาลเมืองวังน้าเยน็ กาหนด ครูท่ีปรึกษา หมายถึง ผ๎ูท่ีปฏิบัติหน๎าที่เป็นครูพ่ีเลี้ยงเป็นผู๎เรียบเรียงภูมิป๓ญญาท๎องถ่ินปฏิบัติหน๎าท่ี เป็นผ๎ูประเมินผล เป็นผ๎ูรับรองภูมิป๓ญญาศึกษารวมทั้งเป็นผู๎นาภูมิป๓ญญาศึกษาเข๎ามาสอนในโรงเรียน โดยบรู ณาการการจัดการเรยี นรต๎ู ามหลกั สตู รท๎องถ่ินท่ีโรงเรยี นจดั ทาข้ึน
ภูมิปัญญาศกึ ษาเชอ่ื มโยงสู่สารานุกรมไทยสา้ หรบั เยาวชนฯ 1. ลักษณะของภูมปิ ัญญาไทย ลักษณะของภูมิป๓ญญาไทย มีดังนี้ 1. ภูมิป๓ญญาไทยมลี ักษณะเป็นทัง้ ความรู๎ ทักษะ ความเช่อื และพฤติกรรม 2. ภมู ิปญ๓ ญาไทยแสดงถงึ ความสัมพันธ๑ระหวํางคนกบั คน คนกบั ธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ๎ ม และคนกับสง่ิ เหนอื ธรรมชาติ 3. ภมู ิป๓ญญาไทยเป็นองคร๑ วมหรือกจิ กรรมทุกอยาํ งในวถิ ีชีวิตของคน 4. ภมู ปิ ญ๓ ญาไทยเปน็ เร่ืองของการแก๎ปญ๓ หา การจัดการ การปรบั ตัว และการเรยี นรู๎ เพอ่ื ความอยูรํ อดของบุคคล ชุมชน และสังคม 5. ภมู ิปญ๓ ญาไทยเปน็ พนื้ ฐานสาคญั ในการมองชีวติ เป็นพืน้ ฐานความรูใ๎ นเร่ืองตํางๆ 6. ภูมปิ ญ๓ ญาไทยมีลกั ษณะเฉพาะ หรือมเี อกลกั ษณ๑ในตวั เอง 7. ภูมปิ ๓ญญาไทยมีการเปล่ยี นแปลงเพ่ือการปรบั สมดลุ ในพัฒนาการทางสังคม 2. คณุ สมบตั ิของภูมิปัญญาไทย ผทู๎ รงภมู ปิ ญ๓ ญาไทยเป็นผมู๎ คี ุณสมบัตติ ามท่ีกาหนดไว๎ อยาํ งนอ๎ ยดังตํอไปนี้ 1. เป็นคนดมี ีคุณธรรม มีความรู๎ความสามารถในวชิ าชพี ตํางๆ มีผลงานดา๎ นการพฒั นา ทอ๎ งถน่ิ ของตน และไดร๎ บั การยอมรับจากบุคคลทัว่ ไปอยํางกวา๎ งขวาง ท้ังยังเปน็ ผูท๎ ี่ใช๎หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเปน็ เคร่ืองยึดเหน่ยี วในการดารงวถิ ชี วี ิตโดยตลอด 2. เปน็ ผู๎คงแกํเรยี นและหม่นั ศกึ ษาหาความรู๎อยเํู สมอ ผทู๎ รงภมู ปิ ๓ญญาจะเป็นผทู๎ ห่ี มั่น ศกึ ษาแสวงหาความรเู๎ พม่ิ เตมิ อยูเํ สมอไมหํ ยุดนิ่ง เรยี นร๎ูทง้ั ในระบบและนอกระบบ เปน็ ผ๎ูลงมอื ทา โดยทดลอง ทาตามที่เรยี นมา อีกทง้ั ลองผิด ลองถูก หรือสอบถามจากผ๎รู อู๎ ื่นๆ จนประสบความสาเรจ็ เป็นผู๎เช่ียวชาญ ซึง่ โดดเดนํ เป็นเอกลักษณ๑ในแตํละดา๎ นอยํางชัดเจน เปน็ ทย่ี อมรับการเปลย่ี นแปลงความรู๎ใหมํๆ ทีเ่ หมาะสม นามา ปรบั ปรงุ รบั ใช๎ชมุ ชน และสังคมอยูเํ สมอ 3. เป็นผูน๎ าของท๎องถิน่ ผทู๎ รงภมู ิป๓ญญาสํวนใหญจํ ะเปน็ ผ๎ูทสี่ งั คม ในแตลํ ะท๎องถ่ินยอมรับ ให๎เป็นผูน๎ า ทัง้ ผ๎ูนาทีไ่ ด๎รบั การแตงํ ตง้ั จากทางราชการ และผู๎นาตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถเปน็ ผน๎ู าของท๎องถิน่ และชํวยเหลอื ผ๎อู น่ื ได๎เป็นอยํางดี 4. เป็นผู๎ที่สนใจปญ๓ หาของท๎องถ่ิน ผท๎ู รงภูมิป๓ญญาลว๎ นเป็นผู๎ที่สนใจปญ๓ หาของท๎องถ่ิน เอา ใจใสํ ศกึ ษาป๓ญหา หาทางแก๎ไข และชํวยเหลอื สมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล๎เคียงอยํางไมยํ ํอท๎อ จนประสบความสาเรจ็ เปน็ ท่ียอมรับของสมาชิกและบุคคลทั่วไป 5. เปน็ ผ๎ขู ยันหมัน่ เพยี ร ผท๎ู รงภูมิปญ๓ ญาเปน็ ผข๎ู ยันหม่ันเพียร ลงมือทางานและผลิตผลงาน อยูเํ สมอ ปรับปรุงและพัฒนาผลงานใหม๎ คี ุณภาพมากข้นึ อกี ทงั้ มุํงทางานของตนอยํางตํอเนือ่ ง 6. เปน็ นักปกครองและประสานประโยชนข๑ องท๎องถ่นิ ผูท๎ รงภมู ปิ ๓ญญา นอกจากเปน็ ผ๎ูท่ี ประพฤตติ นเป็นคนดี จนเปน็ ท่ียอมรบั นบั ถือจากบุคคลทว่ั ไปแล๎ว ผลงานท่ีทํานทายงั ถือวํามีคุณคาํ จงึ เป็นผ๎ูที่ มีทงั้ \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผป๎ู ระสานประโยชน๑ใหบ๎ ุคคลเกดิ ความรกั ความเขา๎ ใจ ความเห็นใจ และมคี วามสามัคคกี ัน ซึ่งจะทาใหท๎ ๎องถนิ่ หรือสงั คม มีความเจริญ มีคณุ ภาพชีวิตสงู ขึน้ กวาํ เดิม
7. มีความสามารถในการถาํ ยทอดความรเ๎ู ป็นเลิศ เมื่อผู๎ทรงภมู ิปญ๓ ญามีความรู๎ ความสามารถ และประสบการณเ๑ ป็นเลิศ มีผลงานที่เปน็ ประโยชน๑ตอํ ผอู๎ ่นื และบคุ คลทัว่ ไป ทงั้ ชาวบ๎าน นกั วิชาการ นกั เรยี น นิสติ /นักศึกษา โดยอาจเข๎าไปศึกษาหาความรู๎ หรือเชิญทาํ นเหลํานน้ั ไป เป็นผถู๎ ํายทอด ความรไู๎ ด๎ 8. เป็นผูม๎ คี ํูครองหรือบริวารดี ผู๎ทรงภมู ิป๓ญญา ถา๎ เปน็ คฤหัสถ๑ จะพบวํา ลว๎ นมคี คูํ รองทดี่ ี ท่ีคอยสนบั สนุน ชวํ ยเหลอื ให๎กาลงั ใจ ให๎ความรํวมมอื ในงานท่ที าํ นทา ชวํ ยให๎ผลิตผลงานท่ีมีคณุ คํา ถา๎ เปน็ นกั บวช ไมวํ ําจะเป็นศาสนาใด ตอ๎ งมีบริวารทดี่ ี จงึ จะสามารถผลิตผลงานทม่ี คี ุณคําทางศาสนาได๎ 9. เปน็ ผมู๎ ปี ญ๓ ญารอบรูแ๎ ละเชี่ยวชาญจนไดร๎ ับการยกยอํ งวําเป็นปราชญ๑ ผทู๎ รงภมู ปิ ๓ญญา ตอ๎ งเปน็ ผู๎มีปญ๓ ญารอบรู๎และเชย่ี วชาญ รวมทั้งสร๎างสรรค๑ผลงานพเิ ศษใหมๆํ ทเ่ี ปน็ ประโยชนต๑ อํ สังคมและ มนุษยชาตอิ ยํางตํอเน่ืองอยเูํ สมอ 3. การจดั แบง่ สาขาภมู ิปัญญาไทย จากการศึกษาพบวํา มีการกาหนดสาขาภมู ปิ ๓ญญาไทยไว๎อยํางหลากหลาย ขึน้ อยํูกบั วตั ถุประสงค๑ และ หลักเกณฑต๑ ํางๆ ทห่ี นวํ ยงาน องค๑กร และนักวิชาการแตลํ ะทํานนามากาหนด ในภาพรวมภูมิปญ๓ ญาไทย สามารถแบงํ ได๎เป็น 10 สาขาดงั น้ี 1. สาขาเกษตรกรรมหมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค๑ความรู๎ ทกั ษะ และเทคนิค ด๎านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพน้ื ฐานคุณคาํ ดง้ั เดมิ ซ่ึงคนสามารถพ่ึงพาตนเอง ในภาวการณต๑ ํางๆ ได๎ เชํน การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรนํ าสวนผสม และ สวนผสมผสาน การแก๎ป๓ญหาการเกษตรด๎านการตลาด การแก๎ปญ๓ หาดา๎ นการผลติ การแก๎ไขป๓ญหาโรคและ แมลง และการรจ๎ู ักปรบั ใชเ๎ ทคโนโลยีท่ีเหมาะสมกับการเกษตร เปน็ ต๎น 2. สาขาอตุ สาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรจู๎ ักประยุกตใ๑ ชเ๎ ทคโนโลยสี มยั ใหมํ ในการแปรรปู ผลติ ผล เพื่อชะลอการนาเขา๎ ตลาด เพ่ือแก๎ป๓ญหาด๎านการบริโภคอยํางปลอดภยั ประหยัด และ เปน็ ธรรม อนั เป็นกระบวนการท่ีทาให๎ชุมชนท๎องถิน่ สามารถพง่ึ พาตนเองทางเศรษฐกิจได๎ ตลอดท้ังการผลิต และการจาหนําย ผลิตผลทางหตั ถกรรม เชํน การรวมกลุํมของกลมํุ โรงงานยางพารา กลุํมโรงสี กลมํุ หตั ถกรรม เป็นตน๎ 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถงึ ความสามารถในการจัดการปูองกัน และรักษาสุขภาพ ของคนในชมุ ชน โดยเน๎นให๎ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเอง ทางดา๎ นสุขภาพ และอนามัยได๎ เชํน การนวด แผนโบราณ การดูแลและรักษาสขุ ภาพแบบพน้ื บา๎ น การดูแลและรกั ษาสุขภาพแผนโบราณไทย เป็นต๎น 4. สาขาการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกยี่ วกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล๎อม ท้ังการอนุรกั ษ๑ การพฒั นา และการใช๎ประโยชน๑จากคุณคาํ ของทรัพยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดล๎อม อยาํ งสมดุล และย่ังยนื เชนํ การทา แนวปะการังเทียม การอนรุ กั ษป๑ ุาชายเลน การจัดการปาุ ต๎นน้า และปุาชุมชน เป็นต๎น 5. สาขากองทุนและธุรกจิ ชุมชน หมายถงึ ความสามารถในการบริหารจดั การดา๎ นการสะสม และบรกิ ารกองทุน และธรุ กิจในชมุ ชน ท้งั ทเี่ ป็นเงนิ ตรา และโภคทรัพย๑ เพื่อสงํ เสรมิ ชีวิตความเป็นอยํูของ สมาชิกในชมุ ชน เชํน การจดั การเร่อื งกองทุนของชุมชน ในรปู ของสหกรณ๑ออมทรพั ย๑ และธนาคารหมํบู า๎ น เป็นตน๎ 6. สาขาสวัสดกิ ารหมายถงึ ความสามารถในการจดั สวัสดิการในการประกันคณุ ภาพชีวติ ของคน ใหเ๎ กิดความมนั่ คงทางเศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรม เชนํ การจัดต้ังกองทนุ สวสั ดิการรักษาพยาบาล
ของชมุ ชน การจัดระบบสวัสดิการบริการในชุมชน การจดั ระบบส่ิงแวดล๎อมในชุมชน เป็นต๎น 7. สาขาศิลปกรรม หมายถงึ ความสามารถในการผลติ ผลงานทางดา๎ นศลิ ปะสาขาตํางๆ เชํน จติ รกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ศิลปะมวยไทย เปน็ ต๎น 8. สาขาการจัดการองคก์ ร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจดั การดาเนินงานขององคก๑ รชมุ ชนตํางๆ ให๎ สามารถพฒั นา และบริหารองคก๑ รของตนเองได๎ ตามบทบาท และหน๎าท่ีขององคก๑ าร เชํน การจัดการองค๑กร ของกลมุํ แมบํ ๎าน กลมุํ ออมทรัพย๑ กลํมุ ประมงพ้นื บ๎าน เป็นต๎น 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเก่ยี วกับด๎านภาษา ทั้งภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใชภ๎ าษา ตลอดทัง้ ดา๎ นวรรณกรรมทุกประเภท เชนํ การจัดทา สารานกุ รมภาษาถน่ิ การปริวรรต หนังสอื โบราณ การฟ้นื ฟูการเรยี นการสอนภาษาถิ่นของท๎องถ่นิ ตาํ งๆ เปน็ ตน๎ 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยกุ ต๑ และปรบั ใชห๎ ลกั ธรรมคา สอนทางศาสนา ความเช่ือ และประเพณีดั้งเดมิ ท่ีมีคุณคําให๎เหมาะสมตํอการประพฤตปิ ฏิบตั ิ ใหบ๎ งั เกิดผลดีตํอ บุคคล และสง่ิ แวดล๎อม เชํน การถาํ ยทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสมั พนั ธ๑ของภูมิปญ๓ ญาไทย ภูมิปญ๓ ญาไทยสามารถสะท๎อนออกมาใน 3 ลักษณะทสี่ ัมพันธใ๑ กลช๎ ิดกนั คอื 1.1 ความสัมพันธอ๑ ยํางใกลช๎ ิดกันระหวาํ งคนกับโลก สง่ิ แวดล๎อม สตั ว๑ พชื และธรรมชาติ 1.2 ความสมั พนั ธ๑ของคนกับคนอ่นื ๆ ที่อยูรํ วํ มกันในสงั คม หรือในชุมชน 1.3 ความสัมพันธ๑ระหวาํ งคนกับสงิ่ ศักดิ์สิทธิ์สง่ิ เหนอื ธรรมชาติ ตลอดท้ังส่งิ ที่ไมสํ ามารถ สัมผสั ได๎ท้งั หลาย ทง้ั 3 ลักษณะน้ี คือ สามมติ ิของเร่ืองเดียวกนั หมายถึง ชีวติ ชมุ ชน สะท๎อนออกมาถึง ภูมปิ ญ๓ ญาในการดาเนินชวี ิตอยาํ งมีเอกภาพ เหมือนสามมมุ ของรูปสามเหล่ยี ม ภมู ิป๓ญญา จึงเปน็ รากฐานใน การดาเนินชีวติ ของคนไทย ซ่ึงสามารถแสดงให๎เห็นได๎อยํางชดั เจนโดยแผนภาพ ดังน้ี ลกั ษณะภมู ปิ ญ๓ ญาที่เกดิ จากความสมั พนั ธ๑ ระหวํางคนกับธรรมชาตสิ ่ิงแวดล๎อม จะแสดงออกมา ในลกั ษณะภมู ปิ ๓ญญาในการดาเนนิ วิถชี ีวติ ขน้ั พน้ื ฐาน ด๎านป๓จจัยสี่ ซ่ึงประกอบด๎วย อาหาร เคร่ืองนุงํ หํม ทอ่ี ยํูอาศยั และยารกั ษาโรค ตลอดทั้งการประกอบ อาชีพตาํ งๆ เป็นตน๎ ภูมิปญ๓ ญาทีเ่ กิดจากความสัมพันธ๑ ระหวาํ งคนกบั คนอน่ื ในสังคม จะแสดงออกมาในลักษณะ จารตี ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และนันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดทง้ั การสื่อสารตํางๆ เปน็ ตน๎ ภมู ิป๓ญญาทเ่ี กิดจากความสัมพันธร๑ ะหวาํ งคนกบั สิง่ ศกั ด์ิสิทธิ์ ส่ิงเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาในลักษณะของสง่ิ ศกั ดิ์สทิ ธิ์ ศาสนา ความเช่อื ตํางๆ เป็นต๎น 4. คุณคา่ และความส้าคญั ของภมู ปิ ัญญาไทย คุณคาํ ของภูมปิ ๓ญญาไทย ได๎แกํ ประโยชน๑ และความสาคญั ของภูมปิ ญ๓ ญา ทบ่ี รรพบุรษุ ไทย ได๎ สร๎างสรรค๑ และสบื ทอดมาอยํางตอํ เน่ือง จากอดีตสํปู จ๓ จุบัน ทาใหค๎ นในชาตเิ กิดความรัก และความภาคภมู ิใจ ท่ีจะรํวมแรงรวํ มใจสืบสานตํอไปในอนาคต เชํน โบราณสถาน โบราณวตั ถุ สถาปต๓ ยกรรม ประเพณีไทย การมี น้าใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน๑ เปน็ ตน๎ ภูมิปญ๓ ญาไทยจึงมีคุณคํา และความสาคัญดงั นี้
1. ภูมิปญ๓ ญาไทยชํวยสร๎างชาตใิ ห๎เป็นปกึ แผนํ พระมหากษัตรยิ ไ๑ ทยได๎ใชภ๎ ูมิปญ๓ ญาในการสรา๎ งชาติ สรา๎ งความเปน็ ปกึ แผํนให๎แกํ ประเทศชาติมาโดยตลอด ตง้ั แตสํ มัยพํอขุนรามคาแหงมหาราช พระองคท๑ รงปกครองประชาชน ดว๎ ยพระ เมตตา แบบพํอปกครองลูก ผ๎ูใดประสบความเดอื ดร๎อน ก็สามารถตรี ะฆงั แสดงความเดือดร๎อน เพ่ือขอรบั พระราชทานความชํวยเหลอื ทาให๎ประชาชนมีความจงรกั ภักดตี ํอพระองค๑ ตํอประเทศชาติรวํ มกนั สร๎าง บ๎านเรือนจนเจรญิ รํุงเรืองเปน็ ปึกแผํน สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พระองค๑ทรงใช๎ภมู ปิ ๓ญญากระทายุทธหตั ถี จนชนะข๎าศกึ ศัตรู และทรงกอบก๎ูเอกราชของชาตไิ ทยคืนมาได๎ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยํหู ัวภูมพิ ลอดุลยเดช รชั กาลป๓จจบุ ัน พระองค๑ทรงใช๎ภูมปิ ๓ญญาสร๎างคณุ ประโยชนแ๑ กํประเทศชาติ และเหลําพสกนิกรมากมายเหลอื คณานับ ทรงใช๎ พระปรชี าสามารถ แก๎ไขวกิ ฤตการณท๑ างการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ๎นภัยพิบัตหิ ลายคร้งั พระองคท๑ รง มีพระปรชี าสามารถหลายด๎าน แม๎แตํด๎านการเกษตร พระองค๑ได๎พระราชทานทฤษฎีใหมํใหแ๎ กํพสกนิกร ทั้งด๎านการเกษตรแบบสมดุลและยง่ั ยืน ฟน้ื ฟสู ภาพแวดล๎อม นาความสงบรมํ เย็นของประชาชนใหก๎ ลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎใี หมํ\" แบํงออกเป็น 2 ขัน้ โดยเริม่ จาก ขนั้ ตอนแรก ใหเ๎ กษตรกรรายยํอย \"มีพออยูํ พอกนิ \" เป็นข้ันพืน้ ฐาน โดยการพฒั นาแหลงํ น้า ในไรนํ า ซึง่ เกษตรกรจาเป็นทจ่ี ะต๎องได๎รับความชํวยเหลือจาก หนํวยราชการ มลู นธิ ิ และหนํวยงานเอกชน รวํ มใจกันพฒั นาสงั คมไทย ในข้นั ทส่ี อง เกษตรกรตอ๎ งมีความ เขา๎ ใจ ในการจัดการในไรํนาของตน และมกี ารรวมกลุมํ ในรูปสหกรณ๑ เพื่อสรา๎ งประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจาํ ยดา๎ นความเป็นอยูํ โดยทรงตระหนกั ถึงบทบาทขององค๑กรเอกชน เม่อื กลุํมเกษตร ววิ ัฒน๑มาข้ันที่ 2 แล๎ว ก็จะมีศักยภาพ ในการพฒั นาไปสํูข้ันท่สี าม ซ่ึงจะมีอานาจในการตํอรองผลประโยชน๑กบั สถาบนั การเงนิ คอื ธนาคาร และองคก๑ รทเ่ี ปน็ เจา๎ ของแหลงํ พลงั งาน ซึ่งเปน็ ปจ๓ จัยหนึ่งในการผลิต โดยมีการ แปรรูปผลิตผล เชํน โรงสี เพ่ือเพิ่มมูลคาํ ผลิตผล และขณะเดยี วกนั มกี ารจัดตั้งรา๎ นค๎าสหกรณ๑ เพ่ือลดคาํ ใช๎จําย ในชวี ิตประจาวัน อนั เป็นการพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของบุคคลในสงั คม จะเหน็ ไดว๎ าํ มิไดท๎ รงทอดทง้ิ หลกั ของ ความสามคั คใี นสงั คม และการจัดตงั้ สหกรณ๑ ซ่ึงทรงสนบั สนุนให๎กลมุํ เกษตรกรสร๎างอานาจตํอรองในระบบ เศรษฐกิจ จึงจะมคี ุณภาพชวี ติ ท่ดี ี จึงจดั ได๎วํา เปน็ สงั คมเกษตรทพ่ี ัฒนาแลว๎ สมดังพระราชประสงคท๑ ท่ี รงอุทิศ พระวรกาย และพระสติป๓ญญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหํงการครองราชย๑ 2. สร๎างความภาคภมู ใิ จ และศกั ด์ศิ รี เกียรตภิ ูมแิ กคํ นไทย คนไทยในอดตี ทีม่ ีความสามารถปรากฏในประวตั ิศาสตรม๑ ีมาก เป็นที่ยอมรับของนานา อารยประเทศ เชนํ นายขนมต๎มเปน็ นักมวยไทย ทม่ี ฝี มี ือเกงํ ในการใชอ๎ วยั วะทกุ สวํ น ทุกทําของแมไํ ม๎มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพมําได๎ถึงเก๎าคนสบิ คนในคราวเดยี วกัน แม๎ในปจ๓ จุบนั มวยไทยกย็ งั ถือวํา เป็น ศลิ ปะช้ันเยยี่ ม เปน็ ที่ นยิ มฝึกและแขํงขนั ในหมํูคนไทยและชาวตาํ ง ประเทศ ป๓จจบุ ันมีคํายมวยไทยทั่วโลกไมํ ตา่ กวํา 30,000 แหํง ชาวตํางประเทศท่ไี ดฝ๎ ึกมวยไทย จะร๎ูสึกยนิ ดแี ละภาคภูมิใจ ในการทีจ่ ะใชก๎ ติกา ของมวย ไทย เชนํ การไหว๎ครูมวยไทย การออก คาสง่ั ในการชกเปน็ ภาษาไทยทกุ คา เชํน คาวํา \"ชก\" \"นับหนงึ่ ถงึ สิบ\" เปน็ ต๎น ถือเป็นมรดก ภมู ิป๓ญญาไทย นอกจากน้ี ภมู ปิ ญ๓ ญาไทยท่โี ดด เดํนยงั มอี ีกมากมาย เชํน มรดกภูมิ ปญ๓ ญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยทม่ี อี ักษรไทยเป็นของ ตนเองมาตงั้ แตํสมยั กรงุ สุโขทยั และวิวัฒนาการ มาจนถึงป๓จจุบัน วรรณกรรมไทยถอื วาํ เป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได๎อรรถรสครบทุกด๎าน วรรณกรรม หลายเรอ่ื งไดร๎ บั การแปลเป็นภาษาตาํ งประเทศหลายภาษา ด๎านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารทีป่ รงุ งําย พชื ท่ี ใช๎ประกอบอาหารสวํ นใหญเํ ป็นพืชสมุนไพร ทีห่ าได๎งํายในท๎องถิน่ และราคาถกู มี คุณคาํ ทางโภชนาการ และ
ยังปูองกันโรคไดห๎ ลายโรค เพราะสํวนประกอบสํวนใหญํเป็นพืชสมนุ ไพร เชํน ตะไคร๎ ขงิ ขาํ กระชาย ใบ มะกรูด ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นตน๎ 3. สามารถปรบั ประยุกต๑หลกั ธรรมคาสอนทางศาสนาใชก๎ ับวถิ ีชีวติ ได๎อยาํ งเหมาะสม คนไทยสํวนใหญนํ บั ถอื ศาสนาพุทธ โดยนาหลกั ธรรมคาสอนของศาสนา มาปรบั ใช๎ในวถิ ชี ีวติ ไดอ๎ ยํางเหมาะสม ทาให๎คนไทยเปน็ ผ๎ูออํ นน๎อมถํอมตน เออื้ เฟื้อเผ่ือแผํ ประนีประนอม รักสงบ ใจเยน็ มคี วามอดทน ให๎อภัยแกผํ ๎ู สานกึ ผดิ ดารงวถิ ชี ีวิตอยํางเรียบงําย ปกตสิ ขุ ทาให๎คนในชุมชนพงึ่ พากนั ได๎ แมจ๎ ะอดอยากเพราะ แหง๎ แลง๎ แตํ ไมํมใี ครอดตาย เพราะพึง่ พาอาศัย กนั แบํงปน๓ กันแบบ \"พริกบา๎ นเหนือเกลือบา๎ นใต๎\" เป็นตน๎ ท้ังหมดนีส้ บื เนือ่ งมาจากหลกั ธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เปน็ การใชภ๎ ูมปิ ๓ญญา ในการนาเอาหลักของ พระพทุ ธศาสนามา ประยุกตใ๑ ชก๎ บั ชีวติ ประจาวนั และดาเนินกศุ โลบาย ด๎านตาํ งประเทศ จนทาใหช๎ าวพุทธท่วั โลกยกยํอง ใหป๎ ระเทศไทยเป็นผู๎นาทางพุทธศาสนา และเป็น ท่ีตัง้ สานกั งานใหญํองค๑การพุทธศาสนกิ สัมพนั ธ๑ แหํงโลก (พสล.) อยเูํ ย้ืองๆ กับอุทยานเบญจสริ ิ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักด์ิ องคมนตรี) ดารงตาแหนํงประธาน พสล. ตอํ จาก ม.จ.หญงิ พนู พิศมยั ดิศกลุ 4. สร๎างความสมดลุ ระหวาํ งคนในสงั คม และธรรมชาติได๎อยาํ งยั่งยืน ภูมิปญ๓ ญาไทยมคี วามเดํนชดั ในเรื่องของการยอมรบั นบั ถือ และใหค๎ วามสาคญั แกํคน สังคม และธรรมชาตอิ ยาํ งย่ิง มีเครื่องชี้ทแี่ สดงให๎เห็นไดอ๎ ยาํ งชัดเจนมากมาย เชนํ ประเพณีไทย 12 เดอื น ตลอดท้งั ปี ล๎วนเคารพคุณคําของธรรมชาติ ไดแ๎ กํ ประเพณีสงกรานต๑ ประเพณลี อยกระทง เป็นต๎น ประเพณีสงกรานต๑ เป็นประเพณีท่ีทาใน ฤดรู ๎อนซึง่ มอี ากาศร๎อน ทาให๎ตอ๎ งการความเยน็ จงึ มีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ๎านเรอื น และธรรมชาตสิ ่ิงแวดล๎อม มกี ารแหํนางสงกรานต๑ การทานายฝนวาํ จะตกมากหรอื นอ๎ ยในแตลํ ะปี สวํ นประเพณีลอยกระทง คุณคําอยูทํ ่ีการบชู า ระลึกถึงบุญคณุ ของน้า ทห่ี ลํอเลีย้ งชีวติ ของ คน พืช และสัตว๑ ใหไ๎ ด๎ใช๎ทัง้ บริโภคและอุปโภค ในวนั ลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแมํน้า ลาธาร บูชาแมํนา้ จากตัวอยําง ข๎างต๎น ลว๎ นเป็น ความสมั พนั ธร๑ ะหวาํ งคนกับสงั คมและธรรมชาติ ท้ังสิ้น ในการรักษาปาุ ไมต๎ น๎ น้าลาธาร ได๎ประยุกตใ๑ หม๎ ปี ระเพณีการบวชปุา ใหค๎ นเคารพสิง่ ศักด์ิสิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดลอ๎ ม ยังความอุดมสมบูรณแ๑ กํตน๎ น้า ลาธาร ให๎ฟื้นสภาพกลบั คนื มาไดม๎ าก อาชพี การเกษตรเป็นอาชีพหลักของคนไทย ท่ีคานงึ ถึงความสมดลุ ทาแตํน๎อยพออยํูพอกิน แบบ \"เฮด็ อยํเู ฮ็ดกิน\" ของ พอํ ทองดี นันทะ เม่ือเหลือกิน ก็แจกญาติพีน่ ๎อง เพ่ือนบา๎ น บ๎านใกลเ๎ รอื นเคยี ง นอกจากนี้ ยงั นาไปแลกเปลยี่ น กบั สิ่งของอยาํ งอ่นื ที่ตนไมํมี เมอ่ื เหลือใชจ๎ ริงๆ จึงจะนาไปขาย อาจกลําวได๎วาํ เปน็ การเกษตรแบบ \"กนิ -แจก- แลก-ขาย\" ทาให๎คนในสงั คมไดช๎ ํวยเหลอื เกือ้ กูล แบํงป๓นกนั เคารพรัก นับถอื เปน็ ญาติกัน ทั้งหมูํบา๎ น จึงอยํู รํวมกันอยาํ งสงบสุข มีความสัมพันธก๑ นั อยํางแนบแนํน ธรรมชาติไมํถูกทาลายไปมากนัก เน่อื งจากทาพออยํูพอ กนิ ไมํโลภมากและไมํทาลายทุกอยํางผิด กบั ในปจ๓ จุบัน ถือเป็นภมู ปิ ญ๓ ญาทีส่ รา๎ งความ สมดุลระหวาํ งคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลยี่ นแปลงปรับปรงุ ได๎ตามยุคสมยั แม๎วํากาลเวลาจะผํานไป ความรส๎ู มยั ใหมํ จะหล่งั ไหลเข๎ามามาก แตํภูมิปญ๓ ญาไทย ก็สามารถ ปรบั เปลยี่ นใหเ๎ หมาะสมกบั ยุคสมัย เชํน การรูจ๎ กั นาเครื่องยนตม๑ าตดิ ตงั้ กบั เรอื ใสํใบพดั เป็นหางเสอื ทาให๎เรือ สามารถแลํนได๎เรว็ ขน้ึ เรยี กวํา เรือหางยาว การรจู๎ ักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟน้ื คนื ธรรมชาติให๎ อดุ มสมบรู ณ๑แทนสภาพเดิมทถี่ ูกทาลายไป การรจู๎ กั ออมเงิน สะสมทุนให๎สมาชกิ กยู๎ มื ปลดเปลือ้ ง หนีส้ นิ และจัดสวัสดกิ ารแกํสมาชิก จนชมุ ชนมีความม่นั คง เขม๎ แข็ง สามารถชํวยตนเองได๎หลายร๎อยหมูํบ๎านท่ัว
ประเทศ เชนํ กลุมํ ออมทรัพย๑ครี ีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรปู กองทนุ หมนุ เวยี นของชุมชน จนสามารถ ชวํ ยตนเองได๎ เม่ือปาุ ถกู ทาลาย เพราะถูกตัดโคนํ เพ่อื ปลูกพชื แบบเดยี่ ว ตามภูมปิ ๓ญญาสมยั ใหมํ ทหี่ วัง รา่ รวย แตใํ นทส่ี ุด กข็ าดทนุ และมหี น้สี นิ สภาพแวดล๎อมสูญเสียเกดิ ความแห๎งแลง๎ คนไทยจึงคิดปลูกปุา ทก่ี นิ ได๎ มพี ชื สวน พชื ปาุ ไมผ๎ ล พืชสมนุ ไพร ซึ่งสามารถมีกินตลอดชวี ติ เรียกวํา \"วนเกษตร\" บางพ้นื ท่ี เมื่อปุาชุมชน ถูกทาลาย คนในชมุ ชนก็รวมตวั กัน เปน็ กลุํมรักษาปุา รวํ มกันสร๎างระเบียบ กฎเกณฑก๑ นั เอง ใหท๎ ุกคนถือ ปฏบิ ัตไิ ด๎ สามารถรักษาปุาได๎อยาํ งสมบรู ณ๑ดังเดิม เมอ่ื ปะการังธรรมชาตถิ ูกทาลาย ปลาไมมํ ที ่ีอยูํอาศยั ประชาชนสามารถสรา๎ ง \"อูหยัม\" ขน้ึ เปน็ ปะการังเทยี ม ให๎ปลาอาศัยวางไขํ และแพรํพนั ธ๑ุใหเ๎ จริญเตบิ โต มีจานวนมากดงั เดิมได๎ ถือเป็นการใช๎ภูมิปญ๓ ญาปรับปรุงประยกุ ตใ๑ ช๎ไดต๎ ามยุคสมยั สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชนฯ เลํมที่ 19 ใหค๎ วามหมายของคาวาํ ภูมปิ ๓ญญาชาวบา๎ น หมายถึง ความร๎ูของชาวบ๎าน ซ่งึ ไดม๎ าจากประสบการณ๑ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ๎าน รวมทงั้ ความร๎ูท่ี สง่ั สมมาแตบํ รรพบรุ ุษ สบื ทอดจากคนรนุํ หนึ่งไปสูคํ นอกี รนํุ หน่ึง ระหวาํ งการสบื ทอดมีการปรบั ประยุกต๑ และ เปล่ียนแปลง จนอาจเกิดเปน็ ความรใ๎ู หมํตามสภาพการณ๑ทางสงั คมวัฒนธรรม และ สง่ิ แวดล๎อม ภูมปิ ญ๓ ญาเปน็ ความรู๎ท่ปี ระกอบไปด๎วยคุณธรรม ซงึ่ สอดคล๎องกบั วถิ ีชวี ติ ด้งั เดิมของชาวบา๎ น ในวิถีด้ังเดมิ น้นั ชวี ิตของชาวบ๎านไมํได๎แบํงแยกเป็นสํวนๆ หากแตํทุกอยาํ งมคี วามสัมพนั ธ๑กนั การทามาหากนิ การอยํรู วํ มกันในชุมชน การปฏบิ ตั ศิ าสนา พธิ ีกรรมและประเพณี ความรเู๎ ปน็ คณุ ธรรม เม่อื ผ๎คู นใชค๎ วามรูน๎ ้นั เพือ่ สรา๎ งความสัมพันธท๑ ด่ี รี ะหวําง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสัมพนั ธท๑ ี่ดี เปน็ ความสมั พันธ๑ที่มคี วามสมดุล ทเ่ี คารพกันและกัน ไมทํ าร๎ายทาลายกัน ทาใหท๎ กุ ฝาุ ยทุกสํวนอยรูํ วํ มกนั ได๎ อยาํ งสันติ ชมุ ชนดงั้ เดิมจงึ มกี ฎเกณฑข๑ องการอยรูํ ํวมกัน มีคนเฒําคนแกเํ ปน็ ผ๎ูนา คอยให๎คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบา๎ นเคารพธรรมชาตริ อบตัว ดิน นา้ ปุา เขา ขา๎ ว แดด ลม ฝน โลก และจกั รวาล ชาวบา๎ นเคารพผูห๎ ลักผใู๎ หญํ พํอแมํ ปุูยาํ ตายาย ทง้ั ท่ีมีชวี ติ อยูํและลวํ งลบั ไปแล๎วภมู ิป๓ญญาจึงเป็น ความรทู๎ มี่ ีคุณธรรม เป็นความรท๎ู มี่ เี อกภาพของทกุ สงิ่ ทกุ อยําง เปน็ ความรู๎วํา ทกุ สง่ิ ทุกอยํางสมั พันธ๑กันอยํางมี ความสมดลุ เราจงึ ยกยํองความรขู๎ ั้นสงู สํง อนั เป็นความรแู๎ จ๎งในความจริงแหํงชวี ติ น้วี าํ \"ภูมปิ ๓ญญา\" ความคิดและการแสดงออกเพ่ือจะเขา๎ ใจภูมปิ ๓ญญาชาวบา๎ น จาเปน็ ต๎องเขา๎ ใจความคิดของชาวบ๎านเกยี่ วกบั โลก หรอื ทเ่ี รยี กวํา โลกทัศน๑ และเกยี่ วกบั ชวี ิต หรอื ทเ่ี รยี กวาํ ชีวทศั น๑ ส่ิงเหลาํ นเี้ ปน็ นามธรรม อนั เก่ยี วข๎องสัมพันธ๑ โดยตรงกับการแสดงออกใน ลกั ษณะตํางๆ ที่เปน็ รูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวติ เปน็ แนวคดิ พ้ืนฐานของภูมปิ ๓ญญาชาวบ๎าน การแพทย๑แผนไทย หรือท่ีเคยเรยี กกนั วาํ การแพทยแ๑ ผนโบราณน้ัน มีหลกั การวาํ คนมีสุขภาพดี เมอ่ื ราํ งกายมีความสมดุลระหวํางธาตุท้งั 4 คอื ดนิ นา้ ลม ไฟ คนเจบ็ ไข๎ได๎ปุวย เพราะธาตุขาดความสมดลุ จะมกี ารปรับธาตุ โดยใชย๎ าสมนุ ไพร หรอื วิธกี ารอื่นๆ คนเป็นไขต๎ ัวร๎อน หมอยา พน้ื บ๎านจะให๎ยาเยน็ เพื่อลดไข๎ เป็นต๎น การดาเนินชีวิตประจาวนั ก็เชํนเดยี วกนั ชาวบ๎านเชื่อวํา จะตอ๎ งรักษา ความสมดลุ ในความสัมพันธส๑ ามดา๎ น คือ ความสมั พันธ๑กับคนในครอบครัว ญาติพน่ี ๎อง เพอื่ นบ๎านในชุมชน ความสมั พันธ๑ทีด่ ีมีหลักเกณฑ๑ ที่บรรพบรุ ุษไดส๎ ง่ั สอนมา เชํน ลูกควรปฏบิ ตั ิอยํางไรกบั พอํ แมํ กบั ญาติพ่นี ๎อง กบั ผูส๎ งู อายุ คนเฒําคนแกํ กบั เพื่อนบา๎ น พํอแมํควรเล้ียงดลู ูกอยาํ งไร ความเออ้ื อาทรตํอกนั และกนั ชํวยเหลือ เก้อื กลู กัน โดยเฉพาะในยามทุกขย๑ าก หรือมีป๓ญหา ใครมีความสามารถพเิ ศษก็ใช๎ความสามารถนนั้ ชํวยเหลือ ผ๎อู ื่น เชํน บางคนเปน็ หมอยา กช็ ํวยดแู ลรักษาคนเจ็บปวุ ยไมํสบาย โดยไมํคดิ คํารกั ษา มีแตํเพยี งการยกครู หรือ การราลึกถงึ ครูบาอาจารย๑ทปี่ ระสาทวิชามาใหเ๎ ทําน้นั หมอยาตอ๎ งทามาหากิน โดยการทานา ทาไรํ เล้ียงสตั ว๑ เหมือนกับชาวบ๎านอื่นๆ บางคนมคี วามสามารถพิเศษดา๎ นการทามาหากนิ กช็ ํวยสอนลูกหลานใหม๎ วี ชิ าไปด๎วย ความสมั พันธร๑ ะหวาํ งคนกบั คนในครอบครัว ในชมุ ชน มกี ฎเกณฑเ๑ ป็นข๎อปฏิบัติ และข๎อห๎าม
อยาํ งชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พธิ กี รรม และกิจกรรมตํางๆ เชํน การรดน้าดาหัวผูใ๎ หญํ การบายศรี สขํู วัญ เป็นตน๎ ความสมั พนั ธ๑กบั ธรรมชาติ ผคู๎ นสมยั กํอนพ่ึงพาอาศยั ธรรมชาตแิ ทบทุกด๎าน ตั้งแตอํ าหารการ กิน เคร่ืองนุํงหมํ ท่ีอยํอู าศัย และยารกั ษาโรค วิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยยี ังไมพํ ัฒนากา๎ วหนา๎ เหมือนทกุ วนั น้ี ยงั ไมํมีระบบการคา๎ แบบสมยั ใหมํ ไมมํ ตี ลาด คนไปจับปลาลําสัตว๑ เพื่อเปน็ อาหารไปวันๆ ตัดไม๎ เพือ่ สรา๎ งบ๎าน และใชส๎ อยตามความจาเปน็ เทํานั้น ไมํได๎ทาเพื่อการค๎า ชาวบ๎านมีหลกั เกณฑ๑ในการใช๎ส่งิ ของในธรรมชาติ ไมํ ตดั ไม๎ออํ น ทาใหต๎ น๎ ไม๎ในปาุ ขึ้นแทนต๎นทถี่ ูกตดั ไปไดต๎ ลอดเวลาชาวบ๎านยงั ไมํร๎ูจกั สารเคมี ไมใํ ชย๎ าฆาํ แมลง ฆาํ หญ๎า ฆําสัตว๑ ไมใํ ชป๎ ุ๋ยเคมี ใชส๎ ง่ิ ของในธรรมชาติใหเ๎ ก้ือกลู กัน ใช๎มูลสตั ว๑ ใบไม๎ใบ หญา๎ ท่ีเนําเปอื่ ยเป็นปยุ๋ ทาให๎ ดนิ อุดมสมบูรณ๑ นา้ สะอาด และไมเํ หือดแหง๎ ชาวบ๎านเคารพธรรมชาติ เช่อื วาํ มีเทพมีเจ๎าสถติ อยูใํ นดิน น้า ปาุ เขา สถานทท่ี ุกแหงํ จะทาอะไรต๎องขออนุญาต และทาดว๎ ยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบา๎ นร๎คู ุณ ธรรมชาติ ท่ไี ด๎ใหช๎ วี ติ แกํตน พธิ กี รรมตาํ งๆ ลว๎ นแสดงออกถงึ แนวคดิ ดงั กลําว เชํน งานบญุ พธิ ี ท่เี กีย่ วกบั น้า ข๎าว ปุาเขา รวมถงึ สตั ว๑ บ๎านเรอื น เคร่อื งใช๎ตํางๆ มีพิธีสูํขวญั ข๎าว สูขํ วญั ควาย สขํู วัญเกวียน ทางอสี านมีพธิ ี แฮกนา หรือแรกนา เลย้ี งผตี าแฮก มีงานบญุ บา๎ น เพ่อื เลี้ยงผี หรือสิ่งศกั ดส์ิ ิทธิ์ประจาหมํูบา๎ น เปน็ ตน๎ ความสมั พนั ธ๑กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ชาวบา๎ นรูว๎ ํา มนษุ ย๑เป็นเพียงสํวนเลก็ ๆ สวํ นหน่ึง ของ จกั รวาล ซ่ึงเต็มไปด๎วยความเรน๎ ลบั มพี ลัง และอานาจ ท่เี ขาไมํอาจจะหาคาอธิบายได๎ ความเร๎นลบั ดังกลําว รวมถึงญาติพ่ีนอ๎ ง และผค๎ู นที่ลวํ งลบั ไปแล๎ว ชาวบา๎ นยังสัมพนั ธก๑ ับพวกเขา ทาบญุ และราลึกถึงอยาํ งสม่าเสมอ ทกุ วนั หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกนั้นเป็นผดี ี ผรี า๎ ย เทพเจ๎าตาํ งๆ ตามความเช่ือของแตลํ ะแหํง สง่ิ เหลาํ นส้ี งิ สถิตอยูใํ นสิ่งตาํ งๆ ในโลก ในจักรวาล และอยบูํ นสรวงสวรรค๑การทามาหากนิ แมว๎ ิถีชีวติ ของชาวบ๎านเม่ือกํอนจะดูเรียบงํายกวําทกุ วนั น้ี และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลกั ในการทามาหากนิ แตํพวกเขากต็ อ๎ งใช๎สตปิ ๓ญญา ทบ่ี รรพบรุ ุษถํายทอดมาให๎ เพ่ือจะได๎อยํู รอด ท้ังน้ีเพราะป๓ญหาตํางๆ ในอดีตกย็ ังมไี มํนอ๎ ย โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวมีสมาชิกมากข้ึน จาเปน็ ตอ๎ งขยายที่ ทากนิ ตอ๎ งหกั ร๎างถางพง บุกเบกิ พ้นื ที่ทากินใหมํ การปรับพืน้ ท่ปี น้๓ คนั นา เพ่ือทานา ซ่ึงเปน็ งานที่หนัก การทา ไรํทานา ปลูกพืชเล้ียงสตั ว๑ และดแู ลรกั ษาให๎เติบโต และได๎ผล เป็นงานทีต่ อ๎ งอาศยั ความร๎ูความสามารถ การ จับปลาลําสัตว๑ก็มีวิธีการ บางคนมีความสามารถมากรว๎ู ํา เวลาไหน ทใี่ ด และวธิ ใี ด จะจบั ปลาได๎ดที ส่ี ดุ คนทไ่ี มํ เกงํ กต็ ๎องใชเ๎ วลานาน และได๎ปลาน๎อย การลําสัตวก๑ เ็ ชํนเดียวกัน การจดั การแหลํงน้า เพื่อการเกษตร ก็เปน็ ความรู๎ความสามารถ ทีม่ มี าแตโํ บราณ คนทาง ภาคเหนือรจ๎ู กั บริหารน้า เพื่อการเกษตร และเพื่อการบริโภคตํางๆ โดยการจดั ระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบงํ ป๓นนา้ กนั ตามระบบประเพณีที่ สบื ทอดกนั มา มหี วั หน๎าทีท่ กุ คนยอมรบั มคี ณะกรรมการจัดสรรนา้ ตาม สัดสวํ น และตามพื้นที่ทากนิ นับเป็นความร๎ทู ีท่ าให๎ชุมชนตํางๆ ท่ีอาศัยอยูํใกล๎ลานา้ ไมํวาํ ต๎นน้า หรอื ปลายนา้ ได๎รบั การแบํงป๓นน้าอยํางยุตธิ รรม ทุกคนไดป๎ ระโยชน๑ และอยํูรํวมกันอยาํ งสันติ ชาวบ๎านร๎จู กั การแปรรูปผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให๎กนิ ไดน๎ าน การดองการ หมัก เชํน ปลาร๎า นา้ ปลา ผกั ดอง ปลาเค็ม เนอื้ เค็ม ปลาแหง๎ เน้อื แหง๎ การแปรรปู ข๎าว กท็ าได๎มากมายนบั ร๎อย ชนดิ เชนํ ขนมตํางๆ แตลํ ะพิธกี รรม และแตลํ ะงานบญุ ประเพณี มขี า๎ วและขนมในรปู แบบไมซํ ้ากนั ต้งั แตํ ขนมจนี สงั ขยา ไปถงึ ขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอืน่ ๆ ซึ่งยงั พอมีให๎เหน็ อยูํจานวนหนึ่ง ใน ปจ๓ จุบันสวํ นใหญปํ รับเปลย่ี นมาเปน็ การผลิตเพื่อขาย หรอื เปน็ อตุ สาหกรรมในครัวเรอื น ความรู๎เรอ่ื งการปรงุ อาหารก็มีอยํูมากมาย แตลํ ะท๎องถิน่ มรี ูปแบบ และรสชาติแตกตาํ งกันไป มีมากมายนับร๎อยนับพนั ชนิด แมใ๎ นชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไมํกอ่ี ยาํ ง แตํโอกาสงานพธิ ี งาน เลี้ยง งานฉลอง สาคญั จะมีการจัดเตรียมอาหารอยาํ งดี และพิถพี ิถันการทามาหากินในประเพณีเดิมน้นั เปน็ ทั้งศาสตรแ๑ ละ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม๎ ไมํได๎เป็นเพียงเพ่ือใหร๎ ับประทานแลว๎ อรํอย แตํใหไ๎ ดค๎ วาม
สวยงาม ทาให๎สามารถสัมผสั กับอาหารนน้ั ไมเํ พียงแตํทางปาก และรสชาติของลน้ิ แตทํ างตา และทางใจ การ เตรยี มอาหารเปน็ งานศิลปะ ทป่ี รุงแตดํ ๎วยความตั้งใจ ใชเ๎ วลา ฝมี ือ และความร๎ูความสามารถ ชาวบา๎ น สมัยกอํ นสํวนใหญจํ ะทานาเป็นหลัก เพราะเม่อื มีข๎าวแลว๎ ก็สบายใจ อยํางอน่ื พอหาได๎จากธรรมชาติ เสรจ็ หนา๎ นากจ็ ะทางานหัตถกรรม การทอผ๎า ทาเส่ือ เลีย้ งไหม ทาเครอ่ื งมือ สาหรบั จบั สตั ว๑ เครอ่ื งมือการเกษตร และ อุปกรณ๑ตาํ งๆ ทีจ่ าเปน็ หรือเตรียมพน้ื ที่ เพอ่ื การทานาคร้งั ตอํ ไป หัตถกรรมเป็นทรพั ยส๑ ิน และมรดกทางภูมิป๓ญญาที่ยิง่ ใหญํทส่ี ดุ อยํางหนงึ่ ของบรรพบรุ ุษ เพราะเปน็ ส่ือที่ถํายทอดอารมณ๑ ความร๎สู ึก ความคดิ ความเช่อื และคุณคาํ ตาํ งๆ ทส่ี ่ังสมมาแตนํ มนาน ลายผา๎ ไหม ผา๎ ฝาู ย ฝมี ือในการทออยํางประณีต รปู แบบเครื่องมือ ทสี่ านด๎วยไม๎ไผํ และอุปกรณ๑ เครือ่ งใช๎ไมส๎ อยตํางๆ เคร่ืองดนตรี เครือ่ งเลนํ ส่ิงเหลาํ น้ีไดถ๎ กู บรรจงสรา๎ งขน้ึ มา เพ่อื การใชส๎ อย การทาบุญ หรือการอุทิศใหใ๎ ครคน หนงึ่ ไมใํ ชํเพื่อการค๎าขาย ชาวบา๎ นทามาหากนิ เพียงเพ่ือการยังชพี ไมํไดท๎ าเพ่ือขาย มีการนาผลิตผลสวํ นหนง่ึ ไปแลกส่งิ ของที่จาเปน็ ทีต่ นเองไมมํ ี เชนํ นาข๎าวไป แลกเกลอื พริก ปลา ไกํ หรือเสื้อผ๎า การขายผลิตผลมีแตํ เพียงสํวนนอ๎ ย และเม่ือมคี วามจาเป็นตอ๎ งใช๎เงิน เพ่ือเสียภาษีใหร๎ ฐั ชาวบา๎ นนาผลิตผล เชํน ข๎าว ไปขายใน เมืองให๎กับพํอค๎า หรือขายให๎กบั พํอคา๎ ท๎องถนิ่ เชนํ ทางภาคอสี าน เรียกวํา \"นายฮ๎อย\" คนเหลาํ นจ้ี ะนาผลิตผล บางอยาํ ง เชํน ขา๎ ว ปลารา๎ วัว ควาย ไปขายในที่ไกลๆ ทางภาคเหนือมีพํอคา๎ ววั ตาํ งๆ เป็นตน๎ แมว๎ ําความร๎ูเรอื่ งการค๎าขายของคนสมัยกํอน ไมํอาจจะนามาใชใ๎ นระบบตลาดเชนํ ป๓จจบุ ันได๎ เพราะสถานการณไ๑ ดเ๎ ปล่ยี นแปลงไปอยาํ งมาก แตกํ ารค๎าที่มจี ริยธรรมของพํอค๎าในอดีต ทไ่ี มํไดห๎ วังแตเํ พยี ง กาไร แตํคานึงถึงการชํวยเหลอื แบงํ ปน๓ กนั เปน็ หลกั ยงั มีคุณคําสาหรับป๓จจุบนั นอกนัน้ ในหลายพ้ืนท่ีในชนบท ระบบการแลกเปล่ียนส่ิงของยังมีอยูํ โดยเฉพาะในพ้ืนทยี่ ากจน ซึง่ ชาวบ๎านไมมํ ีเงินสด แตํมีผลิตผลตาํ งๆ ระบบ การแลกเปลย่ี นไมไํ ด๎ยดึ หลกั มาตราช่งั วัด หรือการตีราคาของส่ิงของ แตแํ ลกเปลย่ี น โดยการคานงึ ถงึ สถานการณ๑ของผ๎ูแลกท้ังสองฝาุ ย คนทเี่ อาปลาหรือไกํมาขอแลกข๎าว อาจจะไดข๎ ๎าวเปน็ ถัง เพราะเจา๎ ของขา๎ ว คานึงถึงความจาเป็นของครอบครัวเจ๎าของไกํ ถา๎ หากตีราคาเปน็ เงิน ข๎าวหน่ึงถงั ยํอมมคี ําสงู กวาํ ไกํหน่งึ ตัว การอยู่ร่วมกันในสังคม การอยํรู ํวมกนั ในชมุ ชนดง้ั เดมิ นั้น สํวนใหญจํ ะเป็นญาติพีน่ ๎องไมํก่ีตระกูล ซ่ึงได๎อพยพย๎ายถิ่นฐานมา อยูํ หรอื สืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาตกิ นั ไดท๎ ง้ั ชมุ ชน มีคนเฒําคนแกํทช่ี าวบา๎ นเคารพนบั ถอื เป็นผ๎ูนาหนา๎ ท่ี ของผ๎ูนา ไมใํ ชกํ ารสัง่ แตเํ ปน็ ผู๎ใหค๎ าแนะนาปรึกษา มีความแมํนยาในกฎระเบยี บประเพณกี ารดาเนินชวี ิต ตดั สนิ ไกลํเกลี่ย หากเกิดความขดั แยง๎ ชํวยกนั แกไ๎ ขปญ๓ หาตํางๆ ที่เกิดขึ้น ปญ๓ หาในชุมชนกม็ ีไมํน๎อย ปญ๓ หา การทามาหากิน ฝนแล๎ง นา้ ทํวม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นตน๎ นอกจากน้นั ยังมปี ๓ญหาความขดั แยง๎ ภายในชุมชน หรอื ระหวํางชมุ ชน การละเมดิ กฎหมาย ประเพณี สํวนใหญจํ ะเปน็ การ \" ผิดผ\"ี คือ ผีของบรรพ บรุ ุษ ผซู๎ ่ึงไดส๎ ร๎างกฎเกณฑต๑ ํางๆ ไว๎ เชนํ กรณที ี่ชายหนํมุ ถูกเนอ้ื ต๎องตัวหญงิ สาวทย่ี งั ไมํแตํงงาน เปน็ ต๎น หาก เกิดการผดิ ผขี ้ึนมา ก็ต๎องมีพธิ ีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒาํ คนแกเํ ปน็ ตวั แทนของบรรพบรุ ษุ มีการวาํ กลาํ วสัง่ สอน และชดเชยการทาผดิ น้ัน ตามกฎเกณฑท๑ ีว่ างไว๎ ชาวบา๎ นอยอูํ ยํางพ่ึงพาอาศัยกนั ยามเจ็บไข๎ได๎ปวุ ย ยาม เกดิ อบุ ัติเหตุเภทภัย ยามทีโ่ จรขโมยวัวควายขา๎ วของ การชํวยเหลอื กันทางานทีเ่ รียกกันวาํ การลงแขก ทง้ั แรงกายแรงใจท่ีมีอยํูกจ็ ะแบงํ ป๓นชวํ ยเหลือ เอือ้ อาทรกนั การ แลกเปลยี่ นสงิ่ ของ อาหารการกิน และอืน่ ๆ จงึ เกี่ยวข๎องกับวถิ ขี องชมุ ชน ชาวบ๎านชวํ ยกนั เก็บเกีย่ วข๎าว สร๎างบ๎าน หรืองานอ่ืนทต่ี ๎องการคนมากๆ เพื่อจะได๎ เสร็จโดยเร็ว ไมํมกี ารจา๎ ง กรณตี ัวอยํางจากการปลูกข๎าวของชาวบา๎ น ถา๎ ปหี น่ึงชาวนาปลูกข๎าวไดผ๎ ลดี ผลิตผลที่ไดจ๎ ะใชเ๎ พื่อการ บริโภคในครอบครัว ทาบุญท่ีวัด เผอ่ื แผใํ ห๎พ่นี ๎องที่ขาดแคลน แลกของ และเกบ็ ไว๎ เผ่อื วาํ ปหี น๎าฝนอาจแลง๎ น้า อาจทวํ ม ผลิตผล อาจไมํดใี นชุมชนตาํ งๆ จะมีผูม๎ ีความรูค๎ วามสามารถหลากหลาย บางคนเกงํ ทางการรกั ษา
โรค บางคนทางการเพาะปลูกพชื บางคนทางการเลยี้ งสัตว๑ บางคนทางดา๎ นดนตรกี ารละเลนํ บางคนเกงํ ทางดา๎ นพธิ ีกรรม คนเหลาํ นีต้ ํางก็ใช๎ความสามารถ เพ่ือประโยชนข๑ องชมุ ชน โดยไมํถือเป็นอาชพี ทีม่ ี คาํ ตอบแทน อยํางมากก็มี \"คําคร\"ู แตํเพยี งเล็กนอ๎ ย ซง่ึ ปกติแลว๎ เงนิ จานวนนน้ั ก็ใชส๎ าหรับเคร่ืองมือประกอบ พธิ ีกรรม หรอื เพื่อทาบุญท่ีวดั มากกวําท่หี มอยา หรือบุคคลผนู๎ ้ัน จะเก็บไวใ๎ ช๎เอง เพราะแทท๎ ีจ่ ริงแลว๎ \"วชิ า\" ที่ ครูถาํ ยทอดมาใหแ๎ กํลูกศิษย๑ จะต๎องนาไปใช๎ เพื่อประโยชน๑แกสํ ังคม ไมใํ ชํเพื่อผลประโยชนส๑ ํวนตวั การตอบ แทนจึงไมํใชเํ งินหรอื สิง่ ของเสมอไป แตํเป็นการชวํ ยเหลอื เกื้อกลู กนั โดยวิธีการตํางๆด๎วยวถิ ีชวี ิตเชํนน้ี จงึ มี คาถาม เพอื่ เปน็ การสอนคนรุํนหลังวาํ ถา๎ หากคนหน่งึ จับปลาชํอนตัวใหญํไดห๎ นึง่ ตวั ทาอยาํ งไรจึงจะกินไดท๎ งั้ ปี คนสมยั น้อี าจจะบอกวาํ ทาปลาเค็ม ปลารา๎ หรือเก็บรักษาดว๎ ยวิธีการตํางๆ แตํคาตอบท่ีถกู ต๎อง คือ แบํงป๓นให๎ พนี่ ๎อง เพือ่ นบา๎ น เพราะเมื่อเขาไดป๎ ลา เขาก็จะทากับเราเชํนเดียวกัน ชีวติ ทางสังคมของหมูบํ ๎าน มศี นู ย๑กลาง อยทูํ ่วี ัด กิจกรรมของสํวนรวม จะทากันทีว่ ัด งานบญุ ประเพณตี ํางๆ ตลอดจนการละเลนํ มหรสพ พระสงฆเ๑ ปน็ ผนู๎ าทางจิตใจ เปน็ ครูทสี่ อนลูกหลานผ๎ชู าย ซ่งึ ไปรับใช๎พระสงฆ๑ หรอื \"บวชเรียน\" ทั้งนี้เพราะกํอนน้ยี งั ไมํมี โรงเรยี น วดั จงึ เป็นท้งั โรงเรยี น และหอประชมุ เพ่ือกจิ กรรมตํางๆ ตํอเมื่อโรงเรยี นมขี ึน้ และแยกออกจากวัด บทบาทของวัด และของพระสงฆ๑ จึงเปลี่ยนไป งานบุญประเพณีในชุมชนแตกํ ํอนมีอยํูทุกเดือน ตํอมากล็ ดลงไป หรอื สองสามหมบํู ๎านรํวมกันจดั หรอื ผลดั เปลยี่ นหมุนเวียนกนั เชํน งานเทศน๑มหาชาติ ซึ่งเปน็ งานใหญํ หมูํบา๎ นเล็กๆ ไมํอาจจะจัดได๎ทุกปี งาน เหลํานี้มที ัง้ ความเชื่อ พิธกี รรม และความสนุกสนาน ซึ่งชมุ ชนแสดงออกรวํ มกัน ระบบคุณค่า ความเช่ือในกฎเกณฑ๑ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชมุ ชนด้งั เดิม ความเชือ่ นเี้ ปน็ รากฐานของ ระบบคุณคําตาํ งๆ ความกตญั ๒ูร๎ูคณุ ตํอพํอแมํ ปยุู ําตายาย ความเมตตาเอ้ืออาทรตํอผู๎อน่ื ความเคารพตอํ สิ่ง ศกั ด์ิสิทธใ์ิ นธรรมชาติรอบตวั และในสากลจักรวาล ความเชือ่ \"ผี\" หรอื สง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธิ์ในธรรมชาติ เปน็ ทีม่ าของการดาเนินชีวิต ทง้ั ของสวํ นบุคคล และของ ชุมชน โดยรวมการเคารพในผีปูตุ า หรือผีปูุยาํ ซ่ึงเป็นผีประจาหมูบํ ๎าน ทาให๎ชาวบา๎ นมคี วามเปน็ หนง่ึ เดยี วกัน เป็นลกู หลานของปตุู าคนเดยี วกัน รักษาปาุ ท่ีมีบา๎ นเล็กๆ สาหรับผี ปลูกอยํตู ิดหมูบํ า๎ น ผปี ุา ทาใหค๎ นตัดไมด๎ ว๎ ย ความเคารพ ขออนุญาตเลอื กตัดตน๎ แกํ และปลูกทดแทน ไมํทงิ้ ส่งิ สกปรกลงแมนํ า้ ดว๎ ยความเคารพในแมํคงคา กินขา๎ วดว๎ ยความเคารพ ในแมํโพสพ คนโบราณกนิ ขา๎ วเสร็จ จะไหวข๎ ๎าว พธิ บี ายศรีสูํขวัญ เปน็ พธิ ีร้ือฟ้ืน กระชับ หรอื สร๎างความสัมพนั ธร๑ ะหวํางผ๎คู น คนจะเดินทางไกล หรอื กลบั จากการเดินทาง สมาชิกใหมํ ในชุมชน คนปุวย หรอื กาลงั ฟน้ื ไข๎ คนเหลาํ นีจ้ ะไดร๎ ับพิธีสํูขวญั เพื่อให๎เป็น สริ มิ งคล มีความอยูํเย็นเปน็ สุข นอกน้ันยังมีพิธสี บื ชะตาชีวิตของบุคคล หรือของชมุ ชน นอกจากพธิ ีกรรมกับคนแลว๎ ยังมีพิธีกรรมกับสัตว๑และธรรมชาติ มีพธิ ีสํขู วญั ข๎าว สูขํ วญั ควาย สูํขวัญ เกวยี น เปน็ การแสดงออกถงึ การขอบคณุ การขอขมา พธิ ีดังกลําวไมไํ ดม๎ ีความหมายถึงวํา ส่งิ เหลํานีม้ ีจิต มีผใี น ตัวมนั เอง แตเํ ป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธก๑ ับจิตและส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธิ์ อนั เป็นสากลในธรรมชาติทง้ั หมด ทา ให๎ผ๎คู นมคี วามสัมพันธ๑อันดีกับทกุ ส่งิ คนขับแท็กซ่ใี นกรงุ เทพฯ ท่ีมาจากหมูํบา๎ น ยงั ซอื้ ดอกไม๎ แล๎วแขวนไว๎ท่ี กระจกในรถ ไมใํ ชเํ พ่ือเซํนไหว๎ผีในรถแท็กซ่ี แตเํ ปน็ การราลึกถงึ ส่ิงศักด์สิ ทิ ธ์ิ ใน สากลจักรวาล รวมถงึ ทส่ี งิ อยํู ในรถคันน้นั ผค๎ู นสมัยกํอนมีความสานกึ ในข๎อจากัดของตนเอง ร๎ูวํา มนุษยม๑ ีความอํอนแอ และเปราะบาง หาก ไมรํ ักษาความสมั พนั ธอ๑ ันดี และไมํคงความสมดลุ กบั ธรรมชาตริ อบตัวไว๎ เขาคงไมสํ ามารถมชี ีวิตได๎อยํางเป็นสุข และยนื นาน ผูค๎ นทวั่ ไปจึงไมํมีความอวดกลา๎ ในความสามารถของตน ไมํทา๎ ทายธรรมชาติ และส่งิ ศักด์สิ ิทธ์ิ มี ความอํอนน๎อมถํอมตน และรักษากฎระเบียบประเพณอี ยาํ งเครํงครดั
ชวี ติ ของชาวบา๎ นในรอบหนง่ึ ปี จงึ มพี ิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเชื่อ และความสัมพันธ๑ ระหวาํ งผู๎คนในสงั คม ระหวํางคนกับธรรมชาติ และระหวาํ งคนกับส่งิ ศักด์ิสทิ ธติ์ าํ งๆ ดังกรณีงานบญุ ประเพณี ของชาวอีสานท่ีเรียกวําฮีตสบิ สอง คอื เดอื นอา๎ ย (เดือนท่ีหน่ึง) บุญเข๎ากรรม ให๎พระภกิ ษุเข๎าปรวิ าสกรรม เดือนยี่ (เดือนที่สอง) บญุ คณู ลาน ให๎นาข๎าวมากองกันทล่ี าน ทาพิธีกํอนนวด เดอื นสาม บญุ ขา๎ วจ่ี ใหถ๎ วาย ข๎าวจ่ี (ข๎าวเหนยี วป๓้นชบุ ไขํทาเกลอื นาไปยํางไฟ)เดอื นสี่ บญุ พระเวส ใหฟ๎ ๓งเทศน๑มหาชาติ คือ เทศน๑เรือ่ งพระ เวสสันดรชาดก เดือนห๎า บญุ สรงน้า หรอื บญุ สงกรานต๑ ให๎สรงน้าพระ ผ๎เู ฒาํ ผแู๎ กํ เดือนหก บุญบัง้ ไฟ บชู าพญา แถน ตามความเช่อื เดิม และบุญวิสาขบชู า ตามความเช่อื ของชาวพุทธ เดือนเจ็ด บญุ ซาฮะ (บุญชาระ) ใหบ๎ น บานพระภูมเิ จ๎าท่ี เลีย้ งผีปูตุ า เดอื นแปด บญุ เข๎าพรรษา เดือนเกา๎ บญุ ขา๎ วประดับดนิ ทาบญุ อทุ ิศสวํ นกศุ ลให๎ ญาติพน่ี ๎องผ๎ูลํวงลับ เดอื นสิบ บญุ ข๎าวสาก ทาบุญเชนํ เดือนเกา๎ รวมให๎ผีไมํมีญาติ (ภาคใต๎มพี ิธคี ลา๎ ยกัน คอื งานพธิ เี ดอื นสิบ ทาบญุ ใหแ๎ กํบรรพบรุ ษุ ผ๎ูลวํ งลับไปแล๎ว แบํงขา๎ วปลาอาหารสวํ นหนึ่งให๎แกํผีไมํมีญาติ พวก เดก็ ๆ ชอบแยงํ กันเอาของท่ีแบํงให๎ผไี มมํ ีญาติหรอื เปรต เรยี กวาํ \"การชงิ เปรต\") เดอื นสิบเอด็ บญุ ออกพรรษา เดือนสิบสอง บญุ กฐนิ จดั งานกฐนิ และลอยกระทง ภูมปิ ญ๓ ญาชาวบ๎านในสังคมป๓จจบุ นั ภมู ปิ ๓ญญาชาวบา๎ นได๎กํอเกดิ และสืบทอดกนั มาในชุมชนหมํบู า๎ น เมื่อหมํบู า๎ นเปลีย่ นแปลงไปพร๎อมกบั สังคมสมยั ใหมํ ภมู ิป๓ญญาชาวบ๎านกม็ ีการปรับตัวเชํนเดียวกนั ความร๎ู จานวนมากไดส๎ ูญหายไป เพราะไมํมกี ารปฏิบัตสิ บื ทอด เชํน การรักษาพื้นบา๎ นบางอยาํ ง การใชย๎ าสมนุ ไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาทเี่ กํงๆ ได๎เสยี ชีวติ โดยไมไํ ดถ๎ าํ ยทอดให๎กบั คนอืน่ หรือถาํ ยทอด แตคํ นตํอมาไมํได๎ปฏิบตั ิ เพราะชาวบ๎านไมํนิยมเหมอื นเมอ่ื กํอน ใชย๎ าสมัยใหมํ และไปหาหมอ ท่โี รงพยาบาล หรอื คลินกิ งาํ ยกวาํ งาน หนั ตถกรรม ทอผา๎ หรือเครือ่ งเงนิ เครอ่ื งเขิน แม๎จะยังเหลืออยูํไมนํ ๎อย แตํก็ได๎ถูกพัฒนาไปเปน็ การคา๎ ไมํ สามารถรกั ษาคุณภาพ และฝีมือแบบด้ังเดมิ ไวไ๎ ด๎ ในการทามาหากินมีการใช๎เทคโนโลยที ันสมยั ใชร๎ ถไถแทน ควาย รถอีแตน๐ แทนเกวียน การลงแขกทานา และปลูกสร๎างบา๎ นเรอื น ก็เกือบจะหมดไป มีการจา๎ งงานกันมากขน้ึ แรงงานก็หา ยากกวําแตํกอํ น ผค๎ู นอพยพย๎ายถิ่น บา๎ งกเ็ ข๎าเมือง บา๎ งก็ไปทางานท่ีอน่ื ประเพณงี านบญุ ก็เหลอื ไมมํ าก ทาได๎ ก็ตํอเมอ่ื ลกู หลานท่ีจากบา๎ นไปทางาน กลบั มาเยี่ยมบา๎ นในเทศกาลสาคญั ๆ เชํน ปใี หมํ สงกรานต๑ เข๎าพรรษา เป็นตน๎ สังคมสมยั ใหมํมีระบบการศึกษาในโรงเรยี น มีอนามยั และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วิทยุ โทรทศั น๑ และ เคร่อื งบนั เทิงตาํ งๆ ทาใหช๎ วี ิตทางสงั คมของชมุ ชนหมํบู ๎านเปลีย่ นไป มตี ารวจ มีโรงมีศาล มีเจา๎ หนา๎ ทีร่ าชการ ฝาุ ยปกครอง ฝุายพัฒนา และอน่ื ๆ เข๎าไปในหมูบํ ๎าน บทบาทของวัด พระสงฆ๑ และคนเฒําคนแกเํ ริ่มลดน๎อยลง การทามาหากินก็เปลี่ยนจากการทาเพอ่ื ยังชีพไปเป็นการผลิตเพอ่ื การขาย ผ๎คู นต๎องการเงนิ เพ่ือซ้ือเคร่อื ง บริโภคตํางๆ ทาให๎สง่ิ แวดล๎อม เปลย่ี นไป ผลิตผลจากปุาก็หมด สถานการณเ๑ ชนํ น้ีทาให๎ผน๎ู าการพัฒนาชมุ ชน หลายคน ทมี่ บี ทบาทสาคัญในระดับจงั หวัด ระดบั ภาค และระดับประเทศ เร่มิ เห็นความสาคญั ของภมู ปิ ญ๓ ญา ชาวบา๎ น หนํวยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ใหก๎ ารสนับสนุน และสํงเสรมิ ใหม๎ ีการอนรุ ักษ๑ ฟนื้ ฟู ประยุกต๑ และค๎นคิดสงิ่ ใหมํ ความร๎ใู หมํ เพ่อื ประโยชนส๑ ขุ ของสงั คม
สมนุ ไพรทพิ ย์ ความเปน็ มาและความส้าคัญของพชื สมนุ ไพร คาวํา สมุนไพร ตาม พระราชบัญญัติยา หมายถึง \"ยาที่ได๎จากพืช,สัตว๑,หรือแรํ ซ่ึงยังไมํได๎ผสม ปรุง หรือเปลย่ี นสภาพ\" เชํน พืชก็ยังเป็นสํวนของ ราก ลาต๎น ใบ ดอก ผล ฯลฯ ซึ่งยังไมํได๎ผํานขั้นตอนการแปรรูป ใด ๆ แตํในทางการค๎าสมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปตําง ๆ เขํน ถูกห่ันให๎เป็นช้ินเล็กลงบดเป็นผงละเอียด หรืออัดเป็นแทํง อยํางไรก็ตามในความร๎ูสึกของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อกลําวถึงสมุนไพร มักจะนึกถึงเฉพาะต๎นไม๎ท่ี นามาใชเ๎ ปน็ ยาเทําน้ัน ท้งั นี้อาจเปน็ เพราะวําสตั ว๑ หรอื แรํ มกี ารนามาใช๎น๎อย และใช๎ในโรคบางชนิดเทําน้ัน พืช สมุนไพร หมายถึงพันธุ๑ไม๎ตําง ๆ ท่ีสามารถนามาใช๎ปรุงหรือประกอบเป็นยารักษาโรคตําง ๆ ใช๎ในการสํงเสริม สขุ ภาพราํ งกายได๎ ความสาคัญในด๎านสาธารณสุขพืชสมุนไพร เป็นผลผลิตจากธรรมชาติ ที่มนุษย๑รู๎จักนามาใช๎เป็น ประโยชน๑ เพ่ือการรักษาโรคภยั ไข๎เจ็บต้ังแตํโบราณกาลแล๎ว เชํนในเอเชียก็มีหลักฐานแสดงวํามนุษย๑รู๎จักใช๎พืช สมุนไพรมากวํา 6,000 ปี แตํหลังจากท่ีความร๎ูด๎านวิทยาศาสตร๑ มีการพัฒนาเจริญก๎าวหน๎ามากข้ึน มีการ สังเคราะห๑ และผลิตยาจากสารเคมี ในรูปท่ีใช๎ประโยชน๑ได๎งําย สะดวกสบายในการใช๎มากกวําสมุนไพร ทาให๎ ความนิยมใช๎ยาสมุนไพรลดลงมาเป็นอันมาก เป็นเหตุให๎ความร๎ูวิทยาการด๎านสมุนไพรขาดการพัฒนา ไมํ เจริญก๎าวหน๎าเทาํ ท่ีควร ในป๓จจบุ นั ทว่ั โลกไดย๎ อมรับแล๎ววาํ ผลที่ได๎จากการสกัดสมุนไพร ให๎คุณประโยชน๑ดีกวํา ยา ท่ไี ด๎จากการสังเคราะห๑ทางวิทยาศาสตร๑ประกอบกับในประเทศไทยเป็นแหลํงทรัพยากรธรรมชาติ อันอุดม สมบูรณ๑ มีพืชตําง ๆ ที่ใช๎เป็นสมุนไพรได๎อยํางมากมายนับหม่ืนชนิด ยังขาดก็แตํเพียงการค๎นคว๎าวิจัยในทางที่ เป็นวิทยาศาสตร๑มากข้ึนเทําน้ัน ความต่ืนตัวที่จะพัฒนาความร๎ูด๎านพืชสมุนไพร จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มีการ เร่ิมต๎นนโยบายสาธารณสุขข้ันมูลฐานอยํางเป็นทางการของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2522 โดยเพ่ิมโครงการ สาธารณสุขข้ันมูลฐานเขา๎ ในแผนพัฒนาการสาธารณสขุ ตามแผนพฒั นา การเศรษฐกิจและสงั คมแหํงชาติ ฉบับ ที่ 4 (พ.ศ. 2520-2524) ตํอเน่ืองจนถึงแผนพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแหํงชาติ ฉบับท่ี 7 (พ.ศ. 2535- 2539) โดยมี กลวธิ กี ารพฒั นาสมนุ ไพรและการแพทย๑แผนไทยในงานสาธารณสขุ มลู ฐาน คอื 1. สนับสนุนและพัฒนาวิชาการและเทคโนโลยีพ้ืนบ๎านอันได๎แกํ การแพทย๑แผนไทย เภสัชกรรมแผน ไทย การนวดไทย สมุนไพร และเทคโนโลยีพ้ืนบ๎าน เพ่ือใช๎ประโยชน๑ในการแก๎ไขป๓ญหา สุขภาพของชุมชน 2. สนับสนุนและสํงเสริมการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง โดยใช๎ สมุนไพร การแพทย๑พ้ืนบ๎าน การ นวดไทย ในระดบั บุคคล ครอบครัว และชุมชน ใหเ๎ ป็นไปอยํางถูกต๎องเป็นระบบสามารถปรับประสานการดูแล สุขภาพแผนป๓จจุบันได๎ อาจกลําวได๎วําสมุนไพรสาหรับสาธารณสุขมูลฐานคือสมุนไพรท่ีใช๎ในการสํงเสริม สขุ ภาพและการรกั ษาโรค/อาการเจ็บปุวยเบื้องต๎น เพ่อื ใหป๎ ระชาชนสามารถพึง่ ตนเองได๎มากขึ้น จากบทสัมภาษณ๑ นางตา ดวงแก๎ว ซึ่งมีภูมิลาเนาเดิมอยูํที่จังหวัดหนองบัวลาภู และได๎ย๎ายถ่ินฐาน ตามสามมี าอยทํู ี่ อาเภอวังน้าเยน็ จังหวัดสระแก๎ว และได๎สร๎างครอบครัวด๎วยกันและดารงชวี ิตตามแนววถิ ี แบบพอเพียง ปลูกผักริมรั้วไว๎รับประทาน และภายในบริเวณรอบบ๎านได๎ปลูกพืชผักสวนครัว เชํน ขํา ตะไคร๎ มะกรูด มะนาว มะพร๎าว กระเพรา โหระพา มะละกอ กล๎วย วํานหางจระเข๎ สะเดา ข้ีเหล็ก เสาวรส กระเจี๊ยบ เป็นต๎น และนามาปรุงอาหารรับประทานเองตามวิถีชาวบ๎านท่ัวไป คุณยายบอกวํา “ต้ังแตํยายสาวๆ จนอายุถึงขนาดนี้ยายไมํเคยไปหาหมอเลย” ซึ่งแสดงให๎เห็นวําคุณยายมีสุขภาพรํางกายท่ี แข็งแรงและมีสุขภาพจิตดี สังเกตจากการที่ได๎พูดคุยด๎วย จึงเป็นที่มาของการทาภูมิป๓ญญาในเร่ืองของ สมนุ ไพรทิพย๑(นา้ กระเจย๊ี บแดง)
1. ประวตั แิ ละความเป็นมาของสมุนไพรทพิ ย์ (กระเจีย๊ บแดง) รูปท่ี 1 ดอกกระเจ๊ยี บและน้ากระเจ๊ยี บ (ทม่ี า:https://sites.google.com/site/mhascrrysmunphirthai/srrphkhun-smunphir-thiy) กระเจี๊ยบแดง ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa Linn. จัดอยูํในวงศช๑ บา (MALVACEAE) ชื่อสามัญ : Rosella, Jamaican sorel, Roselle, Rozelle, Sorrel, Red sorrel, Kharkade, Karkade, Vinuela, Cabitutu ชอ่ื อื่น : กระเจย๊ี บกระเจี๊ยบเปรี้ยวผักเกง็ เคง็ ส๎มเก็งเคง็ ส๎มตะเลงเครง สมนุ ไพรกระเจย๊ี บแดง มีช่อื ท๎องถ่นิ อน่ื ๆ วํา ผกั เกง็ เค็ง, ส๎มเก็งเค็ง, ส๎มตะเลงเครง (ตาก), ใบส๎มมํา (ระนอง), แกงแคง (เชียงใหมํ), ส๎มปู (แมํฮํองสอน), แบลมีฉ่ี (กะเหรี่ยง-แมํฮํองสอน), แตํเพะฉําเหมาะ (กะเหร่ียงแดง), ปรํางจาบ๎ู (ปะหลํอง), กระเจี๊ยบ, ส๎มเก็ง ส๎มพอเหมาะ (ภาคเหนือ), ส๎มพอดี (ภาคอีสาน), กระเจี๊ยบแดง, กระเจีย๊ บเปรย้ี ว (ภาคกลาง), สม๎ พอ ส๎มพอเหมาะ เป็นต๎น มีถนิ่ กาเนดิ ในประเทศซูดาน อินเดีย มาเลเซีย และ ประเทศไทย โดยในประเทศไทยมีแหลํงผลิตที่สาคัญ ได๎แกํ จังหวัดลพบุรี สระบุรี อุตรดิตถ๑ กาญจนบุรี และ ฉะเชิงเทรา 2. ลักษณะของกระเจยี๊ บแดง ลักษณะทางพฤกษศาสตร๑ : ไม๎พุํม สูง 50-180 ซม. มีหลายพันธ๑ุ ลาต๎นสีมํวงแดง ใบเดี่ยว รูปฝุามือ 3 หรือ 5 แฉก กว๎างและยาวใกล๎เคียงกัน 8-15 ซม. ดอกเดี่ยว ออกท่ีซอกใบ กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลาง ดอกสมี วํ งแดง เกสรตวั ผเู๎ ชื่อมกันเป็นหลอด ผลเปน็ ผลแห๎ง แตกได๎ มกี ลีบเลี้ยงสแี ดงฉา่ น้าหุ๎มไว๎ 2.1. ต๎นต๎นกระเจ๊ียบแดง จัดเป็นไม๎พํุมมีความสูงประมาณ 50 - 180 เซนติเมตร มีอยํูหลาย สายพันธุ๑ ลาต๎นและกิ่งกา๎ นมีสีมวํ งแดง ขยายพันธ๑ดุ ว๎ ยวธิ ีการใช๎เมลด็ รูปท่ี 2 ลกั ษณะตน๎ กระเจ๊ียบ (ท่มี า : https://medthai. Com)
2.2. ใบกระเจี๊ยบแดง มใี บเป็นใบเดี่ยว ใบมีหลายลกั ษณะ ลกั ษณะคลา๎ ยรปู ฝุามือ 3 แฉก หรอื 5 แฉก ใบเว๎าลึกหรอื เรยี บ หรอื ใบเป็นรูปรแี หลม หรอื รปู เรียวแหลม ขอบใบมจี กั เป็นฟน๓ เลื่อย ใบมีความ กว๎างและความยาวใกล๎เคยี งกันประมาณ 8-15 เซนตเิ มตร และก๎านใบมคี วามยาวประมาณ 5 เซนติเมตร รปู ที่ 3 ลกั ษณะใบกระเจย๊ี บ (ทมี่ า : https://medthai. Com) 2.3. ดอกกระเจยี๊ บแดง ดอกเปน็ ดอกเด่ยี ว ออกดอกตามซอกใบ มกี ลีบดองสชี มพูหรือสี เหลอื ง บรเิ วณกลางดอกจะมีสเี ขม๎ กวาํ คือสีมํวงแดง ดอกมเี กสรตวั ผเู๎ ชือ่ มกันเป็นหลอด ก๎านดอกสัน้ มีรวิ้ ประดบั เรยี วยาวปลายแหลม มี 8 - 12 กลบี กลีบเลี้ยงจะแผํขยายติดกันออกหม๎ุ เมลด็ ไว๎ มสี แี ดงเข๎มและหัก งําย เมอ่ื ดอกบานเตม็ ทจี่ ะมเี ส๎นผํานศูนย๑กลางประมาณ 6 เซนตเิ มตร รปู ที่ 4 ลกั ษณะดอกกระเจ๊ยี บ (ที่มา : https://medthai. Com) รูปที่ 5 ลักษณะตาํ งๆ ของดอกกระเจ๊ียบ (ทมี่ า : https://medthai. Com)
2.4. ผลกระเจ๊ยี บแดง ลักษณะของผลเปน็ รูปรีมีปลายแหลม ผลมคี วามยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ผลอํอนมีสีเขียว ผลแกํจะแหง๎ แตกเป็น 5 แฉก ในผลมเี มล็ดสีน้าตาล ลักษณะคล๎ายรปู ไตอยจํู านวน มาก ประมาณ 30-35 เมล็ดตอํ ผล และผลยงั มกี ลีบเลยี้ งหนาสีแดงฉ่านา้ หม๎ุ อยํู เราจะเรยี กสํวนน้ีวาํ กลบี กระเจย๊ี บหรือกลบี รองดอก (Calyx) หรือที่คนทั่วไปเข๎าใจวาํ เปน็ ดอกกระเจ๊ยี บน่ันเอง รูปท่ี 6 ลักษณะผลกระเจีย๊ บ (ที่มา : https://medthai. Com) 3. สรรพคณุ ของกระเจ๊ยี บแดง 3.1 กลบี เลยี้ งของดอกหรือกลีบที่เหลอื ท่ีผล ใช๎เป็นยาลดไขมนั ในเส๎นเลอื ดและชํวยลด น้าหนกั โดยมีการทดลองกบั กระตํายทีม่ ไี ขมันสูง แลว๎ พบวําระดบั ไตรกลีเซอไรด๑ คอเลสเตอรอล และระดับ ไขมันเลว (LDL) ลดลง และมีปริมาณของไขมนั ชนิดดี (HDL) เพิ่มมากข้นึ นอกจากนค้ี วามรนุ แรงของการอุด ตนั หลอดเลือดแดงใหญํจากหัวใจกน็ อ๎ ยลงกวาํ กลุํมท่ีไมํไดร๎ ับสารสกดั กระเจ๊ยี บแดงอกี ดว๎ ย (ผล, เมล็ด, นา้ กระเจ๊ยี บแดง 3.2 ดอกกระเจ๊ียบแดงชวํ ยละลายไขมันในเสน๎ เลอื ด (ดอก) 3.3 เมล็ดใชเ๎ ปน็ ยาบารุงธาตุ บารงุ กาลัง (เมลด็ , นา้ กระเจีย๊ บแดง, ยอดและใบ) 3.4 ชวํ ยแก๎อาการอํอนเพลยี (ไมรํ ะบุสวํ นท่ีใช)๎ 3.5 ชํวยรักษาโรคเบาหวาน (ไมรํ ะบุสํวนท่ีใช)๎ 3.6 ชํวยลดความดนั โลหิต โดยไมํมีผลร๎ายแตํอยํางใด มรี ายงานการวจิ ยั ทางคลนิ ิกพบวาํ ใน วนั ที่ 12 หลังผูป๎ ุวยได๎รบั ชาชงกระเจีย๊ บแดงทุกวัน คําความดนั โลหิตเมื่อหัวใจบบี ตัวและคลายตัว
ลดลง 11.2% และ 10.7% ตามลาดับเมื่อเทยี บกบั วันแรก และ 3 วันหลังจากหยดุ ดมื่ ชาชง ความความดัน โลหิตทงั้ สองคําก็เพ่ิมขึน้ อยํางมีนยั สาคญั ทางสถิติ (น้ากระเจีย๊ บแดง) 3.7 เมลด็ ชํวยบารงุ โลหติ (เมลด็ ) 3.8 ชํวยแก๎เส๎นเลอื ดตีบตนั ชวํ ยรักษาเส๎นเลือดให๎แขง็ แรงและอํอนนิ่มยดื หยนุํ ไดด๎ ี 3.9 นา้ กระเจ๊ยี บชํวยทาให๎ความเหนียวขน๎ ของเลอื ดลดลง (นา้ กระเจ๊ียบแดง) 3.10 ดอกกระเจี๊ยบแดงชวํ ยรกั ษาโรคเสน๎ เลือดแขง็ เปราะได๎เปน็ อยํางดี (น้ากระเจีย๊ บแดง) 3.11 ในอยี ิปต๑มกี ารใชท๎ ้ังต๎นของกระเจี๊ยบแดงมาต๎มกินเพ่ือเปน็ ยารกั ษาโรคหวั ใจและโรค ประสาท (ทั้งต๎น) 3.12 ชํวยแก๎อาการคอแหง๎ กระหายน้า (นา้ กระเจย๊ี บแดง, ผล) 3.13 น้ากระเจ๊ียบชํวยแกอ๎ าการร๎อนใน (น้ากระเจี๊ยบแดง) 3.14 ชวํ ยลดอณุ หภมู ใิ นรํางกาย (ไมํระบุสํวนทใ่ี ช๎) 3.15 ชวํ ยเสริมสร๎างภูมคิ ๎ุมกนั ใหแ๎ ข็งแรง ชํวยปูองกนั หวดั เนือ่ งจากกระเจีย๊ บแดงมสี ารแอน โทไซยานนิ (Anthocyanin) ซึ่งเปน็ สารสีแดงในกลมํุ เดียวกบั ทีพ่ บในผลไม๎อยาํ งบลูเบอรร๑ ี แตกํ ระเจย๊ี บแดงจะ มีสารชนดิ น้ีมากกวาํ บลเู บอรร๑ ีถงึ 50% 3.16 ชวํ ยลดไข๎ (น้ากระเจ๊ียบแดง) 3.17 ดอกกระเจี๊ยบแดงชวํ ยแก๎อาการไอ (น้ากระเจี๊ยบแดง, ดอก) 3.18 ใบใช๎เป็นยากดั เสมหะ ขับเมือกมันในลาคอให๎ลงสูํทวารหนัก (ใบ, ดอก) 3.19 ชวํ ยรกั ษาและปอู งกนั โรคเลือดออกตามไรฟ๓น เนอ่ื งจากมวี ิตามินซีในปรมิ าณที่สูงอยูํ พอสมควร (น้ากระเจ๊ียบ) 3.20 ชํวยในการยํอยอาหาร ใช๎เป็นยาระบาย ชํวยหลอํ ลืน่ ลาไส๎ ทาให๎อุจจาระนมิ่ ข้ึน (น้า กระเจีย๊ บ, เมล็ด, ยอดและใบ) 3.21 ในอยี ิปต๑มีการใช๎ท้ังต๎นนามาต๎มกินเป็นยาลดนา้ หนัก เนอื่ งจากเปน็ ยาระบายและยัง ชวํ ยฆําเชอ้ื ในลาไสไ๎ ด๎อีกดว๎ ย (ท้ังต๎น) 3.22 ชํวยรักษาโรคกระเพาะและลาไส๎อักเสบ ดว๎ ยการใชผ๎ ลแห๎งนามาบดเป็นผง ใช๎ รับประทานครั้งละ 1 ช๎อนโตะ๏ แลว๎ ดมื่ นา้ ตาม วันละ 3-4 ครง้ั (ผล) 3.23ชํวยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ปูองกนั การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร (ผล) 3.24 ใบกระเจ๊ยี บแดงมีสรรพคณุ ชวํ ยแกโ๎ รคพยาธิตัวจีด๊ หรือจะใชผ๎ ลอํอนนามาตม๎ รับประทานติดตอํ กัน 5 - 8 วัน หรือจะใชผ๎ สมในตารับยารํวมกบั สมนุ ไพรชนิดอน่ื ๆ หรือจะใชท๎ ั้งต๎นใสํหม๎อตม๎ กบั นา้ 3 สํวน เคย่ี วไฟจนงวดใหเ๎ หลือ 1 สํวน แลว๎ ผสมกบั นา้ ผ้ึงกง่ึ หนง่ึ ใช๎รับประทานวนั ละ 3 เวลา หรือจะ รับประทานนา้ ยาเปลํา ๆ ก็ได๎จนหมดน้ายา (ใบ, ผล, ทงั้ ตน๎ ) 3.25 น้ากระเจ๊ยี บมีฤทธิ์ชํวยขบั ปส๓ สาวะ เปน็ การชํวยลดความดนั ได๎อกี ทางหนงึ่ โดยมี รายงานวจิ ยั ทางคลนิ กิ วํา เมื่อใหผ๎ ป๎ู ุวยดืม่ ผงกระเจ๊ียบขนาด 3 กรมั ชงกบั น้าเดือด 1 ถ๎วย ด่มื วันละ 3 คร้ัง นาน 7 วนั พบวาํ ได๎ผลดีในการขับป๓สสาวะ (นา้ กระเจ๊ียบแดง, เมลด็ , ยอดและใบ) 3.26 ชํวยรักษาโรคทางเดินป๓สสาวะ นิ่วในไต แก๎โรคน่ิวในกระเพาะป๓สสาวะ ยับย้ังเช้ือ แบคทีเรียในทางเดินป๓สสาวะ ลดอาการกระเพาะป๓สสาวะอักเสบ มีอาการปวดแสบ โดยใช๎กระเจ๊ียบแห๎งบด เปน็ ผงประมาณ 3 กรัม นามาชงกบั นา้ เดือด 1 ถ๎วย ใช๎ด่มื วันละ 3 คร้งั ประมาณ 7 วัน หรือจนกวําจะหาย ซ่ึง จากรายงานการวิจัยพบวําผู๎ปุวยที่ดื่มน้ากระเจ๊ียบแดงขนาด 3 กรัม ชงกับน้าเดือด 1 แก๎ว ด่ืมวันละ 3 ครั้ง
เป็นระยะเวลา 1 ปี พบวําผู๎ปุวยกวํา 80% มีป๓สสาวะท่ีใสขึ้นกวําเดิม และยังพบวําป๓สสาวะมีความเป็นกรด มากขน้ึ จึงชวํ ยในการฆําเช้ือในทางเดินป๓สสาวะได๎เป็นอยาํ งดี (น้ากระเจ๊ียบแดง, เมล็ด) 3.27 ชวํ ยแก๎อาการขัดเบา โดยใช๎กลบี เลยี้ งของผลหรอื กลบี รองดอกสีมวํ งแดง นามาตากแห๎ง แล๎วบดให๎เป็นผง นามาใช๎ครงั้ ละ 1 ช๎อนชา (ประมาณ 3 กรัม) ใชช๎ งกบั น้าเดือด 1 ถ๎วย (ประมาณ 250 มิลลลิ ิตร) แล๎วนามาเฉพาะน้าสแี ดงใส วันละ 3 ครงั้ ด่ืมตดิ ตํอกนั ทกุ วันจนกวําอาการจะดีขึ้นและหายไป (นา้ กระเจ๊ยี บแดง) 3.28 ชวํ ยปอู งกันโรคตํอมลกู หมากโต (น้ากระเจี๊ยบแดง) 3.29 ชวํ ยเพิ่มการหล่งั นา้ ดีจากตบั และชวํ ยปอู งกันไมใํ ห๎ตับถูกทาลาย (น้ากระเจยี๊ บแดง, เมล็ด) 3.30 ดอกกระเจยี๊ บแดงชํวยรักษาไตพกิ าร (นา้ กระเจ๊ียบแดง) 3.31 เมล็ดชํวยแกด๎ พี ิการ (เมลด็ ) 3.32 กระเจีย๊ บแดงมีฤทธ์ติ ๎านการเกดิ พษิ ตํอตบั และชวํ ยปอู งกนั ตบั จากการถูกทาลายจาก สารพษิ โดยมงี านวจิ ยั ในสตั ว๑ทดลองพบวาํ สารสกัดด๎วยน้า (Anthocyanins) และสาร Protocatechuic Acid ของกระเจ๊ียบแดง สามารถ3.33ชํวยลดความเปน็ พิษตํอตบั จากสารพิษได๎หลายชนิด (นา้ กระเจยี๊ บแดง) 3.34 ใบใช๎ตาพอกฝหี รือใช๎ตม๎ นา้ เพ่ือใช๎ลา๎ งแผลได๎ (ใบ) 3.35 ข๎อมูลทางเภสชั วทิ ยาของกระเจยี๊ บแดง ชํวยลดอาการบวม ชํวยฆาํ เช้ือแบคทเี รยี ยับยั้ง เช้ือราอะฟลาท็อกซนิ ไวรัสเริม ยับยั้งเนอ้ื งอก ชํวยขับกรดยูรกิ คลา๎ ยกลา๎ มเน้ือเรียบ และลดความเจ็บปวด 3.36 สารสกัดจากลบี ดอกของกระเจย๊ี บแดงมีฤทธิ์คล๎ายฮอร๑โมนเอสโตรเจนในเพศหญงิ จึง เชือ่ วํานําจะเป็นประโยชนต๑ อํ สตรีวัยทองไมํมากกน็ ๎อย (กลีบดอก) 3.37 ชํวยปูองกันการเกดิ โรคมะเร็ง โดยสารแอนโทไซยานินจากกระเจย๊ี บมฤี ทธ์ิชํวยยับยง้ั ออกซิเดชันของไขมันเลส และยบั ยัง้ การตายของมาโครฟาจ โดยมีสาร Dp3-Sam ซงึ่ เป็นแอนโทไซยานินชนิด หนึง่ ท่ีมีฤทธ์ิชวํ ยกาจดั เซลล๑มะเร็งเม็ดเลือดขาวในห๎องทดลองได๎ จึงมีผลในการชวํ ยปอู งกันการเกิดโรคมะเร็ง และอาจชํวยชะลอการลกุ ลามของมะเร็งบางชนดิ ได๎ (น้ากระเจยี๊ บแดง) 4. คณุ ค่าทางโภชนาการของกระเจยี๊ บแดง (กลีบดอก) ต่อ 100 กรัม รูปท่ี 7 กระเจยี๊ บที่แกํสามารถนามาตม๎ ได๎ (ทีม่ า : https://medthai. Com)
4.1 พลงั งาน 49 กโิ ลแคลอรี 4.2 คาร๑โบไฮเดรต 11.31 กรัม 4.3 ไขมัน 0.64 กรมั 4.4 โปรตนี 0.96 กรัม 4.5 วติ ามินเอ 14 ไมโครกรัม 2% 4.6 วติ ามนิ บี 1 0.011 มลิ ลิกรมั 1% 4.7 วิตามนิ บี 2 0.028 มลิ ลกิ รมั 2% 4.8 วิตามนิ บี 3 0.31 มลิ ลิกรัม 2% 4.9 วิตามินซี 12 มิลลกิ รมั 14% 4.10 ธาตแุ คลเซียม 215 มลิ ลกิ รมั 22% 4.11 ธาตเุ หล็ก 1.48 มิลลกิ รัม 11% 4.12 ธาตแุ มกนีเซียม 51 มิลลกิ รัม 14% 4.13 ธาตฟุ อสฟอรัส 37 มิลลกิ รมั 5% 4.14 ธาตโุ พแทสเซียม 208 มิลลิกรมั 4% 4.15 ธาตโุ ซเดยี ม 6 มลิ ลกิ รัม 0% 4.16 % รอ๎ ยละของปริมาณแนะนาทีร่ าํ งกายต๎องการในแตํละวนั สาหรบั ผใู๎ หญํ (ขอ๎ มูลจาก: USDA Nutrient database) 5. ประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดง รปู ท่ี 8 กระเจ๊ยี บและน้ากระเจย๊ี บ (ที่มา : https://health.kapook.com/view78814.html) 5.1 กระเจ๊ยี บมสี ารแอนโทไซยานนิ (Anthocyanin) และสารโพลีฟนี อล ซง่ึ ได๎แกํ Protocatechuic Acid ท่ีมฤี ทธติ์ ํอตา๎ นอนุมลู อิสระ ชํวยปูองกนั โรคมะเรง็ ชํวยชะลอความแกํ และชวํ ยให๎เสน๎ เลือดอํอนนม่ิ ได๎
5.2 กระเจย๊ี บใชท๎ าเปน็ นา้ ดืม่ ท่ชี ํวยทาใหร๎ าํ งกายสดช่นื เน่ืองจากมกี รดซิตริกอยํดู ว๎ ย 5.3 ใบอํอนของกระเจีย๊ บใชร๎ ับประทานเป็นผกั ได๎ หรือจะนามาใช๎ทาแกงสม๎ ก็ได๎ ใหร๎ สเปรี้ยวกาลงั ดี และยังมวี ิตามินเอสูง (12,583 I.U. ตอํ 100 กรมั ) ทชี่ วํ ยบารุงสายตาอีกด๎วย 5.4 กลบี เลี้ยงผลและกลบี ดอกอดุ มไปดว๎ ยแคลเซยี มทีช่ ํวยบารงุ กระดูกและฟน๓ ให๎แข็งแรง 5.5 กระเจีย๊ บแดงจัดเปน็ พืชสํงออกโดยนาไปใชเ๎ ป็นสํวนผสมสาคญั สาหรบั Herbal tea และใชใ๎ น อตุ สาหกรรมอาหาร ใชบ๎ รโิ ภคภายในประเทศ ใชท๎ าเป็นผลิตภัณฑ๑ได๎อยํางหลากหลาย เชํน ผลติ ภณั ฑ๑ชา ชง กระเจีย๊ บแดงอบแห้ง กระเจ๊ียบแดงแคปซูล เครอื่ งดมื่ ตําง ๆ ใชใ๎ นอตุ สาหกรรมสีผสมอาหาร หรอื ใช๎ใน อุตสาหกรรมอาหาร ไดแ๎ กํ แยม เยลลี่ เบเกอรี ไอศกรีม ไวน๑ นา้ หวาน ซอส เปน็ ตน๎ รวมไปถงึ ในอตุ สาหกรรม เครือ่ งสาอาง เชนํ โลชนั ครีมกระเจย๊ี บแดง เจลอาบน้า ครีมขัดผวิ เป็นตน๎ 5.6 นา้ ตม๎ ของดอกแห๎งจะมีกรดผลไมห๎ รอื AHA อยหูํ ลายชนิดในปริมาณสูง จึงมีการนามาผลติ เปน็ เคร่ืองสาอางประเภทครีมหน๎าใสเมนดู อกกระเจี๊ยบแดง เชนํ แกงส๎มดอกกระเจี๊ยบ ยาดอกกระเจยี๊ บ แยม ดอกกระเจ๊ยี บ ดอกกระเจย๊ี บแชํอิม่ กระเจย๊ี บกวน ชากระเจ๊ียบแดง น้ากระเจยี๊ บแดง เปน็ ต๎น 5.7 ในแอฟริกาใต๎มีการใช๎น้ามนั จากเมล็ดเป็นยารกั ษาแผลให๎อูฐ 5.8 นอกจากน้ีลาตน๎ ของกระเจีย๊ บแดงยงั สามารถนามาทาเปน็ เชอื กปอได๎อกี ด๎วย 5. โทษของกระเจยี๊ บแดง 1. กระเจย๊ี บแดงอาจทาให๎เกดิ อาการท๎องเสียไดใ๎ นผปู๎ วุ ยบางราย เพราะมฤี ทธ์เิ ป็นยาระบาย 2. นา้ กระเจย๊ี บมีฤทธเ์ิ ป็นยาขบั ปส๓ สาวะ แม๎วาํ จะมีความเป็นพิษต่ามาก แตํก็ไมํควรดมื่ ในปรมิ าณ เข๎มขน๎ และติดตํอกันนาน ๆ เพราะจะไมํเกดิ ผลดตี ํอสุขภาพ 6. ข้อควรระวังของกระเจยี๊ บแดง โทษและความเป็นพิษของกระเจ๊ยี บแดงก็มเี หมือนกนั นะคะ โดยจากการศกึ ษาพบวํา สารสกดั ดอก กระเจ๊ยี บแดงในปริมาณที่มากเกนิ ไปมผี ลตํอการสร๎างอสุจิและจานวนอสจุ ทิ ีล่ ดลง จงึ ไมํควรกนิ กระเจ๊ยี บแดง ในปรมิ าณมาก หรือติดตอํ กนั เปน็ ระยะเวลานานเกินไป นอกจากนี้ ผูป๎ วุ ยท่มี ีการทางานของไตบกพรํองก็ไมํควรทานกระเจ๊ียบแดง รวมทงั้ สตรมี ีครรภ๑และสตรี ใหน๎ มบตุ ร ควรหลกี เลยี่ งการกนิ กระเจ๊ียบแดงตดิ ตอํ กันเป็นเวลานานเชํนกนั คํะ เพราะผลการศกึ ษาในหนู ทดลองพบวาํ อาจทาใหล๎ กู หนเู ข๎าสํูวัยเจรญิ พนั ธชุ๑ า๎ ลง สํวนกระเจย๊ี บแดงทีถ่ ูกใชม๎ ากทส่ี ุดกเ็ ป็นกลบี เลย้ี งหรือทหี่ ลายคนเข๎าใจวาํ เปน็ สํวนดอกของกระเจ๊ียบ นั่นเองคํะ และนอกจากทาน้ากระเจย๊ี บดื่มแก๎กระหายแลว๎ เรายังสามารถนายอดและใบออํ นของกระเจย๊ี บมา ปรุงอาหาร หรอื ค้ันเอาสีแดงของกลีบดอกมาแตงํ สีอาหารได๎ด๎วยนะคะ
ขนั้ ตอนการทา้ นา้ สมนุ ไพรทพิ ย์ กระเจ๊ยี บแดง 1. การทา้ น้าสมนุ ไพรทิพย์ น้ากระเจ๊ยี บแดง 1.1 วัสดอุ ปุ กรณ๑ - ดอกกระเจ๊ียบแดงแห๎ง 1 กามอื - นา้ 1-1.5 ลิตร - นา้ ตาลทราย 1/2 ถว๎ ย - เกลอื ปุน 1 ชอ๎ นชา 1.2 วิธีทา - นาดอกกระเจ๊ยี บมาแกะเอาเมลด็ ออก - ลา๎ งดอกกระเจี๊ยบแดงแห๎งในน้าสะอาดเอาเศษฝุนออก (อยาํ แชํน้านานเพราะจะทาให๎เสีย รสชาตแิ ละคุณคําทางอาหาร) - ต๎มนา้ จนเดอื ดแล๎วใสํกระเจี๊ยบลงไปต๎มเค่ียวจนน้าเร่มิ เปลี่ยนสีเติมเกลือปุนและน้าตาล ทรายลงไปคนผสมให๎ละลาย (ชิมรสตามต๎องการ) - ยกลงกรองเอากากออกพักไว๎จนเยน็ เทใสํแกว๎ เตมิ นา้ แข็งพร๎อมดื่มหรือเทเกบ็ ใสํขวดแชํเยน็ เกบ็ ไวด๎ ม่ื รูปที่ 9 นา้ กระเจี๊ยบ (ที่มา : https://health.kapook.com/view78814.html)
2 วิธีท้าน้ากระเจ๊ยี บแดงพุทราจีน 2.1 วสั ดุอปุ กรณ๑ - ดอกกระเจ๊ยี บแดงแหง๎ 1 กามอื - พุทราจนี 1 กามือ - น้า2ลติ ร - น้าตาลทราย 1/2 ถว๎ ย - เกลือปุน 1 ชอ๎ นชา 2.2 วิธที า - นาดอกกระเจ๊ยี บมาแกะเอาเมล็ดออก - ลา๎ งดอกกระเจี๊ยบแดงแหง๎ และพุทราจนี ในน้าสะอาดเอาเศษฝุนออก (อยาํ แชํน้านานเพราะ จะทาใหเ๎ สยี รสชาติและคุณคําทางอาหาร) - บบี พทุ ราจีนใหแ๎ ตกใหร๎ วมกันลงในภาชนะแลว๎ เตมิ น้าเปลํา2 ลติ ร - ต๎มใหเ๎ ดอื ดสักพักแลว๎ ยกลงกรองเอาเน้ือออกให๎เหลือแตํนา้ - เตมิ น้าตาลเพื่อปรุงรสหรือจะใช๎ใบหญ๎าหวานหรือลาไยตากแห๎งแทนกไ็ ด๎เพราะจะได๎ความ หจากธรรมชาติทไ่ี มํทาใหน๎ า้ ตาลในเลือดสูงหรือไมํต๎องใสํเลยกไ็ ด๎เมื่อไดร๎ สตามชอบใจแล๎วกใ็ หน๎ ามาเก็บใสํขวด แล๎วแชไํ วใ๎ นตเ๎ู ย็นเอาไวด๎ มื่ หมายเหตุ : ที่ใสํพทุ ราผสมลงไปน้นั เป็นเพราะวําการต๎มกระเจีย๊ บแดงกนิ แบบเดีย่ วๆเป็นระยะเวลานานๆ อาจจะทาใหไ๎ ตเสอ่ื มไดจ๎ งึ ต๎องมพี ทุ ราจีนตากแห๎งผสมลงไปด๎วยเพือ่ เปน็ ตวั แกแ๎ ละเป็นตัวชํวยบารงุ ไตไปด๎วยใน ตวั รปู ท่ี 10 น้ากระเจ๊ียบ (ทม่ี า : https://medthai. Com)
3. วิธีทา้ ชากระเจ๊ียบแดง 2.1 วัสดุอุปกรณ์ - ดอกกระเจย๊ี บแดงแห๎ง 1 กามอื - มะนาวหรือเลมํอนฝานเป็นช้นิ เลก็ ๆ1-2ชิ้น - นา้ ตาลทราย 1/2 ถ๎วย (หรอื ไมํใสํก็ไดต๎ ามชอบ) 2.2 วิธที า้ - นาดอกกระเจย๊ี บมาแกะเอาเมล็ดออก - ลา๎ งดอกกระเจี๊ยบแดงแห๎งเอาเศษฝุนออก (อยาํ แชนํ า้ นานเพราะจะทาให๎เสยี คณุ คําทางอาหาร) - สับดอกกระเจี๊ยบแดงเป็นช้ินเลก็ ๆ คั่วในกระทะจนแห๎งกรอบเตรยี มไว๎ - เวลาดมื่ ให๎ใสลํ งในแกว๎ เทน้ารอ๎ นใสํลงไป ชงดื่มเปน็ ชา (หรอื นาไปใสํในกาสาหรบั ชงชา) แชํทิง้ ไว๎ สกั ครํู บีบนา้ มะนาว หรือฝานชิ้นเลมอนลงไปเพ่ือเพ่มิ รสชาติ หากต๎องการความหวานก็เติมน้าตาลทรายลงไป ตามความชอบ หมายเหตุ: ดอกกระเจ๊ียบแดงคั่วที่เหลอื ใหเ๎ ก็บใสํภาชนะทม่ี ีฝาปิดมิดชดิ สามารถเก็บไวช๎ งดม่ื ได๎เปน็ เดือน เพยี ง นามาคว่ั ใหร๎ อ๎ นอีกครงั้ กํอนชงดืม่ รปู ที่ 11 น้าชากระเจ๊ยี บ (ท่ีมา : https://cooking.kapook.com/view69836.html)
ความรดู้ า้ นสมุนไพรพนื้ บ้านชนิดต่าง ๆ 1. ตะไคร้ (Lemongrass)ชื่อวทิ ยาศาสตรข์ องตะไคร้ คอื Cymbopogoncitratus(DC.)Stapf สมุนไพร นิยมนามาประกอบอาหาร สรรพคุณของคะไคร๎ ยาบารุงธาตุ ชวํ ยในการเจรญิ อาหาร ขบั สารพิษใน รํางกาย ลดไข๎ ลดความดนั บรรเทาอาหารปวด แก๎อาเจยี น ขับป๓สสาวะ รกั ษานวิ่ รักษาโรคผวิ หนงั ชวํ ยขบั ลม ในลาไส๎ แก๎โรคหดื แกอ๎ หวิ าตกโรค บารุงสมอง บารงุ ผวิ บารงุ ระบบประสาท เปน็ ต๎นตะไคร๎ สมุนไพรพชื สมนุ ไพร สมุนไพรไทย รูปที่ 12 ตะไคร๎ 2. ขมนิ้ ( Turmaric ) ช่ือวิทยาศาสตรข์ องขมน้ิ คือ Curcuma longa Linn สมุนไพร สรรพคณุ ของขมนิ้ ชํวยแก๎ท๎องอดื ท๎องเฟูอ ขับลม ปอู งกันมะเร็ง รกั ษาโรคกระเพาะ รักษาลาไส๎อักเสบ รักษาโรค ผวิ หนัง ลดไขมนั ในเลอื ด เป็นยาฆาํ เชือ้ แบคทีเรีย ยาฆําเช้ือรา รักษาฝี รักษาแผลไฟไหม๎ บารงุ ตับชํวยยํอย อาหาร ลดไขมันในตบั ขมิน้ เปน็ พชื ที่ปลูกงาํ ย ลักษณะเหมือขงิ รปู ที่ 13 ขมิน้
3. ขา่ ( Galanga ) ชอ่ื วิทยาศาสตร์ของข่า คือ Alpiniagalanga (L.) Willd.สมุนไพร พชื ตระกูล กระชายนยิ มนามาทาอาหาร คณุ คาํ ทางโภชนาการของขํา ประโยชนข๑ องขํา สรรพคุณของขํา ชํวยดบั คาว ชํวย ลดนา้ ตาลในเลอื ด ชวํ ยปอู งกันมะเร็ง ชวํ ยชวํ ยรักษาหลอดลมอกั เสบ ชวํ ยขบั เสมหะ ชํวยแก๎คลนื่ ไส๎ อาเจยี น แก๎ทอ๎ งอดื ทอ๎ งเฟูอ ชํวยขบั ลม ตน๎ ขําเปน็ อยํางไร รปู ที่ 14 ขาํ 4. ว่านหางจระเข้ (Aloe)ชื่อทางวทิ ยาศาสตร์ของวา่ นหางจระเข้ คอื Aloe barbadenisi Mill. ชื่ออ่นื ๆของวํานหางจระเข๎ เชํน วาํ นไฟไหม๎ หางตะเข๎ สมุนไพร สรรพคณุ ของวาํ นหางจระเข๎ รักษาแผล บารงุ ผวิ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร และ บารุงเส๎นผม วาํ นหางจระเข๎ นิยมนามาใช๎เปน็ วตั ถดุ ิบในการทา เครอ่ื งสาอางสาหรับบารงุ ผวิ รปู ท่ี 15 วํานหางจระเข๎
5. ขงิ ( Ginger ) ชอื่ วิทยาศาสตรข์ องขิง คอื zingiberoffcinale Roscoe สมุนไพรไทย นิยมนา เหง๎าขิงมาทาอาหาร ประโยชน๑ของขิง สรรพคุณของขิง ชวํ ยขบั เหง่ือ ไลคํ วามเยน็ แกท๎ ๎องอืด ท๎องเฟอู ชํวยให๎ เจริญอาหาร แกน๎ วิ่ บารงุ ธาตุไฟ ชวํ ยยอํ ยอาหาร ฆาํ พยาธิ แก๎บดิ แก๎อาเจยี น รกั ษาไข๎หวัด ลดไข๎ ขับลม ในกระเพาะอาหาร ขงิ เปน็ พืชเศรษฐกจิ ท่ีมีความต๎องการของตลาดสงู มากชวํ ยให๎เจรญิ อาหาร แก๎นิ่ว บารงุ ธาตไุ ฟ ชวํ ยยอํ ยอาหาร ฆาํ พยาธิ แกบ๎ ดิ แก๎อาเจียน รกั ษาไขห๎ วัด ลดไข๎ ขบั ลมในกระเพาะอาหาร แก๎ปวด ประจาเดือน รักษาแผล แกป๎ วดฟ๓น ลดไขมันในเสน๎ เลอื ด บารุงเลอื ด ลดกรดในกระเพาะอาหาร ปูองกนั ฟ๓นผุ ขงิ เปน็ พชื เศรษฐกจิ ทีม่ ีความตอ๎ งการของตลาดสงู มาก นิยมนามาทาเปน็ วัตถดุ บิ ประกอบอาหาร ใช๎ใน อุตสาหกรรมความงาม อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป รปู ท่ี 16 ขิง 6. กระเพรา (Sacred Basil) ช่อื วิทยาศาสตรข์ องกระเพรา คอื Ocimum sanctum, Linn. ผกั สวนครวั สมนุ ไพร สรรพคุณของกระเพราแกท๎ ๎องอดื แก๎ท๎องเฟูอ ชวํ ยขับลม รกั ษาโรคผวิ หนงั ไลํแมลง แก๎ ไอ ขบั เสมหะ คุณคาํ ทางโภชนาการของกระเพรา กระเพรา ถือเป็นผกั สวนครัวที่ได๎รับความนิยมมาก เน่อื งจากเปน็ ผักที่มกี ลิ่นหอมหอม และให๎รสเผ็ด จงึ นยิ มนามาทาอาหาร เมนผู ดั กระเพรา รปู ท่ี 17 กระเพรา
7. สะเดา ( Siameseneem tree ) ชอ่ื วิทยาศาสตร์ของสะเดา คือ Azadirachtaindica A. Juss. Var. siamensisVeleton.สะเดา เป็นผกั พื้นบา๎ น สมุนไพร มีรสขม สรรพคณุ ของสะเดา ชํวยดูแล ชอํ ง ปาก ดแู ลเหงอื กและฟ๓นชวํ ยยาถํายพยาธิ รกั ษาโรคผวิ หนงั ลดความดนั โลหติ ลดไข๎ ไลํแมลง แก๎อํอนเพลยี ชวํ ยเจริญอาหาร สมุนไพรรสขม ประโยชน๑ของสะเดา เปน็ ยาดีท่ีควรมไี วใ๎ กล๎ตัว รปู ท่ี 18 สะเดา 8. ข้ีเหล็กเทศ ( Coffeasenna ) ชือ่ วิทยาศาสตรข์ องข้ีเหลก็ เทศ คอื Sennaoccidentalis (L.) Link พืชตระกูลถ่วั สมนุ ไพร ประโยชนข๑ องขี้เหล็กเทศ สรรพคุณของข้เี หลก็ เทศ บารุงรํางกาย รักษาแผลในหู เปน็ ยาเยน็ แก๎ไขม๎ าลาเรยี ขับป๓สสาวะ รกั ษาโรคทางเดินป๓สสาวะและน่ิว รกั ษาโรคหนองใน ลดความดันโลหติ ลักษณะของตน๎ ขี้เหลก็ เทศ รปู ที่ 19 ขเ้ี หล็กเทศ
9. ตน๎ ผกั โขม ( Amaranth ) ชือ่ วิทยาศาสตร๑ของผักโขม คือ Amaranthusblitum subsp. oleraceus (L.) Costea สมนุ ไพร พืชสวนครัว นยิ มรับประทานเปน็ ผักสด สรรพคุณของผกั โขม เชํน ชวํ ยขบั ปส๓ สาวะ ขบั สารพษิ ในรํางกาย บารุงสายตา ปูองกันมะเรง็ รักษาโรคผวิ หนงั บารงุ ผวิ ลดไขมันในเลือด ลดไข๎ แกไ๎ อ ขับเสมหะบารงุ เลือด เบตา๎ แคโรทนี สารต๎านอนุมูลอิสระ ชวํ ยปอู งกันมะเร็ง ปอู งกันโรคเลอื ดออกตาม ไรฟน๓ รูปท่ี 20 ผกั โขม 10. มะระ ภาษาอังกฤษ เรียก Bitter melon ช่ือทยาศาสตร์ วา่ Momordicacharantia L สมุนไพร ผกั สวนครวั สรรพคุณของมะระ ชํวยปูองกนั มะเร็ง ชวํ ยเจรญิ อาหาร บารงุ ดวงตา บารงุ กระดกู แก๎กระหายน้า รกั ษาเบาหวาน บารุงเลือด ชวํ ยขับสารพษิ แกห๎ วัด ลดไข๎ ขบั เสมหะ เป็นยาระบายอํอนๆ ขบั พยาธิ รักษาผิวหนัง รักษาสิว บารุงน้าดี ชวํ ยสมานแผล ท๎องอดื ท๎องเฟูอ ขับลม ช่ืออ่นื ของมะระ เชนํ ผกั ไซ ผักสะไลมะไหํ ผกั ไหํ รูปที่ 21 มะระ
11. กล้วยน้าวา้ ( Cavendish banana ) ช่ือวทิ ยาศาสตรข์ องกล้วยน้าวา้ คือ Musa sapientum Linn.ผลไม๎พชื เศษฐกจิ สรรพคุณของกล๎วยน้าวา๎ ชํวยสมานแผลยาระบายรักษาเบาหวานรกั ษา โรคกระเพาะลาไสอ๎ ักเสบแก๎ท๎องเสียท๎องรํวงสมนุ ไพรพืชสารพัดประโยชนป๑ ลกู งาํ ยสามารถใชป๎ ระโยชน๑ได๎ทุก สํวนตามบ๎านเรอื นของไทย จึงพบเหน็ การปลูกกลว๎ ยอยํูมากมาย รปู ท่ี 22 กลว๎ ย 12. มะนาว ( Lime ) ชื่อวิทยาศาสตร์ของมะนาว คือ Citrus aurantiifolia (Christm) สมนุ ไพร คูคํ รัวไทยมีรสเปรี้ยว นิยมนามาปรงุ รส สรรพคณุ ของมะนาว ชํวยบรรเทาอาการปวดศรี ษะ ชวํ ยแกอ๎ าเจียน ชวํ ยรักษาสมดลุ โรคความดันโลหติ ชํวยเจรญิ อาหาร แกโ๎ รคตาแดง แก๎ไข๎ บารุงเลอื ด รักษาโรคเลือดออกตาม ไรฟ๓น ชํวยขับเสมหะ ชวํ ยแก๎ไอ ชวํ ยบรรเทาอาการเสยี บแหบแหง๎ บารงุ เหงือก ชวํ ยรักษาทอ๎ งอดื ท๎องเฟูอ แก๎ อาการท๎องรํวง ชํวยการขบั พยาธิไสเ๎ ดอื น เปน็ ยาระบายอํอนๆ ชํวยรกั ษาโรคกระเพาะ แก๎อาการบดิ ชํวยขับ ปส๓ สาวะ รกั ษาโรคน่วิ ชวํ ยบารงุ โลหติ รักษาโรคผวิ หนัง ใช๎รักษาแผลไฟไหม๎ นา้ ร๎อนลวก รปู ท่ี 23 มะนาว
13. มะละกอ ช่ือวทิ ยาศาสตร:์ Carica papaya L.ช่ือสามัญ : Papaya, Pawpaw, Tree melon วงศ๑ : Caricaceae ช่ืออ่นื : มะกว๎ ยเทศ (ภาคเหนือ) หมกั หํุง (ลาว,นครราชสีมา,เลย) ลอกอ (ภาคใต๎) กล๎วยลา (ยะลา) แตงต๎น (สตูล)สรรพคุณบารงุ หวั ใจ ขบั ปส๓ สาวะ แก๎ไข๎ แก๎บิด แกป๎ อดบวม ขับพยาธิ โดยนาใบมะละกอไปต๎มกับน้าสะอาดแล๎วกรองแตํน้ามาด่ืม หรือหากใครมอี าการปวดข๎อ ปวดเขํา ปวด บวม แดง บริเวณไหน ใหน๎ าใบมะละกอไปยํางไฟ แลว๎ นามาหํอหรอื ประคบอํนุ ๆ ในจดุ ท่ีปวด อาการปวดกจ็ ะลดลง รปู ท่ี 24 มะละกอ 14. เสาวรส ชือ่ สามัญPassion Fruit, Jamaica honey-suckle, Yellow granadilla ช่อื วิทยาศาสตร๑Passiflora edulis Sims จดั อยูํในวงศ๑กะทกรก (PASSIFLORACEAE)เสาวรส (กะทกรกฝรงั่ ) สรรพคุณของเสาวรสนัน้ ก็มมี ากมายหลายข๎อเพราะเสาวรสอุดมไปด๎วยวิตามินและแรธํ าตุรวมอยูหํ ลายชนดิ ซึง่ ไดแ๎ กวํ ิตามนิ ซีวติ ามนิ เอวติ ามินบี 2 วิตามนิ บี 3 กรดโฟลกิ ธาตุแคลเซียมธาตุเหล็กธาตแุ มกนีเซยี มธาตุ ฟอสฟอรสั ธาตุโพแทสเซียมธาตสุ ังกะสแี ละคารโ๑ บไฮเดรตโดยยงั มขี องแถมน่ันก็คอื ใยอาหารในปริมาณสูง รวมอยดูํ ว๎ ยซึง่ นยิ มนามารบั ประทานเปน็ ผลไม๎สดโดยเสาวรสท่ลี กั ษณะดนี น้ั ต๎องไมเํ หยี่ วผวิ ตอ๎ งเตํงตึงแตทํ ง้ั นี้ ห๎ามรบั ประทานในสํวนของต๎นสดเด็ดขาดเพราะมสี ารพิษอันตรายอาจทาให๎เสียชีวติ ไดร๎ อรับประทานผลอยาํ ง เดยี วจะดกี วํา รูปท่ี 25 เสาวรส
การน้าไปใช้ 1. เพื่อให๎ทํานได๎ทราบถึงสรรพคณุ ของกระเจยี๊ บแดง และสมนุ ไพรพน้ื บา๎ นไทย 2. เพือ่ ใช๎เป็นแนวทางการประกอบอาชีพ และหารายได๎พิเศษ 3. เพือ่ สืบทอดภูมปิ ญ๓ ญาให๎อยกํู บั ลกู หลานสบื ไป
ภาคผนวก - ประวตั ิผจู้ ัดท้าภูมิปญั ญาศึกษา - ภาพประกอบ
ประวตั ผิ ูถ้ ่ายทอดภมู ิปัญญา ชื่อ: นางตา ดวงแกว๎ เกดิ : 18 พฤษภาคม 2484 ภูมลิ า้ เนา : บา๎ นเลขท่ี – หมูํ – ตาบลนามะเฟื่องอาเภอเมืองหนองบวั ลาภู จงั หวดั หนองบัวลาภู ทอี่ ยปู่ จั จบุ นั : บา๎ นเลขที่ 133/1 หมูํ 18 ตาบลวงั น้าเย็น อาเภอวงั น้าเย็น จงั หวัดสระแกว๎ สถานภาพ:สมรส กับ นายรุย ดวงแก๎ว (เสียชวี ิตแล๎ว) มบี ุตรดว๎ ยกนั 7 คน ดังน้ี 1. นางนติ ยา นามตะ 2. นายวชิ ยั พิมานันท๑ 3. นางกัลยา ดวงแก๎ว 4. นายชาญ ดวงแก๎ว (เสียชีวิตแลว๎ ) 5. นางนุช ดวงแกว๎ 6. นางนาตยา ดวงแก๎ว 7. นายวิชิต ดวงแก๎ว การศกึ ษา: ประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรยี นบา๎ นนามะเฟ่อื งอาเภอเมืองหนองบวั ลาภู จังหวดั หนองบวั ลาภู ปัจจุบัน ประกอบอาชพี :- ประวตั ิผู้เรียบเรียงภูมปิ ัญญาศึกษา ชื่อ: นางญาณิศาศริ กานต๑กลุ เกดิ : 11 มิถุนายน 2519 อายุ 42 ปี ภมู ลิ า้ เนา: 119 หมํู 1 ตาบลโขนงพระอาเภอปากชอํ ง จังหวัดนครราชสมี า ท่อี ยู่ปัจจุบนั :บ๎านเลขท่ี 56/2 หมทํู ่ี12 ตาบลวังน้าเย็นอาเภอวังน้าเยน็ จังหวัดสระแก๎ว สถานภาพ: สมรส การศึกษา :ปริญญาโท ปจั จุบนั ประกอบอาชพี :ข๎าราชการครู
ภาพประกอบการจดั ท้าภูมิปัญญาศกึ ษา เรื่อง สมนุ ไพรทิพย์ (น้ากระเจี๊ยบแดง)
ลงพื้นท่ใี นการหาข้อมลู เก่ยี วกับการท้าภมู ิปญั ญา
ขั้นตอนการท้านา้ กระเจย๊ี บแดง นา้ ดอกกระเจ๊ยี บมาแกะเมล็ดออกลา้ งให้สะอาดแลว้ นา้ มาตากแดด
นา้ ดอกกระเจี๊ยบแดงมาตม้ รบั ประทานเพื่อดบั กระหายคลายรอ้ น
พชื ผักสมนุ ไพรพื้นบา้ น
พชื ผักสมนุ ไพรพื้นบา้ น
ตวั อยา่ งผลติ ภณั ฑแ์ ปรรูปจากกระเจีย๊ บ สบูํหน๎าใสกระเจย๊ี บแดง มีสํวนประกอบของกรดผลไมจ๎ ากกระเจีย๊ บ ปกปูองผิว ทาใหผ๎ ิวกระจํางใส ครมี กระเจยี๊ บแดง (ทาตอนกลางคนื ) แก๎ฝาู กระ จุดดาํ งดา ครีมทาผิว มสี ํวนประกอบของ กรดผลไม๎ วิตามินอี ลดจุดดํางดาและรว้ิ รอยสุพัตรา ปูองกนั ร้ิวรอย กระ จุดดําง ดา บารงุ ผวิ ให๎ขาวเนยี น สนิ คา๎ จากจงั หวดั : จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขา๎ ถงึ ไดจ๎ าก:http://www.thaitambon.com/product/0751610404 [2558]
บรรณานุกรม กระเจี๊ยบแดง สรรพคุณและประโยชนข๑ องกระเจีย๊ บแดง 45 ข๎อ.[ออนไลน]๑ . เข๎าถงึ ไดจ๎ าก: https://medthai.com [4/08/2560] น้ากระเจย๊ี บพุทราจีน สองเพื่อนซคี้ ูหํ ูสมุนไพรคสํู ขุ ภาพ, สูตรเคร่อื งดื่ม เวบ็ ไซด๑: kapok.com เข๎าถึงได๎จาก: https://cooking.kapook.com/view106932.html [12/12/2557] ประโยชน๑และสรรพคุณของ เสาวรส สดุ ยอดผลไม๎ทอ่ี ดุ มไปดว๎ ยสารอาหารชวํ ยรักษาอาการและต๎านทานโรค สานักขาํ วทีนิวส๑[ออนไลน๑].เข๎าถึงไดจ๎ าก:https://www.tnews.co.th/contents/353718 [01/09/2560] มหศั จรรยส๑ มนุ ไพรไทย สรรพคณุ สมนุ ไพรไทย.[ออนไลน]๑ . เขา๎ ถึงได๎จาก: https://sites.google.com/site/mhascrrysmunphirthai/srrphkhun-smunphir- thiy. [2560] สุขภาพ สมุนไพร โรคภัยไข๎เจ็บ สรรพคุณของสมุนไพร วิธกี ารรกั ษาโรค อาหารคลีน การดแู ลสขุ ภาพ ธรรมะ สขุ ภาพใจและโยคะ เพอ่ื สุขภาพ{Online}.Available: https://beezab.com/author/nong/. [17/07/2558} สนิ ค๎าโอทอปกลมํุ เคร่อื งสาอางสมนุ ไพรสุพัตรา ไทยตาบลดอทคอม [ออนไลน]๑ . เขา๎ ถึงได๎จาก:http://www.thaitambon.com/product/0751610404 [2558]
Search
Read the Text Version
- 1 - 43
Pages: