Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 13ขนมเปี่ยง นางสำอางค์ จิโนวงศ์

13ขนมเปี่ยง นางสำอางค์ จิโนวงศ์

Published by artaaa144, 2019-05-10 01:52:47

Description: 13ขนมเปี่ยง นางสำอางค์ จิโนวงศ์

Search

Read the Text Version

ภมู ปิ ญั ญาศึกษา เรือ่ ง ขนมเปี่ยงไท-ญวน 1. นางสาอางค์ โดย 2. นางสาวประภสั สรา จิโนวงศ์ (ผู้ถ่ายทอดภูมปิ ญั ญา) แปน้อย (ผู้เรยี บเรยี งภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ ) เอกสารภมู ิปัญญาศกึ ษาน้ีเป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษา ตามหลกั สตู รโรงเรียนผู้สงู อายุเทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็ ประจาปีการศึกษา 2561 โรงเรยี นผสู้ งู อายเุ ทศบาลเมอื งวงั น้าเย็น สงั กัดเทศบาลเมอื งวังนา้ เยน็ จังหวดั สระแก้ว

คานา ภูมิปัญญาท้องถ่ิน หรือเรียกช่ืออีกอย่างหน่ึงว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือองค์ความรู้ท่ีชาวบ้านได้สั่ง สมจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นหรือจากบรรพบรุ ุษที่ได้ถ่ายทอดสืบกันมาตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อ นามาใชแ้ ก้ปญั หาในชวี ติ ประจาวัน การทามาหากิน การประกอบการงานเล้ียงชพี หรือกจิ กรรมอ่ืน ๆ เปน็ การ ผ่อนคลายจากการทางาน หรือการย้ายถ่ินฐานเพื่อมาต้ังถ่ินฐานใหม่แล้วคิดค้นหรือค้นหาวิธีการดังกล่าวเพื่อ การแก้ปัญหา โดยสภาพพ้ืนท่ีนั้น ชุมชนวังน้าเย็นแห่งนี้ เกิดขึ้นเม่ือราว ๆ 50 ปีท่ีผ่านมา จากการอพยพถ่ิน ฐานของผู้คนมาจากทุก ๆ ภาคของประเทศไทย แล้วมาก่อต้ังเปน็ ชมุ ชนวงั น้าเยน็ ซ่ึงบางคนได้นาองค์ความรู้ มาจากถ่นิ ฐานเดมิ แล้วมีการสบื ทอดสืบสานมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับ ขนมเปี่ยงไท-ญวน โดย นางสาอางค์ จิโนวงศ์ ได้รวบรวมเรียบเรียงถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนรุ่นหลังได้สืบค้น หรือค้นคว้าเป็นภูมิปัญญาศึกษา ของเทศบาลเมอื งเมอื งวงั นา้ เยน็ จังหวัดสระแก้ว ผูศ้ ึกษาขอขอบพระคุณ นายวันชัย นารีรกั ษ์ นายกเทศมนตรีเมอื งวงั น้าเย็น นายคนองพล เพ็ชรรื่น ปลัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น คณะกรรมการโรงเรียนผู้สูงอายุ กองสวัสดิการสังคม กองสาธารณสุขและ สง่ิ แวดลอ้ ม เทศบาลเมืองวังนา้ เยน็ โรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพนั ธ์วิทยา โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมือวงั น้าเย็น หน่วยงานอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้อง และขอขอบพระคุณ นางสาวประภัสสรา แปน้อย ท่ีได้เป็นท่ีปรึกษา ดูแล รบั ผดิ ชอบงานด้านธุรการ บันทึกเรือ่ งราวและจดั ทาเป็นรปู เล่มที่สมบูรณ์ครบถ้วน ความรอู้ ันใดหรือกุศลอันใด ท่ีเกิดจากการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมพลังจนเกิดมีภูมิปัญญาศึกษาฉบับน้ี ขอกุศลผลบุญน้ันจงเกิดมีแก่ ผู้เกย่ี วข้องดังที่กล่าวมาทกุ ๆ ท่านเพอ่ื สรา้ งสังคมแหง่ การเรียนตอ่ ไป นางสาอางค์ จิโนวงศ์ นางสางประภัสสรา แปนอ้ ย ผจู้ ัดทา

ทมี่ าและความสาคญั ของภมู ปิ ญั ญาศกึ ษา จากพระราชดารัสของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทว่ี ่า “ประชาชนนัน่ แหละ ท่เี ขามีความรู้เขาทางานมาหลายช่ัวอายุคน เขาทากนั อยา่ งไร เขามคี วามเฉลียวฉลาด เขารู้ว่าตรงไหน ควรทา กสิกรรม เขารู้วา่ ตรงไหนควรเก็บรกั ษาไว้ แต่ที่เสยี ไปเพราะพวกไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ทามานานแล้ว ทาให้ลมื ว่าชีวิต มันเป็นไปโดยการกระทาที่ถูกต้องหรือไม่” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา-ภูมิพลอดุลย เดช ทส่ี ะท้อนถงึ พระปรีชาสามารถในการรับร้แู ละความเขา้ ใจหย่ังลึก ท่ที รงเหน็ คุณค่าของภูมิปัญญาไทยอย่าง แท้จริง พระองค์ทรงตระหนักเป็นอย่างยิ่งว่า ภูมิปัญญาท้องถ่ินเป็นสิ่งที่ชาวบ้านมีอยู่แล้ว ใช้ประโยชน์เพ่ือ ความอยู่รอดกันมายาวนาน ความสาคัญของภูมิปัญญาท้องถ่ิน ซ่ึงความรู้ที่ส่ังสมจากการปฏิบัติจริงใน ห้องทดลองทางสังคม เป็นความรู้ดั้งเดิมที่ถูกค้นพบ มีการทดลองใช้ แก้ไข ดัดแปลง จนเป็นองค์ความรู้ท่ี สามารถแก้ปัญหาในการดาเนินชีวิตและถ่ายทอดสืบต่อกันมา ภมู ิปัญญาท้องถิ่น เป็นขุมทรพั ยท์ างปญั ญาท่คี น ไทยทุกคนควรรู้ ควรศึกษา ปรับปรุง และพัฒนาให้สามารถนาภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่าน้ันมาแก้ไขปัญหาให้ สอดคล้องกับบริบททางสงั คม วัฒนธรรมของกลมุ่ ชุมชนน้ัน ๆ อยา่ งแท้จริง การพัฒนาภูมิปญั ญาศึกษานับเป็น ส่งิ สาคัญต่อบทบาทของชุมชนท้องถิน่ ที่ได้พยายามสรา้ งสรรค์ เป็นน้าพักน้าแรงรว่ มกันของผสู้ ูงอายุและคนใน ชุมชนจนกลายเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมประจาถ่ินที่เหมาะต่อการดาเนินชีวิต หรือภูมิปัญญาของคนใน ท้องถ่ินน้ัน ๆ แต่ภูมิปัญญาท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นความรู้ หรือเป็นสิ่งที่ได้มาจากประสบการณ์ หรือเป็นความ เชื่อสืบต่อกันมา แต่ยังขาดองค์ความรู้ หรือขาดหลักฐานยืนยันหนักแน่น การสร้างการยอมรับท่ีเกิดจากฐาน ภูมิปญั ญาท้องถิ่นจึงเป็นไปได้ยาก ดังนั้น เพื่อให้เกิดการส่งเสริมพัฒนาภูมิปัญญาท่ีเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น กระตุ้นเกิดความ ภาคภมู ิใจในภูมปิ ัญญาของบคุ คลในท้องถน่ิ ภูมิปัญญาไทยและวฒั นธรรมไทย เกิดการถ่ายทอดภูมปิ ัญญาสู่คน รุ่นหลัง โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น ได้ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนา ศักยภาพผู้สูงอายุในท้องถิ่นท่ีเน้นให้ผู้สูงอายุได้พัฒนาตนเองให้มีความพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพใน อนาคต รวมท้ังสืบทอดภูมิปัญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผู้สูงอายุที่ได้สั่งสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิ ปัญญาของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู้สูงอายุจะเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ และมีครูพี่เล้ียงซ่ึงเป็นคณะครูของ โรงเรียนในสงั กัดเทศบาลเมอื งวงั นา้ เยน็ เปน็ ผเู้ รยี บเรยี งองค์ความรูไ้ ปสกู่ ารจัดทาภูมิปัญญาศึกษา ใหป้ รากฏออกมาเป็นรปู เลม่ ภมู ปิ ญั ญาศกึ ษา ใชเ้ ป็นสว่ นหนึง่ ในการจบหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนผู้สูงอายุ ประจาปีการศึกษา 2562 พร้อมทั้งเผยแพร่และจัดเก็บคลังภูมิปัญญาไว้ในห้องสมุดของโรงเรียนเทศบาลมิตร สมั พันธ์วทิ ยา เพ่อื ให้ภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ เหลา่ น้เี กิดการถ่ายทอดส่คู นรนุ่ หลังสบื ต่อไป จากความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานและภาคีเครือข่ายท่ีมีส่วนร่วมในการผสมผสาน องค์ความรู้ เพ่ือยกระดับความรู้ของภมู ิปัญญาน้ันๆ เพ่ือนาไปส่กู ารประยุกตใ์ ช้ และผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนาภูมิปัญญาไทยกลับสู่การศึกษาสามารถส่งเสริม ให้มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาในโรงเรียนเทศบาลมติ รสัมพันธ์วิทยา และโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น

เกิดการมีส่วนร่วมในกระบวนการถ่ายทอด เช่ือมโยงความรู้ให้กับนักเรียนและบุคคลทั่วไปในท้องถิ่น โดยการ นาบุคลากรทม่ี ีความรคู้ วามสามารถในท้องถ่ินเขา้ มาเป็นวทิ ยากรใหค้ วามรู้กบั นักเรยี นในโอกาสต่างๆ หรอื การ ที่โรงเรียนนาองค์ความรู้ในท้องถิ่น เข้ามาสอนสอดแทรกในกระบวนการจัดการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้ทาให้การ พัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น นาไปสู่การสืบทอดภูมิปัญญาศึกษา เกิดความสาเร็จอย่างเป็นรูปธรรม นักเรียน ผู้สูงอายุเกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของตนท่ีได้ถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลังให้คงอยู่ในท้องถ่ิน เป็นวัฒนธรรม การดาเนินชวี ิตประจาท้องถนิ่ เป็นวัฒนธรรมการดาเนินชีวิตคู่แผ่นดินไทยตราบนานเท่านาน นิยามคาศพั ทใ์ นการจดั ทาภมู ิปัญญาศึกษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีผู้สูงอายุเชี่ยวชาญท่ีสุด ของ ผ้สู ูงอายุท่ีเข้าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรยี นผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิปัญญา ในรูปแบบต่าง ๆ มีการสืบทอดภูมิปญั ญาโดยการปฏิบัตแิ ละการเรียบเรยี งเป็นลายลักษณอ์ ักษรตามรูปแบบท่ี โรงเรียนผู้สูงอายุกาหนดขึ้น ใช้เป็นส่วนหน่ึงในการจบหลักสูตรการศึกษา เพ่ือให้ภูมิปัญญาของผู้สูงอายุได้รับ การถา่ ยทอดสคู่ นรุ่นหลงั และคงอยูใ่ นทอ้ งถ่นิ ต่อไป ซึ่งแบง่ ภมู ิปัญญาศึกษาออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ภูมิปัญญาศึกษาทผี่ ูส้ งู อายเุ ปน็ ผ้คู ดิ คน้ ภูมปิ ญั ญาในการดาเนินชวี ติ ในเร่ืองท่เี ชีย่ วชาญที่สุด ด้วย ตนเอง 2. ภูมิปัญญาศึกษาที่ผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต์ใช้ในการดาเนิน ชวี ิตจนเกดิ ความเช่ยี วชาญ 3. ภูมิปัญญาศึกษาที่ผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช้ในการดาเนินชีวิตโดย ไมม่ กี ารเปล่ียนแปลงไปจากเดมิ จนเกิดความเช่ียวชาญ ผ้ถู ่ายทอดภูมิปัญญา หมายถึง ผสู้ ูงอายุท่ีเข้าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็น เป็นผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีตนเองเช่ียวชาญมากท่ีสุด นามาถ่ายทอดให้แก่ผู้ เรียบเรียงภูมปิ ญั ญาท้องถิ่นได้จดั ทาข้อมลู เป็นรปู เล่มภมู ิปญั ญาศกึ ษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถ่ิน หมายถึง ผู้ท่ีนาภูมิปัญญาในการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีผู้สูงอายุ เช่ียวชาญท่ีสุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษร ศึกษาหาข้อมูลเพ่ิมเติมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ จัดทาเป็น เอกสารรปู เลม่ ใชช้ ่ือว่า “ภมู ปิ ญั ญาศึกษา”ตามรูปแบบท่ีโรงเรียนผู้สูงอายเุ ทศบาลเมืองวังน้าเย็นกาหนด ครูทป่ี รึกษา หมายถึง ผู้ทีป่ ฏิบัติหน้าทเ่ี ป็นครูพี่เล้ียง เป็นผู้เรยี บเรียงภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน ปฏิบัติหน้าท่ี เป็นผู้ประเมินผล เป็นผู้รับรองภูมิปัญญาศึกษา รวมทั้งเป็นผู้นาภูมิปัญญาศึกษาเข้ามาสอนในโรงเรียน โดย บูรณาการการจดั การเรยี นรู้ตามหลกั สูตรท้องถนิ่ ทโี่ รงเรยี นจดั ทาขนึ้

ภูมปิ ัญญาศกึ ษาเชอื่ มโยงส่สู ารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชนฯ 1. ลักษณะของภมู ิปัญญาไทย ลักษณะของภูมปิ ญั ญาไทย มีดังนี้ 1. ภูมปิ ญั ญาไทยมีลักษณะเป็นท้ังความรู้ ทักษะ ความเช่ือ และพฤตกิ รรม 2. ภมู ปิ ัญญาไทยแสดงถงึ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งคนกับคน คนกับธรรมชาติ สิง่ แวดลอ้ ม และคนกับสง่ิ เหนือธรรมชาติ 3. ภมู ิปัญญาไทยเปน็ องคร์ วมหรอื กจิ กรรมทุกอยา่ งในวถิ ีชวี ิตของคน 4. ภูมปิ ัญญาไทยเป็นเร่ืองของการแกป้ ัญหา การจดั การ การปรับตวั และการเรียนรู้ เพื่อความอยรู่ อดของบุคคล ชุมชน และสงั คม 5. ภมู ิปัญญาไทยเป็นพื้นฐานสาคญั ในการมองชวี ิต เป็นพ้ืนฐานความรู้ในเรือ่ งต่างๆ 6. ภมู ิปญั ญาไทยมีลกั ษณะเฉพาะ หรือมเี อกลกั ษณใ์ นตวั เอง 7. ภมู ิปัญญาไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพ่ือการปรบั สมดลุ ในพัฒนาการทางสงั คม 2. คณุ สมบัตขิ องภูมปิ ัญญาไทย ผทู้ รงภมู ปิ ญั ญาไทยเปน็ ผู้มีคุณสมบตั ติ ามทกี่ าหนดไว้ อยา่ งน้อยดังต่อไปน้ี 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่างๆ มีผลงานด้านการพัฒนา ท้องถ่ินของตน และได้รับการยอมรับจากบุคคลท่ัวไปอย่างกว้างขวาง ท้ังยังเป็นผู้ที่ใช้หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเปน็ เคร่อื งยดึ เหน่ยี วในการดารงวถิ ีชวี ิตโดยตลอด 2. เป็นผู้คงแก่เรียนและหม่ันศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ผู้ทรงภูมิปัญญาจะเป็นผู้ที่หม่ันศึกษา แสวงหาความรู้เพ่ิมเติมอยู่เสมอไม่หยุดน่ิง เรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผู้ลงมือทา โดยทดลองทา ตามที่เรียนมา อีกทง้ั ลองผดิ ลองถูก หรือสอบถามจากผู้รู้อืน่ ๆ จนประสบความสาเรจ็ เป็นผู้เชี่ยวชาญ ซ่ึงโดด เด่นเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละด้านอย่างชัดเจน เป็นท่ียอมรับการเปลี่ยนแปลงความรู้ใหม่ๆ ท่ีเหมาะสม นามา ปรบั ปรงุ รบั ใช้ชมุ ชน และสงั คมอยู่เสมอ 3. เป็นผู้นาของท้องถิ่น ผู้ทรงภูมิปัญญาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่สังคม ในแต่ละท้องถน่ิ ยอมรับให้ เป็นผู้นา ท้ังผู้นาที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการ และผู้นาตามธรรมชาติ ซ่ึงสามารถเป็นผู้นาของท้องถ่ิน และชว่ ยเหลอื ผ้อู ่ืนได้เปน็ อย่างดี 4. เปน็ ผ้ทู ่ีสนใจปัญหาของท้องถ่ิน ผู้ทรงภมู ิปัญญาล้วนเป็นผู้ที่สนใจปัญหาของท้องถ่นิ เอาใจ ใส่ ศึกษาปัญหา หาทางแก้ไข และช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล้เคียงอย่างไม่ย่อท้อ จน ประสบความสาเรจ็ เป็นท่ียอมรับของสมาชกิ และบุคคลทวั่ ไป

5. เป็นผูข้ ยันหมัน่ เพียร ผ้ทู รงภูมิปัญญาเปน็ ผูข้ ยันหม่ันเพียร ลงมือทางานและผลิตผลงานอยู่ เสมอ ปรับปรงุ และพฒั นาผลงานให้มคี ุณภาพมากขนึ้ อกี ทง้ั มงุ่ ทางานของตนอย่างต่อเน่ือง 6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชนข์ องทอ้ งถิน่ ผูท้ รงภูมิปญั ญา นอกจากเปน็ ผู้ท่ี ประพฤตติ นเปน็ คนดี จนเป็นที่ยอมรับนบั ถอื จากบคุ คลท่ัวไปแล้ว ผลงานท่ีท่านทายงั ถือว่ามคี ณุ คา่ จงึ เปน็ ผทู้ ี่ มีทั้ง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เปน็ ผู้ประสานประโยชนใ์ หบ้ ุคคลเกดิ ความรัก ความเขา้ ใจ ความเห็น ใจ และมคี วามสามัคคีกนั ซง่ึ จะทาให้ท้องถนิ่ หรือสงั คม มีความเจรญิ มคี ุณภาพชีวิตสูงข้นึ กวา่ เดิม 7. มีความสามารถในการถา่ ยทอดความรเู้ ปน็ เลิศ เม่ือผู้ทรงภูมปิ ญั ญามคี วามรคู้ วามสามารถ และประสบการณ์เป็นเลิศ มผี ลงานที่เปน็ ประโยชนต์ ่อผู้อน่ื และบุคคลทั่วไป ท้ังชาวบา้ น นักวชิ าการ นกั เรียน นิสติ /นกั ศึกษา โดยอาจเข้าไปศึกษาหาความรู้ หรือเชิญท่านเหลา่ นัน้ ไป เป็นผ้ถู ่ายทอดความรูไ้ ด้ 8. เป็นผู้มีคู่ครองหรือบริวารดี ผู้ทรงภูมิปัญญา ถ้าเป็นคฤหัสถ์ จะพบว่า ล้วนมีคู่ครองท่ีดีท่ี คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้กาลังใจ ให้ความร่วมมือในงานที่ท่านทา ช่วยให้ผลิตผลงานที่มีคุณค่า ถ้าเป็น นักบวช ไมว่ ่าจะเป็นศาสนาใด ตอ้ งมีบริวารทด่ี ี จงึ จะสามารถผลติ ผลงานทีม่ คี ณุ ค่าทางศาสนาได้ 9. เป็นผูม้ ีปัญญารอบรู้และเชีย่ วชาญจนได้รบั การยกยอ่ งว่าเป็นปราชญ์ ผู้ทรงภมู ิปัญญา ตอ้ ง เป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเช่ียวชาญ รวมท้ังสร้างสรรค์ผลงานพิเศษใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและ มนษุ ยชาติอยา่ งตอ่ เนอื่ งอยูเ่ สมอ 3. การจัดแบ่งสาขาภูมิปัญญาไทย จากการศึกษาพบว่า มีการกาหนดสาขาภมู ิปญั ญาไทยไว้อย่างหลากหลาย ขึ้นอยกู่ บั วัตถุประสงค์ และ หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่หน่วยงาน องค์กร และนักวิชาการแต่ละท่านนามากาหนด ในภาพรวมภูมิปัญญาไทย สามารถแบง่ ได้เปน็ 10 สาขา ดังน้ี 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และ เทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าด้ังเดิม ซึ่งคนสามารถพ่ึงพาตนเองใน ภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไร่นาสวนผสม และ สวนผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิต การแก้ไขปัญหาโรคและ แมลง และการรจู้ ักปรบั ใช้เทคโนโลยที เ่ี หมาะสมกบั การเกษตร เป็นตน้ 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ใน การแปรรปู ผลิตผล เพอื่ ชะลอการนาเขา้ ตลาด เพอ่ื แก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการท่ีทาให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพ่ึงพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดท้ังการผลิต และ การจาหนา่ ย ผลติ ผลทางหัตถกรรม เชน่ การรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กล่มุ หัตถกรรม เป็น ตน้

3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษา สุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพ่ึงพาตนเอง ทางด้านสุขภาพ และอนามัยได้ เช่น การนวด แผนโบราณ การดูแลและรักษาสขุ ภาพแบบพ้ืนบ้าน การดูแลและรักษาสขุ ภาพแผนโบราณไทย เปน็ ตน้ 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ทั้งการอนรุ ักษ์ การพฒั นา และการใช้ประโยชน์จากคุณค่าของ ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม อยา่ งสมดุล และยั่งยืน เช่น การทาแนวปะการังเทยี ม การอนุรกั ษ์ป่าชาย เลน การจดั การปา่ ต้นน้า และปา่ ชุมชน เปน็ ต้น 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการ สะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ท้ังท่ีเป็นเงินตรา และโภคทรัพย์ เพ่ือส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ ของสมาชกิ ในชุมชน เชน่ การจัดการเรื่องกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณอ์ อมทรพั ย์ และธนาคารหมู่บา้ น เป็นต้น 6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให้เกิดความม่ันคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เช่น การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล ของชมุ ชน การจดั ระบบสวัสดกิ ารบริการในชมุ ชน การจดั ระบบสิง่ แวดล้อมในชมุ ชน เปน็ ตน้ 7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทศั นศิลป์ คีตศลิ ป์ ศิลปะมวยไทย เปน็ ตน้ 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค์กรชุมชนต่างๆ ให้สามารถพัฒนา และบริหารองค์กรของตนเองได้ ตามบทบาท และหน้าท่ีขององค์การ เช่น การจัดการองค์กรของกลมุ่ แม่บ้าน กลุ่มออมทรพั ย์ กลุ่มประมงพน้ื บา้ น เปน็ ต้น 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเกีย่ วกับดา้ นภาษา ท้ังภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษา ตลอดทั้งด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทา สารานุกรมภาษาถ่นิ การปริวรรต หนงั สือโบราณ การฟ้ืนฟกู ารเรยี นการสอนภาษาถ่ินของท้องถน่ิ ต่าง ๆ เปน็ ต้น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเชื่อ และประเพณดี ั้งเดิมท่ีมีคณุ ค่าให้เหมาะสมต่อการประพฤตปิ ฏบิ ัติ ให้บังเกิดผลดีต่อ บุคคล และส่ิงแวดล้อม เช่น การถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาไทยภูมิ- ปัญญาไทยสามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลักษณะทสี่ มั พันธ์ใกลช้ ดิ กัน คือ 10.1 ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันระหว่างคนกับโลก ส่ิงแวดล้อม สัตว์ พืช และ ธรรมชาติ 10.2 ความสัมพันธข์ องคนกบั คนอื่นๆ ท่ีอย่รู ่วมกันในสงั คม หรือในชุมชน

10.3 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับส่ิงศักดิ์สิทธ์ิส่ิงเหนือธรรมชาติ ตลอดท้ังส่ิงท่ีไม่สามารถ สัมผัสได้ทั้งหลาย ท้ัง 3 ลักษณะน้ี คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท้อนออกมาถึงภูมิ ปัญญาในการดาเนินชีวิตอย่างมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิปัญญา จึงเป็นรากฐานในการ ดาเนินชีวิตของคนไทย ซ่ึงสามารถแสดงให้เห็นได้ อยา่ งชดั เจนโดยแผนภาพ ดังน้ี ลั ก ษ ณ ะ ภู มิ ปั ญ ญ า ท่ี เ กิ ด จ า ก ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม จะแสดงออกมาในลักษณะภูมิปัญญาในการ ดาเนินวิถีชีวิตข้ันพื้นฐานด้านปัจจัยสี่ ซ่ึง ประกอบด้วย อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย และยารักษาโรค ตลอดท้ังการประกอบอาชีพ ตา่ งๆ เป็นต้น ภูมิปัญญาทีเ่ กดิ จาก ความสัมพนั ธ์ ระหว่างคนกับคนอื่นในสังคม จะแสดงออกมาในลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และ นันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดท้งั การสื่อสารต่างๆ เป็นตน้ ภูมิปัญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ สิ่งเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลักษณะของสงิ่ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ศาสนา ความเช่ือตา่ งๆ เป็นต้น 4. คณุ ค่าและความสาคญั ของภูมปิ ัญญาไทย คุณค่าของภูมิปัญญาไทย ได้แก่ ประโยชน์ และความสาคัญของภูมิปัญญา ที่บรรพบุรุษไทย ได้ สร้างสรรค์ และสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง จากอดีตสู่ปัจจุบัน ทาให้คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ ท่ีจะรว่ มแรงร่วมใจสืบสานต่อไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ประเพณีไทย การมี นา้ ใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นตน้ ภูมปิ ญั ญาไทยจึงมคี ณุ คา่ และความสาคัญดังนี้ 1. ภูมปิ ัญญาไทยช่วยสรา้ งชาตใิ ห้เปน็ ปึกแผ่น พระมหากษัตริย์ไทยได้ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ ประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชน ด้วยพระ เมตตา แบบพ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบความเดือดร้อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร้อน เพื่อขอรับ พระราชทานความช่วยเหลือ ทาให้ประชาชนมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ ต่อประเทศชาติร่วมกันสร้าง บ้านเรือนจนเจริญรุง่ เรืองเป็นปึกแผน่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข้าศึกศัตรู และทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้

พระปรีชาสามารถ แก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ้นภัยพิบัติหลายครั้ง พระองค์ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด้าน แม้แต่ด้านการเกษตร พระองค์ได้พระราชทานทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนิกร ทั้ง ด้านการเกษตรแบบสมดุลและยั่งยืน ฟ้ืนฟูสภาพแวดล้อม นาความสงบร่มเย็นของประชาชนให้กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎีใหม\"่ แบ่งออกเปน็ 2 ขน้ั โดยเริ่มจาก ขั้นตอนแรก ให้เกษตรกรรายยอ่ ย \"มีพออยู่พอ กิน\" เป็นข้ันพื้นฐาน โดยการพัฒนาแหล่งน้า ในไร่นา ซ่ึงเกษตรกรจาเป็นท่ีจะต้องได้รับความช่วยเหลือจาก หน่วยราชการ มูลนธิ ิ และหนว่ ยงานเอกชน ร่วมใจกันพัฒนาสงั คมไทย ในขน้ั ทีส่ อง เกษตรกรต้องมคี วามเข้าใจ ในการจัดการในไร่นาของตน และมีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ เพ่ือสร้างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจ่ายด้านความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค์กรเอกชน เมื่อกลุ่มเกษตร ววิ ัฒน์มาข้ันที่ 2 แล้ว ก็จะมีศกั ยภาพ ในการพฒั นาไปสูข่ ้ันที่สาม ซ่งึ จะมีอานาจในการตอ่ รองผลประโยชน์กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค์กรท่ีเป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน ซ่ึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการผลิต โดยมีการ แปรรูปผลิตผล เชน่ โรงสี เพื่อเพ่ิมมูลค่าผลิตผล และขณะเดยี วกันมีการจดั ตง้ั รา้ นค้าสหกรณ์ เพอื่ ลดคา่ ใช้จ่าย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได้ว่า มิได้ทรงทอดทิ้งหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดต้ังสหกรณ์ ซ่ึงทรงสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรสร้างอานาจต่อรองในระบบ เศรษฐกจิ จึงจะมีคุณภาพชีวิตท่ีดี จึงจัดได้ว่า เป็นสังคมเกษตรที่พัฒนาแล้ว สมดังพระราชประสงค์ท่ีทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ัญญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหง่ การครองราชย์ 2. สร้างความภาคภมู ิใจ และศกั ดศ์ิ รี เกยี รติภมู ิแกค่ นไทย คนไทยในอดีตท่ีมีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์มีมาก เป็นท่ียอมรับของนานา อารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเป็นนักมวยไทย ที่มีฝีมือเก่งในการใช้อวัยวะทุกส่วน ทุกท่าของแม่ไม้มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพม่าได้ถึงเก้าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม้ในปัจจุบัน มวยไทยก็ยังถือว่า เป็น ศิลปะชั้นเย่ียม เป็นที่ นิยมฝึกและแข่งขันในหมู่คนไทยและชาวต่าง ประเทศ ปัจจุบันมีค่ายมวยไทยทั่วโลกไม่ ต่ากว่า 30,000 แห่ง ชาวต่างประเทศท่ีได้ฝกึ มวยไทย จะรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจ ในการที่จะใช้กติกา ของมวย ไทย เช่น การไหว้ครูมวยไทย การออก คาสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เช่น คาว่า \"ชก\" \"นับหน่ึงถึงสิบ\" เป็นต้น ถือเป็นมรดก ภูมิปัญญาไทย นอกจากน้ี ภูมิปัญญาไทยที่โดด เด่นยังมีอีกมากมาย เช่น มรดกภูมิ ปัญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการ มาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถือว่า เป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทุกด้าน วรรณกรรม หลายเรือ่ งได้รบั การแปลเปน็ ภาษาต่างประเทศหลายภาษา ด้านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารท่ีปรงุ ง่าย พืชท่ี ใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร ท่ีหาได้ง่ายในท้องถิ่น และราคาถูก มี คุณคา่ ทางโภชนาการ และ ยังป้องกันโรคได้หลายโรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ใบ มะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เปน็ ตน้

3. สามารถปรบั ประยุกต์หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใช้กบั วถิ ีชวี ติ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม คนไทยสว่ นใหญ่นบั ถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช้ในวิถีชีวิต ได้อย่างเหมาะสม ทาให้คนไทยเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ อดทน ให้อภัยแก่ผ้สู านึกผิด ดารงวิถชี ีวิตอยา่ งเรียบง่าย ปกตสิ ุข ทาให้คนในชุมชนพ่งึ พากันได้ แมจ้ ะอดอยาก เพราะ แห้งแล้ง แต่ไม่มีใครอดตาย เพราะพึ่งพาอาศัย กัน แบ่งปันกันแบบ \"พริกบ้านเหนือเกลือบ้านใต้\" เป็น ตน้ ท้ังหมดนส้ี ืบเน่ืองมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เปน็ การใช้ภูมิปัญญา ในการนาเอาหลักขอ พระพุทธศาสนามา ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจาวัน และดาเนินกุศโลบาย ด้านต่างประเทศ จนทาให้ชาวพุทธท่ัว โลกยกย่อง ให้ประเทศไทยเป็นผู้นาทางพุทธศาสนา และเป็น ท่ีตั้งสานักงานใหญ่องค์การพทุ ธศาสนิกสัมพันธ์ แห่งโลก (พสล.) อยู่เยื้องๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี) ดารงตาแหน่งประธาน พสล. ต่อจาก ม.จ.หญงิ พูนพศิ มัย ดิศกุล 4. สร้างความสมดลุ ระหว่างคนในสงั คม และธรรมชาติได้อย่างยั่งยนื ภูมิปัญญาไทยมีความเด่นชัดในเรื่องของการยอมรับนับถือ และให้ความสาคัญแก่คน สังคม และธรรมชาติอย่างยิ่ง มเี คร่อื งชี้ทีแ่ สดงให้เหน็ ได้อยา่ งชัดเจนมากมาย เชน่ ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดทั้งปี ลว้ นเคารพคุณคา่ ของธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ประเพณสี งกรานต์ ประเพณลี อยกระทง เปน็ ต้น ประเพณีสงกรานตเ์ ป็น ประเพณีที่ทาใน ฤดูร้อนซ่ึงมีอากาศร้อน ทาให้ต้องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ้านเรือน และธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มีการแห่นางสงกรานต์ การทานายฝนว่าจะตกมากหรือน้อยในแต่ละปี ส่วนประเพณีลอยกระทง คณุ คา่ อยู่ที่การบชู า ระลกึ ถึงบุญคณุ ของนา้ ที่หลอ่ เล้ียงชีวิตของ คน พชื และสัตว์ ให้ ได้ใช้ท้ังบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแม่น้า ลาธาร บูชาแม่น้าจากตัวอย่าง ขา้ งต้น ล้วนเปน็ ความสมั พันธร์ ะหว่างคนกับสังคมและธรรมชาติ ท้ังสนิ้ ในการรักษาป่าไมต้ ้นน้าลาธาร ได้ประยุกต์ให้มีประเพณีการบวชปา่ ให้คนเคารพส่ิงศักด์ิสทิ ธ์ิ ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม ยังความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้า ลาธาร ให้ฟ้ืนสภาพกลับคืนมาได้มาก อาชีพ การเกษตรเป็นอาชีพหลกั ของคนไทย ท่ีคานงึ ถึงความสมดลุ ทาแตน่ อ้ ยพออยู่พอกนิ แบบ \"เฮด็ อยู่เฮด็ กิน\" ของ พ่อทองดี นันทะ เม่ือเหลอื กนิ กแ็ จกญาติพ่ีน้อง เพื่อนบ้าน บ้านใกล้เรือนเคยี ง นอกจากนี้ ยงั นาไปแลกเปล่ยี น กบั สง่ิ ของอยา่ งอน่ื ทีต่ นไมม่ ี เมื่อเหลือใชจ้ ริงๆ จึงจะนาไปขาย อาจกลา่ วได้วา่ เป็นการเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให้คนในสังคมได้ช่วยเหลือเก้ือกูล แบ่งปันกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมู่บ้าน จึงอยู่ ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความสมั พนั ธ์กันอย่างแนบแน่น ธรรมชาติไม่ถกู ทาลายไปมากนกั เนอื่ งจากทาพออยู่พอ กิน ไมโ่ ลภมากและไม่ทาลายทกุ อยา่ งผิด กบั ในปัจจุบัน ถอื เป็นภมู ปิ ัญญาทส่ี รา้ งความ สมดุลระหว่างคน สงั คม และธรรมชาติ

5. เปลี่ยนแปลงปรับปรุงไดต้ ามยุคสมยั แม้ว่ากาลเวลาจะผา่ นไป ความรู้สมัยใหม่ จะหลงั่ ไหลเข้ามามาก แต่ภูมิปัญญาไทย ก็สามารถ ปรบั เปลี่ยนใหเ้ หมาะสมกับยุคสมัย เช่น การรู้จักนาเคร่ืองยนต์มาติดตั้งกับเรอื ใส่ใบพดั เปน็ หางเสือ ทาให้เรือ สามารถแล่นได้เร็วข้ึน เรียกว่า เรือหางยาว การรู้จักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟื้นคืน ธรรมชาติให้ อดุ มสมบูรณ์แทนสภาพเดิมที่ถูกทาลายไป การรู้จกั ออมเงิน สะสมทุนให้สมาชิกก้ยู ืม ปลดเปลื้อง หน้ีสนิ และจัดสวสั ดิการแกส่ มาชิก จนชมุ ชนมคี วามมน่ั คง เข้มแข็ง สามารถช่วยตนเองได้หลายร้อยหม่บู ้านทั่ว ประเทศ เช่น กลุ่มออมทรัพย์คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชว่ ยตนเองได้ เม่ือป่าถูกทาลาย เพราะถูกตัดโค่น เพื่อปลูกพืชแบบเดี่ยว ตามภูมิปัญญาสมัยใหม่ ที่หวัง รา่ รวย แต่ในที่สุด ก็ขาดทุน และมหี น้ีสิน สภาพแวดล้อมสูญเสียเกิดความแห้งแล้ง คนไทยจึงคิดปลูกป่า ที่กิน ได้ มีพืชสวน พืชป่าไม้ผล พืชสมุนไพร ซึ่งสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกว่า \"วนเกษตร\" บางพื้นที่ เม่ือป่าชุมชน ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกนั เปน็ กลุม่ รักษาปา่ ร่วมกนั สร้างระเบยี บ กฎเกณฑ์กนั เอง ให้ทกุ คนถอื ปฏิบัติ ได้ สามารถรักษาป่าได้อย่างสมบูรณ์ดังเดิม เม่ือปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไม่มีท่ีอยู่อาศัย ประชาชน สามารถสร้าง \"อูหยัม\" ข้ึน เป็นปะการังเทียม ให้ปลาอาศัยวางไข่ และแพร่พันธุ์ให้เจริญเติบโต มีจานวนมาก ดงั เดมิ ได้ ถือเปน็ การใช้ภมู ปิ ญั ญาปรับปรงุ ประยุกต์ใชไ้ ดต้ ามยุคสมัย สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เล่มท่ี 19 ให้ความหมายของคาว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง ความรู้ของชาวบ้าน ซ่ึงได้มาจากประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมทั้งความรู้ท่ี ส่ังสมมาแต่บรรพบุรุษ สืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ระหว่างการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต์ และ เปลยี่ นแปลง จนอาจเกิดเปน็ ความรู้ใหมต่ ามสภาพการณ์ทางสังคมวฒั นธรรม และ ส่งิ แวดล้อม ภูมิปัญญาเป็นความรู้ท่ีประกอบไปด้วยคุณธรรม ซ่ึงสอดคล้องกับวิถีชีวิตด้ังเดิมของชาวบ้าน ในวิถีด้ังเดิมน้ัน ชวี ิตของชาวบ้านไมไ่ ด้แบ่งแยกเป็นส่วนๆ หากแต่ทุกอยา่ งมีความสัมพันธ์กัน การทามาหากิน การอยู่ร่วมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรู้เป็นคุณธรรม เมื่อผู้คนใช้ความรู้น้ัน เพื่อสรา้ งความสัมพันธ์ท่ดี ีระหว่าง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์ที่ดี เป็นความสัมพันธ์ท่ีมีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไม่ทาร้ายทาลายกัน ทาให้ทุกฝ่ายทุกส่วนอยู่ร่วมกันได้ อย่างสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกัน มีคนเฒ่าคนแก่เป็นผู้นา คอยให้คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ้านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ป่า เขา ข้าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ้านเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ทั้งที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว ภูมิปัญญาจึง เป็นความรู้ท่ีมีคุณธรรม เป็นความรู้ท่ีมีเอกภาพของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสัมพันธ์กัน อย่างมีความสมดุล เราจึงยกย่องความรู้ข้ันสูงส่ง อันเป็นความรู้แจ้งในความจริงแห่งชีวิตนี้ว่า \"ภูมิปัญญา\" ความคิดและการแสดงออก เพื่อจะเข้าใจภูมิปัญญาชาวบ้าน จาเป็นต้องเข้าใจความคิดของชาวบ้านเก่ียวกับ

โลก หรือท่ีเรียกว่า โลกทัศน์ และเกี่ยวกับชีวิต หรือท่ีเรียกว่า ชีวทัศน์ สิ่งเหล่าน้ีเป็นนามธรรม อันเกี่ยวข้อง สัมพันธ์โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะต่างๆ ท่ีเป็นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เป็น แนวคิดพ้ืนฐานของภูมิปัญญาชาวบ้าน การแพทย์แผนไทย หรือท่ีเคยเรียกกันว่า การแพทย์แผนโบราณน้ันมี หลักการว่า คนมีสุขภาพดี เม่ือร่างกายมีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะธาตุขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช้ยาสมุนไพร หรือวิธีการอื่นๆ คนเป็นไข้ตัวร้อน หมอยา พ้ืนบา้ นจะให้ยาเย็น เพือ่ ลดไข้ เป็นต้น การดาเนินชีวิตประจาวันก็เช่นเดยี วกัน ชาวบ้านเช่ือว่า จะต้องรกั ษา ความสมดุลในความสัมพันธ์สามด้าน คือ ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพ่ือนบ้านในชุมชน ความสมั พันธท์ ี่ดมี ีหลักเกณฑ์ ที่บรรพบรุ ุษได้สง่ั สอนมา เช่น ลูกควรปฏิบัตอิ ย่างไรกบั พ่อแม่ กบั ญาติพ่นี ้อง กับ ผู้สูงอายุ คนเฒ่าคนแก่ กับเพ่ือนบ้าน พ่อแม่ควรเลี้ยงดูลูกอย่างไร ความเอื้ออาทรต่อกันและกัน ช่วยเหลือ เก้ือกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข์ยาก หรือมีปัญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช้ความสามารถน้ันช่วยเหลือ ผูอ้ ่ืน เช่น บางคนเป็นหมอยา กช็ ่วยดแู ลรักษาคนเจบ็ ป่วยไมส่ บาย โดยไมค่ ิดค่ารักษา มีแต่เพียงการยกครู หรือ การราลึกถึงครูบาอาจารย์ท่ีประสาทวิชามาให้เท่านั้น หมอยาต้องทามาหากิน โดยการทานา ทาไร่ เล้ียงสัตว์ เหมอื นกับชาวบ้านอน่ื ๆ บางคนมคี วามสามารถพิเศษด้านการทามาหากิน กช็ ว่ ยสอนลกู หลานให้มวี ิชาไปดว้ ย ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ์เป็นข้อปฏิบัติ และข้อห้ามอย่าง ชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรมต่างๆ เช่น การรดน้าดาหัวผู้ใหญ่ การบายศรีสู่ ขวัญ เป็นต้น ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ผู้คนสมัยก่อนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด้าน ตั้งแต่อาหารการ กนิ เครอื่ งนงุ่ หม่ ที่อยู่อาศัย และยารกั ษาโรค วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยียังไม่พัฒนาก้าวหน้าเหมือนทุกวันนี้ ยงั ไม่มีระบบการค้าแบบสมัยใหม่ ไม่มีตลาด คนไปจับปลาล่าสัตว์ เพ่ือเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม้ เพ่ือสร้างบ้าน และใช้สอยตามความจาเป็นเท่าน้ัน ไม่ได้ทาเพ่ือการค้า ชาวบ้านมีหลักเกณฑ์ในการใช้สิ่งของในธรรมชาติ ไม่ ตัดไม้อ่อน ทาให้ต้นไม้ในป่าข้ึนแทนต้นที่ถูกตัดไปได้ตลอดเวลา ชาวบ้านยังไม่รู้จักสารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ฆา่ หญา้ ฆา่ สัตว์ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ใช้สิ่งของในธรรมชาตใิ หเ้ กือ้ กลู กัน ใชม้ ูลสตั ว์ ใบไมใ้ บ หญ้าที่เน่าเปื่อยเปน็ ปุ๋ย ทา ให้ดินอดุ มสมบรู ณ์ น้าสะอาด และไม่เหือดแห้ง ชาวบ้านเคารพธรรมชาติ เชื่อว่า มีเทพมีเจ้าสถิตอย่ใู นดิน น้า ป่า เขา สถานท่ีทุกแห่ง จะทาอะไรต้องขออนุญาต และทาด้วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ้านรู้คุณ ธรรมชาติ ที่ได้ให้ชีวิตแก่ตน พิธีกรรมต่างๆ ล้วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกล่าว เช่น งานบุญพิธี ท่ีเกี่ยวกับ น้า ข้าว ป่าเขา รวมถึงสัตว์ บ้านเรือน เครื่องใช้ต่างๆ มีพิธีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญเกวียน ทางอีสานมีพิธี แฮกนา หรอื แรกนา เล้ียงผตี าแฮก มงี านบุญบ้าน เพ่อื เลีย้ งผี หรอื ส่งิ ศกั ดสิ์ ิทธป์ิ ระจาหมบู่ ้าน เป็นต้น ความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ชาวบ้านรู้ว่า มนุษย์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่ง ของ จักรวาล ซ่ึงเต็มไปด้วยความเร้นลับ มีพลัง และอานาจ ที่เขาไม่อาจจะหาคาอธิบายได้ ความเร้นลับดังกล่าว รวมถึงญาตพิ ี่น้อง และผ้คู นท่ลี ่วงลับไปแล้ว ชาวบ้านยงั สัมพันธ์กับพวกเขา ทาบุญ และราลึกถึงอย่างสม่าเสมอ

ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกน้ันเป็นผีดี ผีร้าย เทพเจ้าต่างๆ ตามความเชื่อของแต่ละแห่ง สิ่งเหล่านี้สิง สถิตอยใู่ นส่ิงต่างๆ ในโลก ในจักรวาล และอยู่บนสรวงสวรรคก์ ารทามาหากนิ แม้วิถีชีวิตของชาวบ้านเมื่อก่อนจะดูเรียบง่ายกว่าทุกวันนี้ และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แต่พวกเขาก็ต้องใช้สติปัญญา ท่ีบรรพบุรุษถ่ายทอดมาให้ เพื่อจะได้อยู่ รอด ทั้งนีเ้ พราะปัญหาตา่ งๆ ในอดีตก็ยังมีไม่น้อย โดยเฉพาะเม่อื ครอบครวั มสี มาชิกมากข้ึน จาเปน็ ต้องขยายที่ ทากิน ต้องหักร้างถางพง บกุ เบิก พ้ืนที่ทากินใหม่ การปรบั พ้ืนท่ีป้นั คันนา เพ่ือทานา ซ่ึงเป็นงานที่หนัก การทา ไร่ทานา ปลูกพืชเล้ียงสัตว์ และดูแลรักษาให้เติบโต และได้ผล เป็นงานท่ีต้องอาศัยความรู้ความสามารถ การ จบั ปลาล่าสัตว์กม็ ีวิธีการ บางคนมีความสามารถมากรูว้ ่า เวลาไหน ทใ่ี ด และวธิ ีใด จะจับปลาได้ดีที่สดุ คนท่ีไม่ เกง่ กต็ ้องใช้เวลานาน และไดป้ ลาน้อย การลา่ สตั ว์ก็เช่นเดียวกัน การจัดการแหล่งน้า เพ่ือการเกษตร ก็เป็นความรู้ความสามารถ ท่ีมีมาแต่โบราณ คนทาง ภาคเหนือรู้จักบริหารน้า เพ่ือการเกษตร และเพื่อการบริโภคต่างๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบ่งปันน้ากันตามระบบประเพณีท่ี สืบทอดกันมา มีหัวหน้าที่ทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สัดส่วน และตามพ้ืนท่ีทากิน นับเป็นความรู้ท่ีทาให้ชมุ ชนต่างๆ ท่ีอาศัยอยู่ใกล้ลาน้า ไมว่ ่าต้นน้า หรือปลายน้า ได้รบั การแบง่ ปนั นา้ อย่างยตุ ิธรรม ทกุ คนได้ประโยชน์ และอยูร่ ว่ มกันอย่างสนั ติ ชาวบ้านร้จู ักการแปรรูปผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให้กนิ ได้นาน การดองการ หมัก เชน่ ปลาร้า น้าปลา ผักดอง ปลาเคม็ เน้อื เค็ม ปลาแห้ง เนื้อแหง้ การแปรรูปขา้ ว ก็ทาได้มากมายนบั ร้อย ชนิด เช่น ขนมต่างๆ แต่ละพิธีกรรม และแต่ละงานบุญประเพณี มีข้าวและขนมในรูปแบบไม่ซ้ากัน ต้ังแต่ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอื่นๆ ซ่ึงยังพอมีให้เห็นอยู่จานวนหน่ึง ใน ปัจจุบนั ส่วนใหญป่ รบั เปล่ียนมาเปน็ การผลิตเพอื่ ขาย หรือเป็นอตุ สาหกรรมในครวั เรือน ความรู้เรื่องการปรุงอาหารก็มีอยู่มากมาย แต่ละท้องถิ่นมีรูปแบบ และรสชาติแตกต่างกันไป มมี ากมายนับร้อยนับพันชนิด แม้ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไม่กี่อย่าง แต่โอกาสงานพิธี งาน เลี้ยง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอย่างดี และพิถีพิถัน การทามาหากินในประเพณีเดิมน้ัน เป็นทั้งศาสตร์และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม้ ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อให้รับประทานแล้วอร่อย แต่ให้ได้ความ สวยงาม ทาให้สามารถสมั ผัสกับอาหารน้ัน ไม่เพียงแต่ทางปาก และรสชาติของล้ิน แตท่ างตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ที่ปรุงแต่ด้วยความต้ังใจ ใช้เวลา ฝีมือ และความรู้ความสามารถ ชาวบ้าน สมัยกอ่ นส่วนใหญ่จะทานาเป็นหลัก เพราะเมอื่ มีข้าวแล้ว ก็สบายใจ อยา่ งอ่นื พอหาได้จากธรรมชาติ เสร็จหน้า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ้า ทาเสื่อ เล้ียงไหม ทาเครื่องมือ สาหรับจับสัตว์ เคร่ืองมือการเกษตร และ อปุ กรณต์ า่ งๆ ที่จาเป็น หรือเตรยี มพน้ื ที่ เพอ่ื การทานาครัง้ ตอ่ ไป หัตถกรรมเป็นทรัพย์สิน และมรดกทางภูมิปัญญาที่ย่ิงใหญ่ท่ีสุดอย่างหน่ึงของบรรพบุรุษ เพราะเป็นสื่อที่ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความเชือ่ และคุณค่าต่างๆ ที่ส่ังสมมาแตน่ มนาน ลายผ้า

ไหม ผา้ ฝา้ ย ฝีมือในการทออย่างประณตี รูปแบบเครอื่ งมอื ทส่ี านด้วยไม้ไผ่ และอปุ กรณ์ เคร่ืองใช้ไม้สอยต่างๆ เคร่ืองดนตรี เคร่ืองเล่น ส่ิงเหล่าน้ีได้ถูกบรรจงสร้างขึ้นมา เพื่อการใช้สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให้ใครคน หน่งึ ไมใ่ ชเ่ พ่ือการค้าขาย ชาวบ้านทามาหากินเพียงเพอ่ื การยังชพี ไม่ได้ทาเพื่อขาย มกี ารนาผลิตผลสว่ นหน่ึง ไปแลกสิ่งของท่ีจาเป็น ที่ตนเองไม่มี เช่น นาข้าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไก่ หรือเส้ือผ้า การขายผลิตผลมีแต่ เพียงส่วนน้อย และเม่ือมีความจาเป็นต้องใช้เงิน เพื่อเสียภาษีให้รัฐ ชาวบ้านนาผลิตผล เช่น ข้าว ไปขายใน เมืองให้กบั พ่อคา้ หรือขายให้กับพ่อค้าท้องถน่ิ เช่น ทางภาคอีสาน เรียกวา่ \"นายฮอ้ ย\" คนเหลา่ น้ีจะนาผลิตผล บางอย่าง เชน่ ขา้ ว ปลารา้ ววั ควาย ไปขายในทไี่ กลๆ ทางภาคเหนอื มีพ่อค้าวัวต่างๆ เป็นต้น แม้ว่าความรู้เรอ่ื งการค้าขายของคนสมัยก่อน ไมอ่ าจจะนามาใช้ในระบบตลาดเช่นปัจจุบันได้ เพราะสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่การค้าที่มีจริยธรรมของพ่อค้าในอดีต ที่ไม่ได้หวังแต่เพียง กาไร แต่คานงึ ถึงการช่วยเหลือ แบ่งปนั กันเป็นหลกั ยังมคี ณุ คา่ สาหรบั ปัจจุบนั นอกน้ัน ในหลายพืน้ ที่ในชนบท ระบบการแลกเปล่ียนส่ิงของยังมอี ยู่ โดยเฉพาะในพ้ืนท่ยี ากจน ซง่ึ ชาวบ้านไม่มีเงนิ สด แต่มผี ลติ ผลตา่ งๆ ระบบ การแลกเปล่ียนไม่ได้ยึดหลักมาตราชั่งวัด หรือการตีราคาของส่ิงของ แต่แลกเปล่ียน โดยการคานึงถึง สถานการณ์ของผู้แลกทั้งสองฝ่าย คนที่เอาปลาหรือไก่มาขอแลกข้าว อาจจะได้ข้าวเป็นถัง เพราะเจ้าของข้าว คานึงถึงความจาเป็นของครอบครวั เจา้ ของไก่ ถา้ หากตีราคาเป็นเงิน ขา้ วหน่งึ ถังย่อมมีค่าสงู กว่าไก่หนง่ึ ตวั การอยูร่ ่วมกันในสงั คม การอยู่ร่วมกันในชุมชนดั้งเดิมน้ัน ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพ่ีน้องไม่กี่ตระกูล ซึ่งได้อพยพย้ายถิ่นฐานมา อยู่ หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได้ทั้งชุมชน มีคนเฒ่าคนแก่ท่ีชาวบ้านเคารพนับถือเป็นผู้นาหน้าที่ ของผู้นา ไม่ใช่การส่ัง แต่เป็นผู้ให้คาแนะนาปรึกษา มีความแม่นยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสนิ ไกลเ่ กลี่ย หากเกดิ ความขดั แยง้ ช่วยกนั แกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ ทเ่ี กิดขนึ้ ปัญหาในชุมชนกม็ ไี มน่ ้อย ปัญหาการ ทามาหากิน ฝนแล้ง น้าท่วม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีปัญหาความขัดแย้งภายใน ชมุ ชน หรือระหว่างชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี ส่วนใหญ่จะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพบุรุษ ผู้ ซงึ่ ได้สร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ ไว้ เช่น กรณีที่ชายหนุ่มถูกเน้ือต้องตัวหญิงสาวทย่ี ังไม่แต่งงาน เป็นต้น หากเกิดการ ผิดผีข้ึนมา ก็ต้องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒ่าคนแก่เป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการว่ากล่าวสั่งสอน และ ชดเชยการทาผิดน้ัน ตามกฎเกณฑ์ท่ีวางไว้ ชาวบ้านอยู่อย่างพ่ึงพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ยามเกิด อุบัติเหตุเภทภัย ยามท่ีโจรขโมยวัวควายข้าวของ การชว่ ยเหลือกันทางานท่ีเรียกกันวา่ การลงแขก ทัง้ แรงกาย แรงใจทม่ี ีอยกู่ ็จะแบง่ ปันช่วยเหลือ เอื้ออาทรกนั การ แลกเปล่ียนสิ่งของ อาหารการกิน และอ่ืนๆ จึงเก่ียวข้อง กับวิถีของชุมชน ชาวบ้านช่วยกันเก็บเก่ียวข้าว สร้างบ้าน หรืองานอื่นที่ต้องการคนมากๆ เพ่ือจะได้เสร็จ โดยเรว็ ไม่มีการจ้าง กรณีตวั อย่างจากการปลูกข้าวของชาวบ้าน ถา้ ปหี นง่ึ ชาวนาปลูกข้าวไดผ้ ลดี ผลิตผลที่ได้จะใช้เพอ่ื การ บรโิ ภคในครอบครัว ทาบุญท่ีวัด เผื่อแผ่ให้พี่น้องท่ขี าดแคลน แลกของ และเก็บไว้ เผ่ือว่าปีหน้าฝนอาจแลง้ น้า

อาจท่วม ผลติ ผล อาจไมด่ ีในชุมชนตา่ งๆ จะมผี ้มู คี วามรู้ความสามารถหลากหลาย บางคนเกง่ ทางการรักษาโรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลี้ยงสัตว์ บางคนทางด้านดนตรีการละเล่น บางคนเก่งทางด้าน พธิ ีกรรม คนเหลา่ น้ีตา่ งก็ใช้ความสามารถ เพื่อประโยชน์ของชุมชน โดยไม่ถือเป็นอาชพี ที่มีค่าตอบแทน อย่าง มากกม็ ี \"ค่าครู\" แต่เพียงเลก็ น้อย ซง่ึ ปกติแล้ว เงนิ จานวนนน้ั ก็ใช้สาหรบั เครื่องมอื ประกอบพิธีกรรม หรือ เพื่อ ทาบุญท่ีวัด มากกว่าที่หมอยา หรือบุคคลผู้น้ัน จะเก็บไว้ใช้เอง เพราะแท้ที่จริงแล้ว \"วิชา\" ที่ครูถ่ายทอดมา ให้แก่ลูกศิษย์ จะต้องนาไปใช้ เพื่อประโยชน์แก่สังคม ไม่ใช่เพ่ือผลประโยชน์ส่วนตัว การตอบแทนจึงไม่ใช่เงิน หรือสิ่งของเสมอไป แต่เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยวิธีการต่าง ๆ ด้วยวิถีชีวิตเช่นน้ี จึงมีคาถาม เพื่อเป็น การสอนคนรุ่นหลังว่า ถ้าหากคนหน่ึงจับปลาช่อนตัวใหญ่ได้หน่ึงตัว ทาอย่างไรจึงจะกินได้ทั้งปี คนสมัยน้ี อาจจะบอกว่า ทาปลาเค็ม ปลาร้า หรือเก็บรักษาด้วยวิธีการต่างๆ แต่คาตอบที่ถูกต้อง คือ แบ่งปันให้พี่น้อง เพ่อื นบ้าน เพราะเมือ่ เขาได้ปลา เขาก็จะทากับเราเชน่ เดยี วกนั ชีวิตทางสงั คมของหมู่บ้าน มศี ูนยก์ ลางอยู่ทว่ี ัด กจิ กรรมของส่วนรวม จะทากนั ทวี่ ดั งานบญุ ประเพณีต่างๆ ตลอดจนการละเลน่ มหรสพ พระสงฆ์เปน็ ผนู้ าทางจติ ใจ เป็นครูทสี่ อนลูกหลานผู้ชาย ซึ่งไปรับใช้พระสงฆ์ หรอื \"บวชเรียน\" ทงั้ น้ีเพราะก่อนนย้ี ังไม่มี โรงเรียน วัดจงึ เปน็ ท้งั โรงเรียน และหอประชุม เพ่ือกจิ กรรมตา่ งๆ ต่อเมื่อโรงเรยี นมขี ้นึ และแยกออกจากวัด บทบาทของวัด และของพระสงฆ์ จงึ เปล่ียนไป งานบุญประเพณีในชุมชนแต่ก่อนมีอยู่ทุกเดือน ต่อมาก็ลดลงไป หรอื สองสามหมู่บ้านร่วมกันจัด หรือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เช่น งานเทศน์มหาชาติ ซึ่งเป็นงานใหญ่ หมู่บ้านเล็กๆ ไม่อาจจะจัดได้ทุกปี งาน เหล่านมี้ ีทัง้ ความเชอ่ื พิธีกรรม และความสนุกสนาน ซึ่งชุมชนแสดงออกร่วมกนั ระบบคณุ คา่ ความเชื่อในกฎเกณฑ์ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนด้ังเดิม ความเช่ือนี้เป็นรากฐานของ ระบบคุณค่าต่างๆ ความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ความเมตตาเอื้ออาทรต่อผู้อ่ืน ความเคารพต่อส่ิง ศกั ดิ์สทิ ธิใ์ นธรรมชาตริ อบตัว และในสากลจกั รวาล ความเชื่อ \"ผี\" หรือส่ิงศักดิ์สิทธ์ิในธรรมชาติ เป็นที่มาของการดาเนินชีวิต ทั้งของส่วนบุคคล และของ ชุมชน โดยรวมการเคารพในผีปู่ตา หรือผีปู่ย่า ซ่ึงเป็นผีประจาหมู่บ้าน ทาให้ชาวบ้านมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เปน็ ลกู หลานของปู่ตาคนเดียวกัน รกั ษาปา่ ทีม่ ีบา้ นเลก็ ๆ สาหรบั ผี ปลูกอยตู่ ิดหมู่บ้าน ผปี ่า ทาให้คนตดั ไม้ดว้ ย ความเคารพ ขออนุญาตเลือกตดั ต้นแก่ และปลูกทดแทน ไมท่ ิง้ สง่ิ สกปรกลงแม่นา้ ด้วยความเคารพในแมค่ งคา กินขา้ วด้วยความเคารพ ในแมโ่ พสพ คนโบราณกนิ ขา้ วเสรจ็ จะไหวข้ ้าว พิธีบายศรีสู่ขวัญ เป็นพิธีรื้อฟื้น กระชับ หรือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหม่ ในชุมชน คนป่วย หรือกาลังฟื้นไข้ คนเหล่านี้จะได้รับพิธีสู่ขวัญ เพื่อให้เป็น สริ ิมงคล มคี วามอยเู่ ยน็ เป็นสขุ นอกนน้ั ยงั มีพิธสี ืบชะตาชวี ติ ของบคุ คล หรอื ของชุมชน

นอกจากพิธีกรรมกับคนแล้ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว์และธรรมชาติ มีพิธีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญ เกวียน เป็นการแสดงออกถึงการขอบคุณ การขอขมา พิธดี ังกล่าวไม่ได้มีความหมายถึงวา่ สง่ิ เหล่าน้ีมีจิต มีผีใน ตัวมันเอง แต่เป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ์กับจิตและส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ อันเป็นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทา ให้ผู้คนมีความสัมพันธ์อันดีกับทุกส่ิง คนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ท่ีมาจากหมู่บ้าน ยังซ้ือดอกไม้ แล้วแขวนไว้ท่ี กระจกในรถ ไม่ใช่เพ่ือเซ่นไหว้ผีในรถแท็กซี่ แต่เป็นการราลึกถึงส่ิงศักดิ์สิทธิ์ ใน สากลจักรวาล รวมถึงท่ีสิงอยู่ ในรถคันนั้น ผู้คนสมัยก่อนมีความสานึกในข้อจากัดของตนเอง รู้ว่า มนุษย์มีความอ่อนแอ และเปราะบาง หากไม่รักษาความสัมพันธ์อันดี และไม่คงความสมดุลกับธรรมชาติรอบตัวไว้ เขาคงไม่สามารถมีชีวิตได้อย่าง เป็นสุข และยืนนาน ผู้คนทั่วไปจึงไม่มีความอวดกล้าในความสามารถของตน ไม่ท้าทายธรรมชาติ และสิ่ง ศักดิส์ ิทธิ์ มีความออ่ นนอ้ มถ่อมตน และรักษากฎระเบยี บประเพณีอยา่ งเคร่งครดั ชีวิตของชาวบ้านในรอบหนึ่งปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเชื่อ และความสัมพันธ์ ระหว่างผู้คนในสังคม ระหว่างคนกับธรรมชาติ และระหว่างคนกับสิ่งศักด์ิสิทธิ์ต่างๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานท่ีเรียกว่า ฮีตสิบสอง คือ เดือนอ้าย (เดือนที่หนึ่ง) บุญเข้ากรรม ให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม เดือนยี่ (เดือนท่ีสอง) บุญคูณลาน ให้นาข้าวมากองกันที่ลาน ทาพิธีก่อนนวด เดือนสาม บุญข้าวจ่ี ให้ถวาย ข้าวจี่ (ข้าวเหนียวป้ันชุบไขท่ าเกลอื นาไปย่างไฟ) เดอื นส่ี บุญพระเวส ใหฟ้ ังเทศน์มหาชาติ คือ เทศน์เรอื่ งพระ เวสสันดรชาดก เดือนห้า บุญสรงน้า หรือบุญสงกรานต์ ให้สรงน้าพระ ผู้เฒ่าผู้แก่ เดือนหก บุญบั้งไฟ บูชา พญาแถน ตามความเชือ่ เดิม และบญุ วสิ าขบชู า ตามความเชอื่ ของชาวพุทธ เดือนเจด็ บุญซาฮะ (บุญชาระ) ให้ บนบานพระภูมเิ จา้ ที่ เลี้ยงผีป่ตู า เดอื นแปด บญุ เข้าพรรษา เดือนเก้า บุญข้าวประดับดนิ ทาบญุ อทุ ศิ สว่ นกศุ ล ใหญ้ าติพน่ี ้องผลู้ ่วงลบั เดือนสิบ บญุ ขา้ วสาก ทาบุญเชน่ เดือนเก้า รวมให้ผไี ม่มีญาติ (ภาคใต้มีพิธีคล้ายกัน คือ งานพิธีเดือนสิบ ทาบุญให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว แบ่งข้าวปลาอาหารส่วนหน่ึงให้แก่ผีไม่มีญาติ พวก เด็กๆ ชอบแยง่ กันเอาของท่ีแบง่ ให้ผีไมม่ ญี าตหิ รือเปรต เรียกวา่ \"การชิงเปรต\") เดือนสบิ เอด็ บุญออกพรรษา เดอื นสบิ สอง บุญกฐิน จัดงานกฐนิ และลอยกระทง ภมู ปิ ัญญาชาวบ้านในสงั คมปัจจุบัน ภูมิปัญญาชาวบา้ นได้ก่อเกิด และสืบทอดกันมาในชุมชนหมบู่ า้ น เมื่อหมู่บ้านเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสังคมสมัยใหม่ ภูมิปัญญาชาวบ้านก็มีการปรับตัวเช่นเดียวกัน ความรู้ จานวนมากไดส้ ูญหายไป เพราะไม่มกี ารปฏบิ ัติสืบทอด เช่น การรักษาพ้ืนบ้านบางอย่าง การใช้ยาสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาที่เก่งๆ ได้เสียชีวิต โดยไม่ได้ถ่ายทอดให้กับคนอ่ืน หรือถ่ายทอด แต่คนต่อมาไม่ได้ปฏิบัติ เพราะชาวบ้านไม่นิยมเหมือนเมื่อก่อน ใช้ยาสมัยใหม่ และไปหาหมอ ท่ีโรงพยาบาล หรือคลินิก ง่ายกว่า งาน หันตถกรรม ทอผ้า หรือเคร่ืองเงิน เครื่องเขิน แม้จะยังเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ก็ได้ถูกพัฒนาไปเป็นการค้า ไม่ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบดั้งเดิมไว้ได้ ในการทามาหากินมีการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ใช้รถไถแทน ควาย รถอแี ต๋นแทนเกวียน

การลงแขกทานา และปลูกสร้างบ้านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ้างงานกันมากขึ้น แรงงานก็หา ยากกว่าแตก่ ่อน ผู้คนอพยพย้ายถิ่น บ้างกเ็ ข้าเมือง บ้างกไ็ ปทางานที่อ่ืน ประเพณีงานบญุ ก็เหลือไมม่ าก ทาได้ ก็ต่อเมือ่ ลูกหลานที่จากบา้ นไปทางาน กลับมาเยี่ยมบ้านในเทศกาลสาคัญๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา เปน็ ตน้ สงั คมสมัยใหม่มีระบบการศึกษาในโรงเรียน มีอนามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วทิ ยุ โทรทัศน์ และ เครื่องบันเทิงต่างๆ ทาให้ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมู่บ้านเปลี่ยนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ้าหน้าท่ีราชการ ฝา่ ยปกครอง ฝา่ ยพัฒนา และอ่ืนๆ เขา้ ไปในหม่บู ้าน บทบาทของวัด พระสงฆ์ และคนเฒ่าคนแก่เริ่มลดน้อยลง การทามาหากินก็เปลี่ยนจากการทาเพ่ือยังชีพไปเป็นการผลิตเพ่ือการขาย ผู้คนต้องการเงิน เพ่ือซ้ือเคร่ือง บริโภคต่างๆ ทาให้ส่ิงแวดล้อม เปลี่ยนไป ผลิตผลจากป่าก็หมด สถานการณ์เช่นน้ีทาให้ผู้นาการพัฒนาชุมชน หลายคน ท่ีมีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เร่ิมเห็นความสาคัญของภูมิปัญญา ชาวบ้าน หน่วยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให้การสนบั สนุน และสง่ เสริมให้มีการอนุรกั ษ์ ฟ้ืนฟู ประยุกต์ และค้นคดิ สงิ่ ใหม่ ความรใู้ หม่ เพอ่ื ประโยชนส์ ุขของสงั คม

ท่ีมาและความสาคญั ของภูมิปัญญาศกึ ษา จากพระราชดารัสของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช ทว่ี ่า “ประชาชนนน่ั แหละ ท่ีเขามีความรู้เขาทางานมาหลายช่ัวอายุคน เขาทากันอย่างไร เขามคี วามเฉลียวฉลาด เขารู้ว่าตรงไหน ควรทา กสิกรรม เขารู้วา่ ตรงไหนควรเก็บรกั ษาไว้ แตท่ ี่เสยี ไปเพราะพวกไม่รูเ้ รื่อง ไม่ได้ทามานานแล้ว ทาให้ลืมว่าชีวิต มันเป็นไปโดยการกระทาที่ถูกต้องหรือไม่” พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา-ภูมิพลอดุลย เดช ที่สะท้อนถึงพระปรีชาสามารถในการรับร้แู ละความเข้าใจหย่ังลกึ ท่ีทรงเห็นคุณคา่ ของภมู ิปัญญาไทยอย่าง แท้จริง พระองค์ทรงตระหนักเป็นอย่างยิ่งว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นส่ิงที่ชาวบ้านมีอยู่แล้ว ใช้ประโยชน์เพ่ือ ความอยู่รอดกันมายาวนาน ความสาคัญของภูมิปัญญาท้องถ่ิน ซ่ึงความรู้ที่สั่งสมจากการปฏิบัติจริงใน ห้องทดลองทางสังคม เป็นความรู้ด้ังเดิมที่ถูกค้นพบ มีการทดลองใช้ แก้ไข ดัดแปลง จนเป็นองค์ความรู้ท่ี สามารถแก้ปัญหาในการดาเนินชีวติ และถ่ายทอดสืบต่อกันมา ภมู ิปญั ญาท้องถิ่น เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาท่คี น ไทยทุกคนควรรู้ ควรศึกษา ปรับปรุง และพัฒนาให้สามารถนาภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านั้นมาแก้ไขปัญหาให้ สอดคล้องกับบริบททางสงั คม วฒั นธรรมของกลุ่มชุมชนน้ัน ๆ อยา่ งแท้จริง การพัฒนาภูมิปัญญาศึกษานับเป็น สง่ิ สาคัญต่อบทบาทของชุมชนท้องถ่นิ ท่ีไดพ้ ยายามสรา้ งสรรค์ เป็นน้าพักน้าแรงรว่ มกันของผู้สูงอายุและคนใน ชุมชนจนกลายเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมประจาถิ่นท่ีเหมาะต่อการดาเนินชีวิต หรือภูมิปัญญาของคนใน ท้องถ่ินนั้น ๆ แต่ภูมิปัญญาท้องถ่ินส่วนใหญ่เป็นความรู้ หรือเป็นส่ิงที่ได้มาจากประสบการณ์ หรือเป็นความ เช่ือสืบต่อกันมา แต่ยังขาดองค์ความรู้ หรือขาดหลักฐานยืนยันหนักแน่น การสร้างการยอมรับท่ีเกิดจากฐาน ภูมิปญั ญาท้องถิน่ จงึ เปน็ ไปได้ยาก ดังน้ัน เพ่ือให้เกิดการส่งเสริมพัฒนาภูมิปัญญาท่ีเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น กระตุ้นเกิดความ ภาคภมู ิใจในภูมปิ ญั ญาของบุคคลในท้องถนิ่ ภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย เกิดการถา่ ยทอดภูมปิ ญั ญาสคู่ น รุ่นหลัง โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น ได้ดาเนินการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนา ศักยภาพผู้สูงอายุในท้องถ่ินที่เน้นให้ผู้สูงอายุได้พัฒนาตนเองให้มีความพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพใน อนาคต รวมทั้งสืบทอดภูมิปัญญาในการดารงชีวิตของนักเรียนผู้สูงอายุท่ีได้สั่งสมมา เกิดจากการสืบทอดภูมิ ปัญญาของบรรพบุรุษ โดยนักเรียนผู้สูงอายุจะเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ และมีครูพี่เล้ียงซึ่งเป็นคณะครูของ โรงเรยี นในสังกดั เทศบาลเมอื งวังน้าเยน็ เปน็ ผ้เู รยี บเรยี งองค์ความรูไ้ ปส่กู ารจดั ทาภูมปิ ญั ญาศกึ ษา ให้ปรากฏออกมาเป็นรูปเลม่ ภมู ปิ ัญญาศกึ ษา ใช้เป็นสว่ นหนึง่ ในการจบหลกั สตู รการศกึ ษาของโรงเรียนผสู้ ูงอายุ ประจาปีการศึกษา 2562 พร้อมท้ังเผยแพร่และจัดเก็บคลังภูมิปัญญาไว้ในห้องสมุดของโรงเรียนเทศบาลมิตร สัมพันธว์ ิทยา เพือ่ ให้ภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ เหล่านี้เกดิ การถ่ายทอดส่คู นรุ่นหลังสบื ตอ่ ไป จากความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานและภาคีเครือข่ายท่ีมีส่วนร่วมในการผสมผสาน องคค์ วามรู้ เพอ่ื ยกระดับความรู้ของภมู ิปัญญาน้ันๆ เพอ่ื นาไปส่กู ารประยุกต์ใช้ และผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้สอดรับกับวิถีชีวิตของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนาภูมิปัญญาไทยกลับสู่การศึกษาสามารถส่งเสริม ให้มกี ารถ่ายทอดภูมิปญั ญาในโรงเรียนเทศบาลมิตรสัมพันธว์ ิทยา และโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองวังน้าเย็น

เกิดการมีส่วนร่วมในกระบวนการถ่ายทอด เช่ือมโยงความรู้ให้กับนักเรียนและบุคคลทั่วไปในท้องถ่ิน โดยการ นาบุคลากรทมี่ ีความรคู้ วามสามารถในท้องถ่ินเข้ามาเป็นวิทยากรให้ความรู้กบั นักเรยี นในโอกาสต่างๆ หรอื การ ที่โรงเรียนนาองค์ความรู้ในท้องถิ่น เข้ามาสอนสอดแทรกในกระบวนการจัดการเรียนรู้ สิ่งเหล่าน้ีทาให้การ พัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น นาไปสู่การสืบทอดภูมิปัญญาศึกษา เกิดความสาเร็จอย่างเป็นรูปธรรม นักเรียน ผู้สูงอายุเกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของตนที่ได้ถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลังให้คงอยู่ในท้องถิ่น เป็นวัฒนธรรม การดาเนนิ ชวี ิตประจาทอ้ งถิ่น เปน็ วัฒนธรรมการดาเนนิ ชีวิตคแู่ ผน่ ดนิ ไทยตราบนานเทา่ นาน นยิ ามคาศัพท์ในการจดั ทาภมู ิปญั ญาศกึ ษา ภูมิปัญญาศึกษา หมายถึง การนาภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีผู้สูงอายุเชี่ยวชาญที่สุด ของ ผู้สูงอายุที่เข้าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรยี นผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวังน้าเย็น มาศึกษาและสืบทอดภูมิปัญญา ในรูปแบบต่าง ๆ มีการสืบทอดภูมิปัญญาโดยการปฏิบัตแิ ละการเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษรตามรูปแบบท่ี โรงเรียนผู้สูงอายุกาหนดขึ้น ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการจบหลักสูตรการศึกษา เพ่ือให้ภูมิปัญญาของผู้สูงอายุได้รับ การถา่ ยทอดสคู่ นรนุ่ หลงั และคงอยใู่ นทอ้ งถ่นิ ต่อไป ซึ่งแบ่งภมู ปิ ัญญาศกึ ษาออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ภมู ิปญั ญาศึกษาที่ผู้สูงอายเุ ปน็ ผู้คิดค้นภมู ปิ ญั ญาในการดาเนินชวี ิตในเรอ่ื งท่ีเชย่ี วชาญทส่ี ดุ ดว้ ย ตนเอง 2. ภูมิปัญญาศึกษาที่ผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาท่ีสืบทอดจากบรรพบุรุษมาประยุกต์ใช้ในการดาเนิน ชีวติ จนเกิดความเช่ียวชาญ 3. ภูมิปัญญาศึกษาที่ผู้สูงอายุเป็นผู้นาภูมิปัญญาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาใช้ในการดาเนินชีวิตโดย ไม่มีการเปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ จนเกดิ ความเช่ยี วชาญ ผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญา หมายถึง ผ้สู ูงอายุที่เข้าศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมือง วังน้าเย็น เป็นผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการดาเนินชีวิตในเร่ืองท่ีตนเองเชี่ยวชาญมากที่สุด นามาถ่ายทอดให้แก่ผู้ เรยี บเรยี งภมู ิปัญญาท้องถิน่ ไดจ้ ัดทาข้อมลู เป็นรูปเลม่ ภูมิปญั ญาศึกษา ผู้เรียบเรียงภูมิปัญญาท้องถ่ิน หมายถึง ผู้ที่นาภูมิปัญญาในการดาเนินชีวิตในเรื่องท่ีผู้สูงอายุ เช่ียวชาญที่สุดมาเรียบเรียงเป็นลายลักษณ์อักษร ศึกษาหาข้อมูลเพ่ิมเติมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ จัดทาเป็น เอกสารรปู เล่ม ใช้ชือ่ ว่า “ภมู ปิ ัญญาศึกษา”ตามรปู แบบท่ีโรงเรยี นผู้สูงอายเุ ทศบาลเมืองวังน้าเยน็ กาหนด ครูทปี่ รึกษา หมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เปน็ ครพู ่ีเล้ียง เป็นผ้เู รยี บเรียงภูมปิ ัญญาท้องถิ่น ปฏบิ ัติหน้าที่ เป็นผู้ประเมินผล เป็นผู้รับรองภูมิปัญญาศึกษา รวมทั้งเป็นผู้นาภูมิปัญญาศึกษาเข้ามาสอนในโรงเรียน โดย บรู ณาการการจัดการเรยี นรตู้ ามหลกั สูตรท้องถ่ินทีโ่ รงเรยี นจัดทาขึน้

ภูมปิ ัญญาศกึ ษาเชอื่ มโยงส่สู ารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชนฯ 1. ลักษณะของภมู ิปัญญาไทย ลักษณะของภูมปิ ญั ญาไทย มีดงั นี้ 1. ภูมปิ ญั ญาไทยมีลักษณะเป็นท้ังความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤติกรรม 2. ภมู ปิ ัญญาไทยแสดงถงึ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งคนกับคน คนกับธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม และคนกับสง่ิ เหนือธรรมชาติ 3. ภมู ิปัญญาไทยเปน็ องคร์ วมหรอื กจิ กรรมทกุ อยา่ งในวิถชี วี ิตของคน 4. ภูมปิ ัญญาไทยเปน็ เร่ืองของการแกป้ ัญหา การจดั การ การปรบั ตวั และการเรยี นรู้ เพื่อความอยรู่ อดของบุคคล ชมุ ชน และสงั คม 5. ภมู ิปัญญาไทยเปน็ พื้นฐานสาคญั ในการมองชีวิต เปน็ พืน้ ฐานความรูใ้ นเรื่องต่างๆ 6. ภมู ิปญั ญาไทยมีลักษณะเฉพาะ หรือมเี อกลกั ษณใ์ นตวั เอง 7. ภมู ิปัญญาไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพ่ือการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสงั คม 2. คณุ สมบัตขิ องภูมปิ ัญญาไทย ผทู้ รงภมู ปิ ญั ญาไทยเปน็ ผมู้ คี ุณสมบตั ติ ามทกี่ าหนดไว้ อย่างนอ้ ยดังต่อไปน้ี 1. เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพต่างๆ มีผลงานด้านการพัฒนา ท้องถ่ินของตน และได้รับการยอมรับจากบุคคลท่ัวไปอย่างกว้างขวาง ท้ังยังเป็นผู้ท่ีใช้หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเปน็ เคร่อื งยดึ เหนี่ยวในการดารงวถิ ีชวี ิตโดยตลอด 2. เป็นผู้คงแก่เรียนและหม่ันศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ผู้ทรงภูมิปัญญาจะเป็นผู้ที่หม่ันศึกษา แสวงหาความรู้เพ่ิมเติมอยู่เสมอไม่หยุดน่ิง เรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผู้ลงมือทา โดยทดลองทา ตามที่เรียนมา อีกทง้ั ลองผดิ ลองถูก หรือสอบถามจากผู้รู้อน่ื ๆ จนประสบความสาเร็จ เป็นผู้เช่ียวชาญ ซึ่งโดด เด่นเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละด้านอย่างชัดเจน เป็นท่ียอมรับการเปลี่ยนแปลงความรู้ใหม่ๆ ท่ีเหมาะสม นามา ปรบั ปรงุ รบั ใช้ชุมชน และสงั คมอยู่เสมอ 3. เป็นผู้นาของท้องถ่ิน ผู้ทรงภูมิปัญญาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่สังคม ในแต่ละท้องถนิ่ ยอมรับให้ เป็นผู้นา ท้ังผู้นาที่ได้รับการแต่งต้ังจากทางราชการ และผู้นาตามธรรมชาติ ซ่ึงสามารถเป็นผู้นาของท้องถิ่น และชว่ ยเหลอื ผ้อู ่ืนได้เปน็ อย่างดี 4. เปน็ ผ้ทู ่ีสนใจปัญหาของท้องถ่ิน ผู้ทรงภมู ปิ ัญญาล้วนเป็นผทู้ ่ีสนใจปญั หาของท้องถน่ิ เอาใจ ใส่ ศึกษาปัญหา หาทางแก้ไข และช่วยเหลือสมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล้เคียงอย่างไม่ย่อท้อ จน ประสบความสาเรจ็ เป็นท่ียอมรบั ของสมาชกิ และบุคคลทวั่ ไป

5. เป็นผขู้ ยันหม่ันเพียร ผู้ทรงภูมปิ ญั ญาเป็นผขู้ ยันหม่ันเพียร ลงมอื ทางานและผลติ ผลงานอยู่ เสมอ ปรับปรงุ และพฒั นาผลงานใหม้ ีคณุ ภาพมากขึน้ อีกทั้งมุง่ ทางานของตนอยา่ งต่อเนื่อง 6. เปน็ นักปกครองและประสานประโยชนข์ องท้องถิน่ ผทู้ รงภมู ิปญั ญา นอกจากเปน็ ผู้ท่ี ประพฤตติ นเปน็ คนดี จนเป็นที่ยอมรับนบั ถือจากบุคคลทัว่ ไปแลว้ ผลงานทที่ า่ นทายังถือว่ามีคณุ คา่ จงึ เปน็ ผทู้ ี่ มีทั้ง \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผู้ประสานประโยชนใ์ หบ้ ุคคลเกดิ ความรกั ความเข้าใจ ความเห็น ใจ และมคี วามสามัคคกี นั ซึ่งจะทาให้ท้องถน่ิ หรือสงั คม มีความเจรญิ มคี ุณภาพชีวิตสูงข้นึ กว่าเดมิ 7. มีความสามารถในการถ่ายทอดความรเู้ ป็นเลิศ เมื่อผู้ทรงภูมปิ ญั ญามีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์เป็นเลิศ มีผลงานทเี่ ปน็ ประโยชน์ต่อผู้อ่นื และบุคคลท่ัวไป ทั้งชาวบา้ น นักวชิ าการ นกั เรียน นิสติ /นกั ศึกษา โดยอาจเข้าไปศกึ ษาหาความรู้ หรอื เชญิ ท่านเหลา่ น้นั ไป เป็นผู้ถ่ายทอดความรไู้ ด้ 8. เป็นผู้มีคู่ครองหรือบริวารดี ผู้ทรงภูมิปัญญา ถ้าเป็นคฤหัสถ์ จะพบว่า ล้วนมีคู่ครองท่ีดีท่ี คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ ให้กาลังใจ ให้ความร่วมมือในงานที่ท่านทา ช่วยให้ผลิตผลงานท่ีมีคุณค่า ถ้าเป็น นักบวช ไมว่ ่าจะเป็นศาสนาใด ตอ้ งมีบรวิ ารทด่ี ี จึงจะสามารถผลิตผลงานทม่ี คี ณุ ค่าทางศาสนาได้ 9. เป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเชีย่ วชาญจนไดร้ ับการยกย่องวา่ เป็นปราชญ์ ผูท้ รงภมู ิปัญญา ตอ้ ง เป็นผู้มีปัญญารอบรู้และเช่ียวชาญ รวมท้ังสร้างสรรค์ผลงานพิเศษใหม่ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อสังคมและ มนษุ ยชาติอยา่ งตอ่ เนอื่ งอย่เู สมอ 3. การจัดแบ่งสาขาภูมปิ ัญญาไทย จากการศกึ ษาพบวา่ มีการกาหนดสาขาภูมิปัญญาไทยไวอ้ ย่างหลากหลาย ข้นึ อยูก่ ับวัตถุประสงค์ และ หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่หน่วยงาน องค์กร และนักวิชาการแต่ละท่านนามากาหนด ในภาพรวมภูมิปัญญาไทย สามารถแบง่ ได้เปน็ 10 สาขา ดังนี้ 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และ เทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพ้ืนฐานคุณค่าด้ังเดิม ซ่ึงคนสามารถพึ่งพาตนเองใน ภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไร่นาสวนผสม และ สวนผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิต การแก้ไขปัญหาโรคและ แมลง และการรู้จักปรบั ใชเ้ ทคโนโลยที ่เี หมาะสมกับการเกษตร เปน็ ตน้ 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ใน การแปรรปู ผลิตผล เพื่อชะลอการนาเข้าตลาด เพือ่ แก้ปญั หาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการท่ีทาให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดท้ังการผลิต และ การจาหนา่ ย ผลิตผลทางหตั ถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุม่ หัตถกรรม เป็น ตน้

3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษา สุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเอง ทางด้านสุขภาพ และอนามัยได้ เช่น การนวด แผนโบราณ การดูแลและรักษาสขุ ภาพแบบพ้นื บา้ น การดูแลและรกั ษาสุขภาพแผนโบราณไทย เปน็ ต้น 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ การพฒั นา และการใช้ประโยชน์จากคุณค่าของ ทรัพยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดลอ้ ม อยา่ งสมดลุ และย่ังยืน เชน่ การทาแนวปะการังเทยี ม การอนรุ ักษ์ปา่ ชาย เลน การจดั การปา่ ต้นนา้ และปา่ ชมุ ชน เปน็ ต้น 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการ สะสม และบริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ทั้งท่ีเป็นเงินตรา และโภคทรัพย์ เพ่ือส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ ของสมาชกิ ในชุมชน เช่น การจัดการเรื่องกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณอ์ อมทรพั ย์ และธนาคารหมู่บา้ น เป็นต้น 6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให้เกิดความม่ันคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เช่น การจัดต้ังกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาล ของชมุ ชน การจดั ระบบสวัสดกิ ารบริการในชมุ ชน การจัดระบบสง่ิ แวดล้อมในชุมชน เป็นตน้ 7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทศั นศลิ ป์ คีตศิลป์ ศิลปะมวยไทย เป็นตน้ 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดาเนินงานของ องค์กรชุมชนต่างๆ ให้สามารถพัฒนา และบริหารองค์กรของตนเองได้ ตามบทบาท และหน้าท่ีขององค์การ เช่น การจัดการองค์กรของกลมุ่ แมบ่ ้าน กลุ่มออมทรัพย์ กล่มุ ประมงพนื้ บ้าน เปน็ ตน้ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลติ ผลงานเก่ียวกับดา้ นภาษา ท้ังภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษา ตลอดทั้งด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทา สารานุกรมภาษาถ่นิ การปริวรรต หนงั สอื โบราณ การฟื้นฟกู ารเรียนการสอนภาษาถิน่ ของท้องถ่นิ ต่าง ๆ เปน็ ต้น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคา สอนทางศาสนา ความเช่ือ และประเพณีด้ังเดิมท่ีมีคุณค่าให้เหมาะสมต่อการประพฤติปฏบิ ัติ ให้บงั เกดิ ผลดีต่อ บุคคล และส่ิงแวดล้อม เช่น การถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาไทยภูมิ- ปัญญาไทยสามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลักษณะทส่ี มั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กนั คือ 10.1 ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันระหว่างคนกับโลก ส่ิงแวดล้อม สัตว์ พืช และ ธรรมชาติ 10.2 ความสัมพันธข์ องคนกบั คนอื่นๆ ทีอ่ ยู่รว่ มกันในสังคม หรือในชมุ ชน

10.3 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับส่ิงศักดิ์สิทธ์ิส่ิงเหนือธรรมชาติ ตลอดท้ังส่ิงท่ีไม่สามารถ สัมผัสได้ทั้งหลาย ท้ัง 3 ลักษณะน้ี คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท้อนออกมาถึงภูมิ ปัญญาในการดาเนินชีวิตอย่างมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิปัญญา จึงเป็นรากฐานในการ ดาเนินชีวิตของคนไทย ซ่ึงสามารถแสดงให้เห็นได้ อยา่ งชดั เจนโดยแผนภาพ ดังน้ี ลั ก ษ ณ ะ ภู มิ ปั ญ ญ า ท่ี เ กิ ด จ า ก ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม จะแสดงออกมาในลักษณะภูมิปัญญาในการ ดาเนินวิถีชีวิตข้ันพื้นฐานด้านปัจจัยสี่ ซ่ึง ประกอบด้วย อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย และยารักษาโรค ตลอดท้ังการประกอบอาชีพ ตา่ งๆ เป็นต้น ภูมิปัญญาทีเ่ กดิ จาก ความสัมพนั ธ์ ระหว่างคนกับคนอื่นในสังคม จะแสดงออกมาในลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ และ นันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดท้งั การสื่อสารต่างๆ เป็นตน้ ภูมิปัญญาท่ีเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ สิ่งเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลักษณะของสงิ่ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ศาสนา ความเช่ือตา่ งๆ เป็นต้น 4. คณุ ค่าและความสาคญั ของภูมปิ ัญญาไทย คุณค่าของภูมิปัญญาไทย ได้แก่ ประโยชน์ และความสาคัญของภูมิปัญญา ที่บรรพบุรุษไทย ได้ สร้างสรรค์ และสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง จากอดีตสู่ปัจจุบัน ทาให้คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภูมิใจ ท่ีจะรว่ มแรงร่วมใจสืบสานต่อไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ประเพณีไทย การมี นา้ ใจ ศกั ยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นตน้ ภูมปิ ญั ญาไทยจึงมคี ณุ คา่ และความสาคัญดังนี้ 1. ภูมปิ ัญญาไทยช่วยสรา้ งชาตใิ ห้เปน็ ปึกแผ่น พระมหากษัตริย์ไทยได้ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ ประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชน ด้วยพระ เมตตา แบบพ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบความเดือดร้อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร้อน เพื่อขอรับ พระราชทานความช่วยเหลือ ทาให้ประชาชนมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ ต่อประเทศชาติร่วมกันสร้าง บ้านเรือนจนเจริญรุง่ เรืองเป็นปึกแผน่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข้าศึกศัตรู และทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้

พระปรีชาสามารถ แก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง ภายในประเทศ จนรอดพ้นภัยพิบัติหลายครั้ง พระองค์ทรง มีพระปรีชาสามารถหลายด้าน แม้แต่ด้านการเกษตร พระองค์ได้พระราชทานทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนิกร ทั้ง ด้านการเกษตรแบบสมดุลและยั่งยืน ฟ้ืนฟูสภาพแวดล้อม นาความสงบร่มเย็นของประชาชนให้กลับคืนมา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎีใหม\"่ แบ่งออกเปน็ 2 ขน้ั โดยเริ่มจาก ขั้นตอนแรก ให้เกษตรกรรายยอ่ ย \"มีพออยู่พอ กิน\" เป็นข้ันพื้นฐาน โดยการพัฒนาแหล่งน้า ในไร่นา ซ่ึงเกษตรกรจาเป็นท่ีจะต้องได้รับความช่วยเหลือจาก หน่วยราชการ มูลนธิ ิ และหนว่ ยงานเอกชน ร่วมใจกันพัฒนาสงั คมไทย ในขน้ั ทีส่ อง เกษตรกรต้องมคี วามเข้าใจ ในการจัดการในไร่นาของตน และมีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ เพ่ือสร้างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจ่ายด้านความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค์กรเอกชน เมื่อกลุ่มเกษตร ววิ ัฒน์มาข้ันที่ 2 แล้ว ก็จะมีศกั ยภาพ ในการพฒั นาไปสูข่ ้ันที่สาม ซ่งึ จะมีอานาจในการตอ่ รองผลประโยชน์กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค์กรท่ีเป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน ซ่ึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการผลิต โดยมีการ แปรรูปผลิตผล เชน่ โรงสี เพื่อเพ่ิมมูลค่าผลิตผล และขณะเดยี วกันมีการจดั ตง้ั รา้ นค้าสหกรณ์ เพอื่ ลดคา่ ใช้จ่าย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได้ว่า มิได้ทรงทอดทิ้งหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดต้ังสหกรณ์ ซ่ึงทรงสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรสร้างอานาจต่อรองในระบบ เศรษฐกจิ จึงจะมีคุณภาพชีวิตท่ีดี จึงจัดได้ว่า เป็นสังคมเกษตรที่พัฒนาแล้ว สมดังพระราชประสงค์ท่ีทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ัญญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแหง่ การครองราชย์ 2. สร้างความภาคภมู ิใจ และศกั ดศ์ิ รี เกยี รติภมู ิแกค่ นไทย คนไทยในอดีตท่ีมีความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์มีมาก เป็นท่ียอมรับของนานา อารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเป็นนักมวยไทย ที่มีฝีมือเก่งในการใช้อวัยวะทุกส่วน ทุกท่าของแม่ไม้มวยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพม่าได้ถึงเก้าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม้ในปัจจุบัน มวยไทยก็ยังถือว่า เป็น ศิลปะชั้นเย่ียม เป็นที่ นิยมฝึกและแข่งขันในหมู่คนไทยและชาวต่าง ประเทศ ปัจจุบันมีค่ายมวยไทยทั่วโลกไม่ ต่ากว่า 30,000 แห่ง ชาวต่างประเทศท่ีได้ฝกึ มวยไทย จะรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจ ในการที่จะใช้กติกา ของมวย ไทย เช่น การไหว้ครูมวยไทย การออก คาสั่งในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เช่น คาว่า \"ชก\" \"นับหน่ึงถึงสิบ\" เป็นต้น ถือเป็นมรดก ภูมิปัญญาไทย นอกจากน้ี ภูมิปัญญาไทยที่โดด เด่นยังมีอีกมากมาย เช่น มรดกภูมิ ปัญญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการ มาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถือว่า เป็นวรรณกรรมที่มีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทุกด้าน วรรณกรรม หลายเรือ่ งได้รบั การแปลเปน็ ภาษาต่างประเทศหลายภาษา ด้านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารท่ีปรงุ ง่าย พืชท่ี ใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร ท่ีหาได้ง่ายในท้องถิ่น และราคาถูก มี คุณคา่ ทางโภชนาการ และ ยังป้องกันโรคได้หลายโรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ใบ มะกรดู ใบโหระพา ใบกะเพรา เปน็ ตน้

3. สามารถปรบั ประยุกต์หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใช้กบั วถิ ีชวี ติ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม คนไทยสว่ นใหญ่นบั ถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรับใช้ในวิถีชีวิต ได้อย่างเหมาะสม ทาให้คนไทยเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความ อดทน ให้อภัยแก่ผ้สู านึกผิด ดารงวิถชี ีวิตอยา่ งเรียบง่าย ปกตสิ ุข ทาให้คนในชุมชนพ่งึ พากันได้ แมจ้ ะอดอยาก เพราะ แห้งแล้ง แต่ไม่มีใครอดตาย เพราะพึ่งพาอาศัย กัน แบ่งปันกันแบบ \"พริกบ้านเหนือเกลือบ้านใต้\" เป็น ตน้ ท้ังหมดนส้ี ืบเน่ืองมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เปน็ การใช้ภูมิปัญญา ในการนาเอาหลักขอ พระพุทธศาสนามา ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจาวัน และดาเนินกุศโลบาย ด้านต่างประเทศ จนทาให้ชาวพุทธท่ัว โลกยกย่อง ให้ประเทศไทยเป็นผู้นาทางพุทธศาสนา และเป็น ท่ีตั้งสานักงานใหญ่องค์การพทุ ธศาสนิกสัมพันธ์ แห่งโลก (พสล.) อยู่เยื้องๆ กับอุทยานเบญจสิริ กรุงเทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรี) ดารงตาแหน่งประธาน พสล. ต่อจาก ม.จ.หญงิ พูนพศิ มัย ดิศกุล 4. สร้างความสมดลุ ระหว่างคนในสงั คม และธรรมชาติได้อย่างยั่งยนื ภูมิปัญญาไทยมีความเด่นชัดในเรื่องของการยอมรับนับถือ และให้ความสาคัญแก่คน สังคม และธรรมชาติอย่างยิ่ง มเี คร่อื งชี้ทีแ่ สดงให้เหน็ ได้อยา่ งชัดเจนมากมาย เชน่ ประเพณีไทย 12 เดือน ตลอดทั้งปี ลว้ นเคารพคุณคา่ ของธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ประเพณสี งกรานต์ ประเพณลี อยกระทง เปน็ ต้น ประเพณีสงกรานตเ์ ป็น ประเพณีที่ทาใน ฤดูร้อนซ่ึงมีอากาศร้อน ทาให้ต้องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ้านเรือน และธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มีการแห่นางสงกรานต์ การทานายฝนว่าจะตกมากหรือน้อยในแต่ละปี ส่วนประเพณีลอยกระทง คณุ คา่ อยู่ที่การบชู า ระลกึ ถึงบุญคณุ ของนา้ ที่หลอ่ เล้ียงชีวิตของ คน พชื และสัตว์ ให้ ได้ใช้ท้ังบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแม่น้า ลาธาร บูชาแม่น้าจากตัวอย่าง ขา้ งต้น ล้วนเปน็ ความสมั พันธร์ ะหว่างคนกับสังคมและธรรมชาติ ท้ังสนิ้ ในการรักษาป่าไมต้ ้นน้าลาธาร ได้ประยุกต์ให้มีประเพณีการบวชปา่ ให้คนเคารพส่ิงศักด์ิสทิ ธ์ิ ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม ยังความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้า ลาธาร ให้ฟ้ืนสภาพกลับคืนมาได้มาก อาชีพ การเกษตรเป็นอาชีพหลกั ของคนไทย ท่ีคานงึ ถึงความสมดลุ ทาแตน่ อ้ ยพออยู่พอกนิ แบบ \"เฮด็ อยู่เฮด็ กิน\" ของ พ่อทองดี นันทะ เม่ือเหลอื กนิ กแ็ จกญาติพ่ีน้อง เพื่อนบ้าน บ้านใกล้เรือนเคยี ง นอกจากนี้ ยงั นาไปแลกเปล่ยี น กบั สง่ิ ของอยา่ งอน่ื ทีต่ นไมม่ ี เมื่อเหลือใชจ้ ริงๆ จึงจะนาไปขาย อาจกลา่ วได้วา่ เป็นการเกษตรแบบ \"กิน-แจก- แลก-ขาย\" ทาให้คนในสังคมได้ช่วยเหลือเก้ือกูล แบ่งปันกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมู่บ้าน จึงอยู่ ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความสมั พนั ธ์กันอย่างแนบแน่น ธรรมชาติไม่ถกู ทาลายไปมากนกั เนอื่ งจากทาพออยู่พอ กิน ไมโ่ ลภมากและไม่ทาลายทกุ อยา่ งผิด กบั ในปัจจุบัน ถอื เป็นภมู ปิ ัญญาทส่ี รา้ งความ สมดุลระหว่างคน สงั คม และธรรมชาติ

5. เปลี่ยนแปลงปรับปรุงไดต้ ามยุคสมยั แม้ว่ากาลเวลาจะผา่ นไป ความรู้สมัยใหม่ จะหลงั่ ไหลเข้ามามาก แต่ภูมิปัญญาไทย ก็สามารถ ปรบั เปลี่ยนใหเ้ หมาะสมกับยุคสมัย เช่น การรู้จักนาเคร่ืองยนต์มาติดตั้งกับเรอื ใส่ใบพดั เปน็ หางเสือ ทาให้เรือ สามารถแล่นได้เร็วข้ึน เรียกว่า เรือหางยาว การรู้จักทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟื้นคืน ธรรมชาติให้ อดุ มสมบูรณ์แทนสภาพเดิมที่ถูกทาลายไป การรู้จกั ออมเงิน สะสมทุนให้สมาชิกก้ยู ืม ปลดเปลื้อง หน้ีสนิ และจัดสวสั ดิการแกส่ มาชิก จนชมุ ชนมคี วามมน่ั คง เข้มแข็ง สามารถช่วยตนเองได้หลายร้อยหม่บู ้านทั่ว ประเทศ เช่น กลุ่มออมทรัพย์คีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดในรูปกองทุนหมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชว่ ยตนเองได้ เม่ือป่าถูกทาลาย เพราะถูกตัดโค่น เพื่อปลูกพืชแบบเดี่ยว ตามภูมิปัญญาสมัยใหม่ ที่หวัง รา่ รวย แต่ในที่สุด ก็ขาดทุน และมหี น้ีสิน สภาพแวดล้อมสูญเสียเกิดความแห้งแล้ง คนไทยจึงคิดปลูกป่า ที่กิน ได้ มีพืชสวน พืชป่าไม้ผล พืชสมุนไพร ซึ่งสามารถมีกินตลอดชีวิตเรียกว่า \"วนเกษตร\" บางพื้นที่ เม่ือป่าชุมชน ถูกทาลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกนั เปน็ กลุม่ รักษาปา่ ร่วมกนั สร้างระเบยี บ กฎเกณฑ์กนั เอง ให้ทกุ คนถอื ปฏิบัติ ได้ สามารถรักษาป่าได้อย่างสมบูรณ์ดังเดิม เม่ือปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไม่มีท่ีอยู่อาศัย ประชาชน สามารถสร้าง \"อูหยัม\" ข้ึน เป็นปะการังเทียม ให้ปลาอาศัยวางไข่ และแพร่พันธุ์ให้เจริญเติบโต มีจานวนมาก ดงั เดมิ ได้ ถือเปน็ การใช้ภมู ปิ ญั ญาปรับปรงุ ประยุกต์ใชไ้ ดต้ ามยุคสมัย สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนฯ เล่มท่ี 19 ให้ความหมายของคาว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง ความรู้ของชาวบ้าน ซ่ึงได้มาจากประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมทั้งความรู้ท่ี ส่ังสมมาแต่บรรพบุรุษ สืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ระหว่างการสืบทอดมีการปรับ ประยุกต์ และ เปลยี่ นแปลง จนอาจเกิดเปน็ ความรู้ใหมต่ ามสภาพการณ์ทางสังคมวฒั นธรรม และ ส่งิ แวดล้อม ภูมิปัญญาเป็นความรู้ท่ีประกอบไปด้วยคุณธรรม ซ่ึงสอดคล้องกับวิถีชีวิตด้ังเดิมของชาวบ้าน ในวิถีด้ังเดิมน้ัน ชวี ิตของชาวบ้านไมไ่ ด้แบ่งแยกเป็นส่วนๆ หากแต่ทุกอยา่ งมีความสัมพันธ์กัน การทามาหากิน การอยู่ร่วมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรู้เป็นคุณธรรม เมื่อผู้คนใช้ความรู้น้ัน เพื่อสรา้ งความสัมพันธ์ท่ดี ีระหว่าง คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสัมพันธ์ที่ดี เป็นความสัมพันธ์ท่ีมีความสมดุล ที่เคารพกันและกัน ไม่ทาร้ายทาลายกัน ทาให้ทุกฝ่ายทุกส่วนอยู่ร่วมกันได้ อย่างสันติ ชุมชนดั้งเดิมจึงมีกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกัน มีคนเฒ่าคนแก่เป็นผู้นา คอยให้คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ้านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ป่า เขา ข้าว แดด ลม ฝน โลก และจักรวาล ชาวบ้านเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ทั้งที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว ภูมิปัญญาจึง เป็นความรู้ท่ีมีคุณธรรม เป็นความรู้ท่ีมีเอกภาพของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสัมพันธ์กัน อย่างมีความสมดุล เราจึงยกย่องความรู้ข้ันสูงส่ง อันเป็นความรู้แจ้งในความจริงแห่งชีวิตนี้ว่า \"ภูมิปัญญา\" ความคิดและการแสดงออก เพื่อจะเข้าใจภูมิปัญญาชาวบ้าน จาเป็นต้องเข้าใจความคิดของชาวบ้านเก่ียวกับ

โลก หรือท่ีเรียกว่า โลกทัศน์ และเกี่ยวกับชีวิต หรือท่ีเรียกว่า ชีวทัศน์ สิ่งเหล่าน้ีเป็นนามธรรม อันเกี่ยวข้อง สัมพันธ์โดยตรงกับการแสดงออกใน ลักษณะต่างๆ ท่ีเป็นรูปธรรม แนวคิดเร่ืองความสมดุลของชีวิต เป็น แนวคิดพ้ืนฐานของภูมิปัญญาชาวบ้าน การแพทย์แผนไทย หรือท่ีเคยเรียกกันว่า การแพทย์แผนโบราณน้ันมี หลักการว่า คนมีสุขภาพดี เม่ือร่างกายมีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะธาตุขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช้ยาสมุนไพร หรือวิธีการอื่นๆ คนเป็นไข้ตัวร้อน หมอยา พ้ืนบา้ นจะให้ยาเย็น เพือ่ ลดไข้ เป็นต้น การดาเนินชีวิตประจาวันก็เช่นเดยี วกัน ชาวบ้านเช่ือว่า จะต้องรกั ษา ความสมดุลในความสัมพันธ์สามด้าน คือ ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพ่ือนบ้านในชุมชน ความสมั พันธท์ ี่ดมี ีหลักเกณฑ์ ที่บรรพบรุ ุษได้สง่ั สอนมา เช่น ลูกควรปฏิบัตอิ ย่างไรกบั พ่อแม่ กบั ญาติพ่นี ้อง กับ ผู้สูงอายุ คนเฒ่าคนแก่ กับเพ่ือนบ้าน พ่อแม่ควรเลี้ยงดูลูกอย่างไร ความเอื้ออาทรต่อกันและกัน ช่วยเหลือ เก้ือกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข์ยาก หรือมีปัญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช้ความสามารถน้ันช่วยเหลือ ผูอ้ ่ืน เช่น บางคนเป็นหมอยา กช็ ่วยดแู ลรักษาคนเจบ็ ป่วยไมส่ บาย โดยไมค่ ิดค่ารักษา มีแต่เพียงการยกครู หรือ การราลึกถึงครูบาอาจารย์ท่ีประสาทวิชามาให้เท่านั้น หมอยาต้องทามาหากิน โดยการทานา ทาไร่ เล้ียงสัตว์ เหมอื นกับชาวบ้านอน่ื ๆ บางคนมคี วามสามารถพิเศษด้านการทามาหากิน กช็ ว่ ยสอนลกู หลานให้มวี ิชาไปดว้ ย ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในครอบครัว ในชุมชน มีกฎเกณฑ์เป็นข้อปฏิบัติ และข้อห้ามอย่าง ชัดเจน มีการแสดงออกทางประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรมต่างๆ เช่น การรดน้าดาหัวผู้ใหญ่ การบายศรีสู่ ขวัญ เป็นต้น ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ผู้คนสมัยก่อนพึ่งพาอาศัยธรรมชาติแทบทุกด้าน ตั้งแต่อาหารการ กนิ เครอื่ งนงุ่ หม่ ที่อยู่อาศัย และยารกั ษาโรค วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยียังไม่พัฒนาก้าวหน้าเหมือนทุกวันนี้ ยงั ไม่มีระบบการค้าแบบสมัยใหม่ ไม่มีตลาด คนไปจับปลาล่าสัตว์ เพ่ือเป็นอาหารไปวันๆ ตัดไม้ เพ่ือสร้างบ้าน และใช้สอยตามความจาเป็นเท่าน้ัน ไม่ได้ทาเพ่ือการค้า ชาวบ้านมีหลักเกณฑ์ในการใช้สิ่งของในธรรมชาติ ไม่ ตัดไม้อ่อน ทาให้ต้นไม้ในป่าข้ึนแทนต้นที่ถูกตัดไปได้ตลอดเวลา ชาวบ้านยังไม่รู้จักสารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ฆา่ หญา้ ฆา่ สัตว์ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ใช้สิ่งของในธรรมชาตใิ หเ้ กือ้ กลู กัน ใชม้ ูลสตั ว์ ใบไมใ้ บ หญ้าที่เน่าเปื่อยเปน็ ปุ๋ย ทา ให้ดินอดุ มสมบรู ณ์ น้าสะอาด และไม่เหือดแห้ง ชาวบ้านเคารพธรรมชาติ เชื่อว่า มีเทพมีเจ้าสถิตอย่ใู นดิน น้า ป่า เขา สถานท่ีทุกแห่ง จะทาอะไรต้องขออนุญาต และทาด้วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ้านรู้คุณ ธรรมชาติ ที่ได้ให้ชีวิตแก่ตน พิธีกรรมต่างๆ ล้วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกล่าว เช่น งานบุญพิธี ท่ีเกี่ยวกับ น้า ข้าว ป่าเขา รวมถึงสัตว์ บ้านเรือน เครื่องใช้ต่างๆ มีพิธีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญเกวียน ทางอีสานมีพิธี แฮกนา หรอื แรกนา เล้ียงผตี าแฮก มงี านบุญบ้าน เพ่อื เลีย้ งผี หรอื ส่งิ ศกั ดสิ์ ิทธป์ิ ระจาหมบู่ ้าน เป็นต้น ความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ชาวบ้านรู้ว่า มนุษย์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่ง ของ จักรวาล ซ่ึงเต็มไปด้วยความเร้นลับ มีพลัง และอานาจ ที่เขาไม่อาจจะหาคาอธิบายได้ ความเร้นลับดังกล่าว รวมถึงญาตพิ ี่น้อง และผ้คู นท่ลี ่วงลับไปแล้ว ชาวบ้านยงั สัมพันธ์กับพวกเขา ทาบุญ และราลึกถึงอย่างสม่าเสมอ

ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกน้ันเป็นผีดี ผีร้าย เทพเจ้าต่างๆ ตามความเชื่อของแต่ละแห่ง สิ่งเหล่านี้สิง สถิตอยใู่ นส่ิงต่างๆ ในโลก ในจักรวาล และอยู่บนสรวงสวรรคก์ ารทามาหากนิ แม้วิถีชีวิตของชาวบ้านเมื่อก่อนจะดูเรียบง่ายกว่าทุกวันนี้ และยังอาศัยธรรมชาติ และ แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แต่พวกเขาก็ต้องใช้สติปัญญา ท่ีบรรพบุรุษถ่ายทอดมาให้ เพื่อจะได้อยู่ รอด ทั้งนีเ้ พราะปัญหาตา่ งๆ ในอดีตก็ยังมีไม่น้อย โดยเฉพาะเม่อื ครอบครวั มสี มาชิกมากข้ึน จาเปน็ ต้องขยายที่ ทากิน ต้องหักร้างถางพง บกุ เบิก พ้ืนที่ทากินใหม่ การปรบั พ้ืนท่ีป้นั คันนา เพ่ือทานา ซ่ึงเป็นงานที่หนัก การทา ไร่ทานา ปลูกพืชเล้ียงสัตว์ และดูแลรักษาให้เติบโต และได้ผล เป็นงานท่ีต้องอาศัยความรู้ความสามารถ การ จบั ปลาล่าสัตว์กม็ ีวิธีการ บางคนมีความสามารถมากรูว้ ่า เวลาไหน ทใ่ี ด และวธิ ีใด จะจับปลาได้ดีที่สดุ คนท่ีไม่ เกง่ กต็ ้องใช้เวลานาน และไดป้ ลาน้อย การลา่ สตั ว์ก็เช่นเดียวกัน การจัดการแหล่งน้า เพ่ือการเกษตร ก็เป็นความรู้ความสามารถ ท่ีมีมาแต่โบราณ คนทาง ภาคเหนือรู้จักบริหารน้า เพ่ือการเกษตร และเพื่อการบริโภคต่างๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบ่งปันน้ากันตามระบบประเพณีท่ี สืบทอดกันมา มีหัวหน้าที่ทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สัดส่วน และตามพ้ืนท่ีทากิน นับเป็นความรู้ท่ีทาให้ชมุ ชนต่างๆ ท่ีอาศัยอยู่ใกล้ลาน้า ไมว่ ่าต้นน้า หรือปลายน้า ได้รบั การแบง่ ปนั นา้ อย่างยตุ ิธรรม ทกุ คนได้ประโยชน์ และอยูร่ ว่ มกันอย่างสนั ติ ชาวบ้านร้จู ักการแปรรูปผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให้กนิ ได้นาน การดองการ หมัก เชน่ ปลาร้า น้าปลา ผักดอง ปลาเคม็ เน้อื เค็ม ปลาแห้ง เนื้อแหง้ การแปรรูปขา้ ว ก็ทาได้มากมายนบั ร้อย ชนิด เช่น ขนมต่างๆ แต่ละพิธีกรรม และแต่ละงานบุญประเพณี มีข้าวและขนมในรูปแบบไม่ซ้ากัน ต้ังแต่ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอื่นๆ ซ่ึงยังพอมีให้เห็นอยู่จานวนหน่ึง ใน ปัจจุบนั ส่วนใหญป่ รบั เปล่ียนมาเปน็ การผลิตเพอื่ ขาย หรือเป็นอตุ สาหกรรมในครวั เรือน ความรู้เรื่องการปรุงอาหารก็มีอยู่มากมาย แต่ละท้องถิ่นมีรูปแบบ และรสชาติแตกต่างกันไป มมี ากมายนับร้อยนับพันชนิด แม้ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไม่กี่อย่าง แต่โอกาสงานพิธี งาน เลี้ยง งานฉลอง สาคัญ จะมีการจัดเตรียมอาหารอย่างดี และพิถีพิถัน การทามาหากินในประเพณีเดิมน้ัน เป็นทั้งศาสตร์และ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม้ ไม่ได้เป็นเพียงเพื่อให้รับประทานแล้วอร่อย แต่ให้ได้ความ สวยงาม ทาให้สามารถสมั ผัสกับอาหารน้ัน ไม่เพียงแต่ทางปาก และรสชาติของล้ิน แตท่ างตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ที่ปรุงแต่ด้วยความต้ังใจ ใช้เวลา ฝีมือ และความรู้ความสามารถ ชาวบ้าน สมัยกอ่ นส่วนใหญ่จะทานาเป็นหลัก เพราะเมอื่ มีข้าวแล้ว ก็สบายใจ อยา่ งอ่นื พอหาได้จากธรรมชาติ เสร็จหน้า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ้า ทาเสื่อ เล้ียงไหม ทาเครื่องมือ สาหรับจับสัตว์ เคร่ืองมือการเกษตร และ อปุ กรณต์ า่ งๆ ที่จาเป็น หรือเตรยี มพน้ื ที่ เพอ่ื การทานาครัง้ ตอ่ ไป หัตถกรรมเป็นทรัพย์สิน และมรดกทางภูมิปัญญาที่ย่ิงใหญ่ท่ีสุดอย่างหน่ึงของบรรพบุรุษ เพราะเป็นสื่อที่ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความเชือ่ และคุณค่าต่างๆ ที่ส่ังสมมาแตน่ มนาน ลายผ้า

ไหม ผา้ ฝา้ ย ฝีมือในการทออย่างประณีต รูปแบบเคร่อื งมือ ทีส่ านด้วยไม้ไผ่ และอปุ กรณ์ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ เคร่ืองดนตรี เครื่องเล่น ส่ิงเหล่านี้ได้ถูกบรรจงสร้างขึ้นมา เพ่ือการใช้สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให้ใครคน หน่งึ ไมใ่ ชเ่ พ่ือการค้าขาย ชาวบ้านทามาหากนิ เพยี งเพอ่ื การยังชีพ ไมไ่ ดท้ าเพื่อขาย มีการนาผลิตผลสว่ นหนึ่ง ไปแลกสิ่งของที่จาเป็น ท่ีตนเองไม่มี เช่น นาข้าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไก่ หรือเสื้อผ้า การขายผลิตผลมีแต่ เพียงส่วนน้อย และเมื่อมีความจาเป็นต้องใช้เงิน เพื่อเสียภาษีให้รัฐ ชาวบ้านนาผลิตผล เช่น ข้าว ไปขายใน เมืองให้กบั พ่อค้า หรือขายให้กบั พ่อค้าท้องถิ่น เช่น ทางภาคอสี าน เรียกว่า \"นายฮ้อย\" คนเหลา่ น้ีจะนาผลิตผล บางอย่าง เชน่ ขา้ ว ปลารา้ วัว ควาย ไปขายในท่ีไกลๆ ทางภาคเหนอื มพี อ่ คา้ วัวต่างๆ เป็นต้น แม้ว่าความรู้เรือ่ งการค้าขายของคนสมัยกอ่ น ไมอ่ าจจะนามาใช้ในระบบตลาดเช่นปัจจุบันได้ เพราะสถานการณ์ได้เปล่ียนแปลงไปอย่างมาก แต่การค้าที่มีจริยธรรมของพ่อค้าในอดีต ที่ไม่ได้หวังแต่เพียง กาไร แต่คานงึ ถึงการช่วยเหลือ แบ่งปันกันเปน็ หลัก ยังมคี ุณคา่ สาหรบั ปัจจุบัน นอกน้ัน ในหลายพ้นื ทใ่ี นชนบท ระบบการแลกเปล่ียนสิ่งของยังมีอยู่ โดยเฉพาะในพ้นื ทีย่ ากจน ซ่ึงชาวบ้านไม่มีเงนิ สด แตม่ ผี ลติ ผลต่างๆ ระบบ การแลกเปล่ียนไม่ได้ยึดหลักมาตราช่ังวัด หรือการตีราคาของสิ่งของ แต่แลกเปล่ียน โดยการคานึงถึง สถานการณ์ของผู้แลกท้ังสองฝ่าย คนท่ีเอาปลาหรือไก่มาขอแลกข้าว อาจจะได้ข้าวเป็นถัง เพราะเจ้าของข้าว คานึงถึงความจาเปน็ ของครอบครวั เจา้ ของไก่ ถา้ หากตรี าคาเปน็ เงิน ขา้ วหนง่ึ ถังย่อมมคี ่าสงู กว่าไก่หน่ึงตัว การอยูร่ ่วมกันในสงั คม การอยู่ร่วมกันในชุมชนดั้งเดิมนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพ่ีน้องไม่กี่ตระกูล ซึ่งได้อพยพย้ายถ่ินฐานมา อยู่ หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได้ทั้งชุมชน มีคนเฒ่าคนแก่ที่ชาวบ้านเคารพนับถือเป็นผู้นาหน้าที่ ของผู้นา ไม่ใช่การส่ัง แต่เป็นผู้ให้คาแนะนาปรึกษา มีความแม่นยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสนิ ไกลเ่ กลี่ย หากเกดิ ความขัดแยง้ ช่วยกันแกไ้ ขปัญหาตา่ งๆ ทเ่ี กิดขึน้ ปญั หาในชุมชนกม็ ีไมน่ ้อย ปญั หาการ ทามาหากิน ฝนแล้ง น้าท่วม โรคระบาด โจรลักวัวควาย เป็นต้น นอกจากน้ัน ยังมีปัญหาความขัดแย้งภายใน ชมุ ชน หรือระหว่างชุมชน การละเมิดกฎหมาย ประเพณี ส่วนใหญ่จะเป็นการ \" ผิดผี\" คือ ผีของบรรพบุรุษ ผู้ ซงึ่ ได้สร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ ไว้ เช่น กรณีท่ีชายหนุ่มถูกเนื้อต้องตัวหญิงสาวทย่ี ังไม่แต่งงาน เป็นต้น หากเกิดการ ผิดผีข้ึนมา ก็ต้องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒ่าคนแก่เป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการว่ากล่าวสั่งสอน และ ชดเชยการทาผิดนั้น ตามกฎเกณฑ์ท่ีวางไว้ ชาวบ้านอยู่อย่างพ่ึงพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ยามเกิด อุบัติเหตุเภทภยั ยามทีโ่ จรขโมยวัวควายข้าวของ การช่วยเหลือกันทางานท่ีเรียกกันว่า การลงแขก ทัง้ แรงกาย แรงใจทม่ี ีอยกู่ ็จะแบง่ ปันช่วยเหลือ เอื้ออาทรกัน การ แลกเปลี่ยนส่ิงของ อาหารการกิน และอื่นๆ จึงเก่ียวข้อง กับวิถีของชุมชน ชาวบ้านช่วยกันเก็บเก่ียวข้าว สร้างบ้าน หรืองานอื่นที่ต้องการคนมากๆ เพ่ือจะได้เสร็จ โดยเรว็ ไม่มีการจ้าง กรณีตวั อย่างจากการปลูกข้าวของชาวบ้าน ถ้าปหี นึง่ ชาวนาปลูกข้าวไดผ้ ลดี ผลติ ผลที่ได้จะใช้เพื่อการ บรโิ ภคในครอบครัว ทาบุญทว่ี ัด เผ่ือแผใ่ หพ้ ่นี ้องทข่ี าดแคลน แลกของ และเก็บไว้ เผื่อว่าปีหน้าฝนอาจแลง้ น้า

อาจท่วม ผลติ ผล อาจไมด่ ีในชมุ ชนตา่ งๆ จะมีผู้มีความรู้ความสามารถหลากหลาย บางคนเก่งทางการรักษาโรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเลี้ยงสัตว์ บางคนทางด้านดนตรีการละเล่น บางคนเก่งทางด้าน พธิ ีกรรม คนเหลา่ น้ีตา่ งก็ใช้ความสามารถ เพ่ือประโยชน์ของชุมชน โดยไม่ถือเป็นอาชีพ ท่ีมีคา่ ตอบแทน อย่าง มากกม็ ี \"ค่าครู\" แต่เพียงเลก็ นอ้ ย ซึง่ ปกติแล้ว เงินจานวนนน้ั ก็ใชส้ าหรบั เครื่องมอื ประกอบพิธีกรรม หรือ เพ่ือ ทาบุญท่ีวัด มากกว่าท่ีหมอยา หรือบุคคลผู้น้ัน จะเก็บไว้ใช้เอง เพราะแท้ที่จริงแล้ว \"วิชา\" ท่ีครูถ่ายทอดมา ให้แก่ลูกศิษย์ จะต้องนาไปใช้ เพื่อประโยชน์แก่สังคม ไม่ใช่เพ่ือผลประโยชน์ส่วนตัว การตอบแทนจึงไม่ใช่เงิน หรือสิ่งของเสมอไป แต่เป็นการช่วยเหลือเก้ือกูลกันโดยวิธีการต่าง ๆ ด้วยวิถีชีวิตเช่นน้ี จึงมีคาถาม เพ่ือเป็น การสอนคนรุ่นหลังว่า ถ้าหากคนหนึ่งจับปลาช่อนตัวใหญ่ได้หนึ่งตัว ทาอย่างไรจึงจะกินได้ทั้งปี คนสมัยน้ี อาจจะบอกว่า ทาปลาเค็ม ปลาร้า หรือเก็บรักษาด้วยวิธีการต่างๆ แต่คาตอบท่ีถูกต้อง คือ แบ่งปันให้พี่น้อง เพ่อื นบ้าน เพราะเมือ่ เขาได้ปลา เขาก็จะทากับเราเช่นเดียวกัน ชีวิตทางสงั คมของหมู่บ้าน มีศูนย์กลางอยู่ทวี่ ัด กจิ กรรมของส่วนรวม จะทากันท่ีวดั งานบุญประเพณีต่างๆ ตลอดจนการละเลน่ มหรสพ พระสงฆเ์ ปน็ ผนู้ าทางจติ ใจ เป็นครูทสี่ อนลูกหลานผ้ชู าย ซ่งึ ไปรับใชพ้ ระสงฆ์ หรือ \"บวชเรียน\" ทงั้ นเ้ี พราะก่อนน้ยี งั ไมม่ ี โรงเรียน วัดจงึ เปน็ ท้งั โรงเรียน และหอประชมุ เพื่อกจิ กรรมต่างๆ ต่อเมื่อโรงเรียนมขี ้นึ และแยกออกจากวัด บทบาทของวัด และของพระสงฆ์ จึงเปลี่ยนไป งานบุญประเพณีในชุมชนแต่ก่อนมอี ยู่ทุกเดือน ต่อมาก็ลดลงไป หรือสองสามหมู่บ้านร่วมกันจัด หรือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เช่น งานเทศน์มหาชาติ ซ่ึงเป็นงานใหญ่ หมู่บ้านเล็กๆ ไม่อาจจะจัดได้ทุกปี งาน เหล่านมี้ ีทัง้ ความเชอ่ื พิธกี รรม และความสนกุ สนาน ซ่งึ ชมุ ชนแสดงออกรว่ มกนั ระบบคณุ คา่ ความเชื่อในกฎเกณฑ์ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนด้ังเดิม ความเช่ือน้ีเป็นรากฐานของ ระบบคุณค่าต่างๆ ความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ความเมตตาเอ้ืออาทรต่อผู้อ่ืน ความเคารพต่อส่ิง ศกั ดิ์สทิ ธิใ์ นธรรมชาตริ อบตัว และในสากลจกั รวาล ความเชื่อ \"ผี\" หรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ิในธรรมชาติ เป็นที่มาของการดาเนินชีวิต ท้ังของส่วนบุคคล และของ ชุมชน โดยรวมการเคารพในผีปู่ตา หรือผีปู่ย่า ซึ่งเป็นผีประจาหมู่บ้าน ทาให้ชาวบ้านมีความเป็นหน่ึงเดียวกัน เปน็ ลกู หลานของปู่ตาคนเดียวกัน รกั ษาปา่ ทม่ี ีบ้านเล็กๆ สาหรับผี ปลูกอยู่ติดหมู่บ้าน ผีป่า ทาให้คนตดั ไม้ดว้ ย ความเคารพ ขออนุญาตเลือกตดั ตน้ แก่ และปลูกทดแทน ไมท่ งิ้ สิ่งสกปรกลงแม่นา้ ด้วยความเคารพในแมค่ งคา กินขา้ วด้วยความเคารพ ในแม่โพสพ คนโบราณกนิ ขา้ วเสรจ็ จะไหว้ขา้ ว พิธีบายศรีสู่ขวัญ เป็นพิธีรื้อฟื้น กระชับ หรือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน คนจะเดินทางไกล หรือ กลับจากการเดินทาง สมาชิกใหม่ ในชุมชน คนป่วย หรือกาลังฟ้ืนไข้ คนเหล่านี้จะได้รับพิธีสู่ขวัญ เพ่ือให้เป็น สริ ิมงคล มคี วามอยเู่ ย็นเป็นสขุ นอกน้ันยงั มพี ิธสี ืบชะตาชวี ิตของบุคคล หรอื ของชุมชน

นอกจากพิธีกรรมกับคนแล้ว ยังมีพิธีกรรมกับสัตว์และธรรมชาติ มีพิธีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญ เกวียน เป็นการแสดงออกถึงการขอบคุณ การขอขมา พิธีดังกล่าวไม่ไดม้ ีความหมายถงึ ว่า สงิ่ เหล่าน้ีมีจติ มีผใี น ตัวมันเอง แต่เป็นการแสดงออก ถึงความสัมพันธ์กับจิตและส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ อันเป็นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทา ให้ผู้คนมีความสัมพันธ์อันดีกับทุกส่ิง คนขับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ท่ีมาจากหมู่บ้าน ยังซื้อดอกไม้ แล้วแขวนไว้ที่ กระจกในรถ ไม่ใช่เพ่ือเซ่นไหว้ผีในรถแท็กซ่ี แต่เป็นการราลึกถึงส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ ใน สากลจักรวาล รวมถึงที่สิงอยู่ ในรถคันนั้น ผู้คนสมัยก่อนมีความสานึกในข้อจากัดของตนเอง รู้ว่า มนุษย์มีความอ่อนแอ และเปราะบาง หากไม่รักษาความสัมพันธ์อันดี และไม่คงความสมดุลกับธรรมชาติรอบตัวไว้ เขาคงไม่สามารถมีชีวิตได้อย่าง เป็นสุข และยืนนาน ผู้คนทั่วไปจึงไม่มีความอวดกล้าในความสามารถของตน ไม่ท้าทายธรรมชาติ และสิ่ง ศักดิส์ ิทธ์ิ มคี วามออ่ นนอ้ มถ่อมตน และรักษากฎระเบยี บประเพณีอยา่ งเคร่งครัด ชีวิตของชาวบ้านในรอบหนึ่งปี จึงมีพิธีกรรมทุกเดือน เพ่ือแสดงออกถึงความเช่ือ และความสัมพันธ์ ระหว่างผู้คนในสังคม ระหว่างคนกับธรรมชาติ และระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ิต่างๆ ดังกรณีงานบุญประเพณี ของชาวอีสานที่เรียกว่า ฮีตสิบสอง คือ เดือนอ้าย (เดือนที่หนึ่ง) บุญเข้ากรรม ให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม เดือนยี่ (เดือนที่สอง) บุญคูณลาน ให้นาข้าวมากองกันที่ลาน ทาพิธีก่อนนวด เดือนสาม บุญข้าวจ่ี ให้ถวาย ข้าวจี่ (ข้าวเหนียวป้ันชุบไขท่ าเกลอื นาไปย่างไฟ) เดอื นสี่ บุญพระเวส ใหฟ้ ังเทศน์มหาชาติ คือ เทศน์เร่อื งพระ เวสสันดรชาดก เดือนห้า บุญสรงน้า หรือบุญสงกรานต์ ให้สรงน้าพระ ผู้เฒ่าผู้แก่ เดือนหก บุญบั้งไฟ บูชา พญาแถน ตามความเชือ่ เดิม และบญุ วสิ าขบชู า ตามความเชอื่ ของชาวพทุ ธ เดอื นเจ็ด บุญซาฮะ (บญุ ชาระ) ให้ บนบานพระภูมเิ จา้ ท่ี เลี้ยงผีปู่ตา เดอื นแปด บญุ เข้าพรรษา เดือนเก้า บุญข้าวประดับดนิ ทาบุญอทุ ิศส่วนกุศล ใหญ้ าติพี่น้องผลู้ ่วงลบั เดือนสิบ บญุ ข้าวสาก ทาบุญเชน่ เดือนเก้า รวมให้ผีไม่มีญาติ (ภาคใตม้ ีพิธีคล้ายกัน คือ งานพิธีเดือนสิบ ทาบุญให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว แบ่งข้าวปลาอาหารส่วนหนึ่งให้แก่ผีไม่มีญาติ พวก เด็กๆ ชอบแยง่ กันเอาของท่ีแบง่ ให้ผีไมม่ ญี าตหิ รือเปรต เรยี กว่า \"การชิงเปรต\") เดอื นสิบเอ็ด บุญออกพรรษา เดอื นสบิ สอง บญุ กฐิน จัดงานกฐนิ และลอยกระทง ภมู ิปัญญาชาวบา้ นในสงั คมปจั จุบัน ภมู ิปัญญาชาวบา้ นไดก้ อ่ เกิด และสืบทอดกนั มาในชุมชนหม่บู ้าน เมื่อหมู่บ้านเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสังคมสมัยใหม่ ภูมิปัญญาชาวบ้านก็มีการปรับตัวเช่นเดียวกัน ความรู้ จานวนมากไดส้ ูญหายไป เพราะไม่มกี ารปฏิบัติสบื ทอด เช่น การรักษาพนื้ บ้านบางอย่าง การใช้ยาสมนุ ไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาที่เก่งๆ ได้เสียชีวิต โดยไม่ได้ถ่ายทอดให้กับคนอ่ืน หรือถ่ายทอด แต่คนต่อมาไม่ได้ปฏิบัติ เพราะชาวบ้านไม่นิยมเหมือนเมื่อก่อน ใช้ยาสมัยใหม่ และไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล หรือคลินิก ง่ายกว่า งาน หันตถกรรม ทอผ้า หรือเคร่ืองเงิน เครื่องเขิน แม้จะยังเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ก็ได้ถูกพัฒนาไปเป็นการค้า ไม่ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบดั้งเดิมไว้ได้ ในการทามาหากินมีการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ใช้รถไถแทน ควาย รถอีแต๋นแทนเกวียน

การลงแขกทานา และปลูกสร้างบ้านเรือน ก็เกือบจะหมดไป มีการจ้างงานกันมากข้ึน แรงงานก็หา ยากกว่าแตก่ ่อน ผู้คนอพยพย้ายถิ่น บ้างก็เขา้ เมือง บ้างกไ็ ปทางานที่อ่ืน ประเพณีงานบญุ ก็เหลือไม่มาก ทาได้ ก็ต่อเมือ่ ลูกหลานที่จากบา้ นไปทางาน กลับมาเยี่ยมบ้านในเทศกาลสาคัญๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ เข้าพรรษา เปน็ ตน้ สงั คมสมัยใหม่มีระบบการศึกษาในโรงเรียน มีอนามัย และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วทิ ยุ โทรทัศน์ และ เครื่องบันเทิงต่างๆ ทาให้ชีวิตทางสังคมของชุมชนหมู่บ้านเปลี่ยนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ้าหน้าท่ีราชการ ฝา่ ยปกครอง ฝา่ ยพัฒนา และอน่ื ๆ เข้าไปในหม่บู ้าน บทบาทของวัด พระสงฆ์ และคนเฒ่าคนแก่เริ่มลดน้อยลง การทามาหากินก็เปลี่ยนจากการทาเพื่อยังชีพไปเป็นการผลิตเพ่ือการขาย ผู้คนต้องการเงิน เพื่อซื้อเครื่อง บริโภคต่างๆ ทาให้ส่ิงแวดล้อม เปลี่ยนไป ผลิตผลจากป่าก็หมด สถานการณ์เช่นนี้ทาให้ผู้นาการพัฒนาชุมชน หลายคน ท่ีมีบทบาทสาคัญในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เร่ิมเห็นความสาคัญของภูมิปัญญา ชาวบ้าน หน่วยงานทางภาครัฐ และภาคเอกชน ให้การสนบั สนุน และสง่ เสริมให้มีการอนุรักษ์ ฟ้นื ฟู ประยุกต์ และค้นคดิ สงิ่ ใหม่ ความรใู้ หม่ เพ่ือประโยชนส์ ุขของสงั คม

ความเปน็ มาและความสาคญั ของขนมเป่ยี งไท-ญวน เวียดนามเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่มีรูปทรง คล้ายตัว “S” ทอดยาวจากเหนือจรดใต้ ส่งผลให้แต่ละภูมิภาคมีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกัน ทางภาคเหนือมี อาณาเขตติดกับจีนและลาวสภาพภูมิอากาศจึงหนาวเย็น ดังนั้นประชากรที่อาศัยในเขตนี้จึงนิยมรับประทาน น้าซุปและเน้ือสัตว์เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย ขณะท่ีภาคกลางของประเทศเคยเป็นท่ีต้ังของราชธานีเก่า ภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบสังคมนิยม เมืองเว้ อดีตราชธานีเก่าจึงเป็นศูนย์รวมของอาหารรสเลิศจากทุกภูมิภาคของประเทศ ส่วนภาคใต้มีอาณาเขตติดกับ กมั พูชา รสชาตอิ าหารจึงมคี วามคล้ายคลึงกัน ทงั้ ยังนยิ มบริโภคอาหารทะเล อาหารเวียดนามได้รับอิทธิพลจากจีนและฝร่ังเศส ในส่วนอิทธิพลที่ได้รับจากจีนนั้น สืบเนื่องจาก ดนิ แดนแหง่ นี้เคยอย่ภู ายใต้การปกครองของจีนเป็นเวลากวา่ 1,000 ปี อาหารยอดนิยมจึงหลีกไม่พ้นก๋วยเต๋ียว หรือ “เฝอ” ท่ีได้รับความนิยมที่สุดคือ เฝอบ่อ หรือ ก๋วยเต๋ียวเนื้อ นอกจากน้ียังมี บะหม่ี ข่าวผัด เก๊ียว โจ๊ก ซาลาเปา หมูหัน หมูแดง เป็ดย่าง ขนมเป๊ียะ บ๊ะจ่าง ขนมไหว้พระจันทร์ มีการใช้เครื่องปรุงเคร่ืองเทศอย่าง จนี เช่น ซอี ว๊ิ เต้าเจีย้ ว ซอสฮอยซิน เต้าหูย้ ี้ อบเชย โปย๊ ก๊กั ผงพะโล้ เคร่ืองตุ๋นยาจนี ส่วนอิทธิพลด้านอาหารท่ี ไดร้ บั จากฝรัง่ เศสคือ บาแก๊ต หรอื ขนมปังฝรัง่ เศส นยิ มรบั ประทานกบั ตับบด สเตก็ และสตูว์ ปัจจุบันอาหารเวียดนามมีช่ือเสียงโด่งดังไปท่ัวภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศ ไทย เนื่องจากบริบททางประวัติศาสตร์การเมืองของเวียดนามในช่วงปีค.ศ.1945 ก่อให้เกิดความผันผวนทาง เศรษฐกิจการเมอื งส่งผลต่อวิถีการดารงชีวติ ของประชาชนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ กษัตริย์ไปสู่สังคมนิยมคอมมิวนิสต์และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส ดังน้ันในช่วงระยะเวลา ดังกล่าวจึงมีชาวเวียดนามบางส่วนอพยพย้ายถ่ินฐานเข้ามาพานักยังประเทศไทยในจังหวัดต่างๆ ทางภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครพนม สกลนคร หนองคาย มุกดาหาร อุบลราชธานี ขอนแก่น เลย กาฬสินธุ์ มหาสารคาม อานาจเจริญ ยโสธร หนองบัวลาภู และอุดรธานี เขาเหล่านี้นาวัฒนธรรมการกินในรูปแบบของ ชาวเวียดนามเข้ามายังประเทศไทย และบางส่วนใช้อาหารเวียดนามยังสร้างอาชีพให้แก่ตนเอง อาหาร เวียดนามมีความโดดเด่นในเร่ืองของวัตถุดิบคือ ผักสด ทาให้อาหารดูน่ารับประทาน โดยเฉพาะเมนูยอดนิยม อย่างแหนมเนืองหรือแนมเหนือง นิยมรับประทานร่วมกับผัดสดนานาชนดิ สงั เกตว่าน้าจิ้มที่นามาราดในเมนูน้ี สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากฝร่ังเศส เนื่องจากมีส่วนผสมของตับหมูและมันฝร่ัง ท้ังยังมีความเช่ือว่า อาหารเวียดนามส่วนใหญ่ท่ีชาวไทยคุ้นเคยน่าจะมีรสชาติและวิธีการปรุงตามรูปแบบของเมืองเว้ ซึ่งต้ังอยู่ใน ภาคกลางอนั เปน็ ราชธานีเก่าของเวียดนาม ชาวเวียดนามเป็นชนชาติท่ีนิยมรับประทานผักสดเป็นจานวนมากเคียงกบั อาหารแตล่ ะม้อื แมว้ า่ อาหาร หลกั จะเป็น ขา้ วเจ้า รับประทานพรอ้ ม กับขา้ ว เหมือนชาวไทย หากแตใ่ นทกุ มือ้ อาหารต้องมีผักสดจานวนมาก ร่วมอยู่ด้วย ถึงขั้นมีคาเปรียบเปรยว่า “หากรับประทานอาหารแล้วไม่มีผักก็คล้ายกับว่าคนรวยแห่ศพโดย ปราศจากเสียงป่ีเสียงแคน” กอปรกับสภาพภูมิประเทศอันอุดมสมบูรณ์ด้วยแม่น้าและป่าเขา เอื้อต่อการ

เจริญเติบโตของพืชพันธ์ุธัญญาหารนานาชนิด เพื่อนามารังสรรค์เป็นเมนูอาหารประเภทต่างๆ ซึ่งวัตถุดิบ เหล่าน้ีส่วนใหญ่เป็นผักสดและสมุนไพรที่อาจพบได้ง่ายในครัวไทย เช่น หอมแดง กระเทียม ขิง ขา่ ตะไคร้ ใบ มะนาว ขมิ้น กระชาย ผักกาดหอม ผักหอมห่อ ผักเรดโอ๊ก กรีนโอ๊ก ชุนฉ่าย หัวปลี ถั่วงอก ผักบุ้ง โหระพา ผักชี ผักคาวตอง ผักแพว ผักชีล้อม สะระแหน่ญวน ใบเวียดนามบาล์ม และใบชิโซะ เป็นต้น ส่วนเคร่ืองปรุงรสสาคัญ ได้แก่ กะปิ น้าปลา ปลาร้า ซีอิ๊ว เต้าเจ้ียว เต้าหู้ยี้ น้าส้มสายชู น้าตาลกรวด น้าตาล ทราย นา้ มนั งา และน้าตาลโตนด ดังนัน้ วตั ถุดบิ ทีน่ ามาประกอบเปน็ อาหารเวียดนามจึงหาง่ายและมีอยู่ในพืน้ ที เมนูอาหารยอดนิยมของชาวเวียดนามนัน้ มอี ยู่หลากชนิดเช่น เฝอ บุ๋นเซียว แบญ๋ ก๋วน บุ๋นจ๋า บุ๋นจ่าห่า โหน่ย จ่าก๋า บุ๋นบ่อเว้ แบ๋ญแส่ว กาวเหล่ิว ก่อยหงอแซน แกญจัวก๋าล้อก บ่อลุกลัก จ่าส่อ แหนมเนือง และ ขนมเบอ้ื ง นอกจากน้ยี งั มี จา่ ก๋า หลา หวอ่ ง เป็นเมนูอาหารท่ชี าวเวียดนามให้การยกย่องเปรียบเปรยเมนูนีว้ ่า “ถ้ายังไมไ่ ด้กนิ อยา่ เพงิ่ รีบตาย ถ้าไม่ไดร้ ับประทานเมนูนี้กอ่ นตายถือว่าเสียชาตเิ กิด เนื่องจากเป็นเมนูอาหารที่ อร่อยมาก” ประวัติความเป็นมาของเมนูดังกล่าวเกิดขน้ึ จากขุนนางเวียดนามท่านหนึ่ง ชื่อ หลา หว่อง รู้ สึกเบ่ือ หน่ายการเมือง จึงปลีกตัวออกไปอยู่ตามป่าเขา ดารงชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เม่ือตกปลามาได้จึงพยายาม คิดวิธกี ารปรุงเพือ่ ให้ได้อาหารเลศิ รส จนในท้ายที่สุดกลายมาเปน็ จ่า กา๋ หลา หว่อง ซึ่งเป็นที่นิยมอย่าง แพร่หลายในเวลาต่อมา เมนูดังกล่าวนีส้ ะทอ้ นให้เห็นความนิยมในการรับประทานผักสดเป็นจานวนมากของ ชาวเวียดนาม เนื่องจาก จ่า ก๋า หลา หว่อง นอกจากมวี ัตถดุ ิบหลักคอื ปลาแล้วยังมีผักสดนานาชนิด กลายเป็น อาหารเพื่อสขุ ภาพรสชาติไม่จดั จา้ น วิธกี ารปรงุ ไม่ซับซอ้ นวตั ถุดิบหาได้งา่ ย เปน็ ไดท้ ้ังอาหารหลักและของว่าง เมนขู นมหวานญวน สว่ นเมนขู องหวานทีไ่ ด้รับความนิยมและมีช่ือเสียงไม่แพ้กัน คือ บ๋ัญโจรย มีลักษณะคล้ายบัวลอยน้า ขิง เป็นเมนูนิยมในช่วงงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ และ เทศกาลปีใหม่ ท่ีชาวเวียดนามเรียกกันว่า ตรุษญวน หรอื เตด็ เฮงียนดา๋ น ส่วนเมนูขนมของคนเมืองที่รู้จักมกั คนุ้ ได้แก่ ขนมกล้วย ขนมชนิดนี้ทาจากกล้วยน้าหว้าสุกท่ีบดจนมาผสมกับแป้งข้าวจ้าว มะพร้าวขูดฝอยและ นา้ ตาลซ่ึงอาจเคยี่ วเป็นน้าแล้ว นามาคลุกเคล้านวดเข้าด้วยกัน หากแป้งยังเป็นผงอยู่ก็ให้เติมน้าอุ่นลงไป นวด ต่อให้ส่วนผสมเข้ากันดีและเนื้อแป้งอยู่ในลักษณะหนืดแต่ไม่และเป็นน้า จากน้ันนาใส่ใบตองท่ีทาเป็นกรวยสูง แล้วนาไปนวดจนตัวแปง้ สกุ กร็ ับประทานได้

ขนมจอ็ ก หรือ ขนมเทียน บ้างเรียกว่าขนมนมสาว เครื่องปรุงประกอบด้วย แป้งข้าวเหนยี ว มะพร้าว ขูด น้าอ้อย ใบตอง และน้ามัน (หัวกระทิสด น้ามันหมูหรือ น้ามันพืช) วิธีทาก็แสนง่าย เริ่มจากนาแป้งข้าว เหนียวมาผสมกับน้า นวดจนเน้ือแป้งจับกันพอท่ีจะปั้นและต้องไม่และติดมือ ส่วนเคล็ด (ไม่) ลับอยู่ที่ หากไม่ ตอ้ งการให้ตัวขนมเหนียวจนเกินไปก็ผสมแป้งข้าวจ้าวลงไปด้วย หรอื อยากให้ตัวแปง้ ขนมมีรสหวานกใ็ ช้น้าอ้อย หรือน้าตาลท่ีเชื่อมเป็นน้าผสมลงไปนิดหน่อย มาถึงไส้ขนม ขนมจ็อกแบบดั้งเดิมนิยมทาไส้หวานจากมะพร้าว ไม่นิยมทาไส้ถวั่ หรือไส้เค็ม เริ่มต้นจากเค่ียวน้าอ้อยหรอื น้าตาลด้วยไฟอ่อนพอให้ขน้ เป็นยางมะตมู นามะพร้าว ทขี่ ูดไว้ลงไปเคีย่ วดว้ ยกนั จนมกี ลิน่ หอม เหนียวปน้ั ได้ บ้างนยิ มใสถ่ ัว่ ลิสงปุน่ หรืองาขมี้ อ้ นลงไปดว้ ย สว่ นการห่อขนม ก็จะใชใ้ บตองอ่อนมาขดเป็นรปู กรวยแหลมพับทบล่าง-ซ้าย-ขวา นาด้านที่แหลมสอด พับก็จะ ได้ห่อขนมซ่ึงมีลักษณะก้นแหลมนาไปนิ่งจนสุก “จ็อก” เป็นคากริยาที่หมายถึง การทาส่ิงของให้มี ลกั ษณะเปน็ คลา้ ย ๆ กระจกุ มียอดแหลมนน่ั เอง ขนมเกลือ เป็นขนมท่ีทาจากแป้งข้าวจ้าว โดยการเอาแป้งข้าวเจ้ามาผสมกับเกลือและใส่น้าลงไปให้ เข้ากัน หากชอบกะทิกใ็ ส่ลงไปด้วย แลว้ นาไปเคี่ยวด้วยไฟกลางให้แป้งข้นกาลังดี ไมส่ ุกเกินไป จากนัน้ ให้ทิ้งให้ เย็นแล้วนาใบตองมาห่อเป็นลักษณะแบนๆ ไม่ต้องใช้ไม้กลัด แล้วนาไปนิ่งอีกประมาณ 20-30 นาที เนื้อขนมที่ สุกจะมีสีขาว มีรสเค็มเล็กน้อย แต่หากชอบหวานก็อาจใส่น้าตาลปี๊ปผสมกับแป้ง หรือจะโรยงาดาด้วยก็ได้ ขนมเกลือนี้เองมีคาพูดทีเล่นทีจริงว่า “ข้าวหนมเกลือ เบือบ่าว” กล่าวคือหากสาวๆ ไม่ชอบหนุ่มคนไหนที่มา เก้ียวพาราสี ก็ไห้เอาขนมเกลือไม่หวานมีแต่แป้งมาต้อนรับ หากหนุ่มกินมาก ๆ จะแน่นท้องจนพูดอะไรไมอ่ อก และอาจกลับบา้ นไปเลย

ขนมตายลืม เป็นขนมที่ทาจากแปง้ ข้าวจา้ วผสมเกลือเลก็ น้อย คนในน้าใหเ้ ข้ากนั แลว้ นาไปต้งั ไฟ กวน จนแป้งสกุ แลว้ นามาห่อใบตองเชน่ เดยี วกับขนมเกลอื แต่จะทาแปง้ น่ิมกว่า โดยแป้งท่ีกวนจะมีลักษณะ และกว่า เล็กน้อย นิยมใหเ้ ดก็ คนป่วย หรือคนอยู่ไฟรบั ประทาน ขนมวง หลายคนคนุ้ เคยดีกับขนมรูปทรงคล้ายโดนทั ราดน้าอ้อย วิธที า กไ็ ม่ยุ่งยากเริ่มต้นจากเอาแป้ง ข้าวจ้าวกับกล้วยสุก หรือฟักทองท่ีนึ่งจนสุกมาบดจนละเอียด แล้วคลุกเคล้าเข้าดัวยกัน นวดกับแป้งโดยใช้ น้าอุ่น และหัวกระทิให้ตัวแป้งเหนียวพอประมาณ พักไว้ 20 นาที จากนั้นจึงป้ันแป้งเป็นรูปวงแหวน (โดนัท) ขนาดเล็กนาไปทอดจนเหลืองทั้งสองด้านแล้วพักไว้ คราวน้ีหันมาทาทีเด็ด เค่ียวน้าอ้อยให้ข้นเป็นยางมะตูม แล้วนาไปหยอดบนตัวขนม ในกรณีที่ใช้น้าตาลปี๊ป ให้ละลายกับน้าเล็กน้อยแล้วเค่ียวจนเหนียว เสร็จแล้วก็ นาไปหยอดบนดา้ นใดดา้ นหนงึ่ ของขนมวง รอให้เยน็ แลว้ กร็ ับประทาน ขนมลิ้นหมา ขนมช่ือชวนตกใจนี้ บ้างก็เรียกกันว่า “ขนมเปีย่ ง”หรอื ข้าวเปีย่ ง ทาจากแปง้ ข้าวเหนียว ดามา นวดกับนา้ ผสมกับเกลอื เลก็ น้อย นวดให้หนืดแตไ่ ม่เละ จากน้ันจงึ นาใบตองมาห่อเป็นแบบแบนๆ อย่าง ล้ิน เสร็จแล้วนาไปนิ่งจนสุกเมื่อแกะออกมาก็ขูดมะพร้าวโรยหน้าจิ้มกับน้าตาลอร่อยเหาะ บางทีอาจใส่ นา้ ตาลเล็กนอ้ ยลงไปขณะนวดแป้ง หรอื ใชแ้ ป้งข้าวเหนียวสขี าวนวดกับน้าอ้อยและเกลอื ให้มีรสหวานๆ เคม็ ได้ สขี นมสีนา้ ตาลที่เหมือนล้นิ หมานั่นเอง

ข้นั ตอนขนมเป่ยี งไท-ญวน ส่วนผสม 3 ถว้ ย 1.แป้งข้าวเหนียว 1 ถว้ ย 2.แป้งข้าวเหนียวขาว 2 ช้อนโต๊ะ 3.น้าตาลทราย 1 ช้อนชา 4.มะพร้าวขูด 1 ชอ้ นชา 5.เกลือปุ่น 3 ช้อนโต๊ะ 6.น้ามันพชื วธิ ีการทา 1. ผสมแป้งข้าวเหนยี วดาและขาว ใสน่ ้า นวดให้เข้ากนั 2. ฉีกใบตองขนาด 6 นิว้ ทาน้ามันบนใบตองให้ท่วั

3. วางแป้งลงบนใบตอง กดให้แบนและยาว จากน่นั พับใบตองซา้ ยขวา พับหวั ทา้ ย เปน็ รูปส่เี หลย่ี ม 4. ใสข่ นมลงในลงั ถึง น่ึงประมาณ 20 นาที 5. เมอื่ ขนมสุก แกะใบตองออก นามาคลกุ กบั มะพร้าวขูด โรยดว้ ยนา้ ตาลทราย

การนาภมู ิปญั ญาศึกษา เรื่อง ขนมเปี่ยงไท-ญวน ไปใชใ้ นชวี ิตประจาวัน 1. รจู้ ักการใช้ประโยชนข์ องขนมได้ถูกงาน 2. การทาใหจ้ ิตใจ ชุม่ ชน่ื ผอ่ นคลายความเครียด 3. เกิดความสมั พันธ์กับคนในสังคม เช่น การชว่ ยกนั ทาขนมในครอบครวั การทาขนมในงานบุญตา่ งๆ 4. สามารถนามาประกอบอาชีพ และนาไปสอนให้กบั ผู้อ่ืนได้ “ ยายคิดว่าทั้งขนมไทยหรือขนมญวน มันมีหลายอยา่ งให้กิน ให้เลือกซ้อื เลือกหาไปเป็นของฝาก จะ นาไปไหว้หรือประกอบพิธีต่างๆตามประเพณีก็ได้ และขนมก็จัดอยู่ในหมวดขนมหวาน มันทามาจากน้าตาล หรือ มีน้าตาลเป็นสว่ นผสมในการทาขนมขนมก็เลยอร่อยคัก อย่างขนมเปีย่ งไท ญวน ก็ทามาจากแป้ง กจ็ ะให้ สารอาหารจาพวกคาร์โบไฮเดรต ท่ีจะเป็นพลังงานสาคัญในการช่วยให้อวัยวะภายในร่างกายทางานได้ดี เวลา ทาขนมยายมีความสุขคัก ย่ิงมีหมู่มาช่วยกันหลายๆคนยิ่งม่วน แต่ละคนกะสิมีเรื่องเล่า ถือว่าได้พักสมอง ได้ คลายเครียด ได้กนิ ขนมแซบๆ ท่ีสาคัญมีหลายๆสามารถเอาไปขายเปน็ เงนิ ได้นา ”

ภาคผนวก - ประวตั ผิ ู้จัดทาภมู ปิ ัญญาศึกษา - ภาพประกอบ

ประวตั ิผถู้ ่ายทอดภมู ิปัญญา ชอื่ : นางสาอางค์ จิโนวงษ์ เกดิ : 3 กุมภาพนั ธ์ 2501 อายุ 61ปี ภมู ลิ าเนา : บ้านหว้ ยบญุ ตาบลเสาไห้ อาเภอเสาไห้ จังหวัดสระบรุ ี ทอี่ ยปู่ จั จบุ นั : บา้ นเลขที่ 11 หมู่ 2 ตาบลวังน้าเยน็ อาเภอวังน้าเย็น จงั หวดั สระแก้ว สถานภาพ: สมรส กับ นายประสทิ ธิ์ จิโนวงษ์ มบี ุตรด้วยกนั จานวน 5 คน ดงั น้ี 1.นางยพุ า จิโนวงษ์ 2.นางราตรี จิโนวงษ์ 3.นางนิดทา จโิ นวงษ์ 4.นางรตั นา จิโนวงษ์ 5.นางสาวชตุ มิ า จิโนวงษ์ การศึกษา: ประถมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรียนวดั โพธ์วิ ทิ ยาณุสรณ์ ตาบลเสาไห้ อาเภอเสาไห้ จังหวดั สระบรุ ี ปจั จบุ นั ประกอบอาชพี : รับจ้างทวั่ ไป ประวัตผิ เู้ รยี บเรยี งภูมิปัญญาศกึ ษา ช่ือ: นางสาวประภสั สรา แปน้อย เกิด : 17 พฤศจิกายน 2531ด อายุ 30 ปี ภูมลิ าเนา : บา้ นหนองไฮ ตาบลบา้ นหัน อาเภอโนนศลิ า จังหวดั ขอนแกน่ ที่อยปู่ ัจจบุ ัน : บา้ นทรัพย์นยิ ม หมู่ 2 ตาบลวงั นา้ เยน็ อาเภอวังน้าเยน็ จังหวดั สระแกว้ สถานภาพ : โสด การศกึ ษา : ปรญิ ญาตรี ครศุ าสตร์บณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม ปจั จบุ ันประกอบอาชีพ : พนักงานจา้ งตามภารกิจ

ภาพประกอบการจดั ทาภูมิปัญญาศึกษา เรือ่ ง ขนมเปย่ี งไท – ญวน

ประชุมชแ้ี จงการดาเนนิ โครงการจัดทาภมู ปิ ญั ญาศึกษา ผถู้ ่ายทอดภูมปิ ัญญาและผ้เู รียบเรยี งภูมิปญั ญา

ประชมุ ชีแ้ จงการดาเนินโครงการจัดทาภมู ิปัญญาศึกษา ครัง้ ที่ 2 ประชมุ ช้แี จงการทางานภายในกลมุ่ ภมู ิปญั ญาศกึ ษา

บรรณานกุ รม นุชนงค์ อุเทศพรรัตนกุลม, วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวเวยี ดนามในเขตเทศบาลเมอื งนครพนม, มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2544. นันทนา ปรมานศุ ษิ ฏ์, โอชาอาซยี น, กรุงเทพมหานคร: มติชน, 2544. รตั นา พรหมพิชยั , เข้าหนมล้ินหมา ใน สารานุกรมวฒั นธรรมไทยภาคเหนือ (เล่ม 2, หนา้ 824). กรุงเทพฯ: มลู นิธสิ ารานุกรมวฒั นธรรมไทย ธนาคารรตั นา พรหมพชิ ัย, 2542. เร่อื งเล่าชาวบา้ น \"เข้าหนมเปี่ยง ขนมพื้นบ้านไทยวน ทาง่ายแต่หากนิ ยาก\" 24-08-58 .เรยี กใชเ้ ม่อื 9 มกราคม 2562 https://www.youtube.com/watch?v=21wrKn6nQg4 รายการพันแสงรุ้ง, ตอน เวียดนามชวนชิม พันแสงรุ้ง. กรุงเทพฯ: ทวี ีไทย, 2553. รายการโฮมรมู \"ศิลปะการจดั จานอาหาร\". (24 สิงหาคม 2559). เรยี กใชเ้ มื่อ 9 มกราคม 2562 https://www.youtube.com/watch?v=iP9goW6WifU


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook