การพฒั นาผลการเรียนรู้ และความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ วิชาวทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ เรือ่ ง องคป์ ระกอบของสิง่ มีชีวติ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ซ่ึงใช้รูปแบบการสอน โดยใช้ปญั หาเป็นฐานร่วมกบั สอื่ การสอน Microsoft PowerPoint โดย นางสาวสดุ าภรณ์ สืบบญุ เปี่ยม ตาแหน่ง พนักงานราชการ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ตาบลช่างเค่งิ อาเภอแมแ่ จ่ม จงั หวัดเชียงใหม่ สานกั บรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษสานกั งานการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
การพัฒนาผลการเรียนรู้ และความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เร่อื ง องค์ประกอบของสงิ่ มชี วี ติ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ซง่ึ ใช้รูปแบบการสอน โดยใชป้ ญั หาเป็นฐานร่วมกบั สอื่ การสอน Microsoft PowerPoint นางสาวสุดาภรณ์ สืบบุญเป่ียม ตาแหนง่ พนกั งานราชการ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จม่ จังหวดั เชยี งใหม่ สานกั บริหารงานการศึกษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
กบทคดั ย่อ การพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เร่ือง องค์ประกอบของสง่ิ มีชวี ติ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ซงึ่ ใช้รูปแบบการสอนโดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน ร่วมกับส่ือการสอน มีวัตถุประสงค์เพอื่ สร้างและหาประสิทธภิ าพของส่ือการสอน วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เร่ือง องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4 มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เพ่ือพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน ในด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ของช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 วิชาวิทยาศาสตร์ชวี ภาพ เรือ่ ง องคป์ ระกอบของส่ิงมีชวี ิต ทเ่ี รียนโดยใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับสื่อการสอน Microsoft PowerPoint และเพอ่ื เปรยี บเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ปีการศึกษา 2561 จานวน 20 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการดาเนินการวิจัย ได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้ใช้รูปแบบ การสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับการใช้สื่อการสอน วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เร่ือง องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 จานวน 4 เล่ม เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบประเมินทักษะกระบวนการ แบบสังเกตพฤติกรรมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และแบบ วัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ หาค่าประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูป โดย E1/ E2 ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมตฐิ าน โดยการเปรียบเทียบความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ ก่อนเรียน และหลังเรียนดว้ ยสถติ ิ t - test (t - test Depentdense)
ผลการวจิ ยั1. สื่อการสอน Microsoft PowerPoint วิชาวทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ เรือ่ ง องคป์ ระกอบของสงิ่ มีชวี ติ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มปี ระสทิ ธิภาพเท่ากับ 90.27/81.11 ซึง่ ผ่านเกณฑม์ าตรฐานท่ีตั้งไว้2. นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 ท่ีเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ เรือ่ ง องค์ประกอบของสง่ิ มชี ีวติ ซึ่ง ใชร้ ูปแบบ การสอนโดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน ร่วมกับสอ่ื การสอน Microsoft PowerPoint มีผลการ เรียนร้ผู า่ นเกณฑท์ ก่ี าหนด ดงั นี้ 2.1 ด้านความรู้ พบว่า นกั เรยี นมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น โดยมคี ะแนนเฉล่ยี คิดเป็นรอ้ ยละ 81.11 ซึ่งสูงกวา่ เกณฑ์ทตี่ ง้ั ไว้ คอื รอ้ ยละ 70 ข้นึ ไป โดยมีคะแนนสงู สดุ เท่ากบั 90 คะแนน และมคี ะแนนตา่ สดุ เท่ากบั 60 คะแนน จากผลการศึกษาจึงสรปุ ไดว้ ่า การจัด กจิ กรรมการเรยี นร้โู ดยใชร้ ูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสือ่ การสอน Microsoft PowerPoint ทาให้นักเรยี นมผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนสงู กวา่ เกณฑ์ รอ้ ยละ 70 2.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ พบวา่ นักเรยี นทีเ่ รยี นโดยใช้รปู แบบการสอนโดยใชป้ ัญหา เปน็ ฐาน ร่วมกบั ส่อื การสอน Microsoft PowerPoint ทง้ั 20 คน มีคะแนนเฉลี่ย ทกั ษะกระบวนการ ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 70 และมีร้อยละคะแนน เฉล่ยี ของทักษะ กระบวนการทงั้ หมด เทา่ กับร้อยละ 90.27 2.3 ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ พบว่า นักเรียนทเ่ี รยี นซง่ึ ใชร้ ปู แบบการสอนโดยใช้ปัญหา เปน็ ฐาน รว่ มกับสื่อการสอน Microsoft PowerPoint ท้งั 20 คน มีผลการประเมนิ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคใ์ นระดับคุณภาพดี เย่ยี มทุกคน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 ผา่ น เกณฑร์ ้อยละ 70 ที่ตั้งไว้3. นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ทเ่ี รยี น วิชาวทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ เร่อื ง เซลล์ของสงิ่ มชี ีวติ ท่เี รียน โดยใชร้ ปู แบบการสอนโดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน รว่ มกับส่ือการสอน Microsoft PowerPoint มี ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียน และมคี ะแนนเฉลี่ย 35.18 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 97.72
สารบัญ ขบทคัดยอ่ หน้าสารบัญ ก1. ทีม่ าและความสาคญั ข2. วตั ถุประสงค์งานวิจยั 13. สมมติฐานในการวจิ ัย 34. ขอบเขตของการวจิ ยั 35. นิยามศัพท์เฉพาะ 36. ประโยชน์ของการวจิ ยั 47. เอกสารทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 58. กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั 59. ระเบียบวธิ ีวจิ ยั 610. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 711. การวิเคราะห์ข้อมลู 812. การสรุปผลการศึกษา 813. ขอ้ เสนอแนะ 9ภาคผนวก 11 - แผนการการจดั การเรยี นรู้ เรอื่ ง เซลลข์ องส่ิงมชี วี ติ 12 - สอ่ื การสอน Microsoft PowerPoint เร่อื ง องคป์ ระกอบของสิ่งมีชวี ติ 44
11. ที่มาและความสาคัญ หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดสมรรถนะสาคัญของ นักเรียนไว้ 5 ประการ คือ ความสามารถในการส่ือสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหาความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งความสามารถใน การคิดเป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ การคิดอย่างเปน็ ระบบเพื่อน าไปสกู่ ารสรา้ งองค์ความรหู้ รือสารสนเทศ เพื่อการตัดสนิ ใจ ของตนเองได้อย่างเหมาะสม(หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551) เกียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักด์ิ (2546) และนักคิดคนสาคญั ของประเทศ ได้อภิปรายไว้ว่า ประเทศชาติ จะเจริญก้าวหน้าไปได้เพียงใดข้ึนอยู่กับการ “คิดเป็น”ของคนในประเทศเปน็ สาคัญ การคดิ คือ การท่ี คนๆ หนึ่ง พยายามใช้พลังงานทางสมองของตนในการนาเอาขอ้ มลู ความรู้ ประสบการณ์ตา่ งๆ ทมี่ ีอย่มู าวางอยา่ งเหมาะสม เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ เช่น การตัดสินใจเลือกในส่งิ ที่ดที ส่ี ุด คนท่ี “คดิ เปน็ ” จะสามารถจดั ข้อมูลให้เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้เกิดความคิดที่ดีท่ีสุด (ทิศนา แขมมณี และคณะ, 2544) ด้วยเหตุน้ีทาให้ความสามารถด้านการคิด เป็นเรื่องสาคัญมากที่ทาให้มนุษย์มี คุณภาพ การคิดจะทาให้คนรู้จักจาแนกข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับแล้วพิจารณาหาแนวทางที่หลากหลาย แล้วใช้ความรู้ ความสามารถทั้งหมด ตัดสินใจเลือกทางเลือกอย่างมีเหตุผล แล้วปฏิบัติตามแนวทางทจ่ี ะทาให้ เกิดผลดีที่สดุ จากความสาคัญของการคิดดงั กลา่ ว จงึ จาเป็นอย่างยิง่ ที่ตอ้ งพฒั นาการคดิ ใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รียน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นการคิดที่ผู้เรียนต้องใช้ ความสามารถในการเปรียบเทียบ จาแนก ประเมนิ ค่า และอธิบายสาเหตกุ ารตดั สินใจ ดงั นนั้ การคดิ วิเคราะห์ จึงเป็นทักษะการคิดขั้นสงู ท่ีช่วยให้ผู้เรียนในการแยกแยะระหว่างข้อมูลท่ีมีประโยชน์ และใช้ 4 ในการประเมิน ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจาวันของผู้เรียน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546) ซึ่งการ คิดวิเคราะห์ เป็นทักษะที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งผู้เรียนจะต้องฝึกและพัฒนาจนทาได้เป็น นิสัย เพื่อให้ผู้เรียน สามารถขยายความรู้ ประสบการณ์และความคิดของตนเองให้กว้างขวางและลึกซ้ึง วิธีการที่ฝึกให้ผู้เรียน คิดวิเคราะห์สามารถดาเนินการเป็นลาดับ (จุฬาลักษณ์ ภูปัญญา, 2550) การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking) เป็นการคิดโดยใช้สมอง ซีกซ้ายเป็นหลัก เป็นการคิดในเชิงลึก คิดอย่างละเอียด จากเหตุไปสู่ผลมีการคิดหาทางเลอื ก ในรปู แบบต่างๆ ไปจนถงึ การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ เพื่อตัดสินใจเลือกกรณีท่ีจะมีความเหมาะสม และคมุ้ คา่ สูงสุด ความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ 3 ระดับ ดังน้ี 1. ความสามารถพ้ืนฐาน (Basic Skills) เป็นทกั ษะดา้ นภาษาและคณติ ศาสตร์ อันไดแ้ ก่ การฟงั พดู อา่ น และเขียน การแปลความหมาย การสงั เกต การเกบ็ รวบรวมข้อมูล เปน็ ต้น 2. ความสามารถในการวิเคราะห์อนมุ านข้อมลู ไดแ้ ก่ ความสามารถในการอ้างองิ การจาแนก การ เปรียบเทยี บ การแยกขอ้ เท็จจรงิ และข้อคิดเห็น การวางหลกั การ เป็นต้น 3. ความสามารถในการสังเคราะห์ เป็นการนามโนทศั น์ตา่ ง ๆ มาสรปุ ลงความคิดเหน็ เพือ่ ให้ เกดิ มโน
2 ทศั นใ์ หม่ ๆ อันไดแ้ ก่ ความสามารถในการสรุป การตดั สนิ ใจ การวิจารณ์ ดังนั้น กระบวนการจัดการเรียนการสอนจึงต้องมีการปรับปรุงและ เปล่ียนแปลงให้เข้ากับสภาพปัญหา ยุคปัจจุบัน ท่ีนักเรียนจะสามารถนาไปใช้ได้ มีทักษะการคิด การวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันจาก ประสบการณ์การสอนของผู้ศึกษาพบว่า การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ครูยังสอนที่เน้นการบรรยายเป็น ส่วนมากกิจกรรมยังไม่ส่งเสริม ให้นักเรียนได้ฝึกการคิดเท่าทคี่ วร ครูไมค่ ่อยนาเทคนิคในการน าเสนอรูปแบบการ จัดการเรียนการสอนท่ี ให้นกั เรียนมีส่วนร่วม แต่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางมากกว่าจากการสอนแบบบรรยาย ส่งผลให้นักเรียนขาดทักษะการวิเคราะห์ การคิดการทางานกลมุ่ การสืบคน้ ข้อมลู มสี ว่ นร่วมในกิจกรรมการเรยี น ภายในห้องเรียนน้อย เป็นแต่เพียงผู้รับอย่างเดียว ขาดโอกาสท่ีจะร่วมเรียนรู้และมีปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน นักเรียนจึงเกิดความเบื่อหน่าย ขาดการแสดงออกทางความคิด เนื่องจากครูบรรยายให้นักเรียนฟัง ฝ่ายเดียว นักเรียนจึงเป็นเพียงผู้รับฟังอย่างเดียวไม่ได้วเิ คราะหเ์ หตกุ ารณ์ วเิ คราะห์สถานการณ์ วิเคราะหป์ ญั หา ไมไ่ ด้ ร่วมคิด รว่ มอภปิ ราย แลกเปล่ียนความรู้หรอื ศึกษาคน้ ควา้ เพิม่ เตมิ จากสอ่ื ต่าง ๆ การจดั การเรยี นรู้ในวชิ าวิทยาศาสตร์ชีวภาพ จึงเป็นการจัดกิจกรรมท่ีไมไ่ ด้ สง่ เสริมการคดิ วเิ คราะหส์ าหรบั นักเรียน ประกอบกบั ขาดสอื่ ประกอบการเรียนรู้ท่ีจะให้นักเรียนได้เห็นภาพ นักเรียนจึงเกิดความรู้และ ความเข้าใจได้ไม่เต็มที่ ด้วยเหตุผลน้ี ผู้ศึกษาจึงสนใจท่ีจะจัดกิจกรรม การเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ท่ีส่งเสริมและพัฒนาให้นักเรียนมี ทักษะในการคิดวิเคราะห์ คิดเป็นระบบ วิเคราะห์จากสถานการณ์ปัญหา แสดงความคิดเห็นอย่างมี เหตุผล สืบค้นข้อมูลจากส่ือที่มีคุณภาพนาความรู้ หลักการ มาใช้แก้ปัญหาอย่างมีระบบและมีขั้นตอน โดยใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อการสอน Microsoft PowerPoint เพ่ือพัฒนาผลการเรียนรู้ ครอบคลุมทั้งด้าน ความรู้ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ อีกทั้งยังพัฒนา ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนให้เป็นไปตามหลักสูตร เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดการ เรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพให้มีประสิทธิภาพสูงขึน้ และเพ่ือใหน้ ักเรียนเกิดการเรยี นร้ไู ด้ อย่างเตม็ ศักยภาพ2. วตั ถปุ ระสงค์งานวิจยั 2.1 เพอื่ สร้างและหาประสทิ ธภิ าพของส่ือการสอน Microsoft PowerPoint วิชาวทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ เรอ่ื ง องค์ประกอบของสงิ่ มีชีวิต สาหรบั นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 2.2 เพื่อพัฒนาผลการเรียนรขู้ องนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4 วชิ าวทิ ยาศาสตตรช์ ีวภาพ ท่ีเรียนซึ่ง ใชก้ ารจัดการเรียนร้โู ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐานรว่ มกบั การใชส้ ื่อการสอน Microsoft PowerPoint 2.3 เพอ่ื เปรยี บเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์กอ่ นและหลังเรยี นของนักเรยี น ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4 ทไ่ี ด้รบั การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐานรว่ มกบั การใช้ส่อื การสอน Microsoft PowerPoint
33. สมมตฐิ านในการวจิ ัย 3.1 บทเรยี นสาเร็จรูป วิชาวทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ เรอ่ื ง เซลล์ของส่งิ มชี วี ิต สาหรับนกั เรยี น ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 3.2 นกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ทไ่ี ด้รับการจัดการเรียนรโู้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐานรว่ มกบั การใช้ ส่ือการ สอน Microsoft PowerPoint มีผลการเรียนรู้ผา่ นเกณฑท์ ่กี าหนด 3.3 นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ท่ไี ดร้ บั การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐานรว่ มกบั การใช้สอื่ การ สอน Microsoft PowerPoint มคี วามสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมีนัยสาคญั4. ขอบเขตของการวิจัย 4.1 ประชาการทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ประชากรทใ่ี ชใ้ นการวิจัยคร้ังนี้เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2561 จานวน 20 คน 4.2 กลุม่ ตวั อย่างทใ่ี ช้ในการวิจยั กลมุ่ ตวั อย่างเปน็ นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2561 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 จานวน 20 คน ซงึ่ ไดจ้ ากการสุ่มแบบกล่มุ (Cluster Random Sampling) จานวน 1 ห้องเรียน ใช้เวลาในการทดลอง 4 ช่วั โมง 4.3 ระยะเวลาทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ระยะเวลาที่ใชใ้ นการวจิ ยั ทาการทดลองในภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2561 โดยใช้เวลาในการทดลอง 2 สปั ดาห์ สัปดาหล์ ะ 2 ชั่วโมง รวม 4 ช่วั โมง 4.4 เนอื้ หาทใี่ ช้ในการวิจัย เนอื้ หาทีใ่ ช้ในการวจิ ัย เปน็ เนอ้ื หากลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 องค์ประกอบของ สง่ิ มชี วี ติ 4.5 ตัวแปรทีศ่ ึกษา ตัวแปรอิสระ ไดแ้ ก่ การจดั การเรยี นร้โู ดยใชป้ ญั หาเป็นฐานรว่ มกบั การใช้ส่อื การ สอน Microsoft PowerPoint วชิ าวทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ เร่อื ง เซลลข์ องส่งิ มชี วี ติ ชน้ั มัธยมศึกษา ปีท่ี 4 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ 1. ผลการเรียนรู้ของนกั เรยี นท่เี รียนโดยการจัดการเรียนร้โู ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน ร่วมกับการ ใช้สอ่ื การสอน Microsoft PowerPoint วชิ าชีววิทยา เรือ่ ง องค์ประกอบของสง่ิ มีชีวติ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 ประกอบดว้ ย ด้านความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และคณุ ลกั ษณะ อันพงึ ประสงค์ 2. ความสามารถในการคดิ วเิ คราะหข์ องนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี 4 ทีเ่ รยี นดว้ ยการ จดั การเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐานร่วมกับการใช้สอ่ื การสอน Microsoft PowerPoint วชิ าวิทยาศาสตรช์ วี ภาพ เร่อื ง องคป์ ระกอบของสง่ิ มีชีวิต
45. นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 5.1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หมายถึง ลักษณะของการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาในชีวติ ประจาวันของนกั เรยี นทนี่ ักเรียนพบ มาเปน็ จุดตง้ั ตน้ ของกระบวนการเรยี นรู้ และเป็น ตัวกระตุ้นในการพัฒนาทักษะการแกป้ ญั หาด้วยเหตผุ ล โดยเน้นใหน้ ักเรยี นเปน็ ผตู้ ดั สนิ ใจในสง่ิ ท่ี ต้องการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง รจู้ กั การทางานรว่ มกันเปน็ กลุ่ม โดยครมู ีส่วนรว่ มนอ้ ยท่ีสุด การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานตามขั้นตอนของสานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา (สานกั งาน เลขาธิการสภาการศึกษา, 2550 5.2 ผลการเรยี นรู้ หมายถึง ผลจากท่ีนักเรียนได้เรียนรู้จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อการสอน Microsoft PowerPoint วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เร่ือง เซลล์ของสิ่งมีชีวิตชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ซึง่ ประกอบด้วย ผลการเรียนรู้ 3 ดา้ น คือ ด้านความรู้ ดา้ นทักษะกระบวนการ และด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ มีลักษณะสาคัญ ดงั น้ี 5.2.1 ด้านความรู้ คือ ความรคู้ วามเข้าใจของนักเรียนจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับส่ือการสอน Microsoft PowerPoint ซึ่งวัดจาก แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่อง เซลล์ของสิ่งมีชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ท่ีผู้ศึกษาสร้างข้ึน ตามมาตรฐานและตวั ชวี้ ัดซ่ึงแปลผลคะแนนทีไ่ ด้เป็นระดบั คณุ ภาพ 5.2.2 ดา้ นทักษะกระบวนการ หมายถงึ พฤติกรรมและการแสดงออกของนกั เรียน ในด้านทกั ษะกระบวนการตามรูปแบบการสอนโดยใช้ปญั หาเป็นฐาน ประกอบด้วย ทักษะการกาหนดปัญหา ทักษะการทาความเขา้ ใจปญั หา ทักษะการดาเนินการศกึ ษาคน้ ควา้ ทักษะการสังเคราะหค์ วามรู้ ทักษะการสรุป และประเมนิ ค่าของคาตอบ และทักษะการนาเสนอและประเมินผลงาน โดยประเมนิ พฤติกรรมนักเรยี นในการเรียนในห้องโดยใชแ้ บบประเมินทักษะกระบวนการ 5.2.3 ด้านคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ หมายถึง การแสดงพฤตกิ รรมของนักเรียน จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อการสอน Microsoft PowerPoint วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่อง เซลล์ของส่ิงมีชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ทั้ง 8 ด้าน ตามหลักสูตรสถานศึกษากาหนด ได้แก่คุณลักษณะ ด้านซอ่ื สตั ย์ สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทางาน รักความเป็นไทยมจี ิตสาธารณะ มีจติ วทิ ยาศาสตร์ และมคี วามรับผิดชอบ 5.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้เก่ียวกับกระบวนการสร้างองค์ความรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งวัดจาก แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตรช์ วี ภาพ เรอื่ ง เซลลข์ องสงิ่ มีชวี ิต ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ท่ีผ้ศู ึกษาสร้างขึ้นและทดลองหาคุณภาพแลว้ เปน็ ข้อสอบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบมี 5 ตัวเลอื ก 5.4 ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาแยกแยะ ส่วนย่อยๆของเหตุการณ์ เรือ่ งราว หรือเนื้อเรื่องต่างๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีความสาคัญและสัมพันธ์กันอย่างไร เป็นการคิดพิจารณาอย่างมีเผตุมีผล เพ่ือหาข้อสรุปหรือหลักการท่ีจะสามารถนามาใช้ในการ แก้ปัญหาได้อย่างถกู ตอ้ ง โดยการวดั ด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ท่ีผ้ศู ึกษา ปรับปรงุ มาจาก แบบวดั
5ความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ของ วิภาณีย์ จิรธรภักดี (2554) และ แบบทดสอบความถนัดทางการเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย ของสานักทดสอบทางการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (http://pics.unigang.com/all//1248.pdf )ท่ีผู้ศึกษานามาปรับปรุง ให้เหมาะสมกับนักเรียน เป็นแบบทดสอบ แบบเลือกตอบ ชนิด 5 ตัวเลือก ประกอบด้วยการวัดความสามารถใน 5 ดา้ น คอื 1. ด้านการจาแนก หมายถงึ ความสามารถในการแยกแยะส่วนยอ่ ยตา่ งๆและเหตุการณ์ท่ีเหมอื นกนั และแตกตา่ งกนั ออกเป็นแต่ละส่วนให้เข้าใจง่ายอย่างมีหลักเกณฑ์ สามารถระบุตัวอย่าง หลักฐานและลักษณะความเหมอื นกันและความแตกตา่ งได้ 2. ดา้ นการจดั หมวดหมู่ หมายถึง ความสามารถในการจัดประเภท จดั ลาดับ จัดกล่มุ ของ ส่ิงทมี่ ีลักษณะเดยี วกนั เขา้ ด้วยกนั โดยยดึ โครงสร้างลักษณะหรอื คุณสมบัตทิ ี่เป็นประเภทเดยี วกัน 3. ด้านการเชอ่ื มโยง หมายถงึ ความสามารถในการเช่อื มโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลตา่ งๆว่าสมั พันธ์กันอย่างไร 4. ดา้ นการสรปุ หมายถงึ ความสามารถในการจับประเด็นและสรุปผลจากส่ิงท่ีกาหนดให้ได้ 5. ด้านการประยุกต์ หมายถึง ความสามารถในการน าความรหู้ รือหลกั การจากการเรยี นรไู้ ปใชใ้ นสถานการณต์ ่างๆ สามารถคาดการณ์ พยากรณ์ คาดเดาสงิ่ ท่จี ะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตได้6. ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะได้รับ 6.1 ได้แนวทางการจัดการเรียนรู้ ซึ่งใช้รูปแบบการสอนการใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับการใช้สื่อการสอน Microsoft PowerPoint ทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ ทค่ี รสู ามารถนาไปใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอนให้มีคุณภาพและเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน ในกลมุ่ สาระการเรยี นรูอ้ ่ืน 6.2 นกั เรยี นมคี วามสามารถในการคดิ วิเคราะห์ ปัญหา สถานการณ์ทจี่ ะนาไปใชใ้ นการแกป้ ัญหา ในชวี ติ ประจาวนั ได้ 6.3 ครูมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถจัดการเรียนรู้ในสาระการเรียนรู้อ่ืนๆ อันเป็นประโยชน์ ต่อการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน เพ่ือพัฒนาความรู้ ความสามารถของนักเรยี นตอ่ ไป7. เอกสารและงานวจิ ัยที่เกีย่ วข้อง การพฒั นาผลการเรยี นรู้ และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรื่อง องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสอ่ื การสอน Microsoft PowerPoint ผูศ้ ึกษาไดศ้ ึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ยี วข้อง และได้นาเสนอตามหัวขอ้ ตอ่ ไปนี้ 1. หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
62. การจัดการเรียนรโู้ ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน3. บทเรียนสาเร็จรปู4. ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์5. งานวิจัยทเี่ กยี่ วข้อง6. กรอบแนวคิดการวจิ ัย8. กรอบแนวคดิ ในการวิจัย ตวั แปรอิสระ การจัดการเรียนร้ซู ่ึงใชป้ ญั หาเปน็ ฐานร่วมกับการใช้ส่อื การสอน Microsoft PowerPoin ตัวแปรตาม 1. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวิชาวทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ 2. ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์9. เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการศกึ ษา เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการศกึ ษา แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 9.1 เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการทดลอง ได้แก่ 9.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับการใช้ส่ือ การสอน Microsoft PowerPoin วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระ การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ จานวน 2 แผน รวม 8 ชว่ั โมง 9.1.2 ส่ือการสอน Microsoft PowerPoin วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ มัธยมศึกษาปีที่ 4 จานวน 2 เล่ม ผู้ศึกษาได้วางแผนการจัดการเรียนรู้ กับใช้สื่อการสอน Microsoft PowerPoin วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ดังนี้แผน เร่อื ง เวลา (ชั่วโมง) 1 เซลลข์ องสง่ิ มีชีวติ 4 2 การลาเลยี งสารผ่านเซลล์ 4 9.2 เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้แก่ 9.2.1 เคร่อื งมือท่ใี ชว้ ดั ผลการเรยี นรูไ้ ด้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เปน็แบบทดสอบแบบปรนัย ชนิด 5 ตัวเลือก ท้ังหมด 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน รวม 10 คะแนน ซ่ึงผู้ศึกษาเป็นผสู้ ร้างข้ึนเอง
7 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการ 6 ข้ันตามการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ปญั หาเป็นฐาน ได้แก่ การกาหนดปัญหา การทาความเข้าใจปัญหา การดาเนินการศึกษาค้นคว้า การสังเคราะห์ความรู้ การสรปุ และประเมนิ คา่ ของค าตอบ การน าเสนอและประเมินผลงาน ท่ผี ู้ศึกษาสร้างข้ึนเอง 3) แบบสงั เกตพฤติกรรมนกั เรยี น ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ทั้ง 8 คุณลกั ษณะซ่งึ ผศู้ ึกษาได้ปรับปรงุ จากแบบสงั เกตพฤตกิ รรมด้านคณุ ลกั ษณะของผเู้ รียนตามหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 9.2.2 แบบวดั ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ซ่งึ ผู้ศึกษาได้ ปรับปรุงมาจากแบบวัดการคิดวิเคราะห์ของ วิภาณีย์ จิรธรภักดี (2554) และแบบทดสอบความถนดั ทางการเรียน ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย ของสานักทดสอบทางการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (http://pics.unigang.com/all//1248.pdf ) ที่ผู้ศึกษานามาปรับปรุง ให้เหมาะสมกับนักเรียน เป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือก ประกอบด้วยการวัดความสามารถ ใน 5 ดา้ น ท้งั หมด 40 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน รวม 40 คะแนน10. ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั การศึกษาครั้งนี้ เปน็ การวิจยั แบบยังไม่เข้าข้ันการทดลอง (Pre-Experimental Designs) ใช้รูปแบบการศึกษาเฉพาะกรณี โดยให้การทดลองหน่ึงคร้ัง (One – shot case study) เพ่ือศึกษาผลการเรียนรู้ความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ โดยใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับสื่อการสอน Microsoft PowerPoin โดยผลการเรียนรู้ด้านความรู้วัดโดยการทดสอบจากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน เทียบกบั เกณฑค์ ะแนนท่ีกาหนดไว้ คือ นักเรียนร้อยละ 70 มคี ะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ข้นึ ไป ส่วนความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วัดโดยการทดสอบจากแบบวัดความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ และเปรียบเทียบก่อนและหลงั เรียน เขยี นแผนภมู ิไดด้ งั นี้ O21 X O1 O22 สญั ลักษณ์ท่ีใช้ คือ X แทน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซ่ึงใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับส่ือการสอนMicrosoft PowerPoin วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 O21 แทน การทดสอบวดั ความสามารถในการคดิ วเิ คราะหก์ ่อนเรยี น O22 แทน การทดสอบวดั ความสามารถในการคดิ วิเคราะหห์ ลังเรยี น O1 แทน การทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นหลังเรยี น
811. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการศึกษาคร้ังนี้ ผู้ศึกษาเป็นผู้ดาเนินการทดลองด้วยตนเองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง จานวน 20คน โดยใชเ้ คร่อื งมือในการทดลอง คอื แผนการจดั การเรียนรู้วชิ าวิทยาศาสตร์ชีวภาพ โดยใช้รูปแบบการสอนซ่ึงใช้ปัญหาเป็นฐาน รวมกับสื่อการสอน Microsoft PowerPoin จานวน 2 แผน เป็นเวลา 8 ช่ัวโมง ซ่ึงดาเนินการทดลอง ตามข้นั ตอนดังน้ี 11.1 ขน้ั การเตรียมนักเรียนก่อนดาเนินการทดลอง ครูทาการทดสอบนักเรียนก่อนเรียน โดยทาการทดสอบ วัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ก่อนเรียน ปฐมนิเทศนักเรียน ชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้เน้ือหาสาระการจดั กจิ กรรมการเรียนรตู้ าม รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ข้อตกลง เกณฑ์การวัดผลประเมินผล ให้นักเรยี นเขา้ ใจ 11.2 ขั้นดาเนินการจัดการเรียนการสอน ผู้ศึกษาใช้แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพซ่ึงใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับสื่อการสอน Microsoft PowerPoin จานวน 2 แผนเป็นเวลา 8 ชวั่ โมง รวม 4 สัปดาห์ ในระหว่าง วันที่ 11 มิถุนายน 2561 ถึงวันท่ี 2 กรกฎาคม 2561โดยในข้ันดาเนนิ การจัดการเรยี นการสอน ได้เก็บรวบรวมข้อมูลในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของนักเรียน โดยพิจารณาจากผลการทาแบบทดสอบในส่ือการสอน MicrosoftPowerPoin การตอบคาถามในใบงาน การสรุปผล การเรียนรู้ การบันทึกการค้นคว้าหาความรู้ การนาเสนอการแกป้ ญั หาหน้าชัน้ เรียน การนาเสนอข้อมูล การศกึ ษาค้นควา้ ผลงาน ช้ินงานนักเรยี น ท้ังงานเดยี่ ว และงานกลุ่ม สงั เกตการเรียนรู้ท้ัง 6 ข้ัน รวมไปถึง การสังเกตเพ่ือประเมินทักษะกระบวนการตามข้ันตอนท้ัง 6 ข้ันตามกระบวนการของการจัดการ เรยี นรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน ได้แก่ ทกั ษะกระบวนการในการกาหนดปัญหาการทาความเข้าไขปัญหา การดาเนินการศึกษาค้นคว้า การสังเคราะห์ความรู้ การสรุปและประเมินคาตอบและการนาเสนอและ ประเมินผลงาน และบันทึกพฤติกรรม คุณลักษณะนักเรียน เพื่อประเมินคุณลักษณะนักเรยี นทั้ง 8 ดา้ น นักเรียน เพอ่ื ให้นกั เรยี นมีความรู้ ทักษะ สมรรถนะ และคุณลกั ษณะอันพึงประสงคด์ ว้ ย 11.3 ข้ันหลังการจัดการเรียนการสอน 11.3.1 เม่ือสนิ้ สุดระยะการดาเนนิ การทดลอง ผศู้ ึกษาไดท้ าการทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น วิชาวิทยาศาสตร์ ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีสร้างข้ึนจานวน 20 ข้อ ใช้เวลาในการสอบ 15 นาที ทาการทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ จานวน 40 ข้อ ใช้เวลา 60 นาที นากระดาษคาตอบของนักเรียน มาตรวจวิเคราะห์ข้อมลู โดยใชโ้ ปรแกรม SPSS12. การวเิ คราะหข์ อ้ มูล การวิเคราะหข์ ้อมูล ผ้ศู ึกษาวิเคราะหข์ อ้ มลู จาแนกไดด้ ังนี้ 12.1 วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของบทเรียนสาเร็จรูป โดยหาค่าประสิทธิภาพ E1/E2 คานวณจากสตู ร (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2541)
9 12.2 วิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย (X) โดยนากระดาษคาตอบมาตรวจวิเคราะห์ ให้คะแนน ตอบถูกได้ 1 คะแนน ตอบผิดได้ 0 คะแนน เม่ือได้ค่าคะแนนของนั กเรียนแต่ละคนนามาหาร้อยละ และค่าเฉล่ีย ร้อยละของค่าเฉล่ีย เทียบกับเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ คือ นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นร้อยละ 70 ขึน้ ไป 12.3 วิเคราะห์ทักษะกระบวนการ จากแบบประเมินทักษะกระบวนการ ในช้ันเรียน ให้คะแนนเป็นระดับ คุณภาพ 3 ระดบั โดยทักษะกระบวนการแต่ละข้อให้คะแนนเต็ม 3 คะแนน ผู้ประเมินให้คะแนนแต่ละคน ในรายการ 10 ทักษะกระบวนการแต่ละข้อ นาคะแนนทุกข้อมารวมกันและหาร้อยละของคะแนน ถ้ามากกว่า ร้อยละ 70 ถือว่าผ่าน เกณฑ์ในแต่ละแผน และเมื่อครบทุกแผน ผู้ศึกษาจะนาคะแนนร้อยละของนกั เรียนแต่ละคนท่ไี ดใ้ นแต่ละแผนมาหา ค่าเฉล่ีย และหาค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างท้ัง 20คน เทียบกับเกณฑร์ ้อยละ 70 12.4 วเิ คราะห์คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ จากแบบสงั เกตพฤตกิ รรมนกั เรยี นด้านคุณลักษณะ โดยให้คะแนนนักเรยี นตามรายการของแต่ละคณุ ลกั ษณะ โดยมเี กณฑ์ว่า - พฤติกรรมทป่ี ฏิบตั ชิ ดั เจนและสมา่ เสมอ ให้ 3 คะแนน - พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบัติชดั เจนและบอ่ ยคร้ัง ให้ 2 คะแนน - พฤติกรรมทีป่ ฏิบัติบางครงั้ ให้ 1 คะแนน - พฤติกรรมไม่ปฏบิ ตั ิ ให้ 0 คะแนนนาคะแนนในแต่ละรายการมารวมกันในแตล่ ะด้านของคณุ ลกั ษณะโดย 1 คุณลกั ษณะจะมปี ระเด็น พิจารณา 3รายการ เต็ม 9 คะแนน นาคะแนนเฉล่ยี มาหาระดับคุณภาพแต่ละคณุ ลักษณะ ดังนี้ คะแนนเฉลย่ี 2.5 – 3.0 ระดบั คณุ ภาพ ดีเย่ยี ม คะแนนเฉลยี่ 1.5 - 2.4 ระดับคุณภาพ ดี คะแนนเฉลีย่ 0.6 - 1.4 ระดบั คณุ ภาพ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ คะแนนเฉลี่ย 0 - 0.5 ระดับคณุ ภาพ ไม่ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินนาระดบั คณุ ภาพของคณุ ลักษณะแต่ละด้านท่ีสังเกตในแต่ละแผนมาหาค่าฐานนิยม เพื่อสรุปคุณลักษณะ ของนกั เรียนในแตล่ ะดา้ น ท้ัง 8 ดา้ น 12.5 วิเคราะหค์ วามสามารถในการคิดวิเคราะห์ ด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย (X) โดยนากระดาษ คาตอบมาตรวจวเิ คราะห์ให้คะแนน ตอบถูกได้ 1 คะแนน ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน เมื่อได้ค่าคะแนนของ นักเรียนแต่ละคนนามาหารอ้ ยละ และคา่ เฉลี่ย ร้อยละของค่าเฉลี่ย เทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ นักเรียน มีคะแนนจากแบบวัดความสามารถในการคดิ วเิ คราะหร์ อ้ ยละ 70 ข้นึ ไป 12.6 ทดสอบสมมติฐาน โดยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ก่อนเรยี น และหลังเรียน ด้วยสถิติ t - test (t - test Depentdense)
1013. สรุปผลการศึกษา 13.1 ผลการสร้างและหาประสิทธภิ าพของส่ือการสอน Microsoft PowerPoin 13.1.1 บทเรยี นสาเร็จรปู วิชาชีววิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีประสิทธภิ าพการ ทดลองกลุ่มใหญข่ องแบบฝึกหัดระหว่างเรียนและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าเท่ากับ 90.27/81.11ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ในสมมติฐาน คือ 80/80 จากการทดลองและปรับปรุง เคร่ืองมือทั้ง 3 ครั้ง ผู้ศึกษาได้เครอื่ งมือทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพเหมาะสาหรบั นาไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่างได้ 13.1.2 สือ่ การสอน Microsoft PowerPoin วิชาวิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4มปี ระสิทธิภาพ การทดลองกล่มุ ใหญข่ องแบบฝึกหัดระหวา่ งเรยี น และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมคี า่ เทา่ กับ 84.27/81.80 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกาหนดไวใ้ นสมมติฐาน คือ 80/80 13.2 ผลการเรียนรูข้ องนกั เรียน จากการเรยี นรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4โดยใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อการสอน Microsoft PowerPoin ผลการเรียนรู้ผู้ศึกษา ได้ศึกษา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ปรากฏผลการเรยี นร้ขู องนกั เรยี น ดงั น้ี 1. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน นกั เรยี นมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น โดยมคี ะแนนเฉลีย่ คิดเป็นรอ้ ยละ 81.11 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ที่ต้ังไว้ คือ ร้อยละ 70 ข้ึนไป โดยมีคะแนนสูงสุด เท่ากับ 90 คะแนน และมีคะแนนต่าสดุ เทา่ กับ 60 คะแนน จากผลการศกึ ษาจงึ สรปุ ได้วา่ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับส่ือการสอน Microsoft PowerPoin ทาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสงู กว่าเกณฑร์ อ้ ยละ 70 2. ทกั ษะกระบวนการ นักเรียนกลมุ่ ตวั อยา่ งทั้ง 20 คน มีคะแนนเฉลย่ี ทกั ษะกระบวนการผ่านเกณฑ์ รอ้ ยละ 70 และมีร้อยละคะแนนเฉลี่ยของทกั ษะกระบวนการ ทัง้ หมด เท่ากับ รอ้ ยละ 90.27 3. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ นักเรียนทเ่ี รียนวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ โดยใชร้ ปู แบบการสอนโดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน รว่ มกบั ส่ือการสอน Microsoft PowerPoin มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับคุณภาพดีขึ้นไปทุกคน ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ คือ นักเรียนมากกว่าร้อยละ 70 มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับดขี ึ้นไป 13.3 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรยี นทเี่ รียนซ่งึ ใชร้ ปู แบบการสอนโดยใชป้ ญั หาเป็นฐานร่วมกับการใช้สื่อการสอน Microsoft PowerPoin นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ท่ีต้ังไว้ และมีคะแนนเฉลี่ย 35.18 คิดเป็นร้อยละ 97.72 โดยมีคะแนนสูงสุดเท่ากับ 19 คะแนน และมีคะแนนต่าสุด เท่ากับ 13 คะแนน จากผลการศึกษาจึงสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับส่ือการสอน Microsoft PowerPoin ทาให้นกั เรียนมีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ สงู กวา่ เกณฑ์ร้อยละ 70 13.4 ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนวชิ าวิทยาศาสตรช์ ีวภาพ โดยใช้รปู แบบการสอนโดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน ร่วมกบั การใช้สือ่ การสอน
11Microsoft PowerPoin ก่อนเรียนและ หลังเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียน ด้วยรูปแบบการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับการใช้สื่อการสอน MicrosoftPowerPoin สูงกวา่ ก่อนเรียน14. ข้อเสนอแนะ 14.1 ขอ้ เสนอแนะท่ัวไป 14.1.1 ในข้นั ตอนการจดั กระบวนการเรยี นรู้ ครจู ะต้องใหน้ กั เรยี นสามารถแสดงออก แสดงความคดิ เหน็ ตั้งปัญหาดว้ ยตนเอง และวิพาก วจิ ารณ์ เรอ่ื งราวที่ศึกษาได้ จึงจะส่งผลต่อ ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ท่ีมปี ระสทิ ธิภาพ 14.1.2 การตง้ั คาถามทจี่ ะใหน้ ักเรียนไดค้ ดิ ในทกุ ขน้ั ตอน เป็นตวั ส่งเสรมิ การเรียน ทจ่ี ะพฒั นาการคดิ และการทางานเป็นกลมุ่ เป็นการกระตุ้นใหน้ กั เรยี นเกิดความกล้าทจ่ี ะคิด และแสดงออก ในกลุ่มเพอื่ น ตามรูปแบบการสอน 14.2 ข้อเสนอแนะสาหรับงานวจิ ยั 14.2.1 ครคู วรได้นารูปแบบการสอนโดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน ร่วมกบั สือ่ การสอน MicrosoftPowerPoin ไปพฒั นาการจัดการเรยี นรใู้ นรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ ในเน้อื หาเรอ่ื งอน่ื ๆ ตอ่ ไป 14.2.2 ครูควรได้นารูปแบบการสอนโดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน ร่วมกับส่อื การสอน MicrosoftPowerPoin ไปพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ เพ่ือพัฒนากระบวนการคิดในระดับสูงตอ่ ไป 14.2.3 ครคู วรได้ศกึ ษาการจดั การเรยี นรซู้ ง่ึ ใชร้ ปู แบบการสอนโดยใชป้ ัญหาเป็นฐานประกอบกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพอื่ พฒั นาการคดิ ในระดับตา่ งๆ
ภาคผนวก
13 แบบทดสอบกอ่ นเรียน หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2คาช้ีแจง : ใหน้ กั เรยี นเลือกคาตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว1. อปุ กรณท์ ี่ใช้ศกึ ษาเซลลค์ ืออะไร 7. ข้อใดกลา่ วถกู ตอ้ งเกย่ี วกับการแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต1. กลอ้ งซีซดี ี 1. อาศัยพลงั งานในการลาเลยี งสาร2. กล้องรเู ข็ม 2. การเคลื่อนทีข่ องอนภุ าคสารผา่ นลพิ ดิ ท่ีเยอ่ื ห้มุ3. กลอ้ งจุลทรรศน์ เซลล์4. กลอ้ งปริทรรศน์ 3. มีความเร็วในการลาเลียงสารเร็วกวา่ การแพร่แบบ5. กล้องโทรทรรศน์ ธรรมดา2. ออร์แกเนลลใ์ ดไมพ่ บในเซลล์พชื 4. การเคล่ือนที่ของสารจากบริเวณที่มีความเขม้ ขน้1. ไรโบโซม 2. เซนทรโิ อล ต่าไปยังบรเิ วณทมี่ ีความเข้มขน้ สูง3. คลอโรพลาสต์ 4. ไมโทคอนเดรีย 5. ช่องโปรตนี ท่ที าหน้าที่ลาเลยี งไม่สามารถเปล่ียนรูป5. กอลจิคอมเพล็กซ์ ได้จึงมีความจาเพาะในการลาเลยี งสงู3. โครงสรา้ งใดไมพ่ บในเยอ่ื หุม้ เซลล์ 8. ออร์แกเนลลใ์ ดมบี ทบาทสาคัญต่อการลาเลยี งสาร1. ลพิ ดิ 2. โปรตนี แบบแอกทีฟทรานสปอร์ต3. เซลลูโลส 4. ไกลโคลลิพิด 1. เซนทรโิ อล 2. เย่ือหุ้มเซลล์5. ไกลโคลโปรตนี 3. คลอโรพลาสต์ 4. ไมโทคอนเดรีย4. เยื่อห้มุ เซลลม์ ีความสาคัญตอ่ ส่ิงมีชีวิตอยา่ งไร 5. กอลจคิ อมเพลก็ ซ์1. ชว่ ยใหเ้ ซลล์คงรปู อยไู่ ด้ 9. สารใดจะถกู ลาเลยี งเขา้ สเู่ ซลลโ์ ดยบรรจใุ นถุงเวสเิ คลิ2. ชว่ ยทาใหเ้ ซลล์มีรูปร่างเหล่ียม 1. นา้ ตาลกลูโคส 2. แกส๊ ออกซิเจน3. ชว่ ยสรา้ งความแข็งแรงให้แก่เซลล์ 3. คารโ์ บไฮเดรต 4. โซเดยี มไอออน4. เปน็ แหล่งสะสมสารประเภทลพิ ิดและโปรตีน 5. โพแทสเซยี มไอออน5. ควบคมุ การผ่านเขา้ -ออกของสารระหว่างเซลล์ 10. การลาเลียงสารแบบใดไม่ผ่านเยอื่ หุ้มเซลล์5. ออรแ์ กเนลลใ์ นข้อใดมคี วามสัมพันธ์ในการลาเลยี งสาร 1. การแพร่ออกนอกเซลล์ 2. แอกทีฟทรานสปอร์ต1. ไรโบโซมกบั ไลโซโซม 3. การแพร่แบบฟาซิลเิ ทต2. แวคิวโอลกับคลอโรพลาสต์ 4. การลาเลยี งสารขนาดใหญ่3. แวคควิ โอลกับไมโทคอนเดรีย 5. การลาเลยี งแบบใช้พลงั งาน4. คลอโรพลาสต์กับไมโทคอนเดรยี5. กอจจิคอมเพล็กซ์กบั เอนโดพลาสมกิ เรติคูลมั6. ข้อใดต่อไปนไ้ี มใ่ ชก่ ารแพรข่ องสาร1. การพ่นยาฆ่าแมลง2. การฉีดน้าหอมปรับอากาศ3. การละลายของนา้ ตาลในน้า4. การแช่ผกั ในถังนา้ ของแมค่ า้5. การระเหดิ ของลกู เหม็นดบั กล่ินเฉลย 1. 3 2. 2 3. 3 4. 5 5. 5 6. 4 7. 3 8. 4 9. 3 10. 4
14 แบบทดสอบหลงั เรยี น หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2คาช้ีแจง : ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว1. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ความหมายของเซลล์ 7. ขอ้ ใดเปน็ การลาเลยี งสารแบบการแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต1. องคป์ ระกอบของสงิ่ มชี วี ติ 1. การลาเลยี งโพแทสเซยี มไอออนเข้าเซลล์2. หน่วยพ้ืนฐานของส่งิ มชี ีวิต 2. การลาเลยี งนา้ ตาลกลูโคสเข้าสูเ่ ซลล์เม็ดเลอื ดแดง3. หน่วยท่เี ลก็ ที่สุดของสงิ่ มชี วี ิต 3. การลาเลยี งแก๊สออกซิเจนจากถงุ ลมสูเ่ ซลลเ์ ม็ดเลอื ด4. โครงสร้างขนาดเลก็ ของส่ิงมชี วี ิต แดง5. โครงสรา้ งขนาดเลก็ ทสี่ ุดของสิง่ มชี ีวิต 4. การลาเลยี งฮอรโ์ มนอินซูลนิ จากเซลลต์ ับออ่ นเขา้2. ออรแ์ กเนลลใ์ นใดไมพ่ บในเซลล์สตั ว์ กระแสเลือด1. แวควิ โอล 2. เซนทริโอล 5. การลาเลยี งคาร์บอนไดออกไซดจ์ ากเซลล์เม็ดเลอื ด3. คลอโรพลาสต์ 4. ไมโทคอนเดรีย แดงสู่ถงุ ลม5. เอนโดพลาสมิกเรตคิ ูลัม 8. ข้อใดกล่าวไมถ่ ูกต้องเกีย่ วกับการลาเลยี งแบบแอก3. โครงสร้างใดเป็นองค์ประกอบหลกั ของเยอ่ื หมุ้ เซลล์ ทีฟทรานสปอรต์1. ลิพิด 2. โปรตนี 1. เกดิ ขนึ้ เฉพาะเซลลท์ ่ยี ังมีชวี ติ3. ไกลโคลลพิ ดิ 4. คอเลสเตอรอล 2. ลาเลียงสารผ่านชั้นลพิ ดิ ของเยื่อหมุ้ เซลล์5. ไกลโคลโปรตีน 3. มักพบไมโทคอนเดรยี จานวนมากในเซลล์4. ข้อใดไม่ใช่คณุ สมบัติของเย่อื หุ้มเซลล์ 4. ตอ้ งอาศยั พลงั งานจากการเผาผลาญสารพลังงานสูง1. สรา้ งความแข็งแรงใหแ้ กเ่ ซลล์ ในเซลล์2. ยอมให้สารบางชนิดผา่ นเท่านน้ั 5. การลาเลียงสารจากบรเิ วณทมี่ ีความเขม้ ข้นตา่ ไปสู่3. ควบคุมแรงดนั และปริมาณสารภายในเซลล์ บริเวณท่ีมคี วามเขม้ ขน้ สูง4. มลี ิพดิ เป็นส่วนประกอบหลักเรียงตัวกัน 2 ช้นั 9. ขอ้ ใดต่อไปนี้ไม่สัมพันธ์กัน5. ควบคมุ การผ่านเขา้ -ออกของสารระหวา่ งเซลล์ 1. การกาจดั ของเสยี ของอะมบี าเปน็ การลาเลียงสารแบบ5. การสงั เคราะห์โปรตนี เพอื่ ลาเลียงออกนอกเซลล์ เอนโดไซโทซสิอาศัยการทางานของออร์แกเนลล์ใดบา้ ง 2. การทาลายเช้อื โรคของเซลลเ์ มด็ เลือดขาวกับการ1. สังเคราะห์โปรตีน ลาเลยี งแบบเอนโดไซโทซสิ2. สะสมสารภายในเซลล์ 3. การหล่งั เอนไซม์เปปซนิ สกู่ ระเพาะอาหารเป็นการ3. ขนสง่ สารออกนอกเซลล์ ลาเลยี งแบบเอกโซไซโทซสิ4. ควบคุมการผ่านเข้าออกของสาร 4. การลาเลียงอินซลู นิ จากตับอ่อนสู่กระแสเลือดเปน็ การ5. ถ่ายทอดลักษณะพนั ธุกรรมของสง่ิ มชี ีวติ ลาเลยี งแบบเอกโซไซโทซสิ6. ข้อใดตอ่ ไปนกี้ ล่าวถึงการแพรไ่ ดถ้ กู ตอ้ ง 5. การลาเลียงสารเขา้ สู่เซลลข์ องท่อหนว่ ยไตเป็นการ1. มีอตั ราเรว็ กว่าการแพร่แบบฟาซลิ ิเทต ลาเลียงแบบเอนโซไซโทซสิ2. การเคลื่อนท่ีของอนุภาคสารผา่ นโปรตีนบนเยื่อหมุ้เซลล์3. ท่ภี าวะสมดลุ ของการแพร่จะยงั มกี ารเคลื่อนทข่ี องอนุภาคสาร4. อนภุ าคสารจะเคลือ่ นท่ไี ปทุกทิศทางแบบไมม่ ีทศิ ทางทแ่ี น่นอน5. การเคลอื่ นที่ของอนภุ าคสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นต่าไปยังบรเิ วณท่ีมคี วามเขม้ ข้นสงู
10. ส่งิ มชี วี ติ เซลล์เดยี วชนดิ หนง่ึ กนิ อาหารประเภทโปรตนี 15 ใช้แกส๊ ออกซิเจนในการหายใจ และกาจดั ของเสียในรูป ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ สงิ่ มีชีวติ เซลลเ์ ดียวนีจ้ ะมี การลาเลียงสารแตล่ ะชนิดอย่างไร (เรียงลาดับจากการ กนิ อาหาร การหายใจ การกาจัดของเสยี ) 1. การลาเลยี งสารขนาดใหญ่ การแพร่ การแพร่ 2. การแพร่ การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต การลาเลยี งสาร ขนาดใหญ่ 3. การแพร่ การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต การลาเลียงสาร ขนาดใหญ่ 4. การแพรแ่ บบฟาซลิ ิเทต การลาเลียงสารขนาดใหญ่ การแพร่ 5. การลาเลยี งสารโมเลกุลใหญ่ การแพร่ การลาเลียง สารแบบใชพ้ ลงั งานเฉลย 1. 4 2. 3 3. 1 4. 1 5. 5 6. 3 7. 2 8. 2 9. 1 10. 1
16 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 1 เซลลข์ องสงิ่ มชี ีวติ เวลา 4 ชว่ั โมง1. มาตรฐาน/ตัวช้วี ัด 1.1 ตัวช้ีวัด ว 1.2 ม.4/1 อธิบายโครงสร้างและสมบัติของเย่ือหุ้มเซลล์ที่สัมพันธ์กับการลาเลียงสาร และ เปรียบเทียบการลาเลยี งสารผา่ นเยื่อหุม้ เซลลแ์ บบต่าง ๆ2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธิบายลักษณะและหน้าที่ของโครงสรา้ งพน้ื ฐานของเซลล์สง่ิ มีชีวติ ได้ (K) 2. อธิบายโครงสร้างและสมบตั ิของเยือ่ หมุ้ เซลล์ได้ (K) 3. อธบิ ายหนา้ ทีข่ องออร์แกเนลล์ต่าง ๆ ภายในเซลล์ได้ (K) 4. เปรียบเทยี บความแตกต่างระหว่างเซลล์พชื และเซลล์สัตวไ์ ด้ (K) 5. ใช้เคร่ืองมอื และอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง (P) 6. ปฏบิ ตั ิตามข้ันตอนการทดลองได้ (A) 7. สนใจใฝร่ ใู้ นการศกึ ษา (A)3. สาระการเรยี นรู้สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรยี นร้ทู ้องถิน่- เยื่อหุ้มเซลล์มีโครงสร้างเป็นเย่ือหุ้มสองช้ันท่ีมีลิพิด พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษาเป็นองค์ประกอบ และมีโปรตีนแทรกอยู่- สารที่ละลายไดใ้ นลิพดิ และสารที่มีขนาดเล็กสามารถแพรผ่ ่านเย่ือหมุ้ เซลลไ์ ด้โดยตรง ส่วนสารขนาดเล็กที่มีประจุตอ้ งลาเลยี งผ่านโปรตีนท่ีแทรกอยู่ท่ีเย่ือหุ้มเซลล์ซ่ึงมี 2 แบบ คือ การแพร่แบบฟาซิลิเทต และแอก-ทีฟทรานสปอร์ต ในกรณีสารขนาดใหญ่ เช่น โปรตีนจะลาเลียงเข้าโดยกระบวนการเอนโดไซโทซิส หรือลาเลยี งออกโดยกระบวนการเอกโซไซโทซสิ4. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด เซลล์ (cell) เป็นหน่วยพนื้ ฐานของสิ่งมชี ีวติ ทกุ ชนิด ประกอบด้วยโครงสรา้ งพื้นฐานสาคัญ 3 สว่ นไดแ้ ก่ ส่วนท่หี ่อหมุ้ เซลล์ ประกอบด้วยเยอ่ื หุ้มเซลล์ทม่ี ีโครงสรา้ งเป็นเย่อื ห้มุ 2 ช้นั ที่เรยี กว่า ลิพดิ ไบเลเยอร์ทาหนา้ ที่ควบคมุ การผ่านเขา้ -ออกของสาร และผนงั เซลล์ซง่ึ จะพบในเซลล์พืชเท่านัน้ ไซโทพลาซมึ มีลกั ษณะเป็นของเหลว ประกอบด้วยออร์แกเนลล์หลายชนิดท่ีทาหนา้ ท่ีแตกต่างกนั เชน่ ไมโทคอนเดรยี ไรโบโซม คลอโรพลาสต์ เป็นต้น และนิวเคลียส มีลักษณะกลม ทาหน้าที่ควบคมุ กิจกรรมต่าง ๆ ภายในเซลล์
17เซลลแ์ ต่ละชนดิ จะมรี ูปร่าง ลกั ษณะ และหน้าทแี่ ตกตา่ งกนั ซง่ึ เซลล์ท่มี รี ูปรา่ งและหนา้ ที่เหมือนกนั จะมารวมกลมุ่ กันเป็นเนอ้ื เยอ่ื เพือ่ ทาหน้าท่อี ย่างเดยี วกัน เน้อื เย่ือหลายชนิดจะรวมกนั เปน็ อวัยวะ อวยั วะหลายอวยั วะรวมกนั เป็นระบบอวยั วะ และระบบอวยั วะต่าง ๆ ในร่างกายจะทางานรว่ มกันเปน็ ร่างกายของส่งิ มีชวี ติ5. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียนและคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์1. ความสามารถในการสอื่ สาร 1. มวี นิ ยั2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝเ่ รยี นรู้1) ทักษะการสังเกต 3. มุ่งมัน่ ในการทางาน2) ทกั ษะการระบุ3) ทักษะการเปรียบเทยี บ4) ทักษะการจาแนกประเภท3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี6. กิจกรรมการเรยี นรู้ ช่ัวโมงท่ี 1ขัน้ นาขั้นกระตุน้ ความสนใจ (Engage) 1. ครแู จ้งตัวชีว้ ดั ประจาหนว่ ยการเรยี นรูใ้ ห้นักเรยี นทราบ 2. ครใู ห้นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน 3. ครูถามคาถาม เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนว่า ทาไมร่างกายของเราจึงประกอบด้วยเซลล์ จานวนหลายลา้ นเซลล์ แลว้ ให้นกั เรยี นรว่ มกนั ตอบคาถาม (แนวตอบ เน่ืองจากมนุษย์เป็นส่ิงมีชีวิตหลายเซลล์ ซึ่งเซลล์หลาย ๆ เซลล์จะรวมกลุ่มกันเพ่ือทา หนา้ ทอ่ี ย่างเดยี วกัน โดยร่างกายของสงิ่ มีชวี ติ จาเป็นต้องมีการกนิ อาหาร การหายใจ การขับถ่าย ซ่ึง กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้จะมีเซลล์มาทาหน้าท่ีร่วมกันเพ่ือให้กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ใน สภาวะปกติ ทาให้ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์จานวนมากหลายล้านเซลล์ เพ่ือให้การ ทางานของร่างกายเป็นปกติ) 4. ครถู ามคาถาม เพื่อทบทวนความรเู้ ดมิ วา่ เซลล์คืออะไร (แนวตอบ เซลล์ คือ หนว่ ยพ้นื ฐานท่ีเล็กที่สดุ ของสง่ิ มชี วี ติ โดยสงิ่ มชี ีวิตทกุ ชนิดล้วนประกอบขึ้นด้วย เซลล์ท้ังส้ิน ซึ่งอาจจะประกอบด้วยเซลล์เพียงเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ โดยเซลล์แต่ละชนิดจะมี รูปรา่ งและลกั ษณะทแี่ ตกต่างกัน และเซลล์สว่ นใหญ่จะไมส่ ามารถสังเกตเหน็ ดว้ ยตาเปลา่ อีกดว้ ย)ขั้นสอนขน้ั สารวจคน้ หา (Explore) 1. ครูอธบิ ายใหน้ กั เรยี นฟังว่า เซลล์เป็นหน่วยพ้นื ฐานทเ่ี ล็กทส่ี ดุ ของสง่ิ มชี ีวิตทกุ ชนดิ ถกู คน้ พบครัง้ แรก โดยรอเบิร์ต ฮุก ซ่ึงเซลล์ส่วนใหญ่ขนาดเล็กไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงต้องอาศัยหล้อง จลุ ทรรศน์ประเภทตา่ ง ๆ มาศึกษารปู ร่างและลักษณะของเซลล์ 2. ใหน้ ักเรียนศึกษาโครงสร้างพืน้ ฐานของเซลล์ ทัง้ เซลลพ์ ืชและเซลล์สัตว์ และสังเกตความเหมือนและ ความแตกตา่ งทีเ่ หน็ ระหว่างเซลล์ทั้งสองชนดิ
19ขั้นอธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายเก่ียวกบั โครงสร้างพ้นื ฐานของเซลล์ และเปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างเซลลพ์ ืชกบั เซลลส์ ตั ว์ 2. ครูใหน้ ักเรียนทาแบบฝึกหัดในแบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ม.4 ช่ัวโมงที่ 2ขั้นสอนข้นั สารวจค้นหา (Explore) 1. ครูทบทวนความรู้เดิมจากชั่วโมงทแี่ ล้วใหน้ กั เรียนทราบ พอสงั เขป 2. ครูใหน้ กั เรยี นศกึ ษาโครงสรา้ งของสร้างพื้นฐานของเซลล์ในส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ ประกอบด้วยเย่ือหุ้ม เซลล์ และผนงั เซลล์ 3. ครนู าแผนภาพโครงสรา้ งของเยอ่ื หุ้มเซลลม์ าให้นักเรียนศึกษาโครงสร้างและบทบาทของเย่อื หุ้มเซลล์ ทม่ี คี ณุ สมบตั ขิ องการเปน็ เยือ่ เลอื กผ่าน 4. ครูถามคาถาม กับนกั เรียนว่า สว่ นประกอบใดของเยื่อหุ้มเซลล์ท่ีทาให้มีคุณสมบัติเป็นเยื่อเลือกผ่าน เพราะเหตุใด (แนวตอบ เนอ่ื งจากเย่อื หุ้มเซลล์มสี ว่ นประกอบของลพิ ิด จงึ ยอมให้สารและไอออนบางชนิดผ่านเข้า- ออกได้ และเย่ือหุม้ เซลล์ยังมลี ักษณะเหลวจงึ สามารถหลุดขาดออกจากกันและเชื่อมต่อกันได้ ทาให้ เกดิ การสรา้ งเวสิเคิลในการลาเลยี งสารเขา้ -ออกจากเซลลไ์ ด้ อีกท้ังยังมีโปรตีนแทรกอยู่ระหว่างส่วน ของลิพิด จึงทาให้สารบางชนิดสามารถผ่านเข้าออกจากช่องโปรตีนเหล่าน้ีได้ ทาให้เยื่อหุ้มเซลล์มี คุณสมบตั ิเป็นเยื่อเลอื กผ่าน ท่ยี อมให้สารบางชนิดผ่านเขา้ -ออกได้เท่าน้นั ) 5. ครูให้นักเรียนศึกษาโครงสร้างของสร้างพ้ืนฐานในส่วนไซโทพลาซึม ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลว ประกอบดว้ ยนา้ 70% ภายในประกอบดว้ ยออร์แกเนลล์ทท่ี าหน้าท่แี ตกต่างกัน ดงั น้ี - ร่างแหเอนโดพลาซึม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดผิวขรุขระทาหน้าท่ีสังเคราะห์โปรตีน และชนิดผิวเรียบ ทาหน้าที่สงั เคราะหไ์ ขมนั และกาจัดสารพิษ - กอลจคิ อมเพล็กซ์ ทาหน้าท่ีเตมิ กลุ่มคารโ์ บไฮเดรตใหก้ บั โปรตีนและไขมนั - ไมโทคอนเดรยี ทาหนา้ ที่สร้างพลังงาน - แวคิวโอล ในเซลลพ์ ืชทาหนา้ ที่สะสมสาร ส่วนในเซลลส์ ตั ว์ทาหนา้ ทร่ี ักษาดลุ ยภาพของนา้ - คลอโรพลาสต์ ทาหน้าทส่ี รา้ งอาหารให้แกเ่ ซลล์พืช - ไรโบโซม ทาหนา้ ที่สังเคราะห์โปรตีน - ไลโซโซม ทาหนา้ ทีย่ ่อยสลายโมเลกลุ สารอาหาร ทาลายเชือ้ โรคและสิ่งแปลกปลอม - เซนทริโอล ทาหนา้ ที่แยกโครมาทิดออกจากกันระหวา่ งการแบง่ เซลล์ ครูให้นักเรียนศึกษาโครงสร้างของสร้างพ้ืนฐานในส่วนนิวเคลียส ที่ประกอบด้วยเยื่อหุ้มนิวเคลียส โครมาทิน และนิวคลีโอลัส โดยนิวเคลียสมีหน้าที่ควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ภายในเซลล์ และกาหนด ลักษณะทางพันธกุ รรมของสิง่ มีชวี ติ 6. ครอู ธบิ ายเพมิ่ เตมิ ว่า นวิ เคลยี สจะมีเย่อื ห้มุ นิวเคลียส ซึ่งหากแบง่ ประเภทของสิ่งมีชีวิตตามการมี/ไม่ มี เย่ือหุ้มนิวเคลียส จะสามารถแบ่งส่ิงมีชีวิตออกเป็นกลุ่มโพรคาริโอต ซ่ึงไม่มีเย่ือหุ้มนิวเคลียส และกลุ่ม ยคู าริโอต ซงึ่ มเี ยอ่ื ห้มุ นิวเคลียส
20ขน้ั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูและนักเรียนร่วมกนั อภปิ รายเก่ียวกับโครงสรา้ งพื้นฐานของเซลล์ ประกอบด้วยส่วนท่ีห่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซมึ และนิวเคลียส 2. ครใู ห้นกั เรียนทาแบบฝกึ หัดในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ม.4 ชัว่ โมงที่ 3ข้นั สอนขั้นสารวจค้นหา (Explore) 1. ครทู บทวนความรู้เดิมจากชวั่ โมงที่แลว้ ใหน้ กั เรียนทราบ พอสงั เขป 2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ทากิจกรรมเร่ือง ส่วนประกอบของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ โดยใหน้ กั เรียนศกึ ษาเซลล์ใบสาหร่ายหางกระรอก และเซลล์เยื่อบุข้างแก้ม ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ใชแ้ สงเชงิ ประกอบแบบธรรมดา 3. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มวาดภาพและบรรยายลักษณะของเซลล์และออร์แกเนลล์ ต่าง ๆ ท่ี สังเกตเห็นภายใต้กล้องจุลทรรศน์ และอภิปรายผลร่วมกันว่า เซลล์ท้ัง 2 ชนิดท่ีสังเกตเห็นภายใต้ กล้องจุลทรรศน์ มีลักษณะที่เหมอื นหรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร พรอ้ มตอบคาถามท้ายกิจกรรมขั้นอธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ให้นักเรยี นทาใบงานท่ี 2.1 เร่อื ง โครงสรา้ งของเซลล์ 2. ครูสุ่มเลอื กนกั เรียนอย่างน้อย 2-3 กลุ่ม ออกมาอภิปรายผลจากกจิ กรรม เก่ียวกับโครงสร้างพ้ืนฐาน ของเซลล์ และความแตกต่างของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์ 3. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายผลจากการทากจิ กรรม และเฉลยคาตอบของคาถามทา้ ยกจิ กรรม ชว่ั โมงท่ี 4ขน้ั สอนขั้นสารวจคน้ หา (Explore) 1. ครใู ห้นกั เรียนศกึ ษาเก่ยี วกับความสัมพนั ธ์ของรปู รา่ งต่อการทาหนา้ ท่ีของเซลล์จากแผนภาพ และใช้ ถามนักเรยี นวา่ รปู รา่ งของเซลลม์ คี วามสัมพนั ธ์ต่อการทาหนา้ ท่ขี องเซลล์อย่างไร (แนวตอบ รปู ร่างเซลล์แตล่ ะชนดิ จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเหมาะสมต่อการทาหน้าที่ ของเซลล์ชนิดน้ัน ๆ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง มีลักษณะกลมแบน ตรงกลางเว้า ไม่มีนิวเคลียส ซึ่ง ช่วยเพิ่มพ้ืนท่ีผิวในการลาเลียงแก๊สออกซิเจนไปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือเซลล์เซลล์อสุจิ ประกอบด้วยส่วนหัว ส่วนลาตัว และส่วนหางที่เป็นแฟลเจลลัม ซ่ึงช่วยในการเคลื่อนท่ีของอสุจิใน กระบวนการสบื พนั ธ์ุ) 2. ครูถามคาถาม กับนักเรียนว่า โดยปกติเซลล์สิ่งมีชีวติ จะมขี นาดเล็ก แต่หากเซลลม์ ีขนาดใหญ่ จะมีผล ต่อการดารงชีวิตของสิ่งมชี ีวติ หรอื ไม่ อย่างไร (แนวตอบ เซลลส์ ว่ นใหญม่ ักมีขนาดเล็กเพ่ือความสามารถในการทางานและควบคุมสภาพแวดล้อม ต่าง ๆ ในเซลล์ให้คงที่ แต่หากเซลล์มีขนาดใหญ่ จะส่งผลต่อการทางานของเซลล์ โดยเฉพาะ นวิ เคลยี สทีม่ ีหน้าที่ควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลล์ จะต้องทางานหนักเพ่ิมมากขึ้น เพื่อสร้างสาร ตา่ ง ๆ ไปควบคุม ออรแ์ กเนลล์และกระบวนการตา่ ง ๆ ภายในเซลล์ ซึ่งอาจทาใหน้ วิ เคลียสไม่
21 สามารถควบคุมกิจกรรม หรือสภาวะต่าง ๆ ของเซลล์ให้คงที่ได้ จึงทาให้เกิดความเสียหายต่อ เซลลแ์ ละเซลล์อาจตายได้) 3. ครใู ห้นักเรียนศึกษาการทางานของเซลล์อย่างเป็นระบบ ต้ังแต่เซลล์ที่มีหน้าท่ีเหมือนกันจะรวมกัน เป็นเนือ้ เย่อื อวัยวะ ระบบอวัยวะ และรา่ งกายของส่ิงมชี วี ติ ตามลาดบัขั้นอธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเกีย่ วกบั ความสัมพนั ธข์ องรปู รา่ งตอ่ การทาหน้าท่ีของเซลล์ และการ ทางานของเซลล์อยา่ งเปน็ ระบบ 2. ครูให้นักเรยี นทาแบบฝึกหดั ในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ม.4ขั้นสรุปขนั้ ขยายความเข้าใจ (Elaborate) 1. ครูให้นักเรียนทาแผ่นพับนาเสนอ เรื่อง เซลล์ของส่ิงมีชีวิต ซ่ึงมีเน้ือหาประกอบด้วย โครงสร้าง พ้ืนฐานของเซลล์ หนา้ ทสี่ ว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของเซลล์ ความแตกต่างระหว่างเซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์ขัน้ ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครูตรวจสอบผลจากการทากิจกรรม การอภิปรายผลกิจกรรม การตอบคาถามท้ายกิจกรรม และ รายงานกจิ กรรม เรอ่ื ง ส่วนประกอบของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ 2. ครูตรวจสอบผลจากแผ่นพับนาเสนอ เรอื่ ง เซลล์ของสิ่งมีชวี ิต 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงานที่ 2.1 เร่ือง โครงสร้างพืน้ ฐานของเซลล์ 4. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบกอ่ นเรียน 5. ครตู รวจสอบผลจากการตอบคาถามในแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ
227. การวัดและประเมนิ ผลรายการวดั วธิ ีวัด เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน7.1 การประเมนิ ชิน้ งาน/ - ตรวจรายงานกิจกรรม - แบบประเมินปฏบิ ตั ิการ - ระดบั คณุ ภาพ 2ภาระงาน (รวบยอด) เรือ่ ง สว่ นประกอบของ ผา่ นเกณฑ์ เซลล์พชื และเซลล์สตั ว์ - ตรวจแผนผับแผ่นพับ - แบบประเมนิ ชิน้ งาน - ระดบั คุณภาพ 2 นาเสนอ เรือ่ ง เซลล์ของ ผ่านเกณฑ์ สงิ่ มีชวี ิต7.2 การประเมินก่อนเรียน- แบบทดสอบก่อน - ตรวจแบบทดสอบก่อน - แบบทดสอบกอ่ นเรียน - ประเมนิ ตามสภาพเ รี ย น ห น่ ว ย ก า ร เรยี น จรงิเรียนร้ทู ี่ 27.3 ประเมนิ ระหวา่ งการจดั กจิ กรรม - รอ้ ยละ 60 ผา่ นการเรียนรู้ เกณฑ์1) ส่วนประกอบของ - ตรวจใบงานท่ี 2.1 - ใบงานท่ี 2.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเซลลพ์ ชื และเซลล์ - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝกึ หัด เกณฑ์สตั ว์2) การนาเสนอผลงาน - ประเมนิ การนาเสนอ - ผลงานทน่ี าเสนอ - ระดับคณุ ภาพ 2 ผลงาน ผา่ นเกณฑ์3) การปฏบิ ัตกิ าร - ประเมนิ การปฏิบตั ิการ - แบบประเมนิ - ระดับคณุ ภาพ 2 การปฏบิ ัตกิ าร ผ่านเกณฑ์4) พฤตกิ รรมการ - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คณุ ภาพ 2ทางานรายบคุ คล การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์8. สื่อ/แหลง่ การเรียนรู้ 8.1 ส่อื การเรยี นรู้ 1) หนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ ม.4 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 องค์ประกอบของสงิ่ มชี วี ติ 2) แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ม.4 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 องคป์ ระกอบของสง่ิ มชี ีวิต 3) ใบงานที่ 2.1 เรื่อง โครงสร้างของเซลล์ 4) PowerPoint เร่ือง องคป์ ระกอบของสิ่งมชี วี ติ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องเรยี น 2) ห้องสมุด 3) สอื่ ออนไลน์
23 ใบงานท่ี 2.1 เร่ือง โครงสร้างของเซลล์คาช้ีแจง : จงระบุโครงสรา้ งและหน้าทข่ี องโครงสรา้ งของเซลล์ตอ่ ไปนี้13 5 7 9 10 6824หมายเลข 1 คอื .............................................................. หมายเลข 2 คอื ..............................................................หนา้ ที่ ............................................................................. หนา้ ที่ ..................................................................................................................................................................... ........................................................................................หมายเลข 3 คือ .............................................................. หมายเลข 4 คอื ..............................................................หน้าที่ ............................................................................. หน้าท่ี ..................................................................................................................................................................... ........................................................................................หมายเลข 5 คอื .............................................................. หมายเลข 6 คอื ..............................................................หนา้ ที่ ............................................................................. หนา้ ท่ี ..................................................................................................................................................................... ........................................................................................หมายเลข 7 คือ .............................................................. หมายเลข 8 คือ ..............................................................หนา้ ท่ี ............................................................................. หนา้ ท่ี ..................................................................................................................................................................... ........................................................................................หมายเลข 9 คอื .............................................................. หมายเลข 10 คอื ............................................................หน้าที่ ............................................................................. หน้าท่ี ..................................................................................................................................................................... ........................................................................................
ใบงานท่ี 2.1 23 เร่ือง โครงสรา้ งของเซลล์ เฉลยคาช้แี จง : จงระบโุ ครงสรา้ ง และหน้าทข่ี องโครงสร้างของเซลล์ต่อไปนี้13 5 7 9 10 6824หมายเลข 1 คอื ..ร..า่ ..ง.แ...ห..เ..อ..น...โ.ด..พ...ล...า.ซ...มึ ..ช...น..ดิ...ผ..ิว..ข..ร..ขุ...ร..ะ....... หมายเลข 2 คือ ..ผ..น...ัง.เ..ซ..ล..ล...์ .............................................หน้าที่ ..เ.ป..็น...ช..น...ิด..ท...ม่ี..ไี..ร..โ.บ...โ..ซ..ม..เ..ก..า..ะ...ท...า..ห...น..้า..ท...ี่ส..ั.ง.เ..ค..ร..า..ะ...ห..์.. หน้าที่ ..ห..อ่...ห..มุ้...เ.ซ..ล...ล..์.ช...ว่ ..ย..ใ..ห..้เ.ซ...ล..ล..ค์...ง..ร..ูป..อ...ย..ู่ไ.ด...้ .พ...บ...เ.ฉ..พ...า..ะ........โ.ป...ร..ต..นี...ส..ง่..ไ.ป...ก..อ...ล..จ..ิค...อ..ม..เ..พ..ล...ก็ ..ซ...์ .เ.พ...ือ่..ส...่ง.อ...อ..ก...น..อ...ก..เ.ซ...ล..ล..์... ....ใ.น...เ.ซ..ล...ล..์พ...ืช.....................................................................หมายเลข 3 คือ .เ.ย...่อื ..ห...ุ้ม..เ.ซ...ล..ล..์.......................................... หมายเลข 4 คือ .แ...ว..ค..วิ..โ..อ..ล................................................หนา้ ที่ .ห...อ่ ..ห...ุ้ม..เ.ซ...ล..ล..์..แ..ล..ะ...ค..ว..บ...ค..ุม...ก..า..ร..ผ...่า..น...เ.ข..้า..-..อ..อ...ก..ข..อ...ง.... หน้าท่ี ....ใ..น..เ..ซ..ล..ล...์พ...ืช..ท...า..ห...น..้า..ท...ี่ส..ะ...ส..ม...ส..า..ร..ต..่.า.ง....ๆ....ส..่ว..น...ใ..น......ส..า..ร....ม..คี..ณุ....ส..ม...บ..ัต...เิ .ป..็น...เ.ย...ื่อ..เ.ล..ือ...ก..ผ...่า.น................................... .ส..ิง่..ม..ชี...วี ..ติ ..เ.ซ...ล..ล..์เ..ด..ยี..ว..ท...า..ห...น..้า..ท...ี่ร..กั ..ษ...า..ส..ม..ด...ลุ ..น...้า...................... หมายเลข 6 คอื ..ไ..ล..โ.ซ...โ.ซ...ม................................................หมายเลข 5 คอื ..ค..ล..อ...โ.ร..พ...ล..า..ส...ต..์...................................... หน้าที่ ..ก..า..จ...ัด..ข..อ...ง..เ.ส..ยี..แ...ล..ะ..ส...งิ่ ..แ..ป..ล...ก..ป...ล..อ...ม..ต..า่..ง.....ๆ....ท...เ่ี.ข...า้ ...หนา้ ท่ี ...เ.ก...ี่ย..ว..ข...้อ..ง..ก..ั.บ..ก...า..ร..ส..ร..้า..ง..อ...า..ห...า..ร..ใ.น...ก...ร..ะ..บ...ว..น...ก..า..ร.... ....ส..ู่ร..่า..ง..ก..า..ย............................................................................ส..ัง..เ.ค..ร..า..ะ..ห...ด์..้ว...ย..แ..ส..ง.........................................................หมายเลข 7 คอื ..ก..อ...ล..จ..ิค...อ..ม...เ.พ...ล..ก็..ซ...์ ................................ หมายเลข 8 คอื ..ร..่า..ง.แ...ห..เ..อ..น...โ.ด..พ...ล...า.ซ...ึม..ช...น..ิด...ผ..ิว..เ.ร..ยี...บ..........หนา้ ที่ ..ร..ว..บ...ร..ว..ม....บ..ร..ร..จ..ุ..แ..ล..ะ...ข..น...ส..่ง..ส..า..ร.............................. หนา้ ที่ ..เ.ป...็น....ช..น...ิด...ท...่ีไ..ม...่ม...ีไ..ร...โ..บ...โ..ซ...ม...เ.ก...า...ะ....ท...า...ห...น...้า..ท...่ี.. ....ส..ัง..เ.ค..ร..า..ะ..ห...ไ์..ข..ม..นั....แ...ล..ะ..ก...า.จ...ัด..ส..า..ร..พ...ิษ...บ..า..ง..ช..น...ิด...........................................................................................................หมายเลข 9 คือ ไ..ม..โ..ท...ค..อ..น...เ.ด...ร..ีย........................................ หมายเลข 10 คือ ..น..ิว..เ.ค...ล..ีย..ส..............................................หนา้ ที่ ...ส..ร..้า..ง..พ...ล..ัง..ง..า..น...ใ.ห...แ้ ..ก..่เ..ซ..ล..ล...์ ................................... หน้าที่ ..ค...ว..บ...ค..ุม..ก...จิ..ก...ร..ร..ม..ต..า่..ง....ๆ...ข...อ..ง..เ.ซ..ล...ล..์.แ...ล..ะ..ก...า..ห..น...ด............................................................................................. ......ล..กั..ษ...ณ...ะ...พ..ัน...ธ..กุ..ร..ร..ม...ข..อ...ง.ส...ง่ิ ..ม..ชี..ีว..ติ....................................
249. ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรอื ผทู้ ไ่ี ด้รบั มอบหมาย ขอ้ เสนอแนะ ลงชื่อ.......................................... ( ................................ ) ตาแหน่ง .......10. บันทึกผลหลงั การสอน ด้านความรู้ ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์ ปัญหา/อปุ สรรค แนวทางการแกไ้ ข ลงชือ่ .........................................................ครูผสู้ อน (นางสาวสุดาภรณ์ สบื บุญเป่ียม) ตาแหนง่ พนกั งานราชการ
25 แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 2 การลาเลยี งสารผ่านเซลล์ เวลา 4 ชั่วโมง1. มาตรฐาน/ตวั ชว้ี ัด 1.1 ตัวชวี้ ดั ว 1.2 ม.4/1 อธิบายโครงสร้างและสมบัติของเย่ือหุ้มเซลล์ท่ีสัมพันธ์กับการลาเลียงสาร และ เปรยี บเทยี บการลาเลยี งสารผ่านเยอื่ หุ้มเซลล์แบบต่าง ๆ2. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธบิ ายหลักการลาเลยี งสารผา่ นเขา้ -ออกจากเซลลร์ ูปแบบต่าง ๆ ได้ (K) 2. เปรียบเทยี บการลาเลยี งสารแบบการแพร่กับการแพร่แบบฟาซิลเิ ทตได้ (K) 3. เปรียบเทียบการลาเลยี งสารแบบการแพร่แบบฟาซิลิเทตกบั การลาเลียงโดยอาศยั พลังงานได้ (K) 4. เปรียบเทยี บการลาเลียงสารขนาดใหญ่กบั การลาเลยี งสารขนาดเล็กรปู แบบต่าง ๆ ได้ (K) 5. เขียนลาดบั ขน้ั การลาเลยี งสารขนาดใหญ่เข้า-ออกจากเซลล์ได้ (P) 6. สนใจใฝร่ ้ใู นการศึกษา (A)3. สาระการเรยี นรู้สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถ่นิ- เย่ือหุ้มเซลล์มีโครงสร้างเป็นเยื่อหุ้มสองชั้นท่ีมีลิพิด พจิ ารณาตามหลกั สูตรของสถานศึกษาเปน็ องคป์ ระกอบ และมีโปรตนี แทรกอยู่- สารทีล่ ะลายได้ในลพิ ิดและสารที่มีขนาดเล็กสามารถแพร่ผา่ นเยื่อหุ้มเซลลไ์ ดโ้ ดยตรง ส่วนสารขนาดเล็กที่มีประจตุ ้องลาเลยี งผา่ นโปรตีนที่แทรกอยู่ท่ีเย่ือหุ้มเซลล์ซึ่งมี 2 แบบ คือ การแพร่แบบฟาซิลิเทต และแอก-ทีฟทรานสปอร์ต ในกรณีสารขนาดใหญ่ เช่น โปรตีนจะลาเลียงเข้าโดยกระบวนการเอนโดไซโทซิส หรือลาเลยี งออกโดยกระบวนการเอกโซไซโทซิส4. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด เซลลส์ ่งิ มีชีวิตจาเป็นต้องรบั สารตา่ ง ๆ เช่น นา้ อาหาร และอากาศ เขา้ ส่เู ซลล์ และกาจัดสารหรือของเสียตา่ ง ๆ ออกจากเซลลเ์ พอื่ การรกั ษาดุลยภาพและดารงชีวิตของเซลล์ โดยเซลลจ์ ะอาศัยการลาเลียงสารผ่านเข้า-ออกจากเซลล์ ซงึ่ มีหลายรูปแบบ ได้แก่ การแพร่ การแพร่แบบฟาซิลิเทต การลาเลียงสารแบบใช้พลังงานการลาเลียงสารขนาดใหญ่ (เอนโดไซโทซิส เอกโซไซโทซิส) โดยการลาเลียงสารผ่านเข้า-ออกจากเซลล์แต่ละรูปแบบจะมีกลไกท่ีแตกต่างกัน
265. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี นและคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น คุณลักษณะอนั พึงประสงค์1. ความสามารถในการส่อื สาร 1. มวี นิ ยั2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. มุ่งมั่นในการทางาน 1) ทกั ษะการระบุ 2) ทักษะการเปรยี บเทยี บ 3) ทักษะการใหเ้ หตุผล 4) ทกั ษะการรวบรวมขอ้ มูล3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ชว่ั โมงท่ี 1ขั้นนาขน้ั กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ครูถามคาถาม Prior Knowledge เพื่อกระตุ้นความสนใจชองนักเรียนว่า เยื่อหุ้มเซลล์ควบคุมการ ผา่ นเขา้ -ออกของสารไดอ้ ย่างไร (แนวตอบ เนอ่ื งจากเย่ือหุ้มเซลล์มีคุณสมบัติเป็นเย่ือเลือกผ่าน จึงมีเพียงสารโมเลกุลขนาดเล็กหรือ ไอออนบางชนิดที่สามารถผ่านเข้า-ออกจากเซลล์ได้ แต่สารโมเลกุลขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านเข้า- ออกจากเซลลไ์ ด้ ทาให้เยื่อหมุ้ เซลลส์ ามารถควบคุมการผ่านเข้า-ออกของสารได้) 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า เซลล์มีกลไกการลาเลียงสารผ่านเข้า-ออกจากเซลล์ที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละ กลไกจะมีการลาเลยี งทแี่ ตกต่างกัน ทง้ั รปู แบบการลาเลยี ง และประเภทสารที่ลาเลยี งขนั้ สอนข้ันสารวจคน้ หา (Explore) 1. ครอู ธิบายให้นักเรียนฟงั วา่ เมื่อความเข้มข้นของสารท้ัง 2 บริเวณต่างกัน จะมีการเคลื่อนท่ีของสาร จากบริเวณที่มีความเข้มข้นสงู ไปส่บู รเิ วณท่มี ีความเขม้ ขน้ ตา่ เรียกการลาเลยี งแบบน้วี ่า การแพร่ 2. ครูให้นักเรียนศึกษาหลักการแพร่ ซง่ึ เปน็ การเคลื่อนที่ของอนุภาคสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูง ไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นต่า และตัวอย่างการแพร่ที่พบในสิ่งมีชีวิต เช่น การแพร่ของแก๊ส ออกซิเจนจากถงุ ลมปอดเขา้ สเู่ ซลล์เม็ดเลือดแดงเพอื่ ลาเลยี งไปสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย หรอื การแพร่ ของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์จากเซลลเ์ ม็ดเลือดแดงออกสถู่ งุ ลมเพื่อกาจัดออกจากร่างกาย เปน็ ตน้ 3. ครูให้นกั เรยี นแบ่งกล่มุ กลุม่ ละ 4 คน และตง้ั คาถามใหน้ ักเรียนอภิปรายร่วมกันว่า นักเรียนสามารถ พบการแพร่สามารถไดใ้ นชีวติ ประจาวันหรอื ไม่ อย่างไร (แนวตอบ การแพร่สามารถพบได้ในชีวิตประจาวันเช่นกัน เช่น การแพร่ของลูกเหม็นดับกล่ินหรือ นา้ หอมออกส่อู ากาศบริเวณรอบ ๆ ได้ ซ่ึงสามารถสงั เกตไดจ้ ากหากวางลกู เหม็นดบั กลนิ่ หรอื ฉีด
27 นา้ หอมที่บริเวณหนา้ หอ้ ง บริเวณอนื่ ๆ ของหอ้ งกจ็ ะไดร้ บั กลน่ิ นา้ หอมเช่นกัน เนื่องจากอนุภาคของสาร แพรอ่ อกไปสู่อากาศบรเิ วณรอบ ๆ ห้อง เปน็ ต้น)ข้ันอธิบายความรู้ (Explain) 1. ครูสุม่ เลอื กนกั เรยี นประมาณ 3-5 กล่มุ ให้ตอบคาถามเก่ยี วกบั การแพร่ทส่ี ามารถพบไดใ้ น ชีวิตประจาวนั 2. ครูและนักเรียนร่วมกนั อภิปรายเกีย่ วกบั การแพร่ของสารผ่านเยอ่ื หุม้ เซลล์ ชั่วโมงท่ี 2ขน้ั สอนข้ันสารวจค้นหา (Explore) 1. ครทู บทวนความร้เู ดิมจากชว่ั โมงทแี่ ล้วให้นกั เรียนทราบ พอสงั เขป 2. ครอู ธิบายให้นักเรียนฟงั ว่าบรเิ วณเย่ือหุม้ เซลล์จะมีโปรตีนแทรกตัวอยู่ ซึ่งสารบางชนิดจะถูกลาเลียง ผา่ นโปรตนี เหลา่ นี้ เรียกการลาเลยี งแบบนวี้ า่ การแพรแ่ บบฟาซลิ ิเทต 3. ครใู ห้นักเรยี นศกึ ษาหลักการแพร่แบบฟาซิลิเทต ซึ่งเป็นการแพร่ของสารผ่านช่องโปรตีนตัวพาท่ีอยู่ ภายในเยื่อหุ้มเซลลโ์ ดยไมต่ อ้ งอาศัยพลังงาน เช่น การลาเลยี งนา้ ตาลกลโู คสเขา้ สเู่ ซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง 4. ครถู ามนกั เรยี นว่า การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทตเหมอื นหรอื แตกตา่ งจากการแพร่แบบธรรมดาอย่างไร (แนวตอบ การแพร่ทั้ง 2 ประเภท เปน็ การแพรข่ องสารจากบรเิ วณท่มี คี วามเข้มขน้ สูงไปสู่บริเวณที่มี ความเขม้ ขน้ ตา่ ซึ่งการแพร่แบบธรรมดาจะแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง แต่การแพร่แบบฟาซิลิเท ตจะผ่านช่องโปรตีนตัวพาทีอ่ ยู่ภายในเยอื่ หุ้มเซลล์ และการแพร่แบบฟาซลิ ิเทตจะมีความเร็วกว่าการ แพรแ่ บบธรรมดาหลายเทา่ ) 5. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า การลาเลียงสารท่ีผ่านมาเป็นการลาเลียงจากบริเวณท่ีมีความเข้มข้นสูง ไปสู่ความเขม้ ขน้ ต่า แต่เซลล์สามารถลาเลียงสารจากบริเวณท่ีมีความเข้มข้นต่าไปสู่ความเข้มข้นสูง ไดเ้ ชน่ กัน แตต่ อ้ งอาศยั พลังงานเข้าช่วย เรยี กการลาเลยี งแบบน้ีวา่ การลาเลียงโดยใช้พลงั งาน 6. ครูให้นักเรียนศึกษาหลักการลาเลียงโดยใช้พลังงาน ซึ่งเป็นการลาเลียงสารผ่านเย่ือหุ้มเซลล์จาก บริเวณทมี่ ีความเข้มข้นของต่าไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นสูง โดยอาศัยโปรตีนที่แทรกอยู่ในเยื่อหุ้ม เซลล์และพลังงาน เชน่ การดดู ซึมสารอาหารของรากพืช 7. ครูถามนกั เรยี นว่า การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต และการลาเลยี งโดยใช้พลงั งานมคี วามแตกตา่ งกนั อย่างไร (แนวตอบ การลาเลียงสารทั้ง 2 ประเภท มีลักษณะท่ีแตกต่างกัน โดยการแพร่แบบฟาซิลิเทตเป็น การแพร่ของสารจากบริเวณที่มีความเข้มสูงไปสู่บริเวณท่ีมีความเข้มข้นต่า โดยผ่านช่องโปรตีนบน เยือ่ หุ้มเซลลแ์ ละไมต่ อ้ งอาศัยพลังงานในการลาเลียง แต่การลาเลียงโดยใช้พลังงานเป็นการลาเลียง สารจากบรเิ วณท่ีมีความเขม้ ข้นตา่ ไปสบู่ รเิ วณท่มี ีความเขม้ ข้นสงู โดยผา่ นชอ่ งโปรตีนบนเยื่อหุ้มเซลล์ และตอ้ งอาศยั พลงั งานในการลาเลยี ง)ขน้ั อธิบายความรู้ (Explain) 1. ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอภิปรายผลเกย่ี วกบั การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทตและการลาเลียงโดยใชพ้ ลงั งาน
28ชวั่ โมงที่ 3ขั้นสอนขน้ั สารวจคน้ หา (Explore) 1. ครูทบทวนความรู้เดมิ จากชัว่ โมงที่แล้วใหน้ กั เรียนทราบ พอสงั เขป 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า การลาเลียงสารทั้ง 3 รูปแบบที่ผ่านมานั้นเป็นการลาเลียงสารโมเลกุลขนาด เล็ก แลว้ ตั้งคาถามถามนักเรียนว่า ถา้ เปน็ สารโมเลกลุ ขนาดใหญ่ เซลลจ์ ะมีกลไกการลาเลยี งอย่างไร (แนวตอบ การลาเลยี งสารขนาดใหญ่ออกจากเซลล์ เซลล์จะสร้างถุงเวสิเคิลที่บรรจุสารโมเลกุลใหญ่ ไว้ภายใน เม่ือถุงเวสิเคิลเคลื่อนที่ไปที่เย่ือหุ้มเซลล์จะสามารถรวมกับเย่ือหุ้มเซลล์ แล้วปล่อยสารที่ บรรจุออกจากเซลล์ ส่วนการลาเลียงสารขนาดใหญ่เข้าสู่เซลล์ เซลล์จะโอบล้อมสารดังกล่าวและ สรา้ งเป็นถงุ เวสเิ คิลเพ่อื นาเขา้ ส่เู ซลล)์ 3. ครูให้นกั เรียนศึกษากลไกการลาเลียงสารโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น โปรตีน พอลิแซ็กคาไรด์ ซึ่งจะมีการโอบ ล้อมสารเหลา่ นนั้ และสรา้ งเป็นถุงแวสิเคิล หากเป็นการลาเลียงสารออกจากเซลล์ จะเรียกว่า เอกโซไซโท ซิส และหากเปน็ การลาเลยี งสารเข้าสู่เซลล์ จะเรียกวา่ เอนโดไซโดซิสขน้ั อธบิ ายความรู้ (Explain) 1. ครูสุ่มนักเรียน 2-3 คน ให้ออกมาร่วมกันเขียนแผนภาพการลาเลียงสารขนาดใหญ่เข้า-ออกจาก เซลล์ และอธิบายขน้ั ตอนการลาเลียงสารสารขนาดใหญเ่ ขา้ -ออกจากเซลล์ 2. ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายผลเกีย่ วกับการลาเลียงสารขนาดใหญ่เข้า-ออกจากเซลล์ ชั่วโมงท่ี 4ข้นั สอนขั้นสารวจค้นหา (Explore) 1. ครใู หน้ กั เรียนแบ่งกลมุ่ เปน็ 4 กลมุ่ สรปุ การลาเลยี งสารต่าง ๆ ดงั น้ี กลุม่ ที่ 1 การแพร่ กลุ่มที่ 2 การแพรแ่ บบฟาซิลิเทต กลุ่มที่ 3 การลาเลยี งสารโดยใชพ้ ลังงาน กล่มุ ที่ 4 การลาเลยี งสารขนาดใหญ่ โดยมเี นอ้ื หาเกี่ยวกบั กลไกการลาเลยี ง และประเภทของสารท่ีลาเลยี ง พร้อมยกตัวอย่างการ ลาเลยี งสารท่เี กดิ ข้ึนในสิง่ มชี วี ติอธิบายความรู้ (Explain) 1. ครใู ห้แต่ละกล่มุ ส่งตวั แทนกลุ่มออกมานาเสนอหนา้ ชัน้ เรยี น กลมุ่ ละ 3 นาที 2. ครูและนกั เรยี นสรปุ การนาเสนอรว่ มกนั 3. ครใู หใ้ หน้ ักเรยี นทาใบงานท่ี 2.2 เรอ่ื ง การลาเลยี งสารผา่ นเซลล์ในสิ่งมชี ีวิต
29ขน้ั สรุปข้นั ขยายความเข้าใจ (Elaborate) 1. ครูให้นักเรียนทาผังมโนทัศน์ เร่ือง การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ซึ่งมีเน้ือหาประกอบด้วยหลักการ ลาเลียง และประเภทของสารทล่ี าเลยี ง พร้อมยกตัวอย่างการลาเลยี งทเี่ กิดข้นึ ในสงิ่ มีชีวิต 2. ครใู ห้นักเรยี นทา ท้ายหนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 ในหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ ม.4 3. ครูให้นกั เรียนทาแบบทดสอบท้ายหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 ในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ม.4 4. ครใู หน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบหลงั เรียนขั้นตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครตู รวจสอบผลการนาเสนอหน้าชน้ั เรยี น เรื่อง การลาเลยี งสารผ่านเซลลร์ ปู แบบต่าง ๆ 2. ครตู รวจสอบผลจากผังมโนทัศน์ของนกั เรียน เรอื่ ง การลาเลียงสารผา่ นเซลล์ 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงานที่ 2.2 เรือ่ ง การลาเลยี งสารผ่านเซลล์ในส่งิ มชี ีวิต 4. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคาถามในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ม.4 5. ครูตรวจสอบผลจาก ท้ายหน่วยการเรียนร้ทู ่ี 2 ในหนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ ม.4 6. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบทา้ ยหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 ในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ ม.4 7. ครตู รวจสอบผลจากแบบทดสอบหลงั เรียน7. การวัดและประเมินผลรายการวัด วธิ วี ดั เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน7.1 การประเมนิ ชน้ิ งาน/ - ตรวจผังมโนทัศน์ เรือ่ ง - แบบประเมินชิน้ งาน - ระดบั คุณภาพ 2ภาระงาน (รวบยอด) การลาเลยี งสารผ่าน ผ่านเกณฑ์ เซลล์7.2 การประเมนิ ระหว่างการจดั กจิ กรรม1) การลาเลยี งสารผ่าน - ตรวจใบงานที่ 2.2 - ใบงานท่ี 2.2 - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ - แบบฝึกหดั - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์เซลล์ในสง่ิ มชี ีวติ - ตรวจแบบฝกึ หดั - ผลงานทนี่ าเสนอ - ระดบั คุณภาพ 22) การนาเสนอผลงาน - ประเมินการนาเสนอ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์ การทางานรายบคุ คล ผลงาน - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2 การทางานกลุม่ ผ่านเกณฑ์3) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบประเมนิ คุณลักษณะ - ระดับคณุ ภาพ 2การทางานรายบคุ คล การทางานรายบคุ คล อนั พงึ ประสงค์ ผา่ นเกณฑ์4) พฤตกิ รรม - สงั เกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์การทางานกลมุ่ การทางานกลมุ่5) คณุ ลักษณะ - สังเกตความมวี นิ ัยอนั พงึ ประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ และมุง่ ม่ัน ในการทางาน7.3 ประเมินหลงั เรยี น1) ทดสอบหลังเรยี น
- แบบทดสอบหลัง - ตรวจแบบทดสอบหลัง - แบบทดสอบหลงั เรยี น - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์เ รี ย น ห น่ ว ย ก า ร เรยี นเรยี นรู้ท่ี 2- Unit Question - ตรวจ Unit Question - หนงั สือเรยี น - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ทา้ ยหนว่ ยการเรียนรู้ ทา้ ยหน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2ที่ 2 - ตรวจแบบทดสอบท้าย - แบบฝกึ หัด - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์- แบบทดสอบท้าย หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 28. สอื่ /แหลง่ การเรียนรู้ 8.1 สอื่ การเรยี นรู้ 1) หนังสือเรยี นวิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ม.4 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 องค์ประกอบของส่ิงมีชีวติ 2) แบบฝกึ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ม.4 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 2 องคป์ ระกอบของสงิ่ มชี ีวติ 3) ใบงานท่ี 2.2 เรอื่ ง การลาเลียงสารผา่ นเซลล์ 4) PowerPoint เร่ือง องค์ประกอบของสง่ิ มีชีวติ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องเรียน 2) หอ้ งสมุด 3) สอื่ ออนไลน์
31 ใบงานท่ี 2.2 การลาเลยี งสารผ่านเซลลใ์ นสิ่งมีชีวติคาชแ้ี จง : จงระบุประเภทของการสาเลยี งสารตอ่ ไปนใ้ี หถ้ กู ตอ้ ง พรอ้ มให้เหตผุ ลประกอบ 1. ประเภทการลาเลียง..................................................... เหตุผลประกอบ ............................................................ ...................................................................................... ..................................................................................... .....................................................................................N, P, K N, P, K ..................................................................................... .....................................................................................ถงุ ลมปอด 2. ประเภทการลาเลยี ง..................................................... เหตผุ ลประกอบ ............................................................ CO2 ...................................................................................... ..................................................................................... O2 ..................................................................................... ..................................................................................... ..................................................................................... 3. ประเภทการลาเลยี ง........................................................ เหตุผลประกอบ ............................................................. ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................................
ใบงานที่ 2.2 32 การลาเลยี งสารผา่ นเซลลใ์ นส่ิงมีชวี ติ เฉลยคาช้แี จง : จงระบุประเภทของการสาเลียงสารต่อไปน้ีให้ถูกต้อง พร้อมให้เหตผุ ลประกอบ 1. ประเภทการลาเลยี ง...ก..า..ร..ล..า..เ.ล...ยี ..ง..ส..า..ร..โ.ด...ย..ใ..ช..พ้...ล..ัง..ง..า..น..... เหตผุ ลประกอบ ..จ...า..ก..ภ...า..พ.....เ.ป...็น...ก...า..ร..ล...า..เ.ล...ีย..ง..แ...ร..่ธ..า...ต..ุ.. จ..า..ก...ด..ิน...เ..ข..้า..ส...ู่ร..า..ก..ข...อ..ง...ต..้น...พ...ืช....ซ..ึ่ง..จ...ะ..ล...า..เ.ล..ี.ย..ง..เ.ข...้า..ส..ู่ร...า..ก.... ผ..่า...น..ท...่อ...ล..า...เ.ล..ี.ย..ง..น...้า....ป...ก..ต...ิภ...า..ย..ใ..น...ท...่อ..ล...า..เ..ล..ีย...ง..น..้.า..จ..ะ...ม..ี. ป...ร..ิม..า..ณ....แ..ร..่ธ..า..ต...ุส..ูง..ก...ว..่า..ใ.น...ด..ิ.น....จ..ึง..ต..้อ...ง..อ..า..ศ...ัย..พ...ล..ัง..ง..า..น...ใ..น...N, P, K N, P, K ก..า..ร..ผ..ล...กั ..ด...นั ...จ...า..ก..บ...ร..ิเ.ว..ณ...ค...ว..า..ม..เ.ข...ม้ ..ข..้น...ต..า่..ไ..ป...ส..ู่บ..ร..เิ..ว..ณ...ท...่ีม..ี. ค..ว..า..ม...เ.ข..้ม...ข..้น...ส..งู ...............................................................ถงุ ลมปอด 2. ประเภทการลาเลียง.ก...า.ร..แ...พ...ร..่ ...................................... เหตุผลประกอบ .จ..า..ก..ภ...า..พ...เ.ป...็น..แ..ล...ก..เ.ป...ล..ีย่...น..แ...ก..๊ส...ร..ะ..ห...ว..่า..ง.. CO2 ถ.งุ ..ล..ม..ป...อ..ด...ก..ับ...เ.ซ...ล..ล..์เ..ม..็ด...เ.ล..ือ...ด..แ...ด..ง...ซ...ึ่ง..แ..ก...๊ส..อ...อ..ก..ซ...ิเ.จ..น...จ..า..ก... อ.า..ก...า..ศ..จ...ะ..แ..พ...ร..่เ..ข..้า..ส..ู่.เ.ซ...ล..ล..์เ..ม..็ด...เ.ล...ือ..ด...แ..ด...ง..เ.พ...ื่อ..น...า..ไ..ป...เ.ล..้ี.ย..ง. O2 เซ..ล..ล...ต์ ..า่..ง...ๆ....จ...า..ก..น...้ัน..จ...ะ..น...า..แ..ก..๊ส...ค..า..ร..์บ...อ..น...ไ..ด..อ...อ..ก...ไ.ซ...ด..์จ..า..ก.. เซ..ล..ล...ต์ ..า่..ง...ๆ....ก..ล...บั ..ม...า..ท..ถี่...ุง.ล...ม..ป...อ..ด....แ..ล...ะ..แ...พ..ร..่จ...า..ก..เ.ซ...ล..ล...์เ.ม..็.ด. เล..ือ..ด...แ..ด..ง..ส...ู่ถ..ุง..ล..ม...ป..อ...ด..เ.พ...อ่ื ..ก...า..จ..ดั ..อ...อ..ก...จ..า..ก..ร..า่ ..ง..ก..า..ย.............. 3. ประเภทการลาเลยี ง..เ.อ..น...โ..ด..ไ.ซ...โ.ท...ซ..ิส............................... เหตผุ ลประกอบจ.า..ก...ภ...า..พ...เ.ป...็น..ก...า..ร..ก..ิน...อ...า..ห...า..ร..ข..อ...ง..เ.ซ..ล...ล..์. อ...ะ...ม..ี.บ...า....ซ..่ึง...อ..ะ...ม..ี.บ...า..จ...ะ..ใ..ช..้.ส..่ว...น...ข...อ..ง...ไ.ซ...โ..ท...พ...ล...า..ซ...ึม...ท..่ี. .ส..า..ม..า..ร..ถ..ไ..ห...ล..ไ.ด...้โ.อ...บ..ล...้อ..ม..ร..อ...บ..อ...า..ห..า..ร..เ.พ...่อื...น..า..อ...า..ห..า..ร..เ..ข..้า..ส..ู่ เ..ซ..ล...ล..์ ..ซ..ึ่ง..ก...า..ร..ก..ิน...อ..า..ห...า..ร..ข...อ..ง..เ..ซ..ล..ล...์อ..ะ...ม..ีบ...า..เ.ป...็น...ร..ูป...แ..บ...บ.. ก...า..ร..ล..า..เ.ล...ีย..ง..ส..า..ร..ข..น...า..ด..ใ..ห..ญ...เ่..ข..้า..ส..ูเ่.ซ...ล..ล..์ร..ูป...แ..บ...บ...ห..น...่ึง.......... .....................................................................................
339. ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรอื ผทู้ ไ่ี ด้รบั มอบหมาย ขอ้ เสนอแนะ ลงชื่อ.......................................... ( ................................ ) ตาแหน่ง .......10. บันทึกผลหลงั การสอน ด้านความรู้ ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์ ปัญหา/อปุ สรรค แนวทางการแกไ้ ข ลงชือ่ .........................................................ครูผสู้ อน (นางสาวสุดาภรณ์ สบื บุญเป่ียม) ตาแหนง่ พนกั งานราชการ
34 แบบสรปุ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น สอื่ การสอน Microsoft PowerPoin เร่ือง เซลล์ของสงิ่ มีชวี ิตเลขที่ คะแนนเต็ม 5 ร้อยละ สรปุ เลขที่ คะแนนเตม็ 5 รอ้ ยละ สรุป คะแนน ผา่ น ไมผ่ า่ น คะแนน ผา่ น ไมผ่ า่ น 14 80 11 5 100 12 52 5 100 13 3 100 14 433 60 15 4 60 16 344 80 17 5 80 18 453 60 19 5 80 20 563 60 ผา่ น (คน) 60 20 100 74 80 100 4.05 80 83 60 100 9 5 100 100 10 4 80 ไม่ผ่าน (คน) จานวนนกั เรียน 0 0 ร้อยละ 0คิดเป็นคะแนนรวมรอ้ ยละ
แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1 35 เร่ือง เซลล์ของสิง่ มชี วี ิต ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 สรุปผลการ ประเมินที่ คา ชอ่ื นามสกลุ รวม ร้อยละ ผา่ น ไมผ่ า่ น รายการประเมนิ คะแนน 1 นาย ธนพล ยง่ิ สนิ สุวิทย์ 1 2 3 4 5 6 (18) 94.44 2 นางสาว จันทนา แจ่มแจ้ง 3 3 3 2 3 3 17 3 นางสาว จันทิมา กฤติกายง่ิ สกลุ 3 3 3 3 3 3 18 100 4 นางสาว ชมพูนชุ ทอ้ งถน่ิ พฤกษ์ 3 2 3 3 3 3 17 94.44 5 นางสาว ชลลดา แปะโพ 3 2 2 3 3 3 16 88.89 6 นางสาว ฐปนีย์ นมิ ิตพรชัย 3 2 3 3 3 3 17 94.44 7 นางสาว ฐดิ าพร ประทานเงนิ ทอง 3 3 3 2 3 3 17 94.44 ณฐั รกิ า ฐานธรรมคีรี 3 2 3 3 3 3 17 94.44 8 นางสาว ธาวนิ ี พงษ์พนากลู 3 2 3 3 3 3 17 94.44 9 นางสาว ปรยี าภรณ์ ยง่ิ คุณจตั ุรัส 3 2 3 2 3 3 16 88.89 10 นางสาว ปาริฉตั ร สริ แิ จ่มพงศ์ 3 2 2 3 3 3 16 88.89 11 นางสาว ปยิ ธิดา ศุภพนาแจ่มไพร 3 3 3 2 3 3 17 94.44 12 นางสาว ปิยะฉัตร จตุรธรรมวาที 2 2 3 2 3 3 15 83.33 13 นางสาว พัชริดา วจิ ิตรโยธนิ 3 3 3 2 3 3 17 94.44 14 นางสาว 3 3 3 3 3 3 18 100 ยศสนิ ี คณุ านาถอัปสร 3 2 3 3 3 3 17 94.44 15 นางสาว 3 2 2 2 3 3 15 รัชฎาพร ประทปี ไมตรี 3 3 3 2 3 3 17 83.33 16 นางสาว วรญั ญา พงศพ์ ุฒิเมธ 3 2 3 3 2 3 1617 นางสาว วารณุ ี ฤทยั ไพรวลั ย์กุล 3 2 2 2 3 3 15 94.44 18 นางสาว วารุณี วงศอ์ าริยะ 3 2 3 2 3 3 16 88.89 19 นางสาว 83.33 อรณี เกษมเลิศตระกูล 88.89 20 นางสาวรายการประเมิน1 หมายถงึ การกาหนดป้าหมาย 2 หมายถึง การทาความเข้าใจปญั หา3 หมายถงึ การดาเนินการศึกษาคน้ ควา้ 4 หมายถึง การสงั เคราะห์ความรู้5 หมายถงึ การสรปุ และประเมนิ คาตอบ 6 หมายถงึ การนาเสนอและประเมนิ ผลเกณฑก์ ารประเมิน ได้คะแนนทกั ษะกระบวนการ รอ้ ยละ 70 ข้ึนไปถือวา่ ผ่าน เกณฑก์ ารประเมนิเกณฑ์การให้คะแนน พฤตกิ รรมทีป่ ฏิบัติชัดเจนและสม่าเสมอ ให้คะแนน 3 คะแนน พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติชัดเจนและบ่อยครง้ั ให้คะแนน 2 คะแนน พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบตั บิ างครงั้ ให้คะแนน 1 คะแนน
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ระดบั คะแนน 37 เกณฑ์การประเมนิ 3 2 11) การกาหนดปญั หา มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก า ร เ ส น อ มสี ว่ นรว่ มในการเสนอ มสี ่วนร่วมในการ เสนอ2) การทาความเข้าใจ ปัญหาอยา่ งหลากหลาย และ ปญั หาอยา่ ง หลากหลาย ปญั หา เลือกปัญหาที่น่าสนใจ มี ปญั หาอยา่ งหลากหลาย และเลือก ปญั หาท่นี า่ สนใจ พฤติกรรมที่ปฏิบัติ ชัดเจน มพี ฤติกรรมทีป่ ฏบิ ัตบิ างคร้ัง3) การดาเนินการศกึ ษา และสมา่ เสมอ และเลอื กปัญหาท่ี น่าสนใจ คน้ คว้า มสี ่วนร่วมในการระดม สมอง มสี ่วนร่วมในการระดม มีพฤติกรรมที่ ปฏิบตั ิชัดเจน อธบิ ายสถานการณ์ ของ4) การสงั เคราะหค์ วามรู้ สมองอธบิ าย สถานการณ์ ปญั หา บอกแนวทาง และวิธี ของปญั หา บอกแนวทาง และบอ่ ยครั้ง คน้ หาคาตอบ มพี ฤตกิ รรมท่ี5) การสรปุ และประเมินค่า ปฏิบัติ บางครง้ั ของคาตอบ และวธิ ีคน้ หาคาตอบ มี มีส่วนรว่ มในการระดม พฤตกิ รรมท่ปี ฏบิ ตั ิ ชัดเจน มีสว่ นร่วมในการ แบ่งงาน6) การนาเสนอและ ประเมนิ ผล และสม่าเสมอ สมองอธิบาย สถานการณ์ แบง่ หนา้ ท่ี กาหนด งาน เปา้ หมายงานและ ดาเนิน มีส่วนร่วมในการแบ่ง ของปญั หา บอกแนวทาง การศึกษา ค้นคว้า มี งาน แบง่ หน้าที่ กาหนด พฤติกรรม ทป่ี ฏิบตั ิบางคร้ัง เปา้ หมายงานและ ดาเนนิ และวธิ ีค้นหาคาตอบ มี การศกึ ษาค้นควา้ นาความรู้มาเสนอใน กลุ่ม มีพฤตกิ รรมทป่ี ฏิบตั ิ ชดั เจน พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติ ชัดเจน มีส่วนร่วม ตรวจสอบ ข้อมูล และสมา่ เสมอ ว่า สามารถตอบ คาถามที่ และบ่อยคร้ัง อยากรไู้ ด้ มี นาความรูม้ าเสนอใน พฤติกรรมท่ี ปฏิบัติ ชดั เจน กลุ่มมสี ่วนร่วม ตรวจสอบ มสี ว่ นร่วมในการแบ่ง งาน และบางครง้ั ขอ้ มลู วา่ สามารถตอบ มสี ว่ นร่วมในการนาข้อมูล คาถามท่ี อยากรู้ได้ มี แบง่ หนา้ ที่ กาหนด มาประมวลสร้างองค์ ความรู้ พฤตกิ รรมที่ ปฏิบัติ ชัดเจน ใหม่ ประเมนิ ความร้ขู อง และ สม่าเสมอ เป้าหมายงานและ ดาเนนิ ตนเองและของ กลมุ่ และ เลือกวิธีการ/ รูปแบบการนา มสี ว่ นรว่ มในการนาข้อมลู การศกึ ษาคน้ ควา้ มี เสนอ ผลงาน มีพฤติกรรมท่ี มาประมวลสรา้ งองค์ ความรู้ ปฏิบัติบางครง้ั ใหม่ ประเมิน ความรขู้ อง พฤติกรรมที่ปฏิบตั ิ ชัดเจน มีสว่ นรว่ มนาเสนอผลงาน ตนเองและของ กลมุ่ และ และประเมนิ ผลงานของ กลุ่ม เลอื กวิธีการ/ รูปแบบการนา และบอ่ ยครั้ง มีพฤติกรรมทป่ี ฏิบัติ บางครง้ั เสนอ ผลงาน มพี ฤติกรรมท่ี ปฏิบัติชดั เจนและ สม่าเสมอ นาความร้มู าเสนอใน กลุม่ มสี ่วนรว่ มนาเสนอผลงาน มสี ว่ นร่วม ตรวจสอบ ข้อมูล และประเมินผลงานของ กลุ่ม มพี ฤตกิ รรมทป่ี ฏิบตั ิ วา่ สามารถตอบ คาถามที่ ชดั เจนและสมา่ เสมอ อยากรไู้ ด้ มีพฤติกรรมท่ี ปฏิบตั ิ ชดั เจนและบอ่ ยคร้งั มสี ว่ นร่วมในการนาข้อมลู มาประมวลสร้างองค์ ความรู้ ใหม่ ประเมิน ความรขู้ อง ตนเองและของ กลมุ่ และ เลือกวิธกี าร/ รูปแบบการนา เสนอ ผลงาน มพี ฤติกรรมท่ี ปฏบิ ตั ชิ ัดเจนและบอ่ ยคร้งั มสี ว่ นร่วมนาเสนอผลงาน และประเมนิ ผลงานของ กลมุ่ มพี ฤตกิ รรมทีป่ ฏบิ ัติ ชดั เจน และบ่อยครงั้
38 แบบประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์คาชแี้ จง : ให้ผ้สู อน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี น แล้วขีด / ลงในชอ่ งที่ตรงกับระดบั คะแนน คณุ ลกั ษณะ รายการประเมิน 3 ระดับคะแนน 0 อันพงึ ประสงค์ 211. รักชาติ ศาสน์ 1.1 มีความรัก และภูมใิ จในความเป็นชาติ กษัตรยิ ์ 1.2 ปฏบิ ัติตนตามหลกั ของศาสนา 1.3 แสดงออกถงึ ความจงรักภักดีต่อ2. ซอ่ื สัตย์สุจริต สถาบัน พระมหากษตั รยิ ์3. มีวินยั 2.1 ปฏบิ ัติตามระเบยี บการสอน และไม่ลอก4. ใฝ่เรยี นรู้ การบ้าน 2.2 ประพฤติ ปฏิบัติ ตรงต่อความเป็นจรงิ ต่อ ตนเอง 2.3 ประพฤติ ปฏิบตั ติ รงต่อความเป็นจริงตอ่ ผู้อื่น 3.1 เขา้ เรยี นตรงเวลา 3.2 แตง่ กายเรยี บรอ้ ยเหมาะสมกับกาลเทศะ 3.3 ปฏบิ ัติตามกฎระเบยี บของหอ้ ง 4.1 แสวงหาข้อมูลจากแหล่งเรยี นรูต้ า่ งๆ 4.2 มีการจดบนั ทกึ ความรอู้ ยา่ งเป็นระบบ 4.3 สรุปความรไู้ ด้อยา่ งมีเหตผุ ล ลงช่ือ......................................................................ผูป้ ระเมนิ (.....................................................................) เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน เกณฑก์ ารประเมินระดบั คุณภาพ- พฤติกรรมท่ปี ฏิบัติชดั เจนและสมา่ เสมอ ให้ 2 คะแนน คะแนนเฉล่ีย 2.5 – 3.0 ระดับคณุ ภาพ ดีเย่ียม- พฤตกิ รรมที่ปฏบิ ัตชิ ดั เจนและบ่อยครัง้ ให้ 1 คะแนน คะแนนเฉล่ยี 1.5 – 2.4 ระดบั คุณภาพ ดี- พฤตกิ รรมทป่ี ฏบิ ตั บิ างครงั้ ให้ 0 คะแนน คะแนนเฉล่ยี 0.6 – 1.4 ระดับคณุ ภาพ ผา่ นเกณฑ์การประเมิน- พฤติกรรมไมป่ ฏิบัติ คะแนนเฉลย่ี 0 – 0.5 ระดับคณุ ภาพ ไมผ่ ่านเกณฑ์การ ประเมิน
39 สรปุ ผลการประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ คณุ ลกั ษณะอัน ดีเยย่ี ม ดี ผ่านเกณฑ์ ไมผ่ ่านเกณฑ์ พงึ ประสงค์ 18 2 001. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 20 0 002. ซื่อสตั ย์สจุ รติ 14 6 003. มีวินยั 13 7 004. ใฝเ่ รยี นรู้ โครงสรา้ งพ้นื ฐานของเซลล์สัตว์
40 โครงสร้างพน้ื ฐานของเซลลพ์ ชื สือ่ การสอน Microsoft PowerPointหน่วยที่ 2 องคป์ ระกอบของสงิ่ มชี ีวติ
41
42
43
44
45
46
Search