Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แบบฝึกทักษะ หน่วยที่ 2 เคมีพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

แบบฝึกทักษะ หน่วยที่ 2 เคมีพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

Published by ida6011, 2021-05-20 10:23:13

Description: แบบฝึกทักษะ หน่วยที่ 2 เคมีพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

Search

Read the Text Version

แบบฝก ทักษะ รายวชิ าชีววิทยา 1 มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 1 โดย ครสู ุดาภรณ สบื บญุ เปยม กลมุ สาระการเรยี นรู วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

แบบฝกทักษะ รายวิชาชีววิทยา 1 มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 2 แบบทดสอบกอ นเรยี น หนว ยการเรียนรูที่ 2 เคมพี ้นื ฐานของสง่ิ มีชีวิต คาํ ช้ีแจง : ใหนักเรยี นเลือกคําตอบท่ีถูกตองที่สุดเพียงขอเดียว คําช้แี จง : ใหน ักเรยี นเลือกคาํ ตอบที่ถูกตองท่ีสุดเพียงขอเดียว 1. นํา้ มีความสาํ คัญหลายประการยกเวน ขอ ใด 7. กรดอะมิโนชนิดใดทจี่ ําเปนสาํ หรับการ 1. เปน ตัวทําละลายที่ไมด ี เจรญิ เตบิ โตและพัฒนาการในวัยเด็ก 2. เปน องคประกอบสวนใหญใ นเซลล 1. ซีรนี และโพรลีน 3. ชว ยหลอเลี้ยงอวัยวะตา งๆ ในรา งกาย 2. อะลานีนและวาลนี 4. ชว ยรกั ษาสมดลุ ของอณุ หภูมใิ นรางกาย 3. อารจีนนี และฮสี ทดิ ีน 5. ชวยลาํ เลียงออกซเิ จนและ 4. ไลซนี และเมไทโอนีน คารบ อนไดออกไซด 5. ลิวซีนและแอสปาราจนี 2. นายอนันตปว ยเปนโรคคอพอก นายอนนั ตค วร 8. เด็กชายปกรณโดนมีดบาดมือแลวเลือดไหล รบั ประทานอาหารจําพวกใด ออกมาปริมาณมาก และใชเวลานานกวา 1. ไข 2. นม เลือดจะหยุดไหล จากเหตุการณนี้นักเรียนคิด 3. หอยนางรม 4. ขาวซอมมือ วาเด็กชายปกรณนาจะขาดวิตามินชนิดใด 5. ปลาตะเพียน 1. วติ ามิน A 2. วิตามนิ B 3. แหลง สะสมคารโ บไฮเดรตในรางกายของมนุษย 3. วติ ามนิ C 4. วิตามนิ D คอื สวนใด 5. วิตามนิ K 1. ตบั และไต 9. เอนไซมม หี นา ท่อี ยา งไร 2. ตับและตับออ น 1. เพ่ิมพลงั งานกอกัมมนั ต 3. ตบั และกลา มเนือ้ 2. เพม่ิ ระดบั พลงั งานกระตนุ 4. กระดกู และพังผืดหนาทอง 3. ยบั ยงั้ การเรงปฏกิ ริ ยิ าเคมี 5. กระดกู และกลามเน้ือตนขา 4. ยบั ย้งั การเกิดปฏกิ ิริยาเคมี 4. สารชนดิ ใดเม่ือนาํ ไปตม กับสารละลายเบเนดกิ ซ 5. เรงปฏิกิรยิ าเคมใี หเ กิดไดเร็วขน้ึ แลวจะไมเกิดปฏกิ ริ ยิ า 10. ปฏกิ ิริยาของสาร A และสาร B เปนดังน้ี 1. กลโู คส 2. ซโู ครส A+B ไมเ กดิ ปฏกิ ิรยิ า 3. ฟรกั โทส 4. แลกโทส A+B+C ไมเ กิดปฏิกริ ิยา 5. มอลโทส A+B+C+D ไมเกิดปฏิกริ ิยา 5. เซลลูโลสพบไดในสว นใดของส่ิงมีชีวติ 1. สาร C เปน เอนไซม 1. เสนผม 2. เปลือกกงุ 2. สาร A เปนสารตงั้ ตน 3. กลา มเนือ้ 4. กระดองปู 3. สาร B เปนสารต้ังตน 5. ผนงั เซลลข องพชื 4. สาร C เปนผลติ ภณั ฑ 6. ขอใดเปน ผลิตภัณฑจากปฏกิ ริ ยิ าสปอนนิฟเคชนั 5. สาร D เปน ตัวยับย้งั เอนไซม 1. สบู 2. เบส 3. ไขมนั 4. นํา้ มัน 5. เบนซนิ โดย ครูสดุ าภรณ สืบบุญเปย ม กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

แบบฝก ทักษะ รายวชิ าชีววิทยา 1 มธั ยมศึกษาปท่ี 4 3 แบบฝก ทกั ษะ เรอ่ื ง สารอนนิ ทรยี  คําชีแ้ จง : ใหนกั เรียนเขียนอักษร “T” หนา ขอความทถี่ กู ตอ ง และเขยี นอักษร “F” หนาขอความทีผ่ ิด พรอมทง้ั แกไ ขขอความน้ันใหถกู ตอ ง ………. 1. น้ําชว ยลอลื่นอวยั วะตางๆ ดวงตา ขอตอ ชอ งทอง เยอื่ หมุ ปอด หวั ใจ ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………. 2. สูตรโมเลกลุ ของนํ้า คอื (H2O)n ซึง่ อะตอมของไฮโดรเจนและออกซเิ จนยดึ เหนยี่ วกนั ดว ยพันธะ ไอออนกิ ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………. 3. ในรางกายมนษุ ยม นี า้ํ อยปู ระมาณรอ ยละ 65 ของนาํ้ หนกั ตวั ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………. 4. โมเลกลุ ของนํา้ มสี มบัติความเปน กรดและเบสในตัวเดียวกัน ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………. 5. สารชอบน้าํ เปน สารทม่ี ีโมเลกลุ แบบไมม ีขั้ว สว นสารไมช อบน้ําเปน สารทมี่ ีโมเลกุลแบบมีขั้ว ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………. 6. ความจุความรอนของนํา้ เทา กับ 4.814 จูล/กรมั /องศาเซลเซยี ส หมายถงึ การที่จะทําใหน ํ้า 1 กรมั มีอุณหภมู ลิ ดลง 1 องศาเซลเซียส จะตองใชพลงั งานความรอนเทากบั 4.814 จูล ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………. 7. ไอโอดีน พบมากในเนื้อสัตว นม ไข ผักและผลไมทุกชนดิ ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………. 8. โรคโลหติ จางเกดิ จากการขาดธาตฟุ อสฟอรสั ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………. 9. ธาตุเหลก็ เปนสว นประกอบของเอนไซมบ างชนดิ และเฮโมโกบินในเมด็ เลือดแดง ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………. 10. แคลเซียมและฟอสฟอรสั มบี ทบาทเกี่ยวขอ งกบั ความแข็งแรงของกระดูกและฟน ตอบ= ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. โดย ครสู ดุ าภรณ สืบบุญเปยม กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

แบบฝก ทกั ษะ รายวชิ าชีววิทยา 1 มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 4 ใบงาน เร่ือง คารโ บไฮเดรต คาํ ชีแ้ จง : ใหนกั เรยี นสรปุ ใจความสาํ คญั เรือ่ ง คารโบไฮเดรต เปนผังมโนทัศน วิธดี าํ เนนิ การ 1. ใหน ักเรียนแบงกลุม กลมุ ละ 5-6 คน สบื คน ขอมลู เก่ยี วกบั คารโบไฮเดรต แลว สรปุ ใจความสําคญั เปนผังมโนทศั นใหมีความนา สนใจ โดยอาจมปี ระเด็นตา งๆ ดังนี้ • สตู รโมเลกุล • ประเภท - มอโนแซ็กคาไรด (ชนิด ลักษณะ แหลง ท่ีพบ) - โอลโิ กแซ็กคาไรด (ชนดิ ลกั ษณะ แหลง ท่พี บ) - พอลแิ ซ็กคาไรด (ชนิด ลกั ษณะ แหลง ทพ่ี บ) • การทดสอบ โดยจดั ทําชนิ้ งานทม่ี ีขนาดเทากบั กระดาษ A4 ทต่ี อกนั จํานวน 6 แผน 2. ใหน ักเรยี นแตละกลมุ นาํ เสนอผลงานหนาช้นั เรียน โดย ครสู ดุ าภรณ สบื บุญเปยม กลุม สาระการเรียนรู วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

แบบฝกทกั ษะ รายวชิ าชีววิทยา 1 มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 5 ใบงาน เร่อื ง ปจจัยทีม่ ผี ลตอการทาํ งานของเอนไซม คาํ ชี้แจง : ใหนักเรยี นออกแบบและดําเนินการทดลองเพื่อศึกษาปจ จัยที่มีผลตอ การทํางานของเอนไซม วิธีดาํ เนินการ 1. ใหน ักเรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 5-6 คน ออกแบบและดาํ เนนิ การทดลองเพือ่ ศกึ ษาปจจยั ท่ีมีผลตอ การ ทาํ งานของเอนไซม 2. กาํ หนดปจ จัยท่ีมผี ลตอการทํางานของเอนไซมโ ดยไมซ้าํ กบั กลุมอนื่ ๆ 3. กําหนดปญ หา สมมติฐาน ตวั แปรตน ตัวแปรตาม ตวั แปรควบคมุ และออกแบบการทดลอง โดยบนั ทึก ลงในกรอบดา นลาง 4. ปฏบิ ัตกิ ารทดลองตามทอ่ี อกแบบไว บนั ทึกผล และนําเสนอผลงาน โดย ครสู ุดาภรณ สืบบญุ เปยม กลุม สาระการเรียนรู วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี

แบบฝก ทักษะ รายวชิ าชีววทิ ยา 1 มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 6 แบบทดสอบหลงั เรยี น หนว ยการเรยี นรูที่ 2 คําชีแ้ จง : ใหน ักเรียนเลือกคาํ ตอบท่ีถูกตองท่ีสุดเพียงขอเดียว 1. คณุ สมบัตขิ องนํ้ามหี ลายประการ ยกเวน ขอใด 5. ขอ ใดกลา วไมถูกตอ ง 1. โมเลกลุ ของนาํ้ เปน โมเลกุลทีม่ ีข้ัว 1. ในพืช นํา้ ตาลสามารถเปลยี่ นรปู กลับมาเปน 2. แสดงไดท ้ังประจุบวกและประจุลบ ทาํ ให แปงได เปน ตัวทําละลายท่ีดี 2. คารโ บไฮเดรตสามารถสะสมในรปู ของ 3. เกิดจากอะตอมของออกซิเจนกับอะตอมของ ไกลโคเจนในตบั ได ไฮโดรเจนยึดเหน่ยี วกันดว ยพนั ธะโคเวเลนต 3. คารโ บไฮเดรตถูกใชสาํ หรบั ผลิตพลังงานใน 4. แตละโมเลกุลของนํ้ายดึ เหนี่ยวกันดวยพันธะ เซลลข องสิง่ มชี วี ติ โคเวเลนต ทําใหน ้ํามสี ถานะเปน ของเหลว 4. อะไมโลสประกอบดว ยกลูโคสเรยี งตวั ตอกนั 5. สามารถแตกตวั ใหไ ฮโดรเจนไอออน H+ เปนเสนยาวท่ีไมม ีการแตกแขนง และไฮดรอกไซดไ อออน OH- ซ่ึงแสดงสมบตั ิ 5. เซลลูโลสเกิดจากโมเลกุลของกลโู คสเชื่อมกัน ความเปนกรด-เบส แบบ α (1 → 6 ) glycosidic bond 2. นํา้ นมของสตั วมีแรธาตใุ ดอยูป รมิ าณมาก 6. พนั ธะใดทเ่ี ชอื่ มตอ ระหวางกรดอะมิโนในสาย 1. แคลเซยี มและเหล็ก พอลิเพปไทด 2. ไอโอดนี และโซเดียม 1. พนั ธะโลหะ 3. แคลเซยี มและฟอสฟอรัส 2. พันธะอะมโิ น 4. แคลเซยี ม เหล็ก และโพแทสเซียม 3. พนั ธะเพปไทด 5. ฟอสฟอรัส เหล็ก และโพแทสเซยี ม 4. พันธะไฮโดรเจน 3. ขอ ใดถูกตองเก่ยี วกบั น้าํ ตาลมอลโทส 5. พันธะไกลโคซดิ กิ 1. ไมส ามารถละลายนํ้าได 7. ขอ ใดไมถูกตองเก่ียวกับคุณสมบัตขิ องลิพดิ 2. ยอ ยไดดว ยเอนไซมเ พปซนิ 1. ชว ยละลายวติ ามิน B และ C 3. โดยท่วั ไปจะเรยี กวานํ้าตาลทราย 2. ชว ยรกั ษาความอบอุนของรา งกาย 4. ประกอบดว ยโมเลกลุ ท่ีเลก็ ที่สุด คือ กลโู คส 3. เปน องคป ระกอบสําคญั ของเย่อื หุมเซลล 5. มีความหวานมากกวา น้ําตาลซูโครส 0.4 เทา 4. ชว ยปองกนั การกระทบกระเทือนของอวัยวะ 4. เซลลูโลสพบไดใ นสว นใดของส่งิ มีชวี ิต ภายใน 1. เสนผม 5. ไมล ะลายน้ํา แตส ามารถละลายไดใน 2. เปลือกกงุ สารละลายอนิ ทรยี  3. กลามเนือ้ 4. กระดองปู 5. ผนงั เซลลข องพชื โดย ครสู ดุ าภรณ สบื บุญเปย ม กลมุ สาระการเรียนรู วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

แบบฝก ทกั ษะ รายวิชาชีววทิ ยา 1 มธั ยมศึกษาปท่ี 4 7 8. วิตามนิ ใดที่ชว ยปอ งกนั อาการออนเพลยี ปองกัน 10. ขอใดกลา วไมถกู ตอง โรคโลหิตจาง และปอ งกนั การเกดิ ความผดิ ปกติ 1. เม่ือความดนั เพ่มิ ข้นึ การเกิดปฏกิ ิรยิ าของ ของกระบวนการเมแทบอลซิ มึ ของกรดอะมิโน สารที่เปนแกส จะเกดิ ไดเร็วข้ึน ตามลําดับ 2. หากสภาวะความเปนกรด-เบสเปลี่ยนแปลง 1. B1 B2 B5 จะมผี ลตอการทํางานของเอนไซม 2. B1 B2 B6 3. ในสภาวะที่อณุ หภมู ิตํ่า จะทําใหก าร 3. B1 B12 B6 เกิดปฏกิ ริ ิยาเรว็ กวา สภาวะทีม่ อี ุณหภูมิสูง 4. B1 B6 B12 4. สารต้ังตนที่เปนของแขง็ ท่ีมพี ื้นทผี่ ิวมาก จะ 5. B2 B6 B12 เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเรว็ กวาสารตัง้ ตน ทมี่ พี ้ืนท่ีผวิ นอ ย 9. ขอ ใดไมใชสมบัตขิ องเอนไซม 5. ถาสารต้ังตนเปนสารละลายทม่ี คี วามเขมขน 1. ละลายไดในน้ําและกลีเซอรอล สูง จะเกิดปฏกิ ริ ยิ าเรว็ กวา สารตั้งตนทเ่ี จอื 2. ทําหนาท่ีลดพลังงานกอกมั มนั ต จาง 3. ตกตะกอนในแอลกอฮอลเขม ขน 4. เปนสารประเภทโปรตนี รปู ทรงกลม 5. ทาํ งานไดด เี มอ่ื ไดร ับความรอ นสูงมาก โดย ครสู ุดาภรณ สบื บุญเปย ม กลมุ สาระการเรียนรู วิทยาศาสตรและเทคโนโลยี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook