Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม1ไฟฟ้าน่ารู้

เล่ม1ไฟฟ้าน่ารู้

Published by กมลชนก สะคำปัน, 2018-10-30 01:13:48

Description: เล่ม1ไฟฟ้าน่ารู้

Search

Read the Text Version

1 ไฟฟา้ นา่ รู้

คานา ในยคุ ปัจจุบันวทิ ยาศาสตร์ช่วยใหผ้ เู้ รยี นได้พัฒนาวิธีคิดท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผลคิดสรา้ งสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าหาความรู้และมีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังนั้น ทุกคนจึงจาเป็นต้องได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์เพ่ือท่ีจะมีความรู้ ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน สามารถนาความรไู้ ปใช้อย่างมีเหตผุ ล สรา้ งสรรค์ และมคี ุณธรรม ส่ือการเรยี นรเู้ ป็นเครื่องมอื สง่ เสรมิ และสนับสนุนการจัดกระบวนการเรยี นรู้ เพ่ือใหผ้ เู้ รียนคน้ คว้าหาความรู้ดว้ ยตนเอง สามารถเข้าถึงความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ส่ือ ควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการและรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายของผู้เรียน ผู้สอนสามารถจัดทาหรือเลือกใช้สื่อประกอบการจัดการเรยี นรูใ้ หผ้ เู้ รยี นเกิดการเรยี นรอู้ ย่างต่อเนื่อง แบบฝกึ ทกั ษะการคิดแก้ปัญหาอยา่ งมวี จิ ารณญาณเป็นนวัตกรรมอกี รูปแบบหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความสามารถด้านการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณสาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนเทศบาลประตูลี้ เล่มที่ 1 เร่ือง ไฟฟ้าน่ารู้ ในครั้งน้ีจัดทาข้ึนเพ่ือใช้เป็นส่ือการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ รหัส ว16101 โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อใช้ในการพฒั นาทักษะการคดิ แก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณสาหรบั นกั เรียน ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแบบฝึกเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและสง่ เสรมิ ให้นักเรียนเกดิ การเรยี นร้ทู ่ดี ีเพราะในแบบฝึกเล่มน้ี มีเนื้อหาท่ีน่าสนใจมีภาพประกอบที่สวยงามเหมาะสมกับระดับชั้นของนักเรียนและนักเรียนสามารถตรวจสอบความเข้าใจในการอา่ นได้จากการทากิจกรรมและเฉลยของแต่ละแบบฝึกทาให้นักเรียนทราบพฒั นาการในการเรยี นรู้ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของตนได้เป็นอย่างดี กมลชนก สะคาปัน

ข หนา้ สารบัญ ก ขคานา คสารบัญ 1มาตรฐานตัวชวี้ ดั 2คาช้ีแจง 3จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 4คาแนะนาการใชแ้ บบฝึกทักษะการคดิ แกป้ ัญหาอย่างมีวิจารณญาณ 13เนื้อหาเร่ือง 14ทาแบบฝกึ ที่ 1 แบบบันทึกการคิดแก้ปัญหาอยา่ งมวี ิจารณญาณ(จานวน5ข้อ)ทาแบบฝึกที่ 2 Amazing wow (จานวน 5 ขอ้ ) 17ทาแบบฝกึ ท่ี 3 ทบทวนชวนคิด (จานวน5ขอ้ ) 18 19 ทาแบบฝกึ ที่ 4 พชิ ติ การเรียนรู้(จานวน 10 ขอ้ ) 21 ทาแบบฝกึ ท่ี 5 สนุกคิดกับวทิ ยาศาสตร(์ จานวน5ข้อ) 24แบบทดสอบท้ายเล่ม 23บรรณานกุ รม 26ภาคผนวก 28เฉลยแบบฝึกที่ 1-2 29เฉลยแบบฝกึ ท่ี 3-4เฉลยแบบทดสอบท้ายเล่ม

ค สาระท5ี่ พลงั งาน มาตรฐานตวั ช้วี ัด มาตรฐาน ว.5.1 เขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพลงั งานกบั การดารงชวี ติการเปลย่ี นรปู พลงั งานปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งสารและพลงั งานผลของการใชพ้ ลงั งานตอ่ชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ มมกี ระบวนการสบื เสาะหาความรสู้ อื่ สารสง่ิ ทเ่ี รยี นรแู้ ละนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ตวั ช้วี ดั 1. ทดลองและอธบิ ายการตอ่ วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย 2. ทดลองและอธบิ ายตวั นาไฟฟา้ และฉนวนไฟฟา้ 3. ทดลองและอธบิ ายการตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม และนาความรไู้ ป ใชป้ ระโยชน์ 4. ทดลองและอธบิ ายการตอ่ หลอดไฟฟา้ ทงั้ แบบอนกุ รม แบบขนาน และนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 5. ทดลองและอธบิ ายการเกดิ สนามแมเ่ หลก็ รอบสายไฟทม่ี กี ระแสไฟฟา้ 6. ผ่าน และนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ป.6/1, ป.6/2, ป.6/3, ป.6/4, ป.6/5

1 คาช้ีแจง คาช้ีแจง การใชแ้ บบฝึกทักษะ1. แบบฝึ กทัก ษ ะ ก า รคิ ด แก้ ปัญห า อย่ า ง มีวิ จ า ร ณ ญา ณ ห น่ ว ยก า รเ รียน รู้ สาระที่ 5 พลังงาน มีท้งั หมด 5 ชดุ2. แบบฝึกทักษะการคดิ แกป้ ัญหาอย่างมวี ิจารณญาณชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6 หน่วยการ เรียนรู้สาระที่ 5 พลงั งาน เปน็ ชดุ ที่ 1 เรือ่ ง ไฟฟา้ น่ารู้3. แบบฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหาอย่างมีวิจารณญาณ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 หน่วย การเรียนรู้สาระที่ 5พลังงาน เป็นชุดที่ 1 เรื่อง ไฟฟ้าน่ารู้ ชุดนี้ใช้เวลาใน การจดั การเรยี นรู้ท้ังหมด 4 ช่ัวโมง4. นกั เรียนควรศึกษาและปฏบิ ตั ดิ งั น้ี 4.1 ศึกษาจุดประสงค์การเรยี นรู้ 4.2 ศึกษาและทาความเข้าใจเก่ยี วกบั ใบความรู้ 4.3 ทาแบบฝึกหัดดว้ ยตนเองอย่างรอบคอบซ่อื สัตยม์ ีวนิ ัย 4.4 เมอื่ มปี ญั หาหรือขอ้ สงสยั ให้กลับไปทมบทวนเนือ้ หาและคาแนะนาจากครูผ้สู อน 4.5 ทาแบบทดสอบหลงั เรยี นด้วยความซือ่ สตั ย์ 4.6 เมื่อทาเสรจ็ แลว้ ใหน้ าแบบฝึกทักษะสง่ ครูผสู้ อนเพือ่ ตรวจและบันทกึ คะแนน

2 จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้1. อธบิ ายเกดิ ไฟฟา้ สถติ ได้ (ว 5.1 ป. 6/1)2. ทดลองเกดิ ไฟฟา้ สถติ ได้ (ว 5.1 ป. 6/1)3. จดั จาแนกขอ้ มลู การเกดิ ไฟฟา้ ในชวี ติ ประจาวนั ได้ (ว 8.1 ป. 6/1)4. ทดลองการผลติ กระแสไฟฟา้ จากปฏกิ ริ ยิ าเคมไี ด้ (ว 5.1 ป. 6/1)

3 คาแนะนาการใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ การคดิ แกป้ ญั หาอยา่ งมวี จิ ารณญาณ เลม่ 1 : ไฟฟา้ นา่ รู้1. แบบฝกึ เล่มท่ี 1 สู่วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย เป็นส่วนหนึ่งของแบบฝึกทักษะการคดิ แกป้ ัญหาอยา่ งมวี จิ ารณญาณสาหรับนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6โรงเรียนเทศบาลประตลู ี้ ในการใช้แบบฝกึนักเรยี นต้องปฏิบตั ิดังน้ี2. ศึกษาเนอื้ หาจากใบความรู้เร่ือง พลังงานในทอ้ งถนิ่ เล่มท่ี 2 สูว่ งจรไฟฟ้าอย่างง่าย โดยศกึ ษาเน้อื หาและทาแบบฝกึ ทักษะทาแบบฝึกที่ 1 แบบบนั ทึกการคดิ แกป้ ัญหาอยา่ งมวี จิ ารณญาณ จานวน 5 ข้อทาแบบฝกึ ที่ 2 Amazing wow จานวน 5 ขอ้ทาแบบฝึกที่ 3 ทบทวนชวนคดิ จานวน 5 ข้อทาแบบฝกึ ที่ 4 พิชิตการเรยี นรู้ จานวน 10 ขอ้ทาแบบฝกึ ท่ี 5 สนุกคดิ กบั วทิ ยาศาสตร์ จานวน 5 ข้อ3.ตรวจแนวคาตอบจากเฉลยทา้ ยเลม่ แล้วบันทกึ ผลการทาแบบฝกึ ลงในตารางบนั ทึก4.ทาแบบทดสอบท้ายเลม่ ท่ี1 ไฟฟา้ น่ารู้ จานวน 10 ข้อ และทาด้วยความซอื่ สตั ย์แลว้ตรวจแบบทดสอบทา้ ยเล่ม

4 ใบความรู้1.ไฟฟา้ เกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร นักเรียนเคยเห็นฟ้าแลบและฟ้าผ่าหรือไม่ ปรากฏการณ์ฟ้าแลบและฟ้าผ่าเกิดจากกระแสไฟฟ้าเคลอื่ นท่ผี า่ นกอ้ นเมฆและอากาศ ซง่ึ เป็นปรากฏการณ์ทเ่ี กิดข้ึนเองตามธรรมชาติแต่กระแสไฟฟ้าไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในธรรมชาติเท่าน้ัน มนุษย์สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าขึน้ มาเพ่อื ใช้ประโยชน์ได้ ไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอ่ืนได้ไฟฟา้ มี 2 ประเภท คือ ไฟฟา้ สถิต และไฟฟ้ากระแส ไฟฟ้าสถิต (Static electricity) คือ ไฟฟ้าที่เกิดจากการเสียดสีเมื่อเอาวัตถุบางอย่างมาถูกันจะทาให้เกิดพลังงานข้ึน ซ่ึงพลังงานนี้สามารถดูดเศษกระดาษหรือฟางข้าวเบา ๆ ได้ เชน่ เอาแท่งยางแข็งถูกบั ผ้าสกั หลาด หรือคร่ังถูกับผ้าขนสัตว์ พลังงานท่ีเกิดข้ึนเหล่าน้ีเรียกว่า ประจุไฟฟ้าสถิต เม่ือเกิดประจุไฟฟ้าแล้ว วัตถุท่ีเกิดประจุไฟฟ้านั้นจะเก็บประจุไว้ แตใ่ นท่สี ดุ ประจุไฟฟา้ จะถ่ายเทไปจนหมด วัตถุท่ีเก็บประจุไฟฟ้าไว้น้ันจะคายประจุอย่างรวดเร็วเมื่อต่อลงดิน ในวันท่ีมีอากาศแห้งจะทาให้เกิดประจุไฟฟ้าได้มาก ซึ่งทาให้สามารถดูดวัตถุได้ดี ประจุไฟฟ้าที่เกิดมีอยู่ 2 ชนิด คือ ประจุบวกและประจุลบ คุณสมบัติของประจไุ ฟฟา้ คือ ประจไุ ฟฟา้ ชนดิ เดยี วกันจะผลักกนั ประจุไฟฟา้ ตา่ งชนิดกนั จะดูดกนั ขั้วเหมอื นกันผลกั กนั ขั้วเหมอื นกันผลักกัน ขั้วต่างกนั ดดู กันประจไุ ฟฟา้ ( Electric Charge ) ประจุไฟฟ้าคือ ตัวการที่ทาให้เกิดอานาจไฟฟ้า (แรงดูด)ทาลิส (Thales)นักปราชญช์ าวกรีก นาแทง่ อาพันมาถูกกับผ้าขนสตั ว์ แท่งอาพนั สามารถดดู วัตถุเบาๆได้ เช่นขนนก อานาจทเี่ กิดข้นึ นี้ได้ถูกเรียกว่า อานาจไฟฟา้

5อานาจไฟฟา้ ( Electricity ) ความสามารถแสดงแรงดึงดดู ต่อวตั ถตุ ่างๆไดอ้ านาจทางไฟฟ้าเรยี กสัน้ ๆว่าไฟฟา้ตรงกบั ภาษาอังกฤษว่า Electricity มาจากคาวา่ Elektron ในภาษากรีกหมายถึงอาพันอาพนั (Amber) คือยางสนทีแ่ ข็งตัวจนเกอื บกลายเปน็ หนิ มลี กั ษณะคลา้ ยพลาสติกโปรง่ แสงมสี ีน้าตาลแกมแดง สามารถขดั ใหข้ ้ึนเงาได้ง่าย นิยมทาเปน็ เคร่ืองประดบั มีมากในประเทศเยอรมนั และโปแลนด์ เกดิ จากต้นสนทบั ถมกันจมดินจมทรายมานานนับพนั นับหมน่ื ปี อาพันมคี วามแข็ง 6 (เพชรซง่ึ แข็งที่สุดมคี วามแขง็ 10)สาเหตทุ ที่ าใหว้ ตั ถเุ กดิ ประจไุ ฟฟา้ อสิ ระยอ่ มทาได้ 3 วธิ ี1. การขัดสีกนั ของวตั ถทุ ่เี หมาะสม 2 ชนิด และประจุไฟฟ้าทเี่ กิดขนึ้ บนผิววตั ถุค่หู นง่ึ ๆจะเปน็ ประจุไฟฟา้ ต่างชนิดกนั เสมอ ไดม้ กี ารทาบัญชขี องวตั ถุทที่ าใหเ้ กดิ ไฟฟา้ สถิตโดยการขัดสีโดยเรียงตามลาดบั การขัดสีดงั น้ี1. ขนสัตว์ 11. แก้วผวิ ขรุขระ2. ขนแกะ หรือผา้ สกั หลาด 12. ผวิ หนัง3. ไม้ 13. โลหะต่าง ๆ4. เชลแลค 14. ยางอินเดยี5. ยางสน 15. อาพัน6. คร่งั 16. กามะถัน7. แก้วผิวเกล้ียง 17. อิโบไนต์8. ผ้าฝา้ ย หรือสาลี 18. ยาง9. กระดาษ 19. ผา้ แพร ( Amalgamated )10. ผ้าแพร 20. เซลล์ลูลอยด์ การขดั สกี นั ของวตั ถุ 2 ชนดิ หลงั การขดั สี - วัตถุหมายเลขน้อย มีประจุไฟฟา้ เป็นบวก - วัตถหุ มายเลขมาก มปี ระจุไฟฟา้ เป็นลบ

6วธิ กี ารทดสอบไฟฟา้ สถติ อยา่ งงา่ ย ไดแ้ ก่ภาพที่ 2 การถลู กู โปง่ เขา้ กบั เสน้ ผม ภาพท่ี 3 การทดสอบไฟฟา้ สถติที่มา : http://www.lespetitspapiersdeprune.comจากการทดสอบการถูลูกโป่งเข้ากับเส้นผมพบว่า อิเล็กตรอนอิสระท่ีอยู่บนเส้นผมจะเปลี่ยนมาอยู่บนลูกโป่งแทน และทาให้วัตถุที่เสียอิเล็กตรอน (เส้นผมของเรา) กลายเป็นประจุบวก ในขณะท่ีประจุบวกรับ อิเล็กตรอน (ลูกโป่ง) กลายเป็นประจุลบ และดึงดูดกับประจุบวกทาให้ ผมฟูชี้โด่ การเกิดไฟฟ้าสถิตไฟฟ้าสถิตท่ีเกิดจากการเสียดสีของวัตถุ2ชนิดจะเกิดข้ึนชั่วขณะที่มีการเสียดสีกันเท่าน้ัน การเสียดสีทาให้ประจุไฟฟ้าข้ัวบวกและขั้วลบบนผิววัสดมุ ีไมเ่ ท่ากนั เกิด แรงดงึ ดูดกนั เมื่อวัตถุทั้ง2ชนิดมีประจุต่างชนิดกัน หรือเกิดแรงผลักกันเมื่อวัสดุทั้ง 2 ชนิดมีประจุชนิดเดียวกัน ซ่ึงโดยปกติวัตถุต่างๆจะไม่แสดงอานาจไฟฟ้าเรยี กว่า เป็นกลางทางไฟฟ้า เนอื่ งจากมีประจไุ ฟฟา้ บวกและประจุไฟฟ้าลบเป็นจานวนเทา่ กันการเกดิ ไฟฟา้ สถติ ในบรรยากาศ ไดแ้ ก่ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า(Thunder) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งเกิดจากการเคล่ือนที่ของประจอุ เิ ลก็ ตรอนภายในก้อนเมฆหรอื ระหว่างก้อนเมฆกับก้อนเมฆ หรอื เกดิ ข้นึ ระหว่างกอ้ นเมฆกับพื้นดินการเคล่ือนที่ขึ้นลงของกระแสอากาศ(updraft/downdraft)ภายในเมฆคิวมูโลนิมบัส ทาให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้าในแต่ละบริเวณของก้อนเมฆและพื้นดินด้านล่าง เม่ือความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างตาแหน่งท้ังสองท่ีมีค่าระดับหน่ึง จะก่อให้เกิดสนามไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยมีประจบุ วกอยู่ทางดา้ นบนของก้อนเมฆ ประจุลบอย่ทู างตอนล่างของก้อนเมฆพ้ืนดินบางแห่งมีประจุบวก พ้ืนดินบางแห่งมีประจุลบ ซ่ึงจะเหน่ียวนาให้เกิดการเคล่อื นท่ขี องกระแสไฟฟา้ ดังทแี่ สดงในภาพท่ี 4

7 ภาพที่ 4 แผนภาพแสดงการเกิดฟ้าแลบฟา้ ผ่า ท่ีมา: http://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/thunder  เมอื่ ประจลุ บบริเวณฐานเมฆถกู เหน่ียวนาเขา้ หาประจบุ วกท่อี ยู่ดา้ นบนของก้อนเมฆ ทาให้เกดิ แสงสวา่ งในกอ้ นเมฆเรยี กว่า \"ฟา้ แลบ\"  เม่ือประจไุ ฟฟา้ ลบบริเวณฐานเมฆกอ้ นหน่งึ ถกู เหน่ยี วนาไปประจบุ วกในเมฆอีกกอ้ น หน่งึ จะมองเหน็ สายฟ้าวิง่ ขา้ มระหวา่ งก้อนเมฆเรียกวา่ \"ฟ้่าแลบ\" ภาพที่ 5 ฟ้าผา่ ที่มา: http://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/thunder  เมื่อประจุลบบริเวณฐานเมฆถูกเหน่ียวนาเข้าหาประจบุ วกทอี่ ยู่บนพ้นื ดิน ทาใหเ้ กดิ กระแสไฟฟา้ จากกอ้ นเมฆพุ่งลงสู่พนื้ ดินเรยี กวา่ \"ฟ้าผ่า\"  ในทานองกลับกัน ประจุลบที่อยบู่ นพ้ืนดนิ ถูกเหนย่ี วนาเข้าหาประจบุ วกในกอ้ นเมฆ มองเห็นเป็นฟ้าแลบจากพน้ื ดนิ ข้ึนสู่ท้องฟ้าสาระนา่ รเู้ ก่ียวกบั อนั ตรายจากฟา้ ผา่ ฟ้าผา่ เป็นปรากฏการณธ์ รรมชาตทิ ม่ี นุษย์หา้ มการเกิดฟา้ ผ่าไมไ่ ด้ เม่อื เกิดฟา้ ผา่มักจะทาให้เกดิ ความเสยี หายแกท่ รพั ยส์ นิ หรอื เปน็ อนั ตรายแก่คนถงึ ชวี ติ อนั เนื่องมาจากผลของฟา้ ผา่ ในรปู ความรอ้ น แรงกลระเบิด และทางไฟฟา้ แม้มไิ ด้ถกู ฟ้าผ่าโดยตรงกอ็ าจเกดิอันตราย เนื่องจากแรงดันชว่ งกา้ ว และแรงดนั สัมผสั ดงั ในภาพที่ 1

8 ภาพท่ี 6 อนั ตรายจากแรงดันช่วงก้าว ทเี่ ป็นผลจากฟา้ ผ่า ทม่ี า http://eitprblog.blogspot.com/2014/06/blog-post_25.html ฟา้ ผา่ ลงที่ใด ทาไมจงึ ผา่ ลงทนี่ ่ัน โดยหลักการฟ้าจะผา่ ลงจดุ ทใ่ี กล้หัวนารอ่ งฟา้ ผา่ ทส่ี ุดน่นั คอื สิ่งทอ่ี ยสู่ งู เด่นจะเป็นจุดลอ่ ให้ฟ้าผ่าไดง้ ่ายกว่าสงิ่ ที่อยู่โดยรอบเช่น กระท่อมในทอ้ งทงุ่ นา แมไ้ มส่ ูงแต่ก็เปน็ จุดเดน่ สงู กวา่ พ้ืนดินโดยรอบความปลอดภยั จากการดแู ลตนเองขณะเกดิ ฟา้ ผ่า 1)หลกี เล่ยี งการอยูใ่ นที่โล่งแจง้ เพราะตวั คนจะเปน็ จุดเดน่ ให้ถูกฟ้าผ่าได้ ดงั เช่นกรณชี าวนาออกไปหากบหาปลาขณะฝนตกฟา้ คะนอง หรือทางานอยใู่ นไร่ เชน่ ไรอ่ อ้ ย หรอืตีกอลฟ์ ในสนามกอลฟ์ เล่นฟตุ บอลในสนามกลางแจ้ง พายเรือในลาแม่น้า หรอื ในทะเล 2) เม่ือต้องหลบใต้ต้นไม้ควรนั่งยอง ๆ เท้าชิด มือกอดเข่าทั้งสอง ก้มศีรษะทาตัวให้ต่าเตี้ยที่สุดและน่ังอยู่ห่างจากโคนต้นไม้อย่างน้อย3 เมตรเพ่ือให้ปลอดภัยจากการเกิด สปาร์กเข้าหาคนเม่ือฟ้าผ่าลงต้นไม้น้ันอย่างไรก็ตามไม่ควรอยู่นอกร่มเงาต้นไม้เพราะจะกลายเป็นจุดเด่นท่ีถูกฟ้าผ่าโดยตรงได้และไม่ควรนอนราบกับพ้ืนโดยเฉพาะอย่างย่ิงในแนวรัศมีของต้นไม้เพราะเมื่อฟ้าผ่าลงต้นไม้แล้วกระแสฟ้าผ่าจะไหลกระจายไปในดินโดยรอบทาใหเ้ กิดความตา่ งศกั ย์ระหว่างสองจุดทรี่ า่ งกายสัมผัสดิน เช่น ระหว่างศีรษะกับเท้า หรือลาตัวซึง่ เป็นอนั ตราย 3)ไมค่ วรหลบฝนฟา้ คะนองในกระทอ่ มกลางทุง่ นาท่ีไม่มีระบบปอ้ งกนั ฟ้าผ่าเมือ่ คนเข้าไปอยใู่ นกระทอ่ มแมไ้ ม่มีโลหะใดๆท่รี ่างกายสวมใส่อยูห่ รอื มโี ทรศพั ทม์ ือถือ(ไมว่ ่าปดิ หรือเปดิ ใช้งานอย่)ู คนท่อี ยใู่ นกระท่อมก็จะถกู ฟ้าผ่าได้ เพราะตัวคนก็มสี ภาพเป็นตัวนาอยู่แล้ว ถ้ากระทอ่ มน้นั มรี ะบบปอ้ งกนั ฟา้ ผ่าผ้ทู ีอ่ ยู่ในกระทอ่ มกจ็ ะปลอดภัยจากฟา้ ผา่ 4) อย่าอยู่ใกล้ร้ัวโลหะเพราะขณะเกิดฟ้าคะนองจะมีสนามไฟฟ้าหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากฟ้าผ่าใกล้เคียงหรือฟ้าแลบทาให้เกิดแรงดันเหนี่ยวนาบนร้ัวโลหะน้ันได้ เมื่อร่างกายคนเข้าไปอยู่ใกล้ร้ัวก็อาจเกิดสปาร์กเข้าหาคนผ่านตัวคนลงดินเกิดอันตรายได้ โดยมาตรฐานแลว้ รว้ั โลหะเหล่านัน้ จะตอ้ งต่อลงดินอย่างดี เพ่อื ปอ้ งกนั มใิ หเ้ กดิ ความต่างศกั ยท์ ีเ่ ปน็ อนั ตรายดังกล่าวได้

9 5) ถ้าหลบฝนฟา้ คะนองในศาลาริมทางท่ไี ม่มีระบบปอ้ งกนั ฟา้ ผ่าควรนง่ั ให้หา่ งจากเสามากท่สี ดุ เทา่ ทจี่ ะทาได้เพราะเสามีความชืน้ มีสภาพนาดีกวา่ อากาศ ถา้ เกดิ ฟา้ ผ่าลงบนศาลากระแสฟ้าผา่ จะต้องหาทางไหลลงดินสว่ นหน่งึ จะวิง่ ตามเสา ฉะนั้นถา้ อยู่ใกล้เสาอาจเกดิ สปาร์กเข้าหาตัวคนได้เคยมตี วั อยา่ งเกิดขน้ึ จรงิ ดงั ในภาพท3่ี 6) ฟ้าคะนองอันตราย ถ้าสังเกตช่วงเวลาระหว่างเห็นแสงวาบฟ้าผ่ากับเสียงฟ้าร้องทไี่ ดย้ นิ ตามมาน้อยกว่า10 วินาทีตอ้ งรบี หาทีห่ ลบภยั จากฟ้าผ่า และถ้าเวลาเสียงฟ้าร้องห่างจากแสงวาบฟ้าผ่าน้อยกว่า5วินาทีนับว่าอันตรายมากต้องหาท่ีหลบภัยโดยเร็วท่ีสุด หากหาที่หลบภัยไมพ่ บหรือไมท่ ันแลว้ ให้นั่งยองๆ เท้าชิดมือกอดเข่าทั้งสองทาตัวให้ต่าเต้ียท่ีสุดเช่นเดียวกับข้อ2)ท่ีหลบภัยท่ีควรมองหาคือบ่อแอ่งเมื่อนั่งยองๆแล้วหัวคนจะต่ากว่าพื้นดินโดยรอบไมเ่ ป็นจดุ เดน่ นน่ั เองและไมค่ วรหลบอยใู่ นกระท่อมกลางทุ่งนาเพราะกระท่อมจะเป็นจดุ เด่นในที่โลง่ แจง้ จึงมอี นั ตรายมากจากการถกู ฟ้าผา่ โดยตรงได้ ภาพท่ี 7 การหลบฟา้ ผา่ ในแอ่ง หรอื บ่อจะปลอดภัย แตก่ ารหลบอย่ใู นกระทอ่ มอันตรายมาก ทม่ี า http://eitprblog.blogspot.com/2014/06/blog-post_25.html 7) สถานทใี่ หค้ วามปลอดภัยจากฟา้ ผา่ คือ ในรถยนตต์ วั ถังโลหะเพราะตัวถังรถจะทาหนา้ ท่เี ปน็ กรงฟาราเดย์อยา่ งด(ี ดเู รือ่ งฟา้ ผ่ารถยนต)์ หรือหลบอยใู่ นตัวอาคารจะดีมากถา้อาคารมีระบบสายล่อฟา้ (ประกอบด้วยตวั นาล่อฟา้ สายตัวนาลงดิน และรากสายดิน) ภาพที่ 8 อยูใ่ นรถยนต์ตวั ถังโลหะจะปลอดภยั จากฟ้าผ่า ทม่ี า http://eitprblog.blogspot.com/2014/06/blog-post_25.html 8) เครอ่ื งประดับ เช่น สรอ้ ย แวน่ ตา นาฬิกา ต่างหู ซิปเสอื้ กางเกง สง่ิ เหลา่ น้ีไม่ใช่ตน้ เหตใุ หค้ นถูกฟา้ ผ่าบางกรณีอาจช่วยให้รอดตายจากการถกู ฟ้าผา่ ไดถ้ า้ หากเครื่องประดบั หรือโลหะเหล่านัน้ อยู่นอกร่างกายและอยู่บนแนวตอ่ เนอ่ื งเปน็ สะพานให้กระแส

10ฟ้าผา่ วงิ่ ลงสู่ดินไดง้ ่ายข้ึนแทนท่ีจะผา่ นรา่ งกายเชน่ กรณีทช่ี ายขจี่ กั รยานยนต์ และสวมแวน่ ตากา้ นโลหะ สวมสร้อยคอ และซิปเส้ือ โดยปกตกิ ระแสฟ้าผา่ มคี วามถี่สูง จะไหล หรือวง่ิ ท่ีผวิมากกว่าท่ีจะวงิ่ ผา่ นเนื้อในภาพที่ 9ฟา้ ผา่ ชายขี่จักรยานยนต์แต่ไมต่ ายเพราะมีตัวนาโลหะทสี่ วมใส่นอกกายช่วยปอ้ งกันมิใหก้ ระแสไหลผา่ นร่างกาย ทมี่ า http://eitprblog.blogspot.com/2014/06/blog-post_25.html เราไม่จาเป็นต้องปลดหรือถอดเคร่ืองประดับเหล่าน้ีออกจากร่างกายในขณะฝนฟ้าคะนองเพราะตัวคนเป็นส่ือล่อฟ้าอยู่แล้วและถูกฟ้าผ่าได้แม้จะไม่สวมใส่เคร่ืองประดับเช่นเดียวกับการใช้โทรศัพท์มือถือถ้าคนใช้โทรศัพท์มิได้อยู่กลางแจ้งหรือเป็นจุดเด่นให้ถูกฟ้าผ่าก็จะปลอดภัยจากฟ้าผ่าเพราะความเข้มของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เข้าหรือออกจากโทรศัพท์มือถือไม่เข้มพอที่จะเป็นส่ือนาให้ฟ้าผ่ามาตามคลื่นน้ัน ตัวคนต่างหากที่เป็นตัวล่อฟ้า ถา้ เปน็ จุดเดน่ ไม่วา่ มีโทรศัพทม์ อื ถอื ติดตวั หรอื ไม่กต็ าม

11 นกั วทิ ยาศาสตรท์ คี่ น้ พบไฟฟา้ สถติ เปน็ คนแรก ภาพท่ี 6 ทาลสี ทม่ี า : https://sites.google.com/site/swnwithyasastr/home/the-lis นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบไฟฟ้าสถิตเป็นคนแรกคือทาลีส เป็นชาวกรีกท่ีค้นพบไฟฟ้าสถิตโดยการใช้แท่งอาพันถูกับผ้าขนสัตว์แล้วนาแท่งอาพันไปใกล้ขนนกปรากฏว่าขนนกเข้ามาตดิ แท่งอาพัน แสดงว่าแท่งอาพันเกิดอานาจไฟฟา้ สถติ นักวิทยาศาสตร์ท่ีคน้ พบไฟฟา้ สถติ ในบรรยากาศ ภาพท่ี 7 เบนจามนิ แฟรงคลิน ท่ีมา : http://www.utdid.com/history/html/0000246.html เบนจามิน แฟรงคลิน นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันได้ค้นพบไฟฟ้าสถิตในบรรยากาศท่ีเกิดจากฟ้าแลบฟ้าร้อง และฟ้าผ่า ไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากปรากฏการณ์จากธรรมชาติ ลักษณะนี้จะพบได้บ่อยในฤดูฝน คือฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฯลฯ ฟ้าแลบ เกิดก่อนฝนตก หรือขณะฝนตกหนัก เนื่องจากอากาศช้ืนเป็นตัวนาไฟฟ้า เม่ือละอองไอน้าในก้อนเมฆเสียดสีกบั อากาศจะมีการสะสมประจุไฟฟ้าในที่สุด เม่ือมีประจุ ต่างกันมากพอก็จะมีการถ่ายเทประจุไฟฟ้า จากก้อนเมฆก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหน่ึง จะมี ประกายไฟฟ้าว่ิงเป็นเสน้ คล้ายกงิ่ ไม้ เรยี กวา่ ฟา้ แลบ ฟ้าร้อง – ฟา้ ผา่ เมอ่ื ประจุไฟฟ้าวงิ่ ไปหากัน ทาให้อากาศทีไ่ ฟฟา้ ผา่ นไปกระทบ กนั เกิดเสยี ง มักเปน็ ปรากฏการณ์ถ่ายเทประจุไฟฟ้าระหว่างก้อนเมฆกบั พื้นดนิ

122. ไฟฟา้ กระแส ไฟฟ้ากระแสคือ การไหลของอิเล็กตรอนภายในตัวนาไฟฟ้าจากที่หน่ึงไปอีกที่หนึ่งเชน่ ไหลจากแหล่งกาเนิดไฟฟ้าไปสู่แหล่งที่ต้องการใช้กระแสไฟฟ้า ซ่ึงก่อให้เกิดแสงสว่างเม่ือกระแสไฟฟ้าไหลผ่านลวดความต้านทานสูงจะก่อให้เกิดความร้อน เราใช้หลักการเกิดความร้อนเช่นนี้มาประดิษฐ์อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น เตาหุงต้ม เตารีดไฟฟ้า เป็นต้น ไฟฟ้ากระแสแบ่งออกเปน็ 2 ชนิด คอื1) ไฟฟ้ากระแสตรง ( Direct Current หรอื D .C )2) ไฟฟ้ากระแสสลับ ( Alternating Current หรือ A.C. )1) ไฟฟา้ กระแสตรง ( Direct Current หรอื D .C ) เป็นไฟฟ้าท่ีมีทิศทางการไหลไปทางเดียวตลอดระยะเวลาที่วงจรไฟฟ้าปิดกล่าวคือกระแสไฟฟ้าจะไหลจากขั้วบวกภายในแหล่งกาเนิดผ่านตัวต้านหรือภาระไฟฟ้าผ่านตัวนาไฟฟ้าแล้วย้อนกลับเข้าแหล่งกาเนิดท่ีข้ัวลบ วนเวียนเป็นทางเดียวเช่นนี้ตลอดเวลาแหลง่ กาเนดิ ไฟฟา้ ท่ีเรารจู้ ักกันดีคือ แบตเตอรี่ ไดนาโม ดีซีเยนเนอเรเตอร์ เปน็ ตน้ ภาพท่ี 8 หลักการไฟฟ้ากระแสตรง (ท่ีมา: http://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/thunder)2) ไฟฟา้ กระแสสลบั ( Alternating Current หรอื A.C. )เป็นไฟฟ้าที่มีการไหลกลับไป กลับมา ทั้งขนาดของกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าไม่คงที่เปล่ยี นแปลงอยูเ่ สมอ คือ กระแสไฟฟ้าจะไหลไปทางหนึ่งก่อน ต่อมาก็จะไหลสวนกลับแล้วกเ็ รม่ิ ไหลเหมือนครง้ั แรก ภาพท่ี 9 หลักการไฟฟา้ กระแสสลบั (ทีม่ า: http://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/thunder)

13 แบบฝกึ ท่ี 1 เรอื่ ง แบบบันทกึ การคดิ แกป้ ญั หาอยา่ งมวี จิ ารณญาณเร่อื ง : ไฟฟ้ามาจากไหน ในสมยั แรกๆ มนษุ ย์ร้วู ่า ไฟฟา้ เกดิ จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เชน่ ฟา้ แลบ ฟา้ ร้อง และฟา้ ผ่านับเป็นเวลานานทีม่ นษุ ยไ์ ม่สามารถให้คาอธิบายความเปน็ ไปท่ีแทจ้ ริงของ ไฟฟ้า ที่ดเู หมือนวา่ วงิ่ ลงมาจากฟ้า และมอี านาจในการทาลายได้ จนกระทั่งมนุษย์ สามารถประดิษฐ์สายลอ่ ฟา้ ไวป้ ้องกันฟา้ ผา่ ได้ ทม่ี า : http://www.scimath.org/lesson-physics/item/7258-2017-06-12-16-04-251) การนยิ ามปญั หา2) การรวบรวมข้อมลู สาหรบั การปญั หา3) การจัดระบบขอ้ มูล4) การเลอื กสมมติฐาน5) การสรุป

14 แบบฝกึ ท่ี 2 Amazing wow สถานการณท์ ี่ 1 จากข้อมูลได้กาหนดขนั้ ตอนการทดลองดังน้ี1. พับครง่ึ กระดาษ A4 จานวน 2 ครั้ง 2. ใชก้ รรไกรตดั กระดาษท่ีพับแล้ว เป็นมมุ แหลม เมอ่ื คลี่ออก จะไดเ้ ป็นรปู ดาวส่ีแฉก3. ปักดินสอลงบนก้อนดนิ น้ามันให้ปลายแหลมชขี้ น้ึ ข้างบน4.วางดาวกระดาษบนปลายดินสอ เน่อื งจากปลายดนิ สอมีพ้นื ทีน่ ้อย จะมีแรงเสียดทานกบั กระดาษน้อยทาใหด้ าวกระดาษสามารถหมุนไปรอบๆ ได้อยา่ งง่ายดาย5. เปา่ ลูกโปง่ ไม่ตอ้ งใหใ้ หญม่ ากกไ็ ด้6.ใชม้ อื จับลกู โป่ง ถกู บั ผมสัก 5 ถึง 10 ครง้ั แลว้ นาลกู โป่งมาหมนุ รอบดาวกระดาษอยา่ งช้าๆ ระวังอยา่ ให้ลกู โป่งแตะดาวกระดาษ7. นาลกู โปง่ ไปถกู บั ผ้าสกั หลาดหรือผ้าขนสตั ว์ และทาเชน่ เดยี วกับ ขอ้ 6 สงั เกตผลท่ีได้8. นาลกู โป่งไปถูกับถุงพลาสติก และทาเชน่ เดยี วกบั ขอ้ 6 สังเกตผลท่ีได้

151.ปัญหาคือขอ้ สงสยั ทต่ี อ้ งการคาถามเขยี นในรูปประโยคคาถาม1.1 ขน้ั ระบปุ ญั หา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………นกั เรียนรว่ มกนั อภปิ รายปญั หาจากสถานการณท์ ศี่ กึ ษา แลว้ เลือกเพยี ง 1 ปญั หาให้ครอบคลุม สถานการณ์ทก่ี าหนดให้ ปัญหาทีเ่ ลือก คือ................................................................................................................................................................................................................................................................................................................ เหตผุ ลในการเลอื กปัญหานี้ คือ..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................2.สมมติฐาน หมายถึง คาตอบท่ีคิดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นข้อความท่ีบอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้น ตัวแปรตาม สมมติฐานที่ต้ังข้ึนอาจถูกหรือผิดก็ได้ ต้องมีการทดลองทดสอบซึ่งผลท่ีได้จะนามาสนับสนุน หรือคัดค้านสมมติฐานที่ตั้งไว้ ตัวแปรต้น คือ สิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทาให้ผลต่าง ๆ ตามมา ตัวแปรตาม คือ สิ่งที่เป็นผลมาจากตัวแปรต้น เมื่อสาเหตุเปล่ยี นไป สิ่งที่เป็นผล จะเปลีย่ นไปด้วยนกั เรียนรว่ มกนั อภิปราย เพ่อื เลอื กสมมติฐานท่ีเปน็ ไปไดม้ ากที่สุด และสามารถทดสอบได้1.2 สมมตฐิ านท่เี ลือก................................................................................................................ตัวแปรต้น คือ................................................................................................................................................ตวั แปรตาม คอื...............................................................................................................................................

163. ขั้นทดลอง การออกแบบการทดลอง หมายถงึ การวางแผนกอ่ นการทดลองกอ่ นลงมือปฏบิ ตั ิจรงิ โดยระบุวิธที ดลองให้สอดคล้องกบั ปญั หาและสมมตฐิ านทต่ี ้งั ไว้1.3 อุปกรณใ์ นการทดลอง (กจิ กรรมการทดลอง) ไดแ้ ก่.......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................... ...................................................................1.4 นกั เรยี นปฏบิ ตั ิการทดลองตามข้นั ตอนการทดลองท่ีกาหนดไวใ้ ห้ครบขน้ั ตอน แล้วนาเสนอ ข้อมลู ทีไ่ ดใ้ หเ้ ขา้ ใจง่ายทสี่ ดุ เชน่ ตาราง กราฟ การบรรยาย บันทกึ การทดลอง..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................1.5 ขั้นสรปุ ผลการทดลอง การสรปุ ผลการทดลอง หมายถึง การสามารถแปลความ อธบิ ายแปลความ อธิบายความหมายของขอ้ มูลเพื่อ สรุปความสมั พนั ธ์ของข้อมูลใหเ้ ป็นไปตามสมมตฐิ านทีก่ าหนด นักเรียนร่วมกันอภปิ รายสรุปผลการทดลองวา่ สอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ านทต่ี ง้ั ไวห้ รอื ไม่ สรุปผลการทดลองไดด้ งั นี้.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

17 แบบฝกึ ท่ี 3 ทบทวนชวนคดิ เรอ่ื ง ไฟฟา้ สถติคาชแ้ี จง เม่อื นักเรียนศกึ ษาเรอ่ื งไฟฟ้าสถิตจบแล้วใหต้ อบคาถามต่อไปนี้1. การเกดิ ไฟฟา้ สถติ เกิดขึน้ ได้อย่างไร.......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................2. ระบุแนวทางในการจาแนกความแตกตา่ งระหวา่ งไฟฟา้ สถติ และไฟฟา้ กระแส.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................3. บอกข้อดหี รือประโยชน์ของการเกิดไฟฟา้ สถิตในชีวิตประจาวนั.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................4. ประจบุ วกและประจุลบแตกต่างกนั อยา่ งไร.......................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................5. การปอ้ งกนั ตนเองเพื่อความปลอดภัยจากการเกดิ ฟา้ ผา่ ต้องคานงึ ถึงสง่ิ ใดบา้ ง....................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

18แบบฝกึ ท่ี 4 รคู้ ดิ พชิ ติ การเรยี นรู้1.______การเกดิ ไฟฟา้ สถิต 2. _____แรงดดู3. _____ฟ้าแลบ ฟ้าผา่ ฟา้ ร้อง 4. _____ทาลีส5. _____ประจุไฟฟา้ เปน็ กลาง 6. _____วัตถทุ ี่เป็นฉนวนไฟฟา้7. _____ประจุบวก 8. _____ประจลุ บ9. _____แรงผลกั 10. ____เบนจามนิ แฟรงคลนิก. ปรากฏการณท์ ่แี สดงวา่ มไี ฟฟา้ สถิตในบรรยากาศข. การเสยี ดสีของวัตถุ 2 ชนิดเกิดในช่ัวขณะที่เกดิ การเสยี ดสเี ท่านนั้ค. ยาง พลาสติก แกว้ ขนสตั ว์ง. อานาจไฟฟ้าหรอื ประจไุ ฟฟ้าทตี่ ่างกันจ. นักวิทยาศาสตรท์ ่คี ้นพบไฟฟ้าสถิตในบรรยากาศฉ. วตั ถทุ ไี่ ม่แสดงอานาจไฟฟ้า หรอื วตั ถทุ ่ีประจลุ บเทา่ กับประจบุ วกช. อานาจไฟฟา้ หรอื ประจุไฟฟ้าทเี่ หมือนกนัซ. วตั ถุที่เสียอเิ ล็กตรอนฌ. นักวิทยาศาสตร์ทค่ี น้ พบไฟฟา้ สถิตเปน็ คนแรกญ. วัตถุทีไ่ ดร้ ับอเิ ล็กตรอน

19 แบบฝกึ ท่ี 5 สนกุ คดิ กบั วทิ ยาศาสตร์สถานการณ์ วธิ ีทดสอบ สาหรับคนชอ๊ ตกบั รถ หรอื นัง่ เกา้ อีห้ นังเทียม หรอื เดนิ หา้ งที่ปพู ื้นกระเบ้ืองยาง เมื่ออากาศแห้ง ลองนารองเทา้ ท่ใี ช้อยู่แล้วมักช๊อต มาสเปรย์ พรมน้าให้ชนื้ ท่วั ๆสกั เล็กน้อย อาการที่ว่าจะลดลงได้มาก เพราะ นอกจากเส้ือผ้าท่สี วมร่างกายสามารถระบายประจลุ งดนิ ได้ แลว้ พนื้ รองชืน้ กไ็ มส่ ามารถสร้างประจเุ มอื่ เสียดสกี บั พน้ื ไดส้ ่วนการแนะนาวา่ ใช้รองเทา้ ปอ้ งกนั ท่ีใช้ในโรงงานนน้ั ถา้ เป็นรองเทา้ ปอ้ งกันกระแทก กนั ไฟดดู ทใี่ ชใ้ นอุตสาหกรรมน้นั ตอ้ งใช้คู่กบั สายรดั ข้อมือเพือ่ ระบายประจุ ไมง่ ั้นประจตุ วั เราย่งิ สงู กวา่ เดินตีนเปล่า (ยกเวน้ รองเท้าท่ีออกแบบมาเพอื่ ป้องกนั ประจุไฟฟา้ โดยตรง)การแก้ไข เช่น- ใช้วสั ดุที่สร้างประจไุ ฟฟ้าสถติ ตา่ คุมเบาะรถ หรอื เพ่มิ ความช้นื ในอากาศ หรอื พ้ืนผิวชดุท่ีสวมใส่และเบาะเก้าอี้ พกฟ๊อกจ้ีไวพ้ น่ หรอื ออกกาลงั ใหร้ า่ งกายมีเหงอ่ื เข้าไว้ (ถ้าสะดวกจะทาได้)- หาทางลดประจุจากตวั รถ ตัวเราลงดิน จะห้อยโซท่ อ้ งรถ,พก(พวงกุญแจ)ตัวตา้ นทาน(R)ไวจ้ ้ีคลายประจุ ,หา-ใช้ หรอื ดดั แปลงรองเทา้ ใหค้ วามตา้ นทานไฟฟ้าตา่ ลง หรืออนื่ ๆแล้วแต่สะดวก (ส่วนยางรถเสรมิ ใยเหลก็ คงช่วยไมไ่ ด้มากเพราะลวดเหลก็ ถูกฝังอยู่ภายในยางท่เี ปน็ ฉนวนเพ่ือเสริมโครงสรา้ งระบายประจุไม่ถึงอยแู่ ล้ว)1.ปัญหาจากสถานการณน์ ค้ี อื………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………2.นกั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายปัญหาจากสถานการณ์ทศ่ี กึ ษา แล้วเลอื กเพียง 1 ปัญหาให้ครอบคลมุ สถานการณ์ท่กี าหนดให้ ปัญหาที่เลือก คอื………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

203.นักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายปญั หาสาเหตุท่กี อ่ ใหเ้ กิดปญั หาจากสถานการณ์ดงั กลา่ ว.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................4.จากสถานการณ์ทกี่ าหนดให้นักเรยี นสามารถหาวิธกี ารแกไ้ ขปญั หาดังกลา่ วไดอ้ ยา่ งไร.................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................5.จากสถานการณท์ ี่เหงอ่ื ในรา่ งกายมผี ลตอ่ การเกิดไฟฟา้ สถิตหรือไมอ่ ย่างไร................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. เพม่ิ พนู ความคดิ กบั QR-CODE

21 แบบทดสอบทา้ ยเลม่ให้นกั เรียนศึกษาขอ้ มลู ที่กาหนดให้แล้วตอบคาถามขอ้ ท่ี 1-2 จากการทดสอบ นาวัตถุต่างชนิดกันมาถกู นั พบวา่ ไดข้ อ้ มลู ดงั ภาพท่ี 1ข้วั เหมอื นกนั ผลกั กัน ขว้ั เหมือนกนั ผลกั กัน ขั้วตา่ งกันดดู กนั 1. ปัญหาเกย่ี วกบั การทดสอบสถานการณ์น้คี ือขอ้ ใดก. การเสยี ดสกี ันของวัตถทุ าให้เกิดไฟฟา้ สถิตใชห่ รอื ไม่ข. วัตถแุ ตล่ ะชนิดมผี ลตอ่ การแลกเปล่ยี นประจไุ ฟฟา้ หรือไม่ค. การเสียดสีของวตั ถุแตล่ ะชนดิ จะมีผลตอ่ การแลกเปลีย่ นประจุหรอื ไม่ง. การเสยี ดสขี องวัตถุตา่ งชนิดกนั จะมีการแลกเปลีย่ นประจุ 2.จากข้อมูลการทดลองดงั กล่าวสามารถสรปุ ผลการทดลองไดว้ ่าก. ประจไุ ฟฟา้ มีสองชนิดไดแ้ ก่ประจุบวกและประจุลบข. ประจุไฟฟา้ ชนิดเดียวกนั จะผลกั กนั ประจไุ ฟฟ้าต่างชนิดกันจะดดู กันค. ไฟฟ้าสถิตเกดิ จากการเสยี ดสีของวตั ถุง. ไฟฟ้าสถิตเกดิ จากการขดั สีของวัตถุต่างชนดิ กันต้งั แต่2 ชนดิ ขึ้นไป จากข้อความต่อไปน้ี ตอบข้อ 3(1) ประจไุ ฟฟ้าต่างชนดิ กนั จะดูดกนั(2) ประจุไฟฟา้ ชนิดเดียวกนั จะดูดกนั(3)ประจุไฟฟา้ ชนิดเดยี วกันจะผลกั กัน(4) อนุภาคที่มีประจไุ ฟฟ้าจะดูดอนภุ าคที่ไม่มปี ระจุไฟฟ้า 3. ข้อใดกล่าวถกู ตอ้ งเกี่ยวกับสมบตั ิของประจไุ ฟฟา้ก. ข้อ 1, 2 และ 3 ข. ข้อ 2, 3 และ 4 ค. ขอ้ 1, 3 และ 4 ง. ข้อ 1, 2, 3 และ 4

22เบนจามนิ แฟรงคลนิ นกั วทิ ยาศาสตร์ชาวอเมรกิ นั ไดค้ น้ พบไฟฟา้ สถิตในบรรยากาศที่เกิดจากฟา้ แลบฟ้ารอ้ ง และฟ้าผา่ ไฟฟา้ สถติ ท่ีเกิดจากปรากฏการณ์จากธรรมชาติ ลักษณะนจ้ี ะพบไดบ้ อ่ ยในฤดูฝน คือฟ้าแลบ ฟ้ารอ้ ง ฟ้าผ่า ฯลฯ ฟ้าแลบ เกิดก่อนฝนตก หรือขณะฝนตกหนัก เนื่องจากอากาศชื้นเป็นตัวนาไฟฟ้า เม่ือละอองไอน้าในก้อนเมฆเสียดสีกับอากาศจะมีการสะสมประจุไฟฟ้าในที่สุด เม่ือมีประจุ ต่างกันมากพอก็จะมีการถ่ายเทประจุไฟฟ้า จากก้อนเมฆก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหน่ึง จะมี ประกายไฟฟ้าวิ่งเป็นเส้นคล้ายก่ิงไม้เรียกว่า ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง – ฟ้าผ่า เมื่อประจุไฟฟ้าว่ิงไปหากัน ทาให้อากาศท่ีไฟฟ้าผ่านไปกระทบ กันเกดิ เสยี ง มกั เป็นปรากฏการณ์ถา่ ยเทประจไุ ฟฟ้าระหว่างก้อนเมฆกับพนื้ ดิน4. จากขอ้ มลู ที่กาหนดให้ ฟา้ ผ่า ฟ้าแลบและฟา้ ร้อง ต่างกนั อยา่ งไรก. ฟ้าผา่ เกิดจากการถา่ ยเทประจุไฟฟา้ ระหวา่ งกอ้ นเมฆกบั พนื้ ดินข. ฟา้ ร้องเกดิ จากการถา่ ยเทประจุไฟฟ้าระหวา่ งกอ้ นเมฆกับพืน้ ดนิค. ฟา้ ร้องเกดิ จากการถ่ายเทประจุไฟฟ้าจากก้อนเมฆก้อนหนึง่ ไปยังอกี ก้อนหนึ่งง. ฟ้าแลบเกดิ จากการถ่ายเทประจุไฟฟา้ ระหวา่ งก้อนเมฆกับพืน้ ดนิ5. ไฟฟา้ สถติ เกิดจากอะไรก. แสงสวา่ ง ข. ความรอ้ น ค. การเสยี ดสี ง. แรงแม่เหลก็6.เม่ือเราใส่รองเทา้ หนงั แลว้ เดินไปบนพ้นื ทป่ี ูด้วยขนสตั วห์ รือพรม เมือ่ เดนิ ไปจบั ลูกบิดประตจู ะมีความรูส้ ึกวา่ ถกู ไฟช๊อต ทีเ่ ปน็ เชน่ น้ีสามารถอธบิ ายได้วา่ก. อเิ ล็คตรอนจะถา่ ยเทจากรองเท้าไปยังลกู บดิข. การถา่ ยเทประจุไฟฟ้าทเี่ กดิ ขนึ้ อยา่ งรวดเร็วเม่ือประจุไฟฟา้ บนผิววสั ดุ 2 ชนดิ มีค่าเท่ากนัค. วัตถุใดสญู เสียอิเลค็ ตรอนไปจะมีประจไุ ฟฟา้ เป็นลบง. ประจุไฟฟา้ ขนึ้ จากการขดั สีของวตั ถุ 2 ชนดิในสภาพแวดล้อมในการทางานของเราไฟฟา้ สถติ เป็นส่ิงท่เี ราต้องใหค้ วามสนใจ นอกจากไฟฟ้าสถิตจะมีผลตอ่ คนเม่ือไปสัมผัสกับวสั ดุประเภทตัวนาแลว้ ทาใหร้ ู้สกึ สะดงุ้ เหมือนถูกไฟชอ็ ต แล้วไฟฟ้าสถิตยังสง่ ผลต่อกระบวนการในการผลติ ดว้ ยปัจจบุ นั ช้ินงานอิเลคทรอนิคส์นบั วนั จะมีขนาดเลก็ ลงและประสิทธภิ าพทสี่ งู ขนึ้ การมวี งจรไฟฟ้ามากมายในขนาดของชนิ้ งานท่ีเล็กลง จะสง่ ผลใหช้ ิน้ งานยงิ่ ไวตอ่ ไฟฟ้าสถติ ไฟฟา้ สถิตจะถูกสง่ จากคนงานในสายการผลติ เครือ่ งมอื และอุปกรณอ์ น่ื ๆ ไปยงั ชนิ้ งานอเิ ล็คทรอนิคส์ ซึ่งมีผลทาให้

23คุณสมบัติทางไฟฟ้าของชิ้นงานเหลา่ นั้นเปลี่ยนไป อาจจะเป็นการลดคุณภาพลงหรอื ทาลายช้นิ งาน มีการศกึ ษาและพบว่ามากกวา่ 50% ของช้นิ งานที่เสียหายลว้ นมีผลมาจากไฟฟ้าสถิต7.คณุ สมบัติทางไฟฟ้าของช้นิ งานมีประสทิ ธิภาพลดลงเนอื่ งจากก. ไฟฟา้ กระแสข. ไฟฟา้ สถติค. ไฟฟ้าซ็อตง. ถกู ทกุ ข้อ8.ปัญหาจากสถานการณน์ ้คี ือก. เพราะเหตใุ ดช้ินงานอเิ ลคทรอนคิ ส์มขี นาดเลก็ ลงจึงประสทิ ธิภาพท่สี งู ขึ้นข. ไฟฟ้าสถติ ยังส่งผลตอ่ กระบวนการในการผลิตอยา่ งไรค. ไฟซอ็ ตเกิดจากสาเหตใุ ดง. ไฟฟา้ สถติ ต่างจากไฟฟ้ากระแสอยา่ งไร9. ไฟฟ้ากระแสตรงต่างจากไฟฟา้ กระแสสลับอย่างไรก. ไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟา้ ทม่ี ีทิศทางการไหลไปทางเดียวตลอดข. ไฟฟา้ กระแสสลับเป็นไฟฟ้าทมี่ ีทิศทางการไหลไปทางเดียวตลอดค. ไฟฟ้ากระแสตรงเปน็ ไฟฟา้ ทีม่ ที ิศทางการไหลไปกลบั ไปมาง. ไฟฟา้ กระแสตรงและกระแสสลบั เปน็ ไฟฟ้าที่มที ิศทางการไหลไปกลบั ไปมาตารางแสดงอปุ กรณไ์ ฟฟ้าจากไฟฟ้ากระแสข้อท่ี กระแสไฟฟ้า อปุ กรณ์ไฟฟา้1 ไฟฟ้ากระแสตรง ไดนาโม เตาหุงต้ม ดซี เี ยนเนอเรเตอร์2 ไฟฟ้ากระแสสลับ แบตเตอรี่ เตาหงุ ตม้ ไดนาโม3 ไฟฟ้ากระแสตรง แบตเตอร่ี ไดนาโม ดซี เี ยนเนอเรเตอร์4 ไฟฟา้ กระแสสลับ เตาหุงตม้ เตารดี ไฟฟา้10. จากข้อมูลท่ีกาหนดใหข้ อ้ ใดถูกตอ้ งทสี่ ุดก. ขอ้ 1 , 2ข. ข้อ 3 , 4ค. ข้อ 1 , 2, 3ง. ข้อ 1 , 2, 3 , 4

24 บรรณานุกรมภาษาไทยการศึกษาสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ.(2551). ตัวชี้วดั และ สาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ตามหลกั สูตร แกนกลาง การศึกษาข้ันพืน้ ฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพช์ ุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย.ก่องแกว้ พนั ธกานต.์ (2551). สรุปหลกั วทิ ยาศาสตร์ ม.1-2-3 ช่วง ช้ันที่ 3 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพเ์ จริญรัตนก์ ารพิมพ.์บูรชยั ศิริมหาสาคร , พดั ชากวางทอง. (2544) .คู่มือครู แผนการจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้ พืน้ ฐาน กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ป.6 . กรุงเทพมหานคร : อกั ษรเจริญทศั น(์ อจท.) จากดั .ศิริรัตน์ วงศศ์ ิริ และรักซอ้ น รัตน์วจิ ิตรเวช. (2551).คู่มือครูหนังสือเรียนรายวชิ าข้ันพืน้ ฐานกลุ่ม สาระวทิ ยาศาสตร์ป.6 .กรุงเทพมหานคร : อกั ษรเจริญทศั น์(อจท.) จากดั .สารวย สังขส์ ะอาด.(2553) .ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าและมาตรการความปลอดภยั , เอกสารประกอบการ บรรยายในงานวศิ วกรรมแห่งชาติ.กรุงเทพมหานครสุสรดิษฐ์ ทองเปรม และ เอกรินทร์ ส่ีมหาศาล.(2551). ชุด แม่บทมาตรฐานหลกั สูตรแกนกลาง . วทิ ยาศาสตร์ ป.6. กรุงเทพมหานคร : อกั ษรเจริญทศั น์(อจท.)จากดั .สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย,ี กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). การจัดการเรียนรู้กลุ่มวทิ ยาศาสตร์กลกั สูตรการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พค์ ุครุสภาลาดพร้าว.ส่ืออเิ ลคทรอนิกส์กองวชิ าวศิ วกรรมเคร่ืองกล โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกลา้ .(ออนไลน์) แหล่งท่ีมา : http://www.crma.ac.th/medept/komi/komibun.htm วนั ท่ีสืบคน้ 25 พฤษภาคม 2558ขอ้ มูลออนไลน์ http://office.microsoft.com/th

25http://www.thaboschool.ac.th/kruyatista/unit01.pdfhttps://www.youtube.com/watch?v=uw7M1_LQaNIhttps://www.youtube.com/watch?v=EsZQS2GOMQEhttp://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/thunderhttps://www.kroobannok.com/news_file/p58853621251.pdfhttps://sites.google.com/site/sakolovely7565/pracufifahttps://sites.google.com/site/mechatronicett09/project-definition/3http://webhtml.horhook.com/wbi/ec/1circuit-01.htmhttp://webhtml.horhook.com/wbi/ec/1circuit-02.htmhttp://webhtml.horhook.com/wbi/ec/1circuit-03.htmhttp://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/thunderhttp://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/thunderhttp://eitprblog.blogspot.com/2014/06/blog-post_25.htmlhttp://eitprblog.blogspot.com/2014/06/blog-post_25.htmlhttp://eitprblog.blogspot.com/2014/06/blog-post_25.htmlhttps://sites.google.com/site/swnwithyasastr/home/the-lishttp://www.utdid.com/history/html/0000246.htmlhttp://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/thunder

26 เฉลยแบบฝกึ ทกั ษะเฉลยแบบฝกึ ที่ 11.การนยิ ามปญั หา : ไฟฟา้ มาจากไหน2. การรวบรวมขอ้ มลู : ไฟฟา้ จากการเสยี ดสี ไฟฟ้าการการทดลองลองของนกั วทิ ยาศาสตร์ในอดีต จนถงึ วิวัฒนาการในปัจจบุ นั3. การจัดระบบขอ้ มูล : การจาแนกประเภทการเกดิ ไฟฟ้าแบบตา่ ง ๆ สรุปในรปู แบบตารางโดยใช้เกณฑ์การเกดิ4. การเลอื กสมมตฐิ าน : เลอื กมาตัง้ แต่ 2 ประเด็นขน้ึ ไป5. การสรปุ นาข้อมลู ทไ่ี ดม้ าสรุปดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ีไฟฟา้ สถติ ไฟฟ้ากระแสการเสยี ดสี ไหลในวงจรเกิดขนึ้ ช่ัวขณะ ไหลครบวงจรใชง้ านได้เฉลยแบบฝกึ ที่ 2 1. ข 2. ง 3. ก 4. ฌ 5. ฉ 6. ค 7. ซ 8. ญ 9. ช 10. จ

27เฉลยแบบฝกึ ท่ี 2 คาถามชวนคดิ เรือ่ ง ไฟฟา้ สถติแนวคาตอบ 1. ไฟฟา้ สถติ หมายถึงแนวคาตอบ= ไฟฟา้ สถติ หมายถงึ ไฟฟา้ ที่เกดิ จากการเสยี ดสีเมอ่ื เอาวัตถบุ างอยา่ งมาถูกนั จะทาให้เกดิ พลงั งานขนึ้ ซึง่ พลังงานน้ีสามารถดูดเศษกระดาษหรอื ฟางขา้ วเบา ๆ ได้ เช่น เอาแทง่ ยางแขง็ ถกู ับผา้ สกั หลาด หรือคร่งั ถกู บั ผา้ ขนสัตว์ 2. ระบุแนวทางในการจาแนกความแตกตา่ งระหวา่ งไฟฟ้าสถติ และไฟฟ้ากระแส3. บอกข้อดหี รอื ประโยชน์ของการเกิดไฟฟ้าสถิตในชวี ติ ประจาวนัแนวคาตอบ= เคร่อื งพ่นสี เครอ่ื งถา่ ยเอกสาร ไมโครโฟนแบบตวั เกบ็ ประจุ4. ประจบุ วกและประจุลบแตกต่างกันอย่างไรแนวคาตอบ= ประจไุ ฟฟ้าบวก ( Positive c25harge ) คือ วัตถุทีไ่ ด้สูญเสียอเิ ล็กตรอนไปสว่ นประจุไฟฟา้ ลบ ( Negative charge ) คอื วัตถทุ ่ไี ดร้ ับอเิ ล็กตรอนเพมิ่5. การปอ้ งกันตนเองเพื่อความปลอดภัยจากการเกดิ ฟา้ ผา่ ต้องคานงึ ถงึ สง่ิ ใดบ้างแนวคาตอบ=ต้องคานงึ วา่ บริเวณทอ่ี ยูเ่ ป็นจดุ ล่อให้ฟ้าผ่าได้ง่ายกวา่ ส่ิงทอี่ ยโู่ ดยรอบ เช่นกระท่อมในทอ้ งทุ่งนา แม้ไม่สงู แตก่ เ็ ป็นจดุ เดน่ สงู กวา่ พืน้ ดินโดยรอบเฉลยแบบฝกึ ท่ี 3 Amazing wowขนั้ ระบปุ ญั หาแนวคาตอบ= ไฟฟ้าสถติ เกดิ จากการเสียดสีใชห่ รือไม่1.นักเรียนร่วมกนั อภิปรายปญั หาจากสถานการณท์ ศ่ี ึกษา แลว้ เลอื กเพียง 1 ปัญหาให้ครอบคลุม สถานการณ์ที่กาหนดให้ ปญั หาท่เี ลอื ก คอื (ตามแนวความคิดของนักเรยี น)เชน่แนวคาตอบ= การถูลกู โป่งสามารถทาให้กงั หนั หมุนไดห้ รือไม่ เหตผุ ลในการเลอื กปัญหานี้ คอื ...............................................................................................................................................................2.นักเรยี นร่วมกนั อภิปราย เพื่อเลอื กสมมติฐานทเ่ี ป็นไปไดม้ ากทส่ี ุด และสามารถทดสอบได้แนวคาตอบ= สมมติฐานที่เลือก จานวนครั้งการถูลูกโป่งสามารถทาให้กังหันหมุนได้แตกต่างกัน ตัวแปรต้น คือ จานวนครั้งการถูลูกโป่ง ตัวแปรตาม คือ การหมุนของกังหันกระดาษ3. อปุ กรณ์ในการทดลอง (กิจกรรมการทดลอง) ได้แก่

28แนวคาตอบ= 1.กระดาษขนาด A4 - 1 แผน่ 2.กรรไกร : เอาไวต้ ดั กระดาษ 3.ลกู โป่ง : สอี ะไรก็ได้ 4.ดินสอ : เหลาให้ปลายแหลมๆ 5.ดนิ นา้ มนั : ใช้กอ้ นเล็กๆนกั เรียนปฏบิ ตั กิ ารทดลองตามขน้ั ตอนการทดลองที่กาหนดไวใ้ หค้ รบข้นั ตอน แลว้ นาเสนอข้อมูลท่ไี ด้ให้เข้าใจงา่ ยท่ีสุด เชน่ ตาราง กราฟ การบรรยาย บนั ทกึ การทดลองแนวคาตอบ=(นกั เรยี นนาเสนอขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ งอสิ ระ)4. นกั เรียนรว่ มกนั อภปิ รายสรุปผลการทดลองว่าสอดคล้องกบั สมมติฐานท่ตี ั้งไวห้ รือไม่สรปุ ผลการทดลองไดด้ งั นี้แนวคาตอบ=จานวนรอบการถลู ูกโป่งมีผลต่อการเคล่ือนท่ขี องกงั หัน ลูกโปง่ มีจานวนรอบการถมู ากจะทาใหก้ งั หนั เคลอ่ื นท่ไี ด้มากกว่าแสดงวา่ การเสยี ดสรี ะหวา่ งลกู โปง่ กับผมทาใหเ้ กดิอานาจในการดดู วตั ถุที่มคี วามเบา(กังหัน)ได้เฉลยแบบฝกึ ที่ 4 สรา้ งสถานการณส์ นกุ คดิ กบั วทิ ยาศาสตร์1.ปัญหาจากสถานการณน์ ้คี อืแนวคาตอบ=การทเ่ี กดิ ไฟฟา้ สถติ ซอตระหวา่ งคนชอ๊ ตกับรถเกดิ จากสาเหตใุ ด2.นกั เรียนรว่ มกนั อภปิ รายปญั หาจากสถานการณ์ทศี่ ึกษา แล้วเลือกเพียง 1 ปญั หาให้ครอบคลมุ สถานการณท์ ีก่ าหนดให้ ปญั หาทเี่ ลอื ก คือแนวคาตอบ=การปอ้ งกันตนเองจากการเกดิ ไฟฟา้ สถิตระหว่างคนกับรถมีวิธีการอยา่ งไร3.นักเรียนร่วมกันอภิปรายปญั หาสาเหตทุ กี่ ่อใหเ้ กดิ ปญั หาจากสถานการณ์ดงั กลา่ วแนวคาตอบ= การเสียดสี , อากาศ ทาให้ผิวหนังแหง้4.จากสถานการณท์ ่กี าหนดใหน้ กั เรียนสามารถหาวธิ ีการแก้ไขปญั หาดงั กล่าวได้อย่างไรแนวคาตอบ=- ใชว้ สั ดทุ ่ีสรา้ งประจไุ ฟฟ้าสถิตตา่ คุมเบาะรถ หรือ เพิ่มความช้ืนในอากาศหรือ พ้นื ผิวชดุ ท่ีสวมใส่และเบาะเกา้ อี้ พกฟ๊อกจ้ีไวพ้ น่ หรือออกกาลังใหร้ า่ งกายมีเหงอื่ เข้าไว้ (ถ้าสะดวกจะทาได้)- หาทางลดประจุ จากตวั รถ ตัวเราลงดิน จะหอ้ ยโซท่ ้องรถ,พก(พวงกญุ แจ)ตัวต้านทาน(R)ไว้จ้ีคลายประจุ ,หา-ใช้ หรือ ดดั แปลงรองเท้าให้ความตา้ นทานไฟฟ้าต่าลง หรืออ่นื ๆแลว้ แต่สะดวก5.จากสถานการณท์ เ่ี หงื่อในรา่ งกายมีผลต่อการเกดิ ไฟฟา้ สถิตหรอื ไมอ่ ยา่ งไรแนวคาตอบ=มีผลเพราะร่างกายมีความช้ืนมากขน้ึ กไ็ มส่ ามารถสร้างประจุเมื่อเสยี ดสกี ับพื้นได้

29เฉลยแบบทดสอบ 1. ก 2. ข 3. ค 4. ก 5. ค 6. ง 7. ข 8. ข 9. ก 10. ข

30แบบประเมนิ ความสามารถทกั ษะการคดิ แกป้ ัญหาอยา่ งมวี จิ ารณญาณ เรอ่ื ง ไฟฟา้ มาจากไหน กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6ท่ี ชือ่ -นามสกลุ การประเมิน สรุป การนิยามปัญหา รวม การรวบรวมข้อมูลสาห ัรบแก้ปัญหา จานวน การ ัจดระบบข้อมูล รายการ การเ ืลอดสมม ิตฐาน ท่ผี า่ น การส ุรป เกณฑ์ ไม่- ขนั้ ต่า ผ่าน ผา่ น X

28เกณฑก์ ารประเมนิ ความสามารถทกั ษะการคดิ แกป้ ญั หาอยา่ งมวี จิ ารณญาณกลมุ่ สาระวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6ประเด็น เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนการประเมนิ 4 3 21การนยิ าม การกาหนดปญั หาข้อโตแ้ ยง้ กาหนดปัญหาและ กาหนดปัญหาและ กาหนดปัญหาผิดปญั หา วิเคราะห์ข้อความหรอื ขอ้ มลู องค์ประกอบทีส่ าคัญ องค์ประกอบทส่ี าคัญ ไมถ่ กู ตอ้ งท่คี ลุมเครือให้ชัดเจนระบุ ของปัญหาไดค้ อ่ นข้าง ของปัญหาไดไ้ ม่องค์ประกอบทสี่ าคญั ของ ชัดเจน ชดั เจนปญั หาจัดองค์ประกอบของปญั หาให้เป็นลาดบั ขั้นตอนได้ถูกต้องชดั เจนการรวบรวม การพิจารณาปรากฏการณ์ เลอื กขอ้ มลู ทเ่ี กี่ยวข้อง เลือกข้อมลู ที่ ไมส่ ามารถการข้อมลู สาหรับ ตา่ งๆ ดว้ ยความเป็นปรนัย กับปญั หาขอ้ โต้แย้ง เกย่ี วข้องกบั ปญั หา รวบรวมข้อมลูการแก้ปญั หา เลอื กขอ้ มลู ท่เี ก่ยี วข้องกับ หรือข้อมลู ท่คี ลมุ เครือ ข้อโตแ้ ย้งหรือข้อมลู สาหรับการปัญหาข้อโตแ้ ยง้ หรือข้อมลู ที่ แสวงหาข้อมลู ได้ ทค่ี ลุมเครอื แสวงหา แกป้ ญั หาได้คลุมเครือแสวงหาขอ้ มูลท่ี ค่อนขา้ งชัดเจน ข้อมลู ไดเ้ ลก็ น้อยถกู ต้องและชัดเจนการจดั ระบบ แสวงหาแหลง่ ท่ีมาของขอ้ มลู แสวงหาแหลง่ ทมี่ าของ แสวงหาแหล่งทม่ี า ไม่สามารถขอ้ มลู ระบขุ ้อตกลงเบือ้ งต้นจาแนก ข้อมูล ระบุขอ้ ตกลง ของขอ้ มลู ระบุ จัดระบบขอ้ มูลได้ความแตกต่างขอ้ งมลู ได้และ เบ้ืองตน้ จาแนกความ ขอ้ ตกลงเบ้อื งตน้ตดั สินความขัดแยง้ ของ แตกตา่ งขอ้ งมูลได้และ จาแนกความแตกต่างขอ้ ความและเสนอขอ้ มูลได้ ตัดสนิ ความขดั แย้งของ ข้องมลู ได้และตดั สินอย่างถูกตอ้ งชดั เจน ขอ้ ความและเสนอข้อมลู ความขัดแย้งของ ได้ค่อนข้างชดั เจน ข้อความและเสนอ ข้อมลู ได้ได้เลก็ นอ้ ยการเลอื ก การเลอื กสมมติฐานท่ีสามารถ การเลือกสมมตฐิ าน การเลอื กสมมตฐิ าน ไมส่ ามารถเลือกสมมตฐิ าน เป็นไปได้มากทีส่ ุดมา ท่สี ามารถเปน็ ไปได้ ที่สามารถเปน็ ไปได้ สมมตฐิ านได้พจิ ารณาเป็นอนั ดบั แรกการ มาพิจารณาการกาหนด มาพจิ ารณาการในกาหนดสมมตฐิ านจาก สมมตฐิ านจาก การกาหนดความสัมพนั ธเ์ ชงิ เหตุผล ความสมั พันธ์เชิง สมมตฐิ านได้ตรวจสอบ ความสอดคลอ้ ง เหตผุ ลตรวจสอบ เล็กนอ้ ยระหว่างสมมติฐานกบั ขอ้ มูล ความสอดคล้องระหว่างพจิ ารณาทางเลอื กหลาย ๆ สมมตฐิ านกบั ข้อมลูทางในการแกป้ ญั หา พิจารณาทางเลอื ก ในการแกป้ ญั หาได้

29 เกณฑก์ ารประเมนิ ความสามารถทกั ษะการคดิ แกป้ ญั หาอยา่ งมวี จิ ารณญาณ กลุ่มสาระวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6ประเดน็ เกณฑ์การใหค้ ะแนนการประเมนิ 4 3 2 1การสรุป การจาแนกขอ้ มลู ท่ีมี จาแนกขอ้ มลู ท่ีเกี่ยวกับ จาแนกข้อมลู ท่ี ไมส่ ามารถสรุปผลจาก เหตุผลหนักแน่นและ ประเดน็ ปัญหาไดม้ ี เกยี่ วกับประเด็น กิจกรรมใดๆได้ น่าเช่ือถือว่ามคี วาม ความนา่ เช่อื ถือคอ่ นขา้ ง ปัญหาได้มีความ เกย่ี วขอ้ งกับประเดน็ ชดั เจน น่าเชื่อถอื บา้ ง ปัญหา เพอ่ื ไปสกู่ าร เล็กนอ้ ย ตดั สนิ ใจสรปุ ถา้ การ สรุปไมม่ เี หตผุ ล เพียงพอตอ้ งมกี ารหา เหตผุ ลเพิ่มเติมมา พจิ ารณาตดั สนิ การ สรปุ ใหม่ แลว้ จงึ นา ขอ้ มลู สรุปและ หลกั การไป ประยกุ ตใ์ ช้เกณฑก์ ารประเมนิ ของนกั เรยี นผู้เรียนต้องมพี ฤติกรรมในแตล่ ะองค์ประกอบอย่างนอ้ ยระดบั 2 ข้ึนไป จานวน 3ใน 5 รายการ

เอกสารอา้ งองิ สารวย สงั ขส์ ะอาด “ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าและมาตรการความปลอดภัย” เอกสารประกอบการบรรยายในงานวศิ วกรรมแห่งชาติ 2553 วนั ที่ 18กุมภาพันธ์ 2553 ณ ศนู ยก์ ารประชมุ แห่งชาติไบเทค บางนาhttp://www.lesa.biz/earth/atmosphere/phenomenon/thunderhttps://www.kroobannok.com/news_file/p58853621251.pdfhttps://sites.google.com/site/sakolovely7565/pracufifahttps://sites.google.com/site/mechatronicett09/project-definition/3http://webhtml.horhook.com/wbi/ec/1circuit-01.htmhttp://webhtml.horhook.com/wbi/ec/1circuit-02.htmhttp://webhtml.horhook.com/wbi/ec/1circuit-03.htm


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook