Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 23ผ้าไหมมัดหมี่ นางสวาท ปอทอง

23ผ้าไหมมัดหมี่ นางสวาท ปอทอง

Published by artaaa143, 2019-05-10 02:01:34

Description: 23ผ้าไหมมัดหมี่ นางสวาท ปอทอง

Search

Read the Text Version

ภมู ิปัญญาศึกษา เร่อื ง ผ้าไหมมดั หม่ี โดย 1. นางสวาท ปอทอง (ผูถ้ า่ ยทอดภมู ิปัญญา) 2. นางทิชากร โพธ์จิ ันทร์ (ผู้เรียบเรียงภมู ปิ ัญญาท้องถิน่ ) เอกสารภมู ิปญั ญาศึกษานเ้ี ปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลกั สตู รโรงเรียนผ้สู งู อายเุ ทศบาลเมืองวงั น้าเยน็ ประจา้ ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนผู้สงู อายเุ ทศบาลเมอื งวังนา้ เยน็ สังกัดเทศบาลเมอื งวงั น้าเย็น จงั หวดั สระแกว้

คา้ น้า ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น หรอื เรยี กช่อื อกี อย่างหนึ่งว่า ภมู ปิ ัญญาชาวบา้ น คอื องคค์ วามรูท้ ่ชี าวบา้ นได้ สั่งสมจากประสบการณ์จริงที่เกิดข้ึนหรือจากบรรพบุรุษที่ได้ถ่ายทอดสืบกันมาตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพือ่ นามาใช้แกป้ ญั หาในชีวติ ประจาวนั การทามาหากิน การประกอบการงานเล้ียงชีพ หรือกิจกรรมอน่ื ๆ เป็น การผ่อนคลายจากการทางาน หรือการยา้ ยถิ่นฐานเพอื่ มาตั้งถ่ินฐานใหม่แล้วคิดค้นหรือค้นหาวิธีการดังกล่าว เพ่ือการแก้ปัญหา โดยสภาพพน้ื ที่น้ัน ชุมชนวังน้าเย็นแห่งน้ี เกิดข้ึนเม่ือราว ๆ 50 ปีทีผ่ ่านมา จากการอพยพ ถิ่นฐานของผู้คนมาจากทุก ๆ ภาคของประเทศไทย แล้วมาก่อต้ังเป็นชุมชนวังน้าเย็น ซ่ึงบางคนได้นาองค์ ความรู้มาจากถนิ่ ฐานเดมิ แล้วมกี ารสบื ทอดสบื สานมาจนถึงปจั จบุ ัน เชน่ เดยี วกับ ผ้าไหมมัดหม่ี โดย นางสวาท ปอทอง ได้รวบรวม เรียบเรยี ง ถ่ายทอดประสบการณใ์ หค้ นรุ่นหลงั ไดส้ ืบค้น หรอื คน้ คว้าเป็นภูมปิ ัญญาศึกษา ของคนในชมุ ชนเทศบาลเมอื งเมืองวังน้าเยน็ จงั หวัดสระแกว้ ผู้ศึกษาขอขอบพระคุณ นายวันชัย นารีรักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองวังน้าเย็น นายวีระ นามวงศ์ ผู้อานวยการโรงเรียนผสู้ ูงอายุ นายคนองพล เพ็ชรรื่น ปลัดเทศบาลเมอื งวังน้าเยน็ คณะกรรมการโรงเรียน ผสู้ ูงอายุ กองสวสั ดิการสังคม กองสาธารณสุขและสงิ่ แวดล้อม เทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น โรงเรยี นเทศบาล มิตรสัมพันธว์ ทิ ยา โรงเรียนอนุบาลเทศบาลเมืองวงั นา้ เยน็ หนว่ ยงานอ่นื ๆ ท่เี ก่ียวข้อง และขอขอบพระคณุ นางทชิ ากร โพธ์จิ นั ทร์ ท่ีไดเ้ ปน็ ท่ปี รึกษา ดแู ลรบั ผิดชอบงานด้านธรุ การ บันทึกเร่อื งราวและจัดทาเป็นรปู เล่ม ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ความรู้อันใดหรือกศุ ลอนั ใดทีเ่ กิดจากการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจร่วมพลังจนเกดิ มีภูมิปญั ญา ศึกษาฉบบั น้ี ขอกุศลผลบญุ นนั้ จงเกดิ มีแกผ่ ูเ้ ก่ยี วข้องดังทก่ี ลา่ วมาทกุ ๆ ทา่ นเพอื่ สรา้ งสังคมแหง่ การเรยี นตอ่ ไป นางสวาท ปอทอง นางทิชากร โพธจิ์ นั ทร์ ผจู้ ดั ทา

ภูมิปญั ญาศกึ ษาเชือ่ มโยงสู่สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชนฯ 1. ลกั ษณะของภูมิปญั ญาไทย ลกั ษณะของภูมิปัญญาไทย มีดงั นี้ 1. ภูมิปญั ญาไทยมีลกั ษณะเปน็ ทั้งความรู้ ทักษะ ความเชอ่ื และพฤติกรรม 2. ภมู ปิ ญั ญาไทยแสดงถึงความสมั พันธร์ ะหว่างคนกับคน คนกบั ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และคนกบั ส่งิ เหนอื ธรรมชาติ 3. ภูมปิ ัญญาไทยเป็นองค์รวมหรือกจิ กรรมทุกอยา่ งในวิถีชวี ิตของคน 4. ภูมิปญั ญาไทยเปน็ เรอ่ื งของการแก้ปญั หา การจดั การ การปรบั ตวั และการเรยี นรู้ เพอ่ื ความอยรู่ อดของบคุ คล ชมุ ชน และสงั คม 5. ภูมิปัญญาไทยเป็นพ้นื ฐานสาคญั ในการมองชวี ติ เป็นพืน้ ฐานความรู้ในเรอ่ื งตา่ งๆ 6. ภูมิปญั ญาไทยมีลักษณะเฉพาะ หรอื มเี อกลักษณใ์ นตัวเอง 7. ภมู ปิ ญั ญาไทยมกี ารเปล่ียนแปลงเพ่อื การปรบั สมดุลในพฒั นาการทางสังคม 2. คณุ สมบัติของภมู ิปญั ญาไทย ผู้ทรงภูมปิ ญั ญาไทยเป็นผู้มีคณุ สมบตั ติ ามท่ีกาหนดไว้ อย่างน้อยดังตอ่ ไปนี้ 1. เปน็ คนดมี ีคณุ ธรรม มีความรู้ความสามารถในวชิ าชีพต่างๆ มผี ลงานดา้ นการพฒั นา ท้องถิน่ ของตน และได้รบั การยอมรบั จากบคุ คลทั่วไปอย่างกว้างขวาง ทง้ั ยงั เปน็ ผ้ทู ี่ใช้หลักธรรมคาสอนทาง ศาสนาของตนเป็นเครือ่ งยึดเหน่ยี วในการดารงวิถชี ีวิตโดยตลอด 2. เป็นผ้คู งแกเ่ รยี นและหมน่ั ศึกษาหาความรอู้ ยูเ่ สมอ ผูท้ รงภูมปิ ัญญาจะเปน็ ผูท้ หี่ มนั่ ศกึ ษาแสวงหาความรู้เพ่ิมเติมอยู่เสมอไม่หยุดน่งิ เรยี นรู้ทั้งในระบบและนอกระบบ เป็นผู้ลงมือทา โดยทดลอง ทาตามทีเ่ รียนมา อีกทัง้ ลองผดิ ลองถูก หรอื สอบถามจากผรู้ ู้อ่ืนๆ จนประสบความสาเร็จ เปน็ ผู้เช่ยี วชาญ ซึ่งโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละด้านอย่างชัดเจน เป็นที่ยอมรับการเปล่ียนแปลงความรู้ใหม่ๆ ที่เหมาะสม นามาปรับปรุงรบั ใชช้ ุมชน และสงั คมอยเู่ สมอ 3. เปน็ ผนู้ าของทอ้ งถิน่ ผู้ทรงภมู ปิ ญั ญาส่วนใหญจ่ ะเป็นผู้ที่สังคม ในแตล่ ะท้องถิ่นยอมรบั ใหเ้ ปน็ ผ้นู า ทงั้ ผ้นู าที่ได้รบั การแต่งตั้งจากทางราชการ และผ้นู าตามธรรมชาติ ซ่ึงสามารถเปน็ ผู้นาของท้องถนิ่ และช่วยเหลอื ผอู้ ่ืนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 4. เปน็ ผู้ท่ีสนใจปัญหาของทอ้ งถนิ่ ผู้ทรงภูมปิ ัญญาล้วนเปน็ ผู้ท่สี นใจปัญหาของทอ้ งถนิ่ เอา ใจใส่ ศึกษาปญั หา หาทางแก้ไข และช่วยเหลอื สมาชิกในชุมชนของตนและชุมชนใกล้เคียงอย่างไม่ยอ่ ทอ้ จนประสบความสาเร็จเป็นท่ียอมรับของสมาชกิ และบคุ คลทั่วไป 5. เป็นผู้ขยันหมนั่ เพยี ร ผู้ทรงภูมปิ ญั ญาเปน็ ผขู้ ยนั หม่นั เพียร ลงมอื ทางานและผลิตผลงาน อยเู่ สมอ ปรบั ปรุงและพฒั นาผลงานให้มีคุณภาพมากข้นึ อีกท้งั ม่งุ ทางานของตนอย่างต่อเนอ่ื ง 6. เป็นนักปกครองและประสานประโยชนข์ องท้องถน่ิ ผู้ทรงภมู ปิ ญั ญา นอกจากเปน็ ผ้ทู ี่ ประพฤตติ นเป็นคนดี จนเป็นท่ียอมรบั นับถอื จากบคุ คลทว่ั ไปแล้ว ผลงานทีท่ ่านทายังถอื วา่ มีคุณค่า จึงเปน็ ผูท้ ่ี มีทง้ั \"ครองตน ครองคน และครองงาน\" เป็นผู้ประสานประโยชน์ให้บุคคลเกดิ ความรัก ความเข้าใจ ความเห็นใจ และมคี วามสามัคคกี นั ซึ่งจะทาใหท้ ้องถิน่ หรอื สังคม มีความเจริญ มีคุณภาพชวี ิตสูงขน้ึ กว่าเดมิ

7. มีความสามารถในการถา่ ยทอดความรเู้ ป็นเลศิ เม่ือผูท้ รงภมู ปิ ญั ญามีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เปน็ เลิศ มีผลงานที่เป็นประโยชนต์ อ่ ผู้อนื่ และบคุ คลทว่ั ไป ทงั้ ชาวบ้าน นกั วิชาการ นกั เรยี น นสิ ติ /นกั ศึกษา โดยอาจเขา้ ไปศึกษาหาความรู้ หรอื เชญิ ท่านเหล่าน้นั ไป เป็นผู้ถา่ ยทอด ความรู้ได้ 8. เปน็ ผู้มคี ู่ครองหรอื บรวิ ารดี ผู้ทรงภมู ปิ ญั ญา ถา้ เป็นคฤหสั ถ์ จะพบว่า ลว้ นมคี คู่ รองที่ดี ท่คี อยสนับสนุน ช่วยเหลอื ให้กาลังใจ ใหค้ วามร่วมมือในงานทีท่ า่ นทา ช่วยใหผ้ ลิตผลงานทม่ี ีคุณค่า ถา้ เปน็ นกั บวช ไมว่ ่าจะเปน็ ศาสนาใด ต้องมีบริวารที่ดี จึงจะสามารถผลิตผลงานท่ีมคี ุณคา่ ทางศาสนาได้ 9. เปน็ ผมู้ ปี ญั ญารอบรู้และเชยี่ วชาญจนไดร้ บั การยกยอ่ งว่าเปน็ ปราชญ์ ผ้ทู รงภมู ปิ ญั ญา ต้องเป็นผู้มปี ัญญารอบรแู้ ละเช่ยี วชาญ รวมทงั้ สร้างสรรค์ผลงานพเิ ศษใหม่ๆ ทเี่ ป็นประโยชน์ตอ่ สังคมและ มนุษยชาติอย่างต่อเนื่องอยูเ่ สมอ 3. การจดั แบง่ สาขาภูมปิ ัญญาไทย จากการศึกษาพบวา่ มกี ารกาหนดสาขาภมู ิปัญญาไทยไวอ้ ย่างหลากหลาย ข้นึ อยู่กับวตั ถุประสงค์ และหลักเกณฑ์ต่างๆ ทห่ี นว่ ยงาน องคก์ ร และนักวิชาการแต่ละท่านนามากาหนด ในภาพรวมภมู ปิ ัญญาไทย สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 10 สาขา ดงั น้ี 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถงึ ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และเทคนคิ ด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพนื้ ฐานคุณคา่ ดงั้ เดิม ซึง่ คนสามารถพ่ึงพาตนเอง ในภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การทา การเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรน่ าสวนผสม และสวนผสมผสาน การแก้ปญั หาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิต การแกไ้ ขปัญหาโรค และแมลง และการรูจ้ ักปรับใชเ้ ทคโนโลยีท่เี หมาะสมกับการเกษตร เป็นต้น 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรจู้ กั ประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยสี มัยใหม่ ในการแปรรูปผลติ ผล เพื่อชะลอการนาเขา้ ตลาด เพื่อแก้ปัญหาด้านการบรโิ ภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อันเปน็ กระบวนการทที่ าใหช้ ุมชนท้องถนิ่ สามารถพ่ึงพาตนเองทางเศรษฐกจิ ได้ ตลอดทงั้ การ ผลิต และการจาหนา่ ย ผลิตผลทางหัตถกรรม เช่น การรวมกลมุ่ ของกลมุ่ โรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุ่ม หัตถกรรม เป็นตน้ 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจดั การป้องกนั และรักษา สขุ ภาพของคนในชมุ ชน โดยเน้นให้ชมุ ชนสามารถพง่ึ พาตนเอง ทางด้านสุขภาพ และอนามยั ได้ เช่น การนวด แผนโบราณ การดูแลและรักษาสขุ ภาพแบบพ้ืนบ้าน การดูแลและรกั ษาสุขภาพแผนโบราณไทย เป็นตน้ 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม หมายถงึ ความสามารถเก่ยี วกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม ทัง้ การอนุรกั ษ์ การพฒั นา และการใช้ประโยชนจ์ ากคุณค่าของทรพั ยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดลอ้ ม อย่างสมดลุ และยั่งยนื เช่น การทา แนวปะการงั เทยี ม การอนุรักษป์ า่ ชายเลน การจัดการป่าต้นน้า และป่าชมุ ชน เป็นต้น 5. สาขากองทุนและธุรกจิ ชมุ ชน หมายถงึ ความสามารถในการบริหารจัดการดา้ นการ สะสม และบริการกองทนุ และธรุ กิจในชมุ ชน ท้ังที่เปน็ เงนิ ตรา และโภคทรพั ย์ เพ่อื ส่งเสริมชวี ิตความเป็นอยู่ ของสมาชกิ ในชมุ ชน เชน่ การจดั การเรอื่ งกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณ์ออมทรัพย์ และธนาคารหมบู่ า้ น

6. สาขาสวัสดกิ าร หมายถึง ความสามารถในการจัดสวสั ดิการในการประกนั คุณภาพชวี ติ ของคน ให้เกดิ ความมน่ั คงทางเศรษฐกจิ สังคมและวัฒนธรรม เชน่ การจัดต้ังกองทนุ สวัสดิการรกั ษาพยาบาล ของชมุ ชน การจัดระบบสวัสดิการบรกิ ารในชุมชน การจัดระบบสง่ิ แวดลอ้ มในชมุ ชน เป็นต้น 7. สาขาศลิ ปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลติ ผลงานทางดา้ นศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ศลิ ปะมวยไทย เป็นต้น 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบรหิ ารจัดการดาเนินงานของ องค์กรชุมชนต่างๆ ใหส้ ามารถพฒั นา และบริหารองคก์ รของตนเองได้ ตามบทบาท และหน้าท่ขี ององคก์ าร เช่น การจดั การองค์กรของกลุ่มแมบ่ า้ น กลมุ่ ออมทรัพย์ กลุ่มประมงพ้ืนบา้ น เป็นตน้ 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถงึ ความสามารถผลิตผลงานเก่ียวกบั ด้านภาษา ทง้ั ภาษาถ่ิน ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใชภ้ าษา ตลอดท้งั ด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทา สารานกุ รมภาษาถนิ่ การปรวิ รรต หนังสอื โบราณ การฟ้ืนฟกู ารเรยี นการสอนภาษาถ่ินของทอ้ งถิน่ ตา่ ง ๆ เป็นตน้ 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์ และปรับใชห้ ลกั ธรรมคา สอนทางศาสนา ความเชือ่ และประเพณดี ั้งเดิมท่ีมีคุณค่าใหเ้ หมาะสมต่อการประพฤตปิ ฏบิ ัติ ให้บังเกิดผลดตี อ่ บุคคล และส่ิงแวดล้อม เชน่ การถา่ ยทอดหลกั ธรรมทางศาสนา ลกั ษณะความสัมพันธ์ของภูมปิ ญั ญาไทย ภมู ปิ ญั ญาไทยสามารถสะทอ้ นออกมาใน 3 ลักษณะทส่ี ัมพนั ธใ์ กลช้ ดิ กนั คือ 1.1 ความสมั พันธอ์ ยา่ งใกลช้ ิดกนั ระหว่างคนกบั โลก สง่ิ แวดล้อม สัตว์ พชื และ ธรรมชาติ 1.2 ความสัมพันธข์ องคนกบั คนอืน่ ๆ ทอ่ี ยู่รว่ มกนั ในสังคม หรือในชุมชน 1.3 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างคนกบั สิง่ ศกั ดิ์สิทธิ์สง่ิ เหนือธรรมชาติ ตลอดทัง้ สง่ิ ท่ีไม่สามารถ สมั ผัสได้ทั้งหลาย ท้ัง 3 ลักษณะน้ี คือ สามมติ ขิ องเร่ืองเดียวกนั หมายถงึ ชวี ิตชุมชน สะท้อนออกมาถึงภมู ิ ปญั ญาในการดาเนนิ ชีวิตอยา่ งมีเอกภาพ เหมอื นสามมมุ ของรปู สามเหลย่ี ม ภูมปิ ญั ญา จึงเป็นรากฐานในการ ดาเนนิ ชวี ติ ของคนไทย ซ่ึงสามารถแสดงให้เหน็ ไดอ้ ย่างชดั เจนโดยแผนภาพ ดงั นี้ ลักษณะภูมิปัญญาทเี่ กดิ จากความสัมพันธ์ ระหวา่ งคนกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม จะแสดงออกมา ในลกั ษณะภมู ิปัญญาในการดาเนินวถิ ีชวี ติ ข้ันพื้นฐาน ดา้ นปจั จัยสี่ ซง่ึ ประกอบดว้ ย อาหาร เคร่อื งน่งุ ห่ม ที่อย่อู าศัย และยารกั ษาโรค ตลอดทง้ั การประกอบ อาชีพต่างๆ เปน็ ตน้ ภูมปิ ญั ญาทเ่ี กิดจาก ความสัมพันธ์ระหวา่ งคนกับคนอน่ื ในสงั คม จะแสดงออกมาในลักษณะ จารีต ขนบธรรมเนยี มประเพณี ศลิ ปะ และนันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดทง้ั การสอื่ สารตา่ งๆ เปน็ ต้น

ภมู ปิ ญั ญาทเ่ี กิดจากความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคนกับสิง่ ศกั ดส์ิ ิทธ์ิ สิง่ เหนอื ธรรมชาติ จะแสดงออกมาใน ลักษณะของส่ิงศกั ดิ์สิทธิ์ ศาสนา ความเช่ือต่างๆ เป็นต้น 4. คณุ คา่ และความสาคญั ของภูมปิ ัญญาไทย คุณค่าของภูมิปัญญาไทย ได้แก่ ประโยชน์ และความสาคัญของภูมิปัญญา ท่ีบรรพบุรุษไทย ได้ สร้างสรรค์ และสืบทอดมาอย่างต่อเน่ือง จากอดีตสู่ปจั จุบัน ทาให้คนในชาติเกิดความรัก และความภาคภมู ิใจ ที่จะร่วมแรงร่วมใจสืบสานตอ่ ไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวตั ถุ สถาปตั ยกรรม ประเพณีไทย การมี น้าใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นต้น ภูมิปัญญาไทยจงึ มคี ณุ คา่ และความสาคัญดังนี้ 1. ภูมิปัญญาไทยช่วยสรา้ งชาตใิ ห้เป็นปึกแผน่ พระมหากษัตริย์ไทยได้ใช้ภูมิปัญญาในการสร้างชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ ประเทศชาติมาโดยตลอด ต้ังแต่สมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชน ด้วยพระ เมตตา แบบพ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบความเดือดร้อน ก็สามารถตีระฆัง แสดงความเดือดร้อน เพื่อขอรับ พระราชทานความช่วยเหลือ ทาให้ประชาชนมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ ต่อประเทศชาติร่วมกันสร้าง บา้ นเรือนจนเจรญิ รงุ่ เรืองเปน็ ปกึ แผ่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองคท์ รงใชภ้ มู ปิ ัญญากระทายุทธหัตถี จนชนะข้าศกึ ศตั รู และทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน พระองค์ทรงใชภ้ ูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนกิ รมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้ พระปรีชาสามารถ แก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมอื ง ภายในประเทศ จนรอดพ้นภัยพิบัติหลายคร้ัง พระองค์ทรง มพี ระปรีชาสามารถหลายด้าน แมแ้ ต่ดา้ นการเกษตร พระองคไ์ ด้พระราชทานทฤษฎีใหม่ใหแ้ กพ่ สกนกิ ร ท้งั ดา้ นการเกษตรแบบสมดลุ และยัง่ ยืน ฟ้ืนฟูสภาพแวดล้อม นาความสงบร่มเย็นของประชาชนใหก้ ลับคนื มา แนวพระราชดาริ \"ทฤษฎใี หม่\" แบ่งออกเป็น 2 ขั้น โดยเริ่มจาก ขน้ั ตอนแรก ใหเ้ กษตรกรรายยอ่ ย \"มีพออยู่ พอกิน\" เป็นข้ันพ้ืนฐาน โดยการพัฒนาแหล่งน้า ในไร่นา ซ่งึ เกษตรกรจาเป็นท่ีจะต้องได้รับความช่วยเหลือจาก หน่วยราชการ มูลนธิ ิ และหน่วยงานเอกชน รว่ มใจกันพฒั นาสังคมไทย ในขัน้ ท่สี อง เกษตรกรตอ้ งมคี วามเข้าใจ ในการจัดการในไร่นาของตน และมีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ เพื่อสร้างประสิทธิภาพทางการผลิต และ การตลาด การลดรายจ่ายด้านความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค์กรเอกชน เม่ือกลุ่มเกษตร วิวัฒน์มาขน้ั ท่ี 2 แล้ว กจ็ ะมีศักยภาพ ในการพัฒนาไปสูข่ น้ั ทส่ี าม ซ่ึงจะมอี านาจในการต่อรองผลประโยชน์กับ สถาบันการเงินคือ ธนาคาร และองค์กรที่เป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหน่ึงในการผลิต โดยมีการ แปรรูปผลิตผล เชน่ โรงสี เพ่ือเพิ่มมูลคา่ ผลติ ผล และขณะเดียวกนั มีการจัดต้ังร้านค้าสหกรณ์ เพ่อื ลดค่าใช้จา่ ย ในชีวิตประจาวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได้ว่า มิได้ทรงทอดทิ้งหลักของ ความสามัคคีในสังคม และการจัดต้ังสหกรณ์ ซ่ึงทรงสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรสร้างอานาจต่อรองในระบบ เศรษฐกจิ จึงจะมีคณุ ภาพชีวติ ที่ดี จึงจัดได้ว่า เป็นสังคมเกษตรท่ีพฒั นาแล้ว สมดงั พระราชประสงค์ท่ีทรงอุทิศ พระวรกาย และพระสตปิ ญั ญา ในการพฒั นาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์

2. สร้างความภาคภูมิใจ และศกั ด์ิศรี เกียรตภิ มู ิแก่คนไทย คนไทยในอดตี ทม่ี ีความสามารถปรากฏในประวตั ศิ าสตรม์ ีมาก เปน็ ทย่ี อมรบั ของนานา อารยประเทศ เช่น นายขนมต้มเป็นนักมวยไทย ทม่ี ีฝีมือเกง่ ในการใช้อวยั วะทุกส่วน ทุกท่าของแม่ไมม้ วยไทย สามารถชกมวยไทย จนชนะพม่าได้ถึงเก้าคนสิบคนในคราวเดียวกัน แม้ในปัจจุบัน มวยไทยก็ยังถือว่า เป็น ศลิ ปะชั้นเย่ียม เป็นท่ี นิยมฝึกและแข่งขนั ในหมูค่ นไทยและชาวต่าง ประเทศ ปัจจบุ ันมีค่ายมวยไทยท่ัวโลกไม่ ตา่ กว่า 30,000 แห่ง ชาวตา่ งประเทศทไี่ ด้ฝึกมวยไทย จะรู้สึกยินดีและภาคภูมใิ จ ในการที่จะใชก้ ติกา ของมวย ไทย เช่น การไหว้ครูมวยไทย การออก คาส่ังในการชกเป็นภาษาไทยทุกคา เช่น คาว่า \"ชก\" \"นับหน่ึงถึงสิบ\" เป็นต้น ถือเป็นมรดก ภูมิปัญญาไทย นอกจากน้ี ภูมิปัญญาไทยท่ีโดด เด่นยังมีอีกมากมาย เช่น มรดกภูมิ ปญั ญาทาง ภาษาและวรรณกรรม โดยท่ีมีอักษรไทยเป็นของ ตนเองมาต้ังแต่สมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการ มาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถือวา่ เป็นวรรณกรรมท่ีมีความไพเราะ ได้อรรถรสครบทกุ ด้าน วรรณกรรม หลายเร่อื งได้รับการแปลเปน็ ภาษาตา่ งประเทศหลายภาษา ดา้ นอาหาร อาหารไทยเปน็ อาหารท่ีปรงุ ง่าย พืชท่ี ใช้ประกอบอาหารส่วนใหญเ่ ปน็ พชื สมุนไพร ท่ีหาได้ง่ายในท้องถ่ิน และราคาถูก มี คุณค่าทางโภชนาการ และ ยังป้องกันโรคได้หลายโรค เพราะส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ใบ มะกรูด ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นต้น 3. สามารถปรับประยกุ ต์หลักธรรมคาสอนทางศาสนาใช้กบั วิถีชีวิตไดอ้ ยา่ งเหมาะสม คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยนาหลักธรรมคาสอนของศาสนา มาปรบั ใช้ในวถิ ชี ีวติ ได้อย่างเหมาะสม ทาให้คนไทยเปน็ ผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เอ้ือเฟื้อเผอ่ื แผ่ ประนีประนอม รกั สงบ ใจเย็น มีความ อดทน ให้อภัยแก่ผู้สานึกผิด ดารงวิถีชวี ิตอย่างเรยี บง่าย ปกติสขุ ทาใหค้ นในชุมชนพ่ึงพากันได้ แม้จะอดอยาก เพราะ แห้งแลง้ แต่ไม่มีใครอดตาย เพราะพึ่งพาอาศัย กนั แบ่งปนั กนั แบบ \"พริกบ้านเหนือเกลอื บา้ นใต้\" เป็น ต้น ท้ังหมดน้ีสืบเนื่องมาจากหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา เป็นการใช้ภูมิปัญญา ในการนาเอาหลัก ของพระพุทธศาสนามา ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจาวัน และดาเนินกุศโลบาย ด้านต่างประเทศ จนทาให้ชาว พทุ ธทั่วโลกยกย่อง ใหป้ ระเทศไทยเปน็ ผูน้ าทางพุทธศาสนา และเปน็ ท่ีต้ังสานักงานใหญ่องค์การพุทธศาสนิก สัมพันธ์ แห่งโลก (พสล.) อยู่เย้ืองๆ กบั อทุ ยานเบญจสิริ กรงุ เทพมหานคร โดยมีคนไทย (ฯพณฯ สัญญา ธรรม ศกั ดิ์ องคมนตรี) ดารงตาแหนง่ ประธาน พสล. ต่อจาก ม.จ.หญงิ พูนพิศมยั ดิศกลุ 4. สรา้ งความสมดุลระหวา่ งคนในสังคม และธรรมชาตไิ ดอ้ ยา่ งยง่ั ยืน ภูมปิ ญั ญาไทยมีความเด่นชดั ในเร่อื งของการยอมรบั นบั ถือ และให้ความสาคัญแกค่ น สังคม และธรรมชาติอย่างยิง่ มเี ครื่องช้ที ี่แสดงใหเ้ ห็นได้อยา่ งชัดเจนมากมาย เชน่ ประเพณไี ทย 12 เดอื น ตลอดท้ังปี ลว้ นเคารพคุณคา่ ของธรรมชาติ ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง เป็นตน้ ประเพณสี งกรานตเ์ ป็น ประเพณีท่ีทาใน ฤดูร้อนซึ่งมีอากาศร้อน ทาให้ต้องการความเย็น จึงมีการรดน้าดาหัว ทาความสะอาด บ้านเรือน และธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มีการแห่นางสงกรานต์ การทานายฝนว่าจะตกมากหรือน้อยในแต่ละปี ส่วนประเพณีลอยกระทง คุณค่าอยู่ทกี่ ารบชู า ระลกึ ถึงบญุ คณุ ของน้า ท่หี ลอ่ เลย้ี งชีวิตของ คน พชื และสัตว์ ให้ ได้ใช้ทั้งบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทง คนจึงทาความสะอาดแม่น้า ลาธาร บูชาแม่น้าจากตัวอย่าง ขา้ งตน้ ล้วนเป็น ความสัมพันธร์ ะหวา่ งคนกับสังคมและธรรมชาติ ท้งั ส้ิน ในการรักษาปา่ ไม้ต้นนา้ ลาธาร ได้ประยกุ ตใ์ ห้มปี ระเพณกี ารบวชป่า ใหค้ นเคารพสิ่งศักดส์ิ ิทธิ์

ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม ยังความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้า ลาธาร ให้ฟื้นสภาพกลับคืนมาได้มาก อาชีพ การเกษตรเปน็ อาชพี หลักของคนไทย ท่ีคานงึ ถงึ ความสมดุล ทาแต่นอ้ ยพออยู่พอกิน แบบ \"เฮด็ อยเู่ ฮด็ กนิ \" ของ พอ่ ทองดี นนั ทะ เมอ่ื เหลือกิน ก็แจกญาติพี่นอ้ ง เพื่อนบา้ น บา้ นใกล้เรอื นเคียง นอกจากนี้ ยังนาไปแลกเปลย่ี น กบั ส่ิงของอยา่ งอ่ืน ท่ตี นไม่มี เมื่อเหลือใชจ้ รงิ ๆ จึงจะนาไปขาย อาจกล่าวไดว้ ่า เปน็ การเกษตรแบบ \"กนิ -แจก- แลก-ขาย\" ทาให้คนในสังคมได้ช่วยเหลือเก้ือกูล แบ่งปันกัน เคารพรัก นับถือ เป็นญาติกัน ทั้งหมู่บ้าน จึงอยู่ ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความสมั พันธ์กนั อย่างแนบแน่น ธรรมชาตไิ มถ่ ูกทาลายไปมากนกั เนือ่ งจากทาพออย่พู อ กนิ ไม่โลภมากและไม่ทาลายทุกอย่างผิด กับในปจั จบุ ัน ถือเป็นภมู ปิ ญั ญาทสี่ ร้างความ สมดลุ ระหว่างคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลี่ยนแปลงปรบั ปรงุ ได้ตามยุคสมัย แมว้ ่ากาลเวลาจะผ่านไป ความร้สู มยั ใหม่ จะหลง่ั ไหลเขา้ มามาก แต่ภมู ปิ ัญญาไทย ก็สามารถ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกบั ยุคสมยั เช่น การรู้จักนาเครอ่ื งยนตม์ าติดต้งั กับเรอื ใสใ่ บพัด เป็นหางเสือ ทาให้เรอื สามารถแลน่ ไดเ้ ร็วขึน้ เรยี กวา่ เรอื หางยาว การรู้จกั ทาการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลกิ ฟน้ื คืน ธรรมชาตใิ ห้ อุดมสมบูรณแ์ ทนสภาพเดมิ ที่ถกู ทาลายไป การรู้จกั ออมเงิน สะสมทนุ ให้สมาชิกก้ยู ืม ปลดเปลอื้ ง หนี้สนิ และจดั สวัสดิการแก่สมาชิก จนชุมชนมคี วามม่นั คง เข้มแข็ง สามารถชว่ ยตนเองไดห้ ลายร้อยหมู่บ้านทัว่ ประเทศ เช่น กลมุ่ ออมทรพั ยค์ ีรีวง จังหวดั นครศรีธรรมราช จัดในรปู กองทนุ หมุนเวียนของชุมชน จนสามารถ ชว่ ยตนเองได้ เมอ่ื ปา่ ถกู ทาลาย เพราะถกู ตัดโค่น เพ่ือปลกู พืชแบบเดยี่ ว ตามภมู ิปญั ญาสมัยใหม่ ทีห่ วงั รา่ รวย แต่ในที่สุด กข็ าดทุน และมหี น้ีสิน สภาพแวดล้อมสญู เสียเกิดความแห้งแลง้ คนไทยจงึ คดิ ปลูกป่า ท่กี ิน ได้ มีพืชสวน พืชป่าไม้ผล พืชสมุนไพร ซ่ึงสามารถมกี ินตลอดชวี ิตเรียกว่า \"วนเกษตร\" บางพ้ืนที่ เม่ือปา่ ชุมชน ถกู ทาลาย คนในชมุ ชนกร็ วมตวั กัน เปน็ กลมุ่ รกั ษาป่า ร่วมกันสรา้ งระเบียบ กฎเกณฑ์กันเอง ใหท้ กุ คนถือปฏิบัติ ได้ สามารถรักษาป่าได้อย่างสมบูรณ์ดังเดิม เมื่อปะการังธรรมชาติถูกทาลาย ปลาไม่มีที่อยู่อาศัย ประชาชน สามารถสร้าง \"อหู ยมั \" ข้ึน เป็นปะการังเทียม ให้ปลาอาศัยวางไข่ และแพรพ่ ันธุใ์ ห้เจริญเติบโต มจี านวนมากดังเดมิ ได้ ถือเปน็ การใชภ้ มู ิปญั ญาปรับปรุงประยุกตใ์ ช้ไดต้ ามยคุ สมยั สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 19 ให้ความหมายของคาวา่ ภูมปิ ัญญาชาวบา้ น หมายถึง ความร้ขู องชาวบา้ น ซ่งึ ได้มาจากประสบการณ์ และความเฉลียวฉลาดของชาวบ้าน รวมท้ังความรู้ท่ี สัง่ สมมาแตบ่ รรพบุรุษ สืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสคู่ นอีกร่นุ หนง่ึ ระหว่างการสืบทอดมีการปรบั ประยุกต์ และ เปล่ยี นแปลง จนอาจเกดิ เปน็ ความรใู้ หมต่ ามสภาพการณท์ างสงั คมวฒั นธรรม และ ส่งิ แวดลอ้ ม ภมู ปิ ัญญาเปน็ ความรูท้ ่ีประกอบไปด้วยคุณธรรม ซึ่งสอดคล้องกับวถิ ีชวี ติ ดงั้ เดมิ ของชาวบ้าน ในวิถีดง้ั เดิมน้ัน ชีวิตของชาวบ้านไม่ได้แบ่งแยกเป็นส่วนๆ หากแต่ทุกอย่างมีความสมั พันธ์กัน การทามาหากิน การอยู่ร่วมกันในชุมชน การปฏิบัติศาสนา พิธีกรรมและประเพณี ความรู้เป็นคุณธรรม เมื่อผู้คนใชค้ วามรู้นั้น เพอ่ื สร้างความสัมพันธ์ทดี่ ีระหวา่ ง คนกับคน คนกบั ธรรมชาติ และคนกับส่ิงเหนือธรรมชาติ ความสมั พันธ์ที่ดี เป็นความสัมพันธ์ที่มีความสมดุล ท่ีเคารพกันและกัน ไม่ทาร้ายทาลายกัน ทาให้ทุกฝ่ายทุกส่วนอยู่ร่วมกันได้ อย่างสันติ ชุมชนด้ังเดิมจึงมีกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกัน มีคนเฒ่าคนแก่เป็นผู้นา คอยให้คาแนะนาตักเตือน ตัดสิน และลงโทษหากมีการละเมิด ชาวบ้านเคารพธรรมชาติรอบตัว ดิน น้า ป่า เขา ข้าว แดด ลม ฝน โลก และจกั รวาล ชาวบา้ นเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ทั้งท่ีมีชีวติ อยู่และล่วงลับไปแล้ว ภูมิปัญญาจึง

เป็นความรู้ที่มีคุณธรรม เป็นความรู้ท่ีมีเอกภาพของทุกส่ิงทุกอย่าง เป็นความรู้ว่า ทุกส่ิงทุกอย่างสัมพันธ์กัน อยา่ งมีความสมดลุ เราจงึ ยกยอ่ งความรขู้ น้ั สงู ส่ง อันเปน็ ความรู้แจ้งในความจริงแหง่ ชวี ติ น้วี า่ \"ภูมปิ ญั ญา\" ความคดิ และการแสดงออก เพ่ือจะเข้าใจภูมิปัญญาชาวบา้ น จาเปน็ ตอ้ งเข้าใจความคดิ ของชาวบ้านเก่ียวกับ โลก หรอื ทเ่ี รยี กว่า โลกทศั น์ และเกย่ี วกับชวี ติ หรือที่เรยี กวา่ ชีวทัศน์ สง่ิ เหล่านเ้ี ป็นนามธรรม อนั เกยี่ วขอ้ ง สมั พนั ธ์โดยตรงกับการแสดงออกใน ลกั ษณะต่างๆ ทเี่ ป็นรปู ธรรม แนวคิดเร่อื งความสมดลุ ของชีวติ เป็นแนวคิดพน้ื ฐานของภูมิปัญญาชาวบ้าน การแพทยแ์ ผนไทย หรือที่เคยเรยี กกันว่า การแพทย์แผนโบราณนั้น มีหลักการวา่ คนมีสุขภาพดี เม่ือร่างกายมีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้า ลม ไฟ คนเจบ็ ไข้ได้ป่วย เพราะธาตุขาดความสมดุล จะมีการปรับธาตุ โดยใช้ยาสมุนไพร หรือวิธีการอ่ืนๆ คนเป็นไข้ตัวร้อน หมอยา พ้นื บ้านจะให้ยาเยน็ เพ่ือลดไข้ เปน็ ต้น การดาเนนิ ชีวิตประจาวันก็เชน่ เดยี วกนั ชาวบ้านเชอ่ื ว่า จะต้องรักษา ความสมดุลในความสัมพันธ์สามด้าน คือ ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ญาติพ่ีน้อง เพื่อนบ้านในชุมชน ความสมั พันธท์ ด่ี มี หี ลกั เกณฑ์ ทบี่ รรพบุรษุ ได้สัง่ สอนมา เชน่ ลูกควรปฏิบัตอิ ย่างไรกบั พ่อแม่ กับญาติพ่ีนอ้ ง กับ ผู้สูงอายุ คนเฒ่าคนแก่ กับเพ่ือนบ้าน พ่อแม่ควรเล้ียงดูลูกอย่างไร ความเอื้ออาทรต่อกันและกัน ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน โดยเฉพาะในยามทุกข์ยาก หรือมีปัญหา ใครมีความสามารถพิเศษก็ใช้ความสามารถน้ันช่วยเหลือ ผู้อ่ืน เช่น บางคนเปน็ หมอยา ก็ช่วยดูแลรกั ษาคนเจบ็ ปว่ ยไมส่ บาย โดยไมค่ ิดค่ารักษา มแี ต่เพียงการยกครู หรือ การราลึกถึงครูบาอาจารย์ที่ประสาทวิชามาใหเ้ ท่านนั้ หมอยาต้องทามาหากิน โดยการทานา ทาไร่ เลี้ยงสัตว์ เหมือนกบั ชาวบา้ นอื่นๆ บางคนมคี วามสามารถพเิ ศษดา้ นการทามาหากิน กช็ ว่ ยสอนลูกหลานให้มีวชิ าไปดว้ ย ความสมั พนั ธ์ระหว่างคนกบั คนในครอบครัว ในชมุ ชน มีกฎเกณฑเ์ ป็นข้อปฏิบัติ และขอ้ หา้ ม อยา่ งชดั เจน มกี ารแสดงออกทางประเพณี พิธกี รรม และกิจกรรมต่างๆ เช่น การรดน้าดาหัวผู้ใหญ่ การบายศรี ส่ขู วัญ เป็นตน้ ความสัมพันธก์ ับธรรมชาติ ผู้คนสมัยกอ่ นพ่ึงพาอาศัยธรรมชาติแทบทกุ ด้าน ตั้งแต่อาหารการ กิน เครอ่ื งนุ่งห่ม ที่อยูอ่ าศยั และยารักษาโรค วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยียังไมพ่ ัฒนาก้าวหน้าเหมอื นทุกวนั นี้ ยงั ไมม่ ีระบบการคา้ แบบสมัยใหม่ ไม่มีตลาด คนไปจับปลาลา่ สัตว์ เพอ่ื เป็นอาหารไปวนั ๆ ตดั ไม้ เพ่ือสร้างบา้ น และใช้สอยตามความจาเป็นเท่าน้ัน ไม่ได้ทาเพ่ือการค้า ชาวบ้านมีหลกั เกณฑ์ในการใช้ส่ิงของในธรรมชาติ ไม่ ตัดไม้อ่อน ทาให้ตน้ ไม้ในป่าข้ึนแทนต้นที่ถูกตัดไปได้ตลอดเวลา ชาวบ้านยังไม่รู้จักสารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ฆา่ หญ้า ฆา่ สัตว์ ไม่ใชป้ ุ๋ยเคมี ใชส้ ิง่ ของในธรรมชาตใิ ห้เกือ้ กูลกนั ใช้มูลสัตว์ ใบไมใ้ บ หญ้าท่ีเน่าเป่ือยเป็นปุ๋ย ทา ให้ดินอดุ มสมบรู ณ์ นา้ สะอาด และไม่เหอื ดแห้ง ชาวบ้านเคารพธรรมชาติ เชือ่ วา่ มเี ทพมีเจ้าสถิตอยู่ในดนิ นา้ ปา่ เขา สถานท่ีทุกแห่ง จะทาอะไรต้องขออนุญาต และทาด้วยความเคารพ และพอดี พองาม ชาวบ้านรู้คุณ ธรรมชาติ ท่ีได้ให้ชีวิตแก่ตน พิธกี รรมตา่ งๆ ล้วนแสดงออกถึงแนวคิดดังกล่าว เช่น งานบุญพิธี ที่เก่ียวกับ น้า ข้าว ป่าเขา รวมถึงสัตว์ บ้านเรือน เครื่องใช้ต่างๆ มีพิธีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวัญเกวียน ทางอีสานมีพิธี แฮกนา หรอื แรกนา เล้ยี งผตี าแฮก มงี านบญุ บา้ น เพ่ือเลี้ยงผี หรอื สง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ปิ ระจาหมบู่ า้ น เปน็ ตน้ ความสัมพันธก์ ับสง่ิ เหนอื ธรรมชาติ ชาวบ้านร้วู า่ มนุษย์เปน็ เพยี งส่วนเล็กๆ ส่วนหนง่ึ ของ จักรวาล ซึ่งเต็มไปด้วยความเร้นลับ มีพลัง และอานาจ ที่เขาไม่อาจจะหาคาอธิบายได้ ความเร้นลับดังกล่าว รวมถงึ ญาตพิ ่ีน้อง และผู้คนทีล่ ว่ งลับไปแลว้ ชาวบ้านยงั สัมพันธก์ บั พวกเขา ทาบญุ และราลกึ ถงึ อย่างสมา่ เสมอ ทุกวัน หรือในโอกาสสาคัญๆ นอกน้ันเป็นผีดี ผีร้าย เทพเจ้าต่างๆ ตามความเช่ือของแต่ละแห่ง ส่ิงเหล่านี้สิง สถติ อยใู่ นส่ิงตา่ งๆ ในโลก ในจักรวาล และอยู่บนสรวงสวรรคก์ ารทามาหากนิ แม้วิถชี ีวติ ของชาวบ้านเมื่อก่อนจะดเู รียบงา่ ยกว่าทกุ วันน้ี และยังอาศัยธรรมชาติ และ

แรงงานเป็นหลัก ในการทามาหากิน แต่พวกเขาก็ต้องใช้สติปัญญา ที่บรรพบุรุษถ่ายทอดมาให้ เพ่ือจะได้อยู่ รอด ทั้งน้เี พราะปัญหาต่างๆ ในอดตี ก็ยังมไี มน่ อ้ ย โดยเฉพาะเมอื่ ครอบครวั มีสมาชกิ มากข้นึ จาเป็นต้องขยายท่ี ทากนิ ตอ้ งหกั ร้างถางพง บุกเบกิ พ้ืนทท่ี ากนิ ใหม่ การปรับพ้ืนท่ีป้นั คันนา เพ่อื ทานา ซง่ึ เป็นงานทหี่ นัก การทา ไร่ทานา ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ และดูแลรักษาให้เติบโต และได้ผล เป็นงานท่ีต้องอาศัยความรู้ความสามารถ การ จับปลาล่าสัตวก์ ็มีวิธีการ บางคนมคี วามสามารถมากรู้ว่า เวลาไหน ทใี่ ด และวิธใี ด จะจับปลาไดด้ ที ่ีสุด คนทีไ่ ม่ เก่งก็ต้องใช้เวลานาน และได้ปลาน้อย การล่าสัตวก์ เ็ ชน่ เดยี วกัน การจดั การแหล่งนา้ เพอ่ื การเกษตร ก็เป็นความรู้ความสามารถ ทม่ี มี าแต่โบราณ คนทาง ภาคเหนือรู้จักบริหารน้า เพื่อการเกษตร และเพื่อการบริโภคต่างๆ โดยการจัดระบบเหมืองฝาย มีการจัด แบ่งปันน้ากันตามระบบประเพณีท่ี สืบทอดกันมา มีหัวหน้าที่ทุกคนยอมรับ มีคณะกรรมการจัดสรรน้าตาม สดั ส่วน และตามพืน้ ท่ีทากิน นบั เป็นความรทู้ ี่ทาให้ชุมชนต่างๆ ทอี่ าศัยอยู่ใกลล้ าน้า ไมว่ ่าต้นน้า หรือปลายน้า ไดร้ บั การแบง่ ปนั นา้ อยา่ งยตุ ิธรรม ทุกคนไดป้ ระโยชน์ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ชาวบา้ นรู้จักการแปรรปู ผลิตผลในหลายรูปแบบ การถนอมอาหารให้กินไดน้ าน การดองการ หมกั เช่น ปลาร้า น้าปลา ผักดอง ปลาเค็ม เน้ือเค็ม ปลาแหง้ เนอ้ื แหง้ การแปรรูปขา้ ว กท็ าได้มากมายนับร้อย ชนิด เช่น ขนมต่างๆ แต่ละพิธีกรรม และแต่ละงานบุญประเพณี มีข้าวและขนมในรูปแบบไม่ซ้ากัน ตั้งแต่ ขนมจีน สังขยา ไปถึงขนมในงานสารท กาละแม ขนมครก และอ่ืนๆ ซ่ึงยังพอมีให้เห็นอยู่จานวนหน่ึง ใน ปัจจบุ นั สว่ นใหญป่ รบั เปล่ยี นมาเปน็ การผลิตเพอ่ื ขาย หรือเปน็ อตุ สาหกรรมในครัวเรอื น ความร้เู รอ่ื งการปรงุ อาหารกม็ ีอยู่มากมาย แต่ละท้องถิน่ มรี ูปแบบ และรสชาตแิ ตกต่างกันไป มีมากมายนับร้อยนบั พันชนิด แม้ในชีวิตประจาวัน จะมีเพียงไมก่ ี่อย่าง แต่โอกาสงานพิธี งาน เลี้ยง งานฉลอง สาคญั จะมีการจัดเตรยี มอาหารอย่างดี และพิถีพิถัน การทามาหากนิ ในประเพณเี ดิมน้ัน เป็นท้ังศาสตรแ์ ละ ศิลป์ การเตรียมอาหาร การจัดขนม และผลไม้ ไม่ได้เป็นเพียงเพ่ือให้รับประทานแล้วอร่อย แต่ให้ได้ความ สวยงาม ทาให้สามารถสัมผัสกับอาหารน้นั ไม่เพียงแต่ทางปาก และรสชาติของลิ้น แต่ทางตา และทางใจ การ เตรียมอาหารเป็นงานศิลปะ ท่ีปรุงแต่ด้วยความต้ังใจ ใช้เวลา ฝีมือ และความรู้ความสามารถ ชาวบ้าน สมยั ก่อนส่วนใหญจ่ ะทานาเปน็ หลัก เพราะเมื่อมีข้าวแล้ว กส็ บายใจ อย่างอื่นพอหาได้จากธรรมชาติ เสร็จหน้า นาก็จะทางานหัตถกรรม การทอผ้า ทาเส่ือ เลี้ยงไหม ทาเครื่องมือ สาหรับจับสัตว์ เคร่ืองมือการเกษตร และ อปุ กรณต์ า่ งๆ ทีจ่ าเป็น หรอื เตรยี มพืน้ ท่ี เพอื่ การทานาคร้ังต่อไป หัตถกรรมเปน็ ทรพั ย์สิน และมรดกทางภูมปิ ญั ญาท่ียงิ่ ใหญ่ทส่ี ดุ อยา่ งหนึง่ ของบรรพบุรุษ เพราะเป็นสื่อท่ีถา่ ยทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ความเช่ือ และคุณคา่ ต่างๆ ท่ีสัง่ สมมาแต่นมนาน ลายผ้า ไหม ผา้ ฝ้าย ฝีมอื ในการทออย่างประณีต รปู แบบเคร่ืองมอื ทส่ี านด้วยไม้ไผ่ และอปุ กรณ์ เครื่องใชไ้ มส้ อยตา่ งๆ เคร่ืองดนตรี เครื่องเล่น สิ่งเหล่านี้ไดถ้ ูกบรรจงสร้างขน้ึ มา เพื่อการใช้สอย การทาบุญ หรือการอุทิศให้ใครคน หนึ่ง ไม่ใชเ่ พอื่ การค้าขาย ชาวบา้ นทามาหากนิ เพียงเพ่ือการยังชีพ ไม่ได้ทาเพอื่ ขาย มีการนาผลติ ผลสว่ นหน่ึง ไปแลกสงิ่ ของท่ีจาเป็น ที่ตนเองไม่มี เช่น นาข้าวไป แลกเกลือ พริก ปลา ไก่ หรือเสอ้ื ผ้า การขายผลิตผลมีแต่ เพียงส่วนน้อย และเมื่อมีความจาเป็นต้องใช้เงิน เพื่อเสียภาษีให้รัฐ ชาวบ้านนาผลิตผล เช่น ข้าว ไปขายใน เมอื งให้กบั พ่อคา้ หรือขายให้กบั พ่อค้าทอ้ งถิ่น เช่น ทางภาคอีสาน เรียกว่า \"นายฮอ้ ย\" คนเหล่านี้จะนาผลิตผล บางอย่าง เชน่ ข้าว ปลาร้า ววั ควาย ไปขายในทีไ่ กลๆ ทางภาคเหนือมีพ่อค้าวัวต่างๆ เป็นตน้ แม้ว่าความร้เู รือ่ งการค้าขายของคนสมยั ก่อน ไมอ่ าจจะนามาใช้ในระบบตลาดเชน่ ปจั จุบนั ได้

เพราะสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่การค้าที่มีจริยธรรมของพ่อค้าในอดีต ที่ไม่ได้หวังแต่เพียง กาไร แต่คานงึ ถงึ การชว่ ยเหลือ แบ่งปันกนั เป็นหลกั ยงั มีคุณคา่ สาหรับปจั จบุ ัน นอกนน้ั ในหลายพืน้ ทใี่ นชนบท ระบบการแลกเปลย่ี นส่งิ ของยงั มอี ยู่ โดยเฉพาะในพื้นทยี่ ากจน ซ่ึงชาวบา้ นไม่มเี งินสด แต่มผี ลติ ผลตา่ งๆ ระบบ การแลกเปลี่ยนไม่ได้ยึดหลักมาตราชั่งวัด หรือการตีราคาของส่ิงของ แต่แลกเปลี่ยน โดยการคานึงถึง สถานการณ์ของผู้แลกท้งั สองฝ่าย คนที่เอาปลาหรือไก่มาขอแลกขา้ ว อาจจะได้ข้าวเปน็ ถัง เพราะเจ้าของข้าว คานึงถึงความจาเป็นของครอบครัวเจา้ ของไก่ ถ้าหากตีราคาเปน็ เงนิ ข้าวหน่งึ ถงั ยอ่ มมคี ่าสูงกวา่ ไกห่ น่ึงตวั การอยูร่ ่วมกนั ในสังคม การอยู่ร่วมกันในชุมชนด้ังเดิมนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพ่ีน้องไม่กี่ตระกูล ซ่ึงได้อพยพย้ายถ่ินฐานมา อยู่ หรือสืบทอดบรรพบุรุษจนนับญาติกันได้ท้ังชุมชน มีคนเฒ่าคนแก่ที่ชาวบ้านเคารพนับถือเป็นผู้นาหน้าท่ี ของผู้นา ไม่ใช่การส่ัง แต่เป็นผู้ให้คาแนะนาปรึกษา มีความแม่นยาในกฎระเบียบประเพณีการดาเนินชีวิต ตัดสินไกล่เกล่ยี หากเกดิ ความขดั แย้ง ช่วยกนั แกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ ปญั หาในชุมชนก็มีไมน่ อ้ ย ปัญหาการ ทามาหากิน ฝนแล้ง น้าท่วม โรคระบาด โจรลกั วัวควาย เปน็ ต้น นอกจากน้ัน ยังมีปญั หาความขัดแย้งภายใน ชมุ ชน หรือระหว่างชุมชน การละเมดิ กฎหมาย ประเพณี ส่วนใหญ่จะเป็นการ \" ผิดผ\"ี คือ ผีของบรรพบุรษุ ผู้ ซงึ่ ไดส้ ร้างกฎเกณฑต์ า่ งๆ ไว้ เช่น กรณีทช่ี ายหนุ่มถูกเนื้อต้องตวั หญิงสาวท่ยี ังไม่แต่งงาน เปน็ ต้น หากเกิดการ ผิดผีข้นึ มา ก็ต้องมีพิธีกรรมขอขมา โดยมีคนเฒ่าคนแก่เปน็ ตัวแทนของบรรพบุรุษ มีการว่ากล่าวสง่ั สอน และ ชดเชยการทาผิดน้ัน ตามกฎเกณฑ์ท่ีวางไว้ ชาวบ้านอยู่อย่างพ่ึงพาอาศัยกัน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ยามเกิด อบุ ตั ิเหตเุ ภทภัย ยามทโ่ี จรขโมยวัวควายข้าวของ การช่วยเหลือกันทางานทเี่ รียกกันวา่ การลงแขก ทัง้ แรงกาย แรงใจทมี่ ีอย่กู ็จะแบ่งปันชว่ ยเหลอื เออ้ื อาทรกนั การ แลกเปลยี่ นส่ิงของ อาหารการกนิ และอืน่ ๆ จึงเก่ยี วขอ้ ง กับวิถีของชุมชน ชาวบ้านช่วยกันเก็บเก่ียวข้าว สร้างบ้าน หรืองานอ่ืนท่ีต้องการคนมากๆ เพ่ือจะได้เสร็จ โดยเร็ว ไม่มีการจา้ ง กรณตี ัวอย่างจากการปลูกข้าวของชาวบ้าน ถ้าปหี น่ึงชาวนาปลูกข้าวได้ผลดี ผลติ ผลท่ีได้จะใช้เพ่ือการ บรโิ ภคในครอบครัว ทาบญุ ท่ีวัด เผอ่ื แผใ่ ห้พนี่ อ้ งที่ขาดแคลน แลกของ และเกบ็ ไว้ เผ่อื วา่ ปีหนา้ ฝนอาจแล้ง น้า อาจทว่ ม ผลิตผล อาจไม่ดใี นชุมชนตา่ งๆ จะมผี ูม้ คี วามรู้ความสามารถหลากหลาย บางคนเก่งทางการรกั ษาโรค บางคนทางการเพาะปลูกพืช บางคนทางการเล้ียงสัตว์ บางคนทางด้านดนตรีการละเล่น บางคนเก่งทางด้าน พธิ กี รรม คนเหล่านีต้ ่างก็ใช้ความสามารถ เพ่ือประโยชน์ของชุมชน โดยไม่ถอื เปน็ อาชีพ ท่มี ีคา่ ตอบแทน อยา่ ง มากกม็ ี \"ค่าครู\" แตเ่ พียงเล็กนอ้ ย ซ่ึงปกติแลว้ เงินจานวนน้ัน ก็ใชส้ าหรับเครื่องมอื ประกอบพธิ กี รรม หรือ เพ่ือ ทาบุญท่ีวัด มากกว่าที่หมอยา หรือบุคคลผู้นั้น จะเก็บไว้ใช้เอง เพราะแท้ท่ีจริงแล้ว \"วิชา\" ท่ีครูถ่ายทอดมา ให้แก่ลูกศิษย์ จะต้องนาไปใช้ เพื่อประโยชน์แก่สังคม ไม่ใช่เพอ่ื ผลประโยชน์สว่ นตวั การตอบแทนจึงไม่ใช่เงิน หรือสิ่งของเสมอไป แต่เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยวิธีการต่าง ๆ ด้วยวิถีชีวิตเช่นน้ี จึงมีคาถาม เพื่อเป็น การสอนคนรุ่นหลังว่า ถ้าหากคนหน่ึงจับปลาช่อนตัวใหญ่ได้หน่ึงตัว ทาอย่างไรจึงจะกินได้ทั้งปี คนสมัยน้ี อาจจะบอกว่า ทาปลาเค็ม ปลาร้า หรือเก็บรักษาด้วยวิธีการต่างๆ แต่คาตอบท่ีถูกต้อง คือ แบ่งปันให้พี่น้อง เพอื่ นบ้าน เพราะเม่อื เขาไดป้ ลา เขาก็จะทากบั เราเช่นเดยี วกัน ชวี ติ ทางสังคมของหม่บู ้าน มีศนู ย์กลางอยู่ทีว่ ัด กจิ กรรมของส่วนรวม จะทากันท่ีวัด งานบญุ ประเพณีต่างๆ ตลอดจนการละเล่นมหรสพ พระสงฆเ์ ป็น

ผู้นาทางจิตใจ เป็นครูท่ีสอนลูกหลานผู้ชาย ซึ่งไปรับใช้พระสงฆ์ หรือ \"บวชเรียน\" ท้ังน้ีเพราะก่อนนี้ยังไม่มี โรงเรียน วัดจึงเป็นท้ังโรงเรียน และหอประชุม เพื่อกิจกรรมต่างๆ ต่อเม่ือโรงเรียนมีข้ึน และแยกออกจากวัด บทบาทของวัด และของพระสงฆ์ จึงเปล่ียนไป งานบุญประเพณีในชุมชนแต่ก่อนมอี ยู่ทุกเดอื น ตอ่ มาก็ลดลงไป หรอื สองสามหมู่บา้ นร่วมกนั จัด หรือ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เช่น งานเทศน์มหาชาติ ซ่ึงเป็นงานใหญ่ หมู่บ้านเล็กๆ ไม่อาจจะจัดได้ทุกปี งาน เหล่านี้มีทั้งความเชื่อ พธิ ีกรรม และความสนกุ สนาน ซ่งึ ชุมชนแสดงออกร่วมกนั ระบบคุณคา่ ความเช่อื ในกฎเกณฑ์ประเพณี เป็นระเบียบทางสังคมของชุมชนด้งั เดมิ ความเชอ่ื นี้เป็นรากฐานของ ระบบคุณคา่ ต่างๆ ความกตญั ญรู ู้คณุ ต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ความเมตตาเออื้ อาทรต่อผู้อ่ืน ความเคารพตอ่ สิง่ ศักดิ์สทิ ธ์ิในธรรมชาติรอบตัว และในสากลจักรวาล ความเชอ่ื \"ผี\" หรือสิง่ ศกั ดสิ์ ิทธิ์ในธรรมชาติ เปน็ ท่ีมาของการดาเนนิ ชีวติ ท้งั ของส่วนบคุ คล และของ ชมุ ชน โดยรวมการเคารพในผีปตู่ า หรอื ผปี ู่ย่า ซึง่ เปน็ ผปี ระจาหมู่บ้าน ทาให้ชาวบ้านมีความเปน็ หน่งึ เดียวกัน เป็นลกู หลานของปู่ตาคนเดยี วกัน รักษาป่าท่ีมีบ้านเลก็ ๆ สาหรบั ผี ปลกู อยตู่ ิดหมู่บ้าน ผปี ่า ทาให้คนตดั ไม้ด้วย ความเคารพ ขออนญุ าตเลอื กตดั ตน้ แก่ และปลกู ทดแทน ไม่ทงิ้ สิง่ สกปรกลงแมน่ า้ ดว้ ยความเคารพในแมค่ งคา กนิ ขา้ วด้วยความเคารพ ในแมโ่ พสพ คนโบราณกินขา้ วเสร็จ จะไหวข้ า้ ว พิธบี ายศรีสู่ขวัญ เปน็ พิธีรอ้ื ฟ้ืน กระชับ หรือสร้างความสมั พนั ธ์ระหว่างผู้คน คนจะเดินทางไกล หรอื กลบั จากการเดินทาง สมาชิกใหม่ ในชุมชน คนปว่ ย หรอื กาลังฟื้นไข้ คนเหลา่ นี้จะไดร้ บั พธิ ีสู่ขวญั เพื่อให้เป็น สิรมิ งคล มคี วามอยู่เยน็ เปน็ สุข นอกนนั้ ยงั มีพธิ สี บื ชะตาชวี ิตของบุคคล หรือของชมุ ชน นอกจากพิธกี รรมกบั คนแล้ว ยงั มพี ิธีกรรมกับสตั ว์และธรรมชาติ มีพธิ ีสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวญั เกวยี น เปน็ การแสดงออกถึงการขอบคณุ การขอขมา พิธีดงั กล่าวไม่ได้มคี วามหมายถึงวา่ สง่ิ เหล่าน้มี จี ติ มีผีใน ตัวมันเอง แตเ่ ปน็ การแสดงออก ถงึ ความสัมพันธ์กับจติ และส่ิงศกั ดิ์สิทธิ์ อันเป็นสากลในธรรมชาติท้ังหมด ทา ให้ผ้คู นมีความสัมพันธอ์ นั ดกี ับทุกส่งิ คนขับแท็กซใ่ี นกรุงเทพฯ ทม่ี าจากหมู่บ้าน ยังซือ้ ดอกไม้ แลว้ แขวนไว้ท่ี กระจกในรถ ไมใ่ ชเ่ พอ่ื เซน่ ไหว้ผีในรถแทก็ ซ่ี แตเ่ ป็นการราลึกถึงสง่ิ ศกั ด์ิสิทธิ์ ใน สากลจกั รวาล รวมถงึ ที่สิงอยู่ ในรถคนั น้ัน ผู้คนสมยั ก่อนมคี วามสานึกในข้อจากดั ของตนเอง รวู้ า่ มนษุ ย์มคี วามอ่อนแอ และเปราะบาง หากไม่รกั ษาความสัมพันธ์อนั ดี และไมค่ งความสมดลุ กับธรรมชาติรอบตวั ไว้ เขาคงไมส่ ามารถมีชีวิตไดอ้ ยา่ ง เป็นสขุ และยืนนาน ผ้คู นทั่วไปจึงไม่มีความอวดกลา้ ในความสามารถของตน ไมท่ ้าทายธรรมชาติ และส่งิ ศักดส์ิ ทิ ธ์ิ มคี วามอ่อนนอ้ มถอ่ มตน และรกั ษากฎระเบียบประเพณอี ยา่ งเคร่งครดั ชวี ติ ของชาวบ้านในรอบหนง่ึ ปี จึงมพี ธิ กี รรมทกุ เดอื น เพ่อื แสดงออกถึงความเชอื่ และความสัมพันธ์ ระหวา่ งผู้คนในสังคม ระหวา่ งคนกับธรรมชาติ และระหวา่ งคนกับสง่ิ ศักดิ์สิทธติ์ า่ งๆ ดังกรณงี านบุญประเพณี ของชาวอีสานท่เี รียกวา่ ฮีตสบิ สอง คือ เดือนอ้าย (เดือนทห่ี น่ึง) บญุ เข้ากรรม ให้พระภกิ ษเุ ข้าปริวาสกรรม เดือนย่ี (เดือนท่ีสอง) บญุ คณู ลาน ใหน้ าข้าวมากองกันทล่ี าน ทาพธิ ีก่อนนวด เดือนสาม บญุ ขา้ วจ่ี ใหถ้ วาย ข้าวจี่ (ข้าวเหนียวป้นั ชบุ ไข่ทาเกลอื นาไปยา่ งไฟ) เดือนส่ี บญุ พระเวส ให้ฟงั เทศนม์ หาชาติ คอื เทศนเ์ รือ่ งพระ เวสสันดรชาดก เดอื นห้า บุญสรงน้า หรอื บุญสงกรานต์ ใหส้ รงนา้ พระ ผ้เู ฒา่ ผูแ้ ก่ เดือนหก บุญบัง้ ไฟ บชู า พญาแถน ตามความเช่ือเดมิ และบญุ วิสาขบูชา ตามความเชื่อของชาวพทุ ธ เดอื นเจด็ บุญซาฮะ (บุญชาระ)

ใหบ้ นบานพระภมู ิเจา้ ท่ี เลยี้ งผีปู่ตา เดือนแปด บุญเข้าพรรษา เดอื นเก้า บญุ ขา้ วประดบั ดิน ทาบญุ อทุ ศิ ส่วน กศุ ลให้ญาตพิ ่ีนอ้ งผู้ล่วงลบั เดือนสิบ บุญข้าวสาก ทาบุญเช่นเดอื นเก้า รวมใหผ้ ีไมม่ ญี าติ (ภาคใตม้ ีพิธคี ล้ายกัน คอื งานพิธีเดือนสิบ ทาบญุ ให้แก่บรรพบรุ ุษผู้ล่วงลับไปแลว้ แบ่งข้าวปลาอาหารส่วนหนึง่ ให้แก่ผีไม่มีญาติ พวก เด็กๆ ชอบแย่งกนั เอาของทีแ่ บ่งให้ผไี มม่ ีญาติหรอื เปรต เรียกวา่ \"การชิงเปรต\") เดือนสบิ เอ็ด บุญออกพรรษา เดือนสิบสอง บุญกฐิน จัดงานกฐิน และลอยกระทง ภมู ิปญั ญาชาวบ้านในสังคมปัจจุบัน ภมู ิปัญญาชาวบา้ นได้ก่อเกิด และสืบทอดกันมาในชุมชนหมู่บ้าน เม่ือหมู่บ้านเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสังคมสมัยใหม่ ภูมิปัญญาชาวบ้านก็มีการปรับตัวเช่นเดียวกัน ความรู้ จานวนมากได้สูญหายไป เพราะไมม่ ีการปฏิบตั ิสืบทอด เชน่ การรกั ษาพนื้ บ้านบางอย่าง การใชย้ าสมุนไพรบาง ชนิด เพราะหมอยาท่ีเก่งๆ ได้เสียชีวิต โดยไม่ได้ถ่ายทอดให้กับคนอื่น หรือถ่ายทอด แต่คนต่อมาไม่ได้ปฏิบัติ เพราะชาวบ้านไม่นิยมเหมือนเมื่อกอ่ น ใช้ยาสมัยใหม่ และไปหาหมอ ท่ีโรงพยาบาล หรือคลินิก ง่ายกว่า งาน หันตถกรรม ทอผ้า หรือเคร่ืองเงิน เคร่ืองเขิน แม้จะยังเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ก็ได้ถูกพัฒนาไปเป็นการค้า ไม่ สามารถรักษาคุณภาพ และฝีมือแบบดั้งเดิมไว้ได้ ในการทามาหากินมีการใช้เทคโนโลยีทันสมัย ใช้รถไถแทน ควาย รถอีแตน๋ แทนเกวยี น การลงแขกทานา และปลกู สร้างบ้านเรือน ก็เกอื บจะหมดไป มีการจา้ งงานกนั มากขึน้ แรงงานกห็ า ยากกว่าแตก่ อ่ น ผู้คนอพยพย้ายถน่ิ บา้ งกเ็ ข้าเมอื ง บ้างก็ไปทางานท่ีอ่ืน ประเพณีงานบญุ ก็เหลือไมม่ าก ทาได้ กต็ ่อเมื่อ ลูกหลานทีจ่ ากบา้ นไปทางาน กลับมาเยี่ยมบา้ นในเทศกาลสาคญั ๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ เขา้ พรรษา เปน็ ต้น สังคมสมัยใหม่มีระบบการศกึ ษาในโรงเรียน มีอนามยั และโรงพยาบาล มีโรงหนัง วิทยุ โทรทศั น์ และ เคร่ืองบันเทิงต่างๆ ทาให้ชวี ิตทางสังคมของชุมชนหมู่บ้านเปล่ียนไป มีตารวจ มีโรงมีศาล มีเจ้าหน้าที่ราชการ ฝ่ายปกครอง ฝา่ ยพัฒนา และอื่นๆ เขา้ ไปในหมู่บ้าน บทบาทของวัด พระสงฆ์ และคนเฒา่ คนแก่เร่มิ ลดนอ้ ยลง การทามาหากินก็เปลี่ยนจากการทาเพ่ือยังชีพไปเป็นการผลิตเพื่อการขาย ผู้คนต้องการเงิน เพื่อซ้ือเครื่อง บริโภคตา่ งๆ ทาให้ส่ิงแวดล้อม เปลี่ยนไป ผลิตผลจากป่าก็หมด สถานการณ์เช่นนี้ทาให้ผู้นาการพัฒนาชุมชน หลายคน ที่มีบทบาทสาคัญในระดบั จังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ เร่ิมเหน็ ความสาคัญของภูมิปญั ญา ชาวบ้าน หน่วยงานทางภาครฐั และภาคเอกชน ให้การสนับสนนุ และสง่ เสริมใหม้ ีการอนรุ ักษ์ ฟื้นฟู ประยุกต์ และค้นคดิ สิง่ ใหม่ ความร้ใู หม่ เพื่อประโยชนส์ ขุ ของสงั คม

ภมู ปิ ัญญาชาวบ้านด้านการทอผา้ พืน้ บา้ นไทย ประวตั คิ วามเป็นมา ผ้าพื้นบา้ น ผา้ ทอดว้ ยก่หี รอื หูกพน้ื บ้าน ตามกรรมวิธีทีส่ ืบทอดกนั มาแต่โบราณ มกั ทอด้วยฝ้ายหรือ ไหม ผ้าพ้นื บา้ นหรือผา้ ทอมอื มีกรรมวธิ ีการทอตา่ งๆกนั เชน่ ทอเรยี บๆไม่มลี าย เรียกผา้ พ้นื ทอเป็นลวดลาย เรียก ผา้ ยก ทอเปน็ ลวดลายดว้ ยการจก เรียก ผ้าจก ผ้าทอเป็นลวดลายโดยการขิด เรยี ก ผ้าขดิ ทอเปน็ ลวย ลายดว้ ยการมัดยอ้ ม เรยี ก ผ้ามดั หม่ี เป็นต้น ผ้าพน้ื บา้ นของไทยในภาคตา่ งๆ มีกรรมวิธีการย้อม การทอสอดคลอ้ งกับขนบประเพณี และวถิ ชี ีวติ ของแตล่ ะกล่มุ ชน ซงึ่ มรี ูปแบบและการใช้สอยต่างๆกัน เช่น ผ้าซิ่น ผา้ เบี่ยง ผา้ ห่ม ผ้าปูทนี่ อน ผ้าขาวมา้ ยา่ ม และ ตงุ เปน็ ตน้ การทอผา้ แบบพื้นบ้านพน้ื เมอื งในภูมภิ าคต่างๆ ๑. ผ้าพ้ืนบ้านไทย (ภาคเหนือ) ผ้าซิน่ ตีนจก ผา้ นงุ่ ของผหู้ ญงิ ทเ่ี ยบ็ เปน็ ถงุ ประกอบด้วยหัวซิน่ อยู่บนสดุ หรอื สว่ นที่อยู่ตรงเอวตวั ซิน่ อยู่ถัดลงมาและ ตนี ซนิ่ หรือเชิงซ่นิ ซึง่ ทอเป็นลวดลายด้วยการจกจึงเรยี กตนี จกและเรยี กซน่ิ ชนดิ นว้ี า่ ซ่ินตีนจก ขนาดกวา้ งแคบ และส้ันหรอื ยาวของตนี จกตา่ งกนั ไปตามรูปร่างของผา้ นงุ่ และวิธกี ารนงุ่ โดยเฉพาะตนี ซนิ่ จะมีลวดลายและสสี ัน แตกต่างกันไป

ผ้าหลบ ผ้าสาหรับปูทับลงบนฟกู หรอื สลขี องชาวไทยเชอ้ื สายไทยยวนและไทยลอื้ ในภาคเหนือรปู แบบของผ้าหลบจะ แตกตา่ งกนั ไปตามความนิยมของแตล่ ะกลมุ่ ชนชาวไทยยวนนยิ มทอดว้ ยฝ้ายไม่มลี วดลายชาวไทยลอ้ื นยิ มทอ ด้วยฝา้ ยตกแต่งลายขิดที่เชิงผ้าท้ังสองขา้ งให้สวยงาม ผ้าซ่นิ ไทยลอ้ื ผา้ น่งุ ผู้หญิงไทยลอ้ื บริเวณจงั หวดั เชยี งราย พะเยา น่าน หัวซิ่นนิยมตอ่ ด้วยผา้ พน้ื สแี ดงตัวซ่ินทอลายขวางลาตัว ดว้ ยสสี ดเป็นลายคล้ายสายน้าจงึ เรยี กว่า ลายนา้ ไหล ซง่ึ ทอด้วยวธิ ลี ้วงหรือเกาะตนี ซิ่นไมต่ กแตง่ ลวดลายแต่ใช้ ผา้ พน้ื สคี รามต่อตนี ซิ่น

๒. ผ้าพื้นบ้านไทย (ภาคอสี าน) กล่มุ อสี านเหนอื เปน็ กลุม่ ชนเช้ือสายลาวทม่ี ีกาเนิดในบริเวณลมุ่ แม่นา้ โขงและยังมกี ลุ่มชนเผา่ ต่างๆ เชน่ ขา่ ผูไ้ ท โส้ แสก กระเลงิ ยอ้ ซงึ่ กลุ่มไทยลาวน้ีมคี วามสาคัญย่ิงในการผลิตผา้ พ้ืนเมอื งของอีสานส่วนใหญ่เปน็ ผลผลติ จาก ฝ้ายและไหมแม้วา่ ในปัจจุบันจะมีการนาเอาเส้นใยสงั เคราะหม์ าทอรว่ มดว้ ยผ้าทีน่ ยิ มทอกันในแถบอีสานเหนอื คือผ้ามัดหมี่ ผ้าขิดและผ้าแพรวา 1. ผา้ มัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพ้ืนเมืองทใี่ ช้กรรมวิธใี นการย้อมสที ี่เรยี กว่าการมดั ย้อม (tie dye) เพือ่ ทาให้ผ้าท่ีทอเกิดเป็นลวดลายสสี ันต่างๆเอกลักษณอ์ นั โดดเด่นกอ็ ย่ตู รงที่รอยซมึ ของสีท่ีวิง่ ไปตามบรเิ วณ ของลวดลายท่ีผูกมัดและการเหลอ่ื มล้าในตาแหน่งต่างๆของเสน้ ดา้ ยเมอ่ื ถูกนาขึน้ กใ่ี นขณะท่ีทอลวดลายสีสนั อันวจิ ิตรจะไดม้ าจากความชานาญของการผกู มัดและยอ้ มหลายครง้ั ในสที ่ีแตกต่างซง่ึ สืบทอดมาจากบรรพบรุ ษุ การทอผ้ามัดหมี่จะมแี มล่ ายพ้ืนฐาน 7 ลาย คอื หมี่ขอ หมโ่ี คม หม่ีบกั จนั หมี่กงนอ้ ย หม่ดี อกแก้ว หม่ีข้อและ หมี่ใบไผ่ ซึง่ แม่ลายพืน้ ฐานเหล่านี้ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เชน่ จากลายใบไม้ ดอกไม้ชนดิ ตา่ งๆ สัตว์ เป็นตน้ ผ้ามดั หม่ีทีม่ ีชอ่ื เสียงไดแ้ ก่ เขตอาเภอชนบท จงั หวัดขอนแกน่ อาเภอบ้านเขวา จังหวดั ชยั ภมู ิ เปน็ ตน้ 2. ผา้ ขิด หมายถงึ ผ้าที่ทอโดยวธิ ีใช้ไม้เข่ยี หรือสะกิดซอ้ นเสน้ ยนื ขนึ้ ตามจงั หวะท่ตี ้องการเวน้ แลว้ สอด เส้นดา้ ยพุง่ ให้เดินตลอดการเวน้ เสน้ ยืนถห่ี า่ งไมเ่ ท่ากันจะทาให้เกิดลวดลายตา่ งๆ ทานองเดียวกบั การทา ลวดลายของเครื่องจกั สานจากกรรมวิธที ีต่ อ้ งใช้ไม้เกบ็ นจ้ี ึงเรยี กว่า การเกบ็ ขิด มากกวา่ ที่จะเรยี ก การทอขิด ผา้ ขดิ ทีน่ ยิ มทอกนั มอี ยู่ 3 ชนดิ ตามลกั ษณะประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก คือ

ผ้าตีนซิ่น เปน็ ผ้าขิดทีท่ อเพอื่ ใชต้ ่อชายด้านล่างของผา้ ซิ่น เนอื่ งจาก ผ้าทอพ้ืนเมอื งจะมขี อ้ จากัดใน เร่อื งของขนาดผืนผา้ ดังนั้นเวลานุง่ ผ้าซ่นิ ผา้ จะส้ันจงึ ต่อชายผ้าท่เี ปน็ ตีนซิ่นและหวั ซิ่นเพื่อใหย้ าวพอเหมาะ ผ้าหัวซ่ิน กเ็ ช่นเดยี วกันเปน็ ผ้าขิดท่ใี ชต้ อ่ ชายบนของผา้ ซิ่น 3. ผา้ แพรวา มีลักษณะการทอเช่นเดียวกบั ผ้าจก แพรวา มคี วามหมายวา่ ผา้ ไหมหรอื ผ้าฝ้ายท่ีทอเป็น ผืนมคี วามยาวประมาณวา่ หนึง่ ของผูท้ อ ซง่ึ ยาวประมาณ 1.5-2 เมตร -ผ้าแพรมน มลี กั ษณะเชน่ เดียวกับแพรวาแตม่ ีขนาดเลก็ กว่าเปน็ รปู ส่ีเหลยี่ มจัตุรสั นิยมใช้ เชน่ เดยี วกบั ผ้าเช็ดหนา้ และหญิงสาวผู้ไทนยิ มใชโ้ พกผม -ผ้าลายน้าไหล ผ้าลายน้าไหลนี้ท่ีมีชื่อเสียงคือ ซิ่นน่าน (ของภาคเหนือ) มีลักษณะการทอลวดลาย เปน็ ร้วิ ใหญ่ๆ สลับสปี ระมาณ 3 หรือ 4 สี แต่ละช่วงอาจคน่ั ลวดลายใหด้ ูงดงามยง่ิ ขึ้น ผ้าลายนา้ ไหลของอีสาน ก็คงจะไดแ้ บบอยา่ งมาจากทางเหนือ โดยทอเป็นลายขนานกบั ลาตัว และจะสลบั ด้วยลายขดิ เป็นชว่ งๆ

-ผา้ โสร่ง เปน็ ผ้านงุ่ สาหรบั ผู้ชายลกั ษณะของผา้ โสร่งจะทอดว้ ยไหมหรือฝ้ายมีลวดลาย เปน็ ตาหมาก รุกสลับเส้นเลก็ 1 คู่ และตาหมากรุกใหญส่ ลับกันกวา้ งประมาณ 1 เมตร ยาว 2 เมตร เย็บต่อกนั เป็นผนื กลุ่มอสี านใต้ คือกลุ่มคนไทยเช้อื สายเขมรท่ีกระจดั กระจายต้งั ถ่นิ ฐานอยู่ในแถบจังหวัดสรุ นิ ทร์ศรีสะเกษและบุรรี มั ย์ เป็นกลุ่มทมี่ ีการทอผา้ ที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสนั ท่ีแตกต่างจากกลุ่มไทยลาว ผ้ามัดหม่ีในกลุ่ม อสี านใตก้ ็มีการทอเช่นเดยี วกนั นิยมใช้สีท่ที าเองจากธรรมชาตเิ พียงไม่กี่สีทาให้สขี องลวดลายไม่เดน่ ชดั เหมือน กลุม่ ไทยลาวแตท่ ่ีเห็นเดน่ ชัดในกลมุ่ น้ีคือการทอผา้ แบบอื่นๆเพื่อการใช้สอยกนั มาก เช่น ผา้ หางกระรอก จะมีสี เลือ่ มงดงามดว้ ยการใชเ้ สน้ ไหมตา่ งสสี องเสน้ ควัน่ ทบกันทอแทรก ผา้ ปมู เป็นผา้ ทีม่ ีลักษณะการมดั หมี่ท่พี ิเศษเป็นเอกลกั ษณ์ต่างจากถิ่นอ่ืน ผ้าเซยี ม (ลยุ เซียม) ผา้ ไหมท่ี นิยมใช้ในกลุ่มผสู้ งู อายุ ผ้าขดิ การทอผา้ ขิดในกลุม่ อีสานใต้มีท้ังการทอดว้ ยผา้ ฝ้ายและผ้าไหมแต่สว่ นมากมกั จะ ใช้ต่อเป็นตีนซ่ินในหมคู่ นท่ีมฐี านะทางเศรษฐกิจและสังคมดีเพราะชาวบ้านทว่ั ไปไม่นยิ มใชก้ ัน ลักษณะการต่อ ตนี ซิ่นของกลมุ่ น้ีนิยมใช้เชิงต่อจากตัวซ่ินก่อนแล้วจึงใชต้ ีนซิ่นต่อจากเชิงอกี ทหี น่ึงซึ่งแตกต่างจากกลุ่มไทยลาว อย่างเดน่ ชดั

๓. ผ้าพ้นื บ้านไทย (ภาคใต)้ ผ้าพุมเรยี ง ผ้าฝ้ายหรือผา้ ไหมท่ีทอโดยช่างทอผา้ บ้านพมุ เรยี ง ตาบลพุมเรียง อาเภอไชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี ซงึ่ มีชอ่ื เสียงในการทอผ้ายกดอกเป็นลวดลายตา่ งๆท้ังที่ทอยกดอกเตม็ ผนื ผ้า และชนิดทย่ี กดอกเฉพาะเชิงผา้ หรอื ยกดอกสิดดน้ิ เงนิ ด้นิ ทองซ่งึ นิยมทอกันมาแตโ่ บราณ ผ้าเบี่ยงบา้ นนาหมื่นศรี ผ้าสาหรับพาดไหล่ของชาวบ้าน บา้ นนาหมน่ื ศรี ตาบลนาหมืน่ ศรี อาเภอเมอื ง จงั หวัดตรงั มกั ทอเป็นผืน สเี่ หลย่ี มผืนผ้าหน้าแคบชายผ้าทงั้ สองขา้ งทอเปน็ ผ้าพื้นสแี ดงกลางผา้ ทอยกเปน็ สีเหลืองและแดง เป็นลาย เรขาคณิต เช่นลายลกู แก้ว ลายขอ เป็นตน้ ผ้าเบี่ยงใช้หม่ เฉียงไหลห่ รอื พาดไหล่ในงานพิธีต่างๆ ผา้ ยกนครศรีธรรมราช

ผา้ ทอเป็นลวดลายโดยยกและขม่ เสน้ ยนื ข้ึนหรอื ลงไมส่ มา่ เสมอและเพิม่ เส้นพ่งุ เปน็ สองเส้นหรือมากกว่าสอง เสน้ เขา้ ไปเพื่อให้เกิดลวดลายนูนหรอื เพมิ่ ดนิ้ เงินดิน้ ทองเข้าไปให้สวยงามขึ้นผ้ายกมักทอเปน็ เสน้ เลก็ ๆ คลา้ ย ดอกเรยี งกนั ไปบนหนา้ ผ้า บางทเี รียก ผา้ ยกดอก หรือผา้ ยก ผ้ายกเมืองนครเป็นผ้ายกทีม่ ีชอ่ื เสยี งมาแต่โบราณ ๔. ผา้ พื้นบา้ นไทย (ภาคกลาง) ผา้ ซน่ิ ตีนจก หาดเส้ยี ว ผา้ ซน่ิ ตนี จกของชาวไทยเชอ้ื สายลาวพวนบ้านหาดเสย้ี ว ตาบลหาดเส้ยี ว อาเภอศรีสัชนาลยั จังหวัดสุโขทัย นยิ มตอ่ หวั ซน่ิ สองชั้นด้วยผ้าพน้ื สีแดงและขาวตวั ซ่นิ ทอลวดลายขวางลาตวั ตีนซิ่นนยิ มทอลาย จกด้วยสสี ด เชน่ สแี ดง เหลือง สม้ เป็นลวดลายไปจนสุดเชิงซน่ิ หรอื สุดตีนซ่นิ ผ้าซ่นิ ตนี จก คบู ัว

ผ้าซ่ินตีนจกของชาวไทยเช้อื สายไทยยวนตาบลคบู ัว อาเภอเมอื งราชบรุ ี จังหวัดราชบุรี นยิ มตอ่ หัวซิ่นด้วย ผา้ พน้ื สแี ดงและสขี าวตัวซน่ิ นยิ มทอด้วยสเี ข้มมลี ายเปน็ ริ้วๆหรอื ทอยกเปน็ ลายเลก็ ๆขวางตัวซิ่น ตีนซิ่นตกแต่ง ดว้ ยลายจกจนเกอื บสุดตีนซ่นิ แลว้ คั่นด้วยแนวเล็กๆ ผา้ ซนิ่ ตีนจก บา้ นไร่ ผา้ ซ่นิ ตนี จกของชาวไทยเช้ือสายลาวครงั่ อาเภอบ้านไร่ จังหวดั อุทัยธานี นยิ มต่อหัวซิ่นดว้ ยผ้าพืน้ สขี าว หรือไม่ ตอ่ หัวซ่นิ ตัวซน่ิ ทอด้วยลวดลายมัดหมตี่ ีนซน่ิ ตกแต่งดว้ ยลวดลายจกสสี ด เชน่ เหลือง แดง ส้ม ต่อจากลายจกลง ไปทอเป็นพืน้ สีแดงเปน็ แถบไปจนเกอื บสุดตีนหรือเชิงแลว้ ทอสลับดว้ ยสีเหลืองเปน็ แนวเล็กๆ ขวางเชงิ ซ่ิน

ความเป็นมาและความสาคัญของการทาผ้าไหมมดั หมี่ มดั หม่ี มัดหมี่ เปน็ กรรมวธิ ีการทอผา้ แบบหน่งึ ที่อาศยั การยอ้ ม เสน้ ด้ายกอ่ นการทอ ทั้งทีย่ ้อมเฉพาะดา้ ยพงุ่ และย้อมดา้ ยยนื เพือ่ ให้เมอ่ื ทอผา้ ออกมา้ เปน็ ผนื แลว้ เกดิ เป็นลวดลายและสีสนั ตามที่ต้องการ เดมิ นัน้ นยิ มใชเ้ สน้ ไหม แตป่ จั จบุ นั พบการ มัดหมี่ทัง้ เส้นไหม ฝ้าย และเส้นใยสงั เคราะห์ คาว่า \"มัดหม\"ี่ มาจากกรรมวธิ กี าร \"มัด\" เส้นด้ายเป็น กลมุ่ ๆ กอ่ นการย้อมสี สว่ น \"หม่\"ี นั้น หมายถงึ เส้นดา้ ย การ มดั หมใ่ี ชข้ นั้ ตอนยุ่งยาก ต้ังแต่การเตรียมเสน้ ด้าย และมัดเพอ่ื ย้อมสีเปน็ ช่วงๆ กระท่งั ไดส้ ีท่ีตอ้ งการครบถ้วย ซ่งึ ตอ้ งย้อม หลายครั้งด้วยกนั ในภาคเหนอื นิยมเรยี กว่า มดั กา่ น ในต่างประเทศนยิ มใชค้ าว่า ikat ซึง่ เปน็ คาศพั ทภ์ าษา อินโดนเี ซยี -มลายู อาจมคี วามสบั สนระหวา่ งคาวา่ มัดหมี่ และ มัดย้อม ซ่งึ พบได้มากในปจั จบุ ัน กลา่ วคอื มัดหม่ี นั้นเป็น การมดั เส้นด้ายเพ่ือนามาใช้ทอ มหี ลากสี และมลี วดลายที่ละเอียด ส่วน มดั ย้อม นนั้ เป็นการนาผ้าสาเรจ็ มามัด แล้วย้อมสี (มกั จะย้อมครง้ั เดียว สเี ดียว) มีลวดลายขนาดใหญ่ ไมเ่ นน้ ลักษณะของลวดลายให้ชดั เจนนกั ผา้ มดั หม่ีพบได้ในหลายภูมิภาคในทวีปเอเชยี (อินเดยี จีน ญป่ี นุ่ อนิ โดนีเซีย ไทย ลาว เปน็ ต้น) และอเมรกิ าใต้ (อารเ์ จนตนิ า, เมก็ ซโิ ก, กวั เตมาลา เปน็ ต้น) แตช่ าวตะวนั ตกมกั ร้จู ักผ้ามัดหมี่ของมลายู-อินโดนเี ซีย และเรียก \"ikat\" ตามไปดว้ ย ผ้ามัดหมีใ่ นประเทศไทย ผา้ มัดหมี่ในประเทศไทยพบไดม้ ากในภาคอีสาน โดยการมดั เปน็ ลวดลาย เชน่ ลายนาค ลายโคม สัตว์ ดอกไม้ ใบไม้ ฯลฯ โดยนยิ มมดั เฉพาะเสน้ พุ่ง อยา่ งไรก็ตาม ในหม่ชู ่างทอแถบอสี านใต้ เช่น จงั หวดั สุรนิ ทร์ มี การทอผ้าทม่ี ัดทัง้ ด้ายยืนและด้ายพงุ่ เกดิ เป็นลายตาราง หรือกากบาท ผา้ จากการมดั หมี่ อาจทอด้วยกรรมวธิ กี ารทอสองตะกอตามปกติ หรอื ทอสามตะกอ เพ่ือให้ได้ลวดลายใน เนอ้ื ผา้ ที่ละเอยี ดเพ่มิ ขึน้ ก็ได้ ความสาคญั ของผา้ มัดหมี่ ผา้ มัดหมี่ คือ ผ้าท่ีทอจากด้ายหรือไหมที่ผกู มัดแล้วย้อมโดยการคดิ ผกู ให้เป็นลวดลาย แล้วนาไปย้อมสี ก่อนทอ เป็นศลิ ปะการทอผ้าพ้นื เมืองชนดิ หน่งึ ทนี่ ยิ มทากันมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างย่ิงในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในภาคกลางบางจงั หวดั อาทิ จงั หวัดชัยนาท จงั หวัดอุทัยธานี จงั หวัด สุพรรณบรุ ี จังหวัดกาญจนบรุ ี จังหวดั ลพบรุ ี ภาคเหนือมกี ารทอที่จงั หวัดเชียงใหม่ และจังหวดั นา่ น เปน็ ต้น

กระบวนการทาผ้ามัดหมนี่ น้ั ในขน้ั ตอนการสรา้ งลวดลายจะตอ้ งนาเส้นใยฝ้ายหรอื เส้นใยไหมไปค้น ลาหมี่ให้ได้ตามจานวนที่เหมาะสมกับลวดลาย แล้วจึงนาไปขึงเข้ากับ “โฮงหมี่” โดยจะใช้เชือกมัดส่วนท่ีไม่ ต้องการให้ติดสี เรียกวา่ การ “โอบ” ในอดีตใช้เชือกกล้วย ตอ่ มานิยมใช้เชือกฟางพลาสตกิ การมัด จะต้องมัด ให้แน่นตามลวดลายท่กี าหนดไวแ้ ลว้ นาไปยอ้ มสจี ากน้ันตากแดดให้แห้ง เม่อื นามาแกเ้ ชอื กออกจะเห็นสว่ นทม่ี ัด ไวไ้ ม่ตดิ สีท่ยี อ้ ม หากต้องการให้ลวดลายมหี ลายสี จะต้องมัดโอบอกี หลายคร้งั ตามความตอ้ งการ ตาแหน่งท่ีมัด ให้เกิดลวดลายน้ัน จะต้องอาศัยทักษะเชิงช่างท่ชี านาญและแม่นยา เพราะช่างมัดหมี่ของประเทศไทยไม่ได้มี การขีดตาแหน่งลวดลายไว้ก่อนแบบประเทศอื่นๆ ตาแหน่งการมัดลวดลาย จึงอาศัยการจดจาและส่ังสมจาก ประสบการณ์ ในกระบวนการทอ ช่างทอผ้ามัดหมี่จะต้องระมัดระวัง ทอผ้าตามลาดับของหลอดด้ายมัดหม่ีที่ ร้อยเรียงลาดับไว้ให้ถูกต้อง และจะต้องใช้ความสามารถในการปรับจัดลวดลายที่เหล่ือมล้ากันท่ีเกิดจาก กระบวนการย้อมสีให้ออกมาสวยงาม กลวิธีการทอผ้ามัดหม่ีจึงเป็นภูมิปัญญาด้านงานช่างฝีมือดั้งเดิมท่ีต้อง อาศัยทกั ษะเชิงช่างช้นั สูง ลวดลายมัดหม่ีท่ีมกี ารสืบทอดตอ่ กันมาต้งั แต่โบราณน้ันส่วนใหญไ่ ดแ้ รงบนั ดาลใจจากธรรมชาติ สง่ิ แวดล้อมในวถิ ีชีวติ ความเช่ือและขนบธรรมเนยี มประเพณี อาทิ ลายดอกแก้วลายตน้ สน ลายโคมห้า ลาย โคมเจด็ ลายบายศรี ลายกวาง ลายนกยูง ลายเตา่ ลายพญานาค ฯลฯ ผา้ มดั หมีม่ บี ทบาทในวิถีชีวิตต้งั แตเ่ กดิ จนตาย หญิงสาวต้องทอผา้ เพ่ือทาเปน็ เครอ่ื งนุ่งห่ม วัสดเุ ส้นใย ทั้งฝ้ายและไหมบ่งบอกถงึ ศักยภาพทางการค้า เพราะเปน็ วสั ดทุ ใ่ี ช้แลกเปลยี่ นซอื้ ขายมาแต่โบราณ สว่ นวสั ดุ ยอ้ มสีธรรมชาตสิ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงความอุดมสมบรู ณข์ องพันธพุ์ ชื ในประเทศไทยที่มีความหลากหลาย ซึ่งชว่ ยให้ ผ้ามัดหม่ีของไทยมีสีสนั เฉพาะตัว และยังสะท้อนไปถงึ ความเชยี่ วชาญของแตล่ ะกล่มุ ชนในการยอ้ มสีธรรมชาติ ปัจจบุ นั การถ่ายทอดความรู้ดา้ นการผลิตผ้ามดั หมีย่ ังคงมีอยบู่ า้ งตามชนบท แต่เยาวชนรุ่นใหมท่ ีต่ ้งั ใจสืบทอด การทอผา้ มจี านวนลดลง และหลายชมุ ชนก็ไม่สามารถสืบทอดภูมิปญั ญาการทอผา้ มัดหมไ่ี ว้ได้ จึงจาเปน็ ที่ หนว่ ยงานที่เกย่ี วขอ้ งได้รว่ มกนั อนุรักษ์และสบื สานให้มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมแขนงนีค้ งอยสู่ ืบไป การศกึ ษาภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ ด้านการทอผ้าไหมมดั หม่ี จากนางสวาท ปอทอง นั ก เ รี ย น โ ร ง เ รี ย น ผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลเมืองวงั นา้ เย็น อาเภอวังน้าเยน็ จังหวัดสระแกว้ ในครั้งน้ี ทาให้ได้เรยี นรู้วิถี พื้นบ้านในสมัยโบราณ การดาเนินชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์จากอดีตสู่ปัจจุบัน การถา่ ยทอดภูมิปัญญาพืน้ บ้านการทอผ้าไหมมดั หมี่ ของนางสวาท ปอทอง ท่ีได้รบั การถ่ายทอดมาจากคณุ แม่ ทอ่ี ยู่บ้านโคกสะอาด ตาบลโนนคณู อาเภอกันทรารมย์ จังหวดั ศรสี ะเกษ คณุ แม่ได้สอนการทอผ้าใหก้ ับคุณยาย สวาท ปอทอง ในช่วงที่ว่างจากการเก็บเกี่ยว การทานา ชาวบา้ นในหมู่บ้านจะทอผ้าเพื่อใช้เป็นเคร่ืองนุ่งห่ม โดยเริม่ เรยี นรู้การทอผ้ามาต้ังแต่อายุ 13 ปี จากนน้ั คณุ ยายไดย้ า้ ยท่อี ยมู่ าอยู่กับสามีท่ีบา้ นชัยณรงค์ ตาบล วงั น้าเยน็ อาเภอวังน้าเย็น จงั หวัดสระแก้ว เม่ือปี พ.ศ. 2522 ประกอบอาชีพทานา ทาไร่ และในชว่ งท่ีว่าง จากการทานา ก็จะทอผา้ ไวส้ าหรบั ทาเคร่อื งนุง่ หม่ คณุ ยายมีความสมารถพเิ ศษในการคดิ ค้นลายผา้ ไหม ผา้ ฝ้าย โดยมกี ารส่งผา้ ไหมเข้าประกวดในงานกาชาดจงั หวัดสระแกว้ ไดร้ บั รางวัลชนะเลศิ การประกวดผ้าไหมมดั หมี่ ประจาปี 2546 และคุณยายสวาท ปอทอง ได้ถ่ายทอดภูมปิ ญั ญาด้านการทอผ้าให้กับลูกๆ เชน่ เดยี วกนั ดังน้นั การสบื ทอดความคิด ความเชอ่ื และวัฒนธรรมทางสังคม จากคนรุน่ เกา่ สู่คนรนุ่ ใหม่เพ่ือสืบทอดภูมิปญั ญา ทอ้ งถิน่ ท่มี อี ยู่ให้คงอยู่ควบค่กู ับการพัฒนาเปน็ อาชีพ และรายได้ของชุมชนสืบต่อไป

ขนั้ ตอนการทาผา้ ไหมมดั หม่ี ผ้าไหมมัดหม่เี ปน็ ผ้าไหมทม่ี กี ารผลิตกันมากในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื , ส่วนหนึง่ ได้รบั อิทธิพลมา จากเขมร และลาว และเป็นผ้าที่มีการใชก้ นั มากในราชสานักสมยั โบราณ ลวดลายมัดหมไ่ี ดม้ กี ารประยกุ ต์ ผสมผสานกบั ลวดลายสมัยใหม่ตามสมยั นยิ มมากมาย จนปจั จุบนั ได้มกี ารพฒั นาเพอ่ื เอาใจลูกค้าดว้ ยการทอผ้า ไหมมัดหม่ีผสมกับผา้ สีพ้ืน เพื่อการนาไปตดั เป็นชุดสาหรบั สตรี เปน็ ต้น สมยั โบราณการผลิตผ้าไหมมัดหม่ีสธี รรมชาตใิ นยุคโบราณจะใชส้ ธี รรมชาติ สีท่ไี ดร้ ับการนยิ มกจ็ ะเปน็ สีแดงจาก ครงั่ เหลืองจากเขหรือประโหด เขียวเกดิ จากเหลืองจากเขย้อมทบั กับสีน้าเงินจากคราม และสีนา้ เงินจากคราม เปน็ ต้น ขั้นตอนการผลิตผ้าไหมมดั หมส่ี ธี รรมชาติแบบโบราณ ขน้ั ตอนการผลติ จะตอ้ งมีการจัดเตรียมหา อุปกรณใ์ นการทอผ้าให้เรยี บร้อย ซึ่งประกอบดว้ ย - โฮงค้นหมี่ เพอื่ การค้นเส้นไหมหรอื จดั ระเบยี บการเรียงเสน้ ไหมเพ่ือการทาหวั หมี่ - โฮงมัดหมี่ เพื่อการขงึ หวั หมี่ที่ได้มาจากโฮงคน้ หม่ี เพอ่ื ทาการขงึ ตงึ หวั หมี่ไหมในการเตรียมพรอ้ ม ทีจ่ ะมัดลวดลาย

- อกั หรือกวัก เป็นอปุ กรณส์ าหรบั การกรอเส้นไหมจากไจไหม - กง เป็นอปุ กรณ์สาหรับใสไ่ จไหมเพ่ือทาการกรอเขา้ ไปใส่อกั

- ไน เป็นอปุ กรณใ์ ช้สาหรับการกรอเส้นไหมเข้าหลอดเพ่ือนาไปใส่ในกระสวยสาหรับการทอผ้า หรือ เปน็ อปุ กรณ์สาหรับการควบตเี กลียวเส้นไหมไทยหัตถกรรม - หลอด สาหรบั ใส่เส้นที่ใช้ไนกรอ เปน็ เส้นพ่งุ

- กระสวย ใช้ใสห่ ลอดเสน้ ทีก่ รอเสน้ ไหมใสแ่ ล้ว เพื่อการทอผา้ - กี่ทอผ้า ประกอบด้วยโครงส่เี หลี่ยม และเป็นทต่ี ั้งฟมื ท่ีเก็บตะกอเรยี บรอ้ ยแลว้

- ฟืม เป็นอปุ กรณท์ ีใ่ ช้ในการจัดเรยี งเสน้ ไหมใหเ้ ป็นระเบียบ - หลักเฝือ เป็นอุปกรณใ์ นการคน้ เครอื เส้นยืน ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนตา่ งๆ ดังนี้ การค้นเครือเสน้ ยนื นาไจเสน้ ไหมยนื มาสวมใส่เขา้ กงเพื่อกรอเสน้ ไหมเขา้ อกั นาอกั ทีก่ รอเส้นไหมแลว้ ไปทาการค้นเครอื เสน้ ยืน หรอื ท่เี รียกวา่ การเดนิ เสน้ ยนื นาเครอื เส้นยืนทีค่ น้ เสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ ไปทาการสบื หกู หรือการตอ่ เส้น ยนื กับฟืมทอผ้าทีไ่ ด้เตรยี มไว้ การต่อเสน้ ยืน คอื การนาเส้นไหมเส้นยืนมาผกู ต่อกับเส้นด้ายในซฟี่ นั หวีโดยทา การตอ่ ท่ีละเสน้ จนหมดจานวนเส้นยืน เช่น หากหน้ากวา้ งของผา้ เท่ากับ 22 หลบ กจ็ ะต้องทาการต่อเส้นยืน เท่ากับ 1,760 เส้น เมอ่ื ต่อเส้นไหมเขา้ กับเส้นด้ายทีอ่ ยู่ในซฟี่ ันหวเ่ี รยี บร้อยแล้ว กใ็ ห้ทาการม้วนเสน้ ยืนด้วย แผน่ ไม้ในกรณีท่เี ดนิ เส้นยืนไวย้ าว แตห่ ากเส้นยืนทเ่ี ดนิ ไวไ้ มย่ าวมากกใ็ หน้ าไปขน้ึ กที่ อผ้าได้เลย แล้วทาการ จดั เรยี งระเบยี บของเส้นไหมตามชอ่ งฟันฟมื ให้เป็นระเบยี บของเสน้ ไหมตามช่องฟนั ฟมื ทาการขงึ ตงึ เสน้ ไหม

ด้วยไมม้ ว้ นผา้ ท่ีติดอยกู่ ับกท่ี อผ้า แลว้ ค่อยๆผลกั ฟมื พรอ้ มตะกอออกจากรอยตอ่ ของเส้นไหมกบั เสน้ ด้าย ทา การทอผา้ ลายขดั คั่นระหว่างรอยตอ่ กบั ชดุ ฟืมและตะกอ เพอ่ื ใหเ้ สน้ ไหมตงึ แน่น และแข็งแรงจากนั้นให้ใชน้ ้าท่ี ได้จากนาข้าวเหนยี วที่นึ่งแล้วมาบ้ีจนได้น้าเหนียวทเ่ี ปน็ น้าใสๆหรอื แป้งมันสาประหลงั ใสทาให้ท่วั เส้นยนื ใชน้ า้ พรมให้เปยี กชุ่มทั่วเสน้ ไหมใชห้ วเี สน้ ยืน ปลอ่ ยให้แห้งหมาดแลว้ เคลอื บดว้ ยข้ผี ึง้ หรอื ไขสตั ว์ สาหรบั สมยั น้ีใชค้ รีมนวดผมแทน เสน้ ยืนทีเ่ ตรยี มได้ก็จะมลี ักษณะเสน้ กลม แข็งแรง เส้นไหมจะมคี วามลนื่ ทา ใหไ้ มแ่ ตกเปน็ ขนจากการเสยี ดสีกบั ชอ่ งฟันฟืมเวลาทอผ้า การเตรียมฟืมทอผา้ นาเสน้ ยนื ท่ีคน้ เครือเสร็จแล้วมาจัดเรยี งเขา้ ฟันหวี โดยใหแ้ ต่ละชอ่ งประกอบด้วยเส้นไหมประมาณ 2 เสน้ หรือตามความตอ้ งการ พรอ้ มขงึ เสน้ ดา้ ยใหต้ ึง จัดเรียงเสน้ ดา้ ยให้เรยี บร้อยรอ้ ย และเก็บตะกอ สาหรบั การ ทอต่อเน่ือง ทม่ี กี ารเก็บตะกอไว้แลว้ จะใชว้ ธิ กี ารสืบเครือหกู โดยนาเสน้ ยืนมาผกู กับเส้นด้ายเดิมทไ่ี ดเ้ ก็บตะกอ ฟืมไว้ก่อนแลว้ ดว้ ยการผกู แตล่ ะเส้นด้ายตามลาดับใหค้ รบทุกเส้น พรอ้ มทาการจดั เสน้ ยืน ตะกอ และฟืมบนก่ี ทอผ้าให้เรียบรอ้ ย พร้อมทอตะกอท่เี หลอื ในชว่ งการต่อเสน้ ดา้ ยใหเ้ รียบรอ้ ยจนหมดจนเรม่ิ เสน้ ด้ายทต่ี อ่ ใหม่ ทัง้ หมด เพื่อให้เสน้ ยืนทจ่ี ะเร่ิมทอตึง แน่นเมอ่ื จดั เรยี งเสน้ ยนื เรยี บรอ้ ย ให้นาน้าแป้งข้าวหรอื น้าแป้งมัน สาปะหลังฉดี พรมหรอื ใช้ผ้าชุบทาให้ท่วั เส้นไหม พร้อมปลอ่ ยให้แห้ง และทาดว้ ยข้ีผึ้งหรอื ไขสตั ว์ เพ่ือให้ เสน้ ดา้ ยมคี วามแขง็ แรง และลน่ื ไมข่ าดงา่ ยหรอื เป็นขุยจาการเสียดสขี ณะการทอ การย้อมสเี ส้นยืน การยอ้ มสี เทคนิคการยอ้ มเส้นยนื ใหท้ าการเตรยี มสีธรรมชาติตามสีทต่ี อ้ งการยอ้ มสี ซง่ึ ลายโบราณท่ี ทาในครัง้ น้จี ะเปน็ ลายมดั หมี่ลวดลายหมขี่ อ้ ซึง่ ในสมัยโบราณจะทอผา้ มดั หมี่ทมี่ ีหมีข่ อ้ และตกแตง่ ด้วยการทอ สอดเสน้ ไหมค่ันโดยทาการทอแบบคา้ เพลาทาให้เส้นไหมทที่ อสอดคนั่ ฟสู วยงาม เปน็ ลวดลายท่ีคนในสมัยกอ่ น มคี วามเชอื่ วา่ เป็นมงคลแก่ผู้สวมใส่คอื แสดงถงึ ความมน่ั คง เฟ่อื งฟู มีการค้าจุนความมนั่ คงของชวี ติ และสีท่ีใช้ จะมีสแี ดง สีเขยี ว เหลอื งสีแดงจะไดม้ าจากคร่ัง ทาการเตรยี มโดยเลอื กครัง่ ท่ีมคี ุณภาพเพอ่ื ให้ได้ระดับความ เข้มของสแี ดงที่สด โดยใชอ้ ัตราสว่ นครัง่ 4 กิโลกรัมตอ่ น้าหนักเส้นไหม 1 กิโลกรัม นาคร่ังมาตาให้ละเอยี ด แล้ว นาไปแชน่ า้ ค้างไว้ 1 คนื แล้วให้นานา้ แชค่ รั่งมากรองเพือ่ แยกสว่ นกากของครั่งออกจากนา้ สยี อ้ มกจ็ ะได้นา้ ย้อม สีแดงท่ไี ดจ้ ากครง่ั จากนนั้ ให้นาสารมอร์เดนธรรมชาติ หรือสารชว่ ยตดั สีธรรมชาติทเี่ ตรียมมาจากการนาใบ เหมอื ดผสมกับใบสม้ โมง ในสัดส่วนทีเ่ ทา่ กนั แลว้ ทาการต้มนาน 1 ชม.ทาการกรองใส แลว้ ทาการผสมกัน ระหว่างนา้ ย้อมสีแดงจากครงั่ กบั น้าสารชว่ ยตัดสีธรรมชาติในอตั ราส่วน 6:1 เพอื่ ปรบั สภาพให้น้ายอ้ มสีมีความ เปน็ กรดอยูท่ ่ีระดับ 3.5 โดยประมาณนาไหมยนื ท่ีทาการลอกกาวไว้เรยี บรอ้ ยแลว้ มาทาการย้อมสีแดงทีผ่ สมกับ สารช่วยตดั สแี ลว้ โดยวิธกี ารย้อมใชก้ ารยอ้ มเย็นก่อน เพอื่ ใหน้ า้ ยอ้ มสคี ่อยกระจายเข้าสเู่ สน้ ไดอ้ ยา่ งท่ัวถึงและ สมา่ เสมอจากนั้นจงึ ยกวางบนเตาไฟเพ่อื เพ่มิ อุณหภูมิ ประมาณ 90-95 องศาเซลเซียส ยอ้ มนาน ประมาณ 30 นาที ในระหวา่ งการย้อมสใี หท้ าการกลับเสน้ ไหมอยา่ งสมา่ เสมอ เพ่อื ใหเ้ กิดประสทิ ธภิ าพการยอ้ มสที ี่ดี จากนนั้ ทาการลา้ งเสน้ ไหมจนกระทั่งนา้ ลา้ งเส้นไหมใสสะอาดไมม่ ีสเี จอื ปนอย่ใู นน้าลา้ งเสน้ ไหม บบี นา้ ออก แลว้ ตาก พึ่งแห้ง ก็จะได้เสน้ ยืนท่สี มบรู ณแ์ บบ

การค้นเสน้ พุง่ ใชโ้ ฮงมดั หม่ีแบบโบราณทีเ่ ป็นไม้มีหลัก 2 หลัก ขนาดของโฮงหมี่ หนา้ กว้างของผนื ผ้า และขนาดของ ฟืมทอผ้าจะมีความสัมพันธ์กัน นาเส้นไหมที่ลอกกาวแล้ว มาค้นเส้นพุ่ง การค้นแต่ละลายจะมีจานวนลาไม่ เท่ากันขึ้นอยู่กับลาย เช่น ลายหม่ีข้อโบราณ ท่ีกาลังจะกล่าวในรายละเอียด ประกอบด้วยลายต่างๆ คือ ลาย หมากจบั ลายขอ ลายขาเปีย ลายปราสาท จะมีจานวนลาเท่ากับ 41 แต่ละลามี 4 เส้น ทาการค้นเส้นพุ่งโดย การค้น 2 รอบต่อลา แตล่ ะลาทาไพคั่นไวโ้ ดยไพท่บี ริเวณกงึ่ กลางของโฮงหมี่ เมื่อค้นเส้นพุ่งไปจนลาสุดท้าย คือ ลาที่ 41 กใ็ ห้ทาการค้นหมย่ี ้อนถอยจากลาท่ี 40 กลบั มาสุดท่ลี าท่ี 1 การค้นครบ 1 รอบ คือ เท่ากับ 1 ขีน ใน ลายหมขี่ อ้ โบราณนี้ ทาการค้นหม่ปี ระมาณ 7 ขนี ทอผ้าได้ 1 ผนื ขนาดเสน้ ไหมที่ใชค้ ือ 150/200 ดีเนียร์ หรือ ประมาณเส้นไหมหน่ึง(น้อย) ที่เกษตรกรสาวได้เนื่องจากจานวนขีนจะเปลี่ยนไปตามขนาดของเส้นไหมท่ีใช้ ดังเช่นลายหม่ีข้อโบราณที่กล่าวมาแล้วใช้ขนาดเส้นไหม 150/200 ดีเนียร์ ค้นเส้นพุ่ง 7 ขีน ได้ผ้าไหม 1 ผืน หากใช้เส้นไหมขนาดเล็กกว่าจานวนขีนกจ็ ะเพ่ิมขน้ึ และหากเส้นไหมท่ีใชข้ นาดใหญ่กว่าจานวนขีนกจ็ ะลดลง ทั้งนเี้ นอื่ งจากขนาดของเส้นไหมจะมีความสัมพันธ์กับความยาวของของเส้นไหมโดยตรง เมื่อทาการค้นหมเ่ี สร็จ เรียบร้อยแลว้ มัดหัวหมี่ทงั้ 2 ดา้ นตามลาที่ทาไพไว้ เพ่ือเป็นการแบ่งเรียงเสน้ ไหมแตล่ ะลาให้เป็นระเบียบและ ใหล้ ายทีม่ ัดไวต้ ่อเน่ืองและถูกต้อง การมดั ลวดลาย ทาการมดั ลายตามท่อี อกแบบไว้ ส่วนใหญ่ลวดลายมัดหมโี่ บราณจะประกอบด้วย 2 สหี ลกั คอื สีแดง และสีขาว แตจ่ ะมีการเพิ่มสีสันในกระบวนการทอดว้ ยการทอสอดเส้นไหมแบบค้าเพลาในการคั่นลวดลายบน ผนื ผา้ ปัจจบุ ันการมัดลายหมี่จะใช้เชือกฟาง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดตน้ ทุนการผลิตในสมยั โบราณ การทาผ้าไหมมดั หม่ีจะมคี วามพถิ ีพถิ นั และเป็นธรรมชาตจิ รงิ ๆ การมดั ลายจะใชเ้ ชอื กจากกาบตน้ กล้วยพนั ธุ์ พ้นื บ้าน ซ่งึ ชาวบา้ นเรยี กว่า พันธก์ุ ล้วยนวล ลกั ษณะพิเศษ คือโคนลาต้นใหญ่ ขยายพันธด์ุ ว้ ยเมล็ดไมส่ ามารถ ขยายพนั ธ์ดุ ้วยหนอ่ ได้ ปจั จบุ ันยงั คงมตี ามหมู่บา้ นทมี่ ีการทอผา้ ในสมัยโบราณผูท้ อผา้ ไหมมัดหม่ี จะต้องทา เชอื กกลว้ ยนวลโดยการนาเอากาบของตน้ มาลอกแตส่ ่วนทเี่ ปน็ เปลือกด้านนอก ทาการฉีกเป็นเสน้ เลก็ นาไป ตากแดดจนแห้งเชอื กกล้วยท่ไี ด้มคี วามเหนียวมาก จงึ ทาให้นามามัดลายหม่ีได้ การมดั ลายเร่ิมตน้ ด้วยการมดั เก็บสขี าว ด้วยลวดลายหมากจบั ซ่ึงเปน็ ทนี่ ยิ มมากเพราะเป็นลวดลายเล็กๆ จากน้ันจงึ มัดลายหมี่ข้อเปน็ ระยะๆ มัดลายขอ ตามดว้ ยลายขาเปีย และลายปราสาทหรอื เรยี กอกี ชือ่ วา่ ลายเสา รวมเป็น 5 ลาย ซงึ่ ในการ มัดลายสามารถทาได้ 2 วิธี คอื การมดั ลายทุกลายในหวั หมเี่ ดยี วกนั หรือทาการมดั แยกแต่ละลายในแต่ละหวั หม่กี ไ็ ด้ แล้วมาต่อลายในขน้ั ตอนการทอผ้า การยอ้ มสหี ัวหมีท่ ี่มัดลายเรยี บรอ้ ยแล้ว นาหัวหมท่ี ีม่ ดั ลายไปย้อมสีด้วยสีแดงจากครง่ั ท่ีได้เตรยี มไวแ้ ลว้ โดยทาการย้อมเย็นกอ่ นเพื่อให้นา้ สี แทรกซึมเข้าไปในเสน้ ไหมอย่างสม่าเสมอทัว่ ทั้งหวั หม่ี แล้วนาไปต้งั เตาเพ่มิ ความรอ้ นใหน้ า้ ย้อมสีจนกระทง่ั 90 องศาเซลเซยี ส ประมาณ 30 นาที แล้วจึงมาล้างสีดว้ ยนา้ สะอาดจนนา้ ทีใ่ ช้ลา้ งสีใส ไม่มสี ีเจอื ปนอยู่ บบี ให้แหง้ นาไปตากผ่งึ ให้แหง้ ทาการแกะเชือกมดั ลายออก กจ็ ะได้ลวดลายมดั หม่ีจานวน 2 สี คอื สีแดง กบั สีขาว 4 การปั่นเสน้ ไหมจากเขา้ หลอดให้นาหวั หมท่ี ่แี กะเชือดฟางออกเรียบร้อยแลว้ ใส่ในกง ทาการกรอเส้นไหมเขา้ อกั จากนนั้ จึงทาการป่ันเสน้ ไหมจากอกั เข้าหลอดด้วยไน นาหลอดเสน้ ไหมไปรอ้ ยเรยี งใสใ่ นเชอื ดตามลาดับ เพอ่ื ใหก้ ารเรียงลวดลายถกู ตอ้ ง

การเตรียมเส้นพุง่ การค้นเส้นพงุ่ นาเส้นไหมท่ีลอกกาวแลว้ มาค้นเสน้ พ่งุ โดยใช้โฮงมัดหม่โี บราณทีเ่ ปน็ ไม้มีหลัก 2 หลกั โดยการคน้ เส้น พุงแต่ละลายจะมจี านวนลาไม่เทา่ กนั ข้ึนอยู่กับลาย เชน่ ลายหมขี่ อ้ โบราณจะมลี าประมาณ 41 ลา โดยแต่ละ ลาจะมี 4 เสน้ ดา้ ย โดยการทาไพคั่นตรงกลางระหว่างลาไว้ การคน้ เส้นพงุ จะทาการคน้ ประมาณ 2 รอบ ของ แต่ละลาไปกลับ เมื่อทาการคน้ เสร็จแล้วใหท้ าการมัดหวั ลาตามไพท่ีค่นั ไว้ การมัดหมี่ การมดั หมีเ่ ปน็ กระบวนการมัดตามจุดจากลายที่ออกแบบดว้ ยเชอื กฟางหรือเชอื กชนดิ อนื่ ๆ แต่ ปัจจุบันนยิ มใชเ้ ชือกฟางเพราะหาซอ้ื งา่ ย และสะดวกกวา่ หลงั จากนน้ั นาเสน้ ไหมออกจากโฮงมาย้อมสตี ามครัง้ ของเฉดสที ี่ตอ้ งการหรอื ตามการที่มัดหมีไ่ ว้ โดยบรเิ วณทีม่ ัดหมี่ไว้จะไม่ติดสี สาหรบั การย้อมซ้าตอ้ งย้อมหลัง การนาเส้นไหมที่ย้อมคร้ังแรกตากแดดให้แห้งเสียก่อน การมัดหม่ีเริม่ ด้วยการมัดเกบ็ ขาว โดยการมดั หม่ีแบ่งเปน็ 2 วิธี คอื 1. การมัดลายทกุ ลายในหวั หม่เี ดยี วกัน 2. การมดั แยกแตล่ ะลายในหัวหมี่แลว้ นามาต่อในขนั้ ตอนการทอผ้า

การกรอเสน้ ไหมเข้าหลอด โดยการนาหัวมดั หม่ที ่ีแกะเชือกฟางออกแลว้ ใส่ในกงเพ่ือกรอเส้นไหมเขา้ อกั จากน้ันทาการกรอเสน้ ไหมจากอกั เขา้ หลอดด้ายด้วยไน ซึ่งจะต้องเรยี งลาดบั หลอดดา้ ยตามหลายลายสีท่อี อกแบบไว้ การทอผ้ามดั หม่ี การทอผ้าไหมจะเริม่ เมือ่ เตรยี มฟืม และเส้นพงุ่ เสรจ็ แลว้ โดยใช้หลอดดา้ ยท่ีเรียงลาดบั เฉดสีหรือลายไว้ แล้วใส่ในกระสวยเพ่อื ทอด้วยการพ่งุ กระสวยผ่านรอ่ งสลบั ของลาไหมไปมา ซา้ ยขวา จนสุดเส้นยืน

ขอ้ เสนอแนะ 1.ควรประยุกต์ลายผา้ ให้ทนั สมยั เข้ากับยุคเทคโนโลยใี นปัจจุบัน 2. ใช้สยี อ้ มผ้าจากธรรมชาติ การนาภูมิปญั ญาการทอผา้ ไหมมัดหม่ไี ปใช้ในการดาเนนิ ชวี ติ 1. เพ่ือสืบสานภูมิปญั ญาทอ้ งถิน่ เรอ่ื งการทอผา้ ไหมมัดหม่ีสู่ลกู หลานสืบตอ่ ไป 2. เพ่ือนาความรทู้ ่ไี ด้มาประกอบอาชีพ 3. ทาให้ผู้สงู อายไุ ด้ใช้เวลาว่างใหเ้ กดิ ประโยชน์

บรรณานุกรม การคน้ เส้นยนื . / สบื ค้นเมอ่ื วันที่ 20 มกราคม 2561 จาก https://www.google.com/ การทอผา้ ไหมมัดหม่ีสสู่ ากล : ขั้นตอนการทอผ้าไหมมัดหม่ี สืบคน้ เม่อื วนั ที่ 20 มกราคม 2561 http://thaiphamai.blogspot.com/2014/02/blog-post_20.html/ https://www.google.com/ ขัน้ ตอนการทอผา้ ไหม /สืบค้นเมือ่ วันท่ี 20 มกราคม 2561 จาก https://www.google.com/ ขน้ั ตอนการมัดหม่ี /สบื ค้นเมือ่ วันที่ 20 มกราคม 2561 จาก https://www.google.com/ ประวัติผา้ ไหมมดั หมี่ สืบคน้ เมอ่ื วนั ท่ี 20 มกราคม 2561 https://www.qsds.go.th/monmai/cloth_history.php?cloth_id=3 ฟืม / สืบค้นเมื่อวนั ท่ี 20 มกราคม 2561 จาก https://www.google.com/ รปู ภาพ ประวตั ิผ้าไหมไทย/ สืบค้นเมื่อวันท่ี 20 มกราคม 2561 จาก /https://www.qsds.go.th/monmai/cloth_history.php?cloth_id=3/ สาวติ รี สวุ รรณสถิต : สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน เลม่ ที่ 21 พ.ศ. 2536 http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=21&chap=3&page=t21-3- infodetail03.htm หลักเฝือ / สืบคน้ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2561 จาก https://www.google.com/รูปภาพ อกั / สืบค้นเมือ่ วันที่ 20 มกราคม 2561 จาก https://www.google.com/รูปภาพ

ภาคผนวก - ประวตั ิผจู้ ดั ทาภูมิปญั ญาศกึ ษา - ภาพประกอบ

ประวตั ิผถู้ า่ ยทอดภมู ปิ ญั ญา ช่ือ: นางสวาท ปอทอง เกดิ : 25 มถิ นุ ายน 2484 อายุ 77 ปี ภูมิลา้ เนา : ตาบลกนั ทรารมณ์ อาเภอกนั ทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ท่ีอยปู่ ัจจุบัน: บา้ นเลขท่ี 4 หมู่ 11 ตาบลวงั นา้ เยน็ อาเภอวงั น้าเยน็ จงั หวัดสระแก้ว สถานภาพ: สมรส กับ นายพิม ปอทอง มีบตุ รดว้ ยกนั จานวน 7 คน ดงั นี้ ๑. นายอาจ ปอทอง 5. นางกอ้ น เบญจพรรณ ๒. นายวาน ปอทอง 6. นางสาวรฐั ดาณัฐ ปอทอง ๓. นายสมาน ปอทอง 7. นางอบุ ล ศรกี ่า ๔. นางกา้ น ปอทอง การศึกษา: ประถมศกึ ษาปีที่ ๔ โรงเรยี นบา้ นโคกสะอาด ตาบลโนนคูณ จังหวดั ศรสี ะเกษ ปัจจบุ ัน ประกอบอาชีพ : ทานา ทาไร่ ประวตั ิผู้เรียบเรียงภูมปิ ญั ญาศกึ ษา ชื่อ: นางทชิ ากร โพธิ์จนั ทร์ เกิด : 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2522 อายุ 40 ปี ภมู ิล้าเนา : 1689/20 หมู่ 1 ตาบลวงั น้าเย็น อาเภอวังนา้ เยน็ จงั หวัดสระแกว้ ท่ีอยู่ปจั จบุ นั : 1689/20 หมู่ 1 ตาบลวังนา้ เย็น อาเภอวังน้าเย็น จงั หวัดสระแกว้ สถานภาพ : สมรส การศกึ ษา : ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (ศษ.ม) ปัจจบุ นั ประกอบอาชีพ : รบั ราชการ

ภาพประกอบการจัดท้าภมู ิปัญญาศึกษา เร่อื ง ผ้าไหมมดั หมี่

ลงพื้นที่ที่สัมภาษณ์คุณยายสวาท ปอทอง ณ บ้านชัยณรงค์ เพ่ือเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ภูมปิ ัญญาการทอผ้าไหมมดั หม่ี ประวตั สิ ่วนตวั ขนั้ ตอน วัสดุ อปุ กรณต์ า่ งๆ ผลงานท่คี ุณยายสวาท ปอทอง ภาคภูมิใจ คุณยายไดร้ ับรางวลั ชนะเลิศ การประกวดผ้าไหม ในงานกาชาดจงั หวดั สระแกว้ ประจาปี 2546

คณุ ยายสวาท ปอทอง ไดถ้ ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผา้ ไหมมัดหมี่ ใหแ้ ก่ลกู สาวของคุณยาย ลูกสาวคุณยายได้รบั การถ่ายทอดภูมปิ ญั ญามาจากคุณยาย สามารถถ่ายทอดให้รุ่นลูกรุ่นหลาน สืบไป ผลิตภัณฑ์ทคี่ ุณยายสวาท ปอทอง ไดท้ อขึน้ มา ได้แก่ ผ้าไหมมดั หมี่ ผ้าโสร่ง ผา้ ขาวม้า ผา้ ถุง ผา้ ฝ้าย

ผา้ ไหมมัดหมท่ี ่ีคณุ ยายได้ทอ และเกบ็ ไวเ้ พอื่ ส่งตอ่ ให้ลกู หลาน และสามารถนามาขายเพอ่ื สร้างรายไดเ้ สริม ใหแ้ ก่คณุ ยายได้ คณุ ยายกาลงั เริ่มต้นกระบวนการสืบหูก เป็นขั้นตอนการทอผา้ ไหมในส่วนของการทาเสน้ ยืน โดยทาการต่อเสน้ ยืนเข้ากบั หูก ข้นั ตอนนเ้ี ป็นขั้นตอนทล่ี ะเอียดมากตอ้ งต่อเสน้ ไหมทีละละเสน้ เข้ากบั หกู ให้เรียงเส้นให้ถกู ต้อง ถา้ ไมถ่ ูกตอ้ งเส้นไหมจะขีนกันหรือสานกนั ไปมา จะมปี ัญหาใน การทอ

เรียนรกู้ ารทาผา้ ไหมกบั คณุ ยายสวาท ปอทอง ในข้นั ตอนของการสบื หกู เปน็ ขนั้ ตอนที่ ละเอียดและตอ้ งใช้สมาธิเป็นอย่างมาก เส้นไหมท่คี ณุ ยายได้ทาการมัดยอ้ ม และทาลวดลายเรยี บร้อย รอขัน้ ตอนการปั่นใสหลอดเพือ่ เปน็ เส้นไหมทใี่ ช้ในการทอต่อไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook