Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือปริวาสกรรม

คู่มือปริวาสกรรม

Published by rakasa2528, 2019-10-14 03:59:36

Description: คู่มือปริวาสกรรม

Search

Read the Text Version

คมู อื ปรวิ าสกรรม โดย วดั หนองตนไทร อ.โพธิ์ประทับชาง จ.พิจิตร ปรวิ าสกรรม คอื การอยูช ดใช เรียกสามัญวา “อยกู รรม” เปนชอ่ื ของวุฏฐานวิธี ระเบียบ ปฏบิ ตั สิ าํ หรบั ออกจากครุกาบัติอยางหน่งึ ซงึ่ ภิกษุผูตอ งอาบัตสิ งั ฆาทเิ สสแลวปกปดไว จะตอ ง ประพฤตเิ ปน การลงโทษตนเองชดใชใหค รบเทา จาํ นวนวนั ทปี่ ดอาบตั ิ กอ นท่จี ะประพฤตมิ านตั อนั เปน ข้ันตอนปกตขิ องการออกจากอาบัติตอ ไป, ระหวางอยูป ริวาส ตอ งประพฤตวิ ัตรตา งๆ เชน งด ใชส ิทธบิ างอยาง ลดฐานะของตน และประจานตัวเปนตน ปริวาสกรรมสาํ หรบั พระภิกษสุ งฆนี้ เปนปรวิ าสตามปกตสิ ําหรบั ภิกษุผบู วชอยแู ลว ใน พระพุทธศาสนา แตไปตอง “ครุกาบัติ” จึงจําเปนตอ งประพฤติปรวิ าสเพอ่ื นําตนใหพนจากอาบตั ิ ตามเงือ่ นไขทางพระวนิ ัยและเง่ือนไขของสงฆ เรยี กอีกอยางหนึง่ วา “การประพฤติวฏุ ฐานวธิ ี” คู่มือปริวาสกรรม 1

การประพฤตวิ ฏุ ฐานวธิ ี วฏุ ฐานวิธี คือ กฎระเบียบเปนเครอ่ื งออกจากอาบัติ หมายถึง ระเบยี บวิธีปฏบิ ตั สิ าํ หรับ ภิกษผุ ูจะเปลื้องตนออกจากครุกาบัตสิ ังฆาทเิ สส มีท้งั หมด ๔ ข้นั ตอน คอื ๑. ปริวาส หรือ อยูประพฤตปิ รวิ าส หรือ อยกู รรม (โดยสงฆเห็นชอบท่ี ๓ ราตร)ี ๒. มานตั ประพฤติมานตั ๖ ราตรี หรือ นับราตรี ๖ ราตรีแลวสงฆส วดระงับอาบัติ ๓. อัพภาน หรอื การเรยี กเขา หมู โดยพระสงฆ ๒๐ รปู สวดใหอ พั ภาน ๔. ปฏิกัสสนา ประพฤติมลู ายปฏกิ สั สนา (ถา ตองอันตราบัติในระหวา งประพฤติปริวาส หรือการชักเขาหาอาบตั เิ ดมิ ทาํ อาบัตเิ ดมิ ซํ้าอีก) ทัง้ ๔ ข้นั ตอนน้ีรวมกนั เขา เรยี กวา “การประพฤติวฎุ ฐานวิธี” แปลวา ระเบยี บหรือขน้ั ตอน ปฏบิ ตั ิตนเพ่อื ออกจากอาบตั ิ อนั ไดแก “สังฆาทเิ สส” สวนประกอบของการประพฤตวิ ุฏฐานวธิ ี ตอ งประกอบดวยสงฆ ๒ ฝา ย ข้นั ตอนการประพฤติวฎุ ฐานวิธนี ั้น จะตองประกอบดวยคณะสงฆท ่ีทาํ สงั ฆกรรม คือตอง ประกอบดว ยคณะสงฆ ๒ ฝาย ซึง่ คณะสงฆท้งั สองฝายน้ันมีหนา ท่ดี งั นี้ คอื ๑. พระภกิ ษผุ ปู ระพฤตปิ รวิ าส หรอื ภิกษผุ ูอ ยกู รรม หรอื พระลูกกรรม คอื สงฆท ่ีตอง อาบตั ิ แลว ประสงคทจี่ ะออกจากอาบัตนิ น้ั จงึ ไปขอปรวิ าสเพอ่ื ประพฤตวิ ุฏฐานวธิ ี ตามขน้ั ตอนท่ี พระวนิ ัยกาํ หนด ๒. พระปกตตั ตะภกิ ษุ หรอื คณะสงฆพระอาจารยกรรม (หรือพระพเ่ี ลีย้ ง) ซึง่ เปน สงฆฝ า ย ปกติไมไ ดตองอาบตั ิ ที่พระวินยั กาํ หนดใหเปนผูควบคมุ ดแู ลความประพฤติของสงฆฝ า ยแรกผขู อ ปรวิ าส ซึ่งสงฆที่ทําหนาที่ควบคุมดูแลอนเุ คราะหเ ก้อื กลู น้ี ทาํ หนา ทีเ่ ปน พระปกตตั ตะภกิ ษุ หรอื ภิกษุโดยปกตพิ ระภิกษุผมู ีศลี ไมด างพรอย ปรวิ าสมที งั้ หมด ๔ อยา ง คอื ๑. อปั ปฏิจฉันนปริวาส คอื ปริวาสสําหรบั ผูตองครกุ าบัติแลวไมป กปดไว ๒. ปฏจิ ฉนั นปริวาส คือ ปริวาสสําหรับผูตองครกุ าบัตแิ ลว ปดไว ซงึ่ นบั วนั ได ๓. สโมธานปริวาส คือ ปริวาสสําหรบั ผคู รกุ าบัตแิ ลว ปด ไว ตา งวันท่ปี ดบาง ตา งวตั ถุทตี่ องบาง ๔. สทุ ธนั ตปรวิ าส คอื ปรวิ าสสําหรับผตู อ งอาบตั แิ ลว ปดไว มีสว นเทากนั บา ง ไมเ ทากันบาง คู่มอื ปริวาสกรรม 2

ขน้ั ตอนการอยูประพฤติปริวาส คือ การอยใู ช การอยูกรรม หรือ การอยูรอบ นมี้ ีการนับ ราตรีมอี ยูหลายแบบ ข้ึนอยูกับเงือ่ นไขของปริวาสน้ันๆ วาสงฆผูต องอาบตั ขิ อปริวาสอะไร ซึ่ง ลกั ษณะและเงอื่ นไขของปริวาสแตล ะประเภทนั้นพอจะสังเขปได คอื อปั ปฏฉิ นั นปรวิ าส อัปปฏฉิ ันนปรวิ าส ในคัมภีรช ั้นอรรถกถาวา ถกู จดั ใหเ ปน ปริวาสสําหรับพวกเดียรถยี ต้ังแต สมยั พทุ ธกาล ซงึ่ เมื่อพวกเดยี รถยี มศี รัทธาเลอ่ื มใส และมคี วามประสงคที่จะเขา มาบวชใน พระพุทธศาสนา พระพุทธองคก ็ทรงอนุญาตใหคนเหลา น้ตี อ งอยปู ระพฤติ อปั ปฏิฉันนปริวาสน้ีเปน เวลา ๔ เดือน และการอยูป ระพฤติ อัปปฏฉิ ันนปรวิ าสของพวกเดียรถยี น ี้ จะไมมีการบอกวตั ร จึง ทําใหอัปปฏฉิ นั นปริวาสนาํ ไปใชในสมยั พระพุทธองคเ ทา นัน้ และถูกยกเลกิ ไป ปฏจิ ฉนั นปรวิ าส ปฏิจฉนั นปรวิ าส แปลวา อาบัติทีต่ องครุกาบตั เิ ขาแลวภกิ ษุน้นั ปกปด ไว เมือ่ ขอปริวาส ประเภทน้ี จะตองอยูประพฤตใิ หค รบตามจํานวนราตรที ีต่ นปกปดไวนน้ั โดยไมม ีการประมวลอาบัติ ใด ๆ ทั้งสิ้น ซ่ึงจาํ นวนราตรที ่ีปดไวนานเทาใดกต็ องประพฤตปิ ริวาสนานเทา น้ัน ดงั ในคมั ภรี ชัน้ อรรถกถากลา วถงึ การปดอาบตั ิไวนานถงึ ๖๐ ป (สมนต.๓/๓๐๓) ในคมั ภีรจ ลุ วรรคยงั ไดกลา วถงึ พระอุทายีที่ตองอาบัตสิ ัญเจตนิกาสกุ กวสิ ัฏฐิแลว ปด ไวห นึง่ วัน เมอ่ื ทานประสงคจ ะประพฤติปรวิ าส พระพุทธองคจึงมพี ระดํารัสใหส งฆจ ตวุ รรคใหป รวิ าสแกทานเพียงวนั เดยี ว ซึ่งเรยี กวา เอกาหัปปฏิจ ฉันนาบตั ิ ซึง่ เทา กับทา นอยปู ริวาสเพียงวนั เดียวเทาน้ัน (ว.ิ จลุ .๖/๑๐๒/๒๒๘) สโมธานปรวิ าส สโมธานปรวิ าส คือ ปริวาสท่ีประมวลอาบตั ิทต่ี องแตล ะคราวเขา ดวยกนั แลวอยปู ระพฤติ ปริวาสตามจาํ นวนราตรที ีป่ กปดไวนานท่สี ดุ ซ่งึ ในขณะที่กําลังอยูประพฤติปริวาส ประพฤติวุฏฐาน วิธอี ยูนั้น หากภิกษนุ ้ันตอ งครกุ าบตั ิซํ้าเขา อกี ไมวาจะเปน อาบัตเิ ดมิ หรืออาบตั ใิ หมที่ตอ งเพิม่ ขนึ้ (ตอ งโทษเพิม่ ) ซ่ึงทางวนิ ัยเรียกวา มูลายปฏิกัสสนา หรือ ปฏกิ สั สนา แปลวา การชกั เขา หาอาบตั ิ เดมิ หรือกิรยิ าทช่ี กั เขา หาอาบตั เิ ดมิ ซ่ึง มูลายปฏกิ ัสสนา นนั้ ถงึ ตองในระหวางกไ็ มไดท าํ ใหก ารอยู ปริวาสเสยี หายแตประการใด เพียงแตท าํ ใหก ารประพฤตปิ ริวาสลาชาไปเทานนั้ เอง จึงทาํ ใหภ กิ ษุ นนั้ ตอ งขอปฏกิ ัสสนา กบั สงฆ ๔ รูป ซึ่งปริวาสในคร้ังที่ ๒ ท่ีตอ งซา้ํ เขามาน้จี ะเปน ปริวาสชนิดใด ขน้ึ อยูกบั เงื่อนไขดงั น้ี คอื คู่มอื ปริวาสกรรม 3

 ในขณะกาํ ลงั ประพฤติวุฏฐานวิธอี ยู แลวตองอาบตั ิตัวเดมิ หรือตวั ใหมซ้าํ เขาแลว ปกปด ไว ถา ปด ไวเชนนี้ ตองขอปฏิกัสสนาแลว ตองขอสโมธานปรวิ าสเพือ่ ทจี่ ะประมวล อาบัติทตี่ อ ง ในระหวา งเขา ปริวาสกบั อาบตั ติ ัวเดิมที่เคยตอ งมาแลว อยปู ระพฤตปิ ริวาส จนครบกับจํานวนราตรี ท่ีภกิ ษทุ านปกปด ไว เหตทุ ่ีตองขอสโมธานปริวาส เทาน้ัน ก็ เพราะสโมธานปริวาสเหมาะสําหรับอาบตั ทิ ่ปี ดไว เพ่ือใหร วู าปด ไวก ่ีวนั ซ่ึงคณะสงฆจ ะ ไดประมวลเขากับอาบตั เิ ดมิ ทีอ่ ยูมากอ น เชน ภิกษุที่ตอ งอาบตั ไิ ดขอปริวาสไว ๑๕ ราตรี พออยไู ปได ๕ ราตรี ภกิ ษุทา นตอ งอาบัตซิ ํา้ หรอื เพ่ิมขึน้ อีก แลวทา นปดไวไ มได บอกใครพอถงึ ราตรีท่ี ๑๒ กน็ บั วา ทานปดอาบตั ิที่ตองครุกาบตั ิซาํ้ เขาไปนั้นแลว (๑๒- ๕) เทากบั ๗ ราตรี และการท่ที านอยูปริวาสมาจนถงึ ราตรีท่ี ๑๒ ในจํานวน ๑๕ ราตรี ที่ขอน้ัน กเ็ ทากับทา นไดเพยี งแค ๕ ราตรีเทา นั้นที่ไมเ กดิ อาบตั ิซํ้า สวนอกี ๗ ราตรีที่ ประพฤตปิ ริวาสไปแลว นน้ั ถอื เปนโมฆะนบั ราตรีไมไ ด คณะสงฆก็ตองใหสโมธานปรวิ าส ประมวลอาบัติที่ปดไว ๗ ราตรีรวมกับสวนทตี่ องครุกาบตั ิกอ นแลว เทากับตอ งอยู ประพฤตปิ รวิ าสรวมท้ังหมดเปน ๒๒ วันนบั แตราตรีท่ี ๑ หรือหากนบั จากราตรที ่ี ๖ ไป อกี ๑๗ วัน  ถา ตอ งอนั ตราบัตแิ ลวภิกษทุ านนั้นมิไดป กปดไว ก็ขอปฏิกสั สนากับสงฆ แลวกข็ อมานตั ไดเ ลย  ถาไมต อ งอาบตั ติ วั ใดซํา้ หรอื เพมิ่ เติมในขณะอยูประพฤติปริวาสกใ็ หป ระพฤตปิ ริวาสนน้ั ตามเงอ่ื นไขของการอยูป ระพฤตปิ ริวาสตามปกติ สทุ ธนั ตปรวิ าส สทุ ธนั ตปรวิ าส เปน ปรวิ าสทีไ่ มมีกาํ หนดแนนอน นับราตรีไมได ในปจจุบันน้ีนยิ มจัดแต สุทธันตปรวิ าส ท้งั นี้ก็เพราะเปน ปริวาสทจ่ี ัดวา อยูในดุลยพนิ ิจของสงฆอ ยใู นอาํ นาจของสงฆ คอื ให สงฆเ ปนใหญ หากคณะสงฆจ ะใหอ ยูถงึ ๕ ป กต็ อ งยอมปฏิบัติตาม โดยไมม ที างเลือกและถาสงฆให อยรู าตรหี น่งึ หรอื สองราตรีแลว ขอมานตั ไดกถ็ อื วา เปนสทิ ธขิ องคณะสงฆ และทั้งนี้กเ็ พราะ สทุ ธนั ตปรวิ าสนม้ี ีเงอ่ื นไขนอยทีส่ ุดแตใ หความม่ันใจแกผ ปู ฏบิ ัติมากทีส่ ุด ซงึ่ ภิกษุทท่ี า นขอปริวาส ดงั คําวา “ขาแตทานผูเจริญ ขา พเจา ตองอาบัติสังฆาทเิ สสหลายตัว ไมรูทส่ี ดุ แหง อาบตั ิ ๑ ไมรูท่สี ุด แหงราตรี ๑ ระลกึ ทส่ี ดุ แหง อาบตั ไิ มได ๑ ระลึกท่ีสดุ แหงราตรไี มได ๑ สงสยั ในทส่ี ดุ แหง อาบัติ ๑ สงสยั ในที่สุดแหง ราตรี ๑ ขาแตท า นผูเจรญิ ขาพเจา ขอปรวิ าส จนกวาจะบรสิ ุทธ์ิเพอื่ อาบตั ิ เหลา นัน้ กะสงฆ (วิ.จลุ .๖/๑๕๖/๑๘๒) คู่มอื ปริวาสกรรม 4

ซ่งึ ก็ยังมีขอกาํ หนดวา อยไู ปเรื่อย ๆ จนกวาจะบริสทุ ธ์ิ ดงั น้ันจึงไดแ บง สทุ ธันตปริวาส ออกเปน ๒ ลักษณะ ดงั น้ี คือ ๑. จุฬสุทธนั ตปรวิ าส แปลวา สทุ ธันตปริวาสอยา งยอ ย คอื ปรวิ าสของภิกษผุ ูตอ งครุ กาบตั ิ หลายคราวดว ยกัน แตละคราวกป็ ด ไว แตกย็ ังพอจําจํานวนอาบตั ไิ ด จาํ จาํ นวน วนั และจาํ จํานวนคร้งั ไดบาง จึงขอจุฬสทุ ธนั ตปรวิ าส และอยูป ระพฤตปิ ริวาสจนกวา จะเหน็ วา บรสิ ทุ ธ์ิ แตโ ดยทัว่ ไปในปจ จบุ นั น้คี ณะสงฆกน็ ิยมสมมตใิ หอ ยู ๓ ราตรเี ปน เกณฑ นอยกวานีไ้ มได แตถา มากกวานี้ไมเปนไร ๒. มหาสุทธันตปริวาส คอื สุทธนั ตปรวิ าสอยางใหญ คือ ปรวิ าสของภิกษผุ ตู องครุกาบัติ หลายคราวดวยกัน แตล ะคราวก็ปด ไว จําจํานวนอาบัตไิ มได จาํ จาํ นวนวนั และจาํ จาํ นวนครงั้ ไมได จึงขอจฬุ สุทธนั ตปริวาส และอยปู ระพฤติปรวิ าสจนกวาจะเห็นวา บริสุทธโ์ิ ดยการกะประมาณวาตง้ั แตบ วชมา จนถงึ เวลาใดท่ยี งั ไมตองครกุ าบัตเิ ลยเชน อาจบวชมาได ๑ เดือน แตต อ งครุกาบัติจนเวลาลว งผา นไปแลว ๕ เดอื น ๑๐ เดอื น หรอื ๑ ป แตจ าํ จาํ นวนทแี่ นนอนไมไ ดเลย จึงตอ งขอปริวาสและกะประมาณวา ประมาณ ๑ เดือนนัน้ ในความรูส กึ ก็ถอื วา บรสิ ุทธิ์และใชไ ด ซึง่ มหาสุทธันตปริวาสน้ี ไมเปนที่นยิ มในปจ จบุ ันเพราะยุง ยาก และกําหนดเวลาแนน อนไมได รัตตเิ ฉท คอื เหตทุ ่ีทําใหข าดราตรี นับราตรไี มได หรือ “รัตติเฉท” ในการประพฤติปรวิ าส การอยู ประพฤติปริวาสทุกประเภท มเี งอ่ื นไขทจ่ี ะตองปฏิบตั ขิ ณะทีอ่ ยปู ระพฤตปิ รวิ าส ๓ กรณีดวยกัน ซึ่งเรียกวา “รตั ตเิ ฉท” คอื เหตทุ ที่ ําใหขาดราตรีของปริวาสกิ ภิกษุ ผปู ระพฤติปรวิ าส มีดังน้ี ๑. สหวาโส แปลวา การอยูรวม ๒. วปิ วาโส แปลวา การอยปู ราศ ๓. อนาโรจนา แปลวา การไมบอกวัตรทป่ี ระพฤติ ทัง้ ๓ ประการน้ี เปน เงื่อนไขท่ีทาํ ใหการอยปู ระพฤติปริวาสของภกิ ษนุ นั้ เปนโมฆะ นับ ราตรีไมไ ด หรอื ทางวินัยเรยี กวา “รัตตเิ ฉท” แปลวา การขาดแหง ราตรี นับราตรีไมได เม่ือราตรี ขาด กต็ องเสยี เวลาในการประพฤติปรวิ าสไปโดยเปลา ประโยชน ดงั นัน้ ภิกษุผูอยูป ระพฤติปริวาส คู่มอื ปริวาสกรรม 5

ควรตองทําตามกฎระเบยี บอยา งเครงครัดเพ่อื ประโยชนแกตนเอง ซ่งึ เงื่อนไขทั้ง ๓ ประการมี รายละเอียดตอ ไป สว นในอีกกรณีหนงึ่ ก็คอื เรื่อง “วัตตเภท” แปลความวา ความแตกตา งแหงวัตร หรือ ความแตกตา งแหงขอปฏบิ ตั ิในขณะอยปู ระพฤตปิ รวิ าส คือ ทําใหวัตรมวั หมองดา งพรอ ย ซ่ึงเปน การละเลยวตั ร ละเลยหนา ท่ี ไมเอ้อื เฟอ ตอ วตั รทีก่ ําลงั ประพฤตอิ ยู และกระทาํ ผิดตอพทุ ธบญั ญตั ิ โดยตรง เชน หาอปุ ฎฐากเขามารบั ใชใ นขณะอยูประพฤตปิ ริวาส เขา นอนรว มชายคาเดียวกันกับ ภกิ ษผุ ูอยปู รวิ าสหรอื คณะสงฆซ่งึ เปนอาจารยกรรม มกี ารนงั่ บนอาสนะทสี่ งู กวา อาสนะของคณะ สงฆอ าจารยกรรม เหลาน้ถี อื วาเปน วัตตเภท สง่ิ ไหนเปน รัตติเฉท หรอื วัตตเภท ดังตวั อยางเชน ภิกษุหน่ึง และภิกษุสอง เปน เพ่อื นสหธรรมกิ ไปอยปู ระพฤติปรวิ าสรวมกัน เมื่อปฏบิ ตั ิกจิ ทางสงั ฆ กรรมเสร็จแลว ภิกษหุ นึ่งกเ็ ขากลดแลวนอนหลบั ไป สว นภกิ ษสุ องนอนไมหลบั กเ็ ขา ไปนอนเลน ใน กลดของภกิ ษหุ นงึ่ แลว กเ็ ผลอหลบั ไปจนสวา ง ซึง่ ในกรณนี ้ี ภกิ ษุหน่ึงผดิ ในสวนของรัตติเฉท อยา ง เดยี ว สวนภิกษสุ องผิดทง้ั รัตตเิ ฉท และวตั ตเภท ซง่ึ กรณเี ชน นถี้ อื เจตนาเปน ใหญ ฝายใดกอ เจตนา ฝายนั้นเปนท้งั รตั ติเฉท และวตั ตเภท สว นฝายทีไ่ มม ีเจตนา ฝายน้นั เปนเพียงรตั ติเฉท แตถา จะให ละเอียดวาทาํ ไมภิกษหุ นงึ่ ซึ่งไมไ ดม ีเจตนาทาํ ไมถึงเปนรัตติเฉท คําตอบกเ็ พราะวา เปนการอยรู วม ในทมี่ งุ บังอันเดยี วกัน ถือวาเปนรัตตเิ ฉททัง้ สิน้ ไมม กี รณียกเวน ถา ไมเ กบ็ วตั ร เพราะเง่อื นไขเปน อจิตตกะ (แมไ มเ จตนาก็เปนอันทาํ ) สหวาโส สหวาโส แปลวา “การอยรู วม” ซึง่ ในความหมายนหี้ มายเอาพระภิกษผุ อู ยูป ระพฤตปิ ริวาส อยูรว มกับภิกษผุ ูอยปู ริวาสดว ยกนั หรอื อยรู วมกับคณะสงฆผเู ปนพระอาจารยก รรม ในท่มี งุ บงั เดยี วกัน “การอยรู ว ม” น้ันมีขอบเขต คือ ทานหมายเอาการนอนอยรู วมกนั ในทม่ี ุงอันเดยี วกนั ในทางสถานท่ี นั่นหมายถงึ มีการทอดกายนอน ดังมีอรรถกถาบาลวี า “สตคพฺ ภา จตุสสฺ าลา เอกา เสยยฺ าอจิ เฺ จว สงขฺ ยํ คจฺฉติ, เยป เอกสาลทวฺ ิสาลตตฺ สิ าลจตสุ ฺสาลสนนฺ เิ วสา มหาปาสาทา เอกสมฺ ึ โอกาเส ปาเท โธวติ วฺ า ปวฏิ เฐนสกกฺ า โหติ สพพฺ ตถฺ อนุปรคิ นฺตํ เตสปุ  สหเสยยฺ าปตตฺ ิยา น มจุ ฺจติ ฯ” แปลความวา “ศาลา ๔ มขุ มีหองตง้ั รอย แตอ ุปจาระเดียวกนั ก็ถงึ อันนบั วาทนี่ อนอันเดียวกัน แท, แมมหาปราสาทใด ทีม่ ีทรวดทรงเปนศาลาหลังเดียวสอง สาม และสหี่ ลงั ภิกษุลา งเทา ใน โอกาสหน่ึงแลวเขาไป อาจเพอื่ จะเดินเวยี นรอบไดในทีท่ กุ แหง แมใ นมหาปราสาทเหลา นนั้ (ถา นอนรว มกัน) ภกิ ษุยอ มไมพ น สหเสยยาบตั ิ คอื อาบัติเพราะการนอนรวม” (มนฺต.๒/๒๙๙) ซ่งึ จะ เห็นวา การอยูรวม คอื นอนรว มกนั และทานก็เพงเอาการทอดกายนอนเฉพาะตอนกลางคนื นั้น ในทม่ี ุงบงั อันเดยี วกันหลังคาเดียวกัน ก็ไมพ นจากอาบตั เิ พราะการนอน คอื มีการทอดกายนอน และคําวา ทีม่ ุงบงั อันเดยี วกันนั้น ทานกห็ มายเอาแตวัตถทุ ี่เกิดข้ึนโดยวทิ ยาศาสตร เชน ศาลาการ คู่มือปริวาสกรรม 6

เปรียญ กุฏิ โบสถ วิหาร ทมี่ นุษยใ ชเ ครือ่ งมอื สรางขน้ึ แตไมรวมถงึ ท่ีมงุ บังโดยธรรมชาติ เชน ตน ไม หากมีการกางกลดภายใตรมไมเ ดยี วกันกไ็ มถือวา เปน การอยูรวมกัน ดังนั้นจึงชี้ใหเ หน็ ขอ แตกตางของท่มี ุงบงั เดยี วกัน ซึ่งหากภิกษุสองรปู ขึน้ ไปอยูร ว มกับภิกษรุ ูปหนงึ่ นั่งแตภกิ ษอุ ีกรปู หนง่ึ นอน หรือภกิ ษุทงั้ สองตา งนงั่ อยูดว ยกนั โดยไมมกี ารทอดกายนอนก็ถือวา ไมเปนอาบตั ิหรอื รตั ตเิ ฉท ท้ังนี้กม็ ขี อแมว าในศาลาทที่ าํ สังฆกรรมน้นั เปนทมี่ งุ บงั หลังคาเดยี วกนั แตหากในขณะเม่อื อยู ปรวิ าสน้ันเกดิ ภยั ทางธรรมชาตคิ ุกคามแปรปรวน เชนฝนตก น้าํ ทวม ลมแรง หรือมีการปฏบิ ตั ิ ธรรมรวมกนั ก็อนญุ าตใหอ ยูร วมในศาลามงุ บังน้นั ได แตทั้งน้ีตองไมม ีการทอดกายนอน พอใกลจวน สวา งแลวก็ใหล ุกออกไปเสยี ท่ีอ่นื ใหพ นจากทีม่ งุ น้ันใหไดอ รุณ ซึ่งกริ ิยาเชนน้เี รียกอกี อยางหนึง่ วา “ออกไปรับอรณุ ” ดงั น้นั คาํ วา “สหวาโส” นั้นข้ึนอยกู ับการ “นอน” อยา งเดียวเทาน้ัน ตราบใดท่ียงั ไมมกี าร นอน ไมม ีการเอนกาย ไมถ ือวา เปน สหวาโส จงึ สรุปวา แมการรว มทําสงั ฆกรรม ทําวัตรเชาสวด มนตเย็น รวมปฏบิ ตั ธิ รรมภายใตศาลาเดียวกนั โดยมีท่มี ุงบังก็ดีโดยไมไดเก็บวัตรก็ดี ทาํ กจิ ทุกอยาง รวมกันภายในเตน็ ทห รอื ปะรําทสี่ รา งขึ้นเพอ่ื งานน้ันโดยไมเกบ็ วตั รกด็ ี เขาหอ งน้ําหองสุขาทีม่ ี เครอ่ื งมงุ บงั พรอมกันแมจะเปนหลงั เดยี วกนั กับอาจารยกรรมโดยไมเก็บวัตรกด็ ี ท้ังหมดนี้ไมถือเปน สหวาโส ไมมผี ลกระทบแมแ ตน อ ย และไมเปนอาบัติทกุ กฎเพราะวตั ตเภทกไ็ มม ี ท้ังน้ีเพราะกจิ ท่ี ทํานั้นไมถอื วา เปน การอยรู วมกัน แตเ ปน การทาํ ธุระรว มกนั ทํากิจกรรมรวมกัน ซงึ่ ตางกับการ “อยรู ว ม” หรอื “สหวาโส” ขอบเขตของ “สหวาโส” การ “อยูรว ม” ภกิ ษุทุกรปู ที่เขา อยูประพฤติปริวาสนั้น เปนผูต กอยใู นขอ หาละเมดิ สกิ ขาบทสงั ฆาทิเสส ซงึ่ การอยปู ริวาสนน้ั เปรียบเหมือนกาํ ลังพยายามออกจากสกิ ขาบททีล่ ะเมดิ ดังนนั้ ภกิ ษุผูอ ยู ประพฤติปริวาสนั้น แมจ ะมีพรรษามากเทา ใดก็ตาม มสี มณศักดิ์สงู เพยี งใดก็ตามก็จะตอ งเคารพ และใหเ กยี รติตอ คณะสงฆ อาจารยก รรม ในเรอื่ งท่ีเปน ธรรมเปนวินัย แมสงฆท านน้ันจะเพ่ิงบวช ใหมแมในวันน้ันทุกรปู กต็ าม จะทําการคลกุ คลีดว ยการฉนั รวม นัง่ รว มในอาสนะเดียวกันเกิน ขอบเขตซงึ่ ทําใหเปน วัตตเภทบาง รัตติเฉทบา งไมได ซงึ่ ในสว นนก้ี ็ตองยอมลดทฎิ ฐิ และสถานะ สมณศักดลิ์ งตอคณะสงฆแ ละอาจารยกรรม แตส าํ หรบั พระภกิ ษุผูอยปู ระพฤติปริวาสดวยกันแลวก็ ยังคงรักษาพรรษาไว และยังคงตองนัง่ ตามลําดบั พรรษาดังเดมิ และพระเถระทเี่ คยมีอุปฏ ฐากอยูท ี่ วัด พอมาอยปู ริวาสทา นจะมอี ุปฏ ฐากเชน นัน้ ไมได ซง่ึ ในขอน้ีมีพระบาลีวา สทธฺ วิ ิหารกิ าทีนํ สาทยิ นฺตสฺส ทกุ กฺ ฎเมวฯ อหํ วนยกมฺมํ กโรมิ มยหฺ ํ วตตฺ ํ มา กโรถ มา มํ คามปปฺ เวสนํ อา ปจุ ฉฺ ถ, วารติ กาลโต ปฏฐ าย อนาปตตฺ ิฯ ความวา เปนอาบัติทกุ กฎแกภิกษุผูยินดี แมของ สัทธวิ ิหารกิ เปน ตน พงึ หามเขาวาเรากําลงั ทาํ วินยั กรรมอยู พวกทา นอยา ทาํ วตั รแกเราเลย อยา บอกลาเขาบานกะเราเลย, จําเดิมแตกาลท่ีหามแลวไมเปน อาบตั ิ (สมนตฺ .๓/๒๘๒) ยกเวนแตว า เปน กรณีพเิ ศษคือ ทา นอาจจะไหววานชว่ั คราว เชน ฝากซ้ือของเครื่องใชท่ีจาํ เปนตอ งใชในขณะอยู ประพฤตปิ รวิ าส คู่มอื ปริวาสกรรม 7

เรือ่ งของสถานท่ี เชน - ทที่ ําธุระสวนตวั เชน หองน้าํ หองสุขา - ที่ฉันภัตตาหาร - ที่เดินจงกรม - ที่ปฏิบตั ธิ รรม - ที่ทาํ สังฆกรรม - ที่นอน ทงั้ หมดน้ีควรแยกสดั สวนออกจากกนั คอื สว นไหนเปน ของคณะสงฆอ าจารยกรรม สวน ไหนเปนของพระภิกษุผอู ยปู ระพฤติปริวาส ก็ตอ งแยกจากกนั ใหเ หมาะสม ท้งั น้เี พอ่ื ใหเ กียรติแก คณะสงฆอาจารยก รรม และเพอ่ื ความนอบนอ มสําหรับภกิ ษุผูอยูประพฤตปิ ริวาส วปิ วาโส วิปวาโส หรอื “การอยูปราศ” หมายถึง การอยปู ราศจากคณะสงฆอ าจารยกรรม การอยู ประพฤตปิ ริวาสนั้นจะอยกู นั เองตามลําพังโดยปราศจากอาจารยกรรมไมไดเด็ดขาด อยางนอยก็ ตอ งมอี าจารยกรรม นน่ั คือ ตอ งใชคณะสงฆอาจารยก รรม ๑ รปู สําหรบั การอยูประพฤตปิ รวิ าส และ ๔ รปู สําหรบั ประพฤติมานตั ทั้งน้เี พอ่ื จะไดค ุมกรรมไว สวนเหตอุ ื่นท่ีจะเปน วปิ วาโส ไดนน้ั ก็คอื ถึงแมจ ะมคี ณะสงฆอ าจารยก รรมอยูดว ย แตมกี ําหนดขอบเขตของวิปวาโส ไววา ถาหากพระ ลูกกรรมผอู ยปู ระพฤติปริวาสนั้นอยูไกลเกนิ กําหนด ซง่ึ กําหนดของวปิ วาโส น้ี ทา นบอกวา ๒ ชว่ั เลฑฑบุ าตร คอื เอาคนมีอายปุ านกลางและมีกําลงั ขวา งกอ นดนิ ตกลง ๒ ช่ัว คือ ขวา งกอนดินตอ กัน ๒ คร้ังนนั่ เอง (เทากับขวางครั้งแรกตกลงท่ใี ดแลว กย็ ืนตรงจุดที่ดินตกแลวกข็ วา งครัง้ ท่สี องไกล ออกไปเทา ใดก็ถือเอาจดุ น้ันเปนเขตกําหนด) ซ่ึงจุดศนู ยก ลางของ ๒ เลฑฑุบาตรน้ี ใหย ดึ เอาจุดที่ คณะสงฆพระอาจารยก รรมอยกู นั แลว ก็ใหว ัดขอบเขตไปทภี่ ิกษุผปู กกลดองคแรกที่อยูใกลอาจารย กรรมทีส่ ุดนัน้ เปน เกณฑ สว นภิกษทุ านอน่ื ๆ ก็ถอื วา ปก กลดอยูต อ ๆ กันไปเหมือนดง่ั ยังอยใู น หตั ถบาสเหมอื นที่ลงสวดพระปาติโมกขใ นโบสถ ซึ่งองคแ รกอยูในหตั ถบาส องคตอ ไปก็นัง่ เรยี งลําดบั กนั ไป ซงึ่ การกําหนดขอบเขตนกี้ ข็ ึน้ อยูที่คณะสงฆอาจารยก รรมทา นเปนผชู ี้เขตและ อนญุ าตใหอ ยไู ด ซ่งึ การอยปู ราศนนั้ กค็ ือหามอยูโ ดยปราศจากอาจารยกรรม ถงึ แมภิกษทุ านจะ เจบ็ ไขไดป วยมีเหตใุ หต อ งไปนอนโรงพยาบาล ตราบใดท่ีภิกษุยังนอนรกั ษาตัวอยกู ต็ องมอี าจารย กรรมไปเฝา ไขตลอดเวลา อยา ใหเ กนิ สองเลฑฑบุ าตรไป คู่มือปริวาสกรรม 8

อนาโรจนา อนาโรจนา แปลวา “การไมบอก” หมายถงึ การไมบ อกวตั ร หรือบอกอาการทีต่ นประพฤติ แกคณะสงฆอาจารยก รรมในสํานักทต่ี นอยูป ระพฤตปิ รวิ าสนั้น การบอกวัตรของปรวิ าส ตามหลัก พระวนิ ยั เม่อื ขอปริวาสแลว จะตอ งบอกวตั รแกคณะสงฆอ าจารยก รรมเพยี งคร้งั เดียวกอ็ ยไู ปจน ครบ ๓ ราตรกี ็ได การสมาทานวตั ร การสมาทานวตั ร หรอื ข้นึ วัตร เปนวินยั กรรมเก่ียวกบั วฎุ ฐานวิธอี ยา งหน่งึ คอื เมอ่ื ภิกษุตอง ครุกาบัตแิ ลว อยปู ริวาสยงั ไมครบเวลาท่ีปกปด ไว หรอื ประพฤติมานัตอยยู ังไมครบ ๖ ราตรี พัก ปริวาสหรอื มานตั เสยี เนื่องจากมเี หตุอันจําเปนอันควร เม่ือจะสมาทานวัตรใหมเพอื่ ประพฤตปิ ริวาส หรือมานตั ท่เี หลือนั้น เรียกวา ข้นึ วัตร คือ การสมาทานวตั ร การสมาทานวัตร นิยมสมาทานหลงั จากท่ีเสรจ็ สนิ้ การปฏิบตั ิธรรมประจาํ วัน จากนั้นก็แยก ยา ยกันเขาปรกเขา กลด พอไดเ วลาตีสามหรือตามเวลาทคี่ ณะสงฆก าํ หนด กอนทําวัตรเชาก็ สมาทานครั้งหน่ึง ซึ่งการสมาทานวัตรเชนน้ีไมจ ําเปน ตองสมาทานท้งั เชาและเยน็ เพราะการ สมาทานวัตรนั้นตราบใดท่ยี งั ไมมีการเก็บวตั รแลว กห็ ามสมาทานซํ้าอกี สวนการบอกวัตรน้นั จะ บอกวนั ละกีค่ รั้งก็ได ซ่ึงพระอรรถกถาจารยท า นไดกลา วไวว า “อนกิ ชฺ ิตฺตวตตฺ สสฺ ปนุ วตฺตสมาทาน กิจฺจํ นตถฺ ิฯ” ความวา “กิจที่จะตองสมาทานวตั รอีกยอมไมม ี แกผ มู ไิ ดเก็บวตั ร หรอื สาํ หรบั ผมู ไิ ด เกบ็ วตั รไมมีกิจทจ่ี ะตอ งสมาทานวตั รอีก” หมายความวา หามสมาทานวตั รซอนวัตรน่ันเอง การบอกวตั ร การบอกวัตรนัน้ ขณะประพฤติปริวาสไมจ ําเปนตองบอกวตั รทกุ วันก็ไดแ ตก ารบอกทุกวันก็ ไมไดมขี อ จาํ กดั อะไร และการบอกวัตรตอ งบอกแกค ณะสงฆท่ีเปน อาจารยกรรมหมดทุกรปู ตราบ ใดท่ียังไมไดเก็บวัตร เมอ่ื เห็นพระอาคนั ตกุ ะมากต็ องบอกวัตรเชนกนั ไมว า เวลาไหนถาไมบ อกกเ็ ปน รตั ติเฉท ถา มีเจตนาไมบ อกก็เปนอาบตั ทิ กุ กฎ และในเวลาทพ่ี ระอาคันตุกะผา นมาและบอกวัตรน้ัน มขี อบเขตเชนไร ซึ่งมีมติของพระสังฆ เสนาภยเถระวา “วสิ เย กริ อนาโรเจนฺคสฺส รตฺตจิ เฺ ฉทโท เจว วตฺตเภเท ทุกฺกฏจฺ โหติ อวิสเย ปน อุภยํป ตนฺถิฯ” ความวา“ไดยนิ วาเม่อื ไมบ อกในวสิ ัยเปน รตั ติเฉทดวย เปน ทกุ กฎเพราะวัตตเภท คู่มอื ปริวาสกรรม 9

ดวย แตในเหตสุ ดุ วิสัยไมเ ปนทงั้ สองอยา งฯ (สมนต.๓/๒๘๙) ซ่ึงเปนมติทเ่ี หมาะสม ดังพทุ ธพจน ทว่ี า “ภกิ ฺขเว อาสา อสฺสาทนเจตนา อตถฺ ิ สา จ โข อวสิ เย อปุ ปฺ นฺนตฺตา อพฺโพหาริกา อาปตฺตยิ า องฺคํ น โหติฯ “ดูกอ น ภิกษทุ ั้งหลาย เจตนาเปน เหตยุ ินดีมอี ยู แตเ จตนานั้นแลชื่อวาเปน อพั โพหาริก คอื ไมเปน องคแ หง อาบัติ เพราะเกดิ ขึ้นในเหตสุ ดุ วิสัยฯ” (สมนต.๒/๓) ซึง่ การบอกวตั รนีจ้ ะบอกใคร นิกายไหน หรอื มีความแตกตา งไหนน้ัน ซึ่งในคมั ภีรบ าลีเดมิ หรือชัน้ อรรถกถาไมไ ดใชคําวา นิกาย แตดูความแตกตา งทล่ี ัทธิปฏิบตั ิ ซ่งึ สิ่งเหลานี้กจ็ ะมนี ยิ าม เก่ียวกบั นานาสงั วาส และ สมานสงั วาส เชน สงฆฝ ายธรรมยตุ และสงฆฝ ายมหานิกายจะเปน นานาสังวาส หรอื สมานสงั วาส นั้นจะไดนําความเห็นของพระอรรถกถาจารย เปนดงั นี้ “เยน สทฺธึ อโุ ปสถาทิโก สวํ าโส อตถฺ ิ อยํ สมานสํวาสโก อติ โร นานาสํวาสโกฯ” ความวา “ธรรมเปน ทอี่ ยู รว มกนั มอี โุ บสถเปน ตน กับบุคคลใดมอี ยู บุคคลน้ันช่ือวา สังวาสเสมอกนั ฯ บุคคลนอกน้นั ช่อื วาผู เปนนานาสังวาสกนั ฯ” (สมนต.๓/๔๙๑) สวนเร่อื งเวลาบอกวัตรนั้น ก็ข้ึนอยูท่ีมตขิ องคณะสงฆอ าจารยก รรมเปน ผูก ําหนด เพอ่ื ความ เปนระเบียบเรียบรอยแหง สงฆ ซง่ึ การบอกวัตรน้ีสามารถกําหนดตงั้ แตไดอ รุณจนถึง ๙ โมงเชา สว นการบอกวตั รแกพระอาคันตกุ ะ ก็สดุ แทแตส งฆจะเปน ผกู ําหนด จะบอกเปน รายบุคคลหากมา รปู เดยี ว หรอื มาสองรปู บอกสองรูป หรอื สามรูป หรือสี่รปู ซึ่งถาสรี่ ูปจึงบอกเปน สงฆ ซ่งึ หากเปน รายบุคคล ดังน้ี มารปู เดียว ใชค าํ วา มํ อายสมา ธาเรตุ มาสองรูป ใชค าํ วา มํ อายสมฺ นตา ธาเรนตุ มาสามรูป ใชคาํ วา มํ อายสมฺ นโฺ ต ธาเรนตฺ ุ สวนส่ีรูป ใชค าํ วา มํ สงฺโฆ ธาเรตุ แตเพ่ือปองกนั ความผิดพลาดและรดั กมุ น้ัน ควรบอกเปนสงฆด ที ส่ี ดุ ไมวา พระอาคนั ตุกะ ทา นจะมาหน่งึ รปู สองรูป สามรูป หรือสรี่ ปู หรอื เกินนน้ั ก็ตาม เพราะถาบอกเปนรายบคุ คลก็ตอง นบั พรรษาดวย ดงั นั้นจงึ บอกเปนสงฆด ที ี่สดุ เพราะทกุ อยา งเปน สังฆกรรมที่กระทําโดยสงฆ รบั รอง โดยสงฆ จงึ ใช มํ สงโฺ ฆ ธาเรตุ ดีที่สุด คู่มือปริวาสกรรม 10

การเกบ็ วตั ร การเกบ็ วัตร ก็คอื การพักวตั รไวช ัว่ ระยะเวลาหน่งึ ซ่งึ ทีน่ ยิ มทาํ กนั นัน้ ก็จะเกบ็ วตั รในเวลา กลางวนั ทั้งนก้ี ็เพราะเหตทุ ีใ่ นเวลากลางวันนัน้ อาจมีพระอาคนั ตุกะแวะเวยี นผา นมาบอ ย เมอ่ื เก็บ วัตรแลวก็ไมจําเปนตองบอกวัตร ซึง่ ประโยชนข องการเกบ็ วตั รนั้น ก็คือ การไมตองบอกวัตรบอ ย ๆ และประโยชนในการท่ีคณะสงฆทําสังฆกรรม เชน ในวันออกอัพภาน ซึ่งอาจจะมสี งฆไมค รบองค ตามพระวินยั กาํ หนด ซึ่งในกรณีนีท้ า นอนญุ าตให พระอพั ภานารหภกิ ษ ุ(ภกิ ษุผคู วรเรียกเขาหม)ู ผูเ ก็บวตั รแลว เขา เปนองคนง่ั ในหตั ถบาสเปน ปรู กะภิกษุ ใหค รบองคสงฆตามพระวินัยกาํ หนด ดัง มอี รรถกถา วา “คเณ ปน อปปฺ โหนเฺ ต วตตํ นกิ ปฺ ป าเปตวฺ า คณปรู โก กาตพฺโพฯ” ความวา “ก็ เม่ือคณะไมค รบพึงให ปริวาสกิ ภิกษุ เกบ็ วตั ร แลวทําใหเปน คณะปรู กะก็ควรฯ” ท้งั น้เี พราะ ภิกษุผู เกบ็ วัตรแลว ก็คือ ปกตัตตภิกษุ (สงฆป กติ) ทไี่ มไดเขากรรม หรอื “อยํ หิ นิกขฺ ิปตตวฺ ตฺตตตฺ า ปกตตตฺ ฏฐาเน ฐิโตฯ” ความวา “จรงิ อยูภิกษุน้ี ชอื่ วาตั้งอยใู นฐานะปกตตั ตภกิ ษเุ พราะเธอเก็บวตั ร เสยี แลวฯ” ดังนน้ั ในวันออกอัพภาน จึงไมตองเกบ็ วตั ร เพราะตองเสียเวลาในการสมาทานวตั ร และบอกวัตร และประโยชนของการไมเ ก็บวัตรในวันออกอัพภานก็เพราะถา เกบ็ วัตรแลวไม สมาทานวัตรใหม คณะสงฆกไ็ มสามารถสวดอพั ภานใหไ ด เพราะสงฆจะทํากรรมกับผูเกบ็ วตั รไมไ ด ท้งั น้เี พราะผูเกบ็ วตั รเปนปกตตั ตภิกษุ ดงั บาลีวา “ปกตฺตตสสฺ จ อพฺภานํ กาตุ น วฏฏติ ตสฺมา วตตฺ ํ สมาทเปตพพฺ ํฯ วตฺเต สมาทนิ เฺ น อพภฺ านารโห โหติฯ เตน วตฺตํ สมาทิยิตวฺ า อาโรเจตฺวา อพฺ ภานํ ยาจิตพฺพํฯ” ความวา “และสงฆจ ะทําอพั ภานแกป กตัตตภกิ ษุ ยอ มไมค วร เพราะฉะน้นั พงึ ใหเธอสมาทานวัตรฯ เธอยอมเปน ผูควรแกอ พั ภานในเม่ือสมาทานวตั รแลว แมเธอสมาทานวัตร แลวก็ใหบอก(กอน) แลว จงึ ขออัพภานฯ” นอกจากน้ีก็มกี ารเก็บวตั รเพอ่ื เปนอุปชฌายในทานท่ีเปน อุปชฌาย หรือเปนอาจารยส วดในทา นทีเ่ ปนพระกรรมวาจาดงั บาลวี า “อุปชฌฺ า เยน หุตวฺ า น อปุ สมฺปาเทตพพฺ ํ วตฺตํ นิกขฺ ปิ ตฺวา ปน อุปสมฺปาเหตํ วฏฏ ตฯิ อาจรเิ ยน หตุ ฺวา กมมฺ วาจาป น สา เวตพฺพา อฺญสฺมึ สกติ วตฺตํ นิกขฺ ิปตฺวา สาเวตํ วฏฏติฯ” ความวา ปนอปุ ชฌายไ มพงึ ใหอ ุปสมบท แตจะเก็บวัตรแลวใหอ ุปสมบทควรอยฯู เปน พระกรรมวาจาแลว แมก รรมวาจาแลว แมก รรมวาจา ก็ไมควรสวด เมอื่ ภิกษุอน่ื ไมมจี ะเก็บวัตรแลว สวดสมควรอยูฯ” แตทัง้ น้กี ็ควรจะเอาไวเ ปน ทางเลอื ก สดุ ทา ย ตราบทีย่ ังมีสงฆท ําสงั ฆกรรมอยู ทง้ั นดี้ ว ยมีพระบาลวี า “วหิ ารเชฏฐกฏฐ านํ น กาตพพฺ ํ ปาฏโิ มกขฺ ทุ ฺเทศเกน วา ธมมฺ ชฺเฌสเกน วา น ภวติ พพฺ ํฯ” ความวา (ภกิ ษุ ผปู ระพฤตวิ ฏุ ฐานวธิ )ี ไม พึงรับตาํ แหนงหัวหนา ในวหิ าร คอื ไมพงึ เปน ผูส วดปาฏิโมกข หรือ เชิญแสดงธรรมฯ สมดงั พระ พทุ ธพจนท ่ตี รสั วา ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย อันภกิ ษุผูอยูปริวาสพึงประพฤติชอบ ดวยการประพฤติ ดังตอ ไปน.ี้ . พงึ พอใจดวยอาสนะสดุ ทาย ท่ีนอนสุดทา ยทส่ี งฆจ ะพงึ ใหแ กเธอดงั น้ีฯ คู่มอื ปริวาสกรรม 11

มานตั มานัต คอื ระเบยี บปฏิบตั ิในการออกจากครกุ าบตั ิ หมายถงึ “นับราตรี” การนับราตรี หรอื มานัตน้ัน เปนเงอ่ื นไขตอจากการประพฤตปิ ริวาสของภิกษุผูอยกู รรม เมอื่ อยปู รวิ าส ๓ ราตรี หรือตามท่ีคณะสงฆกาํ หนดแลว เม่ือคณะสงฆพิจารณาวา ปริวาสที่ภิกษุประพฤติน้นั บริสุทธใิ์ นการ พจิ ารณาของสงฆแ ลว สงฆก็จะเรยี กผปู ระประพฤตปิ ริวาสนั้นวา “มานัตตารหภกิ ษ”ุ แปลวา “ภกิ ษผุ คู วรแกม านตั ” มานัต หรือการนับราตรีนั้น ไดแกการ นบั ราตรี ๖ ราตรเี ปน อยา งนอย ซึ่ง เกินกวา น้ีไมเปนไร แตถา นอยกวา ๖ ราตรไี มได ซึ่งเปน พระวินัยกาํ หนดไวเชนนั้น ซง่ึ การนบั ราตรี ของมานตั น้ันก็มีเงอ่ื นไขที่ทาํ ใหน บั ราตรีไมไดเ ชนกัน เรียกวาการขาดแหงราตรี หรอื การนบั ราตรี เปน โมฆะ ซ่งึ การนับราตรีไมไดนีเ้ รียกวา \"รตั ตเิ ฉท\" เง่ือนไขแหง “รัตตเิ ฉท” ของมานัต เงือ่ นไขทท่ี าํ ใหนับราตรีไมไ ดส าํ หรบั มานตั มีดวยกนั ๔ อยา ง คอื สหวาโส คือ การอยูรว ม วิปปวาโส คอื การอยปู ราศ อนาโรจนา คอื การไมบ อกวตั รทีป่ ระพฤติ อเู น คเณ จรณํ คือ การประพฤติวตั รในคณะอันพรอง สหวาโส คอื การอยูรวม มขี อ กาํ หนดเหมอื นปริวาส ไมมขี อ แตกตางกัน วิปปวาโส คือ การอยูปราศ หรอื อยูในถน่ิ อาวาสที่ไมมีสงฆอ ยูเปน เพอื่ น ในสว นขอน้ีมี ความแตกตา งตรงท่ี การประพฤตปิ รวิ าสนนั้ จะสมาทานประพฤติวตั รกับคณะสงฆอ าจารยก รรมรูป เดียวกไ็ ด แตมานตั น้ันตอ งสมาทานกบั สงฆตั้งแต ๔ รูปขึ้นไป หรือ ในกรณีทภี่ กิ ษผุ ูประพฤติ ปริวาสเกิดเจ็บไขไดปวย อาพาธข้นึ ในระหวางมานตั จําตอ งไปพักรักษาตัวท่โี รงพยาบาลกต็ อ งมี สงฆอ ยางนอย ๔ รูปไปเฝา ไข ซง่ึ ถาไมท าํ เชน นั้นกต็ อ งอนญุ าตใหไปรกั ษาอาพาธนนั้ ใหห ายเปน ปกตกิ อน เมือ่ หายเปนปกตแิ ลวใหภ ิกษุน้ันกลับมาสมาทานวัตรเพียงรูปเดียวในภายหลงั (แตถา เกบ็ วัตรแลวก็ไมเ ปนไร) สวนการบอกวัตรนั้นถา บอกเปนครง้ั แรกในวันนน้ั ตองบอกกบั สงฆหมดทกุ รูป แตถาการบอกวัตรนั้นเปนการบอกครัง้ ทส่ี องไมตองบอกหมดทุกรูป ยกเวนเมอ่ื บอกวตั รไปแลว ในขณะน้ัน แตชวั่ ครนู ั้นมีพระอาคนั ตกุ ะแวะเวียนเขามา การบอกวัตรครง้ั ท่ีสองนี้จะบอกเด่ยี ว สําหรับพระอาคันตุกะ หรอื จะบอกเปน สงฆก ไ็ ดข ้ึนอยทู ่คี ณะสงฆพ ระอาจารยกรรมกาํ หนด ซง่ึ ถา บอกเปน สงฆกต็ อ งหาพระอาจารยก รรมรวมทงั้ พระอาคันตกุ ะนั้นใหค รบองคส งฆคอื ๔ รปู แต สว นมากจะบอกเด่ยี วเพอื่ ความสะดวกรวดเร็ว คู่มือปริวาสกรรม 12

อนาโรจนา คือ การไมบ อกวัตรที่ประพฤติ ซง่ึ การประพฤติ มานตั นน้ั จะตองบอกวัตรทุก วนั ไมบอกไมได แตกตางกบั ปริวาสซง่ึ จะบอกกไ็ ดไ มบอกกไ็ ด เพราะอยปู ริวาสน้ันบอกวัตรครั้ง เดียวแลวอยูตอไปอีกสามวันหรือตลอดไปโดยทไ่ี มบ อกอกี ก็ได ทงั้ นห้ี มายความวาจะตอ งไมทําผดิ กฎขอ อน่ื ๆ อีก อเู น คเณ จรณํ คือ การประพฤตวิ ตั รในคณะอนั พรอ ง หมายถงึ การประพฤตวิ ตั รของพระ มานัตในท่ีท่มี สี งฆไมครบ ๔ รูปตามพระวนิ ัยกําหนด เชน นถ้ี ือวา ประพฤตวิ ัตรในคณะอันพรอ ง ซ่ึง จะทาํ ใหก ารนับราตรีเปนโมฆะ นับราตรไี มได มานตั หรอื การนบั ราตรนี น้ั มีอยู ๔ อยา ง คอื อปั ปฏจิ ฉันนมานตั คือ เปน มานัตทภี่ ิกษไุ มตอ งอยปู รวิ าส สามารถขอมานตั ไดเลย ยกเวน พวกเดียรถยี ต องอยปู รวิ าส ๔ เดือน ปฏฉิ ันนมานัต คือ มานตั ทีใ่ หแ กภ กิ ษุผูป ดอาบตั ไิ ว หรอื มไิ ดปด ไวก ็ตาม ปก ขมานตั คือ มานตั ทใ่ี หแ กภกิ ษณุ ี ๑๕ ราตรีเทานั้น (ครงึ่ ปกษ) จะปด อาบตั ไิ วห รือมิได ปดไวก็ตาม สโมธานมานัต คือ มานตั ทีม่ ีไวเพอื่ อาบตั ิทปี่ ระมวลเขาดว ยกนั อนั เนือ่ งมาจากสโมธาน ปริวาสน้นั ซ่ึงสโมธานมานตั นี้เปนมานัตทส่ี งฆน ิยมใชกนั มากที่สดุ ในปจจบุ นั ................................................................. คู่มอื ปริวาสกรรม 13

อพั ภาณ อัพภาน คอื การทีส่ งฆเรียกเขาหมู หรือ การทีภ่ ิกษุทานไดชาํ ระสกิ ขาบททไี่ ดทาํ ใหต นมวั หมอง จนผา นขั้นตอนการอยปู ระพฤติปริวาส การขอมานัต นบั ราตรีจนครบกระบวนการข้ันตอน ของการประพฤติวฏุ ฐานวิธี ตามทีพ่ ระวินยั กําหนด จนมาถงึ ขนั้ ตอนสุดทา ยคือ สงฆเ รยี กภิกษนุ ้ัน เขาหมูแหง สงฆ เปน สงฆปกติไมมีความมวั หมองดางพรอยติดตัวแลว จึงเปนการใหอ พั ภาน ซ่ึงการ ใหอัพภานน้ี พระวินัยกาํ หนดใหส งฆสวดเรยี กเขาหมูโดยตอ งใชสงฆส วดจํานวน ๒๐ รปู ข้นึ ไป เม่อื สงฆ ๒๐ รูป ทําสังฆกรรมสวดเรยี กเขา หมใู หแลว ก็ถอื เปนส้ินสดุ กระบวนการประพฤตวิ ฏุ ฐานวธี ี ในทางพระวินยั ภกิ ษนุ ั้น ๆ ก็เปนภกิ ษุผูบรสิ ุทธ์ิ เปน “ปรสิ ุทโธ” การกาํ หนดองคส งฆท ี่ตองทํากรรมในการประพฤติวฏุ ฐานวธิ ี มี ๒ ประเภท คอื ๑. จตุวรรคสงฆ มจี ํานวน ๔ รูป (หรอื ๕ รปู รวมองคส วด) สาํ หรบั ใหป รวิ าส, ใหมานัต, ใหปฏกิ ัสสนาฯ ๒. วีสติวรรคสงฆ มีจาํ นวน ๒๐ รูป (๒๑ รวมองคสวด) สาํ หรบั ใหอัพภาน วิธีการสวดใหป รวิ าส และอพั ภาน มอี ยู ๓ วธิ ี คอื ๑. วิธกี ารขอหมู สวดหมู ซงึ่ การขอหมู สวดหมู ก็คือ ภิกษุผูป ระสงคอ ยปู ระพฤตปิ ริวาส ไดสวดขอปริวาส มานตั และอัพภาน ซ่ึงภิกษทุ ่ีขอหมูกค็ ือ สงฆอนุญาตใหภ ิกษเุ ขา สวดขอปริวาส พรอ มกันคร้งั ละ ๓ รูป สว นคณะสงฆอ าจารยก รรมนัน้ ตอ งใชจ าํ นวนสงฆทง้ั หมด ๕ รปู รวมองค สวด (และ ๒๑ รปู กรณีใหอ พั ภาน) ๒. วิธกี ารขอหมู สวดเด่ยี ว ซ่ึงกค็ ือภิกษุผปู ระสงคอยปู ระพฤตปิ รวิ าส ไดสวดขอปรวิ าส มานตั และอัพภาน ซึง่ สงฆอนญุ าตใหภิกษุเขาขอปริวาสพรอมกันคร้งั ละ ๓ รูป แตใ หส วดครั้งละ หนง่ึ รปู คอื สวดองคเ ดียว เดี่ยว ๆ สวนคณะสงฆอ าจารยกรรมน้ันตอ งใชจาํ นวนสงฆทั้งหมด ๕ รูป รวมองคสวด (และ ๒๑ รูป กรณใี หอพั ภาน) ๓. วิธีการขอเดีย่ ว สวดเดย่ี ว กค็ ือสงฆอนญุ าตใหภ ิกษเุ ขา ขอปรวิ าสคร้งั ละ ๑ รูป และ ใหส วดครั้งละหนงึ่ รูป คือสวดองคเดียวเดี่ยว ๆ สว นคณะสงฆอ าจารยก รรมน้ันตอ งใชจาํ นวนสงฆ ท้ังหมด ๕ รปู รวมองคส วด (และ ๒๑ รูป กรณีใหอ พั ภาน) คู่มอื ปริวาสกรรม 14

วิธกี ารขอปรวิ าสกรรม ภิกษุผจู ะขอปริวาส พงึ เตรียมดอกไมธ ูปเทียนใหพ รอ ม หมผา เฉวียงบา (หรือหม ดองรัดอก แบบจีบจีวร) เขาไปหาสงฆอยา งนอย ๔ รูป ในเขตพทั ธสมี า แลวถวายเครื่องสกั การะ คร้นั ถวาย สกั การะแลว กราบสามครัง้ ถอยหา งจากหตั ถบาสสงฆใ นระยะพอสมควรแลว กลา วคําขอจลุ สทุ ธนั ตปริวาสตอสงฆ ดังนี้ คาํ ขอสทุ ธนั ตปรวิ าส อยา งจลุ สทุ ธนั ตะ อะหัง ภันเต สมั พะหลุ า สังฆาทเิ สสา อาปต ตโิ ย อาปช ชิง อาปตตปิ ะรยิ นั ตงั เอกัจจัง ชานามิ เอกจั จงั นะ ชานามิ รัตติปะรยิ นั ตงั เอกจั จงั ชานามิ เอกัจจงั นะ ชานามิ อาปตติปะริยันตัง เอกจั จัง ชานามิ เอกจั จงั นะ สะรามิ รัตตปิ ะรยิ นั ตัง เอกัจจงั ชานามิ เอกจั จัง นะ สะรามิ อาปต ตปิ ะรยิ นั เต เอกจั เจ เวมะตโิ ก เอกัจเจ นพิ เพมะตโิ ก รัตตปิ ะริยนั เต เอกัจเจ เวมะตโิ ก เอกจั เจ นิพเพมะติโก โสหัง ภนั เต สังฆงั ตาสัง อาปต ตนี งั สทุ ธันตะปริวาสัง ยาจาม.ิ อะหงั ภนั เต สมั พะหลุ า สังฆาทิเสสา อาปต ติโย อาปช ชิง อาปตตปิ ะรยิ ันตัง เอกจั จัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ รัตตปิ ะรยิ นั ตงั เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ อาปตติปะริยนั ตัง เอกัจจงั ชานามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ รตั ตปิ ะริยันตัง เอกัจจงั ชานามิ เอกจั จัง นะ สะรามิ อาปต ตปิ ะรยิ ันเต เอกจั เจ เวมะติโก เอกจั เจ นิพเพมะตโิ ก รตั ติปะรยิ ันเต เอกจั เจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก โสหงั ทตุ ยิ ัมป ภนั เต สงั ฆงั ตาสัง อาปตตนี งั สุทธันตะปรวิ าสัง ยาจาม.ิ อะหงั ภันเต สมั พะหุลา สงั ฆาทิเสสา อาปต ติโย อาปช ชงิ อาปตตปิ ะริยันตงั เอกจั จัง ชานามิ เอกัจจงั นะ ชานามิ รัตติปะรยิ นั ตงั เอกัจจัง ชานามิ เอกจั จัง นะ ชานามิ อาปตติปะริยนั ตัง เอกจั จงั ชานามิ เอกจั จงั นะ สะรามิ คู่มอื ปริวาสกรรม 15

รตั ตปิ ะรยิ นั ตัง เอกจั จงั ชานามิ เอกัจจงั นะ สะรามิ อาปตตปิ ะรยิ ันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกจั เจ นิพเพมะติโก รตั ติปะริยนั เต เอกจั เจ เวมะติโก เอกจั เจ นิพเพมะติโก โสหงั ตะตยิ ัมป ภันเต สังฆัง ตาสัง อาปต ตนี ัง สุทธนั ตะปริวาสงั ยาจามฯิ . กรรมวาจาใหส ทุ ธนั ตปรวิ าส (คาํ ทีข่ ีดเสน ใตใหใ สฉายาพระภิกษุท่ขี อสุทธันตปริวาส) สุณาตุ เม ภนั เต สงั โฆ อะยงั อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหลุ า สงั ฆาทิเสสา อาปต ติโย อาปช ชิ อาปตติปะริยันตัง เอกจั จัง ชานาติ เอกจั จัง นะ ชานาติ รัตตปิ ะรยิ ันตงั เอกจั จัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ วัตตัง นิกขิปามิ ปะรวิ าสงั นกิ ขิปามิ ทตุ ยิ ัมป วัตตัง นกิ ขิปามิ ปะริวาสัง นกิ ขิปามิ ตะตยิ ัมป วตั ตงั นิกขปิ ามิ ปะริวาสงั นกิ ขิปามิ อาปต ตปิ ะริยนั ตงั เอกจั จงั ชานาติ เอกจั จงั นะ สะราติ รตั ติปะรยิ นั ตัง เอกจั จัง ชานาติ เอกัจจงั นะ สะราติ อาปตตปิ ะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก รตั ตปิ ะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก โส สงั ฆงั ตาสัง อาปต ตนี ัง สทุ ธันตะปะรวิ าสงั ยาจะติ ยะทิ สงั ฆสั สะ ปต ตะกลั ลัง สงั โฆ อติ ถนั นามัสสะ ภิกขุโน ตาสงั อาปตตีนงั สุทธันตะปริวาสัง ทะเทยยะ เอสา ญตั ติ. สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อะยงั อิตถันนาโม ภกิ ขุ สัมพะหลุ า สังฆาทิเสสา อาปตติโย อาปช ชิ อาปต ตปิ ะริยนั ตัง เอกจั จงั ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ รตั ติปะรยิ ันตัง เอกจั จัง ชานาติ เอกจั จัง นะ ชานาติ อาปตติปะริยนั ตงั เอกัจจัง สะระติ เอกจั จงั นะ สะระติ รตั ตปิ ะริยนั ตัง เอกจั จงั สะระติ เอกจั จงั นะ สะระติ อาปต ตปิ ะริยนั เต เอกจั เจ เวมะติโก เอกจั เจ นิพเพมะตโิ ก รัตติปะรยิ ันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกจั เจ นิพเพมะตโิ ก โส สงั ฆงั ตาสัง อาปต ตนี งั สุทธันตะปะริวาสงั ยาจะติ สงั โฆ คู่มอื ปริวาสกรรม 16

อติ ถนั นามัสสะ ภิกขโุ น ตาสัง อาปตตีนงั สุทธนั ตะปรวิ าสงั เทติ ยสั สายสั มะโต ขะมะติ อิตถันนามัสสะ ภิกขโุ น ตาสงั อาปตตนี งั สทุ ธนั ตะปรวิ าสัสสะ ทานงั โน ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ. ทตุ ยิ ัมป เอตะมตั ถัง วะทามิ สณุ าตุ เม ภันเต สงั โฆ อะยงั อติ ถนั นาโม ภกิ ขุ สัมพะหุลา สังฆาทเิ สสา อาปต ตโิ ย อาปช ชิ อาปต ตปิ ะรยิ ันตัง เอกจั จัง ชานาติ เอกัจจงั นะ ชานาติ รัตตปิ ะรยิ นั ตัง เอกจั จัง ชานาติ เอกจั จัง นะ ชานาติ อาปตตปิ ะริยนั ตงั เอกัจจงั สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ รัตตปิ ะริยนั ตงั เอกัจจัง สะระติ เอกจั จงั นะ สะระติ อาปต ตปิ ะริยนั เต เอกัจเจ เวมะตโิ ก เอกจั เจ นิพเพมะติโก รัตตปิ ะรยิ นั เต เอกจั เจ เวมะตโิ ก เอกัจเจ นิพเพมะตโิ ก โส สังฆัง ตาสัง อาปต ตนี งั สุทธันตะปะริวาสงั ยาจะติ สงั โฆ อิตถนั นามัสสะ ภกิ ขโุ น ตาสัง อาปตตนี งั สทุ ธนั ตะปรวิ าสัง เทติ ยสั สายัสมะโต ขะมะติ อติ ถนั นามสั สะ ภิกขโุ น ตาสงั อาปต ตนี งั สทุ ธนั ตะปรวิ าสสั สะ ทานัง โส ตณุ หสั สะ ยสั สะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ. ตะตยิ ัมป เอตะมตั ถงั วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สงั โฆ อะยงั อิตถนั นาโม ภกิ ขุ สัมพะหลุ า สงั ฆาทเิ สสา อาปต ติโย อาปชชิ อาปต ติปะรยิ ันตงั เอกัจจัง ชานาติ เอกจั จงั นะ ชานาติ รตั ติปะริยนั ตัง เอกจั จัง ชานาติ เอกัจจงั นะ ชานาติ อาปต ตปิ ะรยิ ันตัง เอกจั จงั สะระติ เอกัจจงั นะ สะระติ รตั ติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ อาปต ตปิ ะริยนั เต เอกัจเจ เวมะตโิ ก เอกจั เจ นพิ เพมะตโิ ก รัตตปิ ะริยนั เต เอกัจเจ เวมะติโก เอกจั เจ นิพเพมะติโก โส สังฆงั ตาสัง อาปตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจะติ สงั โฆ อติ ถนั นามัสสะ ภกิ ขุโน ตาสงั อาปตตีนงั สุทธันตะปรวิ าสัง เทติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ อิตถนั นามสั สะ ภกิ ขุโน ตาสัง อาปตตนี ัง สทุ ธันตะปรวิ าสสั สะ ทานัง โส ตณุ หสั สะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ. ทินโน สงั เฆนะ อิตถันนามสั สะ ภกิ ขุโน ตาสัง อาปตตนี ัง สุทธันตะปะรวิ าโส ขะมะติ สังฆัสสะ ตสั มา ตณุ หิ เอวะเมตงั ธาระยามฯิ คู่มอื ปริวาสกรรม 17

คาํ สมาทานปริวาส ปริวาสัง สะมาทยิ ามิ วตั ตงั สะมาทิยามิ ทุตยิ ัมป ปะริวาสงั สะมาทยิ ามิ วัตตัง สะมาทยิ ามิ ตะติยมั ป ปะริวาสงั สะมาทิยามิ วตั ตัง สะมาทิยามฯิ คาํ บอกสทุ ธนั ตปรวิ าส อะหงั ภันเต สมั พะหุลา สังฆาทิเสสา อาปตตโิ ย อาปช ชิง อาปต ติปะรยิ นั ตัง เอกัจจงั ชานามิ เอกจั จงั นะ ชานามิ รตั ติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกจั จงั นะ ชานามิ อาปต ตปิ ะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจงั นะ สะรามิ รตั ตปิ ะรยิ นั ตัง เอกจั จงั ชานามิ เอกจั จงั นะ สะรามิ อาปต ตปิ ะรยิ ันเต เอกัจเจ เวมะตโิ ก เอกจั เจ นพิ เพมะติโก รัตติปะริยันเต เอกจั เจ เวมะตโิ ก เอกัจเจ นิพเพมะตโิ ก โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปต ตนี ัง สุทธนั ตะปริวาสงั ยาจิง ตสั สะ เม สงั โฆ ตาสงั อาปตตนี งั สทุ ธันตะปะริวาสงั อะทาสิ โสหงั ปะริวาสามิ เวทะยามะหัง ภนั เต เวทะยะตีติ มัง สังโฆ ธาเรตฯุ การเกบ็ ปรวิ าส วตั ตงั นกิ ขปิ ามิ ปะรวิ าสัง นิกขิปามิ ทุตยิ มั ป วัตตัง นิกขิปามิ ปะรวิ าสงั นิกขปิ ามิ ตะตยิ ัมป วัตตัง นกิ ขิปามิ ปะริวาสัง นิกขิปามิ คู่มือปริวาสกรรม 18

วธิ กี ารขอมานตั ภิกษุผปู ระพฤติปรวิ าสพอสมควรและถกู ตอ งตามพระวินยั แลว ช่ือวาเปน มานัตตารหะ ผู ควรแกมานัต เมื่อจะขอมานตั พึงเตรยี มดอกไมธูปเทียนใหพรอม หมผา เฉวยี งบา (หรอื หม ดองรัด อกแบบจบี จวี ร) เขาไปหาสงฆอยางนอ ย ๔ รปู ในเขตพัทธสีมา แลว ถวายเครื่องสักการะดอกไมธูป เทียน ครั้นถวายสักการะแลว นงั่ คกุ เขากราบ ๓ หน ต้งั นะโม ๓ จบ ถอยหา งจากหตั ถบาสสงฆ ในระยะพอสมควรแลว กลา วคาํ สมาทานปริวาสและบอกปรวิ าสตอสงฆ (ดังคาํ สมาทานและคํา บอก ที่กลาวไวข า งตน แลว) เมอ่ื ไดก ลาวสมาทานปริวาส แลวบอกปรวิ าส ครัน้ บอกแลว เขาไป หัตถบาสสงฆข อมานตั ตอ สงฆ ดงั น้ี คาํ ขอมานตั อะหงั ภนั เต สมั พะหุลา สงั ฆาทิเสสา อาปตติโย อาปช ชงิ อาปตตปิ ะรยิ นั ตงั เอกจั จงั ชานามิ เอกจั จัง นะ ชานามิ รตั ติปะริยนั ตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกจั จัง นะ ชานามิ อาปตตปิ ะริยันตัง เอกจั จัง สะรามิ เอกจั จัง นะ สะรามิ รตั ติปะริยันตงั เอกจั จงั สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ อาปตติปะรยิ นั เต เอกัจเจ เวมะตโิ ก เอกจั เจ นพิ เพมะตโิ ก รตั ติปะรยิ นั เต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปตตนี งั สทุ ธนั ตะปริวาสัง ยาจิง ตสั สะ เม สงั โฆ ตาสงั อาปตตีนัง สุทธันตะปะริวาสงั อะทาสิ โสหัง ภันเต ปะริวตุ ถะปะริวาโส สังฆงั ตาสัง อาปตตีนงั ฉารัตตัง มานตั ตัง ยาจามิ. อะหัง ภันเต สมั พะหลุ า สงั ฆาทิเสสา อาปต ติโย อาปช ชงิ อาปตติปะรยิ ันตงั เอกัจจัง ชานามิ เอกจั จงั นะ ชานามิ รตั ตปิ ะริยนั ตัง เอกัจจงั ชานามิ เอกจั จงั นะ ชานามิ อาปตตปิ ะริยนั ตัง เอกจั จัง สะรามิ เอกจั จัง นะ สะรามิ รตั ตปิ ะรยิ ันตงั เอกจั จงั สะรามิ เอกจั จงั นะ สะรามิ อาปตตปิ ะริยันเต เอกจั เจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะตโิ ก รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะตโิ ก เอกจั เจ นิพเพมะติโก โสหงั สังฆัง ตาสัง อาปตตีนงั สทุ ธันตะปรวิ าสงั ยาจิง ตสั สะ เม สังโฆ ตาสัง อาปตตนี งั สทุ ธันตะปะริวาสงั อะทาสิ โสหงั ปะริวุตถะปะรวิ าโส ทุตยิ มั ป ภันเต สังฆัง ตาสงั อาปต ตนี งั ฉารัตตงั มานัตตัง ยาจาม.ิ คู่มือปริวาสกรรม 19

อะหงั ภันเต สัมพะหลุ า สงั ฆาทิเสสา อาปต ตโิ ย อาปช ชงิ อาปต ติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกจั จัง นะ ชานามิ รัตตปิ ะรยิ ันตงั เอกัจจงั ชานามิ เอกจั จงั นะ ชานามิ อาปต ติปะรยิ นั ตงั เอกจั จงั สะรามิ เอกจั จงั นะ สะรามิ รตั ติปะริยันตงั เอกจั จงั สะรามิ เอกจั จัง นะ สะรามิ อาปต ติปะริยันเต เอกจั เจ เวมะติโก เอกัจเจ นพิ เพมะตโิ ก รัตตปิ ะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกจั เจ นิพเพมะตโิ ก โสหงั สังฆงั ตาสงั อาปต ตนี ัง สุทธันตะปริวาสงั ยาจงิ ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปตตีนัง สทุ ธันตะปะริวาสัง อะทาสิ โสหงั ปะริวตุ ถะปะรวิ าโส ตะตยิ มั ป ภันเต สังฆงั ตาสัง อาปตตนี ัง ฉารตั ตัง มานัตตงั ยาจาม.ิ กรรมวาจาใหม านตั สณุ าตุ เม ภนั เต สังโฆ อะยงั อติ ถันนาโม ภกิ ขุ สัมพะหลุ า สังฆาทิเสสา อาปตติโย อาปชชิ อาปต ตปิ ะริยันตัง เอกจั จงั ชานาติ เอกจั จงั นะ ชานาติ รัตติปะริยนั ตัง เอกจั จัง ชานาติ เอกัจจงั นะ ชานาติ อาปต ติปะริยนั ตงั เอกัจจัง สะระติ เอกัจจงั นะ สะระติ รัตติปะริยันตงั เอกัจจงั สะระติ เอกัจจงั นะ สะระติ อาปต ตปิ ะรยิ ันเต เอกจั เจ เวมะตโิ ก เอกจั เจ นพิ เพมะตโิ ก รัตตปิ ะรยิ ันเต เอกัจเจ เวมะตโิ ก เอกัจเจ นิพเพมะตโิ ก โส สังฆงั ตาสัง อาปต ตีนัง สุทธันตะปะรวิ าสงั ยาจิ ตัสสะ สงั โฆ ตาสัง อาปตตนี ัง สทุ ธันตะปะรวิ าสงั อะทาสิ โส ปะริวตุ ถะปะรวิ าโส สงั ฆัง ตาสัง อาปตตีนัง ฉารัตตงั มานัตตัง ยาจะติ ยะทิ สงั ฆัสสะ ปต ตะกัลลัง สังโฆ อติ ถนั นามสั สะ ภกิ ขุโน ตาสงั อาปตตนี งั ฉารัตตงั มานตั ตงั ทะเทยะ เอสา ญตั ตฯิ สณุ าตุ เม ภนั เต สงั โฆ อะยงั อิตถันนาโม ภิกขุ สมั พะหลุ า สงั ฆาทเิ สสา อาปต ตโิ ย อาปชชิ อาปต ติปะริยันตงั เอกจั จงั ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ รตั ตปิ ะรยิ ันตงั เอกจั จงั ชานาติ เอกจั จงั นะ ชานาติ อาปต ตปิ ะรยิ ันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจงั นะ สะระติ คู่มือปริวาสกรรม 20

รัตตปิ ะรยิ ันตงั เอกจั จงั สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ อาปต ตปิ ะรยิ นั เต เอกจั เจ เวมะติโก เอกัจเจ นพิ เพมะตโิ ก รัตตปิ ะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกจั เจ นิพเพมะติโก โส สงั ฆงั ตาสัง อาปตตนี งั สทุ ธันตะปะรวิ าสัง ยาจิ ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปตตีนัง สทุ ธันตะปะรวิ าสงั อะทาสิ โส ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปตตีนงั ฉารตั ตัง มานัตตงั ยาจะติ สังโฆ อิตถันนามัสสะ ภกิ ขุโน ตาสัง อาปตตนี งั ฉารตั ตัง มานตั ตงั เทติ ยัสสายสั มะโต ขะมะติ อิตถันนามสั สะ ภกิ ขุโน ตาสงั อาปต ตนี งั ฉารตั ตัง มานัตตสั สะ ทานัง โส ตณุ หสั สะ ยสั สะ นกั ขะมะติ โส ภาเสยยะฯ ทตุ ิยัมป เอตะมัตถงั วะทามิ สุณาตุ เม ภนั เต สังโฆ อะยงั อติ ถนั นาโม ภกิ ขุ สมั พะหลุ า สังฆาทเิ สสา อาปตติโย อาปชชิ อาปต ติปะรยิ นั ตงั เอกจั จัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ รตั ติปะริยันตงั เอกัจจงั ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ อาปตติปะริยนั ตัง เอกัจจงั สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ รัตติปะริยันตงั เอกจั จัง สะระติ เอกัจจงั นะ สะระติ อาปต ตปิ ะริยนั เต เอกจั เจ เวมะติโก เอกัจเจ นพิ เพมะตโิ ก รตั ติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะตโิ ก เอกจั เจ นิพเพมะตโิ ก โส สังฆัง ตาสงั อาปต ตีนัง สุทธันตะปะรวิ าสัง ยาจิ ตสั สะ สังโฆ ตาสัง อาปตตนี ัง สุทธันตะปะรวิ าสัง อะทาสโิ ส ปะรวิ ุตถะปะริวาโส สังฆงั ตาสัง อาปต ตีนัง ฉารัตตงั มานัตตัง ยาจะติ สงั โฆ อิตถนั นามสั สะ ภิกขุโน ตาสงั อาปต ตีนัง ฉารัตตัง มานตั ตัง เทติ ยสั สายสั มะโต ขะมะติ อิตถันนามสั สะ ภกิ ขโุ น ตาสัง อาปตตนี ัง ฉารัตตงั มานัตตสั สะ ทานงั โส ตณุ หัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะฯ ตะติยัมป เอตะมัตถงั วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อะยัง อิตถนั นาโม ภิกขุ สัมพะหุลา สงั ฆาทิเสสา อาปตติโย อาปชชิ อาปต ติปะริยนั ตงั เอกจั จงั ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ รัตติปะริยนั ตงั เอกจั จัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ อาปต ตปิ ะริยนั ตัง เอกัจจงั สะระติ เอกจั จัง นะ สะระติ รัตติปะริยนั ตงั เอกจั จัง สะระติ เอกัจจงั นะ สะระติ อาปต ตปิ ะริยนั เต เอกัจเจ เวมะตโิ ก เอกจั เจ นิพเพมะตโิ ก รตั ตปิ ะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกจั เจ นิพเพมะตโิ ก โส สังฆงั ตาสงั อาปตตนี ัง สุทธันตะปะรวิ าสัง ยาจิ ตสั สะ สงั โฆ คู่มอื ปริวาสกรรม 21

ตาสัง อาปต ตนี งั สทุ ธันตะปะรวิ าสัง อะทาสิ โส ปะรวิ ตุ ถะปะริวาโส สงั ฆงั ตาสัง อาปตตีนัง ฉารัตตงั มานัตตัง ยาจะติ สงั โฆ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสงั อาปตตีนงั ฉารัตตัง มานตั ตัง เทติ ยสั สายสั มะโต ขะมะติ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสงั อาปต ตนี งั ฉารตั ตงั มานัตตัสสะ ทานัง โส ตณุ หัสสะ ยสั สะ นกั ขะมะติ โส ภาเสยยะฯ ทนิ นงั สังเฆนะ อิตถันนามสั สะ ภิกขโุ น ตาสงั อาปต ตนี งั ฉารัตตงั มานตั ตงั ขะมะติ สงั ฆสั สะ ตัส?มา ตณุ ?หี เอวะเมตงั ธาระยามิฯ คาํ สมาทานมานตั มานตั ตงั สมาทยิ ามิ วัตตัง สะมาทยิ ามิ ทุติยัมป มานตั ตัง สะมาทิยามิ วัตตัง สะมาทยิ ามิ ตะตยิ มั ป มานัตตงั สะมาทิยามิ วัตตงั สะมาทิยามิ คาํ บอกมานตั อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปต ติโย อาปช ชงิ อาปตตปิ ะรยิ ันตงั เอกัจจงั ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ รตั ติปะริยันตงั เอกจั จงั ชานามิ เอกัจจงั นะ ชานามิ อาปตติปะรยิ นั ตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ รตั ติปะรยิ ันตัง เอกจั จงั สะรามิ เอกจั จัง นะ สะรามิ อาปตติปะรยิ ันเต เอกจั เจ เวมะตโิ ก เอกัจเจ นิพเพมะตโิ ก รตั ติปะรยิ นั เต เอกจั เจ เวมะตโิ ก เอกัจเจ นิพเพมะตโิ ก โสหัง สงั ฆัง ตาสัง อาปตตีนัง สุทธันตะปริวาสัง ยาจงิ ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปตตนี งั สทุ ธันตะปะรวิ าสงั อะทาสิ โสหงั ปะริวุตถะปะรวิ าโส สังฆัง ตาสงั อาปต ตนี ัง ฉารัตตงั มานัตตงั ยาจิง ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปต ตนี งั ฉารัตตัง มานัตตงั อะทาสิ โสหัง มานตั ตัง จะรามิ เวทะยามะหงั ภนั เต เวทะยะตีติ มงั สังโฆ ธาเรตุ. คู่มอื ปริวาสกรรม 22

คาํ เกบ็ มานตั วตั ตงั นิกขปิ ามิ มานัตตัง นกิ ขปิ ามิ ทุติยัมป วัตตัง นกิ ขิปามิ มานตั ตงั นิกขปิ ามิ ตะตยิ มั ป วัตตงั นิกขปิ ามิ มานตั ตงั นิกขปิ ามิ ______________________________ คู่มอื ปริวาสกรรม 23

รายชอื่ วดั จดั ปรวิ าสกรรม (กรณุ าตรวจสอบกับทางวดั กอน เนอ่ื งจากบางวดั อาจเลกิ จัดไปแลว) ------------------------------------------------------------------------- แบบจดั ตลอดป สาํ นกั ปฏิบตั ิธรรมวดั หนองกา ย บานหนองกาย 99 หมทู ่ี 4 ต.สนั ปา ยาง อ.แมแ ตง จ.เชียงใหม โทร. 053-374-311, 081-7656469 www.watnonggai.com การเดนิ ทาง มาทางรถทัวร : ลงท่ขี นสง อาเขตเชยี งใหม นั่งรถสองแถวสแี ดงมาลงที่ตลาดวโรรสแลว ตอรถสองแถวสเี หลอื ง สังปา ยาง มาลงทหี่ นาวดั หนองกา ย มาทางรถไฟ : ลงทสี่ ถานีเชียงใหม นง่ั รถสองแถวสแี ดงมาลงทต่ี ลาดวโรรส แลวตอรถสองแถวสีเหลอื งสงั ปา ยาง มาลงทห่ี นา วดั หนองกา ย มาทางเครอื่ งบิน : นั่งรถสองแถวสีแดงมาลงที่ ตลาดวโรรสแลวตอรถสองแถวสีเหลอื งสงั ปา ยาง มาลงทหี่ นา วดั หนองกาย -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วดั บานปาเหนือ ต.บา นปา อ.แกง คอย จ.สระบุรี 18110 โทร. 036-306198 ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วัดหินซอ นใต ต.หินซอน อ.แกง คอย จ.สระบรุ ี โทร. ๐๓๖-๗๒๒ ๒๓๘, ๐๘๕-๐๙๘ ๑๘๗๔ แบบสทุ ธันตะ, ปฏกิ ัสฯปรวิ าส, ปฏิกสั ฯมานัตต กําหนดการ วันที่ ๑-๘, ๑๖-๒๓ ของทุกเดือนขอปริวาส วันที่ ๙, ๒๔, ๒๕ ของทุกเดือนขอมานตั วันท่ี ๑, ๑๖ ของทุกเดือนขออัพภาน การเดินทาง ขน้ึ รถไฟที่สถานชี มุ ทางแกงคอย (สายแกง คอย-บวั ใหญ, แกง คอย-ลํานารายณ) มาลงทีส่ ถานหี ินซอน เดินเขา วดั ๑ กม. เวลารถออก 5.30 น., 11.50 น., 17.00 น. การเดินทางดว ยรถประจาํ ทาง ที่ บขส.สระบรุ ี รถสระบรุ ี - ซบั สนนุ ลงทแี่ ยกปก สําโรง โบกรถเขา มา ๗ กม. หรือ จา งรถทีป่ ากทางเขา มา ไมเ กิน ๑๐๐ บาท คู่มอื ปริวาสกรรม 24

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วัดสวนสวรรค ต.หนองมว ง อ.หนองมวง จ.ลพบุรี ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วัดชากสมอ (สุขใจดี) ต.ชากสมอ อ.เมือง จ.ชลบรุ ี 21000 โทร. 038-214671 ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- วัดหนองปลวก หมู 8 ต.หนองกุม อ.บอ พลอย จ.กาญจนบุรี ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- หมายเหตุ : กรุณาตรวจสอบกับทางวัดโดยตรงกอน เพราะบางวดั อาจจะเลิกจัดไปแลว ขอมูลวดั จดั ปรวิ าสกรรม http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=351.0 คู่มอื ปริวาสกรรม 25


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook