นวโกวาท ติกะ คือ หมวด ๓ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส รัตนะ ๓ อยา่ ง ธรรมวิภาค ทกุ ะ คือ หมวด ๒ พระพุทธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑ ธรรมมอี ุปการะมาก ๒ อยา่ ง ๑. ท่านผสู้ อนให้ประชุมชนประพฤติชอบด้วย กาย วงจา ใจ ตามพระธรรม ๑. สติ ความระลกึ ได้ วนิ ยั ทท่ี า่ นเรยี กวา่ พทุ ธศาสนา ช่ือพระพุทธเจ้า ๒. สัมปชัญญะ ความรูต้ วั ๒. พระธรรมวินยั ทเ่ี ปน็ คาสงั่ สอนของทา่ น ช่ือ พระธรรม ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลก ๒ อยา่ ง ๓. หมู่ชนที่ฟังคาสอนของทา่ นแล้ว ปฏบิ ัติชอบตามพระธรรมวินยั ชื่อ ๑. หริ ิ ความละอายแกใ่ จ พระสงฆ์ ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ธรรมอันทาให้งาม ๒ อยา่ ง คุณของรัตนะ ๓ อยา่ ง ๑. ขนั ติ ความอดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงย่ี ม พระพุทธเจ้าร้ดู ีรชู้ อบด้วยพระองคเ์ องก่อนแลว้ สอนผ้อู น่ื ใหร้ ูต้ ามด้วย บคุ คลหาไดย้ าก ๒ อยา่ ง พระธรรมย่อมรกั ษาผ้ปู ฏิบตั ิไมใ่ หต้ กไปในที่ช่วั ๑. บุพพการีบคุ คลผู้ทาอปุ การะก่อน พระสงฆ์ปฏิบตั ิชอบตามคาสอนของพระพุทธเจา้ แลว้ สอนผูอ้ นื่ ให้กระทา ๒. กตญั ญูกตเวที บุคคลผู้รอู้ ุปการะที่ท่านทาแลว้ และตอบแทน ตามด้วย อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสัง่ สอน 3 อย่าง ๑. ทรงสั่งสอนเพือ่ จะให้ผู้ฟังร้ยู ง่ิ เห็นจรงิ ในธรรมทีค่ วรร้คู วรเห็น ๒. ทรงสั่งสอนมีเหตุผลทผ่ี ูฟ้ งั อาจตรองตามให้เห็นจริงได้ ๓. ทรงสั่งสอนเปน็ อัศจรรย์ คือผู้ปฏิบัตติ ามยอ่ มได้ประโยชน์ โดยสมควร แก่ความปฏิบัติ
โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ อยา่ ง สุจรติ ๓ อยา่ ง ๑. เวน้ จากทุจริต คือประพฤติชวั่ ดว้ ยกาย วาจา ใจ ๒. ประกอบสจุ รติ คือประพฤตชิ อบ ดว้ ยกาย วาจา ใจ ๑. ประพฤติชอบดว้ ยกาย เรียกว่ากายสุจริต ๓. ทาใจของตนให้หมดจดจากเร่อื งเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นตน้ ๒. ประพฤตชิ อบด้วยวาจา เรียกวจสี จุ รติ ๓. ประพฤตชิ อบดว้ ยใจ เรยี กมโนสุจริต ทจุ ริต ๓ อย่าง ๑. ประพฤตชิ ่ัวด้วยกาย เรยี ก กายทจุ ริต กายสุจรติ ๓ อย่าง ๒. ประพฤติช่ัวดว้ ยวาจา เรียก วจีทจุ ริต ๓. ประพฤตชิ ว่ั ดว้ ยใจ เรียกว่า มโนทจุ ริต เวน้ จากฆ่าสัตว์ ๑ เวน้ จากลกั ฉอ้ ๑ เวน้ จากประพฤตผิ ดิ ในกาม ๑ กายทุจรติ ๓ อย่าง วจีสจุ ริต ๔ อย่าง ฆา่ สัตว์ ๑ ลักฉ้อ ๑ ประพฤตผิ ิดในกาม ๑ เว้นจากพดู เท็จ ๑ เวน้ จากพูดส่อเสยี ด ๑ เว้นจากพูดคาหยาบ ๑ เว้นจาก วจีทุจรติ ๔ อยา่ ง พูดเพอ้ เจ้อ ๑ พูดเทจ็ ๑ พดู ส่อเสียด ๑ พูดคาหยาบ ๑ พดู เพอ้ เจ้อ ๑ มโนสจุ รติ ๓ อยา่ ง มโนทุจริต ๓ อยา่ ง โลภอยากได้ของเขา ๑ พยาบาทปองร้ายเขา ๑ เหน็ ผดิ จากครองธรรม ๑ ไมโ่ ลภอยากไดข้ องเขา ๑ ไม่พยาบาทปองรา้ ยเขา ๑ เหน็ ชอบตามคลอง ทุจรติ ๓ อย่างนเ้ี ปน็ กจิ ไมค่ วรทา ควรจะละเสยี ธรรม ๑ สุจริต ๓ อย่างนี้ เปน็ กจิ ควรทา ควรประพฤติ อกศุ ลมูล ๓ อยา่ ง รากเงา่ ของอกุศล เรยี กอกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ โลภะ อยากได้ ๑ โทสะ คิดประทษุ ร้ายเขา ๑ โมหะ หลงไมร่ จู้ รงิ ๑ เม่ืออกุศลมลู เหล่าน้ี โลภะ โทสะ โมหะ ก็ดี มีอยแู่ ลว้ อกุศลอ่นื ที่ยังไมเ่ กิด ก็เกิดขึ้น ที่เกดิ แลว้ ก็เจริญมากข้นึ เหตุนัน้ ควรละเสยี
กศุ ลมูล ๓ อย่าง สามญั ลกั ษณะ ๓ อย่าง รากเงา่ ของกศุ ล เรียกกุศลมูล มี ๓ อยา่ ง คอื อโลภะ ไม่อยากได้ ๑ อโท ลกั ษณะทีเ่ สมอกันแกส่ ังขารท้ังปวง เรียกสามญั ลักษณะ ไตรลกั ษณะก็ สะ ไมค่ ดิ ประทษุ ร้ายเขา ๑ อโมหะ ไมห่ ลง ๑ เรยี ก แจกเป็น ๓ อยา่ ง เมือ่ กศุ ลมูลเหล่าน้ี อโลภะ อโทสะ อโมหะ ก็ดี มอี ยูแ่ ลว้ กศุ ลอนื่ ทีย่ งั ไม่ ๑. อนิจจตา ความเปน็ ของไมเ่ ท่ียง เกดิ ก็เกดิ ข้ึน ที่เกิดแล้วกเ็ จรญิ มากขน้ึ เหตนุ นั้ ควรใหเ้ กดิ มใี นสันดาน ๒. ทุกขตา ความเป็นทกุ ข์ ๓. อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตน สปั ปุริสบญั ญตั ิ คอื ขอ้ ทส่ี ตั บุรุษตั้งไว้ ๓ อยา่ ง จตุกกะ คือ หมวด ๔ ๑. ทาน สละสง่ิ ของๆ ตนเพื่อเปน็ ประโยชน์แกผ่ ้อู นื่ ๒. ปัพพัชชา ถอื บวช เปน็ อุบายเว้นจากเบยี ดเบยี นกนั และกนั วฑุ ฒิ คอื ธรรมเปน็ เคร่ืองเจริญ ๔ อย่าง ๓. มาตาปติ อุ ปุ ัฏฐาน ปฏิบตั ิมารดาบิดาของตนให้เปน็ สขุ ๑. สัปปุรสิ สงั เสวะ คบท่านผปู้ ระพฤตชิ อบด้วยกายวาจาใจ ที่เรียกว่า อปณั ณกปฏิปทา คอื ปฏิบตั ิใมผ่ ิด ๓ อยา่ ง สตั บรุ ษุ ๑. อินทรียสังวร สารวมอนิ ทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ ไมย่ ินดียนิ ๒. สทั ธมั มสั สวนะ ฟงั คาสอนของท่านโดยเคารพ ร้ายเวลาเห็นรูป ฟังเสยี ง ดมกลน่ิ ลมิ้ รส ถกู ต้องโผฏฐัพพะ รธู้ รรมารมณด์ ้วยใจ ๓. โยนิโสมนสิการ ตริตรองใหร้ จู้ ักส่งิ ท่ีดหี รือชัว่ โดยอบุ ายท่ีชอบ ๔. ธมั มานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแกธ่ รรมซ่งึ ได้ตรองเหน็ แลว้ ๒. โภชเน มัตตญั ญุตา ร้จู กั ประมาณในการกนิ อาหารแตพ่ อควร ไมม่ าก ไมน่ อ้ ย จกั ร ๔ ๓. ชาครยิ านุโยค ประกอบความเพียรเพอ่ื ชาระใจให้หมดจด ไม่เห็นแกน่ อนมากนัก ๑. ปฏริ ปู เทสวาสะ อย่ใู นประเทศอนั สมควร บุญกิรยิ าวตั ถุ ๓ อยา่ ง ๒. สปั ปรุ ิสูปัสสยะ คบสัตบรุ ษุ ๓. อัตตสมั มาปณิธิ ตง้ั ตนไว้ชอบ ส่งิ เป็นที่ตั้งแหง่ การบาเพญ็ บุญ เรยี กว่าบญุ กิริยาวัตถุ โดยยอ่ มี ๓ ย่าง ๔. ปุพเพกตปญุ ญตา ความเปน็ ผูไ้ ดท้ าความดีไว้ในปางก่อน ธรรม ๔ อย่างน้ี ดุจล้อรถนาไปส่คู วามเจรญิ ๑. ทานมยั บุญสาเรจ็ ด้วยการบริจาคทาน ๒. ศลี มยั บุญสาเร็จด้วยการรกั ษาศีล ๓. ภวนามัย บุญสาเรจ็ ด้วยการเจริญภาวนา
อคติ ๔ อธิษฐานธรรม คอื ธรรมทค่ี วามตัง้ ไวใ้ นใจ ๔ อย่าง ๑. ลาเอยี งเพราะรักใครก่ นั เรียก ฉนั ทาคติ ๑. ปญั ญา รอบรูส้ ง่ิ ท่คี วรรู้ ๒. ลาเอียงเพราะไม่ชอบกัน เรียก โทสาคติ ๒. สจั จะ ความจรงิ ใจ คือประพฤติส่งิ ใดกใ็ หไ้ ด้จรงิ ๓. ลาเอียงเพราะเขลา เรียก โมหาคติ ๓. จาคะ สละสิ่งท่เี ปน็ ขา้ ศึกแก่ความจรงิ ใจ ๔. ลาเอยี งเพราะกลวั เรียก ภยาคติ ๔. อุปสมะ สงบใจจากสง่ิ ทเ่ี ปน็ ข้าศกึ แก่ความสงบ อคติ ๔ ประการน้ี ไม่ควรประพฤติ อทิ ธิบาท คอื คณุ เครื่องใหส้ าเรจ็ ความประสงค์ ๔ อยา่ ง อนั ตรายของภกิ ษสุ ามเณรผบู้ วชใหม่ ๔ อยา่ ง ๑. ฉนั ทะ พอใจรักใครใ่ นสิ่งน้ัน ๑. อดทนตอ่ คาสอนไมไ่ ด้ คือเบ่อื ตอ่ คาสัง่ สอนข้ีเกียจทาตาม ๒. วริ ยิ ะ เพยี รประกอบสิ่งน้นั ๒. เป็นคนเหน็ แกป่ ากแก่ท้อง ทนความอดอยากไมไ่ ด้ ๓. จติ ตะ เอาใจฝกั ใฝ่ในสิ่งนัน้ ไม่วางธรุ ะ ๓. เพลิดเพลนิ ในกามคุณ ทะยานอยากได้สขุ ยิ่งๆ ขึ้นไป ๔. วิมงั สา หม่นั ตรติ รองพิจารณาเหตุผลในส่งิ นัน้ ๔. รกั ผูห้ ญงิ คุณ ๔ อย่างนี้ มบี ริบรู ณ์แล้ว อาจชักนาบุคคลใหถ้ ึงส่งิ ทีต่ ้องประสงค์ซง่ึ ไม่ ภิกษสุ ามเณรผหู้ วังความเจรญิ แก่ตน ควรระวงั อยา่ ใหอ้ ันตราย ๔ อยา่ งน้ี เหลอื วิสยั ยา่ ยีได้ ควรทาความไม่ประมาทในท่ี ๔ สถาน ปธาน คือความเพยี ร ๔ อย่าง ๑. ในการละกายทจุ รติ ประพฤติกายสจุ รติ ๑. สงั วรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดข้ึนในสนั ดาน ๒. ในการละวจีทุจรติ ประพฤตวิ จีสจุ ริต ๒. ปหานปธาน เพยี รละบาปท่ีเกิดขึ้นแลว้ ๓. ในการละมโนทุจริต ประพฤตมิ โนสุจริต ๓. ภาวนาปธาน เพียรใหก้ ศุ ลเกดิ ขนึ้ ในสนั ดาน ๔. ในการละความเห็นผิด ทาความเห็นให้ถกู ๔. อนรุ ักขนาปธาน เพียรรกั ษากศุ ลที่เกิดขน้ึ แล้วไม่ให้เสื่อม ความเพยี ร ๔ อยา่ งนี้ เป็นความเพยี รชอบควรประกอบให้มีในตน อกี อย่างหนึ่ง ๑. ระวังใจไม่ให้กาหนดั ในอารมณเ์ ปน็ ท่ีตั้งแห่งความกาหนดั
๒. ระวงั ใจไม่ใหข้ ดั เคืองในอารมณเ์ ปน็ ทตี่ ้ังแห่งความขัดเคือง พรหมวหิ าร ๔ ๓. ระวงั ใจไม่ให้หลงในอารมณ์เป็นทตี่ ง้ั แหง่ ความหลง ๑. เมตตาความรกั ใคร่ ปรารถนาจะให้เปน็ สขุ ๒. กรณุ าความสงสาร คิดจะชว่ ยให้พน้ ทกุ ข์ ๔. ระวังใจไม่ใหม้ วั เมาในอารมณเ์ ปน็ ท่ตี ้ังแหง่ ความมวั เมา ๓. มทุ ิตาความพลอยยินดี เม่อื ผอู้ น่ื ไดด้ ี ปารสิ ุทธศิ ึล ๔ ๔. อุเบกขาความวางเฉย ไมด่ ีใจไมเ่ สยี ใจ เมื่อผู้อ่ืนถึงความวิบัติ ๔ อย่างนี้ เปน็ เคร่อื งอยขู่ องทา่ นผใู้ หญ่ ๑. ปาติโมกขสังวร สารวมในพระปาติโมกข์ เว้นข้อทพ่ี ระพทุ ธเจ้าห้าม ทา ขอ้ ทพ่ี ระองคอ์ นุญาต สติปฏั ฐาน ๔ ๒. อนิ ทรียสงั วร สารวมอนิ ทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ปาก ลนิ้ กาย ใจ ไมใ่ ห้ ๑. กายานปุ สั สนา ๒. เวทนานปุ สั สนา ยินดยี นิ ร้ายในเวลาเหน็ รูป ฟังเสยี ง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐพั พะ รธู้ รรมารมณ์ดว้ ย ๓. จติ ตานุปัสสนา ๔. ธัมมานปุ สั สนา ใจ สตกิ าหนดพิจารณากายเปน็ อารมณว์ ่า กายนี้ก็สักวา่ กาย ไม่ใชส่ ัตว์ บคุ คล ๓. อาชวี ปาริสทุ ธิ เลย้ี งชวี ิตโดยทางที่ชอบ ไมห่ ลอกลวงเขาเลีย้ งชีวติ ตวั ตน เราเขา เรียก กายานปุ สั สนา ๔. ปจั จยปัจจเวกขณะ พจิ ารณาเสียกอ่ นจงึ บรโิ ภคปจั จัย ๔ คอื จีวร สตกิ าหนดพิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข์ และไมท่ ุกข์ไม่สุขเป็นอารมณ์วา่ บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไมบ่ ริโภคด้วยตัณหา เวทนานกี้ ส็ กั ว่าเวทนา ไม่ใช่สตั ว์ บุคคล ตวั ตน เราเขา เรียก เวทนานุปัสสนา อารกั ขกมั มัฏฐาน สติกาหนดพจิ ารณาใจที่เศรา้ หมอง หรอื ผอ่ งแผ้วเปน็ อารมณว์ ่า ใจนส้ี กั วา่ ใจ ไมใ่ ช่สัตว์ บุคคล ตวั ตน เราเขา เรียก จติ ตานุปสั สนา ๑. พุทธานุสติ ระลึกถงึ คุณพระพุทธเจา้ ทีม่ ใี นพระองค์และทรงเกื้อกลู แก้ ผอู้ ื่น สตกิ าหนดพิจารณาธรรมท่ีเป็นกุศลหรอื อกุศล ท่ีบงั เกิดกบั ใจเป็นอารมณ์ วา่ ธรรม ไมใ่ ชส่ ตั ว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เรยี ก ธัมมานปุ ัสสนา ๒. เมตตา แผไ่ มตรจี ิตคิดจะให้สัตว์ท้งั ปวงเป็นสุขท่วั หนา้ ๓. อสุภะ พิจารณารา่ งกายตนและผอู้ น่ื ให้เห็นเป็นไมง่ าม ๔. มรณสั สติ นึกถึงความตายอันจะมแี กต่ น กัมมฏั ฐาน ๔ อยา่ งนี้ ควรเจริญเปน็ นติ ย์
ธาตุกัมมฏั ฐาน ๔ อรยิ สัจ ๔ ธาตุ ๔ คือ ๑. ทกุ ข์ ธาตุดนิ เรยี ก ปฐวีธาตุ ๒. สมทุ ยั คือเหตใุ ห้ทุกขเ์ กิด ธาตนุ ้า เรยี ก อาโปธาตุ ๓. นิโรธ คอื ความดับทุกข์ ธาตไุ ฟ เรียก เตโชธาตุ ๔. มรรค คอื ข้อปฏิบตั ิใหถ้ ึงความดับทกุ ข์ ธาตุลม เรียก วาโยธาตุ ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ ไดช้ ือ่ วา่ ทกุ ข์ เพราะเปน็ ของทนได้ยาก ธาตุอันใดมีลกั ษณะแขน้ แข็ง ธาตนุ ัน้ เป็นปฐวธี าตุ ปฐวธี าตนุ น้ั ท่ีเป็นภายใน ตนั หาคอื ความทะยานอยาก ได้ช่ือวา่ สมทุ ัย เพราะเปน็ เหตใุ ห้ทุกข์เกิด คอื ผม ขน เล็บ ฟนั หนงั เน้ือ เอ็น กระดูก เย่ือในกระดกู มา้ ม หวั ใจ ตับ พังผดื ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไสน้ ้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ตันหานนั้ มปี ระเภทเปน็ ๓ คอื ตัณหาความอยากในอารมณท์ ่นี ่ารกั ใคร่ เรียกว่า กามตัณหา อยา่ ง ๑ ตณั หาความอยากเปน็ โนน่ เปน็ นี่ ธาตุอนั มลี ักษณะเอบิ อาบ ธาตุนัน้ เปน็ อาโปธาตุ อาโปธาตุน้นั ทเี่ ปน็ ภายใน เรยี กว่า ภวตัณหา อยา่ ง ๑ตณั หาความอยากไม่เป็นโนน่ เป็นน่ี คอื ดี เสลด หนอง เลือด เหง่ือ มันขน้ นา้ ตา เปลวมัน น้าลาย น้ามูก ไขขอ้ มูตร เรยี กวา่ วิภวตัณหา อยา่ ง ๑ ธาตุอันมีลักษณะรอ้ น ธาตุนนั้ เป็นเตโชธาตุ เตโชธาตุนนั้ ท่ีเปน็ ภายใน คือ ความดบั ตัณหาไดส้ นิ้ เชงิ ทกุ ขด์ ับไปหมดไดช้ ือ่ ว่า นิโรธ เพราะเปน็ ความ ไฟท่ยี งั กายใหอ้ บอุ่น ไฟท่ยี งั กายใหท้ รุดโทรม ไฟท่ียงั กายใหก้ ระวนกระวาย ไฟทเี่ ผา ดับทกุ ข์ อาหารใหย้ อ่ ย ปญั ญาอนั เห็นชอบวา่ สิง่ นี้ทุกข์ สงิ่ น้ีเหตใุ ห้ทกุ ขเ์ กิด สิง่ น้ที างใหถ้ งึ ความดับ ธาตอุ ันใดมลี ักษณะพัดไปมา ธาตนุ นั้ เป็นวาโยธาตุ วาโยธาตุนั้น ท่เี ปน็ ทุกข์ ไดช้ ่ือวา่ มรรค เพราะเปน็ ขอ้ ปฏิบตั ใิ หถ้ ึงความดบั ทกุ ข์ ภายใน คอื ลมพดั ขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบอ้ื งต่า ลมในทอ้ ง ลมในไส้ ลมพดั ไปตามตวั ลมหายใจ มรรคน้นั มอี งค์ ๘ ประการ คอื ปญั ญาอันเห็นชอบ ๑ ดาริชอบ ๑ เจรจา ชอบ ๑ ทาการงานชอบ ๑ เลย้ี งชพี ชอบ ๑ ทาความเพยี รชอบ ๑ ต้งั สติชอบ ๑ ตัง้ ใจ ความกาหนดพจิ ารณากายน้ี ใหเ้ หน็ วา่ เปน็ แต่เพยี งธาตุ ๔ คอื ดนิ น้า ไฟ ชอบ ๑ ลม ประชุมกนั อยู่ ไมใ่ ช่เรา ไม่ใชข่ องเรา เรยี กว่า ธาตกุ ัมมัฏฐาน
ปัญจกะ คือ หมวด ๕ เวสารชั ชกรณธรรม คือ ธรรมทาความกล้าหาญ ๕ อยา่ ง อนันตริยกรรม ๕ ๑. สัทธา เชือ่ สิง่ ที่ควรเชอ่ื ๒. สีล รักษากายวาจาให้เรียกรอ้ ย ๑. มาตุฆาต ฆา่ มารดา ๓. พาหุสัจจะ ความเปน็ ผู้ศึกษามาก ๔. วิรยิ ารมั ภะ ปรารภความเพียร ๒. ปิตฆุ าต ฆ่าบดิ า ๕. ปญั ญา รอบรู้ส่ิงทคี่ วรรู้ ๓. อรหนั ตฆาต ฆา่ พระอรหันต์ องค์แห่งภิกษใุ หม่ ๕ อย่าง ๔. โลหิตปุ บาท ทารา้ ยพระพทุ ธเจ้าจนถึงยงั พระโลหติ ให้หอ้ ข้นึ ไป ๑. สารวมในพระปาติโมกข์ เวน้ ขอ้ ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าห้าม ทาตามขอ้ ที่ทรง อนญุ าต ๕. สังฆเภท ยงั สงฆใ์ หแ้ ตกจากกนั ๒. สารวมอนิ ทรีย์ คอื ระวัง ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ไม่ให้ยินดียนิ ร้าย กรรม ๕ อยา่ งน้ี เป็นบาปอนั หนักท่ีสุดหา้ มสวรรค์ ห้ามนพิ พาน ตง้ั อยูใ่ น ครอบงาได้ ในเวลาท่ีเหน็ รูปดว้ ยนยั นต์ าเปน็ ตน้ ฐานปาราชิกของผู้ถอื พระพทุ ธศาสนา หา้ มไม่ให้ทาเปน็ เดด็ ขาด ๓. ความเป็นคนไมเ่ อิกเกรกิ เฮฮา อภณิ หปัจจเวกขณ์ ๕ ๔. อยใู่ นเสนาเสนะอันสงดั ๕. มีความเห็นชอบ ๑. ควรพจิ ารณาทุกวัน ๆ วา่ เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ลว่ งพ้นความแก่ ภกิ ษุใหมค่ วรตัง้ อยู่ในธรรม ๕ อยา่ งนี้ ไปได้ องค์แห่งธรรมกถึก คอื นักเทศก์ ๕ อย่าง ๒. ควรพจิ ารณาทุกวนั ๆ วา่ เรามีความเจ็บเปน็ ธรรมดา ไมล่ ว่ งพน้ ความ เจบ็ ไปได้ ๑. แสดงธรรมโดยลาดับ ไม่ตัดลัดใหข้ าดความ ๒. อา้ งเหตุผลแนะนาใหผ้ ฟู้ ังเข้าใจ ๓. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความตายเปน็ ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความ ๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาให้เปน็ ประโยชน์แกผ่ ้ฟู งั ตายไปได้ ๔. ควรพจิ ารณาทุกวัน ๆ วา่ เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของชอบใจ ท้ังสิน้ ๕. ควรพจิ ารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามกี รรมเป็นของตัว เราทาดีจักไดด้ ี ทาช่วั จักได้ชั่ว
๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ ๑. พอใจรกั ใครใ่ นอารมณ์ทีช่ อบใจมีรูเ้ ปน็ ต้น เรยี ก กามฉันท์ ๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผอู้ ื่น คอื ว่า ไม่ยกตนเสยี ดสีผ้อู ื่น ๒. ปองรา้ ยผู้อื่น เรียก พยาบาท ภิกษผุ ูไ้ ด้ธรรมกถึก พึงต้ังองค์ ๕ อยา่ งน้ไี ว้ในตน ๓. ความท่จี ิตใจหดหู่และเคลิบเคลมิ้ เรยี ก ถีนมิทธะ ธมั มัสสวนานสิ งส์ คอื อานิสงสแ์ หง่ การฟังธรรม ๕ อย่าง ๔. ฟุ้งซ่านและราคาญ เรียก อุทธจั จกุกุจจะ ๑. ผฟู้ งั ธรรมย่อมได้ฟงั สิ่งที่ยังไมเ่ คยฟัง ๕. ลังเลไมต่ กลงได้ เรียก วจิ กิ ิจฉา ๒. สิ่งใดไดเ้ คยฟังแลว้ แต่ไม่เขา้ ใจชัดยอ่ มเข้าใจสิ่งนน้ั ชัด ๓. บรรเทาความสงสัยเสยี ได้ ขนั ธ์ ๕ ๔. ทาความเหน็ ใหถ้ ูกตอ้ งได้ ๕. จิตของผ้ฟู ังย่อมผอ่ งใส กายกับใจน้ี แบ่งออกเป็น ๕ กอง เรียกว่า ขันธ์ ๕ พละ คอื ธรรมเปน็ กาลัง ๕ อยา่ ง ๑. รูป ๒. เวทนา ๓. สัญญา ๔. สงั ขาร ๕. วิญญาณ ๑. สัทธา ความเชอื่ ๒. วิริยะ ความเพียร ธาตุ ๔ คือ ดนิ น้า ไฟ ลม ประชุมกันเป็นกายน้ี เรียกว่า รูป ๓. สติ ความระลกึ ได้ ๔. สมาธิ ความตง้ั ใจมัน่ ความรสู้ ึกอารมณว์ ่า เป็นสุข คอื สบายกาย สบายใจ หรอื เปน็ ทกุ ข์ คอื ไม่ ๕. ปัญญา ความรอบรู้ สบายกาย ไมส่ บายใจ หรือเฉยๆ คอื ไม่ทกุ ขไ์ ม่สขุ เรียกวา่ เวทนา อินทรยี ์ ๕ ก็เรยี ก เพราะเป็นใหญ่ในกจิ ของตน ความจาได้หมายรู้ คือ จารูป เสยี ง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ท่ีเกิดกับใจ นวิ รณ์ ๕ ได้ เรียก สญั ญา ธรรมอันกนั้ จิตไม่ให้บรรลคุ วามดี เรียกนวิ รณ์ มี ๕ อยา่ ง เจตสกิ ธรรม คือ อารมณท์ ี่เกดิ กับใจ เป็นส่วนดี เรียก กุศล เปน็ ส่วนชว่ั เรียก อกศุ ล เป็นสว่ นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว เรียก อัพยากฤต เรียกว่า สงั ขาร ความรอู้ ารมณใ์ นเวลาเม่ือรู้มากระทบตา เปน็ ต้น เรยี กวา่ วญิ ญาณ ขนั ธ์ ๕ นี้ ยน่ เรยี กว่า นามรูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ รวมเข้าเป็น นาม รปู คงเปน็ รูป
ฉักกะ คอื หมวด ๖ ธรรม ๖ อยา่ งน้ี ทาผู้ประพฤตใิ หเ้ ปน็ ทีร่ กั ที่เคารพของผู้อน่ื เป็นไปเพอ่ื ความสงเคราะห์กันและกัน เปน็ ไปเพ่อื ความไมว่ ิวาทกนั และกนั เปน็ ไปเพือ่ ความพรอ้ ม คารวะ ๖ อยา่ ง เพรียงเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดียวกนั ความเอือ้ เฟือ้ ในพระพุทธเจ้า ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในความ อายตนะภายใน ๖ ศึกษา ๑ ในความไม่ประมาท ๑ ในปฏิสนั ถาร คือตอ้ นรบั ปราศรัย ๑ ภิกษคุ วรทา คารวะ ๖ ประการนี้ ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ อินทรีย์ ๖ กเ็ รียก สาราณยิ ธรรม ๖ อย่าง อายตนะภายนอก ๖ ธรรมเปน็ ท่ีต้ังแหง่ ความระลึกถึง เรยี กสาราณยิ ธรรม มี ๖ อยา่ ง คือ รปู เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ คอื อารมณ์ทม่ี าถูกต้องกาย ธรรม คอื อารมณ์เกิดกบั ใจ อารมณ์ ๖ กเ็ รยี ก ๑. เขา้ ไปตง้ั กายกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพ่ือนภิกษสุ ามเณรทัง้ ต่อ หนา้ และลับหลัง คอื ชว่ ยขวนขวายกิจธุระของเพอื่ นกันด้วยกาย มีพยาบาลภกิ ษไุ ข้เป็น วิญญาณ ๖ ตน้ ด้วยจิตเมตตา อาศัยรปู กระทบตา เกดิ ความร้ขู น้ึ เรยี ก จกั ขุวญิ ญาณ ๒. เขา้ ไปตงั้ วจกี รรมประกอบดว้ ยเมตตาในเพอ่ื นภิกษสุ ามเณรทั้งต่อหน้า อาศยั เสียงกระทบหู เกิดความรู้ข้ึน เรียก โสตวิญญาณ และลบั หลงั คือ ชว่ ยขวนขวายในกิจธุระของเพ่ือนกนั ดว้ ยวาจา เข่นกล่าวคาสงั่ สอน อาศยั กล่นิ กระทบจมูก เกดิ ความรูข้ น้ึ เรยี ก ฆานวิญญาณ เปน็ ตน้ ด้วยจิตเมตตา อาศยั รสกระทบลนิ้ เกิดความรู้ขน้ึ เรยี ก ชวิ หาวิญญาณ อาศยั โผฏฐัพพะกระทบกาย เกดิ ความรู้ขน้ึ เรียก กายวญิ ญาณ ๓. เข้าไปตง้ั มโนกรรมประกอบดว้ ยเมตตาในเพอื่ นภกิ ษุสามเณรท้ังต่อหนา้ อาศัยธรรมเกดิ กับใจ เกดิ ความร้ขู น้ึ เรยี ก มโนวิญญาณ และลบั หลงั คอื คดิ แตส่ งิ่ ที่เป็นประโยชนแ์ ก่เพือ่ นกนั ๔. แบ่งปนั ลาภทีต่ นไดม้ าแลว้ โดยชอบธรรมให้แก่เพอื่ นภกิ ษุสามเณร ไม่ หวงไว้บริโภคจาเพาะผ้เู ดียว ๕. รักษาศีลบริสุทธ์เิ สมอกันกับเพื่อนภกิ ษสุ ามเณรอนื่ ๆ ไม่ทาตนใหเ้ ปน็ ที่ รังเกยี จของผูอ้ ืน่ ๖. มีความเห็นรว่ มกันกับภกิ ษสุ ามเณรอื่นๆ ไม่วิวาทกับใครๆ เพราะมี ความเหน็ ผิดกนั
สัมผัส ๖ นยิ ธรรม ๗ อยา่ ง อายตนะภายในมีตาเป็นตน้ อายตนะภายนอกมีรูปเป็นต้น วญิ ญาณมีจกั ขุ ธรรมไมเ่ ป็นทีต่ ง้ั แหง่ ความเสอ่ื ม เป็นไปเพ่ือความเจริญฝา่ ยเดียว ช่ือว่า วิญญาณเป็นต้น กระทบกนั เรยี กสัมผสั มชี อ่ื ตามอายตนะภายใน เปน็ ๖ คือ อปรหานิยธรรม มี ๗ อย่าง จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน ๑. หมัน่ ประชุมกันเนอื งนติ ย์ เวทนา ๖ ๒. เมอื่ ประชมุ ก็พร้อมเพรียงกนั ประชุม เมื่อเลกิ ประชุมก็พรอ้ มเพรยี งกัน เลกิ และพรอ้ มเพรยี งกนั ทากจิ ท่ีสงฆ์จะต้องทา สมั ผัสน้ันเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เปน็ สขุ บ้างทุกข์บา้ ง ไมท่ ุกข์ไมส่ ขุ บ้าง มี ชื่อตามอายตนะภายในเป็น ๖ คอื ๓. ไมบ่ ญั ญตั สิ ิ่งท่ีพระพทุ ธเจ้าไม่บัญญตั ขิ ้ึน ไม่ถอนสง่ิ ท่ีพระองคท์ รง บัญญัติไว้แลว้ สมาทานศกึ ษาอยู่ในสิกขาบทตามทพี่ ระองคท์ รงบญั ญตั ิไว้ จกั ขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน ๔. ภกิ ษเุ หล่าใดเปน็ ผู้ใหญ่เป็นประธานในสงฆ์ เคารพนบั ถอื ภกิ ษุเหลา่ นนั้ ธาตุ ๖ เชอื่ ฟังถ้อยคาของทา่ น ๑. ปฐวีธาตุ คอื ธาตดุ ิน ๕. ไม่ลอุ านาจแกค่ วามอยากที่เกิดข้นึ ๒. อาโปธาตุ คอื ธาตนุ ้า ๓. เตโชธาตุ คือ ธาตไุ ฟ ๖. ยนิ ดใี นเสนาสนะปา่ ๔. วาโยธาตุ คือ ธาตลุ ม ๕. อากาสธาตุ คือ ชอ่ งว่างมีในกาย ๗. ตง้ั ใจอยูว่ ่า เพอื่ นภิกษสุ ามเณรซงึ่ เปน็ ผู้มีศลี ซ่งึ ยังไม่มาสู่อาวาส ขอให้ ๖. วิญญาณธาตุ คอื ความรู้อะไรกไ็ ด้ มา ท่มี าแลว้ ขอให้อยู่เป็นสขุ ธรรม ๗ อยา่ งนี้ ตงั้ อยู่ในผใู้ ด ผ้นู ้นั ไมม่ คี วามเสอ่ื มเลย มแี ตค่ วามเจริญฝา่ ย เดยี ว อริยทรพั ย์ ๗ ทรัพย์ คือคณุ ความดีทีม่ อี ย่ใู นสนั ดานอย่างประเสริฐ เรยี กอริยทรพั ย์ มี ๗ อยา่ ง คอื ๑. สัทธา เชือ่ สง่ิ ทีค่ วรเช่อื ๒. สีล รกั ษา กาย วาจา ให้เรียบร้อย
๓. หิริ ความละอายต่อบาปทุจรติ สปั ปรุ ิสธรรมอีก ๗ อยา่ ง ๔. โอตตปั ปะ สะดุ้งกลัวตอ่ บาป ๑. สตั บรุ ุษประกอบดว้ ยธรรม ๗ ประการ คือ มีศรทั ธา มคี วามละอายตอ่ บาป มีความกลวั บาป เป็นคนไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาก เปน็ คนมคี วามเพียร เป็นคนมีสติม่นั คง ๕. พาหุสัจจะ ความเปน็ คนเคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาก คอื จาทรงธรรมและรู้ เป็นคนมปี ัญญา ศลิ ปวิทยามาก ๒. จะปรึกษาสิง่ ใดกับใครๆ กไ็ มป่ รึกษาเพอ่ื จะเบียดเบียนตนและผอู้ นื่ ๖. จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนให้แกค่ นท่ีควรให้ปัน ๓. จะคิดส่ิงใดก็ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนและผอู้ ืน่ ๔. จะพดู สิ่งใดกพ็ ูดเพอ่ื ไม่เบยี ดเบยี นตนและผู้อื่น ๗. ปัญญา รอบรสู้ ิ่งทเ่ี ปน็ ประโยชน์ และไมเ่ ป็นประโยชน์ ๕. จะทาสงิ่ ใดกไ็ ม่ทาเพ่ือเบียดเบียนตนและผอู้ ่ืน ๖. มคี วามเหน็ ชอบ มีเห็นว่า ทาดไี ดด้ ี ทาช่วั ได้ชัว่ เป็นต้น สปั ปรุ สิ ธรรม ๗ อยา่ ง ๗. ใหท้ านโดยเคารพ คอื เออ้ื เฟอื้ แกข่ องที่ตัวเองให้ และผรู้ ับทานนัน้ ไม่ทา อาการดุจท้งิ เสีย ธรรมของสัตบรุ ษุ เรียกว่า สปั ปุริสธรรม มี ๗ อยา่ ง โพชฌงค์ ๗ ๑. ธัมมญั ญุตา ความเป็นผรู้ จู้ กั เหตุ เชน่ รูจ้ กั วา่ ส่ิงน้ีเปน็ เหตแุ ห่งสุข ส่ิงน้ี เป็นเหตแุ หง่ ทุกข์ ๑. สติ ความระลกึ ได้ ๒. ธมั มวิจยะ ความสอดสอ่ งธรรม ๒. อตั ถัญญุตา ความเป็นผรู้ ู้จกั ผล เช่นรู้จกั ว่า สขุ เป็นผลแหง่ เหตุอนั ใด ๓. วริ ิยะ ความเพยี ร ทกุ ขเ์ ป็นผลแหง่ เหตุอนั ใด ๔. ปีติ ความอ่ิมใจ ๕. ปัสสทั ธิ ความสงบใจและอารมณ์ ๓. อัตตัญญตุ า ความเปน็ ผรู้ ู้จักตนว่า เราวา่ โดยชาติตระกลู ยศศกั ดิ์สมบัติ ๖. สมาธิ ความต้ังใจม่นั บรวิ ารความร้แู ละคณุ ธรรมเพียงเท่าน้ีๆ แล้วประพฤติตนให้สมควรแกท่ ่ีเปน็ อยู่อย่างไร ๗. อุเปกขา ความวางเฉย เรยี กตามประเภทวา่ สตสิ ัมโพชฌงค์ไปโดยลาดบั จนถงึ อเุ ปกขาสัมโพชฌงค์ ๔. มัตตัญญุตา ความเปน็ ผรู้ ้ปู ระมาณ ในการแสวงหาเคร่ืองเลี้ยงชวี ิต แต่ โดยทางท่ีชอบ และรจู้ กั ประมาณในการบรโิ ภคแต่พอควร ๕. กาลญั ญตุ า ความเป็นผู้รู้จกั กาลเวลาอนั สมควรในอันประกอบกิจนนั้ ๆ ๖. ปริสัญญุตา ความเป็นผรู้ ู้จักประชุมชนและกริยาทต่ี อ้ งประพฤตติ อ่ ชุมชนนน้ั ๆ วา่ หมูน่ เ้ี ม่อื เขา้ ไปหา จะต้องทากริยาอย่างน้ี จะต้องพดู แบบน้ี เป็นต้น ๗. ปคุ คลปโรปรญั ญตุ า ความเป็นผูร้ ้จู กั เลือกบุคคลว่า ผนู้ ้เี ป็นผ้ดู ี ควรคบ ผู้นเ้ี ป็นคนไม่ดี ไมค่ วรคบ เปน็ ต้น
อฏั ฐกะ คือ หมวด ๘ เป็นไปเพือ่ ความปราศจากทุกข์ ๑ เป็นไปเพือ่ ความไมส่ ะสมกองกิเลส ๑ โลกธรรม ๘ เปน็ ไปเพอ่ื ความอยากอนั นอ้ ย ๑ เปน็ ไปเพอื่ ความสนั โดษยนิ ดดี ้วยของมีอยู่ ๑ ธรรมทค่ี รอบงาสัตว์โลกอยู่ และสัตวโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามธรรมนั้น เรียกว่า เปน็ ไปเพอ่ื ความสงดั จากหมู่ ๑ โลกธรรม โลกธรรมน้ันมี ๘ อยา่ ง คอื มลี าภ ๑ ไม่มลี าภ ๑ มยี ศ ๑ ไมม่ ยี ศ ๑ นนิ ทา ๑ เปน็ ไปเพื่อความเพียร ๑ สรรเสรญิ ๑ สุข ๑ ทกุ ข์ ๑ เปน็ ไปเพื่อความเลยี้ งง่าย ๑ ธรรมเหลา่ นพี ึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เปน็ ค้าสั่งสอนของพระศาสดา ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนง่ึ เกิดขนึ้ ควรพิจารณาวา่ ส่งิ ที่ เกิดขึ้นแลว้ แกเ่ รา กแ็ ตว่ า่ มนั ไมเ่ ทยี่ ง เป็นทกุ ข์ มีความแปรปรวนเปน็ ธรรมดา ควรรู้ มรรคมอี งค์ ๘ ตามทเี่ ปน็ จริง อย่าให้มนั ครอบงาจติ ได้ คอื อย่ายนิ ดีในสว่ นท่ปี รารถนา อย่ายินรา้ ยใน สว่ นท่ีไม่ปรารถนา ๑. สัมมาทิฏฐิ ปญั ญาอันเห็นชอบ คือเห็น อรยิ สัจ ๔ ๒. สัมมาสงั กัปปะดารชิ อบ คือ ดาริจะออกจากกาม ๑ ดารใิ นอนั ไม่ ลกั ษณะตัดสินธรรมวนิ ัย ๘ ประการ พยาบาท ๑ ดารใิ นอันไม่เบียดเบียน ๑ ๓. สัมมาวาจาเจรจาชอบ คือเว้นจากวจที ุจริต ๔ ธรรมเหลา่ ใดเป็นไปเพอ่ื ความกาหนัดย้อมใจ ๑ ๔. สมั มากัมมนั ตะ ทาการงานชอบ คือเว้นจากกายทจุ ริต ๓ ๕. สมั มาอาชวี ะ เลีย้ งชวี ติ ชอบ คอื เวน้ จากความเลย้ี งชวี ติ โดยทางที่ผิด เปน็ ไปเพื่อความประกอบทุกข์ ๑ ๖. สัมมาวายามะ เพยี รชอบ คือเพียรในท่ี ๔ สถาน ๗. สมั มาสติ ระลกึ ชอบ คือระลกึ ในสติปัฏฐานท้ัง ๔ เป็นไปเพื่อความสละกองกิเลส ๑ ๘. สัมมาสมาธิ ต้ังใจไว้ชอบ คอื เจริญฌานทั้ง ๔ ในองค์มรรคทงั้ ๘ นนั้ เห็นชอบ ดารชิ อบ สงเคราะหเ์ ขา้ ใน ปัญญาสิกขา เป็นไปเพอ่ื ความอยากใหญ่ ๑ เปน็ ไปเพ่อื ความไม่สันโดษยินดดี ว้ ยของมีอยู่ คอื มีนแ่ี ลว้ อยากไดน้ ่ัน ๑ เปน็ ไปเพือ่ ความคลกุ คลีดว้ ยหมู่คณะ ๑ เป็นไปเพอ่ื ความเกยี จครา้ น ๑ เป็นไปเพอ่ื ความเลี้ยงยาก ๑ ธรรมเหลา่ นีพึงรวู้ า่ ไม่ใชธ่ รรม ไม่ใช่วนิ ัย ไม่ใชค่ ้าสง่ั สอนของพระ ศาสดา ธรรมเหลา่ ใดเปน็ ไปเพือ่ ความคลายกาหนดั ๑
วาจาชอบ การงานชอบ เล้ียงชพี ชอบ สงเคราะห์เขา้ ใน สลี สิกขา ๙. พยาบาท ปองรา้ ยเขา เพียรชอบ ระลกึ ชอบ ตัง้ ใจไวช้ อบ สงเคราะห์เขา้ ใน จิตตสกิ ขา ๑๐. มิจฉาทฏิ ฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม กรรม ๑๐ อยา่ งนี้ เปน็ ทางบาป ไมค่ วรดาเนิน นวกะ คือ หมวด ๙ มละ คอื มลทนิ ๙ อยา่ ง กุศลกรรมบถ ๑๐ โกรธ ๑ ลบหลู่คณุ ทา่ น ๑ ริษยา ๑ ตระหนี่ ๑ มายา ๑ มักอวด ๑ พดู ปด จดั เป็นกายกรรม ๓ อยา่ ง ๑ มีความปรารถนาลามก ๑ เห็นผิด ๑ ๑. ปาณาตปิ าตา เวรมณี เวน้ จากทาชวี ติ สัตว์ให้ตกล่วง ๒. อทินนาทานา เวรมณี เวน้ จากถือเอาสงิ่ ของทีเ่ จ้าของไม่ไดใ้ ห้ ดว้ ย ทสกะ คอื หมวด ๑๐ อกุศลกรรมบถ ๑๐ อาการแห่งขโมย ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผดิ ในกาม จดั เปน็ กายกรรม คือทาดว้ ยกาย ๓ อย่าง จดั เปน็ วจกี รรม คือทาดว้ ยวาจา ๔ อย่าง ๑. ปาณาตบิ าต ทาชวี ติ สัตว์ให้ตกล่วง คอื ฆ่าสัตว์ ๔. มสุ าวาทา เวรมณี เวน้ จากพดู เท็จ ๒. อทินนาทาน ถอื เอาสงิ่ ของที่เจ้าของไม่ไดใ้ ห้ ดว้ ยอาการแห่งขโมย ๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เวน้ จากพูดส่อเสียด ๓. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤตผิ ิดในกาม ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคาหยาบ จัดเปน็ วจกี รรม คอื ทาดว้ ยวาจา ๔ อยา่ ง ๗. สมั ผัปปลาปา เวรมณี เวน้ จากพูดเพอ้ เจ้อ ๔. มุสาวาท พดู เทจ็ จดั เปน็ มโนกรรม คือทาดว้ ยใจ ๓ อย่าง ๕. ปิสณุ าวาจา พดู ส่อเสยี ด ๘. อภชิ ฌา ไม่โลภอยากได้ของเขา ๖. ผรสุ วาจา พูดคาหยาบ ๙. พยาบาท ไมพ่ ยาบาทปองรา้ ยเขา ๗. สัมผปั ปลาปะ พูดเพ้อเจอ้ ๑๐. มจิ ฉาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม จัดเปน็ มโนกรรม คือทาดว้ ยใจ ๓ อย่าง กรรม ๑๐ อยา่ งนี้ เป็นทางบญุ ควรดาเนนิ ๘. อภชิ ฌา โลภอยากได้ของเขา
บุญกิริยาวตั ถุ ๑๐ อย่าง ๕. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา่ ผู้รใู้ คร่ครวญแลว้ ตเิ ตยี นเราโดยศีลได้ หรอื ไม่ ๑. ทานมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการบริจาคทาน ๒. สลี มัย บุญสาเร็จดว้ ยการรกั ษาศีล ๖. บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ วา่ เราจะตอ้ งพลดั พรากจากของรกั ของ ๓. ภาวนามัย บุญสาเร็จด้วยการเจริญภาวนา ชอบใจทัง้ นนั้ ๔. อปจายนมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการประพฤติถอ่ มตนแกผ่ ูใ้ หญ่ ๕. เวยยาวจั จมยั บุญสาเรจ็ ด้วยการชว่ ยขวนขวายในกจิ ท่ีชอบ ๗. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัว เราทาดีจักได้ดี ๖. ปัตตทิ านมยั บญุ สาเร็จดว้ ยการให้ส่วนบุญ ทาชัว่ จกั ไดช้ ่วั ๗. ปตั ตานุโมทนามัย บุญสาเร็จดว้ ยการอนุโมทนาสว่ นบญุ ๘. ธมั มัสสวนมยั บญุ สาเร็จด้วยการฟังธรรม ๘. บรรพชิตควรพจิ ารณาเนืองๆ ว่า วันคืนลว่ งไปๆ บดั นเ้ี ราทาอะไรอยู่ ๙. ธัมมเทสนามยั บญุ สาเรจ็ ด้วยการแสดงธรรม ๑๐. ทิฏฐชุ กุ มั ม์ การทาความเหน็ ใหต้ รง ๙. บรรพชติ ควรพิจารณาเนอื งๆ ว่า เรายินดีทีส่ งัดหรอื ไม่ ธรรมที่บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ ๑๐ อย่าง ๑๐. บรรพชิตควรพิจารณาเนอื งๆ วา่ คุณวิเศษของเรามอี ยู่หรือไม่ ท่จี ะให้ เราเปน็ ผ้ไู ม่เก้อเขินในเวลาเพื่อนบรรพชติ ถามในกาลภายหลงั ๑. บรรพชิตควรพจิ ารณาเนืองๆ ว่า บัดนีเ้ รามเี พศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใดๆ ของสมณะ เราตอ้ งทาอาการกริ ิยานน้ั ๆ นาถกรณธรรม คือ ธรรมทาที่พึ่ง ๑๐ อย่าง ๒. บรรพชติ ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า ความเลี้ยงชีพของเราเน่ืองดว้ ยผูอ้ น่ื ๑. ศลี รักษากายวาจาให้เรียบรอ้ ย เราควรทาตัวใหเ้ ขาเลยี้ งงา่ ย ๒. พาหสุ จั จะ ความเป็นผไู้ ดส้ ดับตรับฟงั มาก ๓. บรรพชติ ควรพิจารณาเนอื งๆ วา่ อาการ กาย วาจาอยา่ งอื่นที่เรา จะต้องทาใหด้ ีขึ้นไปกวา่ นี้ยงั มีอยู่อกี ไม่ใชเ่ พียงเท่านี้ ๓. กัลยาณมติ ตตา ความเปน็ ผู้มีเพอ่ื นดงี าม ๔. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนืองๆ ว่า ตวั ของเราเองตเิ ตียนตวั ของเราเอง ๔. โสวจัสสตา ความเปน็ ผ้วู ่าง่ายสอนงา่ ย โดยศลี ไดห้ รือไม่ ๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความขยนั ชว่ ยเอาใจใส่ในกิจธุระของเพือ่ นภิกษุ สามเณร ๖. ธมั กามตา ความใครใ่ นธรรมทช่ี อบ ๗. วริ ยิ ะ เพียรเพอื่ จะละความชั่ว ประพฤติความดี ๘. สันโดษ ยินดีด้วยผา้ น่งุ ผ้าห่ม อาหาร ที่นอนที่น่ังและยา ตามมตี ามได้
๙. สติ จาการท่ีไดท้ าและคาท่ีพูดแล้วแมน้ านได้ ๕. จาคานุสสติ ระลึกถงึ ทานท่ตี นบรจิ าคแลว้ ๑๐. ปญั ญา รอบรู้ในกองสงั ขารตามเปน็ จรงิ อยา่ งไร ๖. เทวตานสุ สติ ระลกึ ถงึ คุณทีท่ าบุคคลให้เปน็ เทวดา ๗. มรณสั สติ ระลึกถึงความตายท่ีจะมาถึงตน กถาวัตถุคอื ถ้อยคาทคี่ วรพูด ๑๐ อยา่ ง ๘. กายคตาสติ ระลกึ ท่วั ไปในกาย ใหเ้ หน็ ว่า ไมง่ าม น่าเกลยี ด โสโครก ๙. อานาปานสติ ต้งั สตกิ าหนดลมหายใจเขา้ ออก ๑. อัปปจิ ฉกถา ถอ้ ยคาท่ชี ดั นาให้มคี วามปรารถนาน้อย ๑๐. อุปสมานุสสติ ระลึกถงึ พระคุณพระนพิ พาน ซงึ่ เปน็ ทรี่ ะงับกเิ ลสและ ๒. สันตฏุ ฐกิ ถา ถอ้ ยคาท่ีชกั นาใหม้ สี ันโดษ ยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ กองทุกข์ ๓. ปวเิ วกกถา ถ้อยคาท่ีชกั นาให้สงดั กายสงดั ใจ ๔. อสงั สัคคกถา ถ้อยคาที่ชกั นาไม่ใหร้ ะคนดว้ ยหมู่ ปกณิ ณกะ คอื หมวดเบด็ เตล็ด ๕. วริ ยิ ารมั ภกถา ถอ้ ยคาท่ีชักนาใหป้ รารภความเพยี ร อปุ กิเลส คือ โทษเคร่อื งเศรา้ หมอง ๑๖ อยา่ ง ๖. สลี กถา ถอ้ ยคาท่ีชัดนาใหต้ ั้งอยู่ในศีล ๗. สมาธกิ ถา ถ้อยคาทช่ี ักนาให้ทาใจใหส้ งบ ๑. อภชิ ฌาวิสมโลภะ ละโมบไม่สมา่ เสมอ ๘. ปญั ญากถา ถอ้ ยคาทชี่ ักนาให้เกดิ ปัญญา ๒. โทสะ ร้ายกาจ ๙. วมิ ุตติกถา ถอ้ ยคาทช่ี กั นาให้ทาใจให้พ้นจากกเิ ลส ๓. โกธะ โกรธ ๑๐. วิมุตตญิ าณทัสสนกถา ถ้อยคาท่ชี ักนาให้เกิดความรคู้ วามเหน็ ใน ๔. อปุ นาหะ ผูกโกรธไว้ ความที่ใจพน้ จากกิเลส ๕. มกั ขะ ลบหลู่คุณทา่ น ๖. ปลาสะ ตเี สมอ คอื ยกตัว อนสุ สติ คอื อารมณ์ควรระลกึ ๑๐ ประการ ๗. อิสสา รษิ ยา คอื เหน็ เขาไดด้ ี ทนอย่ไู ม่ได้ ๘. มัจฉริยะ ตระหนี่ ๑. พุทธานสุ สติ ระลกึ ถึงคณุ ของพระพุทธเจา้ ๙. มายา มารยา คือเจา้ เล่ห์ ๒. ธมั มานสุ สติ ระลกึ ถึงคณุ ของพระธรรม ๑๐. สาเถยยะโออ้ วด ๓. สังฆานสุ สติ ระลกึ ถงึ คุณของพระสงฆ์ ๔. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลของตน
๑๑. ถัมภะ หัวด้อื ๓. กาเมสุ มจิ ฉาจาร ประพฤตผิ ิดในกาม ๑๒. สารัมภะ แขง่ ดี ๔. มุสาวาท พดู เท็จ ๑๓. มานะ ถือตวั กรรม ๔ อยา่ งนี้ นกั ปราชญ์ไมส่ รรเสริญเลย ๑๔. อตมิ านะ ดูหม่นิ ทา่ น ๑๕. มทะ มวั เมา อบายมุข คือ เหตุเคร่อื งฉิบหาย ๔ อย่าง ๑๖. ปมาทะ เลินเลอ่ ๑. ความเป็นนกั เลงหญิง โพธิปักขยิ ธรรม ๑๗ ประการสตปิ ัฏฐาน ๔ ๒. ความเปน็ นักเลงสุรา สัมมปั ปธาน ๔ ๓. ความเป็นนกั เลงเล่นการพนัน อิทธิบาท ๔ ๔. ความคบคนช่วั เป็นมติ ร อนิ ทรยี ์ ๕ โทษ ๔ ประการนไ้ี มค่ วรประกอบ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ ทฏิ ฐธัมมิกัตถประโยชน์ คอื ประโยชนใ์ นปจั จบุ นั ๔ อย่าง มรรคมอี งค์ ๘ ๑. อุฏฐานสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยความหมนั่ ในการประกอบกจิ เครื่องเลี้ยง คหิ ปิ ฏิบตั ิ ชีวิตก็ดี ในการศกึ ษาเลา่ เรยี นกด็ ี ในการทาธรุ ะหน้าทข่ี องตนก็ดี จตกุ กะ กรรมกิเลส คอื กรรมเครื่องเศรา้ หมอง ๔ อย่าง ๒. อารักขสมั ปทา ถงึ พร้อมดว้ ยการรกั ษา คือรกั ษาทรัพยท์ ่ีแสวงหามาได้ ๑. ปาณาตบิ าต ทาชวี ิตสัตวใ์ ห้ตกล่วง ดว้ ยความหมัน่ ไม่ให้เปน็ อนั ตรายก็ดี รักษาการงานของตวั ไม่ให้เสื่อมเสียไปก็ดี ๒. อทินนาทาน ถือเอาส่ิงของท่เี จ้าของไม่ได้ให้ ดว้ ยอาการแห่งขโมย ๓. กลั ยาณมิตตตา ความมีเพอ่ื นเปน็ คนดไี มค่ บคนช่วั ๔. สมชวี ติ า ความเล้ียงชวี ิตตามสมควรแกก่ าลังทรัพย์ทห่ี าได้ ไม่ให้ ฝืดเคอื งนกั ไม่ใหฟ้ มู ฟายนัก สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ คือ ประโยชนภ์ ายหนา้ ๔ อย่าง ๑. สัทธาสมั ปทา ถงึ พรอ้ มด้วยศรัทธา คือเชือ่ สิง่ ทค่ี วรเชื่อ เชน่ เชือ่ ว่า ทาดี ไดด้ ี ทาชัว่ ได้ช่วั เป็นต้น
๒. สีลสมั ปทา ถงึ พร้อมดว้ ยศลี คือรักษากายวาจาเรียบร้อยดี ไม่มโี ทษ ๓. สงเคราะห์ดว้ ยส่ิงหาประโยชนม์ ไิ ด้ ๓. จาคสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยการบรจิ าคทาน เป็นการเฉล่ียสขุ ให้แกผ่ ้อู น่ื ๔. ออกปากพึง่ มิได้ ๔. ปัญญาสัมปทา ถงึ พร้อมดว้ ยปญั ญา รจู กั บาป บญุ คณุ โทษ ๓. คนหวั ประจบ มลี ักษณะ ๔ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ เปน็ ต้น ๑. จะทาชวั่ กค็ ลอ้ ยตาม ๒. จะทาดกี ค็ ลอ้ ยตาม มติ ตปฏิรปู คือ คนเทียมมติ ร ๔ จาพวก ๓. ต่อหนา้ ว่าสรรเสรญิ ๔. ลับหลงั ตัง้ นินทา ๑. คนปอกลอก ๔. คนชกั นาในทางฉบิ หาย มลี ักษณะ ๔ ๒. คนดีแต่พูด ๑. ชกั ชวนด่ืมน้าเมา ๓. คนหวั ประจบ ๒. ชักชวนเทย่ี วกลางคนื ๔. คนชักชวนในทางฉิบหาย ๓. ชักชวนให้มวั เมาในการเลน่ คน ๔ จาพวกนี้ ไมใ่ ช่มิตร เปน็ แต่คนเทยี มมิตร ไมค่ วรคบ ๔. ชักชวนเลน่ การพนนั a8a8a8a8a8a8a8a8a8a มติ รแท้ ๔ จาพวก ๑. คนปอกลอก มลี กั ษณะ ๔ ๑. มติ รมีอุปการะ ๑. คิดเอาแตไ่ ดฝ้ ่ายเดยี ว ๒. มิตรร่วมทกุ ข์รว่ มสขุ ๒. เสียใหน้ ้อยคิดเอาใหไ้ ดม้ าก ๓. มติ รแนะนาประโยชน์ ๓. เมื่อมีภยั แกต่ ัว จงึ รบั เอากิจของเพ่ือน ๔. มิตรมีความรักใคร่ ๔. คบเพื่อนเพราะเห็นแกป่ ระโยชนข์ องตัว มิตร ๔ จาพวกน้ีเป็นมติ รแท้ ควรคบ ๒. คนดีแต่พูด มีลักษณะ ๔ ๑. เก็บเอาของลว่ งแลว้ มาปราศรยั a8a8a8a8a8a8a8a8a8a ๒. อา้ งเอาของที่ยังไม่มมี าปราศรยั
๑. มิตรมอี ุปการะ มีลักษณะ ๔ ๔. รบั รองคนท่พี ูดสรรเสรญิ เพ่อื น ๑. ปอ้ งกันเพอื่ นผู้ประมาทแลว้ สังคหวตั ถุ ๔ อย่าง ๒. ปอ้ งกนั ทรพั ย์สมบตั ขิ องเพ่ือนผปู้ ระมาทแลว้ ๓. เมอื่ มีภยั เปน็ ทพ่ี ึ่งพานักได้ ๑. ทาน ให้ปันสง่ิ ของ ๆ ตนแกผ่ ู้อน่ื ที่ควรให้ปนั ๔. เมื่อมีธุระ ช่วยออกทรัพยใ์ ห้เกนิ กว่าท่อี อกปาก ๒. ปยิ วาจา เจรจาวาจาทีอ่ ่อนหวาน ๒. มิตรรว่ มทุกขร์ ่วมสุข มีลกั ษณะ ๔ ๓. อัตถจรยิ า ประพฤตสิ ิง่ ทีเ่ ป็นประโยชนแ์ กผ่ ้อู ื่น ๑. ขยายความลบั ของตนแก่เพอ่ื น ๔. สมานตั ตตา ความเปน็ คนมตี นเสมอไมถ่ อื ตวั ๒. ปิดความลบั ของเพือ่ นไม่ให้แพร่งพราย คณุ ทงั้ ๔ อย่างน้ี เปน็ เครื่องยดึ เหน่ยี วของผอู้ ่ืนไวไ้ ด้ ๓. ไมล่ ะทิ้งในยามวบิ ัติ ๔. แมช้ ีวิตก็อาจสละแทนได้ สขุ ของคฤหัสถ์ ๔ อย่าง ๓. มติ รแนะนาประโยชน์ มีลักษณะ ๔ ๑. สุขเกิดแต่ความมีทรพั ย์ ๑. หา้ มไมใ่ ห้ทาความช่วั ๒. สขุ เกิดแตก่ ารจ่ายทรัพยบ์ รโิ ภค ๒. แนะนาใหต้ ัง้ อยู่ในความดี ๓. สุขเกิดแต่ความไมต่ อ้ งเป็นหนี้ ๓. ใหฟ้ ังสิง่ ที่ยังไม่เคยฟัง ๔. สุขเกดิ แตป่ ระกอบการงานท่ีปราศจากโทษ ๔. บอกทางสวรรคใ์ ห้ ความปรารถนาของบุคคลในโลกทีไ่ ดส้ มหมายด้วยยาก ๔ อยา่ ง ๔. มิตรมคี วามรักใคร่ มลี กั ษณะ ๔ ๑. ขอสมบตั ิจงเกิดแก่เราโดยทางชอบ ๑. ทกุ ข์ ๆ ดว้ ย ๒. ขอยศจงเกิดแกเ่ รากับญาตพิ วกพ้อง ๒. สุข ๆ ดว้ ย ๓. ขอเราจงรักษาอายุใหย้ นื นาน ๓. โต้เถยี งคนอ่นื ท่ีตเิ ตียนเพือ่ น ๔. เมือ่ สิ้นชีวติ แล้ว ขอเราจงไปบังเกดิ ในสวรรค์ ธรรมเปน็ เหตใุ ห้สมหมายมีอยู่ ๔ อยา่ ง
๑. สัทธาสมั ปทา ถึงพรอ้ มด้วยศรัทธา ปัญจกะ ๒. สลี สมั ปทา ถงึ พร้อมดว้ ยศีล ประโยชน์เกิดแต่การถอื โภคทรพั ย์ ๕ อย่าง ๓. จาคสมั ปทา ถึงพรอ้ มด้วยบริจาคทาน แสวงหาโภคทรัพย์ได้ในทางที่ชอบแลว้ ๔. ปญั ญาสมั ปทา ถึงพรอ้ มด้วยปญั ญา ๑. เล้ียงตัว มารดา บดิ า บตุ ร ภรรยา บ่าวไพร่ ใหเ้ ป็นสขุ ๒. เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข ตระกลู อนั มัน่ คงจะตงั้ อย่นู านไม่ไดเ้ พราะสถาน ๔ ๓. บาบัดอนั ตรายที่เกดิ แต่เหตุต่างๆ ๑. ไม่แสวงหาพัสดุทีห่ ายแลว้ ๔. ทาพลี ๕ อยา่ ง คือ ๒. ไมบ่ ูรณะพสั ดทุ ีค่ ร่าคร่า ก. ญาตพิ ลี สงเคราะหญ์ าติ ๓. ไม่รจู้ กั ประมาณในการบริโภคสมบัติ ข. อติถิพลี ต้อนรับแขก ๔. ต้งั สตรใี ห้บรุ ษุ ทุศลี ใหเ้ ปน็ แม่เรือนพอ่ เรือน ค. ปุพพเปตพลี ทาบญุ อุทศิ ให้ผตู้ าย ผหู้ วังจะดารงตระกลู ควรเว้นสถาน ๔ ประการนเ้ี สีย ง. ราชพลี ถวายเป็นหลวง มีภาษีอากร เปน็ ต้น จ. เทวตาพลี ทาบญุ อุทิศใหเ้ ทวดา ธรรมของฆราวาส ๔ a8a8a8a8a8a8a8a8a8a ๑. สจั จะ สัตย์ซือ่ แก่กนั ๒. ทมะ รู้จกั ข่มจติ ของตน ๓. ขนั ติ อดทน ๔. จาคะ สละใหป้ นั ส่งิ ของของตนแกผ่ ้อู ่นื ทค่ี วรใหป้ นั
ศีล ๕ ๓. ไมถ่ ือมงคลตน่ื ขา่ ว คือเชือ่ กรรม ไม่เชอ่ื มงคล ๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพุทธศาสนา ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เวน้ จากทาชีวติ สัตวใ์ ห้ตกล่วงไป ๕. บาเพญ็ บญุ แต่ในพุทธศาสนา ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาส่ิงของที่เจา้ ของไมไ่ ด้ให้ ดว้ ย อบุ าสกพงึ่ ต้ังอยู่ในสมบัติ ๕ ประการ และเว้นจากสมบัติ ๕ ประการ ซึ่ง อาการแห่งขโมย วิปรติ จากสมบัตินัน้ ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤตผิ ิดในกาม ๔. มสุ าวาทา เวรมณี เว้นจากพดู เท็จ a8a8a8a8a8a8a8a8a8a ๕. สรุ าเมรยมัชชปมาทฏั ฐานา เวรมณี เว้นจากด่ืมน้าเมา คอื สรุ าเมรัย ฉักกะ อันเปน็ ที่ตั้งแห่งความประมาท ทศิ ๖ ศลี ๕ ประการนี้ คฤหสั ถ์ควรรกั ษาเปน็ นิตย์ ๑. ปุรตั ถิมทิส คือทศิ เบื้องหน้า มารดา บดิ า มจิ ฉาวณชิ ชา คือการคา้ ขายไมช่ อบธรรม ๕ อยา่ ง ๒. ทักขิณทิส คือทิศเบอื้ งขวา อาจารย์ ๓. ปจั ฉิมทิส คือทิศเบอ้ื งหลัง บุตร ภรรยา ๑. ค้าขายเครอ่ื งประหาร ๔. อตุ ตรทสิ คือทศิ เบอื้ งซ้าย มติ ร ๒. ค้าขายมนุษย์ ๕. เหฏฐิมทิส คอื ทศิ เบ้อื งต่า บ่าว ๓. คา้ ขายสตั ว์เปน็ สาหรับฆ่าเพือ่ เป็นอาหาร ๖. อปุ ริมทิส คือทิศเบ้อื งบน สมณพราหมณ์ ๔. ค้าขายนา้ เมา ๕. ค้าขายยาพิษ a8a8a8a8a8a8a8a8a8a การค้าขาย ๕ อยา่ งนี้ เป็นขอ้ ห้ามอุบาสกไมใ่ ห้ประกอบ ๑. ปรุ ัตถิมทิส คือทศิ เบ้ืองหนา้ มารดา บิดา บุตรพึงบารุงดว้ ยสถาน ๕ สมบัติของอุบาสก ๕ ประการ ๑.ท่านไดเ้ ลย้ี งมาแลว้ เลย้ี งทา่ นตอบ ๒. ทากิจของท่าน ๑. ประกอบดว้ ยศรัทธา ๓. ดารงวงศ์สกลุ ๒. มศี ลี บริสทุ ธิ์
๔. ประพฤติตนใหเ้ ป็นคนควรรบั ทรพั ย์มรดก ๕. ทาความป้องกนั ในทิศทั้งหลาย (คือจะไปทิศไหนกไ็ ม่อดอยาก) ๕. เม่ือท่านลว่ งลบั ไปแลว้ ทาบญุ อุทิศให้ท่าน ๓. ปจั ฉมิ ทิส คอื ทศิ เบือ้ งหลงั ภรรยา สามพี งึ บารุงด้วยสถาน ๕ มารดาบิดาไดร้ บั บารุงฉะน้แี ล้ว ยอ่ มอนุเคราะหบ์ ตุ รด้วยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยยกย่องนบั ถอื วา่ เปน็ ภรรยา ๑. ห้ามไม่ให้ทาความชัว่ ๒. ด้วยไม่ดหู มิ่น ๒. ให้ตงั้ อยู่ในความดี ๓. ด้วยไม่ประพฤติลว่ งใจ ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๔. ดว้ ยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๔. หาภรรยาท่สี มควรให้ ๕. ดว้ ยให้เคร่ืองแตง่ ตวั ๕. มอบทรพั ยใ์ ห้ในสมัย ภรรยาไดร้ ับบารุงฉะนแ้ี ลว้ ย่อมอนเุ คราะหส์ ามดี ้วยสถาน ๕ ๒. ทกั ขิณทสิ คือทิศเบอื้ งขวา อาจารย์ ศษิ ย์พึงบารงุ ดว้ ยสถาน ๕ ๑. จดั การงานดี ๑. ด้วยลกุ ข้ึนยนื รบั ๒. สงเคราะห์คนขา้ งเคียงของผวั ดี ๒. ดว้ ยเข้าไปยนื คอยรบั ใช้ ๓. ไมป่ ระพฤติลว่ งใจผัว ๓. ดว้ ยเชือ่ ฟงั ๔. รกั ษาทรพั ย์ที่ผวั หามาได้ไว้ ๔. ด้วยอปุ ฏั ฐาก ๕. ขยันไม่เกยี จครา้ นในกจิ การทั้งปวง ๕. ดว้ ยศลิ ปวิทยาโดยเคารพ ๔. อตุ ตรทิส คือทิศเบ้อื งซ้าย มติ ร กลุ บุตรพงึ บารุงดว้ ยสถาน ๕ อาจารย์ได้รบั บารุงฉะนแี้ ลว้ ย่อมอนุเคราะหศ์ ิษย์ด้วยสถาน ๕ ๑. ด้วยใหป้ นั ๑. แนะนาดี ๒. ดว้ ยเจรจาถอ้ ยคาไพเราะ ๒. ใหเ้ รยี นดี ๓. ดว้ ยประพฤติประโยชน์ ๓. บอกศลิ ปให้สิน้ เชิง ไม่ปดิ บงั อาพราง ๔. ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ ๔. ยกย่องใหป้ รากฏในเพ่ือนฝงู ๕. ดว้ ยไม่แกลง้ กลา่ วให้คลาดจากความเปน็ จรงิ
มติ รไดร้ บั บารุงฉะนีแ้ ลว้ ยอ่ มอนุเคราะหก์ ลุ บตุ รด้วยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยกายกรรม คอื ทาอะไรๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๑. รกั ษามติ รผู้ประมาทแล้ว ๒. ด้วยวจกี รรม คอื พดู อะไรๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๒. รักษาทรพั ยข์ องมติ รผปู้ ระมาทแล้ว ๓. ด้วยมโนกรรม คือคดิ อะไรๆ ประกอบด้วยเมตตา ๓. เม่ือมีภยั เอาเปน็ ท่ีพึ่งพานักได้ ๔. ดว้ ยความเป็นผไู้ มป่ ิดประตู คอื มไิ ดห้ า้ มเข้าบ้านเรอื น ๔. ไมล่ ะทงิ้ ในยามวิบัติ ๕. ด้วยใหอ้ ามิสทาน ๕. นับถอื ตลอดถึงวงศม์ ิตร สมณพราหมณไ์ ด้รบั บารงุ ฉะนแี้ ล้ว ย่อมอนเุ คราะหก์ ลุ บุตรดว้ ยสถาน ๖ ๕. เหฏฐิมทิส คือทิศเบ้อื งต่า บ่าว นายพึงบารงุ ดว้ ยสถาน ๕ ๑. หา้ มไม่ให้กระทาความชั่ว ๑. ดว้ ยจดั การงานให้ทาตามสมควรแกก่ าลัง ๒. ให้ต้งั อยู่ในความดี ๒. ดว้ ยใหอ้ าหารและรางวลั ๓. อนเุ คราะห์ดว้ ยนา้ ใจอันงาม ๓. ดว้ ยรกั ษาพยาบาลในเวลาเจบ็ ปว่ ย ๔. ใหไ้ ด้ฟงั สิง่ ทย่ี ังไมเ่ คยฟัง ๔. ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดใหก้ นิ ๕. ทาส่งิ ท่ีเคยฟังแล้วให้แจ่ม ๕. ด้วยปลอ่ ยให้สมัย ๖. บอกทางสวรรค์ให้ บ่าวได้รับบารงุ ฉะน้ีแลว้ ยอ่ มอนเุ คราะห์นายด้วยสถาน ๕ ๑. ลกุ ข้ึนทาการงานก่อนนาย a8a8a8a8a8a8a8a8a8a ๒. เลิกการงานทหี ลงั นาย อบายมขุ คอื เหตุเครือ่ งฉบิ หาย ๖ ๓. ถือเอาแต่ของท่ีนายให้ ๔. ทาการงานใหด้ ีข้นึ ๑. ดื่มนา้ เมา ๕. นาคณุ ของนายไปสรรเสรญิ ในท่นี ัน้ ๆ ๒. เที่ยวกลางคืน ๖. อุปรมิ ทสิ คือทิศเบื้องบน สมณพราหมณ์ กุลบุตรพึงบารงุ ดว้ ยสถาน ๕ ๓. เท่ยี วดูการเลน่ ๔. เลน่ การพนนั ๕. คบคนช่วั เปน็ มติ ร
๖. เกียจครา้ นทาการงาน ๔. เสภาที่ไหนไปทน่ี ่ัน ๑. ดืม่ น้าเมา มีโทษ ๖ ๕. เพลงทีไ่ หนไปทน่ี ่นั ๑. เสียทรัพย์ ๖. เถิดเทิงทีไ่ หนไปที่นั่น ๒. ก่อการทะเลาะววิ าท ๔. เล่นการพนัน มโี ทษ ๖ ๓. เกิดโรค ๑. เมือ่ ชนะยอ่ มก่อเวร ๔. ต้องติเตยี น ๒. เม่ือแพย้ ่อมเสียดายทรพั ย์ที่เสยี ไป ๕. ไมร่ ้จู ักอาย ๓. ทรพั ยย์ ่อมฉบิ หาย ๖. ทอนกาลังปญั ญา ๔. ไม่มีใครเชื่อถือถอ้ ยคา ๒. เทย่ี วกลางคนื มโี ทษ ๖ ๕. เปน็ ที่หม่ินประมาทของเพอ่ื น ๑. ช่อื วา่ ไม่รักษาตวั ๖. ไมม่ ีใครประสงคจ์ ะแต่งงานดว้ ย ๒. ช่อื วา่ ไม่รักษาลูกเมยี ๕. คบคนชั่วเปน็ มิตร มีโทษตามบคุ คลท่ีคบ ๖ ๓. ชอ่ื ว่าไม่รักษาทรัพย์สมบตั ิ ๑. นาใหเ้ ปน็ นกั เลงการพนนั ๔. เปน็ ทรี่ ะแวงของคนทั้งหลาย ๒. นาให้เปน็ นกั เลงเจา้ ชู้ ๕. มกั ถูกใส่ความ ๓. นาใหเ้ ปน็ นกั เลงเหล้า ๖. ได้ความลาบากมาก ๔. นาให้เป็นคนลวงเขาดว้ ยของปลอม ๓. เท่ียวดูการเล่น มโี ทษตามวัตถทุ ไ่ี ปดู ๖ ๕. นาใหเ้ ปน็ คนลวงเขาซึง่ หน้า ๑. ราที่ไหนไปทีน่ ่ัน ๖. นาให้เปน็ คนหัวไม้ ๒. ขบั รอ้ งทีไ่ หนไปทนี่ น่ั ๖. เกยี จคร้านการทางาน มีโทษ ๖ ๓. ดดี สตี ีเป่าท่ีไหนไปทีน่ ่ัน ๑. มักอ้างว่า หนาวนกั แล้วไม่ทาการงาน
๒. มักอ้างว่า ร้อนนกั แล้วไมท่ าการงาน ๓. มกั อ้างวา่ เวลาเยน็ แลว้ แล้วไม่ทาการงาน ๔. มกั อา้ งวา่ ยงั เช้าอยู่ แลว้ ไมท่ าการงาน ๕. มกั อ้างว่า หวิ นกั แล้วไมท่ าการงาน ๖. มักอา้ งว่า ระหายนัก แล้วไม่ทาการงาน ผหู้ วังความเจรญิ ด้วยโภคทรัพย์ พงึ เว้นเหตเุ คร่อื งฉบิ หาย ๖ ประการน้เี สีย ครูเสวยี น ศิริแก้ว 25/05/63
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: