Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เนื้อหาการจัดการนวตกรรม

เนื้อหาการจัดการนวตกรรม

Published by waranya_dat, 2021-02-04 10:16:57

Description: เนื้อหาการจัดการนวตกรรม

Search

Read the Text Version

การจดั การนวตั กรรมและเทคโนโลยี

2 1.1 จุดกาํ เนดิ ของศาสตร์ด้านการจัดการเทคโนโลยี Management of Technology หรือ MOT เป็นศาสตร์ที่เกิดข้ึน ในกลางทศวรรษ 1980 ในช่วงนั้น ความตกตา่ ของอตุ สาหกรรมในประเทศ สหรัฐอเมริกา ท่าใหเ้ กดิ ความสนใจอย่างกว้างขวางจากภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐบาล จากวิเคราะห์ร่วมกันทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า สาเหตุของการตกต่าไม่ได้เป็น เพราะภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ได้ แต่มาจากความล้มเหลวในการจัดการเทคโนโลยี ท้ังท่ีเกิดใหม่และท่ีมีอยู่แล้ว ปัญหาหลักคือภาคอุตสาหกรรมขาดความสามารถในการจัดการเทคโนโลยีท่ีมี ประสทิ ธภิ าพในเวลาที่เหมาะสม เม่ือเป็นดังน้ี รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจึงเริ่มท่าการศึกษา และให้การสนับสนุนงานวิจัยด้าน MOT มากขึ้น จะเห็นว่าในช่วงน้ันมีวารสารทางวิชาการ ที่เก่ียวข้องกับการจัดการเทคโนโลยีเกิดข้ึนหลายเร่ือง เช่น Technology Management, Technology Studies, The Journal of Engineering and Technology, Management and New Technology เป็นต้น นักวิชาการเริ่มเขียนบทความลง วารสารเหล่าน้ีเป็นจ่านวน มาก นอกจากนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวยังมีหนังสือเก่ียวกับ นวัตกรรมและการจัดการนวัตกรรมเกิดข้ึนมากมาย หลายเล่มขายดีติดอันดับต้นๆ ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศได้จัด การ เรียนการสอนด้านการจัดการเทคโนโลยีหรือการจัดการนวัตกรรม เพ่ือให้ผู้เรียนน่าความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 1.2 คําจํากัดความของเทคโนโลยี ในปัจจุบันมีผู้ให้ค่าจ่ากัดความของ “เทคโนโลยี” ไว้มากมายข้ึนอยู่กับกรอบการพิจารณาของแต่ละ บคุ คล คา่ จา่ กดั ความเหลา่ น้ีมหี ลากหลายตั้ง แตเ่ ชิงเศรษฐศาสตร์ไปจนถงึ เชงิ สังคมศาสตร์ ค่าจา่ กดั ความของเทคโนโลยี ก. เทคโนโลยีเป็นส่วนผสมของปัจจัยการผลติ ที่หลากหลาย-ค่าจ่ากัดความดั้งเดิมในเชิงเศรษฐศาสตร์ ข. เทคโนโลยี ประกอบด้วย การออกแบบกระบวนการผลิต ผังโรงงาน สิทธิบัตร ความรู้ ด้านการ จัดการ เทคนิคการตลาด ช่องทางการกระจายสินค้า และการด่าเนินงานทางธุรกิจอ่ืนๆ ต้ังแต่การ คิดคน้ ไอเดยี ใหม่ จนถงึ การผลิตและการขาย ค. เทคโนโลยี คือ ทุกอย่างที่เก่ียวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรท่ีป้อนเข้า ให้เป็น - สินค้าหรือ บริการ โดยมากเม่ือกล่าวถึงเทคโนโลยี คนท่ัวไปมักนึกถึงแง่มุมท่ีเป็น ฮาร์ดแวร์ อย่างไรก็ตามถ้าพิจารณา ค่าจ่ากัดความข้างต้นเราจะเห็นว่าเทคโนโลยีมีความหมายครอบคลุมกว่าน้ัน Zeleny (1986) กล่าวว่า เทคโนโลยีมีองค์ประกอบ 3 อย่าง ได้แก่ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเบรนแวร์ องค์ประกอบเหล่าน้ีมี ความสัมพันธเ์ กี่ยวขอ้ งกนั และส่าคญั เทา่ เทยี มกนั

3 ฮาร์ดแวร์ (hardware) คือ ส่วนที่เป็นโครงสร้างกายภาพของ เทคโนโลยี และการจัดเรียงตามหลัก เหตุผล (logical layout) ของเครื่องจักร หรอื อปุ กรณท์ ีใ่ ช้ในการทา่ งานท่ีตอ้ งการ ซอฟต์แวร์ (Software) เป็นความรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้ฮาร์ดแวร์เพ่ือให้ เกิดงานที่ต้องการเบรนแวร์ (brainware) เป็นเหตผุ ลของการใชเ้ ทคโนโลยีในลกั ษณะใด ลกั ษณะหนึ่ง 1.3 ประเภทของเทคโนโลยี ในการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการเทคโนโลยีมักจะมีค่าศัพท์ต่างๆ เก่ียวกับเทคโนโลยีมากมาย เช่น เทคโนโลยแี รกเกิด เทคโนโลยีขน้ั สูง เป็นตน้ คา่ ศพั ท์เหล่านเี้ กิดจากการจัดแบ่งประเภทของเทคโนโลยี ซ่งึ มีผล ตอ่ การจดั การ เทคโนโลยใี ห้มีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีแบ่งได้หลายแบบ ถ้าพจิ ารณาจากระยะเวลาหรอื ช่วงชวี ติ ของเทคโนโลยี อาจแบง่ ประเภท ได้อย่างงา่ ยๆ ดังนี้ เทคโนโลยีแรกเกิด (Emerging Technology) เป็นเทคโนโลยีเกิด ใหม่ท่ียังมีการใช้ในวงจ่ากัดใน ปัจจุบัน แต่คาดว่าจะถูกน่าไปใช้ในเชิงพาณิชย์ อย่างเต็มที่ในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยีเหล่าน้ีมีโอกาสสร้าง ความเปล่ียนแปลง ขนานใหญ่ในสังคม โดยมักท่าให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆ ข้ึน โดยมากเทคโนโลยี เหล่านี้มัก เกิดจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีใหม่ (New Technology) หมายถึงเทคโนโลยีท่ีเพิ่งน่ามาใช้ในองค์กรและส่งผลกระทบ อย่างชัดเจนตอ่ การด่าเนินงาน เทคโนโลยีข้ันสูง (High Technology) เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงหรือ ซับซ้อน ท่ีมีการเปลี่ยนแปลง รวดเร็วกว่าอุตสาหกรรมอื่น เทคโนโลยีขั้นสูงจะมี ความรู้ทางทฤษฎีเป็นองค์ประกอบที่ชัดเจน ส่วน ประสบการณท์ างปฏิบตั ิจะเป็น องค์ประกอบท่ีส่าคญั น้อยกว่า เทคโนโลยีขั้นตํา (Low Technology) เป็นเทคโนโลยีท่ีได้แพร่หลาย ไปสู่สังคมส่วนใหญ่แล้ว เทคโนโลยีมีความอยตู่ วั และมีการเปล่ยี นแปลงน้อยมาก เทคโนโลยขี นั้ กลาง (Medium Technology) เปน็ เทคโนโลยที ีอ่ ยู่ระหว่างข้ันต่าและข้นั สูง โดยมาก มกั เปน็ เทคโนโลยที ่อี มิ่ ตวั แล้ว และง่ายตอ่ การถา่ ยโอนเทคโนโลยีมากกวา่ ประเภทอ่ืน 1.4 เทคโนโลยภี ายในองคก์ ร ผลิตภัณฑ์ท่ีผลิตโดยบริษัทใดก็ตาม ล้วนเกิดมาจากเทคโนโลยีท้ังสิ้น เทคโนโลยีน้ันอาจสร้างข้ึนจาก ภายในบริษัทเอง หรือเกิดจากการน่าเทคโนโลยี ของบริษัทอื่นมาใช้ เมื่อพิจารณาจากมุมมองภายในองค์กร เราอาจแบ่งเทคโนโลยี ได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ เทคโนโลยีโดดเด่น (distinctive technology) เทคโนโลยี พ้ืนฐาน (basic technology) และเทคโนโลยภี ายนอก (external technology) เทคโนโลยีโดดเด่น (distinctive technology) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วย สร้างความได้เปรียบเหนือ คู่แข่งท่าให้สินค้าหรอื บริการของบรษิ ัทมีความแตกตา่ ง จากคู่แข่ง องค์กรจะต้องปกป้องและฟูมฟักเทคโนโลยี นี้ อย่างไรก็ตามในทาง ปฏิบัติเทคโนโลยีน้ีอาจไม่อยู่ในรูปแบบที่สามารถน่าไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ได้

4 โดยตรง เช่น แม้บริษัทจะมีสิทธิบัตรเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ ใช้เทคโนโลยีโดดเด่น แต่การจะ น่าไปผลิตเป็นสินค้าวางขายในท้องตลาดได้น้ัน ต้องอาศัยเทคโนโลยีพ้ืนฐานมาสนับสนุนด้วย (เช่น เทคโนโลยี การผลิต หรือ เทคโนโลยีโลจิสติกส์เพ่ือใช้ในการขนส่งหรือส่งมอบ) ในกรณีน้ีบริษัทอาจเลือก ท่ีจะสร้าง เทคโนโลยีการผลิตขึ้นเองหรือจ้างช่วงให้บริษัทอ่ืนผลิตตามสิทธิบัตร ของบริษัทก็ได้ การตัดสินใจว่าเลือก รปู แบบใดนั้น ขน้ึ กบั เกณฑ์พิจารณาด้าน การเงินและสภาพตลาด เทคโนโลยีพื้นฐาน (basic technology) เป็นเทคโนโลยีที่จ่าเป็นต่อ การท่าธุรกิจ แต่ไม่ได้สร้าง ความแตกต่างจากค่แู ขง่ เทคโนโลยีประเภทน้ชี ่วย ในการผลิตสินค้าหรือบรกิ ารแต่กไ็ มไ่ ดท้ า่ ให้สินคา้ นัน้ มีความ โดดเดน่ เหนือคแู่ ขง่ เปน็ เทคโนโลยีทมี่ อี ยู่ทัว่ ไปในอตุ สาหกรรม เทคโนโลยีภายนอก (external technology) เป็นเทคโนโลยีท่ีได้มา จากบริษัทอื่น เทคโนโลยี เหล่าน้มี ักหาได้ง่ายในท้องตลาด และไม่มีผลส่าคัญต่อ ความอยรู่ อดขององค์กร เช่น เทคโนโลยที ใ่ี ช้ในการผลิต ชิ้นส่วนมาตรฐาน เช่น น็อต สกรู กล่องส่าหรับบรรจุสินค้า เป็นต้น โดยมากแล้วบริษัทควรจัดหาจาก ผู้ผลิต ภายนอกจะเป็นการประหยัดกว่า แม้เทคโนโลยีเหล่านจ้ี ะมีความส่าคญั ส่าหรบั ผลติ ภัณฑ์ แต่กไ็ ม่จ่าเปน็ ต้องมี ข้นึ ในบรษิ ัท ตัวอย่างเช่น บริษัท Black and Decker ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เคร่ือง มือไฟฟ้าส่าหรับใช้ในบ้าน มี เทคโนโลยีโดดเด่น คือ การผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า ส่วน เทคโนโลยีพื้นฐานได้แก่กระบวนการประกอบส่าหรับ เครื่องมือขนาดเล็ก (small hand tools) และเทคโนโลยีภายนอกได้แก่ ช้ินส่วนพลาสติก ซึ่งสามารถหาซื้อ จากภายนอกบรษิ ัท 1.5 เทคโนโลยกี ล่องดาํ (Black Box Technology) เมื่อพิจารณาในแง่ของการถ่ายโอนเทคโนโลยีและพัฒนาเทคโนโลยี จะมีค่าศัพท์หนึ่งซึ่งมีความหมาย มาก คือ เทคโนโลยีกล่องด่า (black box technology) กล่องด่าเปรียบเสมือนสิ่งที่เราไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร เทคโนโลยกี ล่องด่า จึงหมายถึงเทคโนโลยีที่มีการประยุกต์ใช้ในลักษณะทผ่ี ู้ใช้รูเ้ พียงวธิ ีใช้งานเท่าน้ัน แตไ่ ม่รู้ลึก ถึงกลไกเบื้องหลัง ผู้ใช้จึงไม่สามารถท่าการปรับปรุงหรือพัฒนา เทคโนโลยีน้ันได้ ตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์ที่ วางขายในเชิงพาณิชย์ โดยมาก ซอฟต์แวร์เหล่านมี้ ักไม่มีการเผยแพร่โปรแกรมท่ีมาหรือ source code ดังนั้น ซอฟต์แวร์เหล่าน้ีจึงถือเปน็ เทคโนโลยีกล่องด่าส่าหรับผู้ใช้ ในทา่ นองเดียวกัน แมผ้ พู้ ฒั นาซอฟต์แวร์จะเผยแพร่ source code แต่หากผู้ใชไ้ มม่ ีความสามารถ ในการเขยี นโปรแกรม ก็จัดเป็นเทคโนโลยกี ล่องด่าเช่นเดยี วกัน ถ้าองคก์ รพัฒนาเทคโนโลยโี ดยใช้พ้นื ฐานจากเทคโนโลยีกล่องด่า แตเ่ พยี งอยา่ งเดียว ก็มคี วามเสี่ยงสูง ท่ีผลการพัฒนาน้ันจะอยู่เพียงช่วงส้ัน ๆ นอกจากนี้องค์กรยังต้องพ่ึงพาเจ้าของเทคโนโลยีกล่องด่าอยู่ ตลอดเวลาด้วย ใน ทางตรงกันข้าม ถ้าองค์กรใช้เทคโนโลยีกล่องด่าเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยเท่าน้ัน เทคโนโลยี ดงั กลา่ วก็จะช่วยส่งเสรมิ การพัฒนาเทคโนโลยีของเราไดเ้ ป็นอย่างดี

5 1.6 เทคโนโลยที เี หมาะสม (Appropriate Technology) เป็นศัพท์ท่ีใช้อธิบายระดับความเหมาะสมระหว่างเทคโนโลยีและ ทรัพยากรท่ีใช้ เทคโนโลยีที่ เหมาะสมเป็นหลักการทถี่ ูกกล่าวถึงครัง้ แรกโดย E. Schumacher ในปี ค.ศ. 1973 ผแู้ ต่งท่านน้ีได้เขยี นหนงั สือ ชื่อ Small is beautiful ซ่ึงกล่าวถึงความล้มเหลวของประเทศก่าลังพัฒนาในการน่าเทคโนโลยี มาใช้ ความ ลม้ เหลวน้เี กิดจากการน่าเทคโนโลยขี ้นั สูงมาใชใ้ นขณะทเ่ี ทคโนโลยี ขนั้ กลางอาจมปี ระสทิ ธผิ ลกว่า เทคโนโลยที ี่เหมาะสมเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบหรือถูกเลือกขนึ้ เพ่อื ให้เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานท่ีมีอยู่ ในประเทศกา่ ลังพัฒนาน้ันโครงสร้างพ้ืนฐาน มกั มไี ม่เพยี งพอดังนั้นการใช้เทคโนโลยีทเ่ี หมาะสมจงึ เป็นสิ่งที่ควร ทา่ ความเข้าใจ เพราะทา่ ใหเ้ กดิ การใชท้ รัพยากรมนษุ ย์ได้เต็มประสิทธิภาพ และน่าไปสปู่ ระสิทธิภาพการผลิตท่ี สงู กวา่ ด้วย หลักการของเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมมีบทบาทส่าคัญในการพัฒนา กลยุทธ์การถ่ายทอดเทคโนโลยี หลกั การน้สี ามารถใชไ้ ดท้ ง้ั ในระดับประเทศ จนถึงระดบั ยอ่ ยในสงั คม ตัวอย่างเช่น เมือ่ พิจารณาในระดับองค์กร องคก์ รไม่ ควรใชเ้ ทคโนโลยีขั้นสูงหากขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ แต่ควร เลอื กใช้เทคโนโลยีที่ เหมาะสมกบั ทรพั ยากรทมี่ ีอย่มู ากกวา่ ดงั นั้นเทคโนโลยที ี่ เลือกใช้อาจเป็นระดบั ใดก็ได้ (สงู กลาง หรอื ํตา่ ) เทคโนโลยีท่ีเหมาะสม มกั มีลกั ษณะดังนี้ ใช้เงินลงทุนตา่ มีความซบั ซ้อนน้อยเมื่อเทยี บกับองคป์ ระกอบ ทง้ั หมดของเทคโนโลยี และนยิ มใช้วตั ถดุ ิบทอ้ งถ่นิ เพ่ือให้เหมาะกบั การใชง้ านในระดับท้องถิ่น 1.7 เทคโนโลยีล้าํ ยคุ (State-of-the-art technology) เทคโนโลยีล่้ายุคเป็นเทคโนโลยีล่าสดุ ที่มีการพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ในสาขาหนึ่งๆ เทคโนโลยีเหลา่ น้ี จะมีความเหนือกว่าเทคโนโลยีรุ่นก่อนๆ เช่น ในด้านของสมรรถนะการท่างาน หรือด้านผลกระทบต่อ ส่ิงแวดล้อม อย่างไร ก็ตามเทคโนโลยีล่้ายุคอาจด้อยกว่าเทคโนโลยีรุ่นก่อนในด้านอ่ืนๆ ก็ได้ เช่น ต้องใช้เงิน ลงทนุ สูง ตอ้ งใช้ทรพั ยากรมาก หรอื อาจไม่สามารถหาได้ง่ายเนือ่ งจากมีการคุ้มครองทรัพยส์ ินทางปญั ญา จงึ อาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีล้่ายุคเป็นค่าท่ีมี ความหมายตรงข้ามกับเทคโนโลยีท่ีเหมาะสม ส่วนเทคโนโลยีท่ีอยู่ ระหวา่ งสองแบบนี้ เรยี กวา่ เทคโนโลยที ่ีผ่านการพิสจู น์แลว้ (proven technology) 1.8 เทคโนโลยีทีผา่ นการพสิ ูจน์แล้ว (Proven Technology) เป็นเทคโนโลยีรุ่นก่อนหน้า ซ่ึงถือว่าไม่ใหม่เท่ากับเทคโนโลยีล่้ายุค ข้อดีของการใช้เทคโนโลยีท่ีพิสูจน์ แล้ว คือผู้ใช้มีความมั่นใจได้มากกว่าเน่ืองจากมีการพัฒนาจนถึงขั้นที่ก่าจัดข้อบกพร่องต่างๆ ออกไปแล้ว เทคโนโลยเี หล่านี้ มักมีผนู้ ่าไปใช้งานมานานพอสมควรแล้ว จงึ มกี ารจัดท่าเป็นระบบเอกสารที่ ชัดเจนและมีผู้มี ประสบการณ์ท่ีสามารถให้ค่าแนะน่าได้ดี เทคโนโลยีเหล่านี้มัก มีราคาถูกกว่าเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น สิทธิบัตรหมดอายุแล้ว หรือสามารถผลิตช้ินส่วนอะไหล่ได้ในประเทศโลกที่สาม เป็นต้น นอกจากน้ีเทคโนโลยี เหลา่ นี้ มักน่าไปต่อยอดไดง้ า่ ยเนื่องจากสามารถเรียนรู้จากประสบการณท์ ่ีผ่านมาได้

6 นอกจากค่าศัพท์ต่างๆ ท่ีกล่าวข้างต้น ผู้อ่านจะพบค่าศัพท์อ่ืนๆ ที่เก่ียวกับเทคโนโลยีอีกมากมายใน เน้ือหาของหนังสือเล่มน้ีอย่างไรก็ตามเพ่ือความ สอดคล้องของเนื้อหา จะน่ามากล่าวถึงในบทอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ตอ่ ไป 1.9 โครงสร้างพ้ืนฐาน (Infrastructure) ในการจัดการเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะต้องมีโครงสร้าง สนับสนุนจากสภาพแวดล้อม ภายนอก โครงสร้างสนับสนุนน้ีจะท่าหน้าที่เป็น ตัวเช่ือมโยงในทางกายภาพระหว่าง (1) เทคโนโลยี (2) ทรพั ยากรทใ่ี ชใ้ นการ ผลติ (แรงงาน ทด่ี นิ วตั ถุดบิ ) และ (3) ตลาด โครงสร้างพนื้ ฐานจะเกีย่ วข้อง กบั ทกุ ระดับ ตัง้ แตร่ ะดบั องคก์ ร ระดบั ชาติ ไปจนถงึ ระดับนานาชาติ โครงสร้างพ้ืนฐานสามารถแบ่งได้เป็น 4 อย่าง ได้แก่ โครงสร้าง พื้นฐานทางกายภาพ (เช่น ถนน ทา่ เรือ ระบบสอ่ื สาร) โครงสรา้ งพ้ืนฐานทาง เศรษฐศาสตร์ (เช่น ตลาดเงนิ ทุน สถาบันการเงิน กฎระเบยี บทาง การเงิน) โครงสร้างพืน้ ฐานทางสังคม เชน่ ภาคสาธารณสุข ภาคแรงงาน ภาคการศกึ ษา) โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี (เช่น หน่วยงานที่ท่าการพัฒนาและเผยแพร่ เทคโนโลยี การเรียน การสอนทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ตน้ ) โดยมากแล้วเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานมักมีความเช่ือมโยง กันอย่างใกล้ชิดในการตัดสินใจน่า เทคโนโลยีอย่างใดอย่างหนึ่งมาประยุกต์ใช้น้ัน เทคโนโลยีดังกล่าวจะต้องเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานท่ีมีอยู่ หรือ มิฉะน้ันองค์กรก็ ต้องปรับโครงสร้างที่มีอยู่ให้รองรับเทคโนโลยีน้ันๆ ได้ด้วยเหตุนี้ อัตราการพัฒนา เทคโนโลยี จะตอ้ งเหมาะสมกับระดับขั้นของการพฒั นาประเทศ หรือระดับการ พฒั นาองคก์ รดว้ ย 1.10 ความหมายของการจัดการเทคโนโลยี (Management of Technology, MOT) โดยทั่วไปแล้ว ค่าว่าการจัดการประกอบด้วยการวางแผน (planning) การจัดองค์กร (organizing) การจัดกา่ ลังคน (Staffing) การจงู ใจ (motivating) และการควบคมุ (Controlling) การจัดการเทคโนโลยี เป็นการจัดระบบเพื่อช่วยให้มีการสร้าง การ รับ และการใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยไี ด้อยา่ งมปี ระสิทธผิ ล การจดั การ เทคโนโลยีเปน็ ศาสตรท์ ีร่ วมความรูห้ ลายสาขา ไดแ้ ก่ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม - ศาสตร์ และความรู้ดา้ นการจดั การ MOT สามารถประยุกต์ใช้ได้หลายระดับตั้งแต่มหภาคจนถึงจุลภาค MOT ในระดับประเทศจะ เก่ยี วข้องกับการวางแผนและด่าเนินนโยบายสาธารณะ เพือ่ พฒั นาและประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยี รวมท้ังผลกระทบ ต่อสังคม MOT ใน ระดับบริษัทจะช่วยให้เกิดการสร้างและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน โดย การ วางแผน พัฒนา และประยุกต์ใช้ขีดความสามารถทางเทคโนโลยีเพ่ือให้บรรลุ วัตถุประสงค์ขององค์กรส่วน MOT ในระดบั บุคคลจะเก่ียวข้องกับการเพม่ิ คุณคา่ ของตนเองในสงั คม

7 สรุป ในการแบ่งกลุ่มประเทศตา่ งๆ ในโลกน้นั เรามกั พิจารณาจากระดบั การพัฒนาทางเทคโนโลยี ประเทศ ท่ีพัฒนาแล้ว หมายถึง ประเทศท่ีใช้เทคโนโลยี ได้อย่างเหมาะสมเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศชาติ ซึ่งน่าไปสู่ความกินดี อยู่ดีของประชาชน ส่วนประเทศก่าลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาเป็นประเทศที่ยัง ขาดแคลน ความรู้ทางเทคโนโลยีที่จ่าเป็นเพื่อสร้างความมั่งค่ังให้แก่ประเทศชาติ และความอยู่ดีกินดีให้แก่ประชาชน ใน ที่นี้จะเห็นได้ว่าอันที่จริงแล้วเทคโนโลยี ไม่ได้เป็นส่ิงท่ีสร้างความม่ังค่ังให้แก่ประเทศชาติ แต่การใช้เทคโนโลยี อย่าง เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่างหากเป็นส่ิงที่สร้างความํร่ารวยให้กับชาติต่างๆ ดังน้ันการจัดการ เทคโนโลยีจงึ เปน็ สงิ่ ที่เราจา่ เป็นต้องเรียนรู้ ในระดับองค์กรน้นั ปจั จุบนั เทคโนโลยมี ีการเปลย่ี นแปลงรวดเรว็ มาก องค์กรต่างๆ จงึ ตอ้ งปรบั ตัวและ พัฒนาขีดความสามารถเพอ่ื ใหต้ ามทันการ เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และใชป้ ระโยชน์จากเทคโนโลยไี ดอ้ ย่าง เต็มท่ี ไม่ ว่าองค์กรจะอยู่ในฐานะของผู้น่าหรือผู้ตามทางเทคโนโลยีก็ตาม ความรู้ด้าน MOT เป็นสิ่งจ่าเป็น สา่ หรับการรักษาความไดเ้ ปรยี บในการแข่งขันเพ่ือให้องค์กรอยูร่ อด และเตบิ โตได้อยา่ งย่งั ยืน

8 การประดิษฐแ์ ละนวตั กรรม 1.1 ความเหมายของนวัตกรรม การประดิษฐ์ (invention) เป็นการสร้างเทคโนโลยีใหม่ ซ่ึงนิยมใช้ กับการสร้างสรรค์สิ่งของที่ จบั ตอ้ งได้ เชน่ รถยนต์ เคร่ืองจักรไอน่้าวสั ดุชนดิ ใหม่ เป็นต้น การประดิษฐ์เป็นผลจากจนิ ตนาการและความคิด สร้างสรรค์ของมนุษย์ ส่วนนวัตกรรม (Innovation) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เช่นกัน แต่จะครอบคลุมการ สร้างสรรค์ส่ิงที่ไม่ได้เป็นวัตถุด้วย เช่น กลยุทธ์ กระบวนการ เทคนิค วิธีการ ภาษา เป็นต้น นอกจากน้ั น นวัตกรรมจะต้องถูกน่าไปประยุกต์ใช้ในวงกว้าง และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม แม้ว่านวัตกรรมและการ ประดิษฐ์จะมีความเก่ียวข้องกันอย่างใกล้ชิด แต่ก็มีความหมายไม่เหมือนกัน เราอาจมองการ ประดิษฐ์ได้ว่า เป็นเหตุการณ์ แต่นวัตกรรมอาจมองได้ว่าเปน็ กระบวนการ นั่นคือการประดิษฐ์มักท่าให้เกิดกระบวนการทาง นวตั กรรมตดิ ตามมา นวตั กรรม จึงเปรียบเสมอื นสะพานเช่อื มโยงระหวา่ งไอเดยี กับการนา่ ไปใชป้ ระโยชน์ในเชิง พาณิชย์น่ันเอง การจัดการเทคโนโลยีเป็นศาสตร์ที่ส่งเสริมให้เกิดการประดิษฐ์ และการจัดการนวัตกรรมขึ้น เพ่อื ประโยชน์แก่สังคม 1.2 ประเภทของนวัตกรรม เราสามารถแบ่งนวัตกรรมได้หลายรูปแบบ ถ้าแบ่งตามปริมาณความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อาจแบ่ง นวตั กรรมได้ 2 แบบ คือ นวัตกรรมแบบก้าว กระโดด และนวตั กรรมแบบคอ่ ยเป็นค่อยไปนวตั กรรมแบบก้าวกระโดด (radical หรือ revolutionary innovation) จะมีระดับการเปล่ียนแปลงสูงมาก โดยมัก ท่าให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้น เช่น ทรานซิสเตอร์ซึ่งประดิษฐ์โดย Bell Laboratories ของบริษัท AT&T เป็นจุดเร่ิมต้นของอุตสาหกรรม อิเลก็ ทรอนิกส์และ ก่อให้เกิดนวตั กรรมผลติ ภัณฑ์อเิ ล็กทรอนิกส์อกี มากมาย นวัตกรรมประเภทนี้ มักเกิดข้ึนไม่ บอ่ ยนกั นวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป (incremental หรือ evolutionary innovation) เป็นการปรับปรุง ท่ีละเล็กละน้อยในผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการ อาจเรียกได้ว่าเป็นการปรับปรุงอย่างต่อเน่ืองหรือไคเซ็น (Kaizen) ตามศพั ท์ ภาษาญ่ีปนุ่ นวตั กรรมแบบน้ีพบได้มากและชว่ ยให้บริษัทรักษาต่าแหน่งทาง การแขง่ ขันใน ท้องตลาดไว้ได้ บริษัทต่างๆ ควรสร้างขีดความสามารถในการท่า ไคเซ็นเพราะกิจกรรมเหล่าน้ีช่วยสร้างความ แตกต่างใหเ้ กดิ ข้นึ ในทางปฏบิ ตั ิ ผลงานไคเซ็นเปน็ สง่ิ ยากท่ีคู่แขง่ จะลอกเลียน เพราะผลการปรบั ปรุงจะถูกเก็บ รักษาไว้ในส่วนต่างๆ ภายในองค์กรท่าให้คู่แข่งไม่ทราบว่าความรู้เหล่านี้ถูกเก็บ ไว้ที่ใด หรือแม้คู่แข่งล่วงรู้ถึง ผลงานเหล่านี้ ก็ไม่สามารถน่าไปใชไ้ ด้เพราะการ ปรบั ปรุงเฉพาะส่วนเปน็ ส่ิงท่ใี ช้ไดเ้ ฉพาะภายในบรษิ ัทเทา่ นั้น นอกจากนเี้ ราอาจแบง่ นวตั กรรมออกเปน็ ประเภทย่อยๆ ไดห้ ลาย อย่าง เชน่ นวัตกรรมบรกิ ารเป็นการ พัฒนางานบริการใหม่ๆ หรือปรับปรุงงาน บริการท่ีมีอยู่แล้วให้ดีขึ้น โดยน่าเทคโนโลยีมาใช้ ตัวอย่างเช่น ธนาคารมกี าร น่าระบบบัตรคิวมาใช้เพื่อให้ลูกค้าทราบเวลารอคอยได้ชัดเจน และสามารถ จดั สรรเวลารอคอย

9 ของตัวเองได้ ส่วนนวัตกรรมกระบวนการเป็นการพัฒนา กระบวนการท่างาน หรือกระบวนการผลิตเพ่ือให้มี ประสิทธิภาพดีขึ้น นวัตกรรม กระบวนการเหมาะกบั เทคโนโลยที ีอ่ ยู่ในช่วงชีวิตแบบเตบิ โตหรอื อิม่ ตวั ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นวัตกรรมจะต้องก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม โดยอาจเป็นการเผยแพร่เพ่ือ สาธารณประโยชน์ หรือวางขายในเชิงพาณิชย์ก็ได้ การท่ีจะได้รับการยอมรับจากท้องตลาดน้ัน นวัตกรรม จะต้องสร้างคุณค่าให้แก่ ลูกค้า ถ้านวัตกรรมนั้นไม่มีประโยชน์ในสายตาของลูกค้า ก็จะไม่ประสบความส่าเร็จ ในเชิงพาณิชยแ์ ม้จะมคี วามล่า้ ยุคเพียงใด 1.3 กระบวนการสรา้ งนวัตกรรม กระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นกระบวนการเปล่ียนองค์ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ให้เป็น ผลิตภัณฑ์หรือบริการเพ่ือเผยแพร่ไปสู่สังคม หรือใช้ ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยปกติแล้วทฤษฎีหรือองค์ ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ แตเ่ พียงล่าพงั จะไม่สามารถน่าไปใช้ประโยชน์ได้จะต้องมีความคดิ สรา้ งสรรค์ร่วม ด้วย จึงจะสามารถประยุกต์เป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ กระบวนการสร้างสรรค์ นวัตกรรมประกอบด้วยกิจกรรม หลายอยา่ งกระท่าต่อเนื่องหรอื อาจทบั ซ้อนกันจน ไดเ้ ป็นผลติ ภัณฑ์สดุ ท้าย ตัวอย่าง เร่ิมจากการค้นหาความต้องการของลูกค้า แล้วน่ามาเปลี่ยน ให้เป็นข้อก่าหนดทางเทคนิค จากนั้นมีการน่าไปสร้างเป็นแนวคิดผลิตภัณฑ์ ตลอดจนคัดเลือกแนวคิดท่ีดีที่สุด เพื่อน่าไปสร้างเป็นแบบใน รายละเอียด สร้าง และทดสอบต้นแบบ ตามด้วยการน่าไปผลิตในเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นนวตั กรรม ประเภท ใด ก็จะมีกระบวนการคล้ายคลึงกัน แต่อาจแตกต่างกันในการลงมือ ปฏิบัติจริง ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรม บริการ ไมม่ ีความจ่าเปน็ ต้องสร้าง ต้นแบบหรือจดั หาเคร่อื งจกั รอุปกรณ์ ความรู้พ้ืนฐานของนวตั กรรม การพัฒนานวัตกรรม นับเป็นปัจจัยส่าคัญท่ีส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และคณุ ภาพชีวติ ของประเทศ ในศตวรรษทผ่ี ่านมา ไดม้ กี ารเปลีย่ นแปลงทางด้าน เทคโนโลยีอยา่ งกา้ วกระโดด และกอ่ ให้เกิดการเปล่ียนแปลงเชิงสังคม และความก้าวหน้าทางด้าน วทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งมากมาย ทา่ ใหเ้ กิดการ เปล่ียนแปลงโครงสร้างทางสังคมมากข้ึนทุกขณะ ประเทศ ใดท่ีสามารถปรับตัวได้ทัน ก็สามารถเจริญก้าวหนา้ ได้อย่างมั่นคง และหากมีการปรบั ตัวทางดา้ น สงั คมไปพรอ้ มๆ กนั กถ็ อื ว่าเปน็ การเร่งพฒั นาสังคมอยา่ งยง่ั ยืน แนวความคิดเรื่องนวัตกรรมมีวิวัฒนาการมาแล้วไม่ต่ากว่า 50 ปี ในช่วงทศวรรษที่ 1950 นักวิชาการ มองว่า นวัตกรรมเป็นการพัฒนาอย่างหนึ่งท่ีแยกออกมาจากการศึกษาวิจัยต่างๆ แต่ ในปัจจุบันน้ี นวัตกรรม ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงผลลัพธ์ของการด่าเนินงานของปัจเจกบุคคล หาก แต่เป็นผลของกระบวนการ (Process) ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการแก้ไขปัญหา (Problem-solving Process) ท่ีเกิดในองค์กร หรือ กระบวนการปฏสิ ัมพันธ์ (Interactive Process) ซึ่งเกิดจากความ สัมพันธ์ระหวา่ งองค์กรกับผมู้ ีบทบาทสา่ คัญ อื่นๆ มีได้ทั้งแบบเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือเชิงพาณิชย์ หรือกระบวนการ เรียนรู้แบบแปรผัน (Diversified Learning Process) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ท่ีเกิดจากปัจจัยแตกต่างกัน เช่น การ เรียนรู้โดยการใช้ (Learning by Using), การเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติ (Learning by Doing), การเรียนรู้

10 โดยการแลกเปลี่ยน (Learning by Sharing) และการเรียนรู้โดยการเสวนา (Learning by Discussion) ซึ่งมี ไดท้ ง้ั องคค์ วามรู้ภายในและภายนอกองค์กร ข้นึ อยกู่ บั ประสทิ ธภิ าพในการดดู ซับความรขู้ ององค์กร จากเหตุผลดังกล่าว จึงมีความจ่าเป็นต้องศึกษาความรู้พื้นฐานของนวัตกรรม เพ่ือใช้เป็น ความรู้ พื้นฐานทีส่ า่ คัญในการพฒั นาระบบการจัดการความรขู้ ององคก์ ร เพื่อให้สอดรับกับความ เปล่ียนแปลงในสังคม แห่งภูมิปัญญาและการเรยี นรตู้ อ่ ไป ความหมายของนวตั กรรม ปัจจุบันนวัตกรรมได้เข้ามามีบทบาทต่อการด่าเนินชีวิต และการท่างานในด้านต่างๆ มาก ข้ึนทุกขณะ การบริหารองค์กรสมยั ใหม่ที่ม่งุ สู่การบรหิ ารท่ีสามารถลดตน้ ทนุ (Low Cost), มี คณุ ภาพดี (High Quality), มี ผลผลิตสูงข้ึน (High Performance), มีการบริหารและตัดสินใจแบบ รวดเร็ว (High Speed), สามารถสร้าง ความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า (Customer Satisfaction) และ ใช้ความรู้เป็นพ้ืนฐานที่ส่าคัญในการพัฒนาขีด ความสามารถขององค์กร จึงจ่าเป็นต้องศึกษา รายละเอียดท่ีมาของนวัตกรรม โดยเร่ิมศึกษาจากความหมาย ของนวัตกรรม อันเป็นจุดเร่ิมต้นท่ี ดีต่อการจะศึกษาถึงความส่าคัญ และบทบาทของนวัตกรรมต่อไป มี ผู้เช่ียวชาญได้ให้ความหมาย ของนวัตกรรมไว้อย่างน่าสนใจ ท้ังนักวิชาการชาวต่างประเทศและชาวไทย โดย เริ่มจากแนวคิด ของนกั วิชาการชาวต่างประเทศ สรุปได้ดงั น้ี ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ (Peter F. Drucker, 1995) ได้ให้ค่านิยามในมุมมองที่เกี่ยวข้อง กับ ผู้ประกอบการไว้ในหนังสือ Innovation & Entrepreneur ว่า “นวัตกรรม” คือเครื่องมือท่ีส่าคัญ ส่าหรับ ผู้ประกอบการ ในการแสวงหาผลประโยชน์และโอกาสจากการเปล่ยี นแปลงต่างๆ เพอ่ื สรา้ ง ธรุ กจิ และบรกิ ารที่ แตกต่างจากคู่แข่ง นวัตกรรมเป็นความสามารถท่ีถูกแสดงออกมาในรูปแบบของ การฝึกฝน ศักยภาพในการ เรยี นรู้ และน่าไปปฏิบตั ิได้จริง ไมเคิล อ.ี พอร์เตอร์ (Michael E. Porter, 1998) ใหค้ วามหมายของนวัตกรรมวา่ “นวัตกรรม” คอื สิ่ง ส่าคัญที่ท่าให้บริษัทมีศักยภาพในการแข่งขัน และได้มองนวัตกรรมในความ หมายท่ีกว้าง โดยรวมเอา เทคโนโลยใี หม่และแนวทางใหม่ในการทา่ ส่งิ ตา่ งๆ เข้าไว้ดว้ ยกัน คริสโตเฟอร์ ฟรีแมน (Christopher Freeman, 1982) ได้ให้ความหมายของ “นวัตกรรม ทาง อุตสาหกรรม (Industrial Innovation)” ไว้ในหนังสือ The Economics of Industrial Innovation ว่า “นวัตกรรม” คือกิจกรรมทางเทคนิค การออกแบบ การผลิต การจัดการ และการค้าท่ีเกี่ยว ข้องกับตลาด ส่าหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการน่าเอากระบวนการหรือเครื่องมือใหม่ๆ หรือที่ได้รับ การปรับปรุงแล้วมาใช้ใน เชงิ พาณิชย์เปน็ ครั้งแรก มอรต์ ัน เจ. (Morton, J., 1971) ใหค้ วามหมายของนวตั กรรมว่า หมายถงึ การปรบั ปรงุ ของเก่าให้ใหม่ ข้ึน และพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงานหรือองค์กรน้ัน นวัตกรรม ไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้าง สิ่งเก่าใหห้ มดไป แตเ่ ปน็ การปรับปรงุ เสรมิ แต่ง และพัฒนาเพื่อความ อยู่รอดของระบบ

11 นารายานาน (Narayanan, 2001, p.68) ให้ความหมายของนวัตกรรมวา่ คอื ผลลัพธ์และ กระบวนการ ทใ่ี ช้เทคโนโลยเี พือ่ แกป้ ญั หาในการท่างาน และก่อใหเ้ กดิ ความไดเ้ ปรยี บและโอกาส ในการแข่งขัน ดกิ ชันนารีอเมริกันเฮอริเทจ์ (American Heritage Dictionary, 2004) ใหค้ วามหมายของ นวัตกรรม ว่า การกระท่าท่ีก่อให้เกิดส่ิงใหม่เกิดข้ึน (The Act of Introducing Something New) และสิ่งใหม่ที่ได้ถูก ค้นพบ (Something Newly Introduced) นอกจากน้นี ักวชิ าการชาวไทยได้ใหค้ วามหมายของนวตั กรรมท่ีน่าสนใจ สรุปได้ดงั นี้ บุญเก้ือ ควรหาเวช (2542, น. 11-12) ระบุว่า “นวัตกรรม” เป็นศัพท์บัญญัติของคณะ กรรมการ พิจารณาศพั ท์วิชาการศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธิการ ซึ่งแตเ่ ดิมใช้คา่ ว่า “นวกรรม” เป็น ค่าที่มาจากภาษาอังกฤษ ว่า “Innovation” มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินวา่ “Innovare” แปลตาม รูปศัพท์ไดว้ า่ ทา่ ใหม่ เปลีย่ นแปลง โดยน่าสิ่งใหม่ๆ เข้ามา เม่ือพิจารณาความหมาย ศัพท์บัญญัติ วิชาการศึกษาค่าว่า “นวัตกรรม” หมายถึงการ น่าส่ิงใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพ่ิมเติมวิธีการที่ ท่าอยู่เดิม เพ่ือให้ใช้ได้ผลดียิ่งข้ึน ฉะนั้นไม่ว่าวงการหรือ กจิ การใดๆ ก็ตาม เมอ่ื มกี ารน่าเอาความ เปลย่ี นแปลงใหม่ๆ เขา้ มาใช้ เพอ่ื ปรับปรงุ งานใหด้ ขี ้นึ กว่าเดมิ หรอื มุ่ง ท่จี ะใหง้ านนั้นมปี ระสิทธิภาพสงู ขนึ้ กเ็ รียกไดว้ ่าเปน็ นวตั กรรมของวงการน้ันๆ ส่านักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (2547 น. 3-4) ให้ความหมายของนวัตกรรมว่า “นวัตกรรม” ในเชิง เศรษฐศาสตร์คือ การน่าแนวความคิดใหม่ หรือการใช้ประโยชน์จากส่ิงท่ีมีอยู่แล้วมาใช้ใน รูปใหม่ เพื่อท่าให้ เกดิ ประโยชน์ทางเศรษฐกจิ นอกจากนนั้ วัตกรรมยังถูกตีความไวท้ ั้งเชิงแคบและ เชิงกว้างไวด้ ังนี้ ความหมายเชิงแคบ “นวัตกรรม” คือผลผลิตของความส่าเร็จทางด้านวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี รว่ มกับพลวตั ของกิจกรรมทางสงั คม ความหมายเชิงกวา้ ง “นวัตกรรม” คือแนวความคิด การปฏบิ ัติ หรือส่งิ ต่างๆ ที่ใหมต่ อ่ ตัว ปจั เจก หรอื หน่วยทร่ี บั เอาสง่ิ เหล่านนั้ ไปประยกุ ตใ์ ช้ การรวมเอากจิ กรรมทน่ี ่าไปสกู่ ารแสวงหา ความสา่ เร็จเชงิ พาณิชย์ การ สร้างตลาดใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ กระบวนการและบริการใหม่ การท่า ในส่ิงท่ีแตกต่างจากคนอ่ืน โดยอาศัยการ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นรอบตัวเรา ให้กลายมาเป็น โอกาสและถ่ายทอดไปสู่ความคิดใหม่ ที่ท่าให้เกิด ประโยชนต์ ่อตนเองและสังคม อย่างไรก็ตาม บางคร้ังอาจจะมีความสับสนในการใช้ความหมายระหว่างค่าว่า “นวัตกรรม” และ “ประดิษฐกรรม” ตัวอย่างเช่น หากท่านเป็นนักวิจัยและพัฒนาท่ีท่างานอยู่ในห้องปฏิบัติการ ที่มีความ เชี่ยวชาญ มีความสามารถในการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี แตไ่ ม่สามารถน่าความ คิดเหล่านั้นไปใช้ หรือประยุกต์ใช้ในโลกของความเป็นจริงได้ ส่ิงเหล่าน้ันยังไม่เรียกว่านวัตกรรม เนื่องจากนวัตกรรมเป็นมากกว่าความคิดใหม่ นวัตกรรมเป็นกระบวนการในการน่าเอาความคิด ท่ีว่าน้ันไป ประยุกต์ใช้ได้จริง เพื่อท่าให้เกิดประโยชน์ท้ังทางสังคมและการค้า ด้วยเหตุน้ี นวัตกรรม ต้องอาศัยศักยภาพที่ หลากหลายมากกว่าศักยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจะ ต้องรวมเอาศาสตร์อื่นๆ เช่น ด้าน การวางแผน การบริหารโครงการ การพัฒนาตลาด การบริหาร เงิน การจัดการองค์กร และการจัดการ เทคโนโลยีและนวตั กรรมมาประยุกต์ใชด้ ้วย

12 นอกจากนี้ความเข้าใจต่อความหมายของนวัตกรรมยังมีความแตกต่างกัน ข้ึนอยู่กับ เป้าหมายและ ประสบการณ์สว่ นตวั ของแต่ละคน โดยมผี ู้ท่ไี ด้ให้ความหมายไว้หลากหลายดงั ตอ่ ไปน้ี กิดานนั ท์ มลทิ อง (2540, น. 245) ใหค้ วามหมายของนวัตกรรมวา่ เป็นแนวความคิด การปฏิบัติ หรอื สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีการใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจาก ของเดิมท่ีมีอยู่แล้วให้ทันสมัย และใช้ได้ผลดีย่งิ ข้ึน เม่ือน่านวตั กรรมมาใช้ จะชว่ ยให้การท่างาน น้ันได้ผลดี มีประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลสูง กว่าเดิม ทั้งยังช่วยประหยดั เวลาและแรงงาน เสน่ห์ จัยโต (2548, น. 3) ให้ความหมายของนวัตกรรมว่า นวัตกรรมเป็นความคิดด้าน สร้างสรรค์ ประกอบด้วยกระบวนการบริหารและความคิดทางสังคม เพ่ือรวบรวมให้เกิดการแก้ ปัญหากลับไปใช้ภายใน สังคมภายใต้สถานการณ์ที่ก่าหนด และเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ความ คิดใหม่ (Rethinking) และน่าไปใช้ ปฏบิ ตั ิ มีผลทา่ ใหว้ ธิ ีการในการท่าสิ่งต่างๆ ดีข้ึนกว่าเดิม จรินทร์ อาสาทรงธรรม (2549) ให้ความหมายของนวัตกรรมว่า เป็นการเรียนรู้ การผลิต และการใช้ ประโยชน์จากความคิดใหม่ เพื่อให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการก่าเนิด ผลิตภัณฑ์ การบริการ กระบวนการใหม่ การปรับปรุงเทคโนโลยี การแพร่กระจายเทคโนโลยี และการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ และเกิดผลพวงทางเศรษฐกจิ และสงั คม ภาณุ ลิมมานนท์ (2549, น. 17) ใหค้ วามหมายของนวัตกรรมคือ การสร้างนวัตกรรมใหม่ น้ัน คอื การ เริ่มมีความคิดใหม่ๆ แต่วิธีการท่ีจะสร้างสรรค์ความคิดใหม่น้ัน จ่าเป็นต้องมีวิธีการคิด โดยอาศัยความรู้ ประสบการณ์ ความเช่ียวชาญ และทักษะความช่านาญเข้ามามีส่วนผสมด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าขาดเวทีและ โอกาสท่ีจะได้ท่า สิ่งที่กลับมาก็เป็นแค่แนวความคิดใหม่ๆ เท่า น้ัน เพราะฉะนั้นจึงเป็นเร่ืองส่าคัญที่การสร้าง นวตั กรรมใหม่ต้องไดร้ ับการสนับสนุนจากคนใน องค์กรทุกระดบั และการมีสว่ นรว่ มกนั ในการคิดท่า เพอื่ สร้าง การยอมรับ เป็นปัจจยั แห่งความ ส่าเรจ็ ทจี่ ะท่าใหก้ ารสรา้ งนวัตกรรมนนั้ สามารถเกิดขึ้นได้ ดงั นัน้ เมอ่ื พิจารณา ถึงปัจจัยแห่งความ ส่าเร็จ การจัดการนวัตกรรมที่มีเป้าหมายทางธุรกิจ จึงต้องมีการอาศัยปัจจัยที่เกื้อกูลให้ เกิดผลทาง ธุรกิจท่ีส่าคัญ นอกจากมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลแล้ว จะต้องมีก่าไร เพราะฉะน้ันสูตรของ การจัดการนวัตกรรมทางธรุ กิจ (Business Innovation Management) จงึ มีลกั ษณะดงั นี้ Invention + Commercialization = Profit สรา้ ง + ธรุ กจิ พาณชิ ย์ = ก่าไร จากความหมายของนวัตกรรมข้างต้น ผนวกกับความคิดของผู้เขียน สรุปได้ว่า “นวัตกรรม เป็น ผลลัพธท์ ีเ่ กดิ จากการจดั การความรู้ โดยการบรู ณาการท่ีเกดิ จากการสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรอื การต่อยอดองค์ ความรู้เดิม และสามารถน่าไปใช้ให้เกิดประโยชน์ทางด้านการพาณิชย์และการ ค้า” โดยนวัตกรรมจะเป็น เครื่องมอื ที่ส่าคญั เพอื่ แกไ้ ขปัญหาในการท่างาน กอ่ ใหเ้ กิดความแตก ตา่ งและมีความเปน็ เลิศ และท่าใหอ้ งค์กร มขี ดี ความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยง่ั ยืน โดย สามารถสรปุ ได้ ดงั แสดงในรปู

13 นวัตกรรมไม่ได้หมายความเฉพาะการน่าเทคโนโลยีท่ีทันสมัยที่สุดมาใช้เท่าน้ัน ในทางตรง กันข้าม นวัตกรรมเป็นเร่ืองของการปรับเปล่ียนวิธีคิดเพ่ือหาข้อสรุป หรือทางแก้ไขเชิงสร้างสรรค์ ดังน้ันเทคนิคในการ จัดการนวัตกรรม จึงเป็นเครื่องมือและวิธีการต่างๆ ที่ช่วยให้องค์กรสามารถ ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ท่ี เปล่ยี นแปลง สอดคล้องกบั ความต้องการของตลาดได้อยา่ งเปน็ ระบบ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook