Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Paj.Kanchit.LamdabPontook

Paj.Kanchit.LamdabPontook

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-04-08 07:29:46

Description: Paj.Kanchit.LamdabPontook

Search

Read the Text Version

ล ํ า ด ั บ แ ห ่ ง ก า ร พ้ น ทุ ก ข์ 100 เขาชว่ ยเหลอื  กม็ หี มอธรรมทเ่ี ขาทำ� เรอ่ื งนอ้ี ยเู่ ขากม็ าทำ� ให ้ หลวงพอ่ ก็มองเห็นว่า ท�ำไมเรื่องพวกนี้เราต้องไปขอคนอื่น ในเม่ือเราก็มี ความสามารถท่ีจะเรียนรู้ได้เหมือนกัน หลวงพ่อก็เลยไปหัดเรียน เป็นหมอธรรม หมอน้�ำมนต์ หมอรักษาคน สมัยนั้นท่านเป็น หมอธรรมดัง แถวแก่งครอ้ จะรู้จกั หมอธรรมคำ� เขียน ครง้ั หนง่ึ พระอาจารยเ์ คยพดู กบั หลวงพอ่ วา่  เรอื่ งพวกนม้ี นั เปน็ เร่ืองคนวิตกจริตคิดกันเอาเอง ว่าเป็นอย่างน้ันเป็นอย่างนี้ ก็พูดไป พอไดจ้ งั หวะหลวงพอ่ กบ็ อก มคี รงั้ หนงึ่ นะอาจารยค์ รรชติ  มคี นบอก ใหผ้ มไปรกั ษาผหู้ ญงิ คนหนง่ึ เหมอื นจะเปน็ บา้ แลว้  ผมกเ็ ลยนง่ั หลบั ตา เข้าสมาธิ แล้วผมก็เห็นว่า ตรงใต้ห้องนอนของผู้หญิงคนนั้น มันมี หม้ออยู่ใบหนึ่ง มีตะปูโลงผีตายโหง มีเส้นผมผีตายโหง มีอะไร อีกหลายอย่างอยู่ในหม้อน้ัน แล้วมันฝังอยู่ใต้พื้นดินตรงห้องผู้หญิง คนน้ัน ผมเห็นอย่างนั้นนะอาจารย์ครรชิต ผมก็ไป แล้วก็บอกว่า ขุดตรงน้ซี ิ พอขุดก็เจอจรงิ นะ เอาสิ เราคิดว่ายังไง ในขณะที่เราบอกว่า พวกน้ีคือเรื่องสีลัพพต- ปรามาสนะ แตห่ ลวงพอ่ บอกวา่ ผมเหน็ อยา่ งนนั้  หลวงพอ่ มกี ศุ โลบาย ในการสอน เม่ือพระอาจารย์ปฏิเสธสิ่งเหล่าน้ี แต่หลวงพ่อก�ำลังจะ บอกอะไรพระอาจารย ์ อะไรท่เี ราไมร่ ู ้ กไ็ ม่ได้แปลวา่ มันไมม่ ี เสร็จแล้วมาวันหนึ่งพระอาจารย์ก็เลยคุยกับหลวงพ่ออีกว่า ทุกอยา่ งมนั มีเพราะสมมติ สมมตใิ หม้ นั มี มันจึงมี หลวงพ่อก็เลย มองหนา้ พระอาจารย ์ แลว้ กบ็ อกวา่  ทกุ อยา่ งม ี มเี พอ่ื จะวา่ ง วา่ งจาก  ความยึดมั่นถือม่ัน น่ันหมายความว่า อะไรก็ช่าง มันจะมี ก็เรื่อง  ของมัน มันจะไม่มี ก็เร่ืองของมัน แต่ส�ำคัญ ถ้ามันไม่ได้เป็นไป เพื่อการเรียนรู้เร่ืองทุกข์และการดับทุกข ์ ก็ไม่ใช่เรื่องท่ีจะน่าสนใจ

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 101 หรือถ้ามันจะมีหรือไม่มีอย่างไร ก็ไม่ต้องไปยึดม่ันถือมั่นกับมันก็ได้ นน่ั คอื สง่ิ สำ� คญั ทสี่ ดุ  เพราะถา้ เรามคี วามยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในเรอ่ื งใดกต็ าม เรอื่ งนั้นจะมอี ิทธพิ ลเหนือเรา หลวงพอ่ บอกวา่ การเปน็ หมอธรรมจะตอ้ งรกั ษาศลี  ๕ เครง่ ครดั แล้วท�ำสมาธแิ บบสมถะ หลวงพ่อจะใช้คำ� บรกิ รรม พุท - โธ พทุ  - โธ แล้วก็เข้าสมาธิสงบนิ่ง พวกหมอธรรมเขาจะมีแนวกะล�ำ (กะล�ำ แปลวา่  สงิ่ ทเี่ ราจะตอ้ งรจู้ กั ระมดั ระวงั ) พวกนเี้ ขาจะถอื  กเ็ กย่ี วขอ้ ง ไปในทางสีลัพพตปรามาสน่ันแหละ คือมันไม่ได้เป็นไปเพื่อความ พ้นทุกข์ อย่างข้อวัตรปฏิบัติบางอย่างไม่ได้เป็นไปเพ่ือการพ้นทุกข์ เปน็ ไปเพอื่ ความศกั ดสิ์ ทิ ธ ์ิ เขม้  ขลงั  มพี ลงั จติ ในการทจ่ี ะขม่  ในการ จดั การกบั เรอ่ื งอะไรต่างๆ ความทเี่ ปน็ หมอธรรม หลวงพอ่ คำ� เขยี นจงึ รจู้ กั พธิ กี รรมเยอะมาก พิธีนั่นพิธีน่ี แม้แต่ต�ำรับต�ำรา ดูวัว ดูควาย ดูที่ดูทางฮวงจุ้ยพวกน้ี เร่ืองการดูท่ีทาง การบูชาเจ้าท่ีเจ้าทาง เร่ืองอะไรพวกนี้ หมอธรรม เขาจะตอ้ งเปน็  สดุ ทา้ ย พระอาจารยม์ องดวู า่  หลวงพอ่ คอื นกั ปราชญ์ คือหลวงพ่อรู้ทุกเรื่องเลย ท่ีวิสัยฆราวาส ที่เป็นนักปราชญ์ต้องรู้ หลวงพอ่ รแู้ มแ้ ตว่ ธิ กี ารคดั เลอื ก การจดั เกบ็ พนั ธพ์ุ ชื อยา่ งไร การดวู วั ดูควายที่จะให้คุณให้โทษ ดูวัวควายตัวเมียแบบไหนถึงจะให้ลูกดก คอื หลวงพอ่ มคี วามรพู้ วกนหี้ มดเลย อาจารยอ์ ยกู่ บั หลวงพอ่  หลวงพอ่ เล่าให้ฟัง องค์ความรู้ท่ีอยู่ในตัวหลวงพ่อเยอะมาก เป่าแคนก็เป็น เลน่ ดนตรกี ไ็ ด ้ คอื เปน็ ทกุ อยา่ ง คนมองไมอ่ อกวา่ หลวงพอ่ เปน็ ทกุ เรอ่ื ง นะ แต่หลวงพ่อท�ำทุกอย่างเลยจริงๆ งานช่างหลวงพ่อเป็นทุกเรื่อง เลย คนๆ หน่ึงที่จะเป็นนักปราชญ์ สะสมไว้ทุกเร่ืองก็คือ หลวงพ่อ จริงๆ

ลํ า ด ั บ แ ห่ ง ก า ร พ้ น ทุ ก ข์ 102 หลวงพ่อบอกเพราะความเป็นลูกก�ำพร้า พ่อตายตั้งแต่เด็ก ตวั เองตอ้ งยนื หยดั ใหไ้ ด ้ หลวงพอ่ บอก ผมเปน็ พอ่ บา้ นตงั้ แตอ่ าย ุ ๑๓ เข้านาท�ำนา ไถนาต้ังแต่ผมอายุ ๑๓ - ๑๔ คิดดู ใครบอกว่าตัวเอง ทุกข์ก็มา ผมว่าไมม่ ีใครทุกข์เทา่ ผมหรอก ตั้งแต่เล็กผมทำ� ทุกอย่าง แลว้ สง่ิ นห้ี ลอ่ หลอมหลวงพอ่ มาใหแ้ กรง่ และเปน็ ทกุ เรอ่ื ง เพราะฉะนน้ั เรอ่ื งทห่ี ลวงพอ่ เปน็ หมอธรรมรกั ษาผปี อบ รกั ษาอะไร กเ็ ปน็ ไปตาม แนวทางทค่ี นในสมยั นั้นเขาเช่ือเขาศรัทธา มนั เป็นความเชือ่ ดั้งเดมิ จนมาวันหน่ึงหลวงพ่อก็ได้พบกับหลวงพ่อเทียน น่ันคือจุด เปลยี่ น หลวงพอ่ บอกวา่  พอผมเขา้ ใจเรอ่ื งรปู เรอื่ งนาม ผมไดต้ น้ ทาง ผมเข้าใจเร่ืองสมมติ บัญญัติ เร่ืองปรมัตถ์ มันเหมือนคนน�้ำหนัก ร้อยกิโลมันหายไปหกสิบกิโลเลย ชีวิตมันเบาข้ึนทันที สิ่งที่ผมเคย ถอื มา ยดึ มนั่ ถอื มน่ั  เคยถอื ครองมา มนั ถกู ทง้ิ ไปหมดเลยนะ มนั ไมเ่ อา เลย มันมุ่งแต่เรื่องทุกข์กับการดับทุกข์เท่าน้ัน น่ีแหละคือเหตุผลว่า ท�ำไมจึงละสีลัพพตปรามาสได้ จิตมันจะมุ่งไปอย่างเดียวเท่าน้ัน ว่า อะไรคือทุกข์และอะไรคือการดับแห่งทุกข์ มันไม่สนใจเรื่องอ่ืนแล้ว บคุ คลนน้ั คอื ผเู้ ข้าสคู่ รรลองทีไ่ มย่ อ้ นกลับ ท่านเคยเล่าให้ฟัง ผมไปเรียนคาถาหนังเหนียวมา อาจารย์ ครรชติ  ครบู าอาจารยท์ า่ นใหท้ อ่ งๆ สวดๆ ตงั้ ใจทอ่ งมากเลย ครบู า อาจารย์บอกท่องไป จนกระทั่งมันเห็นดาบเป็นใบไม้ใบหญ้าเลย เมอ่ื นน้ั ลยุ เขา้ ไปเลย ไมต่ อ้ งกลวั  อาจารยเ์ ลยถาม แลว้ มนั เปน็ ใบไม้ ใบหญ้าไหมหลวงพ่อ มันก็มีดดาบน่ันแหละ เพียงแต่ว่าตอนน้ัน คาถาท่ีท่องและความม่ันใจในส่ิงที่ตัวเองท�ำตัวเองฝึก มันกลายเป็น นิมิตบังตา คือ มันก็ท่องจนจิตมันรวม แล้วมองเป็นใบไม้ใบหญ้า แต่จริงๆ มันก็คือมีด

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 103 สมัยหน่ึงพระอาจารย์ไปเจอสหธรรมิกที่อยู่วัดหนองป่าพง เลยไดพ้ บหาสมาคมกนั อยพู่ กั หนง่ึ  วนั นน้ั พระอาจารยเ์ ลา่ วา่  สมยั กอ่ น พระอาจารยก์ จ็ ะใชอ้ สภุ กรรมฐาน คอื การเพง่ มองใหเ้ หน็ เปน็ ซากศพ มันก็เหมือนเราฝึกท่ีจะใช้จินตนาการบัง คิดภาพมาบังเอาไว้ ท่ีน้ี พอท�ำมากๆ เข้า มันเหว่ียงไปอีกฝั่งหนึ่ง ไปสู่ความรังเกียจ คือ เมื่อก่อนพระอาจารย์ก็จะเป็นพวกชอบงานศิลป ์ มันก็ต้องมองอะไร ให้มันสวยๆ งามๆ พอบวชมาเขาบอกว่า พวกน้ีมันวิสัยกามราคะ ตอ้ งเอาอสภุ ะเขา้ มาดบั  หลงั ๆ มา มนั คลอ่ งมากเลย คนมาใสบ่ าตร เหน็ เปน็ ศพใสบ่ าตรเลย แล้วมนั เกดิ ความรงั เกียจ จนกระทง่ั มาเจอกบั หลวงพอ่ คำ� เขยี น เราถงึ ไดร้ วู้ า่  เราไมต่ อ้ ง ไปทำ� อะไรอยา่ งนนั้ เลย เราแคร่ สู้ กึ ตวั  ไมต่ อ้ งไปปรงุ แตง่ อกี เรอื่ งหนงึ่ ให้มันตรงข้าม ให้รู้ทันแม้ว่าใจตัวเองชอบความสวยความงาม แต่ พอมนั เหน็ แลว้  มนั รสู้ กึ ตวั  มนั กไ็ มป่ รงุ ไปสคู่ วามสวยงาม แลว้ กไ็ มต่ อ้ ง ปรุงไปสู่ความน่าเกลียดน่าชังอะไร เมื่อเรามีสติรู้ทัน ความรู้สึกตัว ทำ� งาน มันจบลงตรงนั้น เราก็เป็นปกติของเรา พอพระอาจารย์พูดจบตรงน้ี พระพรรคพวกกัน (แต่ว่าท่าน พรรษามากกวา่ ) ทา่ นบอก อาจารยค์ รรชติ เมอ่ื กผ้ี มฟงั แลว้  ทำ� ใหผ้ ม คิดถึงท่ีผมเคยฟังเทศน์ของหลวงตามหาบัว คล้ายๆ อย่างน้ี ผม ไม่เคยฟัง แล้วหลวงตาท่านเทศน์ว่าอย่างไร หลวงตาท่านบอกว่า ท่านฝึกอสุภกรรมฐานมา ๑๘ ปี จนช�ำนาญมาก แล้ววันหน่ึงท่าน กเ็ ลยลองดำ� รใิ หม้ นั เปน็  สภุ ะ ดซู วิ า่ จะเปน็ อยา่ งไร วนั ทหี่ นง่ึ  วนั ทสี่ อง ไม่มีปัญหา แต่พอวันที่สาม ท่านเห็นจิตของท่านมันกระเพื่อมไหว ยนิ ดใี นความงาม ทา่ นบอก เฮย้  อะไร ฝกึ อสภุ ะมา ๑๘ ป ี บทมนั จะ กลับ แค่ ๓ วนั กก็ ลับแล้ว

ลํ า ดั บ แ ห ่ ง ก า ร พ้ น ท ุ ก ข์ 104 พอทา่ นเหน็ อยา่ งนน้ั ทา่ นขยบั  ปรบั มาเปน็ อสภุ ะ พอมองเปน็ อสภุ ะจติ มนั นงิ่ สงบ คราวนท้ี า่ นลองใหม ่ มนั กระเพอ่ื มไหวอกี  ทา่ นก็ ตบเขา้ มาอสภุ ะ มนั นงิ่ อกี  หลวงตาทา่ นบอกวา่  วนั นน้ั ทา่ นซอ้ มแบบน้ี เป็นอนุโลม - ปฏิโลม อนุโลม - ปฏิโลม แล้วสุดท้ายท่านบอกว่า มันไม่มีทั้งสุภะและอสุภะ ทั้งหมดเรายึดม่ันสำ� คัญหมายเอง วันน้ัน หลวงตาส�ำเร็จอนาคามี จากการทท่ี า่ นท�ำอนโุ ลม - ปฏโิ ลม อาจารย์ กย็ งั ไม่เคยฟังเทปม้วนนี้ แต่พระรูปนน้ั ทา่ นพดู อย่างน ี้ ทเ่ี ลา่ เรอ่ื งนใี้ หฟ้ งั กเ็ พอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจวา่  ในการปฏบิ ตั หิ รอื การเจรญิ สติ เราไม่จ�ำเป็นต้องเอาอะไรมากลบ เราไม่จ�ำเป็นต้องเปลี่ยนฉากหน้า อะไรท้ังนั้น อย่างที่หลวงตาท่านบอก พอเอาอสุภะมาปิด กดเอาไว้ ๑๘ ปี บทสุภะมันจะมาแค่ ๓ วันเท่าน้ัน สุดท้ายท่านก็ได้ค�ำตอบ ว่า มันไม่มีทั้งสุภะและอสุภะ ท้ังหมดเราสมมติ เราปรุงแต่งเอง ทงั้ นน้ั  เรามสี ตทิ จ่ี ะรทู้ นั มนั ไมต่ อ้ งปรงุ ไปเรอื่ งอะไร มนั เหน็ สกั แตว่ า่ เหน็ ได้ จงึ เป็นเรือ่ งส�ำคัญ ที่เราควรจะได้พจิ ารณาตรงน้ใี หด้ ี หลวงปู่เทียนจึงบอกว่า ให้เราเจริญสติให้มากไปเลย มันจะ เขา้ ไปชว่ ยเราจดั แจงธรรมทงั้ หลายทง้ั ปวง แลว้ มนั จะท�ำใหเ้ ราเขา้ ใจ ความจริง แล้วมันจะวางทิ้งออกไปเอง มันจะเหลือน้อยลงๆ มันจะ เจาะประเดน็  ความรสู้ กึ ตวั มนั จะทง้ิ  จะไมพ่ ะรงุ พะรงั  เสน้ ทางของการ ปฏบิ ตั กิ จ็ ะมคี ำ� สอนหลากหลายทจ่ี ะสอนใหเ้ ราทำ� อยา่ งนเ้ี พอื่ จดั การ กบั อย่างนี้ เอาอนั นี้มาแก ้ มาเสริมสิ่งน ้ี เหมือนท่ีพระอาจารยไ์ ด้รับ ค�ำสอนว่าจะต้องเอาอสุภะมาแก้ไขนิสัยกามราคะ โชคดีของเรา ทเี่ ราเจอกบั หลวงพอ่ คำ� เขยี น พอเรารสู้ กึ ตวั  มนั กไ็ มต่ อ้ งใชส้ ง่ิ เหลา่ นนั้ อกี ต่อไป

๑๒ ย่ิงเหน็ ความจรงิ ยง่ิ เบื่อหน่าย บรรยาย ณ วนั ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ช่วงบา่ ย  เรียนถามพระอาจารยเ์ ร่ืองทานบารมีคะ่  ถา้ สมมติวา่ เรายอมตัดใจแล้วเลิกคบกับอีกคน เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่ชอบ คิดว่าไม่เหมาะสม แต่เป็นบุคคลท่ีเราคิดว่าเรารักมาก แต่เราจะ ยอมตดั เพอื่ ใหพ้ อ่ กบั แมส่ บายใจ พอ่ แมท่ กุ ขใ์ จมากทเี่ ราคบ อยา่ งนี้ เรียกว่าการให้ทานบารมีหรือไม่คะ กลับกัน คือถ้าเราเป็นฝ่ายชาย ซ่ึงพ่อแม่ผู้หญิงไม่ชอบเราเลย แล้วเรารักผู้หญิงคนนี้มาก แต่ยอม ถอยห่าง คือเลิก นั่นคือการท่ีเราให้ทานบารมีกับฝ่ายพ่อแม่ผู้หญิง ไหมคะ  เรายอมสละ เพ่ือให้พ่อแม่เราได้มีความสุข และมี ความสบายใจ ถือว่าเป็นทานบารมีไหม อาจารย์ว่า เป็นนะ เพราะ

ล ํ า ดั บ แ ห ่ ง ก า ร พ้ น ทุ ก ข์ 106 วา่ เราสามารถทจี่ ะสละสง่ิ ทเี่ รารกั เราชอบใจ สง่ิ ทเี่ ราหวงแหน แลว้ ก็ เปน็ การฝกึ จาคะ มนั มอี านสิ งสท์ จ่ี ะทำ� ใหพ้ อ่ แมข่ องเรามคี วามสบายใจ มีความสุขใจด้วย เป็นการยอมสละส่ิงหนึ่งไป เพื่อให้ได้อีกส่ิงหน่ึง ท่ีดีกว่า และได้ประโยชน์มากกว่า ยอมปล่อยใจท่ีมันรัก ใจท่ีมัน หวงแหน และก็เป็นการฝึกเรียนรู้ว่า เวลาเราต้องพลัดพรากจาก ของรกั ของชอบใจ มนั ทำ� ใหเ้ ราเปน็ ทกุ ข ์ เราฝกึ ทง้ิ  กอ่ นทมี่ นั จะทง้ิ เรา ทำ� ใหเ้ ราไดฝ้ กึ ฝนวา่  เราจะรบั มอื อยา่ งไร และอยา่ ลมื วา่ ประสบการณ์ ชีวิต จะเป็นตัวที่ช่วยมีมุมมองที่หลากหลายข้ึน มีมุมมองที่เห็น ทั้งคุณและโทษที่มากกว่า มองในความหลากหลายของท่าน ก็มอง ชดั กวา่ สมมติว่า ถ้าเป็นฝ่ายชาย ก็ทานบารมีเหมือนกัน ให้ผู้อ่ืน มคี วามสขุ  พระเวสสนั ดรกย็ งั อยากใหช้ ชู กกบั อมติ ตดามคี วามสขุ เลย สละลูกให้ มีเรื่องตรงน้ีเร่ืองความเสียสละ มีอยู่คร้ังหนึ่ง พระบาท- สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ตรสั ถามพระเถระรปู หนง่ึ วา่  การเสยี สละจะนำ� พา สกู่ ารพน้ ทกุ ขไ์ ดไ้ หม พระเถระรปู นน้ั ตอบวา่  เสยี สละทำ� ใหไ้ ดส้ วรรค์ ถ้าสละจะได้พรหม แต่ถ้าละจะได้พระนิพพาน เสียสละค�ำเดียว เป็นลำ� ดับ พอ่ แม่ครอู าจารย์ทา่ นลมุ่ ลกึ เสมอ  เรียนถามพระอาจารย์ เร่ืองอภัยทานค่ะ ถ้าเรามี เพอื่ นสนทิ ซง่ึ มคี วามเหน็ ไมล่ งรอยกนั  และทำ� ใหเ้ พอ่ื นมองวา่  เราเปน็ คนไมช่ ว่ ยเหลอื เขา เนอื่ งจากความเหน็ ทตี่ า่ งกนั  ทำ� ใหเ้ ราไมส่ ามารถ ชว่ ยเขาได้ แลว้ เขาดา่ วา่ เราแรงๆ การทเ่ี ราขอโทษเพอื่ นแลว้  แตเ่ ขา กลับนิ่งเฉย คือไม่ได้มีการติดต่อกันหลังจากนั้น อย่างนี้เรียกว่า เราอภัย หรือจรงิ ๆ ยังไม่ไดอ้ ภยั ใหเ้ ขาคะ



ล ํ า ด ั บ แ ห่ ง ก า ร พ้ น ทุ ก ข์ 108  ดูที่ใจของเราว่า ยังมีความรู้สึกอะไรกับเขา ถ้าใจเรา ไมม่ คี วามรสู้ กึ อะไรกบั เขาเลย กแ็ ปลวา่ อโหสกิ นั ไปแลว้  แตถ่ า้ ใจเรา ยังมีความรู้สึกบางอย่าง ก็หาโอกาสท่ีจะอภัยให้เขาไป อาจจะอภัย ดว้ ยตวั เราเอง ทคี่ ดิ อภยั ไปเลย เรายกโทษใหแ้ ลว้  เราจะไมเ่ อาเรอ่ื งราว เหลา่ นน้ั เขา้ มาหนกั ใจเราอกี  หรอื ถา้ เราเจอหนา้ เขา เราอาจจะบอก เขาวา่ ทผ่ี า่ นมา อนั ใดทเ่ี รามตี อ่ เธอ ทเี่ ธอมตี อ่ เรา ทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ขนุ่ ขอ้ ง หมองใจซ่ึงกันและกัน ขออโหสิกรรมก็แล้วกัน ขอให้เธอให้อภัยเรา ดว้ ย เราก็ให้อภัยเธอทุกอย่างเหมือนกัน ส่วนจะคบกันต่อหรือไม่ อีกเร่อื งหนึง่ การใหอ้ ภยั  จะทำ� ใหเ้ รารสู้ กึ เยน็ ทนั ท ี ถา้ เราวางเขาออกได ้ เราก็ ให้อภัยเขาแล้ว แต่ถ้าเราวางเขาไม่ลง ก็แบกเขาบนบ่า ไม่มีตัวเขา หรอก แตห่ นกั อยตู่ ลอดเวลา ถา้ ทำ� กจิ ไมไ่ ด ้ กจ็ งทำ� จติ  คอื ทำ� การกระทำ� ข้างนอก ไม่อาจจะเห็นหน้ากัน แล้วให้อภัยกันได้ เราก็จงท�ำจิต คือเอาจิตของเรายกอภัยให้กันไป คิดใส่ใจว่า แล้วก็แล้วไป ไม่ต้อง ไปอาลยั อาวรณ ์ ไม่ไดท้ ำ� กิจก็ตอ้ งท�ำจติ  แค่น้นั เอง  การท่ีทุกข์เกิดเพราะจิตออกไป แต่เราก็ไม่ได้ทุกข์ ไปกบั มนั  แคเ่ หน็  เพราะฝกึ ทจ่ี ะวางใจเปน็ กลาง ยอมรบั วา่ ผลสมควร แกเ่ หต ุ แลว้ อยา่ งนเี้ มอ่ื ไรมนั จะเขด็ หลาบแบบจรงิ ๆ จงั ๆ ไมเ่ ชอื่ กเิ ลส ตามความคดิ ออกไปเจ้าคะ  แค่รู้ว่าตัวเองเข้าไปรองรับ ไปยึดมันแล้วเป็นทุกข์ ก็ เพยี งพอแลว้ ทจี่ ะรวู้ า่ นคี่ อื เหตแุ หง่ ทกุ ข ์ ยง่ิ เราปฏบิ ตั มิ ากเทา่ ไร จติ เรา ไวต่อการตื่นรู้ และควรแก่การงานมากเท่าไร ย่ิงเห็นทุกข์เกิดได้

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 109 ไวมากเทา่ นนั้  แคน่ ดิ เดยี วกเ็ ปน็ ทกุ ขแ์ ลว้  นค่ี อื ความเขด็ หลาบของจรงิ เพราะมันเห็นว่าเป็นทุกข์ มันถึงได้ไม่อยากจะเป็นทุกข์ การที่จิต หลงไปปรงุ แตง่  แลว้ เราเหน็ วา่ มนั ปรงุ แตง่  แลว้ มนั กเ็ ปน็ ทกุ ขไ์ ปแลว้ จากนน้ั เรากก็ ลบั มาสคู่ วามรสู้ กึ ตวั  วางใจเปน็ กลางกบั มนั อกี  เราได้ เรยี นรแู้ ลว้ วา่  หลงเขา้ ไปยดึ เมอื่ ไร เปน็ ทกุ ขเ์ มอื่ นน้ั  มนั กจ็ ะปลอ่ ยวาง ต่อการยึดม่ันถือม่ัน มันจะเกิดความเข็ดหลาบ ความเบื่อหน่าย เรยี กว่า มันจะเกดิ ความจางคลายตอ่ การยดึ มนั่ ถือม่นั หลวงปู่เทียนท่านเอาดินน้�ำมันขว้างใส่ฝาผนัง ตุ๊บ ติด ท่าน บอก นี่แรงกิเลสมันยังหนาอยู่ ตุ๊บๆๆ ไปเร่ือยๆ แรงดึงดูดมันก็ น้อยลงๆ พอตอนหลังมา ตุ๊บ หลุด มันจะหลุดแบบนี้ ท่านบอก เรามีหน้าท่ีท�ำให้มันเข็ด ให้มันเห็นความจริง แล้วมันจะค่อยๆ จาง คลายออกเอง เราไมม่ หี นา้ ทไ่ี ปบงั คบั วา่  “เฮย้  เอง็ เขด็ ซกั ท ี เอง็ เลกิ สกั ท ี เอง็ อยา่ ไปเปน็ ทกุ ขอ์ ยเู่ ลย” ไมใ่ ช ่ ถา้ เราไมแ่ ทรกแซง มนั จะเหน็ ชดั ด้วยตัวของมันเอง  อนัตตลักขณสูตร ในตอนท้ายบอก นิพพินทัง วิรัชชะติ นพิ พนิ ทงั  คอื การจางคลายออกไป ใหเ้ หน็ ตามความจรงิ  อรยิ สาวก ท้ังหลายผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบ่ือหน่าย รูปัสมิงปิ นิพพินทะติ ย่อมเบ่ือหน่ายในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นพิ พนิ ทงั  กค็ อื  เกดิ อาการแหง่ ความเบอื่ หนา่ ยตอ่ สงิ่ นน้ั เอง พอมนั เหน็ แลว้ วา่ เขา้ ไปยดึ เมอื่ ใดเปน็ ทกุ ขเ์ มอื่ นนั้  มนั กจ็ ะเรมิ่ เบอื่ หนา่ ยการ เข้าไปยึด เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความติด เม่ือคลายความติด จติ ย่อมหลดุ พน้  เมือ่ หลดุ พน้ แล้ว จึงรู้วา่ ตนเองหลุดพน้ ขอเพยี งใหเ้ รามคี วามตงั้ ใจ มคี วามตง้ั มน่ั  ซง่ึ ดำ� รงคงอยอู่ ยา่ งน้ี อย่างต่อเน่ือง วิริยะ ความเพียรพยายามต้องมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ล ํ า ด ั บ แ ห่ ง ก า ร พ ้ น ทุ ก ข์ 110 ความเพยี รจงึ มใี นทกุ หวั ขอ้  อยใู่ นทกุ หมวดหมธู่ รรมะ วริ ยิ ะ มแี ทบ ทกุ ตวั  สต ิ กบั  วริ ยิ ะ วริ ยิ ะมาจากธรรมะขน้ั ธรรมดาพน้ื ฐานเลยนะ ตอ้ งมคี วามเพยี รพยายามในการทำ� มาหากนิ  จนกระทงั่ มคี วามเพยี ร พยายามในการละกิเลส มีความเพียรในการประพฤติปฏิบัติ คือ วริ ยิ ะน ี่ มนั เปน็ ธรรมพนื้ ฐานทเ่ี ราตอ้ งมจี รงิ ๆ ไมใ่ ชว่ า่ ทำ� ไปพกั ๆ หนง่ึ แล้วก็ โอ๊ย มันไม่ได้ผลอะไรอีกแล้ว อาจารย์ครับ ผมเห็นอาการน้ี มานานแลว้ ครบั  ทำ� ไมมนั ยงั เกดิ อยอู่ กี  เหน็ กคี่ รงั้ แลว้  เหน็  ๓ - ๔ ครงั้ แล้วครับอาจารย์ ให้เห็นสักร้อยคร้ังละกัน ถ้าร้อยครั้งแล้ว มันยัง ไม่เบ่ือ ก็ให้เห็นเป็นพันครั้ง เป็นหมื่นครั้ง แสนครั้ง ล้านคร้ัง โห... อาจารยข์ นาดนน้ั เลยเหรอ กเ็ มอ่ื กอ่ นยงั ไมเ่ คยเหน็  ยงั ไมเ่ หน็ บน่ เลย ทีนพี้ อจะมาเหน็ เพอื่ จะพ้นทกุ ข ์ ยังจะมาบน่ อีกเหรอ กเิ ลสมนั เอาเราไดท้ กุ เมอื่ เหมอื นกนั  ขนาดเหน็ ชอ่ งทางทจี่ ะไป อยแู่ ลว้  แคม่ คี วามอดทนกบั ความพยายามหนอ่ ย กเิ ลสยงั บอก เอย๊ ไม่ใช่หรอก ดูซิเห็นบ่อยขนาดน้ีก็ยังไม่จางคลายเลย ไม่ใช่ทางแล้ว เลกิ เถอะ เออจรงิ  กกู ว็ า่ งนั้ แหละ พอเราเผลอตามมนั  เทา่ นนั้ แหละ เรียบร้อยเลย ท่ีท�ำมาก็หมดเลย ม้วนเสื่อกลับบ้าน นี่คืออาการ เชิงซ้อนที่กิเลสมาตลบหลังเรา เอาตัวข้ีเกียจ เอาตัวเอาเหตุเอาผล เอาตวั อยาก อยากไดไ้ วๆ อยากเหน็ ไวๆ อยากสำ� เรจ็ ไวๆ อยากพน้ ทกุ ขไ์ วๆ ถ้ามีนิพพานก่ึงส�ำเร็จรูป แกะกระป๋องมาแล้วเทน�้ำร้อนใส่ กนิ แลว้ นพิ พาน คงจะขายดเี ปน็ เทนำ้� เททา่ เลย มนั ไมใ่ ชเ่ รอื่ งสำ� เรจ็ รปู ขนาดนน้ั  แลว้ อยา่ ลมื วา่ แตล่ ะคน บญุ บารมมี าไมเ่ ทา่ กนั  นงั่ อยนู่ อ่ี าจ จะท�ำมาก่อนกันต้ังหลายภพหลายชาติ แต่เผอิญวันน้ีมีบุญร่วมกัน มาก็เลยมานั่งท�ำด้วยกันต่อ แต่ความจริง บางคนอาจจะท�ำมานาน

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 111 กว่าแล้วดว้ ย อะไรอยา่ งนี ้ อยูท่ ี่ความเพยี รพยายาม พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ คณุ ธรรม ๒ ขอ้  ทพี่ ระองคม์ มี าตลอดตง้ั แต่ เร่ิมต้นแห่งการบ�ำเพ็ญบารมีจนกระทั่งเป็นพระโพธิสัตว์ จนมาสู่ การตรัสรู้ และหลังการตรัสรู้ ก็คือ หน่ึง ไม่เคยเบื่อหน่าย ไม่เคย รู้จักพอในการท�ำความดี สอง มีความมุ่งม่ัน มีความเพียรพยายาม ทจี่ ะไปสคู่ วามสำ� เรจ็  แมพ้ ระองคจ์ ะตรสั รเู้ สรจ็ แลว้ กย็ งั บำ� เพญ็ ประโยชน์ ตอ่ โลก (โลกตั ถจรยิ า) ดว้ ยการเผยแผค่ ำ� สอน ๔๕ ป ี เดนิ เทา้ เปลา่ จากบ้านสู่บ้าน จากเมืองสู่เมือง จากแคว้นสู่แคว้น ขนาดท่ีใกล้จะ ปรนิ พิ พานในโลก อาเจยี นเปน็ เลอื ด ถา่ ยเปน็ เลอื ด พระองคย์ งั ตดั สนิ ใจ เดินทางต่อไป จนกว่าจะถึงสาลวโนทยานของเหล่ามัลละกษัตริย์ ดว้ ยเหตผุ ลกค็ อื  สภุ ทั ทปรพิ าชกจะเปน็ อรหนั ตร์ ปู สดุ ทา้ ยทท่ี นั พระองค์ และเพ่ือที่จะไม่ให้เกิดปัญหาบาดหมาง หลังจากถวายพระเพลิง พุทธสรีระแล้ว พระองค์เลือกเมืองเล็กๆ ท่ีมีกองก�ำลังน้อยๆ ถ้ามี การเจรจาก็อาจจะยอมอ่อนน้อมได้ เรากค็ วรจะเอาสองคณุ ธรรมนมี้ าเปน็ ตวั ผลกั ดนั ตวั เราเหมอื น อยา่ งพระพทุ ธองค ์ อยา่ เพง่ิ อม่ิ เลยเรอื่ งทำ� ความด ี แลว้ จงมคี วามเพยี ร พยายามเหมือนพระองค์ เราก็สามารถท่ีจะเฝ้าดูกระบวนการที่มัน เกดิ ขน้ึ ซำ้� แลว้ ซำ้� เลา่  มนั จะเปน็ อยา่ งไร เรากจ็ ะดมู นั  นนั่ ละ่ คอื การที่ เราไมอ่ ม่ิ กบั การทจ่ี ะบำ� เพญ็ เพยี ร มนั ทกุ ข ์ มนั เปน็ ยงั ไงถงึ ไดเ้ ปน็ ทกุ ข์ มีเหตุปัจจัยอะไรท�ำให้มันเป็นทุกข์หรือออกจากทุกข์ เฝ้าดูตัวนี้เลย ทุกข์มันเกิดขึ้นได้อย่างไร จะดับทุกข์ได้อย่างไร จับประเด็นแค่ ตรงน้พี อ  เหมอื นหลวงพอ่ คำ� เขยี นบอก ผมไมร่ อู้ ะไรเลย อาจารยค์ รรชติ ผมรู้อย่างเดียว ทุกข์เกิดอย่างไร ดับอย่างไร อาจารย์ยกมือ สาธุ

ล ํ า ดั บ แ ห่ ง ก า ร พ ้ น ทุ ก ข์ 112 ผมกอ็ ยากจะรแู้ คน่ ล้ี ะ่ ครบั  เพราะรอู้ ยา่ งอน่ื กแ็ คน่ นั้  แตถ่ า้ เรอ่ื งทกุ ข์ การเกิดข้ึนของทุกข์ และการดับลงแห่งทุกข์ คือวิชาที่ครอบคลุม ทกุ อยา่ งเสร็จสรรพ เพราะฉะนน้ั การทเ่ี ราเฝา้ เหน็ สภาวธรรมทมี่ นั เกดิ  ตงั้ ใจปฏบิ ตั ิ ไป สังเกตไป แยกแยะกระบวนการ แยกกองๆ ของมันออก เห็น การเกดิ ขน้ึ  ธรรมชาตขิ องกองน ี้ มอี าการเปน็ อยา่ งไร เหน็ เหตปุ จั จยั ของมันว่าเป็นอย่างไร ดูไปสักพัก ทุกข์มันจะปรากฏให้เห็น แล้ว จะเห็นทุกข์พระไตรลักษณ์ปรากฏ แล้วเราก็จะเห็นทุกข์อริยสัจ มันปรากฏ เราจะเห็นทุกข์ท้ังสามอย่างได้ชัดมาก สุดท้ายที่ส�ำคัญ คอื  ทกุ ขอ์ รยิ สจั  ทกุ ขอ์ ปุ าทาน ทกุ ขเ์ พราะใจเราหลงเขา้ ไปยดึ มน่ั ถอื มนั่ จึงเกิดเป็นทุกข์ ตรงนี้ให้เห็นมัน ก�ำหนดรู้ทุกข์ว่ามันเกิดทุกข์แล้ว มนั จะเห็นเลยวา่ สาเหตจุ ากอะไร หรือมันจะละสาเหตนุ ัน้ ได้ ครง้ั แรกมนั อาจจะไมป่ ระจกั ษแ์ จง้  มนั ตอ้ งใชก้ ารสงั่ สม ซำ้� ๆๆ จนกระทงั่ มนั รอ้ งออกเลย วา่  มนั เปน็ อยา่ งนเ้ี อง ทนี จ้ี ะรหู้ นงั สอื กไ็ ด้ ไมร่ หู้ นงั สอื กไ็ ด ้ จะอา่ นหนงั สอื ออกหรอื อา่ นหนงั สอื ไมอ่ อกไมส่ ำ� คญั จะรู้บาลีหรือไม่รู้บาลีไม่ส�ำคัญแล้ว เพราะมันเป็นการเห็นอาการ ทป่ี รากฏ มันเหน็ ตวั สภาวธรรมแทๆ้  ที่ปรากฏ สมมตอิ าจารยโ์ ยนไอน้ ไี่ ปให ้ ถา้ คณุ รบั มนั  เหน็ อาการวา่ รบั ปบุ๊ หนักปั๊บเลย แต่ถ้าพระอาจารย์โยนไปแล้ว คุณไม่รับ มันก็ไม่หนัก มนั กไ็ มต่ อ้ งมตี วั หนงั สอื บอกวา่ ไอน้ หี่ นกั  ไอน้ ไี่ มห่ นกั  มนั รแู้ ตว่ า่ หนกั กบั ไมห่ นกั  มนั สัมผสั ไดท้ ันที

๑๓ เหตปุ ัจจัยพรอ้ ม การประจกั ษแ์ จ้งยอ่ มปรากฏ บรรยาย ณ วันท ่ี ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ช่วงเย็น การฝึกมีระเบียบวินัย สมัยบวชเป็นพระในพรรษา ช่วยท�ำให้พอ  ออกไปมชี วี ติ ฆราวาสกม็ รี ะเบยี บวนิ ยั  และมคี วามอดทนได ้ ความรอได้ มนั เป็นคณุ ธรรมพืน้ ฐาน พระพทุ ธเจา้ ตรัสวา่  ความอดทนกบั ความ พยายาม มนั มคี วามขมขนื่ เบอื้ งตน้  แตถ่ า้ ทนได ้ อยไู่ ด ้ พยายามได้ มันจะมรี สชาติทหี่ อมหวานยง่ิ กว่าสง่ิ ใดในเบอ้ื งปลาย การปฏิบัติก็เหมือนกัน พวกเราเหน่ือยบ้าง เบื่อบ้าง เซ็งบ้าง แต่มันก็ต้องทนให้ได ้ อยู่ให้ได ้ รอให้เป็น เพราะถ้ามันยังไม่ถึงเวลา มนั กย็ งั ไมส่ วา่ ง ไมส่ ามารถประจกั ษแ์ จง้  เหมอื นฝกั ลกู มะฮอกกานนี ้ี ลองเอามนั ลงมาแกะตอนมนั ยงั อยบู่ นตน้  จะแกะยากมาก แตถ่ า้ มนั



พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 115 แตกโผละออกมาเอง เมล็ดมันพร้อมแล้วกับการขยายพันธุ์ เพราะ ฉะน้ันมันต้องทน กระบวนการปฏิบัติของเราเช่นเดียวกัน มันต้อง อดทนได ้ ตอ้ งรอได ้ จนกวา่ มนั จะเพยี งพอ มนั จะเขา้ ใจ มนั จะสวา่ ง เรื่องบางเร่ืองเหมือนเราเข้าใจ แต่พอถึงจุดหน่ึงมันจะเข้าถึงใจ แล้ว มันจะเข้าใจเลย ต้ังแต่พระพุทธเจ้าพูดว่าอย่างไร ครูบาอาจารย์ พดู ว่าอย่างไร มนั จะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นแบบชัดเจนแจ่มแจง้ เลย พระอาจารยพ์ ยายามเนน้ ยำ�้ ใหพ้ วกเรามองความเปน็ ธรรมชาติ เป็นกอง คือท�ำเรื่องสติปัฏฐาน ให้เห็นความเป็น “สักแต่ว่า” ของ ธรรมชาตเิ หลา่ นน้ั  แลว้ จากนน้ั จะเหน็ วา่ ตวั ธรรมชาตเิ หลา่ นนั้  มนั ก็ จะมีกระบวนการของมันเอง มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยในธรรมชาติ เหลา่ นนั้ แตล่ ะกอง ถา้ เราทำ� และสงั เกตอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มนั จะเปน็ เรอ่ื ง ปฏิกิริยาให้เกิดกระบวนการแตกโผละ เหมือนลูกมะฮอกกานี ถงึ เวลามนั กแ็ ตกออก ความเขา้ ใจทม่ี นั สวา่ งโพลงขน้ึ  มนั กเ็ ปน็ ภาวะ ท่ีมันจะเข้าใจ มันใช้เวลาไม่นาน แล้วมันจะรู้เรื่องเข้าใจทันท ี แบบ เข้าถึงใจ เข้าถึงข้างในใจจรงิ ๆ จากทพ่ี ระอาจารยอ์ า่ นงานทพ่ี วกเราสง่ เมอื่ กลางวนั น ี้ ไมน่ า่ เชอื่ นะ ชว่ งระยะเวลาแคว่ นั เดยี ว มนั มสี เตป็ ตา่ งขนึ้ มาทนั ทเี ลย มนั ทำ� ให้ เหน็ เลยวา่  ถา้ เราทำ� จรงิ  มงุ่ มนั่ จรงิ  มนั สามารถไดผ้ ลไดไ้ วจรงิ  มนั เปน็ ความมหัศจรรย์ของความรู้สึกตัว ช่วงระยะเวลาไม่นานนะ บางคน ปสี องปี บางคนเดอื นสองเดอื น บางคนอาทติ ยเ์ ดยี ว มนั โตขนึ้ อยา่ ง รวดเรว็  บางคนชว่ั ขา้ มคนื  มนั สามารถตน่ื เลย หลวงปเู่ ทยี นบอกเปน็ แมว แตถ่ า้ มนั ตนื่ จรงิ ๆ มนั เปน็ เสอื เลยนะ ขบหวั ตวั เองอกี ตา่ งหาก ถา้ ไมด่ ใู หท้ นั  มนั แวง้ มาขบตวั เองใหช้ อกชำ้� ไดน้ ะ คอื อาการทม่ี นั ถลำ� มากเกินไป แต่ถ้าเรารู้เท่าทันกับมัน เราควบคุมมันได้ในระดับหน่ึง

ล ํ า ดั บ แ ห ่ ง ก า ร พ้ น ท ุ ก ข์ 116 มนั จะกลายเปน็ แมวทจ่ี บั หนไู ดเ้ กง่ มาก ไมเ่ ปน็ เสอื ยอ้ นกลบั มากดั เรา เพราะฉะน้ันหลวงพ่อค�ำเขียนถึงบอกเร่ืองตรงนี้ ถ้าท�ำผิด มันเหมือนเข็นครกข้ึนเขา มันยากล�ำบากมาก แต่ถ้าท�ำถูก มัน เข็นครกลงเขา ขออยา่ งเดยี วเบรกให้ด ี เพราะถา้ เบรกไมด่  ี ครกมัน กลง้ิ ทบั ตวั เอง ตวั เองจะพนั ไปกบั ครก นน่ั คอื หมายความวา่  มนั จะเกดิ กระบวนการบางอย่างท่ีท�ำให้เราถล�ำไปกับเร่ืองการรู้มาก รู้ก่อนรู้ มนั จะเกดิ การรกู้ อ่ นร ู้ คดิ รดู้ ว้ ยเหตดุ ว้ ยผล คดิ รดู้ ว้ ยองคค์ วามรทู้ เี่ รา มมี า สอดรบั  สอดประสานเปน็ เหตเุ ปน็ ผลกนั  ถงึ จดุ นนั้ แลว้ คราวนี้ มันจะรู้เยอะ แต่ที่มันไม่รู้คือไม่รู้สึกตัว สามารถพูดธรรมะเป็นคุ้ง เปน็ แคว สามารถโตว้ าทสี ใู้ ครกไ็ ดเ้ รอื่ งธรรมะ แตไ่ มร่ สู้ กึ ตวั  แลว้ จะ ไหลไปในแหลง่ ความรมู้ ากเกนิ  เพราะฉะนน้ั ถา้ เบรกใหด้  ี มนั จะคอ่ ยๆ ขยับ ให้เราค่อยๆ เป็นไปได้ แต่ถ้าเราปฏิบัติได้ถูก มันจะท�ำให้เรา เขา้ ทางได้ไวน่นั เอง กระบวนการของการเข้าทางได้ไวก็คือ การที่มันสามารถที่จะ ดำ� รงไวซ้ งึ่ ความรสู้ กึ ตวั ชดั  แลว้ กเ็ หน็ ทกุ กระบวนการทเี่ กดิ ขน้ึ  “อยา่ ง ไมเ่ ขา้ ไปเปน็ ” เหน็ เปน็ เหตปุ จั จยั  เหน็ เปน็ เรอื่ งเปน็ ราวของสงิ่ เหลา่ นนั้ ในแต่ละตัวของมัน เป็นของมัน เป็นคนละธาตุ เป็นคนละขันธ์ ชดั เจนมากๆ เพราะฉะนนั้  นยิ ามวลที หี่ ลวงพอ่ คำ� เขยี นพดู ไว ้ ๓ วลี วลที หี่ นงึ่  “ดกู ายเหน็ จติ  ดคู ดิ เหน็ ธรรม” เปน็ วลขี องผทู้ กี่ ำ� ลงั เรมิ่ สกู่ ารปฏบิ ตั  ิ คอื สามารถแยกกายแยกจติ ได้ ดกู ายเคลอ่ื นไหวไป แล้วก็ดคู วามคดิ ทม่ี ันปรากฏขึ้น กจ็ ะเห็นสภาวธรรมท่ีมันเป็นไปอยู่ วลที ส่ี อง คอื  “ผดู้  ู ผเู้ ปน็ ” ใหเ้ หน็ วา่  ในขณะทเี่ ราเปน็  “ผดู้ ”ู มนั แตกตา่ งกบั บางเวลาบางครงั้ ทเี่ ราเขา้ ไปเปน็  “ผเู้ ปน็ ” ใหเ้ หน็ ความ เปน็  “ผดู้ ”ู  เปน็ อยา่ งไร ความเปน็  “ผเู้ ปน็ ” เปน็ อยา่ งไร ตรงนอี้ ยใู่ น

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 117 ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นเรื่องที่ส�ำคัญมากเลย ตรง “ผู้ดู ผู้เป็น” นี่ ยง่ิ เราสามารถคอยสงั เกตเหน็ วา่  การเปน็ ผดู้ มู นั เปน็ อยา่ งไร การหลง เข้าไปเป็นมันเป็นอย่างไร เห็นความแตกต่างชัดเจนของสองสภาวะ นนั้  ได้ชัดมากๆ ตอ่ ไปมนั จะกา้ วเข้าไปสู่วลที ี่สามไดง้ ่ายขน้ึ วลที ส่ี าม คอื  “ไมม่  ี ไมเ่ ปน็ อะไร” ซงึ่ เปน็ วลสี ดุ ทา้ ยทห่ี ลวงพอ่ ค�ำเขียนพูด พอถึงจุดนั้นแล้ว มันก็เร่ืองของแต่ละคนแล้ว ในตอน ท้ายๆ หลวงพ่อจะพูดตลอดเลย ตอนนี้อยู่กับความไม่มีอะไร ไม่ เป็นอะไร ตอนนี้เราก�ำลังฝึกที่เป็นอยู่ในวลีท่ีสอง หลายคนก�ำลังฝึกที่ จะอยู่ในวลีท่ีสองอยู่ ซึ่งต้องขออนุโมทนามากๆ จากการอ่านงานที่ เขยี นนะ มนั ท�ำใหเ้ ขา้ ใจเรอ่ื งตรงนัน้ ได้



๑๔ วิปสั สนาคือ เห็นตามความเป็นจรงิ บรรยาย ณ วันที ่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ ช่วงเช้ามืด ในการทเ่ี ราทำ� วปิ สั สนา ดว้ ยการเฝา้ ดสู ภาวธรรมทป่ี รากฏขน้ึ  ไมว่ า่ จะเปน็ กาย เวทนา จติ  ธรรม ทเี่ ราแบง่ เปน็ กองๆ สามารถแยกแยะ ได้แล้วว่า น่ีคือส่ิงนี้ อย่างช�่ำชองแล้ว เราสามารถเห็นสิ่งน้ันเป็น คนละอย่างกนั อย่างชดั แล้ว สงิ่ ท่คี วรเกีย่ วขอ้ งดว้ ยมีอกี สองอย่าง อนั ทห่ี นงึ่  คอื  เหน็ เหตปุ จั จยั ของการเกดิ ขนึ้ ของสภาวธรรมนน้ั เม่ือเห็นสภาวธรรม จากน้ันให้เราสังเกตดูปรากฏการณ์แห่งธรรม เหล่าน้ันท่ีมันเกิดข้ึน มันมีอะไรเป็นเหตุปัจจัยหนุนเนื่องให้เป็น ให้ เกิด ให้ปรากฏขึ้น การท่ีเราสามารถมองเห็นความเป็นเหตุปัจจัย หนนุ เนอื่ งทมี่ นั ปรากฏขนึ้  ใหเ้ ราเหน็ ทงั้ รปู ธรรมและนามธรรม อนั นี้ มนั มคี วามสำ� คญั อยา่ งยง่ิ  เพราะวา่ มนั จะทำ� ใหเ้ ราเขา้ ไปเหน็ ความจรงิ

ล ํ า ด ั บ แ ห่ ง ก า ร พ้ น ทุ ก ข์ 120 ว่า สิ่งนั้นไม่ได้เป็นตัวเป็นตนที่แท้จริง ไม่ได้มีตัวตนใดๆ ท่ีเที่ยงแท้ ถาวร แตม่ นั เกดิ ขนึ้ ดว้ ยเหตดุ ว้ ยปจั จยั  ซง่ึ สมเดจ็ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เรยี กกฎตวั นว้ี า่  “อทิ ปั ปจั จยตา” ความมสี งิ่ น ้ี เพราะมสี ง่ิ น ้ี สง่ิ นจ้ี งึ มี เมือ่ ส่ิงน้ไี มม่  ี สิง่ นจี้ ึงไมม่  ี ความมเี หตปุ ัจจัยหนุนเนือ่ งซงึ่ กันและกนั กบเอยท�ำไมจึงร้อง คนโบราณเขาพยายามร้อยเรียงให้เรา ได้เรียนรู้ว่า มันมีความเป็นกฎเกณฑ์หนุนเนื่องซึ่งกันและกัน เขา เรยี กวา่  หาจดุ เบอ้ื งตน้ ไมพ่ บ หาจดุ เบอื้ งปลายไมเ่ จอ เพราะมนั ไมม่ ี มันมีแต่ความหนุนเนื่องซึ่งกันและกัน “กบเอยท�ำไมจึงร้อง เพราะ ท้องมันปวด ท้องท�ำไมถึงปวด เพราะข้าวมันดิบ ข้าวท�ำไมถึงดิบ เพราะไฟมนั ดบั  ไฟทำ� ไมถงึ ดบั  เพราะฟนื มนั เปยี ก ฟนื ทำ� ไมถงึ เปยี ก เพราะฝนมันตก ฝนท�ำไมถึงตก เพราะกบมันร้อง กบท�ำไมถึงร้อง เพราะทอ้ งมนั ปวด” มันหมุนวนอยู่เป็นวงกลม ดังน้ัน พวกพุทธศาสนานิกายเซน เวลาบอกว่า เธอจงแสดงธรรมแห่งพระพุทธเจ้า เขาจะหยิบพู่กัน มาจุ่มหมึกวาดเป็นวงกลมเลย คือเขาไม่พูด ให้คุณมอง แล้วมันจะ สวา่ งโพลงด้วยตัวเอง เซนเขาจะท�ำแบบน้ี การที่รูปของอาหารกระทบตา หรือกล่ินของอาหารกระทบ จมกู  มนั กเ็ รม่ิ มกี ระบวนการเขา้ มาแลว้  การกระทบกนั เปน็ เพยี งแค่ เปดิ ฉาก มนั กระทบกนั แลว้  มนั ไมจ่ บแคน่ นั้  การทำ� งานของอายตนะ ภายนอกภายในจบลงแคน่ ้นั  แตท่ เี่ หลอื นอกจากน้ันคอื กระบวนการ แห่งจิตท่ีมันปรุง เป็นการท�ำงานของนาม รูป มันท�ำจบแล้วเมื่อกี้ แตต่ อ่ จากนนั้ คอื นามมนั ทำ�  อยา่ งมองเหน็ แกงสม้  มนั กต็ อ้ งมไี ขเ่ จยี ว มันยงั ไมเ่ หน็ ไข่เจยี ว แตใ่ จมันคดิ เรื่องไขเ่ จียว ซง่ึ เปน็ ของกินคู่กัน ส่ิงท่ีเกิดข้ึน มันมีอะไรเป็นเหตุปัจจัยเข้ามา ความทรงจ�ำ

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 121 ความจ�ำได้หมายรู้ สมมติบัญญัติบางอย่างที่มันปลูกฝังเรามา สญั ญาเกา่ ทมี่ มี นั กเ็ ขา้ มาทำ� งาน สงั ขารกเ็ ขา้ ไปจบั ตอ่  ยนิ ดกี บั ยนิ รา้ ย ตามไปอีก มันมีกระบวนการของมันอย่างนี้ น่ีคือการมองเห็นว่า มันมีเหตุปัจจัยอะไรที่หนุนเน่ืองกัน มันไม่ได้เกิดลอยๆ การที่เรา มองเหน็ ความเปน็ เหตปุ จั จยั หนนุ เนอื่ ง มสี ตทิ จี่ ะรทู้ นั  มคี วามรสู้ กึ ตวั ทจี่ ะรู้ทนั ความเกดิ ขน้ึ ดว้ ยเหตปุ จั จัยเหลา่ น้นั ถ้าเราเห็นอย่างน้ี เราก็ต้องมองเห็นว่า มันไม่ได้มีตัวตนที่ เทยี่ งแท ้ มนั เปน็ เพยี งการปะตดิ ปะตอ่ ของการท�ำงานของสงิ่ นสี้ ง่ิ นน้ั เท่าน้ันเอง และการท�ำงานของแต่ละส่ิงๆ จริงๆ แล้วมันท�ำงาน ด้วยตัวของมัน เพียงแต่ว่ามันท�ำงานเร็วมาก จนกระท่ังเรามีความ รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน พระพุทธเจ้าท่านสามารถมองแล้ว แยกแยะออก แลว้ สามารถจะบญั ญตั เิ ปน็ วชิ าการได ้ พระองคบ์ อกวา่ ธรรมเหล่านั้นมันมีอยู่แล้ว มันเป็นกระบวนการของมันอยู่แล้ว ตถาคตเป็นแต่เพียงผไู้ ปเหน็  แลว้ จึงบญั ญัต ิ และน�ำมาถ่ายทอด อยา่ งทสี่ อง คอื  เหน็ การเกดิ และดบั  เหน็ การเกดิ ขน้ึ  เหน็ การ เส่ือมสลายของมันไป ความทนอยู่ไม่ได้ ความไม่เท่ียง เห็นความ ไมค่ งท ี่ และทง้ั หมดมนั จะเหน็ ความเปน็ อนตั ตา คอื บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ เพราะมนั เป็นไปดว้ ยเหตปุ ัจจยั  สองตวั น้ี มันจะสอดรบั กนั ความเห็นเป็นเหตุปัจจัย จากน้ันก็จะเห็นความเสื่อมสลาย ความทนอยู่ไม่ได้ของสิ่งน ้ี แล้วก็จะมองเห็นว่า น่ีมันเป็นเหตุปัจจัย เหล่าน้ีน่ีเอง มันจึงอยู่ภายใต้ของค�ำว่า “อนัตตา” คือความท่ีเรา ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้ เพราะมันมีเหตุปัจจัยของมันเอง แลว้ มนั กม็ คี วามเกดิ ขนึ้  แปรปรวน แลว้ เสอ่ื มสลายไปในตวั ของมนั เอง มองเห็นเป็นการเก่ียวข้องในสองลักษณะอย่างน้ี นี่คือการเห็นตาม

ลํ า ดั บ แ ห ่ ง ก า ร พ ้ น ท ุ ก ข์ 122 ความเป็นจริง โดยหลักการแห่งวิปัสสนา มันไม่มีในศาสนาอื่น มัน เปน็ วชิ าของพทุ ธศาสนาเทา่ นนั้  คน้ พบโดยเจ้าชายสิทธัตถะ  พระอาจารย์เน้นย�้ำถึง “สมาธิของพุทธ” กับ “สมาธิของ พราหมณ์” เพ่ือไม่ให้เราวางเป้าหมายผิด สมาธิของพุทธนั้นเป็นไป เพอื่ ความตงั้ มนั่  ตน่ื ร ู้ เปน็ สมั มาสมาธ ิ ในขณะทสี่ มาธขิ องพราหมณ์ นั้นมันมีความต้ังม่ัน แต่มันไม่ได้ตื่นรู้ ตั้งมั่นแบบกล้าแข็ง แข็งท่ือ มนั ไมไ่ ดต้ งั้ มนั่ แลว้ พลวิ้ ไหว เพอ่ื จะเหน็ ทกุ อยา่ ง มนั คนละอยา่ งกนั นะ หลวงพ่อค�ำเขียนจึงเปรียบเทียบว่า สมาธิแบบที่คนเขาทำ� กัน เป็นสมาธิของพราหมณ์ ก็คือ เหล็กแผ่น แข็งทื่อ แต่สมาธิแบบ การเจริญสติแบบท่ีเราท�ำอยู่น่ี มันเป็นเหล็กโซ่ ท่ีมันม้วนเป็น รูปอะไรก็ได้ ท่านใช้ค�ำน้ี แข็งแรงแบบเหล็กน่ันแหละ แต่มันม้วน เป็นรูปอะไรก็ได้ โซ่เราจะท�ำให้มันเป็นรูปเป็นร่างอะไรก็ได้ มันง่าย เหลก็ แผน่ จะดดั ท ี ยาก แตโ่ ซ ่ เราแคจ่ บั โยงไปโยงมา หมนุ ไปหมนุ มา มนั กเ็ ปน็ รปู เปน็ รา่ งอะไรกไ็ ด ้ มนั มคี วามพลว้ิ ไหว เขาเรยี กวา่  ควรแก่ การงาน ความตั้งม่ันแบบ “ควรแก่การงาน” มันจะมีความพลิ้วไหว นมุ่ นวล ตนื่ ร ู้ สำ� คญั  เพราะฉะนั้นความรู้สกึ ตวั ท่เี ราท�ำตรงนีข้ ้ึนมา มันท�ำให้เราไปเห็น ๒ ลักษณะนนั้ ของสภาวธรรมท่ีปรากฏ

๑๕ ถอนตัวออกมา แล้วจะเหน็ ความจริง บรรยาย ณ วนั ท ่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ ช่วงเช้า  ในขณะที่ผู้ปฏิบัติมีสติอัตโนมัติ (สติตัวจริง) ไม่ได้ เกิดจากการก�ำหนดหรือฝึกให้ระลึกรู้ ก�ำลังเกิดท�ำงานอยู่ให้เราได้ รู้เห็น จะให้ปฏบิ ัติจติ ขณะนั้นอยา่ งไร  ก็ไม่ต้องปฏิบัติอย่างไร มันมีอัตโนมัติ มันจะรู้เห็น สภาวธรรมทป่ี รากฏขนึ้ ดว้ ยตวั ของมนั  โดยไมใ่ ชก่ ารกำ� หนด ตวั ใดที่ มันเกิดก็เห็นมันเกิด มันจะเป็นอย่างไร มันก็ท�ำงานของมันไป แต่ ตวั สำ� คัญท่ีสดุ คอื  ให้คุณเห็นว่ามันมปี ัจจัยอันใดที่ทำ� ให้เกิดขน้ึ  และ

ลํ า ด ั บ แ ห่ ง ก า ร พ ้ น ท ุ ก ข์ 124 มันมีเหตุปัจจัยอย่างใดที่ท�ำให้ดับไป ความน่าสนใจมันอยู่ท่ีจุดนี้ ตอ่ ใหม้ สี ตแิ จม่ ชดั ขนึ้ ขนาดไหนกช็ า่ ง ตอ่ ใหอ้ งคค์ วามรจู้ ะมาขนาดไหน กช็ ่าง มันกเ็ ป็นเพยี งสภาวธรรมทีป่ รากฏขึน้ เท่าน้ันเอง มนั เกดิ เรากร็ บั รวู้ า่ มนั มอี ย ู่ จติ มนั ตงั้ มนั่ เปน็ สมาธ ิ มนั มคี วาม อิ่มใจในสมาธิ มันเป็นสุข มันเป็นอะไรท่ีเราเรียกว่าองค์ฌานก็เห็น มัน แต่สุดท้ายเราก็ต้องดูว่าฌานมันดับลงได้อย่างไร ต่อให้มันมี ฌานระดบั ลกึ แคไ่ หนกช็ า่ ง สดุ ทา้ ยมนั ดบั ลง นคี่ อื ตวั ทเ่ี ราตอ้ งเหน็    ในสายหลวงพอ่ เทยี นจะมลี ำ� ดบั การบรรลธุ รรมอยา่ งไร มีสภาวธรรมหรือปรากฏการณ์อะไร ที่พอจะเทียบได้ว่าบรรลุธรรม ถงึ ขน้ั พระโสดาบนั  เปน็ ลำ� ดบั ขนั้ ไปจนถงึ พระอรหนั ต์ ในแตล่ ะระดบั มอี ะไรทเ่ี ป็นสภาวธรรมรองรบั การบรรลุธรรม  ความไมท่ กุ ขห์ รอื ความทเี่ ราออกจากทกุ ขต์ ามลำ� ดบั ขนั้ ต้ังแต่ทุกข์หยาบๆ จนถึงทุกข์ละเอียด ถ้ามันออกจากทุกข์หยาบได้ แต่มันออกจากทุกข์ละเอียดไม่ได้ ก็แปลว่าเราก็ยังอยู่ในระดับท่ียัง ไม่ละเอียด มันไม่มีป้ายบอก มันไม่มีประกาศนียบัตรบอกด้วย เอาตรงความไม่ทุกข์นั่นแหละ ความที่เรารู้สึกว่าชีวิตเรามันเบาข้ึน เรียบง่ายข้ึน สบายขึ้น ทุกข์น้อยลง จนถึงไม่ทุกข์เลย มันจะเป็น ตวั ชมี้ ากกวา่  ถา้ ใหพ้ ระอาจารยเ์ ลอื กระหวา่ งปฏบิ ตั แิ ลว้ ไมท่ กุ ข์ กบั ปฏิบัติแล้วเป็นพระอรหันต์ พระอาจารย์ขอปฏิบัติแล้วไม่ทุกข์ดีกว่า เพราะไม่รู้จะเป็นพระอรหันต์ไปท�ำไม ถ้าเรามุ่งไปเร่ืองของการ ดับทุกข์ มันตรงกว่าเร่ืองน้ัน เราน่ันแหละจะรู้ด้วยตัวเราเอง ว่ามัน อยู่ขั้นระดบั ไหน



ล ํ า ด ั บ แ ห่ ง ก า ร พ้ น ทุ ก ข์ 126 ขอใหม้ งุ่ เรอ่ื งการดบั ทกุ ข์ ใหส้ งั เกตเรอื่ งความทกุ ขข์ องเรา วา่ ความเป็นอยู่ของเรามันทุกข์น้อยลงไหม ชีวิตมันเรียบง่ายขึ้นไหม ตรงน้ีเป็นตัวท่ีส�ำคัญมากๆ ที่พระอาจารย์พูดอย่างน้ี ไม่ใช่พูดจา เยาะเย้ยถากถางหรือว่าดูถูกล�ำดับขั้นของพระอริยบุคคล ไม่ใช่นะ แต่พระอาจารย์เห็นการเอาเรื่องเหล่าน้ีมาเป็นเหย่ือล่อ แล้วคนก็ ติดเหย่ือกันเยอะ พอรู้ว่ามีพระอรหันต์อยู่ที่ไหนก็แห่กันไป แล้วพอ วนั หนงึ่  ไมใ่ ช ่ อะไรวะ หมดไปตง้ั เยอะนะเนย่ี  เราไมเ่ คยเชอ่ื มน่ั เรอื่ ง ความพ้นทุกข์ แต่เรากลับเช่ือมั่นว่าท�ำบุญกับพระอริยเจ้าแล้วจะ ได้สมใจปรารถนา การท�ำบุญท่ีแท้ คือการยกระดับจิตของตนให้ พ้นจากทุกข์ ไม่ใช่ว่ิงไปอ้อนวอนร้องขอพรอันศักดิ์สิทธ์ิจากผู้วิเศษ เหล่านัน้ ครั้งหนึ่งวัดดอยแม่ปั๋งมีหลวงปู่แหวนอยู่ ผู้คนมืดฟ้ามัวดิน บันไดไม่เคยแห้ง ถามว่าแต่ละคนที่ไปกราบหลวงปู่แหวนหวังอะไร หวงั จะเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งหลวงปแู่ หวนไหม แลว้ พอหลวงปแู่ หวน มรณภาพลงแลว้  เปน็ อยา่ งไร วดั ดอยแมป่ ง๋ั กเ็ ปน็ วดั รา้ ง เรอ่ื งเหลา่ นี้ พระพทุ ธเจา้ จงึ หา้ มนกั หา้ มหนากบั การทจ่ี ะใหพ้ ยากรณอ์ ะไรอยา่ งนี้ พระองคม์ กั จะพดู ถงึ เรอื่ งทกุ ข ์ เรอ่ื งการดบั ทกุ ข ์ เรอื่ งการบรรลธุ รรม เปน็ ขนั้ นน้ั ขนั้ น ้ี สว่ นใครจะเปน็ อะไรนนั้  ในใจของทา่ น ทา่ นรขู้ องทา่ น เราปฏบิ ตั  ิ ถา้ ทกุ ขข์ องเรานอ้ ยลำ� ดบั ไปเรอื่ ยๆ เรากร็ ตู้ วั เราเอง ว่าเราอยู่ข้ันไหน แต่เขาก็มีล�ำดับของสังโยชน์ให้รู ้ ถ้าคุณไม่มีโทสะ ไมม่ รี าคะเลย กแ็ สดงวา่ คณุ เปน็  พระอนาคามแี ลว้  แตถ่ า้ คณุ สามารถ จะละสกั กายทฏิ ฐ ิ คอื ความสำ� คญั หมายวา่  กายใจเปน็ หนงึ่ เดยี วเปน็ ตวั เรา เราสามารถละตรงนไ้ี ด ้ เราไมส่ งสยั ในคณุ แหง่ พระพทุ ธ พระ ธรรม พระสงฆ์ จากน้ันชีวิตของเราก็ไม่หลงไปกับสีลัพพตปรามาส

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 127 ด�ำเนินชีวิตเป็นปกติ มุ่งไปสู่เรื่องของการดับทุกข์และการพ้นทุกข์ ไมง่ มงาย มศี ลี ทบี่ รสิ ทุ ธ ิ์ ชดั เจน ตง้ั มน่ั  จติ มงุ่ อยา่ งเดยี วคอื เรอ่ื งทกุ ข์ และการดบั ทกุ ข ์ กแ็ ปลวา่  เราเขา้ สคู่ วามเปน็ พระโสดาบนั ตามล�ำดบั สายไหนเขาก็มีล�ำดับน้ีหมด ไม่ต้องถามหลวงปู่เทียนมีลำ� ดับ แบบไหน เพราะพระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้แบบนี้ ถ้าคุณยังงมงาย อยู่ คุณก็ยังมีทุกข์หยาบๆ อยู่ ถ้าคุณยังแยกไม่ออกว่ากายกับใจ มันคนละอย่าง ยังมองไม่ออกว่ากาย เวทนา จิต ธรรม ยังมอง ไมเ่ หน็ ธรรมชาต ิ ยงั มองรวมเปน็ เรา อะไรกเ็ ปน็ เราๆ มนั กท็ กุ ข ์ แต่ ถ้ามันมองออกว่าเป็น ๔ กอง อันน้ีทุกข์จะน้อยลงไหม มันก็ไม่ ยกเอาทกุ อยา่ งมาเปน็ ทกุ ขข์ องตวั เอง มนั ไมห่ ลงเอามา “เปน็ ” ทกุ ข์ มันก็น้อยลงไปตามล�ำดับ เพราะฉะน้ันความไม่ทุกข์นั้น มันจะเป็น ตัวบ่งช้ีเองว่า เราอยู่อย่างไร มีชีวิตอย่างที่ไม่ทุกข์ในระดับไหน อย่าใชค้ ำ� วา่ เราจะเปน็ พระอริยบคุ คลลำ� ดบั ไหนเลยดีกว่า ดใู นพทุ ธประวตั สิ  ิ พระวงั คสี ะกอ่ นนน้ั ทา่ นเปน็ พราหมณ์ ทา่ น จบวชิ าจบั กะโหลกแลว้ สามารถรวู้ า่  คนตายคนนไี้ ปอยใู่ นภพภมู ไิ หน วันหน่ึงพระพุทธเจ้าก็เอากะโหลกหน่ึงไปให้จับ พอจับ หาไม่เจอ คิดว่าวิชาเส่ือมหรือเปล่า ท่องมนต์ใหม่ จับสามเที่ยว หาไม่เจอ ก็เลยถามว่าน่ีกะโหลกใคร ท�ำไมข้าพเจ้าจึงไม่สามารถหาเจอ ปกติ จับกะโหลกใคร ก็หาเจอหมดว่าไปอยู่ไหน พอพระพุทธเจ้าบอก น่ีกะโหลกพระอรหันต์ เท่าน้ันแหละ พราหมณ์วังคีสะบอก ท่านรู้ มนต์นี้หรือ ช่วยสอนเราด้วย พระพุทธเจ้าบอกมนต์น้ีสอนให้ คนนอกศาสนาไม่ได้ ต้องบวชเข้ามาในศาสนาเรา เราจึงจะสอนได้ พระวังคีสะท่านก็เลยบวช พอบวชแล้ว ท่านก็เลยเข้าใจ ท่านก็เลย ไมถ่ ามหาวา่ เปน็ ภพภูมไิ หนอีก

ล ํ า ดั บ แ ห่ ง ก า ร พ้ น ทุ ก ข์ 128 แล้วตกลง กะโหลกพระอรหันต์ไม่ต่างจากกะโหลกชาวบ้าน ใช่ไหม ไม่ได้เป็นแก้ว เป็นพระธาตุอะไร เพราะพระวังคีสะท่านจับ ดว้ ยความรู้สึกวา่ เป็นกะโหลกธรรมดา อนั นี้พระอาจารยไ์ มไ่ ดพ้ ดู ว่า พระธาตุไม่มี แต่ต้องการให้เข้าใจว่า ความเป็นธรรมดาคือส่ิงที่ พระพทุ ธเจา้ พดู มากทส่ี ดุ  เขา้ มาตรงๆ กบั เรอ่ื งการดบั ทกุ ข ์ เราจะได้ ไมส่ งสยั  ไมต่ อ้ งไปแสวงหา ไมต่ อ้ งถกู ใครลากไปเปน็ เหยอื่  เราจะได้ ไมไ่ ปตดิ เหย่อื ใครเทา่ นั้นเอง ท�ำไมสมัยพุทธกาล เหล่าสมณพราหมณ์ที่เป็นศาสนาอื่น ทเ่ี ปน็ เจา้ ลทั ธอิ น่ื ๆ พอฟงั ธรรมพระพทุ ธเจา้  เขาจะบรรลธุ รรมไดง้ า่ ย แล้วพระพุทธเจ้าก็พูดเร่ืองอริยสัจเลยนะ ท่านจะไม่ไล่ล�ำดับเรื่อง ของทาน ศลี  ภาวนา แตท่ า่ นจะแสดงเรอ่ื งอรยิ สจั  หรอื เรอ่ื งของการ เกิดขึ้นของทุกข์และการดับลงแห่งทุกข์ทันที แล้วสมณพราหมณ์ เหล่านั้นก็จะบรรลุธรรมกัน ท�ำไมท่านเหล่าน้ันจึงบรรลุธรรมได้ไว เพราะเขาตดิ อยนู่ ดิ เดยี วตรงทว่ี า่  เขาฝงั ใจวา่ มนั มแี คส่ องทาง ทางหนง่ึ ก็คือไปตามกามคุณ อีกทางหนึ่งก็คือฝังใจว่ามันมีแต่เรื่องของฌาน การท่ีจะปฏิบัตเิ พ่อื ให ้ “เป็น” ปฏบิ ตั เิ พ่อื ยกระดับจิตให้กลา้ แข็ง ให้ เปน็ เทพ เปน็ ผวู้ เิ ศษ เขาไมเ่ คยรจู้ กั ชอ่ งทางคำ� วา่  “ผดู้ ”ู  ชวี ติ ของเขา อยูบ่ นเส้นทางของความเป็น “ผูเ้ ป็น” มาตลอด แม้นอยู่บนเส้นทางแห่งกามคุณในวิสัยฆราวาส เขาก็เป็น ผู้ไหลไปในกามคุณ เป็นไปตามกระแสของกาม แล้วพอกระโดด ออกมาเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิ เขากก็ ลายเปน็ ผเู้ ปน็ อกี  เปน็ ไปตามกระแสแหง่ ความสงบระงับ ตามล�ำดับขั้นของฌาน เขามีแต่ค�ำว่า “เป็น” แล้ว พอพระองค์ทรงชี้ให้เห็น โดยการชวนเขาออกมาจาก “ผู้เป็น” มา เปน็  “ผู้ด”ู เขาจึงเข้าใจ

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 129 เพราะฉะนนั้ ทกุ ครง้ั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมกบั คนเหลา่ นี้ พระองค์จะบอกว่า เธอจงดูซิ เวทนาหรือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ ทเ่ี กดิ กบั เธอนน้ั  มนั เกดิ ขน้ึ ดว้ ยเหตปุ จั จยั ใด แลว้ มนั มคี วามเทย่ี งแท้ แน่นอนไหม แล้วเธอดูสิ ว่ามันมีความคงทนถาวรหรือมันเกิดดับ เพราะฉะน้ันเม่ือมันไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน มีความเป็นอนิจจัง มคี วามเกดิ ดบั  ไมอ่ าจทนอยไู่ ด ้ เรยี กวา่  ทกุ ขงั  นน่ั แหละ เธอจงเหน็ ว่ามนั เป็นอนตั ตา ไมอ่ าจจะหมายม่นั  หรือบังคับบญั ชาได้ แม้นสมณพราหมณ์เหล่าน้ันจะเข้าสู่ฌาน พอออกจากฌาน ก็รู้สึกว่า เหมือนกับมีบ้านหลังหนึ่ง เขาเข้าไปแล้ว เขาแค่ออกมา แต่บ้านหลังนั้นยังอยู ่ มันเหมือนเขามองว่า ฌานมันเหมือนเป็นท่ีๆ แนน่ อนตายตวั แหง่ หนง่ึ  เวลาเขาปฏบิ ตั  ิ เขากเ็ ขา้ ไปในนน้ั  เสรจ็ แลว้ พอถึงเวลาเขาก็ออกมา แต่อันน้ันยังอยู่ เขาก็จะมองว่ามันเที่ยงแท้ อยอู่ ยา่ งนน้ั  พอถงึ เวลาหนงึ่  ถา้ เขาจะตาย เขากจ็ ะบอกวา่ เขากจ็ ะเขา้ ไป ตรงน้ันแหละ น่ีคืออาการท่ีเขาไม่เคยเห็น เขามีแต่เป็น แต่เม่ือ พระองค์ทรงช้ใี หเ้ ขาดู เธอดูอารมณน์ ัน้ ท่ีมันเกิดกบั เธอสิ จากที่เขา เคยเข้าไปเป็น มันเร่ิมมีการถอน กลับมาดู เขาก็เริ่มเห็นอารมณ์ มันแปรปรวน แล้วก็เห็นอารมณ์นั้นมันดับสลายลงไป พระพุทธเจ้า ช้ีแล้วเขาจงึ เขา้ ใจทนั ที พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับเหล่าสมณพราหมณ์เหล่าน้ัน พระองค์จะหยิบส่ิงท่ีเขาเป็นอยู ่ เช่ืออยู่ ฝังใจอยู่ แล้วก็ช้ีในมุมของ พระองคใ์ หเ้ ขาเหน็  ชใี้ นมมุ วา่  มาน ี่ เธอมาอยตู่ รงน ี้ แลว้ เธอมองยอ้ น กลับไปดูส่ิงท่ีเธอเชื่อ เธอศรัทธา เธอฝังใจ เธอปักใจ เธอมองกลับ ไปดูสิ เธอเห็นไหม มันเท่ียงหรือไม่เที่ยง คนเหล่านั้นก็จะบอกว่า ไม่เที่ยง มันทนอยู่ได้หรือทนอยู่ไม่ได ้ ทนอยู่ไม่ได ้ บังคับบัญชามัน

ล ํ า ดั บ แ ห่ ง ก า ร พ้ น ท ุ ก ข์ 130 ไดไ้ หม ไมไ่ ด้ นี่คอื หลักการ วิชานี้ไม่มีในศาสนาอ่ืน น่ีคือวิชาวิปัสสนา เป็นหลักการของ พระพทุ ธเจา้ โดยตรง สมณพราหมณท์ งั้ หลายทตี่ งั้ ศาสนา ตงั้ ความเชอ่ื ตวั เองขน้ึ  ถา่ ยทอดค�ำสอนเหลา่ นน้ั มา เปน็ ระยะเวลานานแสนนาน แต่เขาก็ยังเชื่อ เพราะว่าเขาไม่เคยย้อนออกมาดูหลักการของ พระพทุ ธเจา้ ใหเ้ ราเปน็ ผดู้  ู ถอนจาก “ผเู้ ปน็ ” มาเปน็  “ผดู้ ”ู  แลว้ เมอ่ื เราดู เราจึงเห็นสิ่งนั้นมันปรากฏความไม่เท่ียง ความทนอยู่ไม่ได้ และความบังคับบัญชาไม่ได้ น่ันคือเหตุผลว่าท�ำไมสมณพราหมณ์ เหลา่ นั้นจงึ บรรลธุ รรม พระพุทธเจ้าทรงเปิดทางออกทางที่ ๓ คือเป็นผู้เห็นมัน พระองค์ตรัสว่า เราจะไม่สอนเธอไปสู่ส่วนสุดทั้งสองฝั่ง เราจะสอน ธรรมอันเป็นกลาง เพราะฉะน้ันพออยู่ตรงกลางมันเห็นทั้งสองฝั่ง พระองคเ์ พียงดึงเขาออกมา ให้เขามองย้อนกลับเข้าไป เขาจึงเห็น ความจริง ผู้ปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ผู้เข้าไปเป็น แตเ่ ปน็  “ผดู้ ”ู  เหน็ มนั อยา่ งทม่ี นั เปน็  เมอ่ื เชา้  พระอาจารยจ์ งึ บอกวา่ ใหเ้ หน็ วา่ มนั มเี หตปุ จั จยั อะไร ปรงุ แตง่ กนั ขนึ้ มา ดมู นั  จะเหน็ วา่ มนั มีเหตุปัจจัยอะไรที่ท�ำให้มันเกิดและเหตุปัจจัยอะไรท่ีท�ำให้มันดับ น่คี อื ความเปน็  “ผ้ดู ู” แต่ท�ำไมเวลาพระพุทธเจ้าพูดกับญาติโยมที่ไม่ใช่นักปฏิบัติ พระองคจ์ ะแสดงอนปุ พุ พกิ ถา แสดงกถาทหี่ นงึ่  เรอ่ื งทาน กถาทส่ี อง เรื่องศีล แล้วก็แสดงกถาที่สาม อานิสงส์แห่งการให้ทาน รกั ษาศลี พอพระองค์แสดงถึงอานิสงส์แห่งการให้ทาน รักษาศีล ใจเขาก็จะ ยิ่งฟูข้ึนๆ และสุขข้ึน เพราะว่าอานิสงส์แห่งการให้ทานรักษาศีล คือสวรรค์ พอสักพักหน่ึง มันก็จะเส่ือมไป พระองค์ก็จะแสดงกถา

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 131 ท ี่ ๔ คอื  กามาทนี วะ คอื โทษของสงิ่ เหลา่ นน้ั  กค็ อื มนั มคี วามเสอื่ มไป ตอ่ ใหส้ ขุ ระดบั ไหน มนั กไ็ มเ่ ทยี่ ง เธอจงออกจากกามสขุ เหลา่ นี้ เขา้ สู่ ความสขุ ทีเ่ ทยี่ งแทถ้ าวร คอื ความไมท่ กุ ข์ดีกวา่ เพราะถ้าเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเมื่อไร มันก็เป็นทุกข์เป็นโทษ พอคนเหล่าน้ันเริ่มมีจิตน้อมไปแล้ว พระองค์ก็แสดงคาถาท่ีห้า เนกขมั มะกถา การออกจากกาม นคี่ อื ลำ� ดบั ของอนปุ พุ พกิ ถา เพราะ ฉะน้ันคนท่ีฟังนี่อย่างน้อยๆ คือบรรลุพระโสดาบัน แต่ถ้าฟังซ�้ำ ๒ ครั้ง เป็นพระอรหันต์เลย เพราะมันมีตัวท้าย มีตัวท่ี ๔ คือ กามาทีนวะ ทใ่ี ห้เหน็ โทษของมนั ตรงทีม่ นั เสอ่ื ม



๑๖ เอาทุกขม์ าผลกั ดนั ให้พน้ ทุกข์ บรรยาย ณ วนั ท ี่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ ชว่ งบา่ ย  ท�ำไมพระศาสดาจึงมีแต่ผู้ชาย (ไม่ว่าศาสนาไหน) แมก้ ระทง่ั สมยั หนา้ พระศรอี รยิ เมตไตรยกเ็ ปน็ ผชู้ าย จะเปน็ พระเถรี สกั องคไ์ ดไ้ หมคะ คดิ ตงั้ สจั จะอธษิ ฐานวา่  จะขอตรสั รเู้ ปน็ พระศาสดา บา้ ง  อาจจะเปน็ เพราะวา่  ตงั้ แตอ่ ดตี กาลนานมา โอกาสของ ผชู้ ายมากกวา่ ผหู้ ญงิ  วชิ าประวตั ศิ าสตรใ์ ชค้ ำ� วา่  History (His Story) ไมม่  ี Herstory เลย เปน็ โอกาสของผชู้ ายทจี่ ะไดอ้ อกแสวงหาสจั ธรรม

ลํ า ดั บ แ ห ่ ง ก า ร พ้ น ทุ ก ข์ 134 มนั กป็ ลอดภยั  บกุ ปา่ ฝา่ ดงไปลำ� บากลำ� บน แตโ่ อกาสแหง่ การบรรลุ ธรรมได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าจะพูดถึงความไม่มีแม้แต่ผู้ชาย ผ้หู ญงิ แต่ที่ว่าจะได้อธิษฐานเป็นพระศาสดา พระศาสดาแต่ละองค์ ท่านก็เวียนตายเวียนเกิด เป็นท้ังผู้หญิงเป็นท้ังผู้ชายในวัฏสงสาร น้ัน แต่สุดท้าย จะมาท�ำความเพียรบรรลุเป็นพระศาสดาก็จะเป็น เพศชาย ถา้ จะมผี หู้ ญงิ คนหนง่ึ ประกาศศาสนาขนึ้ มา ยาก โอกาสจะ ถูกท�ำร้ายสูงด้วย คือต้องเข้าใจว่า สังคม ประเพณี วัฒนธรรมเอง ก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเป็นผู้ประกาศศาสนาหรือเป็นผู้แสวงหา ความหลุดพ้นจนมาเป็นพระศาสดา แต่เมื่อมีการตั้งศาสนาแล้ว จะเขา้ มาเรยี นรู้เพื่อการบรรลุ เพ่ือความหลดุ พ้นกส็ ามารถท�ำได้ แมแ้ ตต่ อนตง้ั ภกิ ษณุ สี งฆ ์ พระพทุ ธเจา้ ยงั บญั ญตั เิ ลยวา่  หา้ ม ภิกษุณีอยู่โดยปราศจากภิกษุ ไม่มีการตั้งวัดของภิกษุณีโดยตรง เพราะมนั มอี นั ตราย เคยมโี จรเขา้ ไปปลน้ ในสำ� นกั ของภกิ ษณุ  ี ตง้ั แต่ นั้นมา พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุณีตั้งส�ำนักแยกจากภิกษุสงฆ์ คือ มคี วามเปน็ อันตรายง่ายสำ� หรบั ผ้หู ญิง แมแ้ ตศ่ าสนาพราหมณ ์ เมอื่ กอ่ นกไ็ มใ่ หค้ วามสำ� คญั กบั ผหู้ ญงิ ตอนหลังพอมาเป็นศาสนาฮินดู ก็มีเทพสตรีข้ึนมา พระศิวะก็เลย มีแม่อุมาข้ึนมา พระนารายณ์ก็เลยมีแม่ลักษมี พระพรหมก็เลย มพี ระสรุ สั วด ี เทพใหญๆ่  กเ็ รมิ่ มมี เหสคี กู่ าย มนั นา่ จะเกดิ ขนึ้ ในระยะ ที่สตรีเร่ิมมีอ�ำนาจขึ้นปกครอง ก็มีกระบวนการน้ีขึ้นมา เจ้าแม่ กวนอมิ กน็ า่ จะเกดิ ขน้ึ มาสมยั สตรขี น้ึ ครองบลั ลงั กจ์ นี  จากพระอวโล- กเิ ตศวรซง่ึ เปน็ ผชู้ าย พออยเู่ มอื งจนี กเ็ ปลยี่ นสภาพเปน็ เจา้ แมก่ วนอมิ

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 135  พระเถรีในสมัยพุทธกาล ส่วนมากท่านบวชด้วย เหตปุ จั จยั อะไร เพราะปจั จบุ นั  ถา้ เหน็ ผหู้ ญงิ มาปฏบิ ตั ธิ รรมหรอื บวชชี ก็ต้องวา่ อกหัก หรอื ไมก่ พ็ วกสาวแก่  พูดซะเสียหายเลย แม่ชีสาวๆ ก็มีนะ เหล่าภิกษุณี ในสมัยพุทธกาลที่บวช หนึ่งคือ ศรัทธาในค�ำสอนของพระพุทธเจ้า และปรารถนาทจ่ี ะไดบ้ รรลธุ รรม สองคอื  มคี วามทกุ ข ์ ผหู้ ญงิ เราทกุ ข์ เยอะนะ แม้นไม่มีความทุกข์ก็อยากจะออกจากทุกข์ อยากหาวิธี ออกจากทกุ ข ์ ส่วนมากเป็นเร่อื งของความทุกข์เยอะ อย่างพระนางยโสธราพิมพา ตอนบวชท่านก็เป็นทุกข์อยาก ออกจากทุกข์ ยิ่งพอพิจารณาดูความทุกข์ท่ีผ่านมาในชีวิต ตอน เปน็ สาวกต็ อ้ งพลดั พรากจากบา้ นจากเมอื งมาอยบู่ า้ นสาม ี พออยกู่ บั สาม ี หวงั พง่ึ สาม ี กท็ ง้ิ ไป ลกู ชายทอ่ี ยดู่ ว้ ยกนั มาตงั้ นาน สามกี เ็ อาลกู ชาย ไปอีก ก็ทุกข์ เธอเอาความทุกข์จากความพลัดพรากมาพิจารณา เห็นความเสยี ใจ ความร�ำ่ ไรรำ� พัน ความโศกาอาดูรเหล่าน้นั  เอามา เป็นสิ่งท่ีพิจารณา แล้วก็ปล่อยวางทุกส่ิงได ้ ส�ำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระนางก็เลยสน้ิ ทกุ ข์ พอเป็นพระอรหันต์แล้วพระนางก็สามารถระลึกชาติได้เยอะ มาก เม่ือพระนางย้อนไปทุกภพทุกชาติ พระนางก็ทุกข์จากความ พลัดพรากที่พระโพธิสัตว์จะต้องพรากจากพระนางทุกภพทุกชาติ แตพ่ ระนางกอ็ นโุ มทนาทกุ ภพทกุ ชาตเิ หมอื นกนั  จนมาถงึ ปจั จบุ นั ชาติ พระโพธิสตั วก์ ม็ าเป็นพระพทุ ธเจา้  พระนางกม็ าเปน็ มเหส ี แลว้ กไ็ ด้ บรรลุธรรม

ลํ า ด ั บ แ ห่ ง ก า ร พ้ น ทุ ก ข์ 136 วันหน่ึงพระอาจารย์ไปเทศน์ท่ีหนึ่ง มีแต่ผู้หญิงเต็มเลย พระอาจารย์เลยบอก ถ้าตอนน้ีใครรู้สึกว่าตัวเองก�ำลังทุกข์จากสามี ทุกข์เพราะการกระท�ำของสามี ก็จงอย่าน้อยใจ แล้วก็อย่าไปทุกข์ เอาความทุกข์น้ันมาส่งให้ตัวเองบรรลุธรรมดีกว่า เอาอย่างพระนาง พิมพา พิจารณาความทุกข์เหล่าน้ัน แล้วก็เห็นความเบ่ือหน่ายต่อ การที่ต้องเกิดมาเป็นทุกข์รำ�่ ไป เบ่ือหน่ายกับความทุกข์ที่มันเกิดซำ�้ แลว้ ซำ้� เลา่  แลว้ มองวา่ ทแี่ ทจ้ รงิ มนั เกดิ จากอะไร เกดิ จากความสำ� คญั หมายว่าน่ีคือสามีเรา น่ีคือลูกเรา น่ีคือตัวตนของเรา เอตังมะมะ นี่ของเรา เอโสหะมัสมิ น่ีเป็นเรา เอโส เม อัตตาติ นี่อัตตาตัวตน ของเรา เมอื่ ใดกต็ ามทม่ี คี วามรสู้ กึ  ๓ อยา่ งนเี่ ขา้ ไป เมอ่ื นนั้ ทกุ ขเ์ กดิ

๑๗ ตอบคำ� ถาม บรรยาย ณ วันท ี่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ ช่วงเยน็  มเี พอ่ื นของดฉิ นั ชอบมาชวนใหไ้ ปปฏบิ ตั  ิ แบบนง่ั สมาธิ ๓ - ๕ ช่ัวโมง เขาบอกว่าการน่ังสมาธิของเขา มีสติรู้ตัวดี เขาเจอ ตัวรู้แล้ว อยู่นิ่งๆ แถวๆ หน้าท้อง เขาปฏิบัติได้ดี แต่มีการบ่นว่า เบ่ือมาก (เขา้ ใจวา่ เปน็ สภาวธรรม) อยากฆา่ ตัวตาย แตต่ ัวรทู้ ี่ดิฉนั พบ จะมาอยู่ดูเดี๋ยวเดียวก็หาย แล้วความรู้สึกอยู่แถวๆ ศีรษะ ตา หรือใจ กลับบ้านไป ต้องถามเขาว่า เราเจอตัวรู้หรือยัง ถ้าเขายังมี ชวี ติ อยู่  ปฏิบัติได้ดีอย่างไรนะ ถึงอยากฆ่าตัวตาย เธอว่าเขา รไู้ หม ตวั รขู้ องคณุ นน่ั แหละถกู แลว้  รกู้ ร็ เู้ ดย๋ี วเดยี ว รเู้ ปน็ ทๆี่  ยกมอื ขึ้นรู้ไหม รู้อยู่ตรงไหน หายใจซิ รู้ไหม รู้อยู่ตรงไหน มองมาที่มือ พระอาจารย์ รู้ไหม รู้อยู่ตรงไหน เอามือจับหน้าท้องซิ รู้อยู่ไหน อยู่หนา้ ท้อง คณุ รถู้ ูกแลว้  ร้เู ดย๋ี วเดยี ว ร้เู ปน็ จดุ  รู้เปน็ ท่ ี นน่ั นะ่ ถกู

ล ํ า ดั บ แ ห ่ ง ก า ร พ ้ น ทุ ก ข์ 138 เขาเบ่ือชีวิตมากจนอยากฆ่าตัวตาย การอยากฆ่าตัวตายมัน มอี ย ู่ ๒ - ๓ กรณ ี กรณที ห่ี นง่ึ  นา่ จะเปน็ โรคซมึ เศรา้  จมอยกู่ บั ความคดิ แต่ท้ังหมดของการจะฆ่าตัวตาย ก็อยู่กับความคิดท้ังหมด จะด้วย กรณใี ดกต็ าม แมน้ จะปฏบิ ตั ธิ รรมแลว้ วา่ ตวั เองปฏบิ ตั ธิ รรมไดด้ แี ลว้ อยากฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกว่าชีวิตมันน่าเบ่ือมาก ก็คือจมอยู่กับ ความคดิ เหมอื นเดมิ  นา่ กลวั นะ อยา่ งนม้ี นั ไมใ่ ชร่ แู้ ลว้  นม่ี นั หลงแลว้ ในสมัยคร้ังพุทธกาล มีพระฝึกอสุภกรรมฐาน แล้วเกิดความ เบ่ือหนา่ ยชีวติ  กเ็ ลยบอกตาผา้ ขาวท่ีมาอาศัยอยวู่ ัดวา่  เธอจงฆ่าเรา เถดิ  เราจะใหบ้ าตร ใหจ้ วี ร เราตายแลว้  เธอเอาสมบตั นิ ไ้ี ป ตาผา้ ขาว กเ็ ลยฆา่ พระไปครง่ึ วดั  ตอนแรกฆา่ ไปองคเ์ ดยี วกอ่ น ระหวา่ งทล่ี า้ งมดี อยรู่ มิ แมน่ ำ้� นนั้  จติ ของเขากเ็ ลยไดค้ ดิ ขนึ้ มาไดว้ า่  เราทำ� บาปใหญห่ ลวง เราฆ่าพระในพุทธศาสนา เราพรากชีวิตศากยวงศ์เหล่านี้ เราท�ำ ปาณาติบาตเสยี แล้ว พอคดิ ไดอ้ ยา่ งนนั้  เทวดาฝา่ ยมารกบ็ อกวา่  เจา้ หาไดท้ ำ� บาปไม่ เหล่าศากยบุตรเหล่านั้นเบื่อหน่ายต่อการมีชีวิต การท่ีเจ้าไปจัดการ พรากชีวิตน้ันได้บุญ เพราะคนเหล่านั้น เขาไม่กล้าจะพรากชีวิตเขา เจ้าก็เลยจัดการให้ เจ้าหาได้ท�ำบาปไม่ เจ้าท�ำบุญ เจ้าคนนี้ก็เลย สบายใจแล้ว ก็แบกดาบกลับมาท่ีวัดเลย ใครอยากให้เราฆ่ามาเลย พระกลวั  ก็หนีเข้ากุฏิ พระทีอ่ ยากใหฆ้ ่าก็มาใหเ้ ขาฆ่า พระพทุ ธเจา้ กลับมา พระพวกน้ันบอก พระฝึกอสุภกรรมฐานแล้วเกิดความ เบื่อหน่าย ก็เลยให้ตาผ้าขาวฆ่า พระพุทธเจ้าบอกว่า โมฆบุรุษ ควรจะแสดงธรรมเรือ่ งสติปัฏฐานให้ฟงั อกี จะเหน็ วา่  ทต่ี าผา้ ขาวเจอเทวดาฝา่ ยมารมาบอกวา่  ทเ่ี จา้ ทำ� นนั้ ถกู แลว้  เขาเหน็ เทวดาจรงิ ๆ ไหม จรงิ ๆ เขาเจอความคดิ ของเขาเอง



ลํ า ดั บ แ ห ่ ง ก า ร พ้ น ท ุ ก ข์ 140 เรอ่ื งนตี้ อ้ งคยุ กนั แบบเปดิ ใจ เวลาเราทำ� อะไรผดิ แลว้  มนั แกไ้ ขไมไ่ ด้ แล้ว เรามักจะหาเหตุหาผลเข้าข้างสิ่งท่ีเราทำ�  มันถูกแล้ว มันต้อง เปน็ แบบน ้ี นน่ั ไงคอื ความคดิ ฝา่ ยมารทมี่ นั ขน้ึ มา คนเราพอดา่ ตวั เอง มากๆ โทษตัวเองมากๆ มันจะมีการบล็อกโดยธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันจะป้องกันตัวเอง มันจะเร่ิมกระบวนการมองหาที่รองรับแทน ตอนแรกก็ส�ำนึกผิดอยู่ แต่พอรู้สึกว่ามันหนัก มันจะเร่ิมเบ่ียงเบน จะมีเหตุมีผลรองรับ เพ่ือเอาตัวเองออกจากความผิดตรงนั้นให้ได้ ความหลงผิดก็เลยเกิดขึ้น แกก็เลยเดินกลับมาฆ่าพระได้อย่าง ไมส่ ะทกสะท้าน ถา้ คณุ กลบั ไปเจอเพอ่ื นคนนนั้  คณุ ชว่ ยพาเขาคอ่ ยๆ ฝกึ ยกมอื สรา้ งจงั หวะไดไ้ หม ลองพาเขาทำ� ด ู ยงั ไมต่ อ้ งรบี รอ้ น ยงั ไมต่ อ้ งอะไร มาก เพยี งแตว่ า่ ลองคยุ กบั เขาวา่  ไหนลองกำ� มอื ซ ิ รไู้ หม รอู้ ยตู่ รงไหน จากทเี่ ขาเชอ่ื วา่ รอู้ ยทู่ อ้ งเขาจะเปลย่ี นแลว้  เมอ่ื กเ้ี ราเอามอื ไปขา้ งหลงั แลว้ กำ� มอื ดซู  ิ รไู้ หม มนั รตู้ รงไหน รตู้ รงมอื ขยบั ตรงน ี้ คอ่ ยๆ พาเขา ท�ำ ถ้าเราปรับเร่ืองที่เขาเจอตัวรู้ที่ท้อง แล้วปรับมารู้อย่างน้ีได้แล้ว ต่อไปจะง่ายขึ้น ค่อยๆ ชวนเขาดูแล้วกัน น่าเสียดายกับชีวิตหน่ึง ของคน  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ หรอื ไมค่ ะ เนอ่ื งจากเรากเ็ หน็ กอง ๔ กอง ทกุ ๆ ครง้ั ทท่ี ำ� กรรมฐาน และเรากต็ งั้ ใจ และวริ ยิ ะทกุ ๆ ครงั้ คะ่  หรอื วา่ ลกู มะฮอกกานมี นั รอคอย เวลาอยู่คะ คือเราไม่ควรสนใจผลลัพธ์ แต่จงหม่ันเร่งการกระท�ำ ปฏบิ ัตอิ ย่างตอ่ เนอ่ื งมากกวา่  ใช่ไหมเจ้าคะ (แคก่ ลัววา่ เราจะปฏิบัติ ผิดคะ่ ) ขอบคณุ ค่ะ

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 141  ๔ กองน่ีเห็นนานหรือยัง หลงมานานหรือยัง ไม่เคย เหน็ สก่ี องนนี้ านยงั  นานไหม สมมตุ หิ ลงมา ๔๐ ป ี มาเรยี น ๖ วนั ก้าวหน้าไหม อย่าลืมสิ ความหลงท่ีมันฝังแน่นมาไม่ใช่แค่ ๔๐ ปีท่ี มชี วี ติ มา แตม่ นั หลงขา้ มภพขา้ มชาตมิ านานแลว้  เพราะฉะนน้ั  การที่ เราจะมาเห็น ความจริงท่ีปรากฏข้ึน มันก็เลยกลายเป็นแค ่ เราเพ่ิง เริ่มเหน็ ความจรงิ  แค่เราเพ่งิ เริ่มเห็น มันจะยอมรบั งา่ ยๆ ไหม สนมิ มนั เขรอะ มนั ตอ้ งถจู นสนมิ ออกหมด กค็ อ่ ยๆ ทำ� ไป อยา่ เพ่ิงรีบร้อน พระพุทธเจ้าสอนให้เราเห็นเป็นกาย เวทนา จิต ธรรม ถา้ เราเหน็ เปน็  ๔ กอง กแ็ ปลวา่ เราเหน็ ตามพระพทุ ธเจา้ แลว้  ยงิ่ ถา้ เรา เหน็ วา่  ๔ กองน ี้ มกี ารแปรปรวน มกี ารไมค่ งท ่ี มคี วามเกดิ ดบั  มคี วาม ทนอยู่ไม่ได้ แล้วก็เราบังคับบัญชามันไม่ได้ คือเห็น ๔ กองน่ีก็ตรง อยู่แล้ว ย่ิงเห็นพระไตรลักษณ์อีก มันก็ยิ่งตรง แต่ถ้าไปเห็นสวรรค์ เห็นนรก ไปเห็นแสง เห็นสี แน่ใจเลยว่าไม่ตรง แต่ถ้าเห็นเป็นกาย เวทนา จิต ธรรม เห็นพระไตรลักษณ์ท่ีปรากฏขึ้น ท่ีกาย เวทนา จิต ธรรม อันนต้ี รง  ถ้าเรามีเร่ืองท่ีต้องตัดสินใจ ซึ่งทางเลือกทั้ง ๒ ทาง นน้ั  ทางไหนกร็ สู้ กึ ทกุ ข ์ แตเ่ ปน็ เรอื่ งทมี่ แี ค ่ ๒ ทาง ทกุ ๆ ครงั้  เวลา ตัง้ ใจคดิ กจ็ ะรสู้ กึ วา่ ทกุ ข ์ แตถ่ า้ ไมต่ ดั สนิ ใจ กจ็ ะคาราคาซงั คะ่  ควรจะ ท�ำอย่างไรดีคะ เพื่อให้ทุกข์น้อย บ่อยครั้งเวลาปฏิบัติธรรมจะเผลอ คดิ เรอื่ งน้เี สมอ แตก่ ็รบี กลบั มาทก่ี าย จงึ ไม่ทุกข์ค่ะ  ท�ำไมมี ๒ ทาง พระอาจารย์ว่า ถ้าเรามองด้วยใจที่ เปน็ กลาง มนั ไมม่ แี ค ่ ๒ ทาง การมองเหน็ แค ่ ๒ ทาง มนั เปน็ การเหน็

ล ํ า ดั บ แ ห่ ง ก า ร พ้ น ท ุ ก ข์ 142 แบบตรรกะ เห็นแบบทวินิยมว่ามีแค่ ๒ แต่พุทธศาสนาไม่ใช่ เรา มองวา่ ทางออกมอี ย่ ู ถา้ เราวางใจเปน็ กลางจรงิ ๆ เราจะพบทางออก  คดิ ถงึ เรอื่ งศาสตราจารย ์ จอหน์  แนช ผไู้ ดร้ างวลั โนเบล สาขา เศรษฐศาสตร ์ ด้วยทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ใหม่ว่า มันสามารถแข่งขัน ให้ตัวเองได้ดีท่ีสุดจริง แต่มันไม่จ�ำเป็นต้องท�ำให้คนอื่นเสีย คือให้ ทุกคนมีส่วนได้หมด มันเป็นมุมมองท่ีเหมือนพุทธ ในขณะท่ีเรา ตอ้ งการสง่ิ ทด่ี ที ส่ี ดุ เพอ่ื เรา แตเ่ รากจ็ ะไมเ่ บยี ดเบยี นใคร ตอ้ งไมท่ ำ� ให้ ผ้อู ่ืนเดอื ดร้อนดว้ ย อริยมรรคเป็นอยา่ งนนั้  เพราะฉะนัน้  ในขณะที่ เราเลือกเดินตามอริยมรรค เราจะมองเห็นว่า ใจเราคิดอะไร คิด เบยี ดเบยี นคนอน่ื ไหม ในการทจี่ ะดำ� รงชวี ติ  คดิ มงุ่ รา้ ยชวี ติ ผอู้ น่ื เพอื่ มาเล้ียงตัวไหม เพราะฉะนนั้  คณุ ลองเปดิ ใจใหมอ่ กี ครง้ั  แลว้ มองกวา้ งๆ อยา่ มองแบบเข้าไปอยู่ในมัน แต่ถอยออกมา แล้วมองกลับเข้าไปใหม่ อกี ครง้ั หนงึ่  แลว้ คณุ จะพบวา่ มนั มปี ระตหู ลายทางอยู่ แตต่ อ้ งเปดิ ใจ จริงๆ บางทีบางทาง อาจจะเป็นทางที่ท�ำให้เราต้องเจ็บปวด แต่ถ้า ทางน้ันท�ำให้เราเจ็บปวดก็จริง แต่มันอาจจะเป็นทางที่ดีท่ีสุด ทางที่ ไมส่ ร้างปัญหาต่อเนือ่ ง ปญั หาหนง่ึ ทพ่ี ระอาจารยม์ องเหน็ คอื  คนทงั้ หลาย เวลามอง  การแก้ปัญหา มักจะไม่มองเรื่องความเป็นกลาง แต่จะมีฝ่ายของ  ตวั เองเสมอ ถา้ เราลดความเปน็ ฝา่ ยออกไป แลว้ เปดิ ใจขน้ึ มา มนั จะ  พบทางออกได ้ ถา้ เราเปดิ ใจ ตดั อตั ตาตวั เองออกไป แลว้ เปดิ ไปซอ่ื ๆ ตรงๆ เห็นมันเป็นสภาวธรรมที่อยู่ตรงหน้าท่ีเราต้องการ แต่ถ้า แกแ้ บบพระพทุ ธเจา้  มนั เขา้ มาทางไหนกอ็ อกไปทางนน้ั  จรงิ ๆ ไมต่ อ้ ง ไปหาทางใหม่เลย ถ้ามันเป็นปัญหาหรือมันเป็นทุกข์ ต้องแก้ท่ีเหตุ

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 143 แลว้ กถ็ อนทเี่ หต ุ เหตมุ นั คอื อะไร ถอนทเ่ี หตนุ นั้  กเ็ หตมุ นั คอื ตวั เขา้ วิธแี ก้ก็คอื ถอนเหตุ ก็ออกตรงน้ัน  วลที วี่ า่  “ดกู ายเหน็ จติ  ดคู วามคดิ เหน็ ธรรม” กราบขอ ความกรณุ าพระอาจารยอ์ ธบิ ายความสมั พนั ธข์ องกาย จติ  ความคดิ ธรรม วา่ เปน็ อยา่ งไรคะ แลว้ ความคดิ กบั จติ  เปน็ คนละตวั กนั  หรือ ทำ� งานตา่ งกันอยา่ งไรคะ ?  เวลาเราจะพูดอะไรให้มันคล้องจอง บางทีมันก็ต้อง ท�ำค�ำพูด จริงๆ แล้วเราไม่ได้ดูกายหรอก เราดูความรู้สึกของการ เคล่ือนไหวของกาย แต่มันยาว ดูความรู้สึกของการเคล่ือนไหวของ กาย เราจะมองเหน็ จติ ทแี่ ปรเปลยี่ นทกุ ครงั้ ทมี่ นั หลดุ ออกไป มนั ยาว ครบู าอาจารยก์ เ็ ลยพดู สนั้ ๆ ว่า “ดกู ายเห็นจิต” เราก็ต้องมาอธิบายให้ฟังว่า การดูกายคือ การระลึกรู้การ เคลอ่ื นไหวไป จติ  มนั รบั รวู้ า่ กายเคลอื่ นไหวอย ู่ ขณะทจี่ ติ มนั รวู้ า่ กาย ท่ีเคลื่อนไหว จิตมันยังคงสภาพเดิม คือแค่รู้เฉยๆ แต่พอจิตมัน เคล่ือนออก จติ มันหลดุ ออกจากฐานไป เราเหน็ เพราะฉะน้ันกระบวนการแห่งการดูกาย มันจึงไม่ได้เห็นแค่ กาย แต่มันเห็นจิตด้วย แล้วพอจิตมันเคล่ือนออกไป มันกลายเป็น “ความคดิ ” ความคดิ แบบนนั้ เขาเรยี กวา่  “เผลอคดิ ” ดงั นน้ั กระบวนการ ที่มันคิดแบบไม่ตั้งใจ คือการท�ำงานของจิต ท่ีจิตมันเปลี่ยนสภาพ ไป เมอ่ื เราเห็นความคิด ร้ทู ันความคิด เราจะเหน็ การปรงุ แต่งทม่ี ัน ปรงุ เขา้ ไปในความคดิ นน้ั วา่  มนั เปน็ อยา่ งไรๆ บา้ ง ความโลภ ความ โกรธ ความหลง ความสุข ความทุกข ์ อะไรต่างๆ เกิดข้ึนในจังหวะ

ลํ า ดั บ แ ห่ ง ก า ร พ ้ น ทุ ก ข์ 144 นน้ั ทง้ั นนั้  เราจงึ เรยี กวา่  “ดคู ดิ เหน็ ธรรม” หรอื แมแ้ ตเ่ หน็ ความคดิ มนั ดบั ไป ตามกฎพระไตรลกั ษณ ์ กเ็ หน็ ธรรม หลกั การมนั อยตู่ รงนี้ ทีน้ีค�ำถามท่ีว่า แล้ว “ความคิด” กับ “จิต” เป็นคนละตัวกัน หรือท�ำงานต่างกัน จิตโดยตัวของมัน เป็นเพียงแค่ตัวรู้ ไม่มีรูปร่าง ลักษณะใดๆ แค่รู้ แต่พอมันหลุดออกไป มันกลับปรุงตัวเองให้ กลายเป็น “ความคิด” หลากหลายมากมาย  ความคดิ มนั ใชจ่ ติ ไหม ความคดิ ไมใ่ ชจ่ ติ  แตเ่ ปน็ สงิ่ ทเี่ กดิ ขนึ้   จากจติ  แตเ่ ราไมอ่ าจจะเหน็ จติ  เราจงึ ตอ้ งอาศยั ดคู วามคดิ แทนดจู ติ   เพราะจติ จรงิ ๆ มนั ไมม่ รี ปู รา่ งตวั ตน มนั แคร่  ู้ เพราะฉะนน้ั การทเ่ี รา จะเห็นสภาวธรรม หรือความโลภ ความโกรธ ความหลง ความสุข ความทุกข์ เห็นการเกิดข้ึนแห่งทุกข์ การดับลงแห่งทุกข์มันต้องไป ดูท่ ี “ความคดิ ” เปรียบเหมือนทะเลกับคล่ืน คลื่น มันอาศัยเกิดในทะเล มันก็คือการเปล่ียนแปลงไปของผิวหน้าทะเล เหมือนความคิดคือ การเปลยี่ นแปลงของจติ นน่ั เอง แตส่ ดุ ทา้ ยแลว้  คลนื่ กระทบฝง่ั แลว้ ก็ สลายไป เหมือนกัน ความคิด มาถึงจุดมันก็สลาย มันก็กลับคืน เปน็ ปกติไง ไปเปน็ ตวั เดมิ ของมนั  การที่เราคิดถึงเรื่องทุกข์เร่ืองเดิม ตัวละครคนเดิม ซ้�ำๆ วนไปวนมา คดิ ย้อนไปในอดตี  คิดไปในอนาคต บางทีกเ็ อาไป ปรงุ แตง่ กบั สงิ่ ทเ่ี พงิ่ พบ ไดย้ นิ  ณ ปจั จบุ นั  เชน่ น ้ี ถอื เปน็ กรรมทเี่ คย ทำ� ตอ่ กนั มาไหมคะ หากจติ คดิ อกี  ควรแผเ่ มตตา หรอื ทำ� อยา่ งไรให้ เรือ่ งทุกข์นี้หายไปคะ ?

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 145  ก็เราเคยมีกรรมต่อกัน มันก็จะมีสิ่งหนึ่งท่ีจะเกิดขึ้น คือ ความทรงจ�ำ ท่ีมันยังเก็บเอาไว้ เป็นเงาอยู่ภายในใจเรา เก็บไว้ เป็นไฟล์ภาพ แล้วเผอิญว่า อยู่ๆ ไฟล์ภาพนี้ก็เด้งข้ึนมา เร่ืองจริง จบไปหรอื ยงั  แลว้ จะไปคดิ ทำ� ไมใหม้ นั วนุ่ วาย กแ็ คร่ บั ร ู้ แลว้ กก็ ลบั มา รับรู้ว่ามีไฟล์ภาพนี้อยู่ แล้วก็กลับมาสู่ความรู้สึกตัว ยอมรับตรงๆ อย่ากลบเกล่ือน อย่าปิดบังซ่อนเร้น เมื่อเราไม่มีใจให้มัน สิ่งน้ัน จะค่อยๆ เลือนหายไป เหมือนเพ่ือนเฟสบุ้คท่ีเราไม่เคยกดไลค์มัน ไม่เคยแชร์ เด๋ียวมันก็ออกจากวงเราไปเอง ตอนแรกๆ ก็จะเด้งมา ใหเ้ ราเหน็  แตถ่ า้ เราไมส่ นใจ เพอื่ นแบบนก้ี จ็ ะหายไปเอง เพอื่ ไมใ่ ห้  มเี ยอื่ ใยตอ่ กนั  ตดั แลว้ ไมใ่ หม้ ใี ย จงอยา่ ใสใ่ จ ไมต่ อ้ งสนใจ ทง้ั ยนิ ด ี และยินรา้ ย แคร่ ูก้ ลบั มารู้สึกตวั  มันจะคอ่ ยๆ จางออกๆ คิดย้อนไปในอดีต เลิกกันแล้ว ไม่มีคิดถึงอนาคตหรอก มัน เอาอดตี มาปรุงแตง่ ท้ังนัน้  พระพทุ ธเจ้าจงึ เรยี กมนั วา่  สัญญา จำ� ได้ หมายร้ ู แปลว่า มันผ่านมาแล้ว จบไปแล้ว ไมต่ ้องไปสนใจ  เราควรเคลื่อนไหวมือเร็วหรือช้าคะ บางครั้งเคลื่อน เรว็ เกนิ ไป ความคดิ จะฟงุ้ ซา่ น แตถ่ า้ เคลอื่ นชา้ เกนิ ไป กค็ ลา้ ยกบั วา่ ไปกำ� หนดจดจ่อใหม้ อื เคลอ่ื นมากเกนิ ไป  การทเ่ี รากำ� หนดทำ� ชา้ ๆ บางครง้ั มนั กเ็ ผลอไปเพง่ จอ้ ง กม็  ี ชา้ หรอื เรว็ ไมส่ ำ� คญั  สำ� คญั ตรงทม่ี นั รสู้ กึ ชดั  รสู้ กึ ชดั อยา่ งไร รสู้ กึ เบาๆ สบายๆ รู้แบบตื่นตัว ไม่หนัก เบา โปร่งโล่ง สบาย รู้สึก อย่างนั้น แค่รู้เบาๆ โปร่งโล่ง เบาสบายๆ เราใช้ความรู้สึกที่มันชัด เปน็ ตวั วัด

ล ํ า ดั บ แ ห่ ง ก า ร พ ้ น ทุ ก ข์ 146  การเจริญสติแบบ ๑๔ จังหวะน้ี เราหวังผลเพียงสติ แต่ไม่ได้ฝึกฝนสมาธิใช่ไหมคะ ถ้าใช่ การมีสติเพียงอย่างเดียวก็ เพยี งพอแลว้ สำ� หรบั การดำ� เนนิ ชวี ติ ประจำ� วนั เหรอคะ มกั ไดย้ นิ วา่ สติ มาคูก่ ับสมาธ ิ เหมือนไข่เจียวมาค่กู บั แกงสม้ เจา้ คะ่  สมาธแิ บบพทุ ธ คอื ความตงั้ มนั่  ตน่ื ร ู้ สมั มาสมาธ ิ คอื ภาวะทส่ี ตติ น่ื รมู้ คี วามบรสิ ทุ ธ ิ์ เปน็ ธรรมชาต ิ และมคี วามเปน็ อเุ บกขา ดว้ ยสมาธ ิ แตค่ นสว่ นมากเขา้ ใจวา่ สมาธคิ อื สงบนงิ่  ดำ� ดง่ิ ลงไป เมอื่ มีสติเป็นสัมมาสติ จึงจะเป็นสัมมาสมาธิ มันต้องมีสติก่อน ตัวสติ จะท�ำให้ไม่ดิ่งลงไป มันจะท�ำให้ต่ืน แต่ถ้าฝึกมิจฉาสมาธิไม่มีสติ หรอื ถา้ มกี เ็ ปน็ มจิ ฉาสต ิ ไมใ่ ชส่ มั มาสต ิ เพราะสมั มาสตจิ ะเปน็ ภาวะ แหง่ การตน่ื เพอ่ื เหน็ ความเปน็ จรงิ  ตวั สมั มาสมาธคิ อื ความตงั้ มน่ั ทจี่ ะ เหน็ พระไตรลกั ษณ์ทีป่ รากฏข้นึ ในความเป็นจริง ขณะท่เี ราเจริญสติไป จะเห็นวา่ มธี รรมชาตแิ ตกออกเปน็ กาย เวทนา จิต ธรรม เราก็เห็นมันแล้วก็เห็นว่ากาย เวทนา จิต ธรรม มคี วามไมเ่ ทย่ี งแท ้ ความตง้ั มน่ั ทเ่ี หน็ อยา่ งน ี้ เขาเรยี กวา่  สมั มาสมาธิ เพ่ือเห็นความจริงที่ปรากฏขึ้น ในสภาวธรรมธรรมชาติท่ีมันปรากฏ การที่พระอาจารย์ให้พวกเราคอยสังเกตว่า มันมีเหตุปัจจัยอะไร หนนุ เนอื่ งใหก้ อ่ เกดิ และมนั ดบั ลงดว้ ยเหตปุ จั จยั อยา่ งไร กค็ อื ทำ� ใหเ้ รา เจรญิ สตดิ ว้ ยความรสู้ กึ ตวั  ใหเ้ ปน็ สมั มาสมาธ ิ เพอื่ ใหเ้ หน็ ไตรลกั ษณ์ ปรากฏขน้ึ ในธรรมชาติ ๔ กองทเ่ี ราเฝา้ สงั เกตอยนู่ น่ั เอง  เพราะฉะนน้ั การปฏบิ ตั ขิ องเรา ไมใ่ ชว่ า่ อยๆู่  ปฏบิ ตั แิ ลว้ มนั จะ ได้ผลเลย มันต้องค่อยๆ ท�ำ ค่อยๆ ฝึก ฝึกฝน ฝึกให้เป็น ฝึกให้ ได้ มองเห็นตัวความไม่เท่ียงของตัวเรา เม่ือเห็นความไม่เที่ยงของ

พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต  อ ก ิ ญฺ จ โ น 147 ตวั เรา กจ็ ะเรมิ่ เหน็ ความไมเ่ ทยี่ งของภายนอก ธรรมภายในกบั ธรรม  ภายนอกมันอันเดียวกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นอย่างไร คนอื่น  กเ็ ปน็ อยา่ งนน้ั  ฝกึ เรยี นรใู้ หเ้ ขา้ ใจตรงน ี้ เหมอื นอยา่ งเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ท่านกลัว ท่านไม่ได้กลัวท่านตายคนเดียว ท่านกลัวว่าคนรอบข้าง คนทร่ี กั จะตอ้ งตายจากไป แมน้ เราเองกต็ อ้ งตายจากพวกเขาไป เขา กต็ อ้ งทุกข ์ พระองคก์ เ็ ลยออกแสวงหา จนกระท่ังพระองคพ์ บวา่ มัน เปน็ ความจรงิ ทเ่ี ราไมอ่ าจจะปฏเิ สธได ้ จติ จงึ ยอมรบั ความจรงิ ตรงนน้ั แม้ความตายจะเกิดขึ้น พระองค์ก็ไม่ทุกข ์ เม่ือพระองค์เข้าใจตรงนี้ แลว้  พระองคก์ น็ ำ� สงิ่ นมี้ าบอกกลา่ วกบั คนทพ่ี ระองคร์ กั  คนเหลา่ นนั้ ก็เข้าใจ เมอื่ คนเหลา่ นนั้ เข้าใจ เขาก็ไมท่ กุ ขก์ บั มนั อกี เมอ่ื ความเจบ็  ความปว่ ย ความตาย ความชราภาพจะมาเยอื น เขาก็จะไม่ทุกข์กับมันอีก เพราะฉะน้ันเราต้องหันกลับมาเฝ้าสังเกต ดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ใจเราทุกข์ด้วยเหตุใด ที่ใจมันทุกข์เพราะใจมัน เข้าไปยึด มันก็ทุกข์ การเห็นซ้�ำๆ อย่างน้ีต่างหากท่ีเห็นความจริง ถ้าไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ เมื่อนั้นมันก็จะวางท้ังหมดออก แล้วก็จะไม่ทุกข์ อกี เลย ไมว่ ่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ส่ิงนี้ต้องท�ำ ต้องขยัน ต้องหม่ัน เพื่อให้เขาเห็นซ�้ำแล้วซ้�ำอีก สกั วนั  ตวั ทม่ี นั เคลอื บอยมู่ นั จะแตก เดย๋ี วมนั กส็ วา่ งโพลงเอง อวชิ ชา ท่ีหุ้มอยู่ มันก็จะสลายออกเอง เอารู้เข้าไปแทนหลง เอาความจริง  เขา้ ไปแทนความลวง ความรสู้ กึ ตวั คอื ความจรงิ  ความทกุ ขค์ อื ความ ไม่จรงิ  มันสมมต ิ เพราะฉะน้นั  ความรูส้ กึ ตวั คอื ความจรงิ ทส่ี ดุ ตงั้ อกตงั้ ใจกบั การปฏบิ ตั ติ อ่  อยา่ เพง่ิ ไปกลวั วา่ มนั จะหลงเขา้ ไป ในสมาธ ิ ไมเ่ ปน็ ไร หลงไปแลว้ มนั จะรเู้ อง ตวั หลงมนั จะบอกเราเอง วา่ หลงแลว้  พอมนั ถลำ� เขา้ ไปแลว้ มนั จะรตู้ วั เอง เพราะมนั จะเปลย่ี น

ลํ า ด ั บ แ ห่ ง ก า ร พ ้ น ท ุ ก ข์ 148 บางอาการมนั จะเปลยี่ นไป จนเรารตู้ วั เองวา่ มนั ไมใ่ ชแ่ ลว้  มนั จะกลบั มาเอง  อยากสอบถามพระอาจารย์ว่า คนที่บรรลุธรรมแบบ นิพพานแล้ว ดวงจิตของเขาจะหายสลายไปเลยหรือไม่คะ แบบว่า หายไปเลย ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก หรือว่ามีสถานที่ท่ีหน่ึง ที่รวมคน ที่นิพพานเอาไว้คะ ส�ำหรับการพบปะเม้าท์มอยกัน ถ้ามีท่ีแบบนั้น แล้ววันๆ เขาทำ� อะไรกนั คะ ไมเ่ บ่ือเหรอคะ ?  คนจะนพิ พานแลว้  จะเมา้ ทม์ อยไหม ไมม่ หี รอก สถานท่ี ทจี่ ะไปพบปะเมา้ ทม์ อยกนั  แลว้ กไ็ ปทำ� กจิ กรรมรว่ มกนั  จะไดไ้ มเ่ บอ่ื ไม่มี ในเมื่อท่านบอกว่า เชื้อในการเกิดมันไม่มีแล้ว มันก็ไม่มี สถานท่ีท่ีใด ท่ีต้องเกิดไปอีกแล้ว เพราะเชื้อแห่งการเกิดไม่มีแล้ว  คมั ภรี เ์ ขากพ็ ดู อยา่ งนน้ั  ไมม่ เี ชอ้ื แหง่ การเกดิ แลว้  มนั กไ็ มม่ ภี พ ไมม่ ี ชาติอกี

๑๘ วิหารธรรมทดี่ ี ย่อมน�ำไปสคู่ วามไมเ่ ป็น บรรยาย ณ วันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ ชว่ งเชา้  วนั แรกๆ สายตาหนจู ะไมส่ ำ� รวมเลย ไมเ่ คยนงั่ กรรมฐาน เปดิ ตามากอ่ น ตาหนเู ลยวงิ่ ไปรอบๆ กพ็ าจติ วง่ิ รอบๆ ไปดว้ ย ดนี ะ ที่เข้าใจว่าถ้าเราสอดส่ายสายตาไป จิตเราก็สอดส่ายตาม รู้สึกว่า เหนอื่ ย วนั นห้ี นเู ลยพยายามหาทใ่ี หต้ าหนไู มม่ อง แลว้ หนกู เ็ หน็ รอยยบั ของเสื้อพี่ผู้หญิงข้างหน้าหนู แล้วหนูก็มองว่ารอยยับน้ันเป็นรูปเป็ด แล้วหนูก็มองเป็ดตลอด ๒ ช่ัวโมงน้ัน แต่ไม่ได้จินตนาการว่าเป็น เปด็ อะไร หนกู ห็ ยุดแคว่ า่ เปด็  พระอาจารย์วา่ วธิ นี ผี้ ิดไหมคะ?  ผดิ  เพราะมนั เปน็ การไปพงึ่ ขา้ งนอก เราสง่ จติ ไปออก ขา้ งนอก มนั จะไมร่ บั ร ู้ เหมอื นกบั พระอาจารยเ์ คยจดั คอรส์ หนง่ึ  สอง คนทา้ ยอยหู่ ลงั ทา้ ยสดุ  ตอนแรกกน็ ง่ั นงิ่ ๆ กอ่ น ๒๐ นาท ี แลว้ ยกมอื


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook