Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Pprayut.pattanakon

Pprayut.pattanakon

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-04-04 07:43:51

Description: Pprayut.pattanakon

Search

Read the Text Version

50 หลักแม่บทของการพัฒ๔น๓าตน โดยมใี จอยูกบั เปาหมาย เปาหมายกค็ ือขายของได เงนิ มา แกจะไมใ สใจ ไมถ ือเปน อารมณก ับเรอ่ื ง เลก็ ๆ นอยๆ ท่เี ขามากระทบกระทัง่ อยา งในสมยั กอ น เราพดู ถงึ คนจนี ทขี่ ายของ แกขายของไป มเี ด็กบา งผูใหญบ า งมาลอเลยี นดา ลามปามถงึ พอถงึ แม แกก็เฉย หวั เราะได ยิ้มได ตลอดเวลา เพราะใจแกอยกู ับเปาหมาย คือขาย ของได ก็คนเขามาซื้อของเรา เอาเงนิ มาใหเ รา เรา ไดเงนิ เราขายของไดก ็ใชไ ด ดีใจแลว บรรลเุ ปา หมาย แกจงึ ไมถือสาอารมณก บั เร่ืองถอยคํานอก เรอื่ งทมี่ ากระทบกระทงั่ ฉะนน้ั คนทม่ี ลี ักษณะฝก ตนหรือพัฒนาตน จะตอ งมลี กั ษณะนี้ดวย คือมีใจมงุ สเู ปาหมาย เมอื่ ทาํ ไดอยางนี้มนั จะตัดอะไรตา งๆ เร่ืองจุกจิก หยมุ หยมิ กระทบกระเทอื นผานไปไดสบายๆ รวม แลวจะมีผลดหี ลายอยา ง อยา งท่ีหนง่ึ จะมีผลดี คือ ไมมเี ร่อื งอะไร

๔๔ 51พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) กระทบกระท่ังใจ ใครจะวา อะไรก็ชา ง มนั ไมกระทบ มาถงึ ใจ เมอื่ ไมมีอะไรกวนใจกต็ ้ังใจทําสิ่งท่ตี น ปฏบิ ตั ิไดเตม็ ท่ี ใจแนวแนเ ปน สมาธิ เหมอื นอยา ง คนทท่ี าํ งานเกย่ี วกบั หนงั สอื ใจมงุ สเู ปา หมาย ใจ ตระหนกั ชัดแลว แมจ ะมีเสียงอะไรตา งๆ เอะอะตึง ตงั บางทีไมไดยนิ ไมรูด วย นกี้ ็คอื ลกั ษณะที่เปน สมาธิ เพราะใจแนว ด่ิงลงไดง าย มจี ดุ มงุ หมาย แลว กท็ ํางานไปจนสําเรจ็ ตอนน้ีกจ็ ะเกิดผลดีขอ ตอ ไปคอื มนี สิ ยั ทาํ จรงิ คนทม่ี เี ปา หมายแนน อนแลว ทําอะไรกท็ ําจรงิ ทํา ใหสําเรจ็ จะเอาใจใส และคอยคิดวเิ คราะห พิจารณาหาทางวาเรือ่ งน้จี ะทาํ ใหส ําเร็จไดอ ยางไร จะตอ งใชค วามคิด ทาํ ใหเ ปน คนรูจกั คิด รูจกั วเิ คราะหพ นิ จิ พิจารณา และมีความรบั ผิดชอบเอา ใจใสข ยนั หมั่นเพยี รไมอ ยนู ิ่งเฉย คนพวกน้เี ฉยไม เปน ในเมื่อมหี นา ทจี่ ะตองทํา และในเม่อื เปน คนขยนั ทําจริงอยา งนแ้ี ลว ก็

52 หลักแม่บทของการพัฒ๔น๕าตน จะมนี สิ ยั ดตี ามมาอีกอยางหนง่ึ คอื เปนคนท่บี งั คับ ตนเองได ควบคมุ ตนเองได เพราะอะไร เพราะวา เมอ่ื ตง้ั ใจจะทาํ ใหสําเร็จตามเปาหมาย ก็จะเกียจ ครา นอยูนิ่งไมได กต็ อ งทําก็ตองบังคบั ตวั เอง ถึง เวลานนั้ ถึงแมข้ีเกียจไมอยากทาํ กจ็ ะมแี รงบงั คบั ตวั เองใหท าํ กลายเปน คนขยนั ไป เปน คนเอาชนะ ตนเองได บงั คบั ตนเองได ควบคมุ ตนเองได นอกจากนัน้ ก็จะเปน คนอดทนรอผลได ใจท่ี มุงเปาหมายรูวาการกระทํานี้จะนําไปสูเปาหมาย นน้ั รวู า เราไดทําเหตไุ ปแลว ขน้ั นน้ั ๆ ผลจะมาเม่อื นน้ั รูอยางน้แี ลว กร็ อผลได แลว นิสัยท่เี ขาจุดโดยตรงก็คอื จะเปน คนท่ี แกไ ขปรบั ปรงุ ตวั อยตู ลอดเวลา เพราะวา ใจทมี่ งุ สเู ปา หมาย คอยคิด คอยพจิ ารณาเอาใจใสเรือ่ งท่ตี อง ทาํ น้ี พอเห็นวา อะไรที่จะตอ งทาํ เพ่อื ใหเกิดผล สาํ เรจ็ กจ็ ะตอ งปรบั ปรงุ ตวั ใหเ ปน ใหท าํ ไดอ ยา งนนั้ ตอ งคอยปรบั ปรุงแกไขใหถ กู ตอ งตามเหตผุ ล กเ็ ลย

๔๖ 53พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) มนี สิ ยั แกไขปรบั ปรงุ ตนเอง เขา ลักษณะเปนเรอ่ื ง ของ ทมะ นเ้ี ปน แงท ่ีหนึง่ คอื มจี ติ มุง สูเปาหมาย เมอื่ มองแบบเรยี นรู กม็ แี ตไ ดต ลอดเวลา แงท ี่สอง มองอะไรๆ เปนการเรียนรู การ มองอะไรเปน การเรยี นรนู ้ี เปนลกั ษณะที่มผี ลดี ไม เฉพาะตอการฝก ตนเทา น้ัน แตมีผลตอดานจติ ใจ ของตนเองดวย คนท่ีมองอยา งนมี้ ีแตไดต ลอด เวลา ไมม ีเสีย การมองอะไรๆ เปนการเรยี นรูน้ี มผี ลดี คลา ยๆ กบั การมงุ เปาหมายท่วี าเมื่อกี้ คนทมี่ ุงสู เปา หมาย ใครจะทาํ อะไร ถา เปนเรื่องอืน่ ทีไ่ มเ ขา กบั เปา หมายของเขาแลว เขาไมเกบ็ เปนอารมณ และกไ็ มเ กดิ ความทกุ ข ทนี เ้ี มอ่ื มองอะไรๆ เปน การเรียนรู เขาก็มอง แตว า ประสบการณท พ่ี บทีเ่ ห็นทไ่ี ดยินนน้ั เขาจะได อะไรหรือมีอะไรทเี่ ขาจะไดบาง เขาไดเรียนรอู ะไร

54 หลักแม่บทของการพัฒ๔น๗าตน บา ง เมอ่ื เขามองอยางนีส้ ง่ิ ท่ีมากระทบกระทั่งใจก็ ไมเ กดิ ขึน้ เมอื่ คนอน่ื พดู มา พดู ดีกต็ าม พูดรายกต็ าม คนทม่ี นี สิ ยั มองอะไรเปน การเรียนรูห มด ก็มองหา แตว า เอ! ในคําพดู ของเขาเราจะไดเรยี นรูอะไร บา ง อะไรเปน ประโยชนเ อามาใชเ อามาปรบั ปรุง ตวั เองทาํ ใหเ กดิ ความดงี ามความเจริญ เขาก็คอย สาํ เหนยี กเลอื กจบั เอามา ใจแกมุง ไปทนี่ ั่น ฉะนนั้ คาํ ทถ่ี ือวากลา วราย คําหยาบคาย คาํ ไมส ุภาพ เขาจงึ ไมสนใจ เห็นวานอกเรือ่ ง มนั ก็ เลยไมก ระทบ กเ็ ลยสบายใจ แถมยังมองหา ประโยชนไดจากคํากลาวรายหรือคาํ หยาบคายน้นั ดว ย คนพวกน้จี ึงมแี ตไ ดตลอดเวลา อยา วา แตคนที่พดู ธรรมดาๆ หรอื แนะนํา โดยสภุ าพเลย แมแ ตถ าคนพวกนีไ้ ปเจอะคนท่รี นุ แรงกลา วราย พูดดว ยเจตนาไมดอี ยางไรๆ คนพวก นก้ี ไ็ มรูส ึกกระทบใจ มแี ตส บายตลอดเวลา เพราะ

๔๘ 55พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) มองแตว า เออนะ คราวนี้เราจะไดเรียนรูอะไรเพิ่ม ขึน้ จงึ ไดป ระโยชนท ุกครั้งทกุ กรณี ฉะนน้ั คนพวกน้ีจะเปนอยา งไร คนพวกนีก้ ็ จะมลี กั ษณะทีเ่ กดิ ปต ปิ ราโมทยอยูเรอ่ื ยไป ปต ิ คอื ความอม่ิ ใจ ปราโมทย คอื ความแชม ชนื่ ใจ ความราเรงิ เบิกบานใจ เขาจะอ่มิ ใจ แชมชน่ื ใจตลอดเวลา เพราะไมวาไปพบอะไรแกไดเรอ่ื ย แกบอกวา เออ คราวนเ้ี ราไดความรูนี้ ไดแ งคิดหรือ ขอ คดิ นี้ เอามาใชใ หเ ปนประโยชน เดย๋ี วเราจะเอา มาปรบั ปรงุ ตัวเอง แกก็เลยเจริญกาวหนาตลอด เวลา คนพวกน้ีเขาเรยี กวา ไมม ีทางทีจ่ ะไมเ จริญ แลวผลดขี อ ตอ ไปกต็ อ เนอื่ งมาอีก คอื พอมี ความรสู ึกวา ได กเ็ ลยมปี ติ มีปราโมทย มคี วามสขุ ใจสบาย กท็ าํ ใหมสี ุขภาพจิตดี คนพวกนีไ้ มถกู กระทบกระทง่ั เพราะไมมีตัวตนออกรับกระทบ ขอ นสี้ ําคญั มาก ทนี ้ี พอแกมองอะไรดว ยความสบายใจ มี

56 หลักแม่บทของการพัฒ๔น๙าตน ปต ิ แกก็ไมกระทบกระทัง่ ไมโกรธไมเคอื งใคร ฉะน้ันจึงเพลิดเพลินดวยความสัมพันธที่ดีกับคนอ่ืน ในสงั คม เพราะวาเม่ือสบาย ไมม ีเร่อื งกระทบ กระทงั่ กนั การโกรธเคืองมีนอ ย ปญ หาก็นอย ก็ เลยเปนประโยชนทางสงั คมไปดว ย นี้ แ ห ล ะ เ ป  น ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง สิ่ ง ท่ี เ รี ย ก ว  า สาํ เหนยี ก นสิ ยั อยางนี้เราเรียกวานิสยั ของผูใ ฝ ศกึ ษาหรือ “นิสยั นกั ศึกษา” ถา เราจะสรา งนกั ศึกษา กค็ วรสรา งใหเ ขามี นสิ ยั อยา งนี้ ตองใหค นทีเ่ รียนอะไรตางๆ มีนสิ ยั อยา งน้ี มนี ิสัยในการพฒั นาตนหรอื นสิ ัยในการ ศกึ ษา เปน คนใฝศ ึกษาตลอดเวลา ทง้ั มงุ เปา หมายทงั้ ใฝเ รยี นรูตอ งครบคจู งึ ไดก าร อยา งไรก็ตาม ขอแทรกนิดหนงึ่ คือ ลักษณะ ๒ อยางน้ีตอ งมีใหค รบ ถา มไี มครบอาจจะมีผล รา ยไดเ หมอื นกนั

๕๐ 57พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) โดยเฉพาะขอหน่ึงที่วามีใจมุงสูเปาหมาย ถา มขี อนัน้ ขอเดียวอาจจะมผี ลเสยี ได ผลเสยี อะไร คนทม่ี จี ติ ใจมงุ สเู ปา หมาย ใจตวั เองเห็น อยา งไรก็จะทาํ อันนนั้ ใหไ ด ด้อื รน้ั จะเอาอยา งนนั้ ใหส ําเร็จ ไมย อมฟง ใคร ตอ ไปประการที่สอง กจ็ ะเอาแตค วามสําเร็จ ของตวั เอง ไมค ํานึงถึงใครๆ ใครเปน อยา งไรกช็ าง ฉนั ไมเอาใจใสหรอก ฉันจะทาํ เร่ืองของฉนั ให สาํ เรจ็ บรรลเุ ปาหมาย เอาเรอ่ื งของฉนั คนเดยี ว ใครเปน อยางไร ฉันไมเ ก่ยี ว หรอื ยงิ่ รา ยกวาน้ัน อาจจะเกิดโทษในการ เบยี ดเบยี นดว ยซ้าํ คอื เม่ือตองการผลสาํ เรจ็ ของ ตวั เอง ก็จะทําใหส ําเรจ็ และเพื่อผลสาํ เรจ็ ของฉนั นน้ั ฉนั อาจจะทาํ ราย หรอื ทาํ สิง่ ทเี่ ปน โทษ เกดิ ความเสยี หายแกค นอ่ืน หรอื จะตอ งเบียดเบยี นใคร กท็ าํ ได ขอใหเปา หมายของฉนั สําเรจ็ กแ็ ลว กัน ฉะนน้ั การมุงสูเปาหมายอยา งเดยี วยังไม

58 หลักแม่บทของการพัฒ๕น๑าตน พอ ตองมีขอทส่ี องคมุ ไวดวย คอื การมองอะไรเปน การเรยี นรอู ยา งที่วาเมือ่ กี้นน้ั จะทําใหก ารดําเนินสู เปาหมายของเราเปนไปในลักษณะท่ีตรงขามกับ การเอาใจตวั เองหรือเอาแตตัวเอง ทงั้ นเี้ พราะวา การมองทกุ อยา งเปน การเรยี น รู ทาํ ใหก ารมงุ สเู ปา หมายเปน ไปพรอ มกบั การรบั ฟง ผอู นื่ การแสวงหาความรู และเนนที่การแกไขปรบั ปรงุ ตนเอง ทําใหมีคุณสมบัติสาํ คญั เกิดขน้ึ อีกสอง อยา ง คอื ความเปน ผใู ครธ รรม รกั ธรรม (ธรรมกามตา หรอื ธรรมฉนั ทะ) และความเปนคนทีพ่ ดู กนั งาย (โสวจสั สตา) พรอ มทงั้ นสิ ยั ตกั เตอื นและตรวจสอบ ตนเอง (พงึ อา งพทุ ธพจนว า อตตฺ นา โจทยตตฺ านํ ปฏมิ เํ สตมตตฺ นา) ถา อยา งนี้ กจ็ ะทาํ ใหกระบวนการ ฝก ฝนพัฒนาตนเกดิ ความสมบรู ณขนึ้ ฉะนนั้ กเ็ ปน อนั เสนอวา ในหลกั เรอื่ ง ไตรสกิ ขา นี้ ไมใชจะรูแ ตตวั ไตรสกิ ขาวา มีอะไรบา ง แตจะ ตอ งรดู ว ยวาวิธปี ฏบิ ตั ิท่ีเรียกวา สิกขา หรอื การ

๕๒ 59พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) สาํ เหนยี ก หรอื การศึกษานีเ้ ปน อยา งไร โดยเฉพาะ ทเี่ รยี กวา จติ สาํ นึก หรอื นสิ ัยศกึ ษา นสิ ยั ศกึ ษานต้ี อ งสรา งขึ้นมาใหไ ด เปน นิสัย ในการพฒั นาตน ถา เราไมม คี ณุ สมบตั ขิ อ นอี้ ยู ถงึ จะ รหู ลกั หวั ขอของการศึกษา เชน ศลี สมาธิ ปญ ญา บางทมี นั กส็ รา งไมข นึ้ เพราะไมร วู า จะสรา งอยา งไร ถา เรายังมีตวั ตนอยอู ยา งเต็มที่ ไมม สี องขอ นนั้ มาชว ย เรากเ็ อากเิ ลสปถุ ชุ นออกมาเสรมิ ตวั ตน กอ็ อกรบั เรอ่ื ย มีอะไรกเ็ อาตวั ตนออกรบั การ กระทบเรอื่ ยไป บางทีตัวตนนั้นมันพองขยายโต ใหญอ อกไป ก็ยิ่งมโี อกาสกระทบมากขึ้น กย็ ่งิ เจ็บ ปวดมคี วามทกุ ขม าก คนที่ไมพฒั นาตนก็จะมีตัว ตนขยายใหญ และยง่ิ มที กุ ขม าก ทจี่ รงิ การพัฒนาคอื การทําตนใหเบาบาง ไมใ ชว า ทาํ ใหต ัวใหญข้นึ หมายความวา ยดึ มนั่ พะวงกบั ตวั ตนนอยลง เพราะการพฒั นาตนหมาย ถึงการพฒั นาปญ ญาดว ย

60 หลักแม่บทของการพัฒ๕น๓าตน เมอ่ื มีปญญารเู ขาใจชีวิต รเู ขาใจตัวตนแลว ความยดึ มน่ั ถอื มนั่ กน็ อ ยลง คอื พฒั นาตนแลว ก็บนั่ ทอนความยึดมั่นในตัวตนลงไป ทําใหมีความทกุ ข นอยลง เหมือนนักฟนดาบที่รูเขาใจเพลงอาวธุ อยา ง แคลว คลองจดั เจน ม่ันใจในความสามารถของตน ก็ฟนดาบทํากิจของตนไปโดยไมมัวหวาดพะวงกับ ตวั ตน ตรงขา มกับคนไมรวู ิธีตอสู ซึง่ ไดแตค อย หวาดพะวงปกปองตัวตน ถา ไมไ ดพ ัฒนาตน กม็ ีความยดึ มน่ั ในตัวตน มาก ตวั ตนก็ออกรบั การกระทบเรื่อยไป ก็มีแต ทกุ ขม าก มากข้นึ พอกพูนขึ้นเสมอ ทนี ้ี พอได ลกั ษณะนสิ ยั จติ สํานกึ ในการพฒั นาตนขน้ึ แลว ก็ จะเขามาสูขั้นของการศกึ ษาอยา งท่ที ราบกันดแี ลว ทเี่ รียกวา ไตรสิกขา

๕๔ 61พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) องคประกอบ ๓ ดานของการศึกษา ไตรสกิ ขา มี ๓ ขอ เราเรยี กกนั เปน ภาษา งา ยๆ วา ศลี สมาธิ ปญ ญา แตความจริงในภาษา ของทางวชิ าการ ทางธรรมแทๆ ทานใชศ ัพทวา ๑. อธศิ ลี สิกขา ๒. อธิจติ ตสิกขา ๓. อธปิ ญ ญาสกิ ขา เรยี กเตม็ ตอ งเรียกอยา งน้ี แตบางทีเราเรยี ก งา ยๆ วา มี ศลี สกิ ขา จิตตสิกขา ปญ ญาสกิ ขา ซึง่ ไมถ ูกหลักวชิ า ถา จะเรยี กใหส้ัน ตองเรยี กวา ศลี สมาธิ ปญญา ซงึ่ เปน ศพั ทส ําหรับเรียกเปน หมวดธรรม หรอื เปน การแบงประเภทเปนจําพวก แตถาเรยี ก เปน ตวั การฝก ฝนเปนสกิ ขา ตอ งเรยี กวา อธศิ ีล สกิ ขา อธิจิตตสิกขา อธิปญ ญาสิกขา ๑. อธิศลี สิกขา การฝกฝนในศลี อันยิง่ หรือ ฝก ฝนใหมีศลี ยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป

62 หลักแม่บทของการพัฒ๕น๕าตน ๒. อธิจติ ตสกิ ขา การฝก ฝนในเร่อื งจติ ทย่ี ่งิ หรอื ฝกในเร่อื งจติ ใหย ่ิงๆ ข้นึ ไป ๓. อธปิ ญญาสกิ ขา การฝกฝนในปญ ญาอนั ยง่ิ หรอื การฝก ฝนใหม ปี ญ ญายงิ่ ๆ ขน้ึ ไป ในขน้ั นจ้ี ะอธิบายไวพ อเปน แนว ๑. อธศิ ลี สิกขา ทเ่ี รยี กสัน้ ๆ วา ศีล เปน เรอ่ื งชนั้ นอก ชน้ั กาย วาจา ความสมั พนั ธก ับผอู ่ืน และกบั สิง่ แวดลอ มทว่ั ไป การไมเบียดเบียน ซ่งึ เปนพ้ืนฐานเบ้ืองตนของการอยูรวมกันดวยดีกับผู อนื่ ในสงั คม และปฏบิ ตั ติ อวัตถุอปุ กรณท้ังหลาย ในทางท่ีไมเ กดิ โทษ ๒. อธิจิตตสิกขา เปน การฝกลกึ เขา ไป มา สขู น้ั จิตใจ คือการพฒั นาในเร่อื งจิตใจของตนเอง ถา จะแจกแจงดว ยภาษาสมยั ใหม อธิจติ ตสกิ ขา ก็ คือการฝกฝนพัฒนาตนเองใหมีคุณภาพจิตดี สมรรถภาพจิตดี และสขุ ภาพจิตดี ๑) คณุ ภาพจติ ดี หมายความวา จิตใจมคี ุณ

๕๖ 63พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ธรรม เชน มเี มตตา มีกรุณา มีมทุ ิตา มีศรัทธา มี ความเอื้อเฟอ เผอื่ แผ มีความเคารพ มคี วาม กตัญู เปน ตน ๒) สมรรถภาพจติ ดี เชน มีขนั ติ ความอด ทน สมาธิ ความมีใจตงั้ ม่นั อธิษฐาน ความเด็ด เดย่ี ว วริ ยิ ะ ความเพยี ร สติความระลึกเทาทัน เปน ตน เปน จิตท่เี ขมแข็ง มีความสามารถ มคี วาม พรอ มทจ่ี ะทํางานได พระพทุ ธเจา ตรสั วา จติ นขี้ อ สําคญั อยทู ว่ี า เมอ่ื ฝก ใหม ีสมาธิแลว กจ็ ะใชง านไดดี เปนบาท ฐานของปญ ญาตอ ไป ใชง านไดด ี เรยี กวา กมั มนยี งั แปลวา จิตทคี่ วรแกการงาน หรอื เหมาะแกงาน ๓) สขุ ภาพจติ ดี จิตทีม่ สี ุขภาพดี ก็สบาย มี ปต ิ มปี ราโมทย มคี วามเอบิ อ่มิ แชม ช่นื เบกิ บาน ผอ งใส สบายใจ และทาํ ใจใหส บายไดเ รอื่ ยๆ การฝก ตนในอธจิ ติ ตสิกขา กอ็ ยใู นเรือ่ ง ๓ อยา งน้ี คอื มคี ณุ ภาพ สมรรถภาพ และสขุ ภาพจติ ทดี่ ี

64 หลักแม่บทของการพัฒ๕น๗าตน ๓. อธปิ ญ ญาสกิ ขา ฝก อบรมในเรอื่ งปญ ญา ปญญาก็คือความรูเขาใจส่ิงทั้งหลายตามความ เปน จรงิ หรอื รูเทา ทนั สภาวะของโลกและชีวติ ทํา ใหม จี ติ ใจเปนอสิ ระ ไมตกอยูใ นอํานาจครอบงาํ ของกเิ ลส หรอื อยดู ีไดโ ดยไมตอ งพึง่ พากิเลส พน ทกุ ขพ น ปญหา ปญญาเปนตัวคุมทาย ครบ กระบวนการฝก นเี้ ปน การกลาวโดยยอ ที่เราปฏบิ ัติกนั ใน ทางพระพทุ ธศาสนากอ็ ยใู นหลักเรื่อง ศลี สมาธิ ปญ ญา หรือ อธิศลี สกิ ขา อธิจติ ตสกิ ขา อธปิ ญญา สกิ ขา ๓ ขอ นเี้ ทา นั้นเอง การศึกษา ๓ ดา น สาํ หรบั ประชาชน มเี กรด็ ทค่ี วรทราบเพมิ่ อีกวา ตามปกติพระ พทุ ธเจา มกั จะทรงสอนเรอื่ งสิกขา ๓ หรือ อธิศีล อธจิ ติ อธปิ ญญา แกพ ระสงฆ ไมพบทีท่ รงสอนแก คฤหสั ถ ทําไมจึงเปนเชน นนั้ ความจริงนน้ั สอน

๕๘ 65พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) เหมอื นกนั แตท า นมถี อยคาํ ใหมมาใชเ พ่อื ให เหมาะกบั คฤหสั ถ จะเหน็ วา มีสิกขาสาํ หรับคฤหัสถ ๓ อยา ง เหมอื นกัน แตใ ชศพั ทใหมเ รียกวา ทาน ศลี และ ภาวนา ไดย นิ กันมาแตโบราณวา ทาน ศลี และ ภาวนา รวมเปนชุดเรียกวา บญุ กริ ยิ าวัตถุ ๓ หรือ บญุ กริ ยิ า ๓ อยาง แปลวา การทําบญุ โดยมากใช กบั ญาตโิ ยมคฤหัสถ ความจรงิ ก็คือ ไตรสกิ ขาน้นั เอง แตม ีขอแตกตา งอยทู ีก่ ารเนน ย้ําขยายใหห นกั แนน คนละดา น ของพระใหสงั เกตดู จะเห็นวา ทานเนน ดาน ในมาก คอื ตัวเองภายในนเี้ นน หนัก สว นของ คฤหสั ถเ นน ดานนอก ของพระมอี ธิศลี เปนดา น ภายนอกอยขู อ เดยี ว พอถงึ ขอ ที่ ๒-๓ เนนเร่ืองภาย ใน คอื จติ กบั ปญ ญา แตข องคฤหสั ถจ ะเหน็ วา ๑. ทาน เปน เรื่องภายนอก การอยกู ับผอู ืน่ ชว ยเหลือสงเคราะหก นั

66 หลักแม่บทของการพัฒ๕น๙าตน ๒. ศีล คอื การไมเ บียดเบยี นผอู น่ื ความ เกยี่ วขอ งอยูรว มกบั ผอู ื่นดว ยดี กเ็ ปน ดา นนอกเหมือนกัน คฤหสั ถท า นเนน ดา นนอก เพราะคฤหัสถมี ชวี ติ เกยี่ วขอ งกับภายนอก อยูในสังคมวงกวางท่ัว ไปของชาวโลกและยังเก่ียวของกับวัตถุมาก ฉะน้ัน จงึ ขยายความขน้ั ตนกระจายออกไปมาก เปน ทาน กบั ศลี แตสําหรบั พระเนน เรื่องนามธรรมดา นใน เนน เรื่องจิตใจ คฤหัสถมีดานในขอ เดยี ว คอื ๓. ภาวนา สาํ หรบั คฤหัสถ ภาวนาในท่ีนี้ ก็ คอื รวมขอ ๒ กับ ๓ ของพระ ไดแ ก จิตตภาวนา และปญ ญาภาวนา ท้งั ฝก อบรมจติ และพัฒนา ปญ ญาเขามาอยูในขอ ๓ เปน ภาวนาตัวเดยี ว ทั้ง สมถภาวนา และ วปิ ส สนาภาวนา กอ็ ยใู นภาวนาขอ เดียวหมด จงึ เหน็ ชดั วา สําหรับคฤหัสถน น้ั ทานเนน ดา นนอกมาก กระจายขอตน ออกไป เพราะวาทาน

๖๐ 67พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) กับศีลนั้นในทางหลักวิชาบางแหงถือวาเปนศัพท แทนกนั ไดด ว ย ทานก็เปน ศีลอยา งหนง่ึ เปนสวน หนงึ่ ของศีล การแบงเปน ทานกบั ศีล ก็เปน การ ขยายเรื่องศีลนน้ั ใหชดั เจนออกไปอีก เปน รปู ธรรม เนน วตั ถมุ ากข้นึ เนนภายนอกมากข้ึน แมแตดานในสําหรับคฤหัสถคือขอภาวนา ทา นกเ็ นน การเจรญิ เมตตา ซงึ่ กจ็ ะเหน็ วา เปน เรื่อง ของความสัมพันธก ับผอู ่ืน การทจ่ี ะอยูรว มกันดวย ดี ตนเองกม็ จี ิตใจสุขสบายและก็อยกู ับผอู ่ืนไดด ี ชว ยเหลือเกอื้ กลู กนั ดว ย เปน อนั วา แมแ ตเ รือ่ งภาวนา ซ่งึ เปน ดานจติ และปญ ญา สําหรับคฤหสั ถทานก็ไปเนน ขอเมตตา ทเี่ กย่ี วขอ งกับขางนอกมาก บญุ กิริยาวตั ถุ ๓ ทเ่ี รยี กวา ทาน ศลี ภาวนา น้ี บางแหงทา นใชอ ีกชื่อหน่ึงวา ทาน สญั ญมะ และ ทมะ เปน ไวพจนกนั ทานกท็ าน ศลี ตรงกบั สัญญมะ ทว่ี า เม่อื กี้

68 หลักแม่บทของการพัฒ๖น๑าตน คือการควบคุมตนเองในการแสดงออกเพื่อไมให เบยี ดเบยี นผูอน่ื ไมกอ ความเดอื ดรอ นเสยี หายตอ สังคม และทมะ กต็ รงกบั คําวา ภาวนาอยแู ลว ตัวแทจริงตัวหลักใหญก็อยูท่ีทมะนั้นเอง สองขอแรกเปนการขยายหลักเบื้องตนใหชัดเจน ซอยละเอียดออกไป นอกจากเรยี กบญุ กริ ยิ าวตั ถแุ ลว ในคมั ภรี อ ติ -ิ วตุ ตกะแหง หนงึ่ ทา นบรรยายเปน ภาษาบาลวี า ปุ ญฺ ํ สกิ ขฺ ติ∗ เรยี กเปนศัพท กค็ ือบญุ ญสิกขา นนั่ เอง ก็ สกิ ขานนั้ แหละแตเ ปนสิกขาทมี่ งุ คฤหสั ถ คอื เนน การฝก ในการสรา งเสรมิ คณุ สมบตั ทิ ดี่ ี ทเี่ รยี กวา “บญุ ” ใหเจริญงอกงามข้ึนในชวี ิต หรอื ใหชวี ิต เจริญขึ้นในบุญเรียกวา บญุ ญสิกขา มี ๓ ประการ คอื ทาน ศลี ภาวนา หรอื ทาน สัญญมะ ทมะ นเี้ ปน ความรูดา นหลกั วิชา อาจไมค อยพบกนั ∗ ขุ.อิติ. ๒๕/๒๐๐/๒๔๑

๖๒ 69พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) โดยเฉพาะ สญั ญมะ ทมะ แทบจะไมเคยพดู ถงึ กนั เลย แตค วามจรงิ ชดุ น้กี ็วา ตามหลักวชิ าเหมอื นกัน เปน ไวพจนของทาน ศีล ภาวนา พดู ถงึ เรอ่ื งสกิ ขามากพ็ อสมควร คงจะผา นได แตก อนจะไปถงึ ภาวนาขอแทรกอีกนิดหน่งึ เรอ่ื งแทรก:เครอ่ื งชว ยและเครอ่ื งวดั การพฒั นา สาํ หรบั คาํ วา พัฒนา นน้ั ในภาษาบาลมี ี ศพั ทค ลา ยกนั อยูคาํ หน่งึ เรียกวา วุฒิ หรอื วฒั ิ วฒุ ิ แปลวาความเจริญ มีรากศพั ท (ธาตุ) เดยี วกับพฒั นา วฒุ หิ รอื วฒั ินเ้ี ปนหลกั ธรรมสําหรบั เอามาใชป ระกอบในการสรา งความเจรญิ หรอื พฒั นา ยกตวั อยา ง วฒุ ิธรรม ทเ่ี ปนหลกั ธรรมเบื้อง ตน ทานสอนไวม ี ๔ ประการ เรียกเตม็ วา ปญญา วฒุ ิธรรม แปลวาธรรมเปน ไปเพอ่ื ความเจริญแหง ปญ ญา สาํ หรบั ชว ยในการพฒั นาตนดา นปญ ญา คอื

70 หลักแม่บทของการพัฒ๖น๓าตน ๑. สัปปรุ สิ ปู ส สยะ แปลวา คบหาสัตบุรุษ คบคนดีมปี ญญา มีคุณธรรม มคี วามรูความเขา ใจ ในธรรม ซึง่ เปน หลกั ความจรงิ ความดงี าม ๒. สทั ธมั มัสสวนะ ฟง ธรรม ฟงคําส่งั สอน ทแ่ี สดงความจรงิ ความดงี ามน้ัน ๓. โยนโิ สมนสกิ าร ทาํ ในใจโดยแยบคาย รจู กั พจิ ารณาส่ิงทไี่ ดเลาไดเรยี น สามารถจับ สาํ เหนยี กเอามาดวยดี โยนโิ สมนสิการเปนตัวแกน ของการสรางปญญา ที่เรยี กวาสาํ เหนียกน่นั แหละ คอื รจู กั จับ รูจ ักเลอื กเอามาใชประโยชน ๔. ธมั มานุธมั มปฏบิ ตั ิ ปฏิบัติธรรมใหถูก หลกั ทท่ี านเรยี กวา ปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธรรม หมายความวา ปฏบิ ตั ธิ รรมสอดคลอ งกนั ตาม ระบบความสัมพนั ธท่วี า ธรรมขอ น้เี ปนไปเพอื่ จุด มงุ หมายอะไร และไปสมั พันธก บั ธรรมขอไหน ปฏบิ ตั ิดวยความตระหนักชัด และปฏบิ ัติใหถ ูก ตอ งตามแนวตามความมงุ หมายนนั้

๖๔ 71พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ธรรมชุดนเ้ี ปนหลกั ประกอบทีส่ ําคญั เปน หลกั ชว ยในการพฒั นานั่นเอง นอกจากนั้น ยงั มหี ลักทีเ่ รยี กวา วฒั ิธรรม สาํ หรับวัดความเจรญิ ของอรยิ สาวก โดยเฉพาะ อบุ าสกอบุ าสิกา วา มีความเจรญิ ในการพฒั นาตน แคไหน วัดดวย วฒั ธิ รรม ๕ ขอ คอื ๑. ศรทั ธา มคี วามเชือ่ ถกู หลกั เช่อื มเี หตมุ ี ผลหรอื ไมเพยี งไร ๒. ศีล มคี วามประพฤตดิ ีงาม ถูกตอ งตาม หลกั พระศาสนาแคไหน ๓. สตุ ะ มคี วามรหู ลกั ธรรมคาํ สอนทจี่ ะไป ชว ยตนเองและแนะนําผอู ืน่ ไดพอสมควรไหม ๔. จาคะ มคี วามเสยี สละ มนี ้ําใจชวย เหลอื เผอื่ แผผ อู นื่ เปน อยา งไร ๕. ปญ ญา รเู ขา ใจความจริงตา งๆ รเู ทา ทนั สภาวะของโลกและชีวิต พอทาํ จติ ใจใหหลดุ พน เปน อิสระโปรงโลงไดแคไหน

72 หลักแม่บทของการพัฒ๖น๕าตน พทุ ธพจนเตือนใหม ุง หนา พัฒนาตน การพฒั นาตนน้ี เปนหลกั การแหงการเจรญิ งอกงามกา วหนา ย่ิงๆ ขึน้ เรือ่ ยไป ผทู ่ดี าํ เนนิ ตาม หลกั การพฒั นาตน จะคิดเพียงวา เราจะรกั ษา ความดงี ามท่ีไดบ าํ เพญ็ มาแลว หรือพอใจวาเราได ทาํ ดมี ามากแลว พัฒนาตนมาดีแลว ไมไ ด คนท่ี พอใจอยางน้นั หรอื ทรงๆ อยแู คน้ัน คือ หยุดอยู หรอื คงอยเู ทา เดิม ทานเรยี กวา เปนคนประมาท ผดิ หลกั คาํ สอนของพระพุทธเจา ขอใหพจิ ารณา พทุ ธพจนตอไปนี้ เปน เครื่องเตือนใจ \"ภกิ ษทุ งั้ หลาย จะกลา วไปใยถงึ ความเสอื่ ม ถอยในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย เราไมส รรเสรญิ แมแ ต ความคงอยกู บั ทใ่ี นกศุ ลธรรมทง้ั หลาย เราสรรเสรญิ แตค วามกา วหนา ในกศุ ลธรรมทง้ั หลาย ไมส รรเสรญิ ความคงอยกู บั ท่ี ไมส รรเสรญิ ความเสอื่ มถอย \"อยา งไรเปน ความเสอ่ื มถอยในกศุ ลธรรมทง้ั หลาย...? ภกิ ษมุ คี ณุ ธรรมเทา ใด โดยศรทั ธา ศลี

๖๖ 73พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) สตุ ะ จาคะ ปญ ญา ปฏภิ าณ ธรรมเหลา นนั้ ของเธอ ไมค งอยู ไมเ จรญิ ขนึ้ นเี้ ราเรยี กวา ความเสอื่ มถอย ในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย...; “อยา งไรเปน ความคงอยกู บั ทใี่ นกศุ ลธรรมทง้ั หลาย...? ภกิ ษมุ คี ณุ ธรรมเทา ใด โดยศรทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ ปญ ญา ปฏภิ าณ ธรรมเหลา นน้ั ของเธอ ไมล ด ไมเ พมิ่ ...; “อยา งไรเปน ความกา วหนา ในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย...? ภกิ ษมุ คี ณุ ธรรมเทา ใด โดยศรทั ธา ศลี สตุ ะ จาคะ ปญ ญา ปฏภิ าณ ธรรมเหลา นนั้ ของเธอ ไมห ยดุ อยู ไมล ดลง...\"∗ \"นนั ทยิ ะ! อยา งไร อรยิ สาวกชอื่ วา เปน อยู ดว ยความประมาท? คอื อรยิ สาวกในธรรมวนิ ยั นี้ เปน ผปู ระกอบดว ยความเลอ่ื มใสอยา งไมห วนั่ ไหวใน พระพทุ ธเจา ...เธอสนั โดษ (พอใจ) ดว ยความเลอื่ มใส อยา งไมห วนั่ ไหวในพระพทุ ธเจา นนั้ ...เปน ผปู ระกอบ ∗ องฺ.ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑

74 หลักแม่บทของการพัฒ๖น๗าตน ดว ยความเลอ่ื มใสอยา งไมห วน่ั ไหวในธรรม...เธอ สนั โดษ (พอใจ) ดว ยความเลอ่ื มใสอยา งไมห วนั่ ไหวใน ธรรมนน้ั ...เปน ผปู ระกอบดว ยความเลอ่ื มใสอยา งไม หวน่ั ไหวในสงฆ เธอสนั โดษ (พอใจ) ดว ยความเลอื่ มใส อยา งไมห วน่ั ไหวในสงฆน น้ั ...เปน ผปู ระกอบดว ยศลี ทงั้ หลายอนั เปน ทพ่ี อใจของพระอรยิ เจา เธอ สนั โดษ (พอใจ) ดว ยศลี นน้ั ไมเ พยี รพยายามยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป เพอ่ื สงดั ในทวิ า เรน ในราตรี เมอ่ื เธอเปน อยู ประมาทอยา งน.้ี..ธรรมทง้ั หลายยอ มไมป รากฏ\"∗ \"ภกิ ษยุ งั ไมถ งึ ความสน้ิ อาสวะ อยา ไดน อนใจ เสยี เพยี งดว ยศลี และวตั ร หรอื ดว ยความเปน พหสู ตู ดว ยการไดส มาธิ หรอื ดว ยการอยไู ดใ นที่ สงดั หรอื ดว ยการตระหนกั วา เราไดส มั ผสั เนกขมั ม สขุ ทปี่ ถุ ชุ นไมเ คยไดล มิ้ \"∗∗ ∗ สํ.ม. ๑๙/๑๖๐๑/๕๐๐ ∗∗ ขุ.ธ. ๒๕/๒๙/๕๑

—๔— หลกั การพัฒนา การพัฒนาตนที่รอบดาน หลกั ท่ี ๓ คือ ภาวนา ซงึ่ เปน ตัวจรงิ ของคาํ วา พฒั นา ดงั ทที่ า นอธิบายภาวนาวา พฒั นา และ ปจ จบุ ันน้ีเรานยิ มใชกนั วาพฒั นา กก็ ลับไปตรงกบั ของทา นเขา นับวาดมี าก ไดบ อกแลว วา ภาวนาเปน รปู คาํ นาม รปู คณุ - นามเปน กรยิ าชอง ๓ ทานใชวา ภาวติ แปลวา ผทู ่ี เจรญิ แลว +อัตตะ หรือ อัตตา ทแ่ี ปลวา ตน ก็เปน ภาวติ ตั ตะ แปลวา ผมู ตี นอนั เจรญิ แลว คอื มตี นอนั พฒั นาแลว ซงึ่ ตามปกติทานหมายถึงพระอรหนั ต บางแหง จะเนนหมายถงึ พระพทุ ธเจาโดยเฉพาะ ในพระไตรปฎกบางแหงมคี นมาทูลถามพระ พทุ ธเจา เขาเรียกพระองควา ทา นผเู ปน ภาวิตัตตะ

76 หลักแม่บทของการพัฒ๖น๙าตน พระสารีบตุ รอธิบายภาวิตัตตะไวว า กถํ ภควา ภาวิตตฺโต ทว่ี า พระพทุ ธเจาเปนภาวิตตั ตะ ผูมีตน พฒั นาแลว นนั้ เปน อยา งไร แลว ทา นกข็ ยายความวา ภาวติ กาโย ภาวติ สีโล ภาวติ จิตฺโต ภาวติ ปโฺ ญ∗ น่ี หลกั ใหญม าแลว ท่วี ามีตนอันพฒั นาแลวก็คือ ๑. มกี ายอันพฒั นาแลว เรียกวา ภาวิตกาโย ๒. มศี ลี อนั พฒั นาแลว เรยี กวา ภาวติ สโี ล ๓. มจี ติ อันพัฒนาแลว เรยี กวา ภาวิตจติ โฺ ต ๔.มปี ญ ญาอนั พฒั นาแลว เรยี กวา ภาวติ ปโฺ ญ ตอ จากน้ีทานขยายความออกไปอกี เปน ภาวติ สตปิ ฏฐาโน ภาวติ สมมฺ ปปฺ ธาโน ภาวติ อทิ ธฺ ปิ า โท ภาวติ อนิ ทฺ รโิ ย ภาวติ พโล ภาวติ โพชฌฺ งโฺ ค ภา วติ มคโฺ ค แปลวา ไดพ ฒั นาสติปฏฐาน พัฒนาสมั มปั ปธาน พฒั นาอิทธิบาท พัฒนาอนิ ทรยี  พัฒนา พละ พัฒนาโพชฌงค พัฒนามรรค แลว ∗ ข.ุ จู. ๓๐/๑๔๘/๗๑

๗๐ 77พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ทา นบรรยายไวย าว ซงึ่ กร็ วมอยใู น ๔ ขอ คอื ภาวติ กาโย ภาวติ สโี ล ภาวิตจิตฺโต ภาวิตปโฺ ญ นี้ คอื คณุ สมบตั ขิ องทา นผพู ฒั นาตนแลว เอามาใชว ดั ได ถา มกี ารพฒั นาตน เราก็เอาหลกั นมี้ าใชวัด ดวู า พฒั นาครบไหม ๔ ดานนี้ คอื ๑. กาย ๒. ศลี ๓. จติ ๔. ปญญา ภาวติ กาย ภาวติ ศลี ภาวติ จติ ภาวติ ปญ ญา เปน รปู คณุ นาม เปน คุณสมบตั ิของบคุ คล ถาจะต้ังเปน ศพั ทน ามใหเปนหัวขอธรรม กเ็ ปลีย่ นไปอกี รูปหนึ่ง เปน ภาวนา ก็จะไดศ ัพทด ังตอ ไปน้ี ๑. กายภาวนา การพฒั นากาย ๒. ศีลภาวนา การพฒั นาศลี ๓. จติ ตภาวนา การพัฒนาจิต ๔. ปญ ญาภาวนา การพัฒนาปญ ญา ทนี ้ี จะตอ งอธบิ ายความหมายอกี หนอ ยหนง่ึ วา ทว่ี า พฒั นากาย ศลี จิต ปญญา นั้นเปนอยางไร

78 หลักแม่บทของการพัฒ๗น๑าตน พฒั นาความสมั พนั ธก บั สง่ิ แวดลอ มทางวตั ถุ ๑. กายภาวนา พฒั นากาย อาจจะสงสัยวา คงจะตอ งรับประทานกนั ใหญ รา งกายจะไดเ ตบิ โต หรอื อาจจะบริหารรางกาย ออกกําลงั อะไรตางๆ พฒั นากายใหแข็งแรง อันน้กี ไ็ มผดิ หรอก แตวามนั ตอ งมหี ลกั ทใี่ หญกวา นน้ั ไมอยางนน้ั การพัฒนา กายอยา งนีอ้ าจจะเสยี กไ็ ด คือจะรบั ประทานมาก เพยี งเพอ่ื ใหรา งกายใหญโต แลวอาจจะนาํ รา งกาย ไปใชในทางท่ีไมด ี การพฒั นากําลงั ใหแ ขง็ แรงอยางเดยี วไมพอ ตามหลกั การนีท้ านยังไมถือวาเขา สูธรรม การ พฒั นากายในทางธรรมมีความหมายลึกซ้งึ กวานัน้ ทา นไขความวา พัฒนากายอยา งไร กายนั้น มงุ เอาทท่ี วาร ๕ ที่เรียกอกี อยางหนึง่ วา อินทรีย ๕ คอื ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซง่ึ เปนดา นเปนชอ งทางท่ี จะตดิ ตอ กบั โลกภายนอก ถา เรยี กตามภาษา ปจ จบุ นั กว็ า ความสัมพนั ธกบั สิง่ แวดลอมทางกาย

๗๒ 79พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ภาพ หรือเรอื่ งวตั ถสุ ภาพแวดลอ มทว่ั ๆ ไปทางกาย ภาพ ซง่ึ เราสมั พันธด ว ยตา หู จมกู ลิ้น กาย การพฒั นากาย กค็ อื พัฒนาความสมั พนั ธ ทางทวารเหลานน้ั ใหด ี ไมใ หเกิดเปนโทษ ดงั จะ เหน็ ในหลักอินทรียสงั วร การพัฒนาความสัมพันธกับส่ิงแวดลอม ภายนอกดว ยดี เชน ตาของเราเห็นส่งิ แวดลอ ม ภายนอก จะดอู ยางไรใหไดประโยชน ไมเ กิดโทษ ทาํ อยา งไรจะใหเ ด็กของเราดโู ทรทศั นเปน ใหเ ขารู จกั เลอื กรับเอาสิง่ ท่ีดีมาใชประโยชน ไมเ อาส่ิงท่ี เปน โทษมา รจู ักสัมพนั ธทางตา รจู กั สัมพนั ธทางหู เมอื่ ไดย นิ ก็เลือกรับสิ่งทด่ี ี เชนหาฟง ความรทู ีเ่ ปน ประโยชน ไมเ อาสิง่ ทีร่ า ย ตลอดจนพัฒนาการใช จมกู พฒั นาการใชลิน้ ฯลฯ ลนิ้ กส็ าํ คญั มาเขา หลกั โภชเนมตั ตญั ตุ า คอื รจู กั ประมาณในการบรโิ ภค เชน พระกม็ หี ลกั ปฏสิ งั ขา- โย เรียกวาปจจเวกขณะ หรอื ปจจัยปจ จเวกขณ

80 หลักแม่บทของการพัฒ๗น๓าตน หมายถงึ การพจิ ารณาปจ จยั คอื เมอื่ จะบรโิ ภคปจ จยั ๔ กใ็ หพิจารณาโดยแยบคาย โดยมโี ยนโิ สมนสกิ าร วาที่เรารบั ประทานอาหารนไี้ มใชเ พือ่ มุงเอรด็ อรอ ย มใิ ชม งุ จะเอาโกหรหู ราสนกุ สนานมวั เมา แตรับ ประทานเพอื่ ใหช วี ติ เปน ไป เพอ่ื ดาํ รงอยผู าสกุ มสี ขุ ภาพดี แขง็ แรง แลว จะไดท าํ กจิ หนา ทข่ี องตนดว ยดี เมอื่ รบั ประทานอาหาร แทนทจ่ี ะรบั ประทาน โดยมงุ ความอรอยหรือความโก กไ็ ปเนนทค่ี ณุ คา ประโยชนท่จี ะได มองดูวา รบั ประทานอะไรจึงจะมี คณุ คา ชวยชีวิตใหม ีสุขภาพดี และเก้ือกูลแกก าร เปน อยทู ่ีดี ถา เปนพระกจ็ ะไดต้ังใจบําเพ็ญสมณ ธรรม โรคภยั ก็จะไดเบยี ดเบยี นนอย นเ้ี ปนการ พฒั นาในดา นความสัมพนั ธร ะหวา งลิน้ กบั รส นอกจากนี้ กส็ ัมพันธใ หดที างดานกายกับ สง่ิ สมั ผัส (โผฏฐพั พะ) ภายนอก น้ีคือการพัฒนากายในความหมายของ ธรรมะ พดู งายๆ วา พัฒนาความสมั พนั ธข องตัว

๗๔ 81พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) เรากบั สงิ่ แวดลอมภายนอกหรือวัตถทุ ้งั หลายใหด ี ขอ นี้ ตอ งถือวาสําคญั เพราะเปน หลักเบ้ือง ตน หลักสังวรอะไรตา งๆ ก็เขามาในขอนห้ี มด ฉะนน้ั ในปจ จบุ ันการศึกษานาจะเนนขอ นด้ี วย ผมู ี การศกึ ษาจะตอ งมีการพัฒนากาย ซ่ึงไมใ ชเ พียง วา รา งกายแข็งแรงเทา นั้น ตองถามดว ยวาเขามี ความสมั พันธกบั ส่งิ แวดลอมดไี หม หากวา มีแต กายแข็งแรง แตสัมพันธก บั ส่ิงแวดลอมไมดี เอา กายที่แข็งแรงไปทะเลาะวิวาทแสวงหาส่ิงปรน เปรอ จะยงิ่ เปนโทษมาก จะถือวา มกี ารศกึ ษาไมได พฒั นาทางสงั คมตอ ดว ยพฒั นาจติ ใจและปญ ญา ๒. ศีลภาวนา คอื การพฒั นาศลี ไดแ กก าร พฒั นาในเรอ่ื งความสัมพันธทางดา นกาย วาจา กบั บคุ คลอ่นื หรอื เพ่ือนมนษุ ยด วยกนั ขอ กอ น สัมพันธกับส่ิงแวดลอมทางวัตถุหรือทางกายภาพ แตข อ นี้เปน สง่ิ แวดลอมทางสงั คม คือเพอื่ นมนษุ ย

82 หลักแม่บทของการพัฒ๗น๕าตน ดว ยกนั มคี วามสมั พนั ธท ีด่ ีงามอยางที่วามาแลว ที่ วา ศีลคือการไมเ บยี ดเบียน แมแ ตศลี ขอ มุสาวาททีส่ งสัยกนั วา พูดอยา ง นน้ั อยา งนีจ้ ะเปนพดู เท็จหรอื ไมเ ทจ็ อะไรตางๆ ถา รู สาระของศลี วา ศีลมุง ทีค่ วามไมเบียดเบยี นกจ็ ะ สบายใจข้นึ แพทยร สู ึกวา จะมปี ญหามาก หลายทาน สงสยั วา จะพูดกับคนไขอยา งนโี้ กหกผดิ ศลี ขอ มสุ าวาทไหม ที่จรงิ หลักก็มีอยูในเรอื่ งศลี น้ี ในท่ี บางแหง ทา นบรรยายไวเ ลยวา เวนมุสาวาทคือเวน จากการพดู เทจ็ เพ่อื เห็นแกป ระโยชนต น ไมกลา ว วาจาเทจ็ เพือ่ ทาํ ลายประโยชนข องผูอื่น การกลา วเทจ็ ทเ่ี ปน มสุ าวาทน้นั สาระ สําคัญอยูที่มุงจะทําลายประโยชนของผูอ่ืนทําให เขาเสยี หาย ทา นใชศ พั ทโ บราณวา หักราน ประโยชนของเขา ถาเปนการพูดเพื่อใหคลาดจากความเปน

๗๖ 83พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) จรงิ โดยมงุ หักรานประโยชนของเขา เปน มสุ าวาท แท แตถ า พดู เทจ็ อยา งอนื่ นอกจากนั้นก็มีโทษเบา บางแลว เพราะมนั ไมเ ขา ตัวประเดน็ แทๆ ท่ีพูดมานี้ก็นอกเรื่องแซงออกไปนิดหนึ่ง เปนอันวาเรื่องศีลประเด็นอยูท่ีวาไมเบียดเบียน เปน สาระสาํ คญั เมอื่ ไมเ บียดเบยี นแลว ตอ ไปกอ็ ยู รว มกนั ดวยดี ชว ยเหลือเกือ้ กูลกนั ถา เปน คฤหสั ถ กม็ เี รอื่ งทานเขามาดวย ดานนี้เปนความสัมพันธทางสังคมที่ดีซึ่งจะ ตอ งพฒั นาขึน้ มา ๓. จิตตภาวนา คอื พฒั นาจติ ใจ ดานจิตใจ นไี้ ดก ลา วแลวในอธจิ ติ ตสกิ ขา คอื พัฒนาคณุ ภาพ จติ พฒั นาสมรรถภาพจติ พัฒนาสขุ ภาพจติ น้เี ปน การใชศ ัพทแบบสมัยปจ จบุ ันใหเขาใจกันงาย ก็ ผา นไปไดเลย ๔. ปญ ญาภาวนา การพฒั นาปญญา ก็ เหมอื นกบั อธปิ ญญาสิกขาทพ่ี ดู มาแลวนัน้ เอง คือ

84 หลักแม่บทของการพัฒ๗น๗าตน การรเู ขา ใจสง่ิ ทง้ั หลายตามความเปนจริง รเู ทา ทนั สภาวะของโลกและชวี ติ ทาํ จติ ใจใหเ ปน อสิ ระไดจ น ถงึ ขนั้ สงู สดุ อยางทีม่ คี าถาสรรเสรญิ พระพทุ ธเจา เมอื่ พฒั นาปญ ญาสงู สุด การพฒั นาขอตน ๆ กไ็ ดรบั การพัฒนาไปพรอมบริบรู ณด ว ย มคี ํา สรรเสริญพระพุทธเจา แหงหน่ึงวา ยถาป อุทเก ชาตํ ปณุ ฑฺ รีกํ ปวฑฒฺ ติ น อปุ ลปิ ฺปติ โตเยน สจุ ิคนฺธํ มโนรมํ ตเถว โลเก สุชาโต พทุ โฺ ธ โลเก วิหรติ น อุปลิปฺปติ โลเกน โตเยน ปทมุ ํ ยถา แปลความวา เปรยี บเหมือนวา ดอกบวั เกิด ในนาํ้ เจริญงอกงามขึ้นมาในนา้ํ ไมตดิ ดว ยนา้ํ ซาํ้ ยงั มกี ลนิ่ หอมนา ชืน่ ใจ ฉนั ใด พระพทุ ธเจาทรง บงั เกดิ ดีแลวในโลก ทรงอยใู นโลก แตไ มต ิดโลก เหมือนใบบวั ไมติดนา้ํ ฉันนนั้ นี้คือลักษณะของคนที่พัฒนาตนไปจนถึงมี ปญ ญาสงู สดุ ตรัสรแู ลว หมดส้ินกิเลส เกดิ ในโลก

๗๘ 85พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) อยใู นโลก แตไ มต ิดโลก เหมือนดอกบวั เกิดในนํา้ แตไ มตดิ นํ้า มีกลนิ่ หอมนา ช่ืนใจ ท่ีทานกลาวมานี้ก็เปนคาถาสําหรับนํามาดู คณุ สมบตั ขิ องผพู ฒั นาตน เปน คตอิ นั หนงึ่ ซง่ึ ใหแ นว ความคดิ วา ในการพฒั นาตนน้นั เราก็อยใู นโลกน้ี แหละ แตเ ราไมต ดิ โลก ไมแ ปดเปอ นดว ยโลก เหมอื น ดอกบวั แมจะอยูในน้าํ หรือบางแหง จะอยูในโคลน ตม แตก ไ็ มต ดิ ไมเ ปอ น กลับมีกลนิ่ หอมนา ชื่นใจ เอาไปบชู าพระกไ็ ด อะไรทาํ นองน้ี นเ้ี ปน การพฒั นา ตนทส่ี มบรู ณแ ลว พระพทุ ธเจา กม็ คี ณุ สมบตั อิ ยา งนี้ จุดสมบรู ณของการพัฒนาตน เรอ่ื งการพฒั นาตนนี้ ไดพูดมาในแงม มุ ตา งๆ ซง่ึ วา ไปตามหลักวชิ าหรอื เน้อื หาในคัมภรี  ขอสรุปเปนจดุ เนน วา พระพทุ ธศาสนายกยอง ผทู พ่ี ฒั นาตนวา เปน บุคคลสูงสดุ อยา งทีไ่ ดยกพทุ ธ ภาษิตมาแสดงวา ทนโฺ ต เสฏโฐ มนสุ ฺเสสุ ในหมู

86 หลักแม่บทของการพัฒ๗น๙าตน มนษุ ย คนทฝ่ี กตนแลว เปนผูป ระเสรฐิ สุด เมอื่ ยกยอ งผทู ่ีพฒั นาตนแลว ก็มีจุดเนนขอ ตอ ไป คอื พระพทุ ธศาสนานถี้ อื วา มนษุ ยเ ปน ผทู ฝ่ี ก ได หรอื นบั ถอื ศักยภาพในตวั มนุษยท่ีพฒั นาขนึ้ ได เมื่อพัฒนาไดก็เนนความสําคัญของการฝกฝน พฒั นาตนใหค วามสาํ คญั มากแกก ารฝก ฝนพฒั นาตน ฉะนนั้ จงึ บอกวา ความดหี รอื ความประเสรฐิ ของมนษุ ยน ้ี อยูท่กี ารฝก ฝนพฒั นาตนน้นั เอง เพราะมนษุ ยน ัน้ ถาไมฝกฝนพฒั นาแลว ก็ไมมีคุณ คา อะไร ถา พฒั นาใหดีแลว กป็ ระเสริฐเลิศลา้ํ จน กระทง่ั แมแตเ ทพพรหมก็เคารพบูชา อาจเปนถึง พระสมั มาสมั พทุ ธเจา แตถา ไมฝกฝนพฒั นาตน ก็ อาจจะเต็มไปดว ยสิ่งช่ัวทราม อาจจะเลวรายตํ่า ตอ ยดอ ยกวาแมแ ตส ัตวเ ดรจั ฉานกไ็ ด ฉะนนั้ ใน การปฏบิ ตั ทิ างพุทธศาสนา จงึ เนนความสาํ คัญ ของการพฒั นาตนเปนอยางมาก เมอ่ื พดู มาถงึ นีแ่ ลว ขอรวบรัดรวมความเปน

๘๐ 87พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) การยาํ้ ไววา จดุ หมายของการพัฒนาตนจะถอื วา สาํ เรจ็ โดยมองท่ีการไดพัฒนาตนครบ ๔ ดา น การพฒั นาตนชนดิ เตม็ รปู แบบทง้ั ๔ ดาน คอื ภาวนา ๔ นนั้ ตามปกตพิ ระพุทธเจา ตรสั ใน ลกั ษณะทเ่ี รียกอยา งปจจบุ ันวา เปนการวดั ผล ดัง นน้ั จงึ ใชใ นรูปที่เปนคณุ สมบัติของคนท่พี ฒั นาตน แลว โดยเปล่ียนภาวนาเปน “ภาวิต” ดงั ทท่ี า นเรียกคนทพ่ี ฒั นาตนแลว คอื ผมู ตี น ทผี่ า นภาวนาแลว วา ภาวิตัตตะ หรือ ภาวิตัตต (ภาวิต+อตั ต) ภาวิต กม็ ี ๔ (เชน เดยี วกบั ภาวนา ๔) เพราะ แยกเปน ดาน กาย ศลี จิต และปญ ญาตามลาํ ดบั คนทพี่ ฒั นาตนแลว จึงเปน ภาวิต ๔ ดา น คือ ๑. ภาวติ กาย มกี ายทพ่ี ัฒนาแลว คอื ได พัฒนาความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทางกายภาพ ปฏบิ ตั ติ อ โลกแหง วตั ถอุ ยา งไดผ ลดี โดยเฉพาะดว ย อนิ ทรยี ท ง้ั ๕ คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย เชน ดูเปน

88 หลักแม่บทของการพัฒ๘น๑าตน ฟง เปน ใหไ ดป ญญา และคณุ คา ท่ีเปน ประโยชน ๒. ภาวติ ศีล มศี ลี ทพ่ี ัฒนาแลว คอื ได พัฒนาความสัมพันธกับส่ิงแวดลอมทางสังคม โดยอยรู วมกบั เพือ่ นมนุษยอยา งไมเ บียดเบียน แต อยกู นั ดวยไมตรี เปน มิตร เก้ือกลู กนั ๓. ภาวิตจิต มจี ติ ใจท่พี ัฒนาแลว คอื ได พฒั นาจิตใจใหมีคณุ สมบัติทีด่ ีงาม มคี ุณธรรม ความเขม แขง็ มัน่ คง และความสุข คือพัฒนาแลว ทงั้ ดา นคณุ ภาพจิต สมรรถภาพจิต และสขุ ภาพจิต ๔. ภาวิตปญ ญา มปี ญ ญาทีพ่ ฒั นาแลว คอื ไดพ ฒั นาปญญาใหเ กดิ ความรูความเขาใจสงิ่ ทงั้ หลายตามเปนจริง รเู ทาทันความจรงิ ของโลก และชวี ติ เขา ถงึ กฎธรรมชาตทิ ่มี คี วามเปน ไปตาม เหตปุ จ จัย เปนตน จนทาํ จติ ใจใหเ ปน อิสระได เบิก บานผองใส เปน อยูดวยปญ ญา คนทพี่ ฒั นาตนไดผ ลแทจ รงิ จะมีคณุ สมบตั ิ เปน ภาวติ ๔ ดา นอยา งน้ี

บทเสรมิ สงั คมตอ งมคี า นยิ มยกยอ งคนทพี่ ฒั นาตน ทนี ี้ มองดทู างดานสงั คม มีพุทธพจนตรสั ไว โดยมสี าระวา สังคมควรจะเนน หรือมคี า นยิ มใน การยกยอ งบคุ คลทีพ่ ัฒนาตน เพราะคา นิยมเปน เรอ่ื งสาํ คัญมากในทางสังคม เปนเครอ่ื งบดิ ผันนาํ ทางสงั คมใหไ ปทางดที างราย ถา สงั คมมคี านิยมทไ่ี มด ี เชน ในเร่ืองน้ี ถา เราไมช วยกนั ยกยองบชู าผพู ัฒนาตน แตไปยกยอ ง บชู าคนดว ยเหตอุ ืน่ ๆ เชน ความมัง่ มีเงินทองหรือ อทิ ธพิ ลอาํ นาจ เม่ือสังคมเกิดคานยิ มในทางอยาง นนั้ แลว ผลรายกเ็ กิดแกส งั คมนนั้ เอง แลว จะไป โทษใคร เพราะมนษุ ยสรา งคา นิยมข้ึนมาเอง คา นยิ มนเ้ี ปนมโนกรรม แลวมนุษยก ็ไดร บั ผลของ มโนกรรมท่ีเปน อกศุ ลของตนเอง

90 หลักแม่บทของการพัฒ๘น๓าตน ตรงขา ม ถา เราพฒั นาคา นยิ มทดี่ ี ชว ยกนั เชดิ ชคู นทพ่ี ฒั นาตน คนท่ีมกี ารศกึ ษาทถ่ี กู ตอ ง สงั คมกจ็ ะดีงามข้นึ มนุษยทีเ่ กิดมาภายหลังกจ็ ะ ถอื ตามเปน แนวทางในการประพฤติปฏิบตั ิ วา อะไรดี อะไรเปนทเ่ี ชดิ ชูนิยมกันในสงั คม แลว ก็จะ พยายามทาํ ตาม มคี าถาในพระธรรมบทอีกคาถาหนึ่ง ทนี่ า จะนาํ มาใชในกรณนี ้ี ซึ่งเปนเรอื่ งของการพัฒนา และมีคาํ วา ภาวติ ัตตะ (ผมู ตี นท่พี ัฒนาแลว ) อยู ดว ย ทานสอนวา มาเส มาเส สหสเฺ สน โย ยเชถ สตํ สมํ เอกฺจ ภาวติ ตฺตานํ มหุ ตุ ฺตมป ปชู เย สาเยว ปูชนา เสยโฺ ย ยเฺ จ วสสฺ สตํ หุตํ แปลวา ถงึ แมบคุ คลจะไปประกอบพิธบี ชู า สมา่ํ เสมอทกุ เดอื น ดวยทรพั ยเ ดือนละ ๑,๐๐๐ ตลอด ๑๐๐ ป กไ็ มป ระเสรฐิ อะไร สบู ชู าคนท่ี พฒั นาตนแลวแมเ พียงขณะหน่งึ ก็ไมได

๘๔ 91พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) นอกจากน้ัน ท่ีบอกใหบ ชู าคนท่ีควรบูชานี้ คาํ วา “บูชา” นนั้ ก็ไมใ ชห มายความวา เอาไปต้งั ไว บนแทน หรอื ใหท า นน่ังบนอะไรสกั แหง แลว กเ็ อา ดอกไมธ ปู เทยี นไปกราบไหวห รอก แตห มายความ วา ยกยอง อยา งเรอ่ื งในภาษาบาลีวา มคี นยากจนคน หนง่ึ เปน คนขยันหมน่ั เพยี ร ตงั้ ตวั ไดดีมที รพั ย พระ เจา แผน ดินก็ทรง “บูชาเขาดวยตําแหนงเศรษฐ”ี (สมยั นน้ั ตาํ แหนง เศรษฐมี กี ารแตงต้ัง) ในขอความนี้ก็คือใหยกยองคนที่พัฒนาตน แลว ซงึ่ พระศาสนาน้สี รรเสรญิ จะเปนแนวทางทด่ี ี ของสงั คม และเขา กบั หลกั มงคล ๓๘ ประการ ใน คาถาที่ ๑ ขอ ๓ ที่วา ปูชา จ ปชู นยี านํ เอตมฺมงฺคลมตุ ฺตมํ แปลวา การบชู าคนทคี่ วรบชู าเปน อดุ มมงคล เปน มงคลสงู สดุ ทจี่ ะนําชีวติ และสังคมใหเ จริญกา ว หนา ฉะนนั้ ในแงส งั คม เรอ่ื งการพฒั นาตนกส็ าํ คญั

92 หลักแม่บทของการพัฒ๘น๕าตน พฒั นาตนจนหมด(ความยดึ มนั่ )ตวั ตน สดุ ทา ยกเ็ ขามาในตัวเองภายใน เมอ่ื พัฒนา ตนแลว พฒั นาไปๆ กายกพ็ ัฒนา ศลี ก็พฒั นา จติ กพ็ ฒั นา ปญ ญาก็พฒั นาดีแลว ก็เกิดความรคู วาม เขา ใจสงิ่ ทง้ั หลายตามความเปนจริง รเู ทาทันคติ ธรรมดาของโลกและชีวิต รูเ ขา ใจ อนจิ จัง ทกุ ขัง อนัตตา ปญ ญาพฒั นาแลว ก็เลยรวู าตัวตนนไี้ มมี ตกลงพฒั นาตน พัฒนาไปพฒั นามาก็หมด ตวั ตน เปน สุดทา ยจบเลย ความจริง ไมใชวาหมดหรอก โดยสมมตุ ิก็ ยงั มอี ยู เปนเรอ่ื งของภาษา ทว่ี า พฒั นาตนน้นั กต็ อ งรูเทาทนั เราพูดตาม ภาษาสาํ หรบั ส่อื ความหมายกนั เรยี กวา ตัวตนโดย สมมตุ ิ เม่ือพัฒนาปญญาก็ทําใหรูเขาใจความจริง เกยี่ วกบั ตวั ตนวา มันเปน อนัตตา คือ ไมใชว า หมด ตวั ตนหรอก แตร ทู นั วา ตวั ตนทยี่ ดึ ถอื กนั นนั้ ทแ่ี ทม นั

๘๖ 93พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ไมม ี เมอ่ื รวู า เปน อนตั ตาแลว กห็ มดความยดึ มน่ั (คอื เมอื่ ทจ่ี ริงตัวตนมนั ไมม ีอยแู ลว กไ็ มตอ งหมดตัวตน แตค นมคี วามยึดมนั่ ในตวั ตนท่ีไมมี จึงตอ งทาํ ให หมดความยดึ มั่นน้ัน แลวปญ หาก็หมดไปเอง) เมอ่ื ไมม คี วามยึดตดิ ถอื มน่ั ในตวั ตน กไ็ มถ ูก กระทบกระท่ัง เพราะไมม ตี ัวตนท่คี อยรับกระทบ ใหเกิดความทกุ ข แตก อ นน้ี คนโนนวา มาก็กระทบ ไปทาํ โนน ไปมองเหน็ รูอะไรทางตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ ก็ กระทบเรอ่ื ย เพราะมตี วั ตนท่ียึดไว พะวงปกปอ งไว คอยรบั กระทบอยเู รื่อย แตพอเขา ใจ มีปญญารู แจม แจง หมดความยึดมั่นน้ัน กไ็ มมีตัวไวร บั กระทบ ก็หมดทุกข เรียกวา พนจากกิเลสและ ความทกุ ข กถ็ ึงจุดหมายของพระพทุ ธศาสนา ตอ แตน ั้น จะทาํ อะไรจะแกอะไรกต็ รงไปตรงมาตาม เหตปุ จจยั ไมทําไปตามกิเลส เปนอสิ ระแทจริง

94 หลักแม่บทของการพัฒ๘น๗าตน ถา ไมพ ฒั นาตนก็เปน ไปในทางตรงขาม คือ ไมร เู ขาใจตวั ตนวา เปน อนัตตา ก็ยง่ิ พฒั นาความ ยดึ มน่ั ในตวั ตน ตัวตนมนั กข็ ยายพอกพนู ออกไป พองออกไปพองออกไป อยนู านวันเขาตัวตนของ เรากย็ ง่ิ พองขยายใหญ พอขยายใหญก ็ยิ่งทกุ ข มาก เพราะตัวตนแคน ี้ มันรบั กระทบแคน ้มี ันก็ทกุ ข แคน ้ี พอนานๆ เขามันขยายออกไป ขยายออกไป อยกู บั สง่ิ นน้ั สิง่ นี้ ก็มตี ัวตนที่รับกระทบมากขึ้นๆ ก็ ทกุ ขหนักเขาทุกที ถา เราอยใู นโลกไมเปน กต็ ดิ โลก แลว กย็ ดึ ทกุ อยา งในโลก เชน ของทเ่ี รามี ทเ่ี ราเขา ไปเกย่ี วขอ ง เรากย็ ดึ ทกุ อยาง เรายดึ อะไร ตวั ตนของเรากข็ ยาย ไปอยกู บั มนั สิง่ นั้นก็ผนวกเขา เปนตวั ตนของเรา เรามแี กว ใบหน่งึ แกว ใบน้นั กเ็ ปน ตัวตนของ เราดว ย ตวั เราขยายไปอยกู บั แกว เรามบี า นหลงั หนง่ึ ตวั ตนของเรากแ็ ผข ยายไปครอบคลมุ บา น เรามอี ะไร ตวั ตนของเราก็ขยายไปผนวกเขา ตวั ตนก็ใหญ

๘๘ 95พ ร ะ พ ร ห ม คุ ณ า ภ ร ณ์ ( ป . อ . ป ยุ ตฺ โ ต ) ออกไปๆ จนในทสี่ ดุ ส่งิ กระทบกเ็ ขา มากระทบมาก มายจนรบั ไมไ หวเลย วนั หนึ่งไมร ูกระทบเทา ไร ย่ิงตัวตนใหญก็ย่ิงมีโอกาสมีขอบเขตมีแดน ทจ่ี ะรบั กระทบมาก กเ็ ลยทุกขม าก จะทาํ อะไรจะ แกไ ขอะไรกท็ าํ ดว ยกเิ ลสทเ่ี หน็ แกต น ทาํ ไปตามแรง ความรสู กึ ทีถ่ ูกบีบ ไมท าํ ใหต รงตามเหตุปจจัย ก็ เลยย่ิงเกดิ ปญหามาก ฉะนน้ั จงึ จาํ เปนตอ งพฒั นาตน เพ่ือจะรูเ ทา ทนั เขา ใจอนตั ตา มองเห็นความไมมตี วั ตน จะได หมดความยึดมนั่ ในตวั ตน แลวก็จะหมดความ ทกุ ข พน จากกเิ ลส มจี ิตใจเปน อิสระ เปนอันวา เรอื่ งการพฒั นาตนก็นาจะจบเพยี งน้ี เร่ืองท่ีกลาวมาก็เหมือนดังท่ีพูดไวขางตน คือเนนการพูดตามหลักวิชาหรือตามคัมภีรตาม ตาํ รา ความรใู นคมั ภรี ห รอื ในตาํ รานั้นจะเปน ประโยชนอยางแทจริงก็ตอเม่ือรูจักเอามาใช ประโยชน เอามาปฏบิ ตั ิ ถาไมมีผลในการปฏิบตั ิ

96 หลักแม่บทของการพัฒ๘น๙าตน แลว ความรูในตําราก็ไรความหมาย ขอ นก้ี ม็ าสอดคลอ งกบั วตั ถปุ ระสงคข องกลมุ หรอื โครงการทว่ี า จุดมุง หมายในการตง้ั โครงการ นนั้ มงุ เนน ท่ีการปฏบิ ัติ เรามาพัฒนาตนในแงการ ปฏบิ ตั ิ คือเอาธรรมมาใชใหเกดิ ประโยชนใ นชีวติ ประจาํ วนั ทาํ ใหด บั ทกุ ขไ ด ใหจ ติ ใจปลอดโปรง ผอ ง ใสมคี วามสุข มีความรม เยน็ ทัง้ ตัวเองและอยรู วม กบั ผอู นื่ ดว ยดี สงั คมนี้ก็จะมคี วามสุขความเจริญ ฉะนน้ั ถา หากวา ไดนําความรทู างตาํ รานีม้ า โยงใชใ นทางปฏิบัติใหส ําเร็จประโยชน ก็จะเขากบั วตั ถปุ ระสงคข องโครงการ และทั้งเปน การถกู ตอ ง ตามธรรมดว ย ในทส่ี ดุ นี้ อาตมภาพขออนโุ มทนา อา งองิ คณุ พระรตั นตรยั อํานวยพรแดทา นผูใฝธ รรมทกุ ทา น ขอจงเจรญิ งอกงามในธรรมปฏบิ ตั ิ บาํ เพญ็ ประโยชน ตนและประโยชนทา นใหส ําเร็จสมตามมงุ หมาย มี ความรม เย็นเปน สุขโดยทัว่ กันทกุ ทา น เทอญ

อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา ทนโฺ ต เสฏฺโฐ มนสุ เฺ สสุ โย ติวากยฺ ํ ตติ กิ ขฺ ติ บณั ฑิตท้งั หลายย่อมฝึกตน ผทู้ ่ฝี ึกตนใหอ้ ดทนตอ่ ค�ำลว่ งเกนิ ของผ้อู ่นื ได้ เป็นผูป้ ระเสรฐิ ทส่ี ดุ ในหมูม่ นุษย์ (พุทธศาสนสุภาษิต) www.kanlayanatam.com Facebook: kanlayanatam.com


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook