๗ สงบเพราะรู้ กบั สงบเพราะไม่รู้ เราสว่ นใหญไ่ มต่ า่ งจากกวางทแี่ มจ้ ะหนเี ขา้ ไปในปา่ แตส่ ดุ ทา้ ยกต็ อ้ งกลบั มากนิ หญา้ แลว้ ถกู พรานจบั จนได้ ถา้ เราไมอ่ ยากลงเอยอยา่ งนนั้ ก ็ ตอ้ งพยายามเขา้ ถงึ สุขทปี่ ระเสริฐ สุขท่ีประเสริฐนั้นตั้งต้นท่ีใจของเรา เมื่อใจ เราสงบ สงบจากกเิ ลส สงบจากความอยาก สงบ จากความฟุ้งซ่าน แน่นอนว่าภาวะดังกล่าวไม่ได ้
ความสขุ อันประเสริฐ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา มันมขี น้ึ ๆ ลงๆ เกดิ ดับอยู่ ตลอดเวลา โดยเฉพาะถา้ เราเอาใจไปพง่ึ ความสงบ ของสง่ิ แวดลอ้ ม เชน่ ถา้ สง่ิ แวดลอ้ มไมอ่ กึ ทกึ ไม่ มเี สยี งดงั ใจฉนั จงึ จะสงบได ้ ความสงบแบบนจี้ ะ ไม่ยั่งยืนเลย เพราะส่ิงแวดล้อมรอบตัวใช่ว่าจะ สงบเงียบไปได้ตลอด แม้แต่อยู่ในป่าก็ยังมีเสียง รบกวน 52 ทีน้ีถึงแม้สิ่งแวดล้อมจะวุ่นวาย แต่เราก็ยัง รักษาใจให้สงบได้หากว่าตัดการรับรู้ เช่น ปลีก ตัวมาอยู่ในห้องพระ นั่งหลับตา ก�ำหนดจิตให้ แนว่ แนใ่ นอารมณจ์ นเปน็ หนง่ึ เดยี ว เชน่ ก�ำหนด ลมหายใจ ควบคุมจิตไม่ให้แส่ส่ายหรือปรุงแต่ง
พระไพศาล วิสาโล ใจก็สงบได้จนสามารถเข้าถึงฌาน เกิดความสุข 53 อย่างยงิ่ เรียกวา่ ฌานสขุ สขุ ทป่ี ระเสรฐิ ยงั เกดิ ขนึ้ ไดจ้ ากการมสี ตเิ ปน็ เครื่องรักษาใจหรือเป็นจิตที่ต่ืนรู้ มีความรู้สึกตัว ท�ำให้จิตสงบได้เช่นกัน แต่ต่างจากความสงบท ่ี เพ่ิงกล่าวถึง ซ่ึงเป็นความสงบเพราะควบคุม อายตนะหรือก�ำกับจิตไม่ให้รับรู้ส่ิงเร้าภายนอก จนจิตแน่วแน่เป็นหน่ึง เรียกความสงบแบบนี้ว่า ความสงบเพราะไมร่ บั รกู้ ไ็ ด ้ สว่ นความสงบเพราะ สตนิ นั้ เปน็ ความสงบเพราะร ู้ คอื รทู้ นั อาการทเ่ี กดิ กบั ใจ เมอื่ รแู้ ลว้ กว็ างไมป่ รงุ ตอ่ ท�ำใหเ้ กดิ สงบได ้ เม่ือมีอะไรมากระทบ ไม่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง สมั ผสั หรอื ธรรมารมณ ์ จนใจกระเพอื่ ม กร็ วู้ า่ ใจ กระเพอื่ ม เมอื่ ร ู้ ใจกว็ างไดแ้ ลว้ กลบั มาเปน็ ปกติ ถา้ ไมม่ คี วามรสู้ กึ ตวั หรอื ถา้ ไมม่ สี ตริ ะลกึ ร ู้ จติ ก็ จะหลงไปตามแรงกระตุ้นจากภายนอก เรียกว่า ส่งจติ ออกนอกจนฟุ้งซ่าน หาความสงบไม่ได้
ความสุข อนั ประเสรฐิ เมอื่ เรามสี ตหิ รอื ความรตู้ วั จติ หายจากความ หลง ทเี่ คยตามสงิ่ เรา้ เยา้ ยวนหรอื ตามแรงกระตนุ้ ตา่ งๆ กจ็ ะเปลยี่ นไป คนื สเู่ ปน็ ความปกต ิ นน่ั คอื ความสงบอยา่ งหนงึ่ เมอื่ ความโกรธเกดิ ขนึ้ กร็ วู้ า่ โกรธ เมอื่ ความฟงุ้ ซา่ นเกดิ ขน้ึ กร็ วู้ า่ ฟงุ้ ซา่ น จติ ก็ จะวางจากอารมณเ์ หลา่ นน้ั ไดแ้ ละกลบั มาสปู่ จั จบุ นั หากวา่ ในขณะนนั้ กำ� ลงั เจรญิ สตโิ ดยมกี ายเปน็ ฐาน จิตก็กลับมาสู่กาย กลับมาสู่ลมหายใจ กลับมา สู่มือที่เคล่ือนไหวหรือท้องพองยุบ เป็นต้น ส่ิงที ่ 54 เกดิ ขน้ึ ตามมากค็ อื ความสงบ เปน็ ความสงบไมใ่ ช ่ เพราะไม่รู้ ไม่ใช่เพราะปิดตา ไม่ใช่เพราะปิดหู ไมใ่ ชเ่ พราะวา่ อยใู่ นสงิ่ แวดลอ้ มทสี่ งบวเิ วกเทา่ นน้ั แต่เพราะรู้ทันและไม่หลงตามมัน แม้ตาจะเปิด หจู ะไดย้ นิ แตใ่ จกส็ งบได ้ อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ เปน็ ความ สงบเพราะรู้ แต่ไม่ใช่รู้เร่ืองนอกตัว เป็นการรู้ใจ ของตัวเองต่างหาก
พระไพศาล วิสาโล สงบมสี องแบบ สงบเพราะไมร่ ู้ เพราะบงั คบั 55 จติ ใหจ้ ดจอ่ สงิ่ ใดสง่ิ หนงึ่ เพอ่ื ไมอ่ อกไปรบั รสู้ ง่ิ ภาย นอก เช่น จดจ่อลมหายใจ อิริยาบถ หรือท้อง ท่ีพองยุบ ให้มันแนบแน่นอยู่กับอารมณ์เหล่าน้ัน จะได้ไม่ไปรับรู้ส่ิงเร้าภายนอก ใจก็สงบได้ แต ่ อยา่ งนจี้ ดั เปน็ ความสงบเพราะไมร่ ู้ หรอื ไมไ่ ปรบั ร้ ู สิ่งภายนอก แต่ยังมีความสงบอีกอย่างหนึ่ง คือ สงบเพราะรู้ ไม่ใช่รู้แล้วก็ฟุ้งออกไปข้างนอกและ ไม่ใช่รู้เรื่องนอกตัว แต่รู้กาย รู้ใจ ซึ่งอันน้ีต้อง อาศัยสติ ท�ำให้จิตตื่นขึ้น เมื่อต่ืนข้ึน เกิดความ รู้สกึ ตวั ไม่หลง กส็ งบไดเ้ ชน่ กัน
๘ ใจทเ่ี ปน็ กลาง สตยิ งั ชว่ ยทำ� ใหใ้ จเปน็ กลางตอ่ ทกุ สง่ิ ได ้ จะ วา่ ไปแลว้ ความทกุ ขข์ องคนเราหรอื ความวนุ่ วายใน ใจเราเกดิ ขน้ึ จากการทเี่ ราไมเ่ ปน็ กลางตอ่ สงิ่ ตา่ งๆ ใจไมย่ อมรบั สง่ิ ตา่ งๆ อยา่ งทม่ี นั เปน็ ถา้ มเี สยี งดงั ขนึ้ มาในหอ้ งประชมุ น ้ี เชน่ เสยี งโทรศพั ท ์ ใจเราจะ รู้สึกกระเพื่อมทันท ี ไม่ใช่เพราะว่ามันดังเท่าน้ัน อันนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่ท่ีส�ำคัญกว่าก็คือ ใจเรา
ความสขุ อันประเสริฐ มีปฏิกิริยาเป็นลบต่อเสียงน้ัน หรือเป็นลบต่อ เจา้ ของโทรศพั ท์เครือ่ งนัน้ ลองสงั เกตดวู า่ อะไรทท่ี �ำใหเ้ ราทกุ ขม์ ากกวา่ กนั ระหวา่ งเสยี งโทรศพั ทก์ บั ใจทเ่ี ปน็ ลบตอ่ เสยี ง นั้น บางทีเสียงโทรศัพท์อาจจะไม่ดัง แต่เม่ือใจ เรารสู้ กึ เปน็ ลบหรอื ปฏเิ สธเสยี งนน้ั พยายามผลกั ไสเสียงน้ัน มนั กลับท�ำให้เราเปน็ ทุกข์มากกวา่ 58 ใจท่ีไม่เป็นกลางต่อสิ่งต่างๆ เป็นที่มาแห่ง ความทุกข์มากและท�ำให้เกิดความขัดเคืองว้าวุ่น ในจติ ใจ ไมว่ า่ สง่ิ นนั้ จะเปน็ ความรอ้ น ความหนาว ความเจบ็ หรอื ความปว่ ย ทแี รกปว่ ยกายกอ่ น แต่ พอใจเรารสู้ กึ เปน็ ลบตอ่ ความปว่ ยกาย ความทกุ ขใ์ จ กเ็ กดิ ขน้ึ ทนั ท ี เกดิ ความรมุ่ รอ้ นภายใน เกดิ ความ กังวล เกดิ ความเครยี ด ตีโพยตพี ายวา่ ท�ำไมต้อง เป็นฉัน อาการเหล่าน้ีแหละบ่อยครั้งสร้างความ ทกุ ขแ์ กเ่ รามากกวา่ ความปว่ ยกายดว้ ยซำ�้ ในทาง
พระไพศาล วสิ าโล ตรงขา้ มหากใจเรายอมรบั ความเจบ็ ปว่ ย ยอมรบั 59 มนั อยา่ งทมี่ นั เปน็ เรากจ็ ะปว่ ยแตก่ ายแตใ่ จสงบได้ การรักสุขเกลียดทุกข์เป็นธรรมชาติของ มนษุ ย ์ แตม่ องใหด้ มี นั คอื ตวั ปญั หาทเี ดยี ว เพราะ พอรักสุขแล้ว ก็แส่ส่ายดิ้นรนแสวงหาความสุข มาครองให้ได ้ พอร้สู กึ แบบนก้ี ็เป็นทกุ ขแ์ ล้ว ถ้า ไม่ได้มาก็เป็นทุกข์หนักขึ้น ครั้นได้มาแล้วก็ยัง อยากไดอ้ กี ไมร่ จู้ กั พอเสยี ท ี นก่ี ท็ ำ� ใหท้ กุ ขอ์ กี ยงิ่ ส่ิงน้ันเกิดพลัดพรากจากเราไป ก็ย่ิงทุกข์เข้าไป ใหญ ่ เหน็ ไดเ้ ลยวา่ เมอื่ ไมไ่ ดอ้ ยา่ งทอ่ี ยาก กท็ กุ ข ์ ครนั้ ไดม้ าแลว้ กใ็ ชว่ า่ จะสขุ ไปไดย้ นื ยาว เพราะวา่ หนงึ่ รสู้ กึ เบอื่ อยากไดใ้ หมห่ รอื อยากไดอ้ กี สอง พอมนั แปรปรวนไปเรากท็ กุ ข ์ ยงิ่ รกั มนั เทา่ ไหร ่ ก็ ย่ิงทุกข์เมอ่ื มันแปรปรวนไป เพยี งแคร่ กั สขุ กท็ ำ� ใหท้ กุ ขแ์ ลว้ นะ ยงั ไมต่ อ้ ง พดู ถงึ ความเกลยี ดทกุ ข ์ ถา้ เราเกลยี ดทกุ ข ์ แลว้
ความสขุ อนั ประเสรฐิ สามารถหนมี นั ไดพ้ น้ กด็ ไี ป แตป่ ญั หากค็ อื เราไม ่ สามารถจะหนคี วามทกุ ขใ์ หพ้ น้ ได ้ ไมช่ า้ กเ็ รว็ เรา ตอ้ งประสบกบั สง่ิ ไมเ่ ปน็ ทรี่ กั เราตอ้ งพลดั พราก จากสงิ่ ทเี่ รารกั อนั นคี้ อื ความทกุ ข ์ ดงั บทสวดมนต ์ ท�ำวัตรเช้าตอนหนง่ึ วา่ ปิเยหิวิปโยโคทกุ โข - ความพลัดพรากจาก ส่ิงที่รักท่พี อใจกเ็ ป็นทุกข์ อปั ปเิ ยหสิ มั ปโยโคทกุ โข - ความประสบกบั 60 สิ่งไม่เปน็ ทร่ี กั กเ็ ป็นทกุ ข์ พอเรารกั สขุ แลว้ เราพรากจากสง่ิ นน้ั ไปเราก็ ทุกข์ พอเราเกลียดทุกข์ แล้วเราต้องเจอส่ิงน้ัน เรากเ็ ลยทกุ ข ์ ถา้ เราลองทำ� ใจไมเ่ กลยี ดมนั พอเจอ มนั เขา้ ความทกุ ขใ์ จจะนอ้ ยลง ยกตวั อยา่ ง ลงิ นนั้ เกลียดกะปิมาก หากมันถูกกะปิ มันจะอยู่เฉย ไมไ่ ดเ้ ลย ตอ้ งเอามอื ถกู บั หนิ บา้ ง ถกู บั ตน้ ไมบ้ า้ ง เพอ่ื ใหก้ ะปหิ ลดุ จากมอื ถเู สรจ็ มนั กด็ มมอื ถา้ ยงั
พระไพศาล วสิ าโล มกี ลนิ่ กะป ิ มนั ถใู หม ่ ถ ู ถ ู ถ ู จนกระทง่ั เลอื ดไหล 61 มอื เปน็ แผล แมก้ ระนนั้ มนั กไ็ มเ่ ลกิ ถ ู ยงั ถอู กี จน เปน็ แผล ถามวา่ ทม่ี อื ลงิ เปน็ แผล เพราะอะไร เปน็ เพราะกะปหิ รอื ไมใ่ ชน่ ะ เปน็ เพราะความเกลยี ด กะปติ า่ งหาก กะปไิ มส่ ามารถทำ� ใหม้ นั เลอื ดไหล หรือมือเป็นแผลได้ แต่เพราะความเกลียดกะปิ ต่างหากท่ีท�ำให้มันต้องถูเพื่อให้กล่ินกะปิหายไป จริงๆ แล้วกะปไิ ม่ใชส่ าเหตุ แต่ความเกลียดกะปิ ต่างหากท่เี ปน็ สาเหตุท�ำใหล้ งิ มแี ผลท่ีมอื เหตุการณ์ท่ีไม่พึงประสงค์ เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพรากสูญเสีย จริงๆ แล้ว มนั ไมเ่ ปน็ ปญั หาหรอื กอ่ ทกุ ขแ์ กเ่ ราไดม้ ากเทา่ กบั ความเกลยี ดหรอื ความรงั เกยี จทเ่ี รามตี อ่ ความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพรากสูญเสีย พูดง่ายๆ ก ็ คือ ความทุกข์ไม่เป็นปัญหาต่อเรามากเท่ากับ ความเกลยี ดทกุ ข ์ หรอื ความรสู้ กึ ลบตอ่ ทกุ ข ์ ถา้ เราไมเ่ กลยี ดทกุ ข ์ เราจะมคี วามสขุ ขนึ้ เยอะเลย
ความสุข อนั ประเสริฐ ทกุ ขใ์ นทนี่ หี้ มายถงึ ทกุ ขป์ ระจำ� สงั ขาร ไดแ้ ก ่ ความ แก ่ ความเจบ็ และความตาย รวมทง้ั ทกุ ขท์ จี่ รเขา้ มา เชน่ ความพลดั พรากสญู เสยี ซง่ึ เปน็ ธรรมดา ของชีวิต ไม่มีใครหนีพ้น อย่างท่ีเราสวดเวลา พจิ ารณาอภณิ หปจั จเวกขณ ์ “เรามคี วามแกเ่ ปน็ ธรรมดา จะลว่ งพน้ ความแกไ่ ปไมไ่ ด,้ เรามคี วาม เจ็บป่วยเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บป่วย ไปไม่ได้, เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้น ความตายไปไม่ได้, เราจะต้องพลัดพรากจาก 62 ของรกั ของชอบใจท้งั หลาย” ความแก ่ ความเจบ็ ความตาย ความพลดั พราก เราเรยี กวา่ ทกุ ข ์ แตถ่ า้ เราไมเ่ กลยี ดมนั ไม่ ตอ่ ตา้ นมนั เราจะมคี วามสขุ มากกวา่ ทเ่ี ปน็ อย ู่ แต่ เพราะเราเกลยี ดมนั เพราะเราไมส่ ามารถวางใจ เปน็ กลางกบั มนั ได ้ เราจงึ ทกุ ขม์ ากเมอ่ื มนั เกดิ ขนึ้ ป่วยกายไม่พอ ยังป่วยใจด้วย เสียของไม่พอ ใจกเ็ สยี ดว้ ย กลายเปน็ ทกุ ขส์ องตอ่ ทกุ ขส์ องชนั้
พระไพศาล วสิ าโล แตห่ ากเราวางใจเป็นกลางต่อส่ิงเหล่าน้ี เราจะ ทกุ ขแ์ คช่ น้ั เดยี ว ซงึ่ เปน็ ทกุ ขน์ อกตวั หรอื ทกุ ข์ ทไี่ กลจากใจมาก เราจะวางใจเปน็ กลางไดอ้ ยา่ งไร สตมิ คี วาม 63 สำ� คญั ตรงน ้ี สตนิ อกจากจะชว่ ยใหเ้ ราระลกึ รแู้ ลว้ ยังช่วยท�ำให้เราวางใจเป็นกลางเมื่อมีอารมณ์มา กระทบ หรอื มอี ารมณอ์ กศุ ลเกดิ ขนึ้ กบั ใจ เมอื่ ใจ เรารู้สึกเป็นลบกับส่ิงน้ัน สติจะช่วยให้เรารู้ทัน อาการดงั กลา่ ว และพาจติ กลบั มาเปน็ ปกต ิ หรอื เป็นกลาง ท�ำให้เราสามารถ “ดู” มันได้ โดยไม ่ ท�ำอะไรกับมัน แต่ถ้าเราไม่มีสติ เราก็จะลืมตัว จนพลัดเข้าไปในความทุกข์ เช่น เวลาเกิดความ โกรธ ใจก็ถล�ำเข้าไปในความโกรธกลายเป็นผู ้ โกรธ ถึงแม้ว่าบางครั้งเราก็รู้ว่ามีความโกรธเกิด ข้ึนในใจ แต่พอรู้แล้วก็รู้สึกลบต่อความโกรธนั้น อยากกดขม่ มนั หรอื อยากกำ� จดั มนั ใหห้ ายไป พอ มันไมห่ าย ก็เป็นทุกข์
ความสุข อันประเสริฐ แต่ถ้าเรามีสติ นอกจากจะรู้ทันความโกรธ แล้ว ก็ยังเห็นว่า มีความโกรธเกิดขึ้นในใจ แต ่ ไมใ่ ชเ่ ราโกรธนะ มคี วามรสู้ กึ เจบ็ เกดิ ขน้ึ แตไ่ มใ่ ช ่ เราเจ็บนะ มันเป็นสิ่งที่เกิดข้ึนกับกาย เป็นสิ่งที่ เกดิ ขนึ้ กบั ใจ แตไ่ มใ่ ชเ่ ราเปน็ ผเู้ จบ็ ผโู้ กรธ ขณะ เดียวกันเวลาท่ีใจรู้สึกเป็นลบต่อความโกรธหรือ ความเจ็บ ก็รู้ทัน เห็นความรู้สึกเป็นลบท่ีเกิดข้ึน เมอื่ รทู้ นั ใจกก็ ลบั มาเปน็ กลาง มาเปน็ ปกต ิ เปน็ ผดู้ เู ฉยๆ โดยไมพ่ ยายามผลกั ไสกดขม่ ความโกรธ 64 หรือปฏิเสธความเจ็บ ไม่บ่นโวยวาย ซึ่งท�ำให้ใจ เป็นทุกขเ์ พิ่มขึ้น หลวงพอ่ คำ� เขยี น สวุ ณโฺ ณ อาจารยข์ องอาตมา ท่านพูดย้�ำอยู่เสมอว่า ส่ิงที่นักปฏิบัติพึงท�ำคือ “เห็น อย่าเข้าไปเป็น” คือเห็นความรู้สึกนึกคิด ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เข้าไปยึดความรู้สึกนึกคิด เหล่าน้ีเป็นตัวกูของกู จะเห็นได้อย่างไร ก็ต้อง มสี ต ิ ถา้ เราเหน็ แลว้ ไมไ่ ปเปน็ ไมเ่ ปน็ ผโู้ กรธ ไม่
พระไพศาล วสิ าโล เปน็ ผเู้ จบ็ มนั กส็ งบได ้ สงบทใ่ี จ ถงึ แมว้ า่ กายยงั 65 เจบ็ ความโกรธยงั มอี ย ู่ แตเ่ มอื่ เหน็ มนั กว็ างได้ นอกจากสติที่ช่วยให้ใจสงบแล้ว อีกปัจจัย หน่งึ ท่ีส�ำคัญมากกค็ ือ “ปัญญา” ปัญญา ในที่นี้ก็หมายถึงปัญญาท่ีเกิดจาก วปิ สั สนา คอื การรสู้ จั ธรรมหรอื เหน็ ความจรงิ ของ ชีวิต ไม่ได้เห็นอะไร เห็นเร่ืองกาย เห็นเร่ืองใจ เห็นว่ามันเกิดดับ เห็นว่ามันเป็นทุกข์ เห็นว่ามัน ไม่ใช่ตัวเราของเรา เห็นอารมณ์ที่เกิดข้ึนว่ามัน ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เห็นว่ามันเพียงเป็นสภาวะ ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย และถ้าเราเห็นด้วย ใจท่ีเป็นกลาง ไม่ผลักไสมัน ในที่สุดเราก็จะเห็น มันเกิด ตั้งอยู่ แล้วดับไป เห็นว่ามันเองก็อยู่ใน สภาวะทถ่ี ูกบบี ค้นั เหมือนกัน
๙ ทกุ ข์ แปลว่าการบีบค้นั ทกุ ขจ์ ะแปลวา่ “บบี คนั้ ” กไ็ ด ้ สง่ิ ตา่ งๆ ไมว่ า่ รูปธรรมหรือนามธรรม ล้วนเป็นทุกข์ เพราะว่า มันถูกบีบคั้นด้วยความเกิดความดับของปัจจัย ตา่ งๆ ทป่ี รงุ แตง่ มนั ขน้ึ มา โดยเฉพาะปจั จยั ภายใน ซึ่งสัมพันธ์กับการบีบค้ันจากปัจจัยภายนอกด้วย อาคารก็เป็นทุกข์ เสาก็เป็นทุกข์ โต๊ะก็เป็นทุกข์ เพราะวา่ มนั ถกู บบี คนั้ ดว้ ยปจั จยั ภายในทเ่ี กดิ และ
ความสุข อนั ประเสรฐิ ดับอยู่ตลอดเวลา รวมท้ังถูกบีบคั้นด้วยปัจจัย ภายนอกท่ีเข้าไปกระท�ำกับมัน เช่น แสงแดด ความช้ืน อุณหภูมิ แม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ม ี การควบคุมความช้ืนและอุณหภูมิ มันก็ยังหนีไม่ พน้ ทจี่ ะถกู บบี คนั้ ดว้ ยสภาวะเกดิ ดบั ในตวั ของมนั เอง น่ีคือความหมายของค�ำว่าทุกข์ คือตกอยู่ภายใต้ ความบบี คนั้ และถา้ เราไปยดึ มน่ั ถอื มน่ั วา่ เปน็ เรา เป็นของเรา เราก็ถกู มันบีบคน้ั อีกตอ่ หน่ึง 68 สงิ่ ทถ่ี กู บบี คน้ั ดว้ ยปจั จยั ภายใน ถา้ เราไปยดึ มนั มนั กก็ ลบั บบี คน้ั เรา บางตอนในบทสวดมนต์ มีข้อความว่า “ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็น ตวั ทกุ ข”์ อปุ าทานขนั ธท์ ง้ั หา้ ในทน่ี ห้ี มายถงึ ขนั ธท์ ่ี เรายึดม่ันถือม่ัน เม่ือไรก็ตามที่เรายึดมั่นถือม่ัน ขนั ธเ์ หลา่ น ้ี มนั กจ็ ะบบี คน้ั เรา ขอ้ ความดงั กลา่ วใน บทสวดมนต ์ เราสามารถพดู อกี อยา่ งวา่ “วา่ โดยยอ่ ขนั ธท์ ถ่ี กู ยดึ มน่ั ถอื มน่ั เปน็ ตวั บบี คน้ั (แกผ่ ยู้ ดึ มนั่ ถอื มนั่ )” คำ� วา่ “ทกุ ข”์ มคี วามหมายทง้ั “บบี คน้ั ”
พระไพศาล วสิ าโล และ “ถูกบีบค้ัน” คือถูกบีบค้ันด้วยปจั จยั อน่ื แลว้ 69 กไ็ ปบบี คนั้ ผคู้ นทยี่ ดึ ถอื มนั อปุ าทานขันธ์ห้านั้น ตัวมันเองก็ทุกข์ คือถูกบีบคั้นอยู่แล้ว พอเราไป ยึดม่ันถือม่ัน เราก็ทุกข์เพราะถูกมันบีบค้ันอีก ชนั้ หนงึ่ เชน่ พอมนั สญู เสยี ไป พอมนั เสอ่ื มสลาย ไป เราก็เสียใจ กลุ้มใจ ขัดเคอื งใจ อย่างร่างกายเราน้ี ก�ำลังถูกบีบค้ันด้วย ความเกดิ และความดบั มนั มเี ซลลท์ เี่ กดิ ใหมแ่ ละ มเี ซลลท์ ตี่ ายอยตู่ ลอดเวลา นกั วทิ ยาศาสตรบ์ อก ว่ามีเซลล์ที่ตายในร่างกายเราวันหน่ึงประมาณ ๕ หมน่ื ลา้ นเซลล ์ หรอื อาจถงึ แสนลา้ นเซลล ์ เยอะ มากนะ แต่มันก็มีการสร้างใหม่ขึ้นมาทดแทน ตราบใดที่เซลล์เกิดใหม่มีมากกว่าเซลล์ที่ตายไป รา่ งกายเรากย็ งั อยไู่ ด ้ หรอื มสี ขุ ภาพด ี แตถ่ า้ เซลล์ เกิดใหม่มีความบกพร่องทางโครโมโซมมากขึ้น เร่ือยๆ หรือมีเซลล์ตายมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ย่อมท�ำ ใหเ้ กดิ ความแกแ่ ละความเจบ็ ปว่ ย และถา้ เราไป
ความสุข อนั ประเสรฐิ ยดึ มน่ั ถอื มนั่ รา่ งกายนวี้ า่ ตอ้ งสวย ตอ้ งมสี ขุ ภาพดี รา่ งกายนกี้ จ็ ะบบี คนั้ เรา ทำ� ใหเ้ รากลมุ้ อกกลมุ้ ใจ เวลาเราหนา้ ตาเหย่ี วยน่ ผมหงอก ปวดฟนั หรือปวดท้อง สภาพเหล่านี้มันบีบค้ันใจเรามาก เพราะอะไร ก็เพราะเรายึดมั่นถือมั่นมัน แต่ถ้า เรามปี ญั ญาเหน็ ความจรงิ วา่ ความแกเ่ ปน็ ธรรมดา เรากจ็ ะรสู้ กึ เปน็ ปกต ิ ทแี รกเราอาจยงั ไมม่ ปี ญั ญา จนถึงข้ันท่ีใจยอมรับว่ามันเป็นธรรมดา หรือเห็น 70 วา่ มนั เกดิ ขน้ึ ตงั้ อย ู่ และดบั ไป แตถ่ า้ เรามสี ต ิ เมอื่ ใจกระเพ่ือมเวลาเห็นหน้าเหี่ยวย่น เห็นผมหงอก ของตนเอง ก็รู้ทันอาการกระเพื่อมนั้น ท�ำให้ใจ กลบั มาเปน็ ปกติ หรือเมอ่ื มีความเจ็บเกิดขึน้ ก็ร ู้ แตไ่ มเ่ ขา้ ไปเปน็ เหน็ วา่ ความเจบ็ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ไมใ่ ชเ่ รา เจบ็ ตอ่ มาเมอ่ื ฝกึ มากขน้ึ กเ็ หน็ ตอ่ ไปวา่ รา่ งกาย เรากต็ กอยภู่ ายใตก้ ารบบี คนั้ หากเรายดึ มน่ั ถอื มนั่ มนั เมอื่ ไหร ่ พอรา่ งกายเรม่ิ แกห่ รอื เจบ็ ปว่ ย จติ ใจ เรากถ็ กู มันบบี ค้นั ซำ้� เขา้ ไปอกี
พระไพศาล วสิ าโล ถา้ เรามปี ญั ญาเหน็ เชน่ นี้ กจ็ ะปลอ่ ยวางสงิ่ 71 เหลา่ นไ้ี ด ้ ยง่ิ เราเหน็ วา่ ชวี ติ นนั้ เตม็ ไปดว้ ยความ ผนั ผวนแปรปรวน ทรพั ยส์ มบตั ลิ ว้ นไมเ่ ทย่ี ง ชอื่ เสยี งเกยี รตยิ ศ อำ� นาจวาสนาเปน็ ของทไี่ มเ่ ทยี่ ง แทแ้ นน่ อน มาแลว้ กไ็ ป เมอื่ เราเหน็ เชน่ น ้ี กเ็ รยี ก ว่าปัญญาเกดิ มนั ท�ำใหเ้ ราปลอ่ ยวาง ไมย่ ดึ มน่ั ถอื มนั่ กบั สง่ิ เหลา่ นไ้ี ด ้ สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ กค็ อื ความสงบ ใจ เยน็ ใจ หรอื เปน็ สขุ เปน็ ความสขุ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ได้ แมอ้ ยทู่ า่ มกลางความผนั ผวนแปรปรวนของโลก เปน็ ความสขุ ทเี่ กดิ ขน้ึ ไดแ้ มว้ า่ สงั ขารรา่ งกายนย้ี งั ตอ้ งแก ่ ตอ้ งเจบ็ ตอ้ งปว่ ย ตอ้ งตาย อนั นคี้ อื สขุ เพราะปญั ญา ปญั ญานน้ั มหี ลายระดบั ถงึ ทส่ี ดุ แลว้ สขุ เพราะปญั ญาหมายถงึ ความสขุ ทเ่ี กดิ จาก ความเป็นอิสระจากความยึดม่ันในตัวตน หรือ ความยึดมนั่ ในตวั กขู องกูนัน่ เอง
๑๐ ความสขุ ที่ไม่มี “ฉนั ” กลา่ วอยา่ งกวา้ งๆ ความสขุ มสี องแบบ คอื สุขที่เกิดจากความยึดม่ันในตัวกูของกู กับสุขท่ี อสิ ระจากความยดึ มน่ั ในตวั กขู องก ู หรอื สขุ ทย่ี งั มี ตัวกขู องกูอยู่ กับสุขทไี่ มม่ ตี ัวกูของกู ท่ียังมตี วั กู ของกูเพราะยังมีอวิชชา เน่ืองจากยังไม่มีปัญญา อยา่ งแทจ้ รงิ กามสขุ เปน็ สขุ ทม่ี ตี วั กขู องก ู เวลา ไดม้ ากย็ ดึ ว่าเป็นของกู เวลาเสพแล้วมีความสุข
ความสุข อันประเสริฐ กย็ ดึ วา่ มกี ผู สู้ ขุ เรยี กวา่ มกี ารยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในตวั กู ของกูอย่างเหนียวแน่น จึงเป็นสุขที่น�ำไปสู่ทุกข ์ โดยเฉพาะในยามทตี่ อ้ งพลดั พรากสญู เสยี แตส่ ขุ ทไี่ มม่ ตี วั กขู องกหู รือสุขท่ีเกิดจากความไม่ยึดมั่น ในตัวกูของกู อันน้ีเป็นสุขท่ีประเสริฐที่สุด เมื่อ เราสามารถทำ� ลายความยดึ มนั่ ในตวั กขู องก ู กจ็ ะ เข้าถึงความสขุ ทป่ี ระเสรฐิ ทส่ี ดุ 74 ทกุ คนในโลกนเี้ อาแตค่ รนุ่ คำ� นงึ วา่ “ฉนั อยาก มคี วามสขุ ” มคี นหนง่ึ อธบิ ายไวด้ ี ถา้ ยงั มคี วาม คดิ วา่ “ฉนั อยากมคี วามสขุ ” คณุ กจ็ ะไมพ่ บความ สขุ แต่พอลองเอาตัว “ฉัน” ออกไป เอาความ “อยากม”ี ออกไป สงิ่ ที่เหลอื คอื “ความสขุ ” ความสุขเกิดขึ้นเม่ือ “ฉัน” และ “อยากมี” หายไป ทนี ต้ี วั “ฉนั ” จะหายไปไดอ้ ยา่ งไร กต็ อ้ ง มีปัญญาที่มองเห็นว่า มันไม่มีตัว “ฉัน” อยู่เลย มนั เพยี งเปน็ สงิ่ ทถี่ กู ปรงุ แตง่ ขน้ึ มา แลว้ กเ็ กดิ การ
พระไพศาล วิสาโล ยึดม่ันถือม่ัน ความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้เรียกว่า 75 “อตั ตวาทปุ าทาน” คอื ความยดึ มน่ั ในวาทะหรอื ใน ความเช่ือว่ามีอัตตาหรือมีตัวฉันของฉัน เมื่อม ี ปญั ญาถงึ ทส่ี ดุ กร็ วู้ า่ ตวั ตนไมม่ อี ยจู่ รงิ ใจกว็ างไปเอง ตวั “ฉัน” ก็หายไป เมอ่ื เหน็ วา่ สง่ิ ทงั้ หลายทงั้ ปวงไมส่ ามารถจะ ยดึ มน่ั ถอื มนั่ ได ้ หรอื วา่ เหน็ วา่ สง่ิ ทง้ั หลายทง้ั ปวง เปน็ ทกุ ข ์ เปน็ ของรอ้ น เปน็ ตวั บบี คนั้ ความอยาก มี อยากครอบครองก็หายไป หรืออย่างน้อยก็ ตระหนักว่าเพียงแค่มีความอยากเกิดข้ึน ก็ท�ำ ใหท้ กุ ขแ์ ลว้ เมอื่ ความอยากหายไป จติ ใจกโ็ ปรง่ โลง่ สงบเยน็ อยา่ งยง่ิ อนั นแี้ หละเปน็ ความหมาย ของความสุขอันประเสริฐอย่างแท้จริง ซึ่งพระ พทุ ธศาสนามีค�ำเรยี กว่า “นิพพานสุข” พ้นจาก กามสุข เหนือจาก ฌานสุข ก็คือ “นพิ พานสขุ ” เปน็ สขุ ทไี่ มม่ ตี วั กขู องกรู องรบั หรอื
ความสขุ อนั ประเสรฐิ ไมไ่ ดเ้ กดิ จากความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในตวั ก ู จะเรยี กวา่ เปน็ สขุ เหนอื สขุ กไ็ ด ้ เปน็ สขุ ทไี่ มต่ อ้ งเสพอารมณ์ ไมว่ า่ อารมณจ์ ะหยาบหรอื ประณตี แคไ่ หน ถา้ เปน็ กามสขุ กเ็ ปน็ สขุ ทเ่ี กดิ จากการเสพอารมณท์ ห่ี ยาบ ถ้าเป็น ฌานสุข ก็เป็นสุขท่ีเสพอารมณ์ละเอียด แตก่ ย็ งั เปน็ การเสวยอารมณ ์ หรอื เปน็ การเสวยรส ของอารมณอ์ ยู่ 76 คนสว่ นใหญเ่ ขา้ ใจวา่ ความสขุ จะเกดิ ขนึ้ ไดต้ อ้ ง มกี ารเสพ แตท่ จ่ี รงิ แมไ้ มม่ กี ารเสพ ไมม่ กี ารเสวย อารมณก์ ส็ ขุ ได ้ ตวั อยา่ งทเี่ ปรยี บไดอ้ ยา่ งหยาบๆ พอจะเหน็ ภาพกค็ อื การทเ่ี ราอยเู่ ฉยๆ แลว้ ไมเ่ จบ็ ไมป่ ว่ ย เรารสู้ กึ ปลอดโปรง่ รา่ งกายสบาย อยา่ งนก้ี ็ เปน็ ความสขุ แลว้ แตผ่ คู้ นมกั จะไมต่ ระหนกั วา่ นคี่ อื ความสขุ คนสว่ นใหญค่ ดิ วา่ จะมคี วามสขุ กต็ อ่ เมอื่ ได้กินของอร่อย ฟังเพลงเพราะ เท่ียวห้าง หรือมี รถยนต ์ มที รพั ยส์ มบตั มิ ากๆ คอื คดิ วา่ ตอ้ งเสพตอ้ ง มกี อ่ นถงึ จะสขุ ได ้ แตท่ จ่ี รงิ แมไ้ มต่ อ้ งเสพอะไรเลย
พระไพศาล วสิ าโล
ความสุข อนั ประเสรฐิ แค่อยู่เฉยๆ คือ ร่างกายมีสุขภาพดี ปกติ สบาย ผ่อนคลาย ไมเ่ จ็บไมป่ ว่ ย กส็ ขุ แล้ว อนั นเ้ี ปน็ การเปรยี บอยา่ งหยาบๆ เพราะวา่ ใน ความเปน็ จรงิ รา่ งกายนนั้ เตม็ ไปดว้ ยทกุ ขเ์ หมอื นกนั เพยี งแตว่ า่ ทกุ ขย์ งั ไมแ่ สดงตวั โรคกอ็ ยใู่ นกายแลว้ เพยี งแตว่ า่ มนั ยงั ไมแ่ สดงตวั ดงั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ “ความแกม่ อี ยใู่ นความหนมุ่ สาว ความเจบ็ ไขม้ ี อยใู่ นความไมม่ โี รค ความตายมอี ยใู่ นชวี ติ ” ลอง 78 พจิ ารณาด ู ไมว่ า่ เราจะนงั่ ในทา่ ไหนทเ่ี ราคดิ วา่ สบาย แต่เราลองนั่งไปสัก ๑-๒ ชั่วโมง เราจะยังสบาย อยไู่ หม? เกดิ ความรสู้ กึ เมอ่ื ยใชไ่ หม? เราคดิ วา่ ถา้ นอนแลว้ จะสบาย แตล่ องนอนสกั ๑๐ ชว่ั โมงสิ จะเกดิ อะไรขน้ึ คนปว่ ยทนี่ อนเตยี งตลอดเวลาเขา ทรมานมากนะ ทา่ ทเ่ี ราคดิ วา่ สบายทส่ี ดุ ทจี่ รงิ มนั ไมเ่ คยสบายจรงิ ๆ เลย สงั เกตไหมเวลาเรานงั่ เรา จะขยบั ตวั เปน็ ระยะ เวลานอน เรากพ็ ลกิ ตวั ตลอด คนื เพราะอะไร กเ็ พราะถา้ อยใู่ นทา่ ใดนานๆ จะ
พระไพศาล วสิ าโล รสู้ กึ เมอื่ ย เรยี กวา่ ความทกุ ขเ์ รมิ่ แสดงตวั ออกมา 79 แลว้ ทเี่ รารสู้ กึ สบายกเ็ พราะความทกุ ขย์ งั ไมแ่ สดง ตวั หรอื วา่ เราไมท่ นั สงั เกต สรปุ กค็ อื ไมม่ ที า่ ไหน ที่เป็นสุขแท้ๆ ความจริงข้อน้ีรวมไปถึงทุกอย่าง ดว้ ย ไมม่ อี ะไรทเ่ี ปน็ สขุ แทๆ้ เลย มนั เจอื ไปดว้ ย ทกุ ขท์ งั้ นนั้ ร่างกายท่ีเราคิดว่าสบาย สุขภาพดี ท่ีจริง มันก็เจือไปด้วยทุกข์ เจือไปด้วยโรค เพียงแต่ว่า อาจจะยังไม่แสดงตัว พออายุมากขึ้น โรคภัย ไข้เจ็บก็ปรากฏตัวทีละอย่างสองอย่าง อาหาร ท่ีอร่อยก็เช่นเดียวกัน เราคิดว่ามันอร่อยล้วนๆ หรือเปล่า? ถ้าคิดว่าอร่อยก็ลองกินเหมือนเดิม ทกุ วนั ส ิ กนิ เหมอื นเดมิ ทกุ มอ้ื ส ิ เชา้ กก็ นิ กลางวนั กก็ นิ เยน็ กก็ นิ พรงุ่ นเ้ี อาใหม ่ เชา้ กลางวนั เยน็ กนิ ไปสกั ๒ อาทติ ย ์ ความอรอ่ ยกจ็ ะหายไปแลว้ มันจะมีความเบ่ือมาแทนที่ ถ้ายังกินต่อไปอีก ความเบื่อจะหายไปความเอียนจะมาแทนที่ และ
ความสขุ อันประเสริฐ ถ้ายังกินต่อไปอีก ทีนี้จะไม่เอียนแต่จะอาเจียน อย่างน้ีแสดงว่า ความไม่อร่อยอยู่ในความอร่อย ไมม่ อี ะไรท่ีอร่อยลว้ นๆ เลย ในทำ� นองเดยี วกนั สง่ิ ทเี่ ราคดิ วา่ สขุ มนั ไมเ่ คย สุขล้วนๆ มันเจอื ไปด้วยทกุ ข ์ ถ้าเราเหน็ อย่างนี้ เรากจ็ ะคลายความยดึ มน่ั ถอื มนั่ สง่ิ เหลา่ น ี้ และจะ ตระหนักว่าสุขท่ีเกิดจากการเสวยอารมณ ์ มันไม่ เคยเปน็ สขุ ทเี่ ทย่ี งแทเ้ ลย ตอ่ เมอื่ พน้ จากการเสวย 80 อารมณ ์ จงึ จะเปน็ สขุ แท ้ ตรงนแี้ หละทเ่ี ปน็ จดุ เดน่ ของนิพพานสุข ถึงเรียกว่าเป็นสุขท่ีประเสริฐ อยา่ งแทจ้ รงิ เพราะเปน็ สขุ ทไี่ มต่ อ้ งขน้ึ อยกู่ บั การ เสพเสวยอารมณ์ใด
พระไพศาล วสิ าโล มพี ุทธพจนซ์ งึ่ ใหแ้ ง่คิดท่ดี ีในเร่ืองน้ ี “เทพและมนษุ ยท์ งั้ หลาย รน่ื รมยบ์ นั เทงิ ดว้ ย 81 รปู รส กลนิ่ เสยี ง โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ ์ เมื่อรูป รส กล่ิน เสียง โผฏฐัพพะ และธรรมา- รมณแ์ ปรปรวน เลอื นหาย ดบั สลายไป เทพและ มนุษย์ทั้งหลายย่อมอยู่เป็นทุกข์ ส่วนตถาคต ทราบตามความเป็นจริงแล้ว ซ่ึงความเกิดขึ้น ความต้ังอยู่ไม่ได้ คุณและโทษของรูป รส กล่ิน เสยี ง โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ ์ พรอ้ มทง้ั ทางออก จงึ ไมเ่ ปน็ ผรู้ น่ื รมยบ์ นั เทงิ ดว้ ยรปู รส กลนิ่ เสยี ง โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ ์ เมอ่ื รปู รส กลน่ิ เสยี ง โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ ์ ปรวนแปร เลอื นหาย ดบั สลายไป ตถาคตจงึ อยู่เป็นสขุ ได้” บคุ คลทเี่ ขา้ ถงึ นพิ พานสขุ ยอ่ มมคี วามผาสกุ อยตู่ ลอดเวลา พอใจในชวี ติ ทเ่ี รยี บงา่ ย ไมป่ รารถนา ความพรงั่ พรอ้ มทางวตั ถ ุ ชวี ติ แบบนคี้ นทว่ั ไปยอ่ ม
ความสุข อันประเสริฐ เขา้ ใจไดย้ ากเพราะคดิ วา่ จะมคี วามสขุ ไดต้ อ้ งมคี วาม สะดวกสบาย มกี นิ มใี ชไ้ มข่ าดมอื จงึ ใฝฝ่ นั ชวี ติ ท่ี พรงั่ พรอ้ มดว้ ยโภคทรพั ย ์ แตช่ วี ติ อยา่ งนส้ี ำ� หรบั ผ ู้ ทเ่ี ข้าถงึ นิพพานสุขแลว้ เปน็ ชีวติ ทไี่ ม่นา่ ยินดีเลย แมแ้ ตน่ ้อย บทสนทนาโต้ตอบระหว่างพระพุทธองค์กับ มาคณั ฑยิ ะขา้ งลา่ งนชี้ ใ้ี หเ้ หน็ วา่ แมแ้ ตท่ พิ ยสขุ อนั เปน็ กามสุขช้ันเลิศท่ีเหนือกว่ากามสุขของมนุษย์ 82 กย็ งั เทยี บไมไ่ ดก้ บั นพิ พานสุข “เทพบตุ รทพี่ รง่ั พรอ้ มดว้ ยกามคณุ ๕ อนั เปน็ ทพิ ย ์ เมอื่ มองเหน็ คฤหบดที ม่ี กี ามคณุ ๕ พรง่ั พรอ้ ม บริบูรณ์ จะนึกอิจฉาต่อคฤหบดี หรือใฝ่ทะยาน ตอ่ กามคุณ ๕ ของมนษุ ยห์ รือไม่” “ไมเ่ ลย พระโคดมผเู้ จรญิ เพราะกามทงั้ หลาย ทเ่ี ปน็ ทพิ ย ์ ดเี ยย่ี มกวา่ ประณตี กวา่ กามทงั้ หลาย
พระไพศาล วสิ าโล ของมนุษย”์ “ฉนั นน้ั กเ็ หมอื นกนั เรานนั้ ...ไมน่ กึ ใฝท่ ะยาน 83 ตอ่ สตั วท์ งั้ หลายเหลา่ นนั้ ไมร่ สู้ กึ ยนิ ดตี อ่ กามนน้ั ... กเ็ พราะเรารนื่ รมยอ์ ยดู่ ว้ ยความชนื่ ชมยนิ ดที ไ่ี มต่ อ้ ง มกี าม ไมต่ อ้ งมอี กศุ ลกรรม อกี ทงั้ เปน็ สขุ เหนอื กวา่ ทพิ ยสขุ จงึ ไมใ่ ฝท่ ะยานตอ่ ความสขุ ทท่ี รามกวา่ ไม่ นกึ ยนิ ดใี นความสขุ ทท่ี รามกวา่ นน้ั ” สุขอย่างน้ีเป็นสุขที่ชาวพุทธควรจะรู้จัก และท�ำความเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะมันเป็น ประโยชนส์ งู สดุ เทา่ ทม่ี นษุ ยจ์ ะพงึ ไดร้ บั จากชวี ติ นี้ และควรพากเพียรพยายามด้วยการเจริญจิตต- ภาวนา ใหเ้ กดิ ทง้ั สมาธ ิ สต ิ และปญั ญา ความ สงบอยา่ งนแ้ี หละทเ่ี รยี กวา่ เปน็ ความสงบเพราะ รู้อย่างแทจ้ รงิ
๑๑ กา้ วสู่ความสขุ อันประเสริฐ ดงั ทไี่ ดบ้ อกไวแ้ ลว้ วา่ สงบมสี องอยา่ ง สงบ เพราะไมร่ ู้ กับ สงบเพราะร ู้ สงบเพราะไม่รู้ มีความหมายต้ังแต่หลง เพราะมอี วิชชา ถกู ครอบง�ำด้วยอวชิ ชา ไปจนถึง การไม่รับรู้อะไรเลย คนเราพอไม่รับรู้อะไรเลย เชน่ ไมอ่ า่ นหนงั สอื พมิ พ ์ ไมฟ่ งั วทิ ย ุ ไมส่ งุ สงิ กบั
ความสขุ อนั ประเสรฐิ ใคร ไมม่ งี านการตอ้ งทำ� ไมม่ สี งิ่ เรา้ เยา้ ยวน ใจก ็ สงบได้ หรือเวลาเราปิดตา อยู่ในห้องแอร์ ท�ำ สมาธิ จิตไม่ไปรับรู้อะไรเลยนอกจากลมหายใจ จติ แนว่ แนอ่ ยตู่ รงนนั้ กส็ งบได ้ อนั นก้ี ด็ อี ย ู่ แตว่ า่ ก็ยังเป็นความสงบเพราะไมร่ ู้ หรือไมร่ บั ร ู้ มสี งบอกี แบบหนงึ่ คอื สงบเพราะร ู้ รเู้ พราะ จติ ตน่ื มสี ตริ ใู้ จ รอู้ าการของใจทเ่ี กดิ ขน้ึ จนเหน็ ธรรมชาตขิ องใจ เกดิ ปญั ญาขน้ึ มา ปญั ญานแี่ หละ 86 ทำ� ใหเ้ กดิ การรอู้ ยา่ งแจม่ แจง้ จนปลอ่ ยวาง ไมย่ ดึ ตดิ ถือมั่นในส่ิงท้ังปวง เพราะว่ารู้ว่ามันไม่เท่ียง รู้ว่า มนั เปน็ ทกุ ขล์ ว้ นๆ หรอื รวู้ า่ มนั ไมใ่ ชเ่ รา ไมใ่ ชข่ อง เรา สงบเพราะร ู้ ถงึ ทส่ี ดุ กค็ อื นพิ พาน ซงึ่ เกดิ จาก ปญั ญาทเ่ี หน็ แจม่ แจง้ ในพระไตรลกั ษณ ์ นเี้ ปน็ สงิ่ ที่ชาวพุทธควรจะเข้าใจและไปให้ถึง จริงๆ แล้ว ส�ำหรับผู้มีปัญญาท่านรู้ว่าไม่ต้องไปไหนหรอก เพราะวา่ นพิ พานมอี ยแู่ ลว้ ตรงน ้ี มอี ยแู่ ลว้ ตอ่ หนา้ ตอ่ ตาเรา
พระไพศาล วิสาโล สรปุ กค็ อื วา่ ถา้ เราตอ้ งการความสขุ ทป่ี ระเสรฐิ 87 กต็ อ้ งพฒั นาตนเพอื่ ใหเ้ ขา้ ถงึ ความสขุ ทปี่ ระเสรฐิ ย่ิงๆ ขน้ึ ไป ซึ่งก็มอี ยสู่ ามระดบั ระดบั พน้ื ฐานหรอื ตำ่� สดุ กค็ อื การมกี ามสขุ ทช่ี อบธรรม หมายความวา่ แมย้ งั ปรารถนาทจ่ี ะ มีความสุขจากทรัพย์สมบัติ จากความมั่งมี ยัง เพลดิ เพลนิ ในสขุ เวทนาทไ่ี ดร้ บั จากผสั สะหรอื การ เสพ รวมทงั้ อาย ุ วรรณะ สขุ ะ พละ แตแ่ สวงหา และไดส้ ง่ิ เหลา่ นดี้ ว้ ยวธิ ที ชี่ อบธรรม คอื ไมผ่ ดิ ศลี ไม่ผิดธรรม แต่ว่าในขั้นน้ี เน่ืองจากยังมีความ หลงใหลติดยึดในกามสุข จึงย่อมเป็นทุกข์เม่ือ ต้องพลัดพรากจากส่ิงนั้นหรือเพราะอยากจะม ี เพ่ิมขึ้นอีก แต่อย่างน้อยควรจะมีความสุขขั้นน้ ี เปน็ พ้นื ฐานของชีวิต คอื มีความสุขท่ีชอบธรรม กา้ วขนึ้ มาอกี ขน้ั หนงึ่ คอื การเขา้ ถงึ ความสขุ ทปี่ ระณตี เรมิ่ ตน้ จากการเหน็ โทษของกามสขุ
ความสุข อันประเสรฐิ เหน็ ขอ้ จำ� กดั ของกามสขุ แลว้ พากเพยี รจนเขา้ ถงึ ความสขุ ทป่ี ระณตี ได ้ คอื เรมิ่ จะไมห่ ลงใหลในกาม- สุข แต่ว่าใจยังไม่เป็นอิสระจากกามสุข ยังอยาก มี อยากเสพ แต่ก็มีความสุขที่ประณีตมาแทนท่ี มากขน้ึ เชน่ ถงึ แมจ้ ะทำ� มาหากนิ มเี งนิ มที อง แต่ ก็รู้จักใช้เงินใช้ทองในการท�ำความดีเพ่ือให้เกิด ความสุขใจ ช่วยเหลือเก้ือกูลผู้อ่ืน ท�ำให้เกิด ความปีติ หรือมีเวลาส�ำหรับการนั่งสมาธิ เจริญ ภาวนาเพื่อเข้าถึงความสุขที่ประณีต เม่ือเข้าถึง 88 ความสุขที่ประณีตก็ถือว่าได้พัฒนามาอีกข้ันหน่ึง เป็นสุขท่ีช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจ ถึงแม้จะยังมีความ ทุกข์เพราะเครียดจากการท�ำงาน หรือเพราะยัง ยึดติดในโลกธรรม เช่น ความส�ำเร็จ ช่ือเสียง ความม่ังมี แต่ก็มีความสุขจากสมาธิภาวนาเป็น เครอื่ งหลอ่ เลยี้ งใจท�ำใหไ้ มเ่ ครยี ด ท�ำใหไ้ มท่ อ้ แท ้ เมอื่ ประสบความผดิ หวงั หรอื เศรา้ โศกเสยี ใจเมอ่ื พบความสูญเสีย ขณะเดียวกันก็รู้ว่ากามสุขนั้น เปน็ โทษ ยดึ มนั่ ถอื มน่ั กบั มนั ไมด่ นี ะ ตอ้ งรจู้ กั สละ
พระไพศาล วสิ าโล ออกไป ด้วยการให้ทาน ช่วยเหลือผู้อ่ืน รวมท้ัง มเี วลาสำ� หรบั การทำ� ความด ี การเขา้ ถงึ ความสขุ ท่ีประณตี นีเ่ ป็นขนั้ ที่ ๒ ขั้นสุดท้ายซ่ึงเป็นขั้นที่ประเสริฐที่สุด คือ 89 การเข้าถึงความสุขอันประณีตและเป็นอิสระจาก กามสุข สามารถเกี่ยวข้องกับกามสุขโดยไม่ยึด ตดิ มัน ไมถ่ วลิ หา ติดใจ หรอื ทะยานอยาก รจู้ กั ใช้มันในฐานะที่เป็นนาย ไม่ว่าจะเป็นเงิน ไม่ว่า จะเปน็ ทรพั ย ์ ดงั นนั้ เมอ่ื สญู เสยี กไ็ มท่ กุ ข ์ เพราะ วา่ เราเปน็ นายมนั ไม่ใช่มนั เปน็ นายเรา ตราบใดทยี่ งั มคี วามหลงใหล มคี วามยดึ ตดิ พอเรายึดม่นั ถือมั่นวา่ มนั เปน็ ของเรา เรากก็ ลาย เป็นของมันทันที บางทีเรายอมตายเพื่อมันได้ บางคนพอถูกโจรจ้ีเอาเงิน เขายอมสู้ตายเพ่ือ รักษาเงินของตนไว ้ เวลาบ้านไฟไหม้ เพชรหรือ ทองเกบ็ ไวใ้ นบา้ น บางคนยอมตายหรอื ยอมเสย่ี ง
ความสขุ อันประเสริฐ ตายเพื่อเข้าไปเอาเพชรหรือทองออกมา อันนี้ แสดงว่าเขาเป็นของมันไปแล้ว แต่ยังหลงคิดว่า มนั เปน็ ของเขาอย ู่ ถา้ เรามคี วามคดิ แบบนแ้ี สดงวา่ ความหลงบังตาแล้ว จึงคิดว่ามันเป็นของเรา แต ่ ทจ่ี รงิ เราเปน็ ของมนั ไปแลว้ บางคนเปน็ หนกั ถงึ ขนั้ วา่ ยอมทำ� ชวั่ ยอมตก นรก เพอื่ จะไดม้ เี งนิ มากๆ เพอื่ จะไดม้ อี ำ� นาจมากๆ ยอมหักหลังเพ่ือน บางทีฆ่าสามี ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ 90 เพ่ือจะได้มีทรัพย์สมบัติมากๆ อันนี้เป็นเพราะ ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั วา่ มนั เปน็ ของเรา แตห่ ารไู้ มว่ า่ เราเป็นของมันไปแล้ว ถ้าเรายอมตกนรก เรา ยอมทำ� ชวั่ เพราะมนั จะเรยี กเปน็ อยา่ งอนื่ ไปไมไ่ ด้ นอกจากว่าเราเปน็ ของมนั แตถ่ า้ มปี ญั ญา เหน็ ชดั วา่ สงิ่ เหลา่ นไ้ี มส่ ามารถ จะเปน็ ของเราไดเ้ ลย เพราะมนั ไมอ่ ยใู่ นการบงั คบั บัญชาของเราได้ จิตก็จะเป็นอิสระจากมัน จะใช ้
พระไพศาล วสิ าโล มันในฐานะที่เป็นนาย ไม่ใช่ให้มันใช้เรา หรือว่า 91 ครอบงำ� เราเสมอื นวา่ เราเปน็ ทาสของมนั ความสขุ ชนิดนี้เป็นความสุขที่เกิดจากการไม่มีกิเลส ไม่มี ความยดึ ตดิ ถอื มนั่ เพราะวา่ มปี ญั ญา สามารถทจ่ี ะ ดับอวิชชา ดับกิเลส และดับทุกข์ได ้ ที่จริงแล้ว จะเรียกว่าดับทุกข์ก็ไม่เชิง น่าจะเรียกว่าท�ำให ้ ทกุ ขไ์ มเ่ กดิ มากกวา่ เพราะวา่ ความจรงิ แลว้ แมเ้ รา ไม่ท�ำอะไรมัน ทุกข์ก็ต้องดับอยู่แล้ว เพราะเป็น ธรรมชาติของมัน ปัญหาคือมันดับแล้วเกิดใหม ่ อยู่เร่ือยเพราะอวิชชาและตัณหาเป็นปัจจัย คอย ปรงุ มันขนึ้ มา กเ็ ลยเกิดทุกข์ไม่หยุดหยอ่ น นิโรธนั้นความจริงไม่ได้แปลว่า ความดับ ทุกข์ แต่แปลว่า ทุกข์ไม่เกิด เม่ือทุกข์ไม่เกิดก ็ เป็นอันหมดปัญหา ทุกข์มันดับของมันอยู่แล้ว เพราะมันไม่เท่ียง ปัญหาคือเราคอยปรุงให้มัน เกิดอยู่เร่ือยๆ แล้วก็ยืดอายุให้มัน ต่ออายุให้มัน แต่พอเรามีปัญญา ละสมุทัยหรือท�ำให้สมุทัยไม ่
ความสขุ อนั ประเสรฐิ เกดิ ทกุ ขก์ ไ็ มเ่ กดิ เมอื่ เปน็ เชน่ นเ้ี รากส็ ามารถจะ อยใู่ นโลกนไ้ี ดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ทงั้ ๆ ทโี่ ลกนเี้ ตม็ ไป ดว้ ยทกุ ข์ โลกน้ีเต็มไปด้วยทุกข์ เต็มไปด้วยความ พรอ่ ง เตม็ ไปดว้ ยความบบี คนั้ แตถ่ า้ เราไมย่ ดึ มนั่ ถือม่ันกับมัน มันก็ไม่สามารถจะบีบค้ันเราได ้ ปัญหาอยู่ที่ว่าเรายึดมั่นถือมั่นกับมัน มันก็เลย บีบค้ันเรา บีบค้ันกาย และท่ีส�ำคัญคือบีบคั้นใจ 92 เมอ่ื ใดทเ่ี ราเขา้ ถงึ ความสขุ อนั ประเสรฐิ เพราะวา่ มี ปญั ญา เรากส็ ามารถจะอยใู่ นโลกนไี้ ดอ้ ยา่ งเปน็ อสิ ระ ตวั อยใู่ นโลกแตว่ า่ ใจอยเู่ หนอื โลก เมอ่ื เรา มคี วามสขุ แลว้ การทเ่ี ราจะชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู ผอู้ น่ื ด้วยจิตทม่ี เี มตตากจ็ ะเป็นไปเองโดยอตั โนมัต ิ สง่ิ หนงึ่ ทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ การมคี วามสขุ อยา่ ง แทจ้ ริงกค็ ือความพร้อมทจี่ ะแบ่งปนั ความสุขให้ แกผ่ อู้ นื่ หรอื ความพรอ้ มทจ่ี ะชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู ผู้
พระไพศาล วสิ าโล
ความสขุ อนั ประเสรฐิ อนื่ แตถ่ า้ หากคดิ ถงึ แตต่ วั เอง ไมม่ คี วามเมตตา กรณุ าตอ่ ผอู้ น่ื กย็ งั เรยี กไมไ่ ดว้ า่ เปน็ ผทู้ มี่ คี วามสขุ อย่างแท้จริง เพราะสุขท่ีแท้จริงจะท�ำให้จิตแผ่ กวา้ งออกไปอยา่ งไมม่ ปี ระมาณ พรอ้ มทจ่ี ะชว่ ย เหลือเกอ้ื กูลผ้อู น่ื โดยไม่คดิ ถงึ ตัวเอง ทา่ นเจา้ คณุ พรหมคณุ าภรณ ์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) สรปุ ชวี ติ ทป่ี ระเสรฐิ ไวอ้ ยา่ งกระชบั มากคอื “อยใู่ น ใจเหนอื เกอ้ื โลก” หมายความวา่ ตวั อยใู่ นโลก แต่ 94 ใจอยเู่ หนอื โลก เปน็ อสิ ระจากโลก โลกธรรมฉาบ ไมต่ ดิ โลกามสิ ถกู ไมเ่ ปอ้ื น ใชแ่ ตเ่ ทา่ นน้ั ยงั เออื้ เฟอ้ื เก้ือกูลโลกด้วย ถ้า “อยู่ใน ใจเหนือ แล้วไม่เก้ือ โลก” แสดงว่าไม่ใช่ของแท้ ยังไม่ใช่ความอิสระ ท่ีแท ้ ยงั มีความเหน็ แก่ตัวอยู่ เป็นธรรมดาเมื่อคนเรามีความสุขท่วมท้น หวั ใจ ความสขุ นน้ั กจ็ ะแผอ่ อกไป ยงิ่ เปน็ สขุ ทไี่ มม่ ี ประมาณก็จะแผ่ออกไปอย่างไม่มีขอบเขตไปยัง
พระไพศาล วสิ าโล เพ่ือนมนุษย์และสรรพสัตว์ จ�ำเพาะคนที่พร่อง 95 เทา่ นน้ั ทจ่ี ะคอยแสวงหาสงิ่ ตา่ งๆ มาเตมิ เตม็ คน ทุกวันนี้ท่ีแสวงหาอะไรต่ออะไรมากมาย เพราะ ลกึ ๆ ขา้ งในนนั้ พรอ่ ง จงึ ตอ้ งแสวงหาสงิ่ ตา่ งๆ ไม ่ หยดุ หยอ่ น อาจจะไมใ่ ชท่ รพั ยส์ มบตั ิ หรอื อำ� นาจ แต่อาจเป็นการยอมรับจากผู้อื่น หรือแสวงหา คณุ คา่ ชวี ติ กไ็ ด ้ เพราะวา่ ขา้ งในนน้ั พรอ่ ง จงึ ไมม่ ี ความสขุ แตเ่ มอื่ จติ นน้ั เปย่ี มลน้ ไปดว้ ยความสขุ ที่ ไมม่ ปี ระมาณ จะไมค่ ดิ แสวงหาความสขุ ใสต่ วั มี แต่จะแผ่ความสุขออกไป อันน้ีแหละท่ีเรียกว่า “อยู่ใน ใจเหนือ เกื้อโลก” หรือที่ท่านอาจารย์ พุทธทาสท่านสรุปสั้นๆ ว่า “สงบเย็นและเป็น ประโยชน”์ อาตมาใช้เวลาพอสมควรแล้ว ขอยุติการ บรรยายแตเ่ พยี งเทา่ นี้
ส่งิ หน่ึงท่ีแสดงให้เหน็ ถงึ การมคี วามสุขอย่างแทจ้ ริง กค็ ือความพร้อมทจี่ ะแบ่งปนั ความสขุ ใหแ้ กผ่ อู้ นื่ หรอื ความพรอ้ มทีจ่ ะชว่ ยเหลือเกอื้ กลู ผู้อื่น แต่ถา้ หากคดิ ถึงแต่ตวั เอง 96 ไมม่ ีความเมตตากรณุ าตอ่ ผอู้ น่ื กย็ งั เรยี กไมไ่ ดว้ า่ เปน็ ผทู้ ม่ี คี วามสขุ อย่างแทจ้ รงิ เพราะสขุ ท่แี ท้จริง จะท�ำให้จติ แผ่กวา้ งออกไปอย่างไม่มีประมาณ พร้อมทจี่ ะชว่ ยเหลือเก้ือกลู ผอู้ ่นื โดยไม่คดิ ถึงตัวเอง
ความสขุ อันประเสรฐิ น้ี สามารถตามติดเราไปทกุ หนแหง่ เพราะสถติ ท่ใี จเรา และสามารถเผื่อแผ่ใหผ้ ู้อน่ื สมั ผัสไดด้ ว้ ยใจ อยา่ งไรกต็ ามความสุขชนดิ นีห้ าซื้อไม่ได้ แต่ต้อง “ทำ� ” เอง ด้วยการบม่ เพาะใจจนผลบิ านเป็นความสขุ โดยมสี ติ สมาธิ และปญั ญา เป็นสง่ิ บำ� รุงเลีย้ งและเครือ่ งรกั ษา www.kanlayanatam.com
Search