พระอาจารย์ชานนท ์ ชยนนโฺ ท บกพาลา้จิตนบั
บกพลา้าจนับิต พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนโฺ ท
พระองคท์ รงเดนิ ทางดว้ ยวิธี ทำ� ลายความยึดม่ันถอื มนั่ ในธาต ุ ๔ ขันธ์ ๕ เราก็ตอ้ งใช้วิธีและอบุ ายเดียวกนั กับพระองค์ มาท�ำลายความยึดมนั่ ถือม่ันในธาตุ ๔ ขนั ธ์ ๕ เทา่ น้นั เรากจ็ ะเขา้ ถึงพระองคไ์ ด้ แต่อย่าไปท�ำลายกเิ ลสเด็ดขาด เพราะท�ำลายแลว้ ไปถึงพระองค์ไมไ่ ด้ เพราะกิเลสมันท�ำลายไมไ่ ด้ แตเ่ ราทำ� ลายไดค้ อื ตวั ทท่ี �ำให้เกิดกิเลสเท่าน้นั โรงงานท่ผี ลติ กิเลส เม่ือไม่มีโรงงานผลติ กเิ ลสแล้ว กเิ ลสจะออกมาจากตรงไหน
4 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น
คํ า นํ า ทุกคร้ังท่ีแสดงธรรม อาตมาจะเน้นสอนเรื่องธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เปน็ หลกั เพราะทเี่ ราทกุ คนหลงกนั กห็ ลงเพยี งแคธ่ าต ุ ๔ ขนั ธ ์ ๕ ซ่ึงก็คือกายกับใจ จิตดวงนี้จึงมีอวิชชาและไปเกิดกับธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทุกชาติไป ไม่ต่างอะไรกับคนท่ีคอยแต่จะสร้างบ้าน สรา้ งแลว้ สรา้ งอกี พอสรา้ งเสรจ็ กต็ อ้ งมาดแู ลรกั ษาบา้ น มาทกุ ข ์ กับบ้าน เพราะต่อให้เรารักษาบ้านดีแค่ไหน แต่สุดท้ายบ้าน ก็ต้องพัง และพอเราสร้างบ้านใหม่ ก็ต้องดูแลรักษาบ้านอีก แต่แล้วบ้านก็พังลงอีก เป็นอยู่แบบนี้ ท้ังๆ ท่ีมีบ้านหลังหนึ่งท่ี น่าอยู่ที่สุด บ้านท่ีอยู่แล้วไม่มีทุกข์ ไม่ให้โทษกับเราเลยแม้แต ่ นอ้ ย บา้ นทไ่ี มม่ วี นั เสอื่ ม ไมม่ วี นั พงั ซงึ่ บา้ นหลงั นต้ี า่ งหากละ่ ท่ี จิตของเราควรจะอยู่ ขอแค่ทุกคนออกเดินทางตามพ่อของเรา ซ่ึงก็คอื พระพุทธเจ้า เพอื่ หาทางกลับบ้านกัน พระอาจารยช์ านนท์ ชยนนฺโท
ข อ ง ช ม ร มคกํ าั ลนยำ า ณ ธ ร ร ม การเดินทางไกลในสังสารวัฏสำ� หรับผู้ใฝ่ธรรมแล้วนับว่าเป็น การเดินทางท่ีแสนไกลและน่ากลัวเหลือเกิน เราทุกคนต่าง เสียเวลามาเน่ินการในการหลงอยู่ในโลกอันวกวนและหลอก ลวง หากใครสักคนมีสติปัญญาฉุกคิดขึ้นมาว่า พอแล้ว เบ่ือ แล้ว กลัวแล้ว ส�ำหรับการเดินทางไกลไม่มีที่สิ้นสุดน้ี ขอเดิน ตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับ สู่บ้านอันแท้จริง ด�ำริน้ีนับว่าท่านเป็นผู้มีบุญแล้วที่จะเริ่ม บา่ ยหนา้ กลับส่ปู ิตภุ ูมิ แม้เราไม่มีบุญวาสนาได้กราบพระบาทองค์สมเด็จพระ ศาสดาผู้เปี่ยมด้วยพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และ มหากรณุ าธคิ ณุ แตเ่ รากย็ งั โชคดที ไ่ี ดฟ้ งั ธรรมของครบู าอาจารย์ ผู้เมตตาที่ได้เดินตามรอยพระบาทแล้วไม่ทอดทิ้งพวกเรา ท่าน เสียสละเวลาน�ำธรรมอันประเสริฐมาถ่ายทอด บอกแนวทางให้ อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ดั่งเช่นท่ีพระอาจารย์ชานนท์ ชยนันโน ท่านได้เมตตาแนะแนวทางในการเดินทางกลับบ้านด้วยการ
7 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท ละขันธ์ ๕ และรู้เท่าทันขันธ์ ๕ ตามที่ท่านได้อธิบายไว้เป็น ข้ันตอนดแี ลว้ ในหนงั สอื เลม่ นี้แล้ว ในงานแสดงธรรม-ปฏบิ ตั ธิ รรม เปน็ ธรรมทาน ครง้ั ท ี่ ๓๒ ซง่ึ ชมรมกลั ยาณธรรมไดร้ บั ความเมตตาจากพระอาจารยช์ านนท ์ ชยนันโท มาเป็นหนึ่งในองค์บรรยาย ในโอกาสนี้พระอาจารย์ ได้เขียนสรุปแนวทางปฏิบัติ เรื่อง “พาจิตกลับบ้าน” มอบให้ ชมรมกัลยาณธรรม แจกเป็นธรรมทานในงานดังกล่าว ซึ่งเป็น หนังสือที่อ่านท�ำความเข้าใจได้ง่าย ไม่มีศัพท์บาลียากๆ เหมาะ ส�ำหรับทุกท่านท่ีมุ่งปรารถนาจะท�ำความเข้าใจขันธ์ ๕ อันเป็น กุญแจส�ำคัญในการเรียนรู้ทุกข์และออกจากทุกข์ ขอขอบคุณ ทีมงานทุกท่านท่ีมีส่วนในการจัดทำ� หนังสือนี้ ขอกราบนมัสการ ขอบพระคุณในความเมตตาของพระอาจารย์เป็นอย่างสูงมา ณ ที่น้ี และหวังว่าทุกท่านจะได้รับประโยชน์จากแก่นธรรม ค�ำสอนอันเป็นประโยชน์ สมด่ังความเมตตาของพระอาจารย์ โดยทว่ั กนั ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาทกุ ท่าน ทพญ. อัจฉรา กลนิ่ สุวรรณ์ ประธานชมรมกลั ยาณธรรม
ส า ร บั ญ ๑๑ ๑๗ แนวทางและวิธปี ฏิบัติธรรมที่ถูกตอ้ งโดยสงั เขป ๑๙ แผนภูมขิ ันธ์ ๕ (กาย-ใจ) ๒๒ มารูจ้ ักธาต ุ ๔ ขันธ ์ ๕ ๒๔ ฝกึ ดกู าย ๒๖ เฝ้าดูใจ ๓๐ การทำ� งานของกายและใจ ๓๒ อวชิ ชาพาใหเ้ กิด ๓๔ อวิชชาคอื ขันธ์ ๕ ๓๖ ทานขนั ธ์ ๕ ๓๘ กลบั สคู่ วามไมม่ ี ๔๐ จุดจบแหง่ ชาติ ชรา มรณะ ๔๒ อยา่ ไปท�ำลายกิเลสใหเ้ สียเวลา ๔๖ อยเู่ หนือสมมตุ ิ ๔๘ กายใจไม่ใชข่ องเรา ๕๐ กลับบา้ นกนั ๕๒ ยกคทั เอาทด์ ับอุปาทานในขนั ธ ์ ๕ ๕๔ แกะหว่ งจากจติ ใหส้ ้ินซาก ๕๖ ปฏิบัติตอ่ ไปในวธิ ีแห่งมรรค ๕๘ ถอื ศลี ควร ๖๑ อยูด่ ้วยความเป็นกลาง ประวตั ิพระอาจารย์ชานนท ์ ชยนนฺโท
เราดูลมหายใจเข้าไปในกายและออกจากกายนนั้ กเ็ ปน็ เพยี งแค่ลมหนง่ึ ซง่ึ พัดเขา้ กายพัดออกจากกาย เปน็ แค่ธาตุลม ไมใ่ ชล่ มหายใจของเรา ขณะลมทพี่ ดั เขา้ สู่กายและลมพดั ออกจากกาย ก็ไมแ่ ตกตา่ งอะไรกบั ตน้ ไม้ใบไม้ ซึง่ ถกู ลมพัด กายของเราก็คือธาตุดิน ตน้ ไมใ้ บไม้ก็คือธาตดุ ิน เวลาลมพดั ใบไม ้ หรอื ลมพดั เข้าสู่กาย ให้เรารวู้ ่านัน่ ลมกำ� ลงั พัดดิน และกายเราไม่ไดม้ แี คธ่ าตดุ นิ เพยี งอยา่ งเดยี ว แต่มธี าตนุ ำ้� ชุ่มฉ่�ำอยูด่ ว้ ย
10 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น
แนวทาง และวธิ ีปฏิบตั ธิ รรมที่ถกู ตอ้ งโดยสงั เขป หัวใจของการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์น้ัน ต้องท�ำ ความเข้าใจวิธีปฏิบัติให้ถูกต้อง ถ้าไม่รู้วิธีและแนวทาง ก็จะ ทำ� ใหเ้ สยี เวลา ไปไมถ่ งึ จดุ หมายปลายทาง หรอื ไมป่ ระสบความ สำ� เรจ็ กวา่ จะลองผดิ ลองถกู กวา่ จะเขา้ ใจ กอ็ าจเสยี เวลาไปนาน สมัยเม่ือพระพุทธเจ้าท่านยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรง เน้นสอนและแสดงโทษของการยึดมั่นอยู่ในอุปาทาน “ขันธ ์ ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์” พระองค์ทรงแสดงธรรมเพ่ือการตรัสรู ้ เพอื่ เขา้ สมู่ รรคผลนพิ พาน คอื พระองคจ์ ะทรงหยบิ ยกและแสดง ธรรมในเรอ่ื ง “อรยิ สจั ๔” เปน็ สว่ นมาก และในการแสดงธรรม “อริยสัจ ๔” แต่ละคร้ังนั้นจะมีท้ังอุบาสก อุบาสิกา พระภิกษุ สงฆแ์ ละพระภิกษณุ ี ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมเป็นจำ� นวนมาก
12 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น ในอริยสัจ ๔ พระองค์จะทรงเน้นแสดง “ตัวสมุทัย” คอื เหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ “ตัณหา” ความอยากได้และความ ไม่อยากได้ในกองขันธ์ ๕ อันเป็นเหตุปัจจัยส่งผลให้เราเป็นสุข และเป็นทุกข์ เช่น เวลาขันธ์ ๕ เป็นสุข ก็ยึดไว้ เวลาขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ก็ผลักไส จึงเกิดความล�ำบากเพราะพยายามท่ีจะ แก้ไข คืออยากว่ิงหนีทุกข์และอยากวิ่งหาสุข แต่โดยความเป็น จริงของสัตว์และมนุษย์ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มีแต่กองแห่งทุกข์ หาความสุขไม่เจอ เท่าที่สังเกตดูมีแต่ทุกข์น้อยกับทุกข์มาก เทา่ นน้ั เอง ฉะนน้ั จงึ “มแี ตท่ กุ ขเ์ ทา่ นนั้ ทเ่ี กดิ ขนึ้ มแี ตท่ กุ ขเ์ ทา่ นน้ั ท่ตี ง้ั อย ู่ มีแต่ทกุ ข์เท่าน้นั ทด่ี ับไป” รวมแล้วขณะที่ยังมีชีวิตคือมีขันธ์ ๕ อยู่ เราจะต้องอยู ่ กับกองแห่งทุกข์อยู่ตลอด มีวิธีเดียวท่ีจะไม่ทุกข์ คือไม่มาเกิด อีก เม่ือไม่มาเกิดอีกก็ไม่มีขันธ์ ถ้าไม่มีขันธ์ก็ไม่มีทุกข์ เพราะ ทุกข์มีที่ขันธ์ ไม่ใช่มีที่จิต แต่เหตุท่ีมาเกิดก็เพราะความหลง ได้แก่ “อวิชชา” คือความไม่รู้ความจริง ไปยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็น ตัวเป็นตน จิตจึงเกาะติดขันธ์ ๕ ท�ำให้พาให้เวียนว่ายตายเกิด ไมร่ จู้ กั จบสนิ้ และกม็ าทกุ ขเ์ พราะขนั ธ ์ ๕ “อยทู่ กุ ชาตไิ ป” นคี่ อื เหตุให้เกดิ ทกุ ข์ เราตอ้ งมาทำ� ลายเหตขุ องการเกดิ กอ่ น คอื ท�ำลายความยดึ มั่นถือม่ันในกองขันธ์ ๕ ให้ได้ และจ�ำเป็นอย่างย่ิงท่ีเราต้องมา พจิ ารณากาย-ใจ คอื ขนั ธ ์ ๕ น ี้ โดยความเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง โดย
13 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท ความเปน็ ทกุ ข ์ โดยความไมใ่ ชต่ วั ไม่ใชต่ น เพอ่ื ใหจ้ ิตเกดิ ความ เบ่ือหน่าย แล้วจิตจะได้ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในกายใจ นี้เสียได้ จิตจะไม่หลงไปเกาะติดกับขันธ์ คือถอนตัวเป็นอิสระ อยู่เหนือขันธ์ ท้ังท่ีมีความทุกข์ของขันธ์อยู่ “แต่จิตสบาย” ไม ่ ทุกข์ไปกับขันธ์ เพราะยอมรับความจริงว่าเกิดมามีขันธ์ก็ต้อง ทุกข์แบบน ี้ “ไมม่ ีใครหนีพ้น” จงพิจารณาว่าก่อนท่ีเราจะเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ไม่มีรูป กายนี้มาก่อน เมื่อเกิดมามี รูปกาย แล้วจึงมี เวทนา ความ สขุ ทกุ ข ์ เฉยๆ ตามมา จงึ ม ี สญั ญา ความจำ� ไดห้ มายรตู้ ามมา จงึ ม ี สงั ขาร ความคดิ ปรงุ แตง่ ตามมา จงึ ม ี วญิ ญาณ ความรบั ร้ ู รับทราบตามมา เม่ือรูปกายน้ีดับ เวทนาก็ดับ สัญญาก็ดับ สังขารก็ดับ วิญญาณก็ดับ จึงไม่เหลือความเป็นเราอยู่ตรงไหน อีกเลย นี่แหละที่เราหลงกัน จึงเรียกว่า หลงสมมุติ หลงของ ชั่วคราว ท้ังท่ียึดเอาไว้ ก็ยึดไม่ได้ แก้ไขก็ไม่ได้ แล้วแต่เขาจะ เปน็ ไป และทา้ ยทสี่ ดุ กด็ บั สลาย ตายจากไปไมม่ เี หลอื และขณะ อยูก่ เ็ ปน็ ทุกข์ด้วย ทกุ ขต์ ลอดเวลาท่เี ราอาศยั เขาอยู่ เม่ือเรามาพิจารณาในกายใจโดยความเป็นทุกข์ และ เป็นธรรมชาติของเขา ว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์อันหน่ึงของ ธรรมชาติ ซ่ึงเป็นไปตามสภาวะของเขา โดยไม่มีใครไปบังคับ บัญชาเขาได้ แม้แต่เราผู้ที่ไปรู้สมมุตินี้ ก็เกิดมาจากธรรมชาติ เชน่ กนั หาไดเ้ ปน็ ตวั เปน็ ตนไม ่ เมอ่ื เรามาพจิ ารณา กาย กบั ใจ
14 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น ว่าเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ หาความเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ จิตก็ จะปล่อยวางรูปขันธ์และนามขันธ์เสียได้ จึงต้องท�ำบ่อยๆ พิจารณาขันธ์ ๕ และการท�ำงานของขันธ์ ๕ โดยแยกให้เห็น หน้าที่แต่ละตัวและอาการต่างๆ ของเขาจนชัดเจน มองหาและ สังเกตอยตู่ ลอดเวลา เท่าทมี่ เี วลา โดยไม่จ�ำเป็นต้องนงั่ สมาธิ เสมอไป ทำ� ไดท้ กุ อริ ยิ าบถ ไมว่ า่ จะเดนิ ยนื นงั่ นอน เพราะ การทเ่ี รากำ� หนดดอู ยทู่ ก่ี าย กเ็ ปน็ สมาธอิ ยแู่ ลว้ แตไ่ มไ่ ดห้ มาย เอาความสงบ เพราะความสงบตรัสรู้ไม่ได้ เพราะขณะที่มี ความสงบ ตัวสังขารจะไม่ทำ� งาน เม่ือสังขารไม่ทำ� งานจะเกิด ปัญญาไมไ่ ด้ ต้องอาศัยการคดิ คน้ จงึ จะรู้ความจริง เมอ่ื เขา้ ใจความจรงิ แลว้ จงึ ปลอ่ ยวางตวั สงั ขารอกี ท ี เพราะ คิดค้นจึงรู้ เมื่อรู้แล้วจึงปล่อยวางความคิดไป เพราะความคิด ก็เป็นเพียง สังขารขันธ์ เป็นของสมมุติเป็นของไม่เท่ียงเช่นกัน ท�ำและพิจารณาอย่างนี้ไปนานๆ ก็จะเกิดความช�ำนาญขึ้นเอง เมอื่ ชดั เจนขน้ึ จติ จะยอมรบั เอง และจะปลอ่ ยวางในทส่ี ดุ ถา้ ยงั ไมป่ ลอ่ ยวางกท็ ำ� ตอ่ ไป จนเขา้ ไปเหน็ ความจรงิ แลว้ จติ จะยอมรบั ท�ำซ�้ำๆ โดยการหาเราในความเป็นรูป และหาเราในความเป็น นาม ว่ามีเราอยู่ตรงไหน ให้เน้นดูใน ธาตุท้ัง ๔ ดิน น้�ำ ไฟ ลม ในกายนี้ว่ามีเราอยู่ตรงไหน ในเม่ือหาเราในธาตุทั้ง ๔ ที่ กายวา่ ไมม่ เี ราแลว้ กย็ ก นามทงั้ ๔ ขนึ้ มาหาวา่ มเี ราอยตู่ รงไหน เมื่อนามท้ัง ๔ ไม่มีเราแล้ว ก็ย้อนกลับมาหาเราใน ตัวผู้รู้ ว่า
15 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท มีเราอยู่ตรงไหน ทั้งท่ีตัวผู้รู้ก็เป็น วิญญาณขันธ์ น่ันเอง ก ็ ไมเ่ ทย่ี งเชน่ กนั เมอื่ เหน็ อยา่ งนจ้ี ะมอี ะไรใหห้ ลง เพราะทกุ อยา่ ง เป็นสมมุติของขันธ์ ๕ ท้ังหมดเลย จึงต้องวางทั้งหมด จะได ้ ชื่อว่าปล่อยวางสมมุติ เพื่อเข้าสู่ความเป็นวิมุตติ คือหลุดพ้น จากการยึดมนั่ ในสมมุติท้งั ปวง... มองหาและสังเกตอยู่ตลอดเวลา เทา่ ทมี่ เี วลา โดยไม่จำ� เปน็ ตอ้ งนงั่ สมาธิเสมอไป ทำ� ไดท้ กุ อริ ยิ าบถ ไมว่ า่ จะเดนิ ยนื นงั่ นอน เพราะการท่เี ราก�ำหนดดูอยู่ที่กาย กเ็ ป็นสมาธอิ ยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายเอาความสงบ เพราะความสงบตรัสร้ไู ม่ได้ เพราะขณะทมี่ คี วามสงบ ตัวสังขารจะไมท่ ำ� งาน เมือ่ สงั ขารไม่ทำ� งาน จะเกิดปัญญาไมไ่ ด้ ต้องอาศยั การคดิ ค้นจงึ จะรู้ความจรงิ
ขณะทย่ี งั มีชวี ิตคือมขี ันธ์ ๕ อยู ่ เราจะต้องอยู่กบั กองแหง่ ทกุ ขอ์ ยู่ตลอด มีวิธเี ดียวท่ีจะไมท่ ุกข์ คอื ไมม่ าเกิดอีก เมอ่ื ไม่มาเกดิ อีกกไ็ มม่ ีขันธ์ ถา้ ไม่มขี นั ธก์ ็ไมม่ ีทกุ ข์ เพราะทกุ ข์มที ่ขี ันธไ์ มใ่ ชม่ ที จี่ ติ แต่เหตุที่มาเกิดเพราะความหลง ไดแ้ ก ่ “อวชิ ชา” คอื ความไม่รคู้ วามจรงิ ไปยดึ ขันธ ์ ๕ วา่ เปน็ ตัวตน จิตจึงเกาะติดขนั ธ ์ ๕ ทำ� ใหพ้ าใหเ้ วยี นว่ายตายเกดิ ไม่รู้จกั จบสน้ิ และกม็ าทุกขเ์ พราะขันธ ์ ๕ อยทู่ ุกชาตไิ ป นี่คอื เหตุให้เกิดทุกข ์ เราตอ้ งมาทำ� ลายเหตขุ องการเกดิ คือทำ� ลายความยดึ มัน่ ถือมน่ั ในกองขนั ธ ์ ๕ เสีย
แผนภมู ิขนั ธ์ ๕ (กาย-ใจ) รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ครวบั าทมรราับบรู้ รา่ งกาย, อวยั วะ ความรสู้ ึก ควหามมาจย�ำรไู้ด้ ควปารมุงนแกึตคง่ ิด ผม, ขน, เลบ็ , ฟัน, หนัง, เนอื้ , เอ็น, กระดกู , เย่อื ในกระดกู , มา้ ม, หวั ใจ, ตับ, พงั ผดื , ไต, ปอด, ไสใ้ หญ,่ ไสน้ ้อย, ธาตดุ ิน ร้สู กึ เป็นสุขกาย จำ� รปู คดิ ถึงรูป ร้ทู างตา อาหารใหม,่ อาหารเก่า, เย่อื มันสมอง รูส้ ึกเป็นทุกข์กาย มี ๒๐ ชนดิ รู้สึกเฉยๆ กาย ธาตดุ นิ + ธาตนุ ำ้� เทา่ กบั อาการ ๓๒ น�้ำด,ี เสลด, นำ�้ เหลอื ง, นำ�้ เลอื ด, จ�ำเสียง คดิ ถึงเสียง ร้ทู างหู น้ำ� เหงอื่ , น้�ำมันข้น, น�ำ้ ตา, นำ�้ มันเหลว, ธาตุน้�ำ น�้ำลาย, น้�ำมูก, น�้ำไขขอ้ , น�ำ้ ปัสสาวะ มี ๑๒ ชนิด คิดถึงกลิ่น รู้ทางจมูก จ�ำกลน่ิ หมายถึงไฟทใี่ หค้ วามอบอุน่ ในรา่ งกาย ธาตุไฟ รู้สกึ เป็นสุขใจ จำ� รส คดิ ถงึ รส รทู้ างลิน้ ตลอดเวลา สงั เกตได้จากคนปว่ ยมไี ข้ ธาตุลม รสู้ ึกเป็นทุกข์ใจ จำ� ผสั สะกาย คดิ ถึงผัสสะกาย รู้ทางกาย ตวั จะร้อน ถ้าคนตายตัวจะเย็น รูส้ กึ เป็นเฉยๆ ใจ จ�ำอารมณ์ของใจ รทู้ างใจ เพราะธาตไุ ฟดบั คิดถึงอารมณ์ของใจ หมายถึงลมทอี่ ยู่ในร่างกาย อาทิ ลมท่ีอยู่ในปอด ลมท่ีอยู่ในลำ� ไส้ ลมท่ีอย่ใู นกระเพาะอาหาร ลมที่อยู่ในช่องวา่ งของรา่ งกาย รูป นาม
18 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น
มารู้จกั ธาตุ ๔ ขันธ ์ ๕ ในเบ้ืองต้นน้ันให้ทุกท่านจงมาเรียนรู้และท�ำความเข้าใจใน เรอื่ งธาต ุ ๔ ขนั ธ ์ ๕ กนั ใหม้ ากๆ กอ่ น เพอื่ จะเขา้ ไปรคู้ วามจรงิ ว่าท่ีแท้น้ัน ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ที่มีอยู่ในกายใจเรานั้น เป็นเพียง แค่ธรรมชาติหนึ่งซ่ึงเรามาอาศัย และธรรมชาติที่เรามาอาศัยน ้ี เขาอยู่อย่างเป็นธรรมชาติ ซ่ึงมีกฎธรรมชาติของเขา คือ อยู่ใต้ กฎแห่งไตรลักษณ์ และกฎแห่งไตรลักษณ์นี้ก็คือปรากฏการณ์ ของธรรมชาติ ซ่ึงมีความเป็นปกติธรรมดา ธาตุท้ัง ๔ มีหน้าที่ อะไร ขันธ์ท้ัง ๕ มีหน้าที่อะไร เราต้องแยกให้ออกระหว่าง ขันธ์ ๕ กับ จิต หรือระหว่างกาย ใจ และจิต กายส่วนหนึ่ง ใจสว่ นหนง่ึ จติ สว่ นหนงึ่ ตอ้ งเขา้ ใจในคณุ สมบตั ิ ในหนา้ ทขี่ อง กาย ใจ และจิต ด้วยการมาเรียนรู้ว่า สภาวะของกายคืออะไร
20 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น สภาวะของใจคืออะไร และสภาวะของจิตคืออะไร การท�ำงาน ของร่างกายเขามีหน้าท่ีอย่างไร กายท่ีรวมตัวมาจากธาตุ ๔ ดิน น้�ำ ไฟ ลม เขาท�ำหน้าที่อย่างไร แล้วสภาวะของใจเขามีอาการ อย่างไร มีสภาวะใดบ้าง เราต้องมาสังเกตและคอยแยกการ ท�ำงานของเขา โดยเข้าไปเรียนรู้การท�ำงานของเขา แยกให้ออก ว่าอะไรคือกาย อะไรคือใจ และอะไรคือจิต เม่ือเราเข้าใจว่า อะไรคือกาย อะไรคือใจ และอะไรคือจิตแล้ว หลังจากนั้นเรา กม็ าเฝา้ ดกู ารทำ� งานของเขาในชวี ติ ประจ�ำวนั ในระหวา่ งวนั วา่ เขา ท�ำงานอย่างไร เราเฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าสังเกตการท�ำงานของธาตุ ๔ และในขณะทเ่ี ราเฝา้ สงั เกตการณค์ วามเคลอ่ื นไหวของกายนน้ั เราไมไ่ ดด้ ูเพยี งแคก่ ารเคลอ่ื นไหวของกายอย่างเดยี ว แต่ให ้ หมายวา่ เปน็ ธาต ุ ๔ กำ� ลงั เคลอ่ื นไหว นคี่ อื การเจรญิ มรรค ให ้ เราเจริญด้วยมรรค มรรคองค์ ๘ ย่อลงเหลือสาม คือ สติ สมาธิ ปัญญา ดังนั้นมรรคองค์ ๘ ที่เราจะใช้ต่อไปคือสาม องคม์ รรคเปน็ หลกั คอื สต ิ สมาธ ิ ปญั ญา เปน็ การเจรญิ มรรค ดว้ ยการดกู ายเคลอื่ นไหวเทา่ ที่จะเป็นไปได้
21 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท
22 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น ฝกึ ดกู าย การดูกายสามารถดูได้ทุกขณะ ท้ัง ยืน เดิน นั่ง นอน โดยดูได้ท้ังขณะท่ีหยุดนิ่งและเคลื่อนไหว ดูให้เห็นโดยความ เป็นธาตุว่าเป็น ดิน นำ�้ ไฟ ลม เช่น ขณะท่ีเคลื่อนไป ให้เห็น วา่ ไมใ่ ชเ่ พยี งกายเทา่ นนั้ ทเี่ คลอื่ นไหว แตใ่ หเ้ หน็ วา่ นน่ั คอื ธาต ุ ๔ กำ� ลงั เคลอ่ื นไหว เหมอื นเครอื่ งจกั รกลก�ำลงั ทำ� งานอย ู่ ในขณะที่ เราหายใจเขา้ กใ็ หร้ วู้ า่ ธาตลุ มกำ� ลงั เคลอื่ นเขา้ เราหายใจออกกใ็ ห้ รวู้ า่ ธาตลุ มกำ� ลงั เคลอื่ นออก เหน็ การทำ� งานของธาตลุ ม เหมอื น ลมทพ่ี ดั ใบไมซ้ งึ่ เปน็ ธรรมชาตทิ เี่ ขาพดั อยตู่ ลอดเวลา เรากไ็ มไ่ ด้ ใหค้ า่ ใหค้ วามหมายของลมทพ่ี ดั ผา่ นไป เราดลู มหายใจเขา้ ไป ในกาย และออกจากกายน้ันก็เป็นเพียงแค่ลมหนึ่งซึ่งพัด เข้ากาย พัดออกจากกาย เป็นแค่ธาตุลม ไม่ใช่ลมหายใจ ของเรา ขณะลมที่พัดเข้าสู่กายและลมพัดออกจากกายก ็ ไม่แตกต่างอะไรกับต้นไม้ใบไม้ ซึ่งถูกลมพัด กายของเรา กค็ อื ธาตดุ นิ ตน้ ไมใ้ บไมก้ ค็ อื ธาตดุ นิ เวลาลมพดั ใบไม ้ หรอื ลมพัดเข้าสู่กาย ให้เรารู้ว่าน่ันลมก�ำลังพัดดิน และกายเรา ไม่ได้มีแค่ธาตุดินเพียงอย่างเดียว แต่มีธาตุนำ�้ ชุ่มฉ่�ำอยู่ด้วย เวลาเรากลืนน้�ำลาย เวลาน�้ำเหงื่อไหลออก เวลาน้�ำมูกไหล ให้รู้เถิดว่าขณะนั้นธาตุน�้ำก�ำลังไหลซึมเข้าไหลซึมออก แม้ เวลาเราด่ืมน�้ำเราก็จงรู้ว่านั่นเราก�ำลังเติมน�้ำให้กับธาตุดิน
23 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท เหมือนว่าเราก�ำลังรดน้�ำให้กับต้นไม้ ต้นไม้จึงเจริญงอกงามได ้ ที่ร่างกายเราเจริญงอกงามได้ เพราะอาศัยน�้ำที่คอยเติมให้กาย อยู่ทุกวัน ไม่ต่างอะไรกับเวลาเราใส่ปุ๋ยให้กับต้นไม้ ต้นไม้จึง งอกมาได้เพราะเราใส่ปุ๋ย การที่เราเติมอาหารให้กับร่างกาย จะเป็นพืชผักผลไม้หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ น่ันก็คือเรากำ� ลังเติมปุ๋ย ให้กับธาตุดินคือกาย เราไม่ได้บริโภคอาหารเพื่อความเมามัน เพื่อความสนุกสนาน หรือเพื่อความเอร็ดอร่อย แต่เป็นไปเพ่ือ ดับทุกขเวทนาคือความหิว พิจารณาว่าเราก�ำลังเติมปุ๋ยให้กับ ธาตุดิน เมื่อเราเติมป๋ยุ ให้กบั ธาตุดนิ แล้ว ธาตุดนิ กเ็ จรญิ เตบิ โต จงึ เหน็ วา่ รา่ งกายของเราเจรญิ เตบิ โตอยตู่ ลอดทกุ วนั ผมของเรา ก็ยาวออกมา เล็บของเราก็งอกยาวออกมา เราจึงต้องตัดเล็บ ตัดผมบ่อยๆ ฉะน้ันปุ๋ยท่ีเราเติมให้กับร่างกายก็เป็นการเพิ่ม เซลล์ใหม่ให้เกิดข้ึน เซลล์ใหม่เกิดขึ้น เซลล์เก่าก็ตายไป ร่างกายเราก็ไม่แตกต่างอะไรกับต้นไม้ จงมองให้เห็นกายเป็น เพยี งแคธ่ าต ุ และตน้ ไมก้ ไ็ มไ่ ดม้ เี พยี งแคน่ ำ้� หรอื ดนิ อยา่ งเดยี ว ตอ้ งมแี สงแดด ความรอ้ นดว้ ย ถา้ ขาดแสงแดดแลว้ ตน้ ไมก้ จ็ ะ ไมโ่ ต ฉะนน้ั รา่ งกายกต็ อ้ งอาศยั ธาตไุ ฟเปน็ ตวั เรง่ ตวั เผาผลาญ อาหาร เผาผลาญนำ้� ใหก้ ายเรามกี ารเจรญิ เตบิ โตเกดิ ขน้ึ จง พจิ ารณาวงจรภายในกายอยา่ งน้ี
24 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น เฝ้าดใู จ เมื่อเราเข้าใจการท�ำงานของกายแล้ว เราก็จงยกใจขึ้นมา พิจารณา ใจของเรามี ๔ อาการ คือ มีความรู้สึก มีความจ�ำ มีความคิด และมีตัวรู้ จงแยกให้ออกว่าใจเขาท�ำงานอย่างไร หนา้ ทข่ี องความรสู้ กึ เขากแ็ คร่ สู้ กึ อยา่ งเดยี ว หนา้ ทข่ี องความจ�ำ เขากจ็ ำ� อยา่ งเดยี ว หนา้ ทขี่ องความคดิ เขากค็ ดิ อยา่ งเดยี ว หนา้ ท ่ี ของตวั ร ู้ เขากร็ อู้ ยา่ งเดยี ว เขาไมไ่ ดแ้ ทรกแซงกนั เลย ฉะนน้ั รนู้ ้ี ก็สักแตว่ า่ รู้ เขาไม่ได้แทรกแซงในความคดิ เขาไม่ไดแ้ ทรกแซง ในความจ�ำ และรู้น้ีก็ไม่ได้แทรกแซงในความรู้สึก ความรู้สึกก็ เช่นกันก็คนละส่วนกับรู้ ความจ�ำก็คนละส่วนกับรู้ ความคิด ก็คนละส่วนกับรู้ คิดก็คิดไปแต่เขาไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แต่หน้าที่ของความรู้สึกกลับเป็นอีกตัวท่ีมีแค่ความรู้สึกเท่าน้ัน ความจำ� กม็ หี นา้ ทจี่ ำ� เทา่ นน้ั แตเ่ ขาไมร่ สู้ กึ อะไร ความรสู้ กึ กบั ความจำ� ก็คนละตัวกัน เราจงพยายามแยกหน้าที่ของใจท่ีเขาท�ำหน้าท ี่ แตกต่างกันไป เหมือนเราท�ำงานอยู่ในออฟฟิศก็มีหลายแผนก มแี ผนกอะไรบ้าง เราก็จงแยกเอา แผนกจัดซอ้ื แผนกฝ่ายขาย แผนกการตลาด แผนกบญั ช ี เขาไมแ่ ทรกแซงกนั แลว้ ฝา่ ยผลติ กค็ อื ฝา่ ยผลติ ไมแ่ ทรกแซงกนั ฝา่ ยบญั ชกี ค็ อื หนา้ ทจี่ ดจ�ำบนั ทกึ รายรับรายจ่าย ฝ่ายผลิตก็คือกองสังขาร เขาก็จะผลิตความคิด ขนึ้ มา ฝา่ ยรกู้ ค็ อื ผจู้ ดั การ คอยดลู กู นอ้ งท�ำงาน แตเ่ ขาไมไ่ ดเ้ ปน็
25 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท ผู้ผลิต เขาน่ังอยู่เฉยๆ ผู้จัดการไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย แค่น่ังดู เฉยๆ แต่ลูกน้องทำ� งาน น่ีคือการทำ� งานของใจเป็นอย่างน้ี เรา กด็ กู ารทำ� งานของเขาเหมอื นวา่ เราเปน็ ผดู้ ู ผรู้ ู้ อยา่ แทรกแซง การทำ� งานของเขา รคู้ วามรสู้ กึ รคู้ วามจำ� รคู้ วามคดิ และรใู้ นร ู้ ซงึ่ เขาทำ� หนา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป เหมอื นเราดธู าต ุ ๔ เราดธู าต ุ ๔ ดว้ ยความเปน็ กลางๆ โดยทเ่ี ราไมไ่ ดแ้ ทรกแซงในธาต ุ ๔ และ มาดกู ารทำ� งานของใจ โดยทเี่ ราไมไ่ ดไ้ ปแทรกแซงการท�ำงาน ของใจ เหน็ การเกดิ ดบั ของเขา ทำ� อยา่ งนบี้ อ่ ยๆ เขา้ นน่ั แหละ เราจะเข้าใจวิถกี ารทำ� งานของใจ กิเลสมีอยู่เพยี งตวั เดียวเทา่ น้นั คอื อปุ าทานความยดึ ม่นั ถอื มนั่ ตา่ งหากละ่ ทเ่ี ปน็ กเิ ลส เพราะเรายดึ สง่ิ ใดสง่ิ นน้ั เปน็ ทกุ ข์ หากว่าเรามีสงิ่ ใด แล้วเราไมย่ ดึ ในส่งิ น้ันๆ เราก็ไม่ทุกข ์ ตัวท่ีท�ำใหท้ ุกข์แท้จริงคอื อุปาทาน แลว้ ตัวอปุ าทานทีท่ ำ� ให้เราทุกข์ ก็คอื กเิ ลสนน่ั เอง
26 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น การท�ำงานของกายและใจ กายของเราก็มีแค่ธาตุ ๔ ดิน น้�ำ ไฟ ลม และภายใน ธาต ุ ๔ กม็ เี พยี งแค ่ ๒ ธาตทุ เ่ี ราสามารถเหน็ ได ้ กค็ อื ธาตดุ นิ กบั ธาตุน้�ำ เราจงแยกเป็น ๒ กลุ่มหลักๆ ท่ีเราเห็นและจับต้องได ้ ก็คือกลุ่มของธาตุดินมี ๒๐ ชนิด และกลุ่มของธาตุน้�ำมี ๑๒ ชนิด พิจารณากลุ่มของธาตุดิน โดยเห็นรูปร่างลักษณะ สีของ เขา โดยยกผมขึ้นมาก่อน เห็นผมของเราเป็นเส้นๆ ว่าสีอะไร ก็พิจารณาตามสีท่ีเราเข้าใจ เม่ือพิจารณาลักษณะของผมแล้ว จงพิจารณาลักษณะสีของผม แล้วพิจารณาถึงกลิ่นของผมให ้ ครบหมด ลกั ษณะรปู ของผม สขี องผม และกลน่ิ ของผม เวลา ไม่สระผม กล่ินเป็นอย่างไร พิจารณาถึงกลิ่นของเขา พิจารณา ให้ละเอียดตรงนี้ ขนก็เช่นกัน พิจารณาลักษณะของขน ส ี ของขน และกลิ่นของขน เล็บ ยกขึ้นมาพิจารณาลักษณะของ เล็บ สีของเล็บ และกลิ่นของเล็บ ฟัน ยกฟันข้ึนมาพิจารณา ลักษณะของฟัน สีของฟัน และกล่ินของฟัน หนัง ยกหนัง ขึ้นมาพิจารณาลักษณะของหนังเป็นผืนๆ สีของหนัง และกล่ิน ของหนัง เน้ือ ก็ยกเนื้อขึ้นมาพิจารณาลักษณะของเน้ือ สีของ เน้ือ และกลิ่นของเนื้อ ให้เห็นโดยความเป็นจริง เอ็น เส้นเอ็น ท่ีอยู่ในร่างกาย ท่ีเขาร้อยรัดร่างกาย ยึดร่างกายเอาไว้ ยึดตาม ขอ้ กระดกู ยดึ กระดกู เราไวใ้ หเ้ ปน็ โครงสรา้ งขน้ึ มา เรากพ็ จิ ารณา
27 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท ถึงลักษณะของเอ็น สีของเอ็น และกลิ่นของเอ็น กระดูก ก็ยก กระดูกข้ึนมาพิจารณาลักษณะของกระดูกตั้งแต่กระดูกปลาย เท้าถึงกระดูกศีรษะ ลักษณะของกระดูก สีของกระดูก และ กล่ินของกระดูก เย่ือในกระดูก เราก็ยกกระดูกขึ้นมาพิจารณา ภายในกระดกู นนั้ จะเปน็ โพรง เปน็ เยอ่ื ในกระดกู เหมอื นฟองน�้ำ จงพจิ ารณาเยอ่ื ในกระดกู สขี องเขา และกลน่ิ ของเขา มา้ ม กย็ ก ม้ามข้ึนมาพิจารณา ลักษณะของม้าม สีของม้าม และกลิ่นของ ม้าม ตับ เราก็ยกตับข้ึนมาพิจารณา พิจารณาลักษณะของตับ สขี องตบั และกลน่ิ ของตบั และยกปอดขนึ้ มาพจิ ารณา พจิ ารณา ลักษณะของปอด กลิ่นของปอด และสีของปอด หัวใจ เราก็ ยกหวั ใจขน้ึ มาพจิ ารณา พจิ ารณาลกั ษณะของหวั ใจ สขี องหวั ใจ และกล่ินของหัวใจ ไส้น้อยไส้ใหญ่ เราก็ยกขึ้นมาพิจารณา ลกั ษณะของไส ้ สขี องไส ้ และกลนิ่ ของไส ้ อาหารเกา่ และอาหาร ใหม่ก็ยกข้ึนมาพิจารณา ลักษณะของอาหารเก่าและอาหารใหม่ ท้ังสี และกล่ินของอาหารเก่าและอาหารใหม่ เย่ือในสมองก็คือ มันสมอง พิจารณาเห็นลักษณะของสมอง กล่ินของสมอง และ สีของสมอง นี่เรียกว่าธาตุดิน ๒๐ ชนิด การพิจารณาธาตุน�้ำก็ ไม่ตา่ งจากธาตุดนิ จงพิจารณาลกั ษณะเดยี วกนั น�้ำดมี นั สีอะไร ลักษณะเป็นอย่างไร กล่ินเป็นอย่างไร พิจารณาไปให้หมดใน ร่างกาย น้�ำเลือด น�้ำเหลือง น�้ำเสลด น้�ำลาย ไขมันข้น ไขมัน เหลว พจิ ารณาใหห้ มดตรงน ้ี นนั่ เราจะไดไ้ มห่ ลงเขาในความสวย ความงาม แล้วเราจะเห็นว่าทั้งสีและกลิ่นก็ดี ธาตุดิน ธาตุน้�ำ
28 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น ท้ังหมดเป็นเพียงสภาวะธาตุ ซึ่งรวมตัวมาจากพืชผักผลไม้และ เนื้อสัตว์ต่างๆ เม่ือเราเข้าใจอาการของธาตุ ๔ จนสมบูรณ์แล้ว ก็ยกใจข้ึนมาพิจารณาการท�ำงานของเขา ซึ่งได้กล่าวไว้แล้วว่า เขามหี นา้ ทจี่ �ำ กใ็ หส้ งั เกตอาการจำ� วา่ เขาจำ� อยา่ งไร รใู้ นปจั จบุ นั ในขณะที่เขาจ�ำ และความรู้สึกเขารู้สึกอย่างไร เราจับในความ รู้สึกของปัจจุบันนั้นๆ ว่าขณะท่ีเขาเป็นทุกข์ อาการของทุกข์น้ัน เป็นอย่างไร และอาการของสุขน้ันเขาสุขอย่างไร อาการท่ีเขา เฉยๆ เขาเฉยอย่างไร นี่เขาเรียกว่าความรู้สึก และยกความจำ� ขึ้นมาดูว่าเวลาเขาจ�ำ เขาเป็นลักษณะใด เวลาเขาจ�ำไม่ได้ เขา เป็นเช่นไร คิด ก็มาเฝ้าดูความคิด เวลาเขาคิดโน่นคิดนี่ คิดดี คิดชั่วเป็นอย่างไร เวลาเขาคิดและเวลาเขาไม่คิดเป็นอย่างไร แล้วมาเฝ้าดูตัวรู้ ตัวรู้นี้ก็รู้ได้สารพัด เวลาที่เขารู้เป็นอย่างไร และเวลาที่เขาไมร่ ้เู ปน็ อยา่ งไร นี่คอื ดกู ารทำ� งานของกายและใจ ใจของเรามี ๔ อาการ คือ มีความรูส้ กึ มีความจำ� มีความคดิ และมตี วั รู้ จงแยกให้ออกว่าใจเขาทำ� งานอยา่ งไร
29 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท โปรย
30 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น อวชิ ชาพาให้เกดิ ขณะที่กายใจท�ำงาน ตัวจิตนั้นเขาไม่ได้ท�ำอะไรเลย จิต น้ันไม่มีอาการ ไมม่ คี วามรูส้ กึ ไม่มคี วามคิด และไมม่ ีตัวร้ ู แต่ มีหน้าท่ีเพียงแค่ส่งกระแสคล่ืน ท�ำให้มีความรู้สึกได้ ท�ำให้มี ความจำ� ได ้ ใหม้ คี วามคดิ ได ้ ใหม้ รี ไู้ ด ้ เปน็ ตวั กระตนุ้ เฉยๆ แต่ ตวั เขาเองไมไ่ ดท้ ำ� อะไรเลย เพราะจติ ดวงนเ้ี ปน็ เพยี งแคพ่ ลงั งาน ซง่ึ พลงั งานนเี้ ขาไมไ่ ดเ้ ปน็ อะไรเลย แตม่ อี ยใู่ นกาย มอี ยใู่ นใจ เพราะว่าจิตเขามีความลุ่มหลงอยู่กับกายใจมาหลายภพหลาย ชาติไม่อาจนับได้ เขาเวียนว่ายตายเกิดอยู่กับกายใจ เพราะ ความลมุ่ หลงแหง่ อวชิ ชาจงึ ไปเกดิ กบั กายใจ แลว้ กต็ อ้ งมาทกุ ข ์ เพราะกายใจอยนู่ บั ชาตไิ มถ่ ว้ น เพราะเขาหลงในกายใจ แต ่ ตวั เขาเองเขาไมไ่ ดม้ อี ะไรเลย ฉะนนั้ เมอ่ื ตวั เขาเองไมม่ อี ะไร เขา ก็ควรจะอย่ใู นท่ีทเี่ ขาไม่มอี ะไร แตเ่ พราะความหลงในวัฏสงสาร ท่ีท�ำให้ดวงจิตนี้ไปเกาะติดอยู่กับกองสังขารของรูปนามขันธ์ ๕ อยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เป็นความหลงระเริงเพลิดเพลินไปกับ รูป รส กล่ิน เสียง โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ เพลิดเพลิน ไปกับธาตุ ๔ เพลิดเพลินไปกับขันธ์ ๕ จิตดวงน้ีจึงถูกอวิชชา ปิดบัง ครอบง�ำอยู่ เขาจึงไม่สามารถเล็ดลอดออกจากบ่วงและ วฏั สงสารได ้ ทงั้ ๆ ทเ่ี ขารวู้ า่ มนั ทกุ ข ์ แตจ่ ติ ทเ่ี ปน็ อวชิ ชานนั้ เขาจะ หลงเพลิดเพลินไปกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสท่ีเป็นกามคุณ
31 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท หลงระเริงไปกับธาตุทั้ง ๔ คือ รูป ท่ีประกอบไปด้วย ดิน น�้ำ ไฟ ลม หลงระเรงิ ไปกบั นามทงั้ ๔ กค็ อื เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ที่เขาอาศัยอยู่ และเขาก็ยึดติดกับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นท่ีมาของความทุกข์ทั้งหลายท้ังปวง แต่ที ่ ที่จิตควรอยู่คืออยู่ในท่ีที่ไม่มีอะไร ซึ่งเป็นท่ีที่ปลอดภัยจากรูป ปลอดภัยจากเวทนา ปลอดภยั จากสญั ญา ปลอดภยั จากสงั ขาร ปลอดภัยจากวิญญาณ เมื่อปลอดภัยจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณแล้ว เขาจะปลอดภัยจากกิเลสทั้งปวง ก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ จงมองใหเ้ ห็นกายเป็นเพียงแคธ่ าตุ และต้นไม้ก็ไม่ไดม้ ีเพียงแค่นำ้� หรอื ดนิ อยา่ งเดยี ว ต้องมีแสงแดด ความร้อนด้วย ถา้ ขาดแสงแดดแลว้ ตน้ ไมก้ จ็ ะไมโ่ ต ฉะน้นั ร่างกายกต็ อ้ งอาศัยธาตุไฟ เปน็ ตัวเร่ง ตวั เผาผลาญอาหาร เผาผลาญน�ำ้ ให้กายเรามีการเจรญิ เตบิ โตเกดิ ข้นึ จงพิจารณาวงจรภายในกายอย่างน้ี
32 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น อวชิ ชาคอื ขันธ์ ๕ การปฏิบัติท่ีผ่านมา ท่ีปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้าเป็นเพราะว่า เราเข้าใจกันผิดว่าจะปฏิบัติเพ่ือเข้าไปท�ำลายกิเลส คือไฟท้ัง ๓ กอง ได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ ท�ำให้ท่ีผ่านมาเราต่างอาศัยสต ิ อาศยั สมาธ ิ อาศยั ปญั ญา เพอ่ื ไปทำ� ลายกเิ ลส ๓ กองนนั้ ใหห้ มด ไปหรือว่าให้เบาบางลงไป เพ่ือจะได้เข้าสู่มรรคผลนิพพานนั้น จึงการปฏิบัติที่ผิดวิธี เพราะเมื่อเราเข้าสมาธิไปพัก กิเลสมันก็ มอดลง พอเราออกจากสมาธ ิ กเิ ลสมนั กเ็ กดิ ขนึ้ อกี ฉะนน้ั สมาธิ นก้ี เ็ ปน็ เพยี งแคต่ วั กดทบั กเิ ลสไมใ่ หม้ นั ทำ� งานชว่ั คราว เหมอื น กนิ ยาระงบั แกป้ วด พอหมดฤทธย์ิ าแลว้ กก็ ลบั มาปวดเหมอื นเดมิ เราจึงต้องกินยาบ่อยๆ เหมือนกับเราต้องมาน่ังท�ำสมาธิบ่อยๆ มนั จงึ ตอ้ งทำ� ไมม่ รี จู้ กั จบสน้ิ แตก่ ารใชป้ ญั ญาเขา้ ไปทำ� ลายลา้ งก็ เหมอื นการผา่ ตดั เรามาผา่ ตดั วงจรของอวชิ ชา ทำ� ลายลา้ งอวชิ ชา ดว้ ยการเขา้ ไปทำ� ลายสงิ่ ทมี่ นั ทำ� ใหเ้ กดิ กเิ ลส และสง่ิ ทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ กิเลสก็คือขันธ์ ๕ ดังน้ันเราไม่ต้องเข้าไปท�ำลายกิเลสกันให ้ เสยี เวลาเพราะเราทำ� ลายไมไ่ ด ้ แตเ่ ราจงเขา้ ไปทำ� ลายขนั ธ ์ ๕ คอื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ กค็ อื ทำ� ลายกายใจ เมอื่ เรา มาทำ� ลายความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในกายใจไดแ้ ลว้ นน่ั คอื การทำ� ลาย กิเลส คือการท�ำลายภพและชาติ ชาติ ชรา มรณะ เกิดข้ึนได ้ เพราะอวิชชา และอวิชชาคืออะไร อวิชชาก็คือขันธ์ ๕ ซึ่งพาให้
33 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท เกิด เพราะมีขันธ์ ๕ จึงมีกองสังขาร เพราะมีกองสังขาร จึงม ี รูปนาม เพราะมีรูปมีนามจึงมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะจึงท�ำให้ เกิดเวทนา เพราะมีเวทนาจึงท�ำให้เกิดตัณหา เพราะมีตัณหาจึง ท�ำให้เกิดอุปาทาน เพราะมีอุปาทานจึงท�ำให้เกิดภพชาติ เพราะ มภี พมชี าตจิ งึ มชี ราและมรณะ วธิ ที เี่ ราจะเขา้ ไปตดั วงจรของชาต ิ ชรา มรณะ กค็ อื ตอ้ งตดั ทอ่ี วชิ ชา คอื ขนั ธ ์ ๕ หากเราไมม่ ขี นั ธ์ ๕ แลว้ มาทำ� ลายความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในขนั ธ ์ ๕ แลว้ กองสงั ขาร ก็ไม่มี เมื่อไม่มีกองสังขารแล้ว รูปนามก็ไม่มี เม่ือไม่มีรูปนาม แล้ว ก็ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อไม่มีตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจแล้ว ก็จึงไม่มีผัสสะ เม่ือไม่มีผัสสะเกิดขึ้น เวทนากจ็ ะ ไมม่ ี เมอ่ื ไมม่ เี วทนาแลว้ ตณั หากไ็ มม่ ี เมอื่ ไมม่ ตี ณั หา ก็จึงไม่ม ี อุปาทาน เม่ือไม่มีอุปาทานแล้ว ก็ไม่มีภพ ไม่มีชาติ เม่ือไม่มี ชาติแล้ว ชราและมรณะ มันจะเกิดจากไหน นี่คือวงจรของ ปฏิจจสมปุ บาท
34 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น ทานขนั ธ ์ ๕ เราต้องเข้าไปท�ำลายตัวอวิชชาคือขันธ์ ๕ เพ่ือถอดถอน อ วิ ช ช า อ อ ก จ า ก จิ ต ด ้ ว ย ก า ร เ ข ้ า ไ ป เ ฝ ้ า ดู ก า ร ท�ำ ง า น ข อ ง ขันธ์ ๕ จึงจะเห็นขันธ์ ๕ นี้ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพ่ือไปกะเทาะเปลือกของจิตออกเสียจนเหลือแต่จิตล้วนๆ ซ่ึง เขาไม่มีอะไร ซึ่งเราจะได้กลับบ้านเสียที บ้านที่เราควรจะอยู่ ก็คือแดนที่ไม่มีอะไรเลย คือพระนิพพาน เพราะฉะน้ันเรา จงตามหาดวงจติ ใหเ้ จอและทำ� ลายเปลอื กของจติ เสยี เพอ่ื นำ� จติ ของเราดวงนก้ี ลบั บา้ น บา้ นทเ่ี ราไมต่ อ้ งแก ่ บา้ นทเ่ี ราไมต่ อ้ งเจบ็ บ้านท่ีเราไม่ต้องตาย ก็คือเป็นบ้านที่ปลอดภัยท่ีสุด ซึ่งพระ- พุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ท่านอยู่ท่ีนั่น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก พระองค์ท่านก็อยู่ท่ีน่ัน พระอริยสงฆ์ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ท่านก็อยู่ท่ีน่ัน เป็นที่อยู่ของจิตล้วนๆ ซึ่งไม่มีรูป ไม่ม ี นาม ไม่มีกาย ไม่มีใจ ไม่มีขันธ์ ๕ ใดๆ ทั้งส้ินเลย การ ท�ำทานที่สูงสุดคืออภัยทานและธรรมทาน เราเคยสละทรัพย ์ สมบัติส่วนตัวเพ่ือบริจาคทาน เพ่ือให้เราไม่ตระหน่ี แต่เรา เคยทานส่ิงที่ล�้ำค่าบ้างหรือเปล่า หากเรามาทานสิ่งน้ี จะได ้ อานิสงส์มหาศาล ส่ิงท่ีลำ้� ค่าที่เราหวงแหนท่ีสุดคืออะไร ก็คือ กายกับใจ จงเอากายใจของเรามาทานให้กับพระพุทธเจ้า ก็คือเอาขันธ์ ๕ มาบริจาคทานเสีย จงสละคืนรูปให้กับรูป
35 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท สละคนื เวทนาใหก้ บั เวทนา สละคนื สญั ญาใหก้ บั สญั ญา สละคนื สังขารให้กับสังขาร สละคืนวิญญาณให้กับวิญญาณ แล้วน้อม รวมสภาวะทั้งหมดของขันธ์ ๕ มอบถวายให้กับพระพุทธองค์ เป็นพุทธบูชา ถ้าเรากล้าบริจาคขันธ์ ๕ กล้าทานขันธ์ ๕ แล้ว น่ันคืออานิสงส์มหาศาลเป็นทานสูงสุด ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ท่านทรงทานมาตลอด กลา้ บรจิ าคขนั ธ ์ ๕ หรือเปล่า กล้าทานขันธ์ ๕ กลา้ ท่จี ะยกคัทเอาท์ลง ถา้ ใครกลา้ ทานขนั ธ ์ ๕ กล้าบรจิ าคขันธ์ ๕ ไดน้ น่ั แหละ กเิ ลสทง้ั หลายทงั้ ปวง ภพชาตทิ งั้ หลายทงั้ ปวง ดบั หมด อย่าไปเสยี ดายเลย กายใจ ขนั ธ ์ ๕ ทเ่ี ราต้องพาเวยี นวา่ ยตายเกดิ อันน้ี เราทกุ ขก์ ับเขามาขนาดไหน
36 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น กลับสคู่ วามไมม่ ี กอ่ นทพ่ี ระพทุ ธองคจ์ ะไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ พระองค์ ทรงควกั ดวงตาของพระองคบ์ รจิ าคไปมากกวา่ ดวงดาวบนทอ้ งฟา้ เสยี อกี นำ้� เลอื ดทบ่ี รจิ าคไปมากกวา่ นำ้� ในมหาสมทุ รกวา่ พระองค ์ จะเปน็ พระพทุ ธเจา้ ได ้ เพราะฉะนนั้ เรามเี พยี งแคธ่ าต ุ ๔ ขนั ธ ์ ๕ เราจงทานคืนสู่ธรรมชาติ โดยการถวายเป็นพุทธบูชาเสีย เรา จะได้ไม่กลับมาใช้มันอีกชั่วอนันตกาล เพ่ือจะได้น�ำจิตดวงนี้ กลับบ้านไปอยู่กับพระพุทธองค์ ซึ่งท่านอยู่ในสถานท่ีนั้นโดย ไมไ่ ดม้ รี ปู นาม ไมไ่ ดม้ อี ะไรเลย แมแ้ ตส่ ภาวะทว่ี า่ เปน็ พระพทุ ธ- เจ้าก็ไม่มี มีแต่ความบริสุทธ์ิของจิตล้วนๆ และจิตนี้เดิมเขา ไมเ่ คยแก ่ ไมเ่ คยเจบ็ ไมเ่ คยตายเลย แตส่ งิ่ ทแ่ี ก ่ เจบ็ ตาย น้ันเป็นเพียงแค่ร่างกายของจิต และร่างกายของจิตก็คือ รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ และรปู เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณนี้ก็คือกายกับใจ ขณะท่ีเราอาศัยเขาอยู่น ี้ มแี ตค่ วามทกุ ข ์ เพราะรปู อยใู่ นสถานะทท่ี นไดย้ าก เพราะรปู นน้ั เป็นทุกข์ เวทนาก็อยู่ในสถานะท่ีทนได้ยาก เพราะเวทนาน้ัน เป็นทุกข์ สัญญาก็อยู่ในสถานะท่ีทนได้ยาก เพราะสัญญานั้น เป็นทุกข์ สังขารก็อยู่ในสถานะที่ทนได้ยาก เพราะสังขารน้ัน เป็นทุกข์ วิญญาณก็อยู่ในสถานะท่ีทนได้ยาก เพราะวิญญาณ น้ันเป็นทุกข์ และรูปก็บังคับบัญชาไม่ได้ อยู่ในสถานะที่เป็น
อนัตตา เวทนาก็บังคับบัญชาไม่ได้ อยู่ในสถานะที่เป็นอนัตตา สัญญาก็บังคับบัญชาไม่ได้ อยู่ในสถานะท่ีเป็นอนัตตา สังขาร ก็บังคับบัญชาไม่ได้ อยู่ในสถานะท่ีเป็นอนัตตา วิญญาณ ก็บังคับบัญชาไม่ได้ อยู่ในสถานะท่ีเป็นอนัตตา ค�ำว่าอนัตตา กค็ อื เขาเปน็ ธรรมชาตซิ งึ่ ไมไ่ ดม้ ตี วั ตน เราจงึ ตอ้ งคนื ธรรมชาติ ทง้ั หมดนกี้ ลบั คนื สธู่ รรมชาตเิ สยี และเรากก็ ลบั คนื สธู่ รรมชาติ ของความไม่มีต่อไป
38 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น จดุ จบแหง่ ชาติ ชรา มรณะ เราอยา่ มาเสยี ดายเลยกบั ธาต ุ ๔ ขนั ธ ์ ๕ ทกุ ขข์ นาดไหน ขณะที่เราด�ำรงชีวิตอยู่กับเขา พากิน พานอน พาหลับ พาถ่าย ต้องตกเป็นทาสรับใช้ให้กับขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ตลอดต้ังแต่วันเกิด จนกระทั่งวันตาย น้�ำก็อาบทุกวัน เส้ือผ้าก็ซักทุกวัน ต้องกิน ทกุ วนั ตอ้ งถา่ ยทกุ วนั ตอ้ งพาไปนอนทกุ วนั ไมน่ อนกง็ ว่ ง นอน นานก็เป็นทุกข์ ต้องพาเขาลุกขึ้นออกมาหากินหาอยู่ เขามีอยู ่ เพียงแค่นี้ ท�ำงาน กิน นอน แล้วก็นอน กิน ท�ำงาน สุดท้าย เวลาแก่ตัวไปไหนไม่ไหวก็นอนกับกินอย่างเดียว ไม่ต้องท�ำงาน แล้วก็ตาย แล้วเราได้อะไรบ้างจากการเกิดมา น่ีแหละคือวิถี ชวี ติ ของขนั ธ ์ ๕ ทเ่ี ขาทำ� งานกนั อย ู่ จงสละเสยี จงคนื เสยี ทาน อันย่ิงใหญ่นี้ ถ้าใครกล้าทานขันธ์ ๕ ภพชาติก็จะจบลง แต่ถ้า เรามวั เสยี ดายยงั อาลยั อยใู่ นขนั ธ ์ ๕ เรากต็ อ้ งไปเกดิ กบั ขนั ธ ์ ๕ อยทู่ กุ ภพทกุ ชาตไิ ป และเปน็ ทม่ี าของชาต ิ ชรา มรณะ และเปน็ ทมี่ าของอวชิ ชา วงจรนจ้ี งึ เปน็ วฏั สงสารทไี่ มร่ จู้ กั คำ� วา่ จบ ในเมอื่ เราเกิดมาแล้ว เราก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เราต้องยอมรับ ความจริงกัน แต่เราจะท�ำอย่างไรถึงจะไม่กลับมาแก่ มาเจ็บ และมาตายอีก เพราะความแก่ ความเจ็บ ความตายน้ีมันเป็น ทกุ ข ์ เรากต็ อ้ งมาปฏบิ ตั เิ พอื่ ใหไ้ มท่ กุ ข ์ คอื ไมแ่ ก ่ ไมเ่ จบ็ ไมต่ าย มีวิธีเดียวคือท�ำลายต้นเหตุของการเกิดเสีย ก็คืออวิชชา ซ่ึง
เปน็ เหตใุ หแ้ ก ่ เจบ็ ตาย กค็ อื ภพชาต ิ เมอ่ื ท�ำลายอวชิ ชาแลว้ ภพชาติก็หมดไป ความแก่ ชาติ ชรา มรณะก็หมดไปสิ้น แต่การจะเข้าถึงอวิชชาได้ ก็ต้องเข้าถึงขันธ์ ๕ ด้วยการ พิจารณาขันธ์ ๕ เพื่อเข้าไปถอดถอนความยึดม่ันถือมั่นใน ขันธ์ ๕ เท่าน้ัน จนเห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา คือจุดจบแห่ง ชาติ ชรา มรณะ วิธีอุบายก็บอกไว้หมดแล้ว เพียงแต่น้อมน�ำ ไปปฏบิ ตั ิ เส้นทางน้ีเท่านนั้ ที่จะพ้นทุกขไ์ ด้ จงคนื ขันธ ์ ๕ ให้กบั ขันธ ์ ๕ จงึ จะถือว่าเราได้คืนกเิ ลสให้กับกิเลสแลว้ ในเมือ่ ขันธ์ ๕ ยังอยู่ กเิ ลสกย็ งั อยู่ เม่ือเราไมย่ ึดในขันธ ์ ๕ แล้ว เราก็จะไปยึดกิเลสเพ่อื อะไร เพราะกเิ ลสกเ็ ป็นธรรมชาติส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเศษและอาการกิริยาของขนั ธ์ ๕ ทเี่ ขาแสดงตัวมาใหเ้ ห็นเปน็ ระยะๆ เท่าน้นั เอง แลว้ กเ็ กดิ ดับ
40 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น อยา่ ไปท�ำลายกิเลสใหเ้ สียเวลา ขอย้�ำเลยว่าอย่าไปท�ำลายกิเลสให้เสียเวลา จงมาท�ำลาย ขนั ธ ์ ๕ กนั เถดิ เมอื่ ขนั ธ ์ ๕ มนั ดบั ไปแลว้ กเิ ลสกด็ บั ตาม หาก เรามาทำ� ลายความยึดม่ันถอื มั่นในขันธ ์ ๕ แลว้ น่ันแหละถือวา่ เราท�ำลายความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสทั้งสิ้น จงคืนขันธ์ ๕ ให ้ กบั ขนั ธ ์ ๕ จงึ จะถอื วา่ เราไดค้ นื กเิ ลสใหก้ บั กเิ ลสแลว้ ในเมอ่ื ขนั ธ ์ ๕ ยงั อย ู่ กเิ ลสกย็ งั อย ู่ เมอ่ื เราไมย่ ดึ ในขนั ธ ์ ๕ แลว้ เรา กจ็ ะไปยดึ กเิ ลสเพอื่ อะไร เพราะกเิ ลสกเ็ ปน็ ธรรมชาตสิ ว่ นหนง่ึ ซงึ่ เปน็ เศษและอาการกริ ยิ าของขนั ธ ์ ๕ ทเี่ ขาแสดงตวั มาใหเ้ หน็ เปน็ ระยะๆ เทา่ นน้ั เอง แลว้ กเ็ กดิ ดบั แตว่ า่ เราสามารถอยอู่ ยา่ ง ปราศจากกิเลสได้ แต่การที่เราอยู่อย่างปราศจากกิเลสหรือ เบาบางจากกเิ ลสนั้น ไมใ่ ช่หมายถงึ วา่ เราจะได้มรรคผลนพิ พาน หากจะไปนพิ พาน เราตอ้ งทำ� ลายอปุ าทานในขนั ธ ์ ๕ เทา่ นนั้ แต่การอยู่อย่างปราศจากกิเลสได้จะท�ำให้เราไม่ทุกข์ และ มรรควิธีแนวทางเพื่ออยู่อย่างปราศจากกิเลสก็คือการอาศัย สติ สมาธ ิ ปญั ญา เราตอ้ งสร้างสตใิ หแ้ ขง็ แรง สร้างสมาธิให ้ แขง็ แรง สรา้ งปญั ญาใหแ้ ขง็ แรง เพอ่ื เปน็ การทำ� ลายลา้ งกเิ ลส ที่อยู่ในกายใจของเราให้หมดส้ินไป แต่การท�ำลายล้างก็ท�ำลาย ล้างได้ช่ัวขณะหน่ึง ถ้าหากเราหยุดความเพียรเมื่อไหร่ กิเลส กง็ อกขน้ึ เหมอื นเดมิ ฉะนั้นส่ิงที่เราเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ต้องสร้างสต ิ
41 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท สร้างสมาธิ สร้างปัญญาไว้เป็นตัวคุ้มครอง เป็นตัวป้องกัน ส�ำหรับต้านกิเลสไม่ให้เกิดข้ึน เหมือนเราถอนหญ้า ตัดหญ้า เมื่อเราตัดหญ้าให้เตียนแล้วเราก็อยู่สบาย แต่ถ้าเราเลิกตัด เม่ือไหร่ หญ้าก็งอกและรกเหมือนเดิม เพื่อหวังความสบาย เราต้องคอยตัดหญ้าบ่อยๆ เหมือนบ้านของเราปลูกหญ้าไว้ ถ้า เราไม่ตัดหญ้าก็รก เราก็จะเดินล�ำบาก กิเลสก็เช่นกัน เราก ็ ทำ� ใหเ้ ขาออ่ นก�ำลงั ลงได ้ ดว้ ยการเอาสต ิ สมาธ ิ ปญั ญาไปตดั ไม่ใช่เหตุผลที่จะไปนิพพาน แต่เพ่ือต้องการอยู่อย่างสบาย ในขณะที่การท�ำลายขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณนนั้ เปน็ ไปเพอื่ จะไดม้ รรคผลนพิ พาน เมอื่ เขา้ ใจแลว้ นน่ั แหละคอื ทางของพระนพิ พาน แตใ่ นขณะทเี่ รายงั ไมไ่ ปนพิ พาน เราก็ต้องเอามรรค สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ เป็น เคร่ืองอยู่ด�ำเนินต่อไปเพ่ือให้ราคะ โทสะ โมหะ มันเบาบางไป จากขันธ์ของเรา เรียกว่าขันธสันดาน ซ่ึงมันหมักหมมอยู่เป็น เวลานาน เราก็ต้องเอาสติ สมาธิ ปัญญา มาหักล้างสันดาน ของเราซึ่งเคยชินกับราคะ โทสะ โมหะ ท่ีมันออกมาท�ำงาน ตลอดเวลา
42 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น อยู่เหนือสมมุติ เราต้องปรับใจของเราให้เข้ามาในทางของสัมมาทิฏฐิ ให้ เขาเห็นถูกตามความเป็นจริง ให้เขารู้สภาวะของกายใจน้ีว่า ยึดถือไม่ได้ แล้วกิเลสก็ยึดถือไม่ได้เช่นกัน เมื่อเราเห็นว่า ขนั ธ ์ ๕ ยดึ ถอื ไมไ่ ด ้ กเิ ลสยดึ ถอื ไมไ่ ด ้ เรากจ็ ะอยเู่ หนอื ขนั ธ ์ ๕ และอยู่เหนือกิเลส เราจึงอยู่เหนือสมมุติ อยู่เหนือธรรมชาติ โดยที่ไม่ยึดม่ันถือม่ันธรรมชาติ และไม่ยึดมั่นถือมั่นในสมมุต ิ เลย ถงึ จดุ นเ้ี รากจ็ ะอยอู่ ยา่ งอสิ ระ แตไ่ มไ่ ดห้ มายถงึ ความสบาย อยา่ งเดยี ว ไมไ่ ดห้ มายถงึ ความสขุ แตท่ เี่ ราอยตู่ รงน ี้ เราอยเู่ หนอื สขุ เราอยเู่ หนอื ทกุ ข ์ เราอยเู่ หนอื สขุ เหนอื ทกุ ขเ์ พราะสขุ และทกุ ข์ เป็นเร่ืองของขันธ์ เพราะเราอยู่เหนือขันธ์เราจึงอยู่เหนือสุข เหนอื ทกุ ข ์ อยเู่ หนอื สขุ เหนอื ทกุ ขไ์ ดเ้ ราจงึ มคี วามสบาย เพราะ เราอยเู่ หนือธรรมชาตขิ องขันธ ์ แตค่ วามสบายในท่ีนค้ี ือความ อิสระ ไม่ใช่ความสุข เพราะเราไม่ได้ยึดในสุขและไม่ยึดใน ทกุ ขแ์ ลว้ จะรสู้ กึ วา่ เบาและสบายเพราะเราไมเ่ กย่ี วขอ้ งยดึ ตดิ กับสภาวะทั้งหลายทั้งปวง นี่คือการเจริญมรรค เมื่อเราเข้าใจ ในมรรคแล้ว เราก็ต้องท�ำมรรคให้มากขึ้น ท�ำมรรคให้แจ้งข้ึน ท�ำมรรคให้เกิดข้ึนในใจของเรา เม่ือเข้าใจในอริยสัจ ๔ แล้ว เราก็ต้องท�ำอริยสัจ ๔ ให้แจ้ง รู้จักทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข ์ รู้หนทางดับทุกข์ คือนิโรธเกิดขึ้นแล้ว ทางดับทุกข์ก็คือมรรค
43 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท นน่ั เอง มสี ต ิ สมาธ ิ ปญั ญา เพอ่ื ไมใ่ หท้ กุ ขเ์ กดิ ขน้ึ อกี แตไ่ มใ่ ช่ ไม่ใหเ้ กดิ ทจี่ ติ แต่เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กิดขนึ้ ทีข่ ันธ ์ ๕ เทา่ น้นั ในขณะท ่ี เราด�ำรงขันธ์อยู่ก็ยังทุกข์ แต่ถ้าขันธ์ดับแล้วเราก็ไม่ต้องแก้ไข ทุกข์ที่เกิดขึ้นในขันธ์อีกต่อไป และสติ สมาธิ ปัญญาเท่าน้ัน ที่จะท�ำให้ขันธ์น้ันไม่ทุกข์ ถึงทุกข์อยู่ก็ทุกข์น้อยลง จนในท่ีสุด ทุกข์เหมือนไม่ทุกข์ สุขเหมือนไม่สุข เพราะว่าเราอยู่เหนือขันธ์ แตว่ า่ ไมไ่ ดด้ บั ทกุ ขแ์ ตเ่ ราดบั ความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในทกุ ข ์ ไมใ่ ช ่ เราหมดกิเลส แต่ว่าเราดับความยึดม่ันถือมั่นในกิเลส จึง ไมท่ ุกข์ในกิเลส ฉะนัน้ การปฏิบัติเราไมไ่ ดไ้ ปแก้อะไรเลย
44 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น ใชก้ ายเสร็จกว็ างกาย ใชใ้ จเสรจ็ กว็ างใจ ใหเ้ ป็นหน้าที่ของเขาทำ� งานตอ่ ไป นี่คอื การอยกู่ ับโลกสมมตุ ิ อยู่โดยไม่ยึดตดิ ไม่ไดเ้ ปน็ อุปสรรค กับการดำ� รงชวี ติ ของเราเลย
45 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท
46 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น กายใจไมใ่ ช่ของเรา กิเลสคอื อะไร จริงๆ แล้วราคะ โทสะ โมหะ ไม่ใช่กิเลส นะ กิเลสมีอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น คืออุปาทานความยึดม่ัน ถอื มนั่ ตา่ งหากละ่ ทเ่ี ปน็ กเิ ลส เพราะเรายดึ สง่ิ ใดสงิ่ นนั้ เปน็ ทกุ ข์ หากวา่ เรามีสิ่งใดแล้วเราไม่ยึดในสิง่ น้ันๆ เราก็ไม่ทกุ ข ์ ตวั ท่ี ทำ� ใหท้ กุ ขแ์ ทจ้ รงิ คอื อปุ าทาน แลว้ ตวั อปุ าทานทท่ี ำ� ใหเ้ ราทกุ ข์ กค็ อื กเิ ลสนนั่ เอง ดงั นน้ั เราจะดบั กเิ ลส เราตอ้ งดบั ตวั ทมี่ นั ทำ� ให้ เราทกุ ขค์ อื ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั เมอ่ื เราเลกิ ยดึ มน่ั ถอื มนั่ แลว้ ความ ทกุ ขก์ จ็ ะไมม่ ี และวธิ ที จ่ี ะทำ� ลายความยดึ มนั่ ถอื มนั่ เรากต็ อ้ งมา ท�ำลายความยึดม่ันถือมั่นในกายและใจ เพราะเรายึดมั่น ถอื มน่ั ในกายใจ เราจงึ ทกุ ขเ์ พราะกายใจ หากเราเหน็ วา่ กายใจ ไม่ใช่ของเราแล้ว มันไม่ยึดม่ันถือมั่นในกายใจ มันก็ไม่ทุกข์ เพราะกายใจ จึงเห็นกายใจน้ีเป็นธรรมชาติและตรงนี้เองท่ีจะ อยู่เหนือธรรมชาติของกายใจ แม้กายใจจะทุกข์อยู่แต่ก็ไม่ยึด ทุกข์ของกายใจมาเป็นของเรา หรือเป็นของจิต เพราะเรารู ้ ความจริงว่าจิตดวงนี้เขาไม่ได้มี ไม่ได้เป็น ความมี ความเป็น ทั้งหมดนั้นไม่ใช่จิต เพราะฉะน้ันจิตไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น เพราะจิตไม่ได้เป็นอะไร ส่ิงท่ีมีที่เป็นนั้นไม่ใช่จิต แต่เป็นแค ่ ธรรมชาติอันหน่ึงของรูปนามขันธ์ ๕ และเราก็ไม่ได้เป็นรูปนาม ขันธ์ ๕ และธรรมชาติของจิตเขาเป็นหน่ึงเดียว ซึ่งเขาไม่ได ้
47 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท เป็นอะไรเลย และแต่เดิมเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยด้วย เพราะ เขานั่นแหละคือผู้ไม่มีอาการ หมายไม่ได้ว่าเขาเป็นสภาวะใด ฉะน้ันจิตจึงอยู่ในสถานะที่เขาไม่ได้เป็นสภาวะใดๆ เลยท้ังสิ้น และสภาวะท่ีมีอยู่ท้ังหมด เป็นสภาวะที่เกิดและดับ และส่ิงท่ ี เกิดดับน้ันเป็นเพียงรูปนามขันธ์ ๕ เท่านั้นท่ีเกิดดับ ส่วนส่ิงที ่ ไม่เกิดดับนั้นคือจิต ในขณะท่ีส่ิงทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าอะไร เกิดขึ้นมา สิ่งน้ันก็ต้องดับทั้งหมด และสิ่งท่ีดับท้ังหมดจึงเรียก ว่ากองสังขาร แต่มีส่ิงเดียวที่ไม่เคยดับเลยและจะไม่ดับช่ัว อนันตกาลคือจิตดวงน้ี เพียงแค่เรามาหลงสิ่งที่เกิดดับว่าเป็น อันเดียวกันกับจิต เราก็เลยมาทุกข์เพราะสิ่งที่เรามาอาศัยคือ กายกับใจ ถ้าหากว่าเราแยกออกว่าอะไรคือกาย อะไรคือใจ อะไรคอื จติ แล้ว เราก็จะไม่ไปลมุ่ หลงสงิ่ ที่ไมใ่ ชจ่ ิต
48 พ า จิ ต ก ลั บ บ้ า น กลบั บา้ นกนั จงปล่อยกายใจใหเ้ ป็นธรรมชาติไป สละคนื เขาเสีย กลับ บ้านกันเถอะ บ้านที่จิตควรจะอยู่ก็คือแดนที่เขาไม่มีอะไรเลย สงสารจิตเขาบ้างเถิด พาเขาตากแดดตากฝนมาหลายภพหลาย ชาติแล้ว เพราะความหลงของเราน่ันเอง ซึ่งได้พาจิตให้ไป ยึดติดกับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อาตมามาใน ฐานะลูกของพ่อ เพ่ือมาชักชวนดวงจิตของท่านให้กลับบ้าน ไปอยู่กับพ่อของเรา ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้า มาเป็นผู้ท�ำหน้าท่ี บอกเล่าเร่ืองของพ่อ และมาบอกเล่าความรู้ความเห็นของพ่อ วา่ พอ่ ของเรารเู้ หน็ อะไร และพอ่ ของเราตอ้ งการสอื่ อะไร เพอื่ จะ ไดก้ ลบั ไปหาพอ่ ของเราไดถ้ กู ตอ้ ง พวกเราทงั้ หลายถอื ไดว้ า่ เปน็ ชาวพุทธ เป็นบริวารของพระพุทธองค์เหมือนกันหมดทุกคน ซึ่งปรารถนามาเพ่ือได้เจอพระพุทธองค์ แต่ว่าเพราะวิถีแห่ง กรรม เราจงึ ไมอ่ าจไดเ้ ขา้ เฝา้ พระพทุ ธองคต์ อ่ หนา้ พระพกั ตร ์ แต่กโ็ ชคดีทีย่ งั มผี ู้เอาธรรมพระพุทธองค์มาสบื ทอดต่อไป ให ้ เราสามารถเข้าถึงพระพุทธองค์ได้ เพราะก่อนท่ีพระองค์จะ ปรนิ พิ พานนน้ั พระองคท์ รงวางหลกั ธรรมไวแ้ ลว้ ผใู้ ดทป่ี รารถนา จะเหน็ พระตถาคตแลว้ ขอใหผ้ นู้ นั้ นำ� ธรรมและคำ� สอนไปปฏบิ ตั ิ ก็จะเห็นธรรมและเห็นพระตถาคต ต่อให้ผู้นั้นได้เกาะชายจีวร ของพระองคอ์ ยู ่ ไดก้ อดขาของพระองคอ์ ยู ่ กย็ ังไมช่ ่อื ว่าอยใู่ กล้
49 พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ช า น น ท์ ช ย น นฺ โ ท พระตถาคต แต่หากผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระตถาคตและ อยใู่ กลพ้ ระตถาคต แมผ้ นู้ น้ั จะอยไู่ กลจากพระองคก์ ต็ าม เพราะ เขาเหล่าน้ันได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระธรรมที่พระองค์ทรงน� ำมาแสดงน้ัน เป็นความจริง ท้ังหมด พระองค์ไม่ได้หลอกลวง พระองค์เอาความจริงมาเผย ให้พวกเราท้ังหลายเขา้ ถงึ พระองคไ์ ด้ เพราะเราอย่เู หนอื ขนั ธ์ เราจึงอยู่เหนอื สขุ เหนอื ทกุ ข์ อยเู่ หนอื สขุ เหนอื ทกุ ข์ได้เราจึงมคี วามสบาย เพราะเราอยเู่ หนอื ธรรมชาตขิ องขันธ์ แตค่ วามสบายในทีน่ ค้ี ือความอิสระไมใ่ ช่ความสขุ เพราะเราไมไ่ ดย้ ึดในสขุ และไม่ยดึ ในทกุ ขแ์ ลว้ จะรู้สกึ ว่าเบาและสบาย เพราะเราไม่เกีย่ วข้องยดึ ติดกับสภาวะท้งั หลายทัง้ ปวง น่คี ือการเจรญิ มรรค
Search