Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Pktu.Kongtup.book_232

Pktu.Kongtup.book_232

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-04-07 08:05:19

Description: Pktu.Kongtup.book_232

Search

Read the Text Version

๕๐ กองทพั ทง้ั ๑๐ ของมาร ปญญาญาณท่ีเกิดข้ึนเองจากการเฝากําหนดดูเฉยๆ ลักษณะ ประการหน่ึงของปญ ญาหรอื ญาณนี้กค็ อื ความสวางไสว ซ่ึงจะ ทาํ ใหก ารรบั รขู องผปู ฏบิ ตั แิ จม ใสขน้ึ ปญ ญาเปรยี บเสมอื นแสง ไฟท่ฉี ายลงไปสูบริเวณที่มดื มดิ เปดเผยส่งิ ท่ีไมอ าจมองเห็นได ในอดตี กลา วคอื สภาวลกั ษณะและสามญั ลกั ษณะของรปู และ นาม ดวยแสงแหงปญญา ผูปฏิบัติจะสามารถกําหนดรูเห็น ลักษณะทั้งสองน้ีไดในทุกๆ อาการท่ีปรากฏ ไมวาจะเปนการ เห็น ไดยนิ ไดกลน่ิ ลม้ิ รส สมั ผัส รูส กึ ทางรา งกายหรอื ทาง ความคิด ปญญามีคุณสมบัติพิเศษคือทําใหไมสับสนเม่ือญาณ ทสั สนะเกดิ ขน้ึ จติ จะไมส บั สนเพราะความคดิ ทผี่ ดิ ๆ หรอื ความ เขา ใจผดิ ๆ ทีเ่ กย่ี วกับกายและจิต เม่ือเห็นแจงสภาวธรรมอยางชัดเจน แจมใสและ ไมสบั สน จิตจะเร่ิมตนเปย มไปดวยความศรทั ธาแบบใหม อัน เปนศรัทธาที่เกิดจากการพิสูจนแลว มิใชศรัทธาแบบมืดบอด หรอื ขาดเหตุผล ศรัทธาชนิดน้เี กดิ ข้นึ มาเองจากประสบการณ สวนบุคคล เราอาจเปรียบเทียบความศรัทธาน้ีกับความเชื่อที่ วาฝนตกทําใหเราตัวเปยก พระไตรปฎกกลาวถึงศรัทธา

พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บณั ฑิตาภวิ ังสะ ๕๑ ประเภทนี้ วาเปนการปลงใจเชื่อเพราะไดประสบดวยตนเอง ดังน้ัน เราจึงอาจเห็นความสัมพันธที่ใกลชิดระหวางความ ศรัทธาและปญญาได ศรัทธาท่ีเกิดจากการพิสูจนดวยตนเองน้ีมิไดเกิดขึ้น เพียงเพราะเราไดยินคําพูดที่นาเช่ือถือ ไมมีการศึกษาเปรียบ เทยี บ การวจิ ยั ทางวชิ าการ หรอื การใหเ หตผุ ลแบบใดทจ่ี ะทาํ ให เกดิ ศรทั ธาชนดิ นข้ี ึน้ ได และไมม วี ิปสสนาจารย ดาบส นกั บวช หรอื นกั บญุ ผใู ดจะบงั คบั ใหเ รามศี รทั ธาประเภทนไ้ี ด มเี พยี งการ ไดประสบสภาวธรรมโดยตรงดวยตนเองเทาน้ันท่ีจะทําให ศรทั ธาอนั มนั่ คงและย่งั ยืนชนดิ น้เี กดิ ข้ึน วธิ ที ส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ในการพฒั นาใหศ รทั ธาชนดิ นเ้ี กดิ ขน้ึ ก็ คอื การปฏบิ ตั ติ ามแนวทางคาํ สอนในพระไตรปฎ ก คาํ สอนเรอื่ ง วิธีการเจริญสติปฏฐาน บางคร้ังหากมองอยางผิวเผินอาจดูวา คับแคบและเรียบงายเกินไป แตเ ม่ือปญ ญาเรม่ิ ปรากฏ ขณะท่ี การปฏิบัติกาวหนาและลึกซึ้งมากข้ึน ประสบการณสวนตัว ของผปู ฏบิ ตั จิ ะทาํ ลายความเขา ใจผดิ ๆ เกยี่ วกบั ความคบั แคบ ของสติปฏฐานเอง วิปสสนากรรมฐานทําใหเกิดปญญาท่ี ยงิ่ ใหญไพศาล มิใชค ับแคบอยางท่คี ิด

๕๒ กองทพั ทงั้ ๑๐ ของมาร เมอื่ ศรทั ธาปรากฏขน้ึ ผปู ฏบิ ตั จิ ะรไู ดเ องวา จติ มคี วาม ผอ งใส ปราศจากสง่ิ รบกวนและความขุนขอ งใดๆ ในขณะน้นั จติ จะเต็มไปดวยความสงบสขุ และแจมใส หนา ที่ของศรทั ธาที่ เกดิ ขึน้ จากการพิสจู นดวยตนเองนี้ คือทําใหอ นิ ทรียท้ังหาท่ไี ด กลา วถึงในบททแ่ี ลว กลาวคอื ศรัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา มาประชมุ กนั และมคี วามเขม แขง็ ขน้ึ เมอ่ื อนิ ทรยี ห า แกก ลา ขน้ึ จิตจะมคี วามสงบ มีพลงั และแมนยํา ทําใหผ ปู ฏบิ ตั ิสามารถ เอาชนะไมเฉพาะกองทัพที่เจ็ดของมารเทาน้ัน แตรวมถึง กองทพั ทเ่ี หลอื ของมารอืน่ ๆ ทั้งหมดดว ย อิทธบิ าทส่ี : พลงั แหง ความสําเรจ็ เชน เดยี วกบั ในทางโลก บคุ คลทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรมดว ยความ แข็งขันและมุงม่ัน ยอมสามารถบรรลุถึงเปาหมายที่ตนต้ังเอา ไวได ความแข็งขันและมุงม่ันเปน พลัง ๒ ประเภทในพลงั ทง้ั สี่ ทจี่ ะทําใหก ารปฏิบตั ปิ ระสบความสําเรจ็ อนั ไดแก ฉันทะ คอื ความพอใจเปนพลังทีห่ นึง่ วริ ิยะ คอื ความเพยี รหรือความแข็ง

๕๓พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภวิ ังสะ ขัน เปนพลังท่สี อง จติ ตะ หรือความมงุ มน่ั ใฝใ จในการระลึกรู เปนพลังทีส่ าม และ วิมงั สา คอื ปญญาไตรต รอง เปนพลงั ท่สี ่ี หากคุณธรรมท้ังส่ีเปนพลังสนับสนุนการปฏิบัติ การเจริญ กรรมฐานก็จะกาวหนา ไมว า ผูปฏบิ ตั ิจะมงุ หวังเพื่อใหไดบรรลุ ธรรมหรือไมก็ตาม ผปู ฏิบตั อิ าจบรรลุถงึ นพิ พานไดโ ดยวิธีน้ี พระพุทธองคทรงยกอุทาหรณใกลตัวแสดงใหเห็นวา จะบรรลุผลของการปฏิบัติไดอยางไร หากแมไกออกไขดวย ความมงุ หวังทจ่ี ะใหไขฟก เปนตัว แตเ ม่อื ออกไขแลว กว็ งิ่ หนีไป ปลอยใหไขตองเผชิญกับสายลมแสงแดดตามลําพัง ในท่ีสุดไข ก็จะเนา ในทางกลับกัน หากแมไกปฏิบัติหนาที่อยางซื่อตรง นั่งกกไขเปนเวลานานๆ ทุกๆ วัน ความอบอุนจากรางกาย แมไ ก จะทาํ ใหไ ขไ มเ นา เสยี และทาํ ใหล กู ไกท อี่ ยใู นไขเ ตบิ โตขน้ึ การนั่งกกไขเปนหนาที่ที่สําคัญที่สุดของแมไก มันจะตองทํา หนาที่อยางถูกตองโดยกางปกออกเล็กนอยเพื่อปกปองรังของ มนั จากฝน และจะตอ งระมดั ระวงั ไมท งิ้ นาํ้ หนกั ตวั ลงบนไขม าก เกนิ ไปจนไขแ ตกรา ว หากแมไ กน ง่ั ในทา ทถ่ี กู ตอ งและเปน เวลา นานพอสมควร ไขก จ็ ะไดรบั ความอบอนุ ตามธรรมชาติท่ีเพียง พอสาํ หรบั การฟก ตวั ภายในเปลอื กไข ตวั ออ นคอ ยๆ สรา งจงอย

๕๔ กองทัพท้งั ๑๐ ของมาร ปากและกรงเล็บ ทุกๆ วันที่ผานไป เปลือกไขก็จะบางลงๆ ในชว งสน้ั ๆ ท่แี มไกออกไปจากรงั ลูกไกทอี่ ยใู นไขกจ็ ะเร่มิ เหน็ แสงที่สวางมากขึ้น ประมาณสามสัปดาหหลังจากนั้น ลูกไกสี เหลืองที่มีลักษณะสมบูรณก็จะเจาะเปลือกไขออกมา ผลน้ีจะ เกดิ ขน้ึ ไมว า แมไ กจ ะมงุ หวงั ใหเ กดิ หรอื ไมก ต็ าม สงิ่ เดยี วทแี่ มไ ก ทําก็คือนงั่ กกไขอ ยา งสมํ่าเสมอเพยี งพอ แมไกมีความทุมเทและมงุ มนั่ กับงานของมนั มาก บาง ครง้ั มนั ยอมทจ่ี ะหวิ กระหายดกี วา ทง้ิ การกกไข และเมอื่ มคี วาม จาํ เปนตอ งลุกขึน้ มนั กจ็ ะจัดแจงธรุ ะของมนั อยางรวดเร็วแลว กลบั ไปนัง่ ปฏิบัติหนา ท่ตี อ ไป อาตมามไิ ดแ นะนําใหผูปฏิบัติอดอาหาร หรอื หยุดดืม่ นา้ํ หรอื ไมเ ขา หอ งนาํ้ อาตมาเพยี งแตอ ยากใหผ ปู ฏบิ ตั ไิ ดร บั แรง บันดาลใจจากความอดทนและไมทอถอยของแมไก สมมุติวา แมไกโลเลและไมขวนขวาย น่ังกกไขไดไมก่ีนาทีแลวก็ลุกออก ไปทาํ อยา งอนื่ ไมช า ไขก จ็ ะเนา และลกู ไกก ห็ มดโอกาสทจ่ี ะเกดิ ในทํานองเดียวกนั ในระหวา งการนั่งกรรมฐาน หากผู ปฏบิ ตั ไิ มอ ดทนตอ ความรสู กึ อยากเกาหรอื อยากขยบั ไปมา พลงั ความเพียรก็จะไมตอเนื่องและเพียงพอที่จะทําใหจิตใจแจมใส

๕๕พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บณั ฑติ าภวิ งั สะ และเปน อสิ ระจากการโจมตขี องสงิ่ เศรา หมองทค่ี รอบงาํ จติ เชน โซต รวนทงั้ หา ทร่ี อ ยรดั จติ ดงั กลา วขา งตน อนั ไดแ ก กามฉนั ทะ ความเปนหวงกังวลในรางกายของตนและผูอ่ืนมากเกินไป ความละโมบในการรับประทานและความปรารถนากามสุข ในภพภมู ิอน่ื ผูปฏิบัติท่ีพยายามรักษาสติในแตละขณะจะกอเกิด พลังความเพียรที่ตอเนื่อง เหมือนกับความอบอุนจากรางกาย ของแมไก พลังความพากเพียรน้ีจะชวยปกปองจิตไมใหถูก ทาํ รา ยดว ยการโจมตขี องกเิ ลส ทาํ ใหญ าณทสั สนะเจรญิ ขนึ้ และ มีความแกกลาขึ้นตามลําดบั โซต รวนท้ัง ๕ เสนทผี่ ูกมดั จิตนี้ จะเกิดข้ึนเมอ่ื ขาดสติ หากไมระมัดระวัง เม่ือมีอารมณที่นาปรารถนาเขามากระทบ จิตก็จะถูกครอบงําดวยตัณหาและอุปาทาน อันเปนโซตรวน ของจิตประการแรก อยางไรก็ตาม หากผูปฏิบัติมีสติก็จะ สามารถเอาชนะตัณหาได ในทํานองเดียวกัน หากผูปฏิบัติ สามารถประจกั ษถ งึ ลกั ษณะทแี่ ทจ รงิ ของรา งกาย ความผกู พนั ยดึ มน่ั ตอ รา งกายยอ มจะหมดไป ความลมุ หลงรา งกายของผอู นื่ ก็จะลดนอ ยลงไปดวย ดว ยเหตนุ ี้ โซตรวนเสนทส่ี องและสามก็

๕๖ กองทพั ทัง้ ๑๐ ของมาร จะถูกตัดขาดลงไปดวย การตามกําหนดรูกระบวนการการรับ ประทานอาหารอยางใกลชิด จะทําลายความละโมบในอาหาร ซึ่งเปนโซเสนที่สี่ หากปฏิบัติดวยเปาหมายท่ีจะบรรลุถึงพระ นิพพานจริงๆ ความทะยานอยากในโลกียสุขในชาติหนาก็จะ หายไปดวย เพราะความปรารถนาชาติภพในภูมิที่สูงข้ึนก็เปน โซเ สน ทห่ี า ของจติ ดงั นนั้ การเจรญิ สตแิ ละความเพยี รอยา งตอ เนอื่ งจะสามารถตดั โซท งั้ หา เสน ได เมอื่ ตดั เครอื่ งรอ ยรดั เหลา น้ี ไดแลว จิตก็จะไมถูกครอบงําดวยความมืดบอดและบีบค้ันอีก ตอไป จิตใจของผูปฏิบตั จิ ะถูกปลดปลอยและไดพ บแสงสวาง ดว ยความเพียร สติ และสมาธิทต่ี อเนอื่ ง จติ จะคอ ยๆ ไดรับความรูแจงจากแสงธรรม ซ่ึงทําใหจิตใจสดช่ืน และแผด เผากิเลสใหส้ินไป จิตจะซาบซานดวยธรรมรส อวิชชาอันเปน เปลือกหอหุมจิตจะเบาบางลง ผูปฏิบัติจะเริ่มเขาใจธรรมชาติ ของรูปนามและเหตุปจจัยของรูปนาม ศรัทธาท่ีเกิดจาก ประสบการณโดยตรงจะเขมแขง็ ข้ึน ผปู ฏิบตั ิจะสามารถเขา ใจ ไดโดยตรงถึงความเปนเหตุปจจัยซึ่งกันและกันของรูปกับนาม ท่ีมิไดเกิดจากการกระทําของบุคคลใดบุคคลหน่ึง โดยนัยนี้ผู ปฏิบัติจะตระหนักวา ความเปนเหตุปจจัยซ่ึงกันและกันน้ีได

๕๗พระกัมมฏั ฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภวิ ังสะ ปรากฏอยใู นอดตี และจะยงั คงดาํ รงอยตู อ ไปในอนาคตเมอ่ื การ ปฏบิ ตั ิกาวหนา ขนึ้ ผูปฏิบตั ิกจ็ ะมีความมั่นใจอยา งลกึ ซ้งึ หมด ความสงสัยในตนเอง ในการปฏบิ ัติของตนเอง ในผปู ฏิบตั อิ ่นื ๆ หรือวิปสสนาจารย จิตจะเปยมดวยความซาบซึ้งในพระพุทธ คณุ พระธรรมคณุ และพระสังฆคุณ จากน้ันผูปฏิบัติจะเริ่มกําหนดเห็นการเกิดข้ึนและดับ ไปของส่ิงตางๆ เห็นความเปน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อ วปิ ส สนาญาณนเี้ กดิ ขน้ึ อวชิ ชาความไมร ใู นสามญั ลกั ษณะเหลา นกี้ ็หมดไป เปรียบเสมอื นลูกไกท ีก่ ําลงั จะฟกเปนตัว ผูปฏิบตั ิจะ เห็นแสงสวางเล็ดลอดเปลือกไขเขามามากมาย การกําหนดรู อารมณจะเกิดขึ้นอยางรวดเร็วขึ้นเร่ือยๆ ผูปฏิบัติจะเปยม ดวยพลังความเพียรอยางไมเคยเกิดขึ้นมากอน และมีความ ศรัทธาทีม่ นั่ คงมาก หากผูปฏิบัติพากเพียรฟูมฟกปญญาญาณตอไป ผู ปฏบิ ตั จิ ะสามารถบรรลถุ งึ พระนพิ พานกลา วคอื มรรคญาณ ผล ญาณได และแลว ผปู ฏบิ ตั จิ ะสามารถกะเทาะเปลอื กไขท ม่ี ดื มดิ

๕๘ กองทพั ท้งั ๑๐ ของมาร คืออวิชชาออกมา เหมือนกับลูกไกท่ีเต็มไปดวยความ กระตือรอื รนทจ่ี ะคนพบตนเองในโลกกวาง เท่ียวไปในทอ งทุง ท่ีสวางไสวกับแมของมัน เชนเดียวกัน ผูปฏิบัติเองก็จะรูสึก เปนสุขและเอิบอ่ิมใจเปนอยางยิ่ง ผูปฏิบัติท่ีเคยไดประสบกับ พระนิพพานแลว จะมีความรูสึกเปนสุข สงบเย็นอยางไมเคย เปนมากอน และไมมีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือเปรียบได ทําให ศรทั ธา ความเพยี ร สติ และสมาธิเขมแขง็ เปน อยางย่งิ อาตมาหวังวา ผปู ฏิบัตจิ ะนาํ อุทาหรณเ ร่อื งแมไ กน ้ีไป พิจารณาอยางลึกซ้ึง ทํานองเดียวกับแมไกท่ีกกไขโดยไมหวัง หรอื ปรารถนาอะไร เพยี งทาํ หนา ทอี่ ยา งซอื่ ตรง อาตมาขอใหผ ู ปฏิบตั พิ งึ อบรมบม ฟกการปฏบิ ัติของตนเองดว ยดี ขออยาใหผ ู ปฏิบัตกิ ลายเปนไขเนาเลย

๕๙พระกัมมฏั ฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภวิ งั สะ ผกู าํ หนดทศิ ทางนาวาชีวิตของตนเอง อาตมาไดใ ชเ วลาไปมากในหวั ขอ เรอื่ งความลงั เลสงสยั เพราะอาตมาทราบดีวาเปนปญหาใหญและอยากชวยใหผู ปฏบิ ตั หิ ลีกเล่ยี งปญ หาเหลา นี้ อาตมารจู ากประสบการณของ ตนเองวา ความสงสยั สรา งทกุ ขไ ดม ากขนาดไหน เมอื่ อาตมาอายุ ได ๒๘-๒๙ ป และเรมิ่ ปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนากรรมฐานกบั ทา นอาจารย มหาสสี ยาดอ บรู พาจารยผ ใู หก ําเนิดสาํ นักวิปสสนากรรมฐาน มหาสสี าสนเยกตา ในกรุงรางกงุ หลังจากหนง่ึ สปั ดาหผ านไป อาตมาเรมิ่ รสู กึ ไมพ อใจเพอื่ นๆ ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมคอ นขา งมาก พระ ภกิ ษุบางรปู แทนทจี่ ะต้ังใจปฏิบัตธิ รรม กลับมศี ลี ดางพรอ ย ไม เครงครัด และไมตั้งใจในการประพฤติปฏิบัติ คฤหัสถท่ีมา ปฏิบัติธรรมก็เชนกัน พูดจาและเดินเหินไมสุภาพเรียบรอย ราวกับอนารยชน ความสงสัยเร่ิมครอบงําจิตใจของอาตมา แมแตอาจารยของอาตมาซ่ึงเปนพระอาจารยผูชวยของทาน อาจารยมหาสี ก็ไมพนจากการจับผิดของอาตมา พระอาจารย

๖๐ กองทพั ทง้ั ๑๐ ของมาร ทา นนไ้ี มเ คยยมิ้ และบางครง้ั กพ็ ดู จาหว นๆ และรนุ แรง อาตมา คิดวาวิปสสนาจารยควรจะเปยมดวยความนุมนวลและความ หวงใย วิปส สนาจารยทม่ี คี วามสามารถ ยอ มประเมนิ สภาวะ ของลกู ศษิ ยไ ด โดยอาศยั ประสบการณก ารสอนผปู ฏบิ ตั มิ าเปน จาํ นวนมากและจากคาํ สอนในพระไตรปฎ ก พระอาจารยท สี่ อน อาตมากเ็ ชน กนั ทา นเหน็ วา การปฏบิ ตั ขิ องอาตมาเรม่ิ ถอยหลงั และประเมินวาความลังเลสงสัยกําลังเลนงานอาตมาอยู ทาน ตําหนิอาตมาอยางนุมนวลและแยบยล หลังจากน้ันอาตมาก็ กลบั ไปทก่ี ฏุ แิ ลว ถามใจตวั เองวา “เรามาทนี่ ท่ี าํ ไม มาเพอ่ื ตาํ หนิ ผอู ่นื และทดสอบพระอาจารยห รือ เปลาเลย” อาตมาระลกึ ไดว า อาตมามาทส่ี าํ นกั นกี้ เ็ พอ่ื จะทาํ ลาย ลา งกเิ ลสทอี่ าตมาไดส ะสมมาจากการเวยี นวา ยในสงั สารวฏั ให มากทสี่ ดุ อาตมาหวงั วา จะสาํ เรจ็ ตามเปา หมายนโ้ี ดยการปฏบิ ตั ิ ธรรมตามคาํ สอนของพระพทุ ธองคต ามแบบการเจรญิ วปิ ส สนา กรรมฐานของสาํ นกั ทอี่ าตมาอยนู ี้ ความคดิ นี้ใหความกระจาง แกอ าตมาเปน อยา งมาก ความคดิ หนง่ึ ปรากฏขน้ึ ในใจของอาตมา อปุ มาเหมอื น

พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภวิ งั สะ ๖๑ อาตมาอยใู นเรอื ใบกลางทะเลทา มกลางพายรุ า ย คลนื่ มหมึ าพงุ สูงขึ้น แลวกระแทกลงมาทุกทิศทาง อาตมาถูกเหวี่ยงไปทาง ซา ยทางขวา ขึ้นบนและลงลาง ชว ยตวั เองไมไดเลยทามกลาง มหาสมุทรใหญ รอบๆ ตัวอาตมา เรืออื่นๆ ก็อยูในสภาพ เดียวกัน แตแทนที่จะดูแลเรือของอาตมาเอง อาตมากลับไป ตะโกนออกคาํ สง่ั ใหกปั ตันเรอื ลําอ่ืน “นา จะชักใบเรอื ขน้ึ นะ น่ี คุณเอาใบลงไดแลว” หากอาตมาไมหยุดทําเชนน้ัน ก็อาจพบ ตัวเองอยูท่กี นบ้ึงมหาสมุทรได นี่คือส่งิ ที่อาตมาไดเรยี นรู หลงั จากนัน้ อาตมาจึงตัง้ ใจ ปฏิบัติอยางหนัก และไมยอมปลอยใหความสงสัยเขามา ครอบงาํ จติ ใจอกี เลย อาตมากลายเปน ลกู ศษิ ยค นโปรดของพระ อาจารยดวยซํ้า อาตมาหวังวาผูปฏิบัติจะไดรับประโยชนจาก ประสบการณข องอาตมาเชน กัน

กองทพั ท่ี ๘ ความหวั ด้อื และลบหลคู ุณทา น

กองทัพท่ี ๘ ความหัวดื้อ และลบหลคู ุณทาน หลังจากท่ีเอาชนะความสงสัยไดแลว ผูปฏิบัติจะเร่ิม เหน็ แสงแหง พระธรรม แตท วา ยงั มกี องทพั ทแี่ ปดของมาร ซมุ รออยใู นรปู ของความหวั ดอื้ อวดดี และความลบหลบู ญุ คณุ ทา น ความทะนงอวดดจี ะเกิดข้นึ เม่ือผปู ฏบิ ัติเริ่มประสบกับความ สุข ปติความพึงพอใจ และประสบการณที่ดีอื่นๆ จากการ ปฏบิ ตั ิ ผูปฏบิ ตั อิ าจคิดไปวา พระอาจารยจ ะเขาถึงสภาวะที่

๖๔ กองทัพท้งั ๑๐ ของมาร วิเศษนแ้ี ลวหรอื ยงั และผปู ฏบิ ตั ิอื่นๆ จะมีความเพยี รเทา ตน หรอื เปลา ฯลฯ ความหัวด้ือถือดีมักจะเกิดขึ้นในขั้นท่ีผูปฏิบัติมีญาณ ประจกั ษเ หน็ การเกดิ ดบั ของสภาวธรรมตา งๆ นบั เปน ความรสู กึ ทีว่ เิ ศษทส่ี ามารถอยูกบั ปจ จุบนั ขณะโดยสมบูรณ เหน็ อารมณ เกิดขึ้นแลวดับไปทุกขณะท่ีสติตามกําหนดรูอยู ในขั้นน้ีอาจมี เครอ่ื งเศรา หมองแทรกซอ นเขา มาไดมากมาย สงิ่ เหลา นม้ี ีชอ่ื เรยี กเฉพาะวา วปิ สสนปู กิเลส เน่อื งจากวปิ ส สนูปกเิ ลสอาจ กลายเปนอุปสรรคที่อันตรายมากตอการเจริญกรรมฐาน ผู ปฏิบัติจึงจําเปนตองทําความเขาใจกิเลสเหลาน้ีใหแจมแจง พระไตรปฎกกลาวไววา มานะหรือความทะนงตนมีสภาพ ฟฟู อง มคี วามปรารถนาสงู และกระตอื รอื รนอยา งแรงกลา ผู ปฏิบัติจะมีพลังลนเหลือและถือความคิดของตนเองเปนหลัก มแี ตค วามคดิ ชน่ื ชมตนเองเชน “ฉนั เยยี่ มมาก ไมม ใี ครเทยี บฉนั ได” ลักษณะเดน ของมานะก็คอื ความแข็งกระดาง จิตจะ รสู กึ กระดา ง และพองขน้ึ เหมอื นงเู หลอื มทเ่ี พงิ่ กลนื เหยอ่ื เขา ไป อาการของมานะอีกประการหนึง่ จะแสดงใหเห็นในลักษณะที่

๖๕พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภวิ ังสะ เปน ความเครง ตงึ ของรา งกายและอริ ยิ าบถตา งๆ ผทู เี่ ปน เหยอื่ ของมานะจะกลายเปน คนหวั สงู และคอแขง็ ยากทจี่ ะกม ศรี ษะ ทาํ ความเคารพผูอ ื่น การลมื บญุ คุณทาน มานะเปนสภาวจติ ท่นี ากลวั โดยแท มนั ทําลายความ กตัญูรคู ุณ ทําใหไมอาจยอมรับไดวา เราเปนหนบี้ ญุ คุณผูอนื่ การลื มเลือนค วามดี งามท่ีคนอ่ืนไดทําไวใหแกเราในอดีต ทาํ ใหเ รามองขา มคณุ ความดแี ละลบหลคู ณุ ธรรมของทา นเหลา นนั้ ไมเพยี งเทา น้ัน ผูทป่ี ระกอบดวยมานะจะพยายามปดบัง ความดี ของผูอ่ืนเพ่ือมิใหผูอื่นไดรับความเคารพยกยอง การ ลบหลู คุณทาน เปนลักษณะท่ีสองของมานะ อันมีความทรนง แขง็ กระดางเปนลกั ษณะแรก เราทุกคนลว นมีผูท่ีมพี ระคณุ ตอเราท้ังส้ิน โดยเฉพาะ ในวยั เดก็ และตอนท่ีอายุยงั นอ ย ยกตัวอยางเชน พอแมเ ปนผู ใหค วามรกั การศกึ ษา และสิ่งจําเปน ตา งๆ สาํ หรบั ชวี ิตในชว ง

๖๖ กองทพั ท้งั ๑๐ ของมาร ที่เราไมอาจชวยตัวเองได ครูอาจารยใหความรูแกเรา เพื่อนๆ ใหค วามชวยเหลอื ยามเราทุกขยากลําบาก การจดจําบุญคณุ ท่ี ผูอื่นไดชวยเหลือเราไว ทําใหเรารูสึกออนนอมถอมตน มี ความกตัญูและมองหาโอกาสที่จะตอบแทนพระคุณ ดวย ความรูสึกอันออนโยนนี้เองเราจะสามารถเอาชนะกองทัพที่ แปดของมารได อยางไรกต็ าม มีคนจาํ นวนมากไมร ะลกึ ถึงคณุ ความดี ทผี่ อู ื่นไดก ระทําแกต นในอดตี ยกตวั อยา งเชน คนๆ หน่งึ อาจ ประสบปญ หา และมเี พื่อนที่มีจิตใจเมตตาใหความชว ยเหลอื ไวจ นสามารถแกไ ขปญ หาชวี ติ ของตนเองไดส าํ เรจ็ แตเ วลาตอ มาเขาอาจไมแ สดงความกตัญูรูคณุ ใดๆ เลย กลับอาจกลา ว วาจาหยาบคายกบั ผูม พี ระคุณนั้นวา “ทา นเคยชว ยอะไรฉนั ไว บางหรอื ” พฤติกรรมแบบนม้ี ีใหเหน็ อยเู สมอ แมแ ตพระสงฆก อ็ าจกลายเปนผูเยอหยิง่ จองหอง คิด วาตนเองมีชื่อเสียง และเปนท่ีรูจักในฐานะวิปสสนาจารยดวย ความสามารถของตนเองเทานั้น ทานลืมพระพี่เลี้ยง และครู อาจารย ซง่ึ ไดใ หค วามชว ยเหลอื มาตง้ั แตค รง้ั ทยี่ งั เปน เณรนอ ย ทา นเหลา นเ้ี ปน ผปู ระสทิ ธปิ์ ระสาทความรใู นพระไตรปฎ กจดั หา

๖๗พระกัมมัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภวิ งั สะ บริขารเคร่ืองจําเปนในการดํารงชีวิตให สอนวิธีการเจริญ วิปสสนา ใหคําแนะนํา และวากลาวตักเตือนในเวลาท่ีเหมาะ ควร เพื่อใหท า นเตบิ โตขน้ึ เปนพระหนุมที่มคี วามรบั ผดิ ชอบ มี วัตรปฏบิ ตั ิอนั งดงาม เม่ือถึงเวลาท่ีจะพนจากการดูแลของครูอาจารย พระรูปนั้นอาจแสดงใหเห็นความสามารถพิเศษมากมาย เทศนาเกง เปนท่ีช่ืนชอบของผูฟง ผูคนจํานวนมากใหความ เคารพถวายไทยธรรม และนิมนตใหไปสั่งสอนในที่ไกลๆ เมอ่ื ไดร บั ความสาํ เรจ็ ในชวี ติ เชน น้ี พระรปู นนั้ อาจกลบั มคี วาม เยอหยงิ่ และวนั หน่ึงอดีตพระอาจารยข องทานอาจมาหาและ กลาววา “นายินดีนัก อาตมาเฝาดูทานตั้งแตยังเปนเณรนอย ความที่ไดมีโอกาสชวยเหลือทานหลายๆ อยาง ทําใหอาตมา ปลื้มใจที่ไดเหน็ ความสําเรจ็ ของทา น” พระหนมุ อาจตอบกลับ มาอยา งหวนๆ วา “ทา นทําอะไรใหก ระผมหรอื ผมทํางาน หนักมาก กวาจะมาถึงจดุ น้ไี ด” ปญ หาอาจเกดิ ขน้ึ ไดก บั ผทู เ่ี ปน ญาตใิ นทางธรรม เชน เดียวกับในทางโลก ในแวดวงใดๆ ก็ตาม เราตอ งสรางความ รูสึกท่ีดี มีความรัก และความเมตตาตอกันในการแกปญหา

๖๘ กองทพั ทง้ั ๑๐ ของมาร ตางๆ ลองพจิ ารณาดูวา จะเปน การดีสักเพียงไร หากชาวโลก สามารถหนั มารว มมอื กนั ดว ยความรกั ความเมตตา และความ เกรงอกเกรงใจตอกนั ในยามทเ่ี กิดปญหาขนึ้ ในโลกนี้มีวิธีแกปญหาที่อาจไมคอยไดผลนัก แตมัก จะเปนที่นิยมใชกัน แทนที่จะปฏิบัติตอกันอยางตรงไปตรงมา ดว ยความรกั ฝา ยใดฝา ยหนง่ึ อาจนาํ ความรา ยกาจของอกี ฝา ย หนงึ่ ออกมาตแี ผต อ สาธารณชน เยาะเยย ถากถาง อกี ฝา ยหนง่ึ หรือตําหนิบุคลิกและคุณธรรมของอีกฝายหนึ่ง ท้ังทางตรง และทางออม กอนทีจ่ ะเปดฉากโจมตี และกลาวหาอกี ฝา ยหนงึ่ เรา นาจะพิจารณาดูสภาวจิตและสถานการณของตนเองกอน นิสัยที่ชอบกลาวโทษ ทําใหผูอ่ืนเสียช่ือเสียง และดูถูกเหยียด หยามผูอ่นื เปน ลักษณะของมานะ พระไตรปฎกอธิบายมานะ ดว ยภาพของคนทโี่ กรธแลว เอามอื หยบิ สง่ิ ปฏกิ ลู ขนึ้ มาเพอ่ื ขวา ง ใสศัตรู บุคคลผูน้ีทําใหตัวเองสกปรก กอนที่จะทํารายศัตรู ดังนั้น หากมีส่ิงที่เราเห็นไมตรงกัน ขอใหเราพยายามรักษา ความอดทนและใหอภัยกัน ดวยความมนี ้ําใจตอ กัน

๖๙พระกมั มฏั ฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภวิ ังสะ ลองนกึ ภาพของคนทก่ี าํ ลงั เดนิ ทางโลกและเหนอ่ื ยลา ในระหวา งทางทีร่ อ นระอุ เขาไดม าถึงตนไมใหญข า งทาง ที่มี ใบดกทึบรมเย็น เขายอมดีใจและนอนลงที่โคนตนไมน้ันเพื่อ หลับเอาแรง หากคนเดินทางผูน้ันตัดตนไมท้ิงกอนท่ีจะออก เดินทางตอไป นี้คือส่ิงที่พระไตรปฎกเรียกวาความอกตัญู บุคคลเชนนี้ไมเขา ใจความเมตตากรณุ าทม่ี ติ รแสดงแกตนเลย เรามีหนาที่ไมเพียงแตพยายามไมโคนลมทํารายผูมี พระคุณของเราเทานั้น จริงอยูบางครัง้ เราไมม ีวนั ที่จะทดแทน บุญคุณของผูมีพระคุณไดหมดส้ิน แตเราก็อาจนับไดวาเปน คนดี หากเราเพยี งสามารถจดจาํ คณุ ความดขี องทา นเหลา นน้ั ได หากเราสามารถทดแทนหนี้บุญคุณนั้นได เราก็ควรทําเสีย ไม สําคัญเลยวาผูมีพระคุณของเรานั้นจะมีคุณธรรมสูงกวาเราหรือ เปน คนพาล หรอื มคี ณุ ธรรมเทา เทยี มกบั เรา สงิ่ สาํ คญั กค็ อื ทา น ผูนั้นเปนผมู ีพระคณุ ตอ เราหากไดเคยชว ยเหลอื เรามาในอดีต กาลคร้ังหนึ่งนานมาแลว มีชายคนหน่ึงทํางานอยาง หนักเพ่ือดูแลแมของเขา บังเอิญวาแมของเขาเปนนางคณิกา และพยายามปดบังความจริงจากเขา แตในท่ีสุด เสียงซุบซิบ นินทาก็เปด เผยความจรงิ แกเขา เขาตอบวา “เพือ่ นเอย จะไป

๗๐ กองทัพทง้ั ๑๐ ของมาร ไหนกไ็ ปเถดิ ตราบใดทแ่ี มข องผมมคี วามสขุ ไมว า ทา นจะเลอื ก ทาํ อะไร หนา ท่ีของผมมเี พียงทาํ งานเพื่อเล้ียงดทู าน” ชายผูนี้เปนคนฉลาด เขาเขาใจขอบเขตความรับผิด ชอบของตนเอง ซงึ่ กค็ อื การทดแทนพระคณุ ของแม ผซู ่งึ ไดให กําเนิดและเลี้ยงดูเขามา นอกเหนือจากนี้แลว เขาถือวาเปน เร่อื งสวนตวั ของมารดาของเขาทัง้ สิน้ ชายผนู เ้ี ปน บคุ คลหนงึ่ ในสองประเภททห่ี าไดย ากและ มคี า มากในโลก บคุ คลประเภทแรกทห่ี าไดย ากและมคี ณุ คา มาก ก็คือผูท่ีทําคุณแกผูอ่ืน เปนคนที่มีจิตใจกวางขวางและเมตตา ใหค วามชวยเหลือแกผ อู ื่นดว ยคณุ ธรรมอันประเสรฐิ พระพทุ ธ องคเ ปน หนงึ่ ในบคุ คลเหลา น้ี ทรงไมล ดละความเพยี รทจี่ ะชว ย สรรพสัตวใหหลุดพนจากความทุกขในสังสารวัฏ เราทุกคน สมควรนอ มระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ ดว ยจติ กตญั ู และอาจระลกึ วา การหมน่ั ปฏบิ ตั ธิ รรมเปน การทดแทนคณุ ของพระองคอ ยา ง หน่ึงดวย บุคคลท่ีหาไดยากและมีคุณคายิ่งประเภทท่ีสองที่มี กตญั กู ตเวทติ าธรรม ไดแ ก บคุ คลทร่ี ะลกึ ถงึ คณุ ของผอู น่ื และ พยายามทจ่ี ะทดแทนคุณนัน้ ในยามทเ่ี หมาะสม อาตมาหวงั วา ผปู ฏบิ ตั จิ ะเปน บคุ คลทหี่ ายากและมคี ณุ คา ทง้ั สองจาํ พวก และ จะไมย อมแพแ กก องทัพที่แปดของมาร

กองทัพที่ ๙ ลาภ สรรเสรญิ สกั การะ และยศ ทไี่ ดมาผดิ ๆ

กองทพั ที่ ๙ ลาภ สรรเสรญิ สกั การะ และยศ ท่ีไดม าผดิ ๆ กองทัพทเ่ี กาของมารไดแก ลาภ สรรเสริญ สักการะ ยศ และคําเยนิ ยอที่เกนิ กวา เหตุ เมอ่ื การปฏบิ ัติธรรมกา วหนา ถงึ ระดบั หนง่ึ บคุ ลกิ ภาพและพฤตกิ รรมของผปู ฏบิ ตั จิ ะเปลยี่ น ไปในทางทดี่ ีขึ้น ผปู ฏบิ ัตจิ ะดูเปน ทีน่ า เคารพและนา ศรัทธา ผู ปฏิบัติอาจเริ่มชักชวนผูอ่ืนใหสนใจธรรมะ หรืออาจแสดง ภมู ธิ รรมออกมาดว ยการสาธยายพระไตรปฎ กไดอ ยา งแจม แจง

๗๓พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภวิ ังสะ ผูค นอาจเกิ ดควา มศ รัทธา อย างแรงกลาใน ตัวผูปฏิบัติ นํา ทรพั ยส นิ เงินทองมาใหและอาจมกี ารเลาลอื ไปวา ผูปฏิบัตเิ ปน พระอริยบุคคลสามารถแสดงธรรมไดยอดเยย่ี ม ถงึ ตอนน้ี ผปู ฏิบตั ิอาจตกเปน เหย่อื ของกองทพั ทเ่ี กา ของมารไดอ ยา งงายดาย ลาภสักการะทีผ่ ูมศี รทั ธานาํ มามอบ ใหอ าจทําให หลงผิด ผูป ฏิบัติ อาจพยายา มเรียกรองลาภ สักก าระมากขึ้น แล ะประณีตข้ึน กวาเดิม โดยการพูด เลีย บเคียงเปนนั ยห รืออยาง เป ดเผย ผูปฏิบัติอาจสรุปวา ตนเองสมควรไดร บั ลาภสกั การะนี้ เพราะทา นดแี ละเหนอื กวา ผอู น่ื จรงิ ๆ ความมกั ใหญใ ฝส งู อาจเขา มาแทนทค่ี วามจรงิ ใจทจี่ ะ ชวย เหลือ อบ รมสั่ง สอน ห รือ ให ปญญาอัน เปนผลจากการ ปฏบิ ตั ขิ องทา นแกผ อู น่ื ผปู ฏบิ ตั อิ าจคดิ วา “ฉนั แนม าก ฉนั เปน ทร่ี ูจักของ คนมา กม าย จะ มใี ครท่ียง่ิ ให ญเ ทาฉนั หรือไมห นอ ฉนั จะใหผทู นี่ ับถอื ศรทั ธาซื้อรถใหส ักคนั จะดีไหม” ทัพ หนาของก องทั พท่ีเก าขอ งมา รก็คืออา มิสลาภ อนั ไดแกลาภสักการะทผี่ มู ีความศรทั ธามอบให ความเคารพ นับถอื ของบุคคลเหลาน้ี เปนทัพที่สองติดตามดว ยทัพทีส่ าม คอื ความมชี ือ่ เสียง

๗๔ กองทพั ท้งั ๑๐ ของมาร กองทัพที่เกาของมารมักจะจูโจมผูปฏิบัติที่มีความ กาวหนาในการเจริญกรรมฐาน แตก็ไมจําเปนเลยที่จะตองมี ฝงู ชนมาศรทั ธานบั ถอื เสยี กอ น ความปรารถนาในลาภสกั การะ กอ็ าจทาํ รา ยผปู ฏบิ ตั ทิ วั่ ๆ ไปไดใ นสภาวะของความอยากไดก ฏุ ิ ท่ีใหญขึ้น หรือเครื่องนุงหมใหมๆ ในระหวางการปฏิบัติ ผูปฏิบตั อิ าจรสู ึกภูมิใจในผลการปฏิบัติของตนเอง และอยาก ใหต นเปน ทย่ี อมรบั ในฐานะผปู ฏบิ ตั ชิ น้ั ยอด บคุ คลทก่ี ารปฏบิ ตั ิ ยังไมลุมลึกมากนัก มักจะตกเปนเหย่ือของความหลงใน ประสบการณห รอื ความสําเรจ็ ของตนเองไดงาย ผูปฏบิ ตั ทิ ีไ่ ด รบั ประสบการณท่ดี ี ๑-๒ ครงั้ แตไ มล กึ ซ้ึงมากนัก อาจมีความ ม่ันใจในตนเองมากเกินไปจนอยากกาวเขาสูวงการธรรมะและ ส่ังสอนผูอ่ืนเพื่อจะไดเปนที่นิยมยกยอง บุคคลประเภทน้ีจะ สอนแตวิปสสนาเทียมซึ่งไมสอดคลองกับพระธรรมวินัย เพราะไมม ปี ระสบการณท ลี่ กึ ซง้ึ มารองรบั เขาอาจถงึ ขนั้ ทาํ รา ย การปฏบิ ัติของลกู ศิษยด วย

๗๕พระกัมมัฏฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภิวังสะ ความจริงใจ เพอ่ื สยบกองทพั ทเี่ กา ของมาร ความเพยี รในการเจรญิ กรรมฐานของผปู ฏบิ ตั จิ ะตอ งตงั้ อยบู นความจรงิ ใจ หากผปู ฏบิ ตั ิ ปฏบิ ตั เิ พยี งพอเพอ่ื ใหไ ดม าซงึ่ ลาภ สกั การะ หรอื ชอ่ื เสยี ง กจ็ ะ ไมกาวหนา การหมั่นตรวจสอบแรงจูงใจในการปฏิบัติของ ตนเองจะชวยไดมาก หากเร่ิมปฏิบัติดวยความจริงใจแตแลว กลบั พายแพต อความโลภในลาภสกั การะ ผูปฏบิ ตั กิ จ็ ะกลาย เปน คนหลงมวั เมาทีป่ ระกอบดวยความประมาท กลา วกนั วา บุคคลท่ีถูกครอบงําดวยความมัวเมา และความประมาทจะมี ชวี ติ หาความสงบไมไ ด เขาจะตอ งเผชญิ กบั ความทกุ ขม ากมาย ดว ยความพงึ พอใจกบั ผลประโยชนท ไ่ี ดม าอยา งไรค ณุ คา บคุ คล ประเภทนี้มักหลงลืมเปาหมายของการเจริญวิปสสนา ทําแต ส่ิงที่เปนโทษและไมอาจสรางกุศลใหเกิดข้ึนได ในที่สุดการ ปฏิบัติของเขายอ มเสอ่ื มถอยลง แตในทางตรงขา ม หากผูปฏบิ ตั ิเชอื่ วาที่สดุ ของทกุ ขม ี อยู และสามารถทาํ ใหถงึ ความส้นิ ทกุ ขไ ดดว ยการปฏิบัตธิ รรม

๗๖ กองทัพทั้ง ๑๐ ของมาร น่ีคือแรงบันดาลใจในการปฏิบัติท่ีแทจริงซึ่งจะปองกันไมใหผู ปฏบิ ัตติ กเปน ทาสของลาภสกั การะและช่ือเสียง คาํ วา “ชีวิต” หมายถึงการไดอัตภาพความเปนไปในโลก สําหรับมนุษย ชีวิตเปนกระบวนการท่ีเริ่มจากการเกิดที่ทุกขทรมาน และมี ความตายรออยูท่ีปลายทาง ในระหวางเหตุการณท้ังสองน้ี เราก็จะพบกับความเจ็บปวย อุบัติเหตุ ทุกขเวทนา ท่ีมากับ ความชรานอกจากนี้ยังมีความผิดหวัง ความสลดหดหู ความ สูญเสีย การที่ตองของแวะกับบุคคลหรือส่ิงท่ีไมชอบใจ และ ความทุกขใจอีกนานัปการ เพ่ือใหหลุดพนจากความทุกข เหลา นี้ การเจรญิ วปิ สสนากรรมฐานเปน หนทางเดียวท่จี ะนํา ไปสูความพนทุกข คือพระนิพพาน พวกเราบางคนเขาอบรม กรรมฐานทิ้งภารกิจทางโลกไวเบื้องหลัง เชนธุรกิจ การงาน การศึกษา หนาที่ทางสังคมและการแสวงหาความสุข เพราะ เรามีความเชื่อวาการปฏิบัติสามารถทําใหทุกขสิ้นไปได ความ จริงเราอาจพิจารณาวาทุกๆ ท่ีที่เราพยายามกําจัดกิเลสใหส้ิน ไปนนั้ เปน สถานทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรม เมอ่ื เราเขา ไปสสู ถานทด่ี งั กลา ว แลว ถึงแมวาอาจเปนเพียงมุมๆ หนึ่งของหองนั่งเลนท่ีจัดไว สําหรับการเจริญวิปสสนา เราก็ไดช่ือวาเปน “บรรพชิต” ใน ภาษาบาลี ซง่ึ หมายถึง “ผูส ละโลกเพ่อื กาํ จัดกเิ ลส”

๗๗พระกมั มฏั ฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภวิ ังสะ เราจะกําจัดกิเลสไปทําไม กิเลสมีพลังมหาศาลที่จะ กดดันจิตใจของผูท่ีไมอาจเปนอิสระจากมันได กิเลสเปรียบ เหมือนไฟท่ีแผดเผาบุคคลใหทุกขทรมานและทุรนทุราย เมื่อ กิเลสเกิดขึ้นในบุคคลใด มันจะแผดเผาคนๆ น้ันทําใหเหน่ือย ลา บบี คนั้ และทรมานใจ เมื่อพดู ถงึ กิเลสแลว หาอะไรดไี มได เลย กเิ ลสท้ังสามประเภท กิเลสมีอยู ๓ ประเภท คือ กิเลสอยางหยาบ กิเลส อยา งกลาง และกเิ ลสอยา งละเอยี ดหรอื อนสุ ยั กเิ ลสทนี่ อนเนอื่ ง มาในขันธสันดาน กเิ ลสอยา งหยาบทาํ ใหบ คุ คลผดิ ศลี กระทาํ กายทจุ รติ และวจที ุจริตตา งๆ เชน การฆา สัตว ลักขโมย ประพฤติผดิ ใน กาม พดู ปด และเสพสิง่ มึนเมา กิเลสประเภทที่สอง กิเลสอยางกลาง มีลักษณะลุม ลกึ กวา บางคนอาจไมแ สดงความทจุ รติ ทางกาย วาจา แตจ ติ ใจ

๗๘ กองทพั ทัง้ ๑๐ ของมาร อาจถูกครอบงําดวยความโลภ ความมุงราย ปรารถนาที่จะ ทาํ ลายชวี ิตอื่นๆ ท้ังทางรางกายและจติ ใจ ความคิดหมกมุน น้ี อาจครอบงําจิตใจใหขโมยทรัพยสิน หลอกลวงผูอ่ืนเพื่อใหได มาซงึ่ สงิ่ ทต่ี อ งการ หากผปู ฏบิ ตั เิ คยมคี วามคดิ เชน นก้ี จ็ ะรวู า เปน สภาวะท่ีเปนทุกขมาก บุคคลท่ีไมสามารถควบคุมกิเลส ประเภทนไ้ี ด ยอมทาํ ใหผ ูอนื่ เดือดรอนไมท างใดก็ทางหน่งึ อนสุ ยั กเิ ลสทนี่ อนเนอื่ งอยใู นขนั ธสนั ดานจะไมป รากฏ ออกมาใหเห็น แตจะซอนเรนอยูเพ่ือรอโอกาสเหมาะสมท่ี จะทํารายจิตใจท่ีออนแอ อนุสัยกิเลสอาจเปรียบไดกับคนที่ กําลังนอนหลับสนิท เม่ือเขาตื่นข้ึน จิตใจก็จะเร่ิมกระเพื่อม ส่ันไหวเปรียบไดกับกิเลสอยางกลาง เม่ือบุคคลผูน้ันลุกขึ้น และเร่ิมปฏิบัติภารกิจประจําวันก็จะเปรียบไดกับการเปล่ียน แปลงจากกิเลสอยางกลางไปสกู ิเลสอยา งหยาบ กิเลสท้งั สามระดบั นี้ อาจเทยี บไดกับกานไมขีด หวั ไม ขีดท่ีทําดวยฟอสฟอรัส เปรียบเหมือนอนุสัยกิเลส เปลวไฟ ที่เกิดจากการขีดหัวไมขีดไฟเปนกิเลสอยางกลาง สวนไฟปา ที่เกิดจากการจุดไฟจากไมขีดนั้นโดยขาดความระมัดระวัง กค็ ือกเิ ลสอยางหยาบ

๗๙พระกมั มฏั ฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภวิ งั สะ การดบั ไฟของกเิ ลส ผปู ฏบิ ัตทิ ยี่ ดึ ม่ันในศีล สมาธิ ปญ ญา อยางจริงจงั จะ สามารถเอาชนะกเิ ลสทง้ั สามประเภทนไ้ี ด ศลี ยบั ยงั้ กเิ ลสอยา ง หยาบ สมาธสิ ะกดกลน้ั กเิ ลสอยา งกลาง และปญ ญาขดุ รากถอน โคนอนสุ ยั กิเลส ซ่งึ เปน สาเหตขุ องกิเลสสองประเภทแรก เม่ือ ปฏิบัติไดเชนน้ี ผูปฏิบัติก็จะไดรับความสุขแบบท่ีไมเคยไดรับ มากอ น เมื่อรักษาศีล กามสุขจะถูกทดแทนดวยความสุขที่ได จากการรักษากายและวาจาใหบริสุทธิ์ เมื่อไมมีกิเลสอยาง หยาบ ผูรักษาศีลยอมมีชีวิตท่ีบริสุทธ์ิสะอาด และมีความสุข ตามอัตภาพ เรารักษาศีลดว ยการปฏบิ ัติตามศีลหา ประการดัง ไดก ลา วแลว ในบททห่ี นงึ่ และดว ยการเจรญิ มรรคมอี งคแ ปดใน หมวดศลี อนั ไดแ ก การประพฤตชิ อบ การกลา ววาจาชอบ และ การหาเลยี้ งชีวิตชอบ องคธ รรมทั้งหมดน้ี มรี ากฐานอยบู นการ ไมทาํ รา ยผอู น่ื หรอื ตนเองทงั้ สน้ิ

๘๐ กองทัพทั้ง ๑๐ ของมาร ผูปฏิบัติอาจสงสัยวาความประพฤติท่ีบริสุทธ์ิอยาง แทจริงจะมีอยูในโลกจริงหรือ ขอใหนอนใจไดเลยวามีอยูจริง อยางไรก็ตาม การรักษาศีลใหบริสุทธ์ิเมื่ออยูในระหวางการ ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐานอาจจะงายกวา เน่ืองจากสภาพ แวดลอ มไมว นุ วายและสง่ิ ยวั่ ยวนมนี อ ย เรอ่ื งนจี้ ะยง่ิ เหน็ ชดั มาก ขนึ้ เมอ่ื ผปู ฏบิ ตั ติ ง้ั ใจรกั ษาศลี ทเี่ ขม งวดกวา ศลี หา หรอื ในกรณี ท่ีผูปฏิบัติเปนพระสงฆหรือแมชีที่ตองรักษาศีลหลายขอ ใน ระหวางการอบรมกรรมฐานผูปฏิบัติมีโอกาสประสบความ สาํ เรจ็ สูงมากในการพากเพียรรักษาศีลใหย ง่ิ ๆ ขึ้นไป ความประพฤติที่บริสุทธ์ิเปนเพียงจุดเร่ิมตนเทาน้ัน หากผูปฏิบัติประสงคที่จะปลดเปลื้องกิเลสในระดับที่ละเอียด ขนึ้ กจ็ าํ เปน ตอ งเจรญิ กรรมฐาน เราสามารถทาํ ลายกเิ ลสอยา ง กลางไดด ว ยสมาธหิ รอื การเจรญิ มรรคมอี งคแ ปดในหมวดสมาธิ ซ่ึงประกอบดวย ความเพียรชอบ การระลึกรูชอบ และสมาธิ ชอบ ผปู ฏบิ ตั จิ าํ เปน ตอ งพยายามอยา งตอ เนอ่ื งและไมท อถอย ในการกําหนดและเฝาดูอารมณที่เกิดข้ึนในแตละขณะโดยไม วอกแวก ความพยายามแบบนี้ยากที่จะรักษาไวไดในชีวิต ประจําวัน

พระกัมมฏั ฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภิวังสะ ๘๑ ดวยความเพียรพยายามรักษาสติ และสมาธิอยางตอ เนอ่ื งทกุ ๆ ขณะ กเิ ลสอยา งกลางจะถูกจาํ กัดใหอยหู างจากจิต จิตสามารถกําหนดรูอารมณโดยไมฟุงซาน กิเลสไมมีโอกาสที่ จะเกิดข้ึน นอกจากจะมีการเผลอเรอเปนคร้ังคราวในระหวาง การปฏิบัติ การหลุดพนจากกิเลสเหลาน้ีทําใหจิตบรรลุถึง สภาวะทเี่ รยี กวา “อปุ สมสขุ ” อนั ไดแ กค วามสขุ ทส่ี งบเยอื กเยน็ เน่ืองจากหลุดพนจากกิเลสท่ีบีบค้ันจิตใจจิตจะเปนอิสระจาก ราคะ ความโลภ ความโกรธและความกระสบั กระสา ยตา งๆ เมอ่ื บคุ คลไดร จู กั กบั ความสขุ นแ้ี ลว กจ็ ะพบวา เปน ความสขุ ทเ่ี หนอื ชนั้ กวา กามสขุ และเหน็ วา การสละความสขุ ทางผสั สะเพอ่ื บรรลุ ถงึ ความสุขเชน นี้เปน สง่ิ ทคี่ ุม คา เนื่องจากยังมีความสุขท่ีเหนือช้ันกวาอุปสมสุข ผู ปฏิบัติจึงยังไมควรนิ่งนอนใจ หากพยายามตอไป ผูปฏิบัติจะ สามารถเจริญปญญาใหเกิดข้ึน เมื่อปญญาเกิด ผูปฏิบัติจะ สามารถละอนุสัยกิเลสไดเปนการชั่วคราว หรืออาจเปนการ ถาวรกไ็ ด เมอ่ื สตเิ จรญิ ขน้ึ พรอ มๆ กบั องคธ รรมอน่ื ๆ เชน วริ ยิ ะ และสมาธิ ผปู ฏบิ ตั จิ ะเรม่ิ เขา ใจไดเ องถงึ สภาวะทแ่ี ทจ รงิ ของรปู และนาม มรรคในหมวดของปญญาอันไดแก ความเห็นชอบ

๘๒ กองทพั ทั้ง ๑๐ ของมาร และความดาํ รชิ อบ กจ็ ะเจรญิ ขนึ้ ในขณะทญี่ าณทสั สนะพฒั นา ข้ึนไปตามลําดบั ทุกๆ ครั้งทญี่ าณทัสสนะเกดิ ขึน้ อนุสัยกเิ ลส กจ็ ะถกู ทาํ ลายไป เมอื่ ญาณกา วหนา ขน้ึ เรอื่ ยๆ จนถงึ มรรคญาณ ผปู ฏบิ ตั กิ จ็ ะสามารถทาํ ลายอนสุ ยั กเิ ลสบางอยา งไดอ ยา งถาวร ดงั นนั้ การปฏบิ ตั ทิ ล่ี มุ ลกึ จะทาํ ใหค วามทกุ ขท เี่ กดิ จาก กิเลสคอ ยๆ ลดลง จนอาจหมดสน้ิ ไปไดใ นทสี่ ุด ในสภาวะเชนน้ี ลาภและสักการะ ตลอดจนชื่อเสียง จะตามมาเองโดยธรรมชาติ แตเ รากไ็ มย ดึ ตดิ อยกู บั สงิ่ เหลา นนั้ โลกธรรมเหลานี้เปนเหมือนส่ิงไรสาระ เมื่อเทียบกับมรรคผล และความทุมเทตอการปฏิบัติธรรม ดวยความจริงใจในการ ปฏิบัติธรรม ผูปฏิบัตยิ อมไมล ะเลยที่จะเสริมสรา งพนื้ ฐานของ จรยิ ธรรมใหเขม แข็งข้ึน ผปู ฏิบตั จิ ะใชล าภและความมีชอ่ื เสียง ไปในทางทถ่ี ูกทีค่ วรและมงุ หนา ในการปฏิบตั ิย่ิงๆ ขน้ึ ไป

กองทพั ที่ ๑๐ การยกตนขม ผอู ่นื

กองทัพที่ ๑๐ การยกตนขม ผอู ื่น เราทกุ คนยอ มรจู กั ความทกุ ขไ มม ากกน็ อ ย ความทกุ ข อยูกบั เราในขณะทเ่ี กิด ในขณะที่ดาํ รงชีวิต และในขณะทีต่ าย ประสบการณท เ่ี จบ็ ปวดในชวี ติ มกั ทาํ ใหเ ราอยากเอาชนะความ ทกุ ขเ พอ่ื บรรลถุ งึ ความหลดุ พน และสนั ตสิ ขุ และอาจเปน เพราะ ความปรารถนาน้ี ตลอดจนศรัทธา หรือความเช่ือม่ันน้ีเองที่ ทาํ ใหทา นอา นหนังสือเลมนี้

๘๕พระกมั มฏั ฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภวิ ังสะ ในครรลองของการปฏบิ ัติธรรม เปา หมายเบ้ืองตนดัง กลา วอาจถูกบอนทําลายดวยผลขางเคียงบางอยา งของการ ปฏิบตั ิ ดงั ไดกลาวมาขางตน ถึงการท่ีลาภสกั การะและความ มีช่ือเสยี งอาจกลายเปนอปุ สรรคของการหลุดพน ในทาํ นอง เดียวกันการยกตนขมทา นซงึ่ สืบเน่ืองจากลาภสักการะขางตน กเ็ ปน กองทพั ทสี่ บิ ของมาร ซงึ่ นกั ปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนาผเู ชย่ี วชาญจะ ตอ งเผชญิ การยกตน อาจเกดิ ขน้ึ เมอื่ ผปู ฏบิ ตั ไิ ดร บั ประสบการณ ทด่ี จี ากการเจรญิ วปิ ส สนาภาวนาในระดบั หนง่ึ แลว รสู กึ วา ตนมี ภมู ธิ รรมแกก ลา จนเรม่ิ ลาํ พอง เหลยี วมองไปรอบกายแลว ราํ พงึ กับตนเองวา “ดูคนนัน้ สิ ไมรกั ษาศีล ไมนา เคารพเทา ฉนั ไม บริสุทธิ์เทาฉัน” หากเปนเชนน้ี เทากับวาผูปฏิบัติไดตกเปน เหยอ่ื ของกองทพั ท่ีสบิ ของมารเสียแลว กองทพั สดุ ทา ยนีเ้ ปน กองทัพที่นาสะพรึงกลัวที่สุด ในสมัยพุทธกาลก็ยังมีบุคคล ผูห นึ่ง คือ พระเทวทัตที่พยายามปลงพระชนมพระพุทธองค เนอ่ื งจากตกเปน ทาสของกองทพั สุดทายนี้ พระ เทวทัตเกิดความลําพองในอภิญญาและความ สําเร็จในการเจริญสมาธิตลอดจนสถานะของตนในฐานะพุทธ

๘๖ กองทพั ทัง้ ๑๐ ของมาร สาวก เมื่อความคิดท่ีจะลมลางพระพุทธองคบังเกิดข้ึน พระ เทวทัตก็ขาดสติ และไมสามารถปองกันตนเองจากความคิด อันตํ่าชานี้ไดเ ลย สาระของชวี ิตพรหมจรรย บคุ คลยอ มยนิ ดใี นความบรสิ ทุ ธขิ์ องตนไดโ ดยไมจ าํ ตอ ง ดูหมิ่นผูอ่ืนและยกตนเองใหย่ิงใหญ อุปมาเหมือนไมใหญซ่ึงมี แกน เปน สว นทมี่ คี า มากทสี่ ดุ เปรยี บไดก บั ชวี ติ อนั ประเสรฐิ ของ พระอริยบุคคล ดังท่ีพระพุทธเจาตรัสไว อันเปนชีวิตท่ีเพียบ พรอ มดว ยศลี สมาธิ ปญ ญา หากนําตนไมมาตัดทางขวางก็จะเห็นวาลําตนของ ตนไมนปี้ ระกอบดวยแกน เนื้อไม เปลือกช้ันในและเปลือกช้นั นอก นอกจากนี้ ตน ไมย งั มกี ิ่งกานและดอกผลดวย ชีวิตของพระอริยบุคคลประกอบดวยศีล สมาธิและ ปญ ญา เปน ชีวิตทีบ่ รรลุ มรรค ผล และนพิ พาน นอกจากนย้ี งั มีอภิญญาอ่ืนๆ ซ่ึงรวมถึงพลังจิตที่เกิดจากวิปสสนาญาณซึ่ง

๘๗พระกัมมฏั ฐานาจริยะ อู บณั ฑติ าภิวังสะ สามารถหยง่ั รสู ภาวะรปู นามตามความเปน จรงิ แลว กย็ งั มลี าภ สักการะ และชื่อเสียงท่ีมาพรอ มกับการปฏิบัติธรรม คนตดั ไมอ าจเขา ไปในปา เพอ่ื เลอื กหาแกน ไมเ พอื่ ใชใ น งานสําคัญบางอยาง เมอื่ ไดพบตนไมใหญท ส่ี วยงาม เขาตดั เอา กง่ิ ออกหมดแลว นาํ กงิ่ ไมก ลบั ไปบา นเพยี งเพอ่ื ทจี่ ะพบวา กง่ิ กา น และใบไมเหลาน้ีไมมีประโยชนอะไรเลย นี่เปรียบเหมือนกับ บคุ คลทพ่ี ึงพอใจอยูก ับลาภสักการะเทา น้นั บคุ คลทล่ี อกเอาเปลอื กไมอ อก เปรยี บเหมอื นผปู ฏบิ ตั ิ ที่พอใจกับความบริสุทธิ์ของศีลเทาน้ัน แตยังขาดการพัฒนา จติ ใจใหล กึ ซง้ึ ขนึ้ ไปอีก อีกบุคคลหนึ่ง อาจฉลาดหลักแหลมกวาบุคคลสอง ประเภทแรก และตระหนกั วา ศลี ยงั มใิ ชทส่ี ดุ ของพรหมจรรย ยังมีการพัฒนาทางจิตอยางอ่ืนอีก เขาอาจต้ังใจเจริญสมาธิ อยา งใดอยา งหนงึ่ และมงุ ปฏบิ ตั อิ ยา งหนกั เมอื่ จติ รวมเปน หนงึ่ เขากร็ สู กึ เปน สขุ มาก เพราะจติ มคี วามสงบ นง่ิ พอใจ เปย มดว ย ปตแิ ละความสุข บุคคลผูนอ้ี าจบรรลฌุ านหรือความสงบข้นั สูง เขาอาจคดิ วา “ฉันรสู กึ ดีจรงิ ๆ แตคนขางๆ ฉันสิ ก็ยังไมส งบ เหมือนเดิม” เขาอาจคิดวาตนไดคนพบแกนแทของการเจริญ

๘๘ กองทพั ท้ัง ๑๐ ของมาร วปิ ส สนาและชวี ติ พรหมจรรยแ ลว แตใ นทางตรงขา ม เขากาํ ลงั ถกู กองทพั ทส่ี บิ ของมารเลน งานอยู นเ้ี ปรยี บเหมอื นคนตดั ไมท ี่ พงึ พอใจกับเปลือกไมช นั้ ในแตยงั มองไมเห็นแกน ของมันจรงิ ๆ ผปู ฏบิ ตั บิ างคนอาจมคี วามทะเยอทะยานสงู กวา และ มุงมั่นที่จะพัฒนาพลังจิตหรืออภิญญาใหยิ่งข้ึนไปอีก ในที่สุด เขาอาจประสบความสําเร็จแลวเกิดความภาคภูมิใจมากที่พบ วา ความสามารถใหมน เี้ ปน สง่ิ ทสี่ นกุ ตนื่ เตน กวา และอาจมคี วาม คิดแลนเขามาอีกวา “เย่ียมจริงๆ สิ่งน้ีคงเปนแกนของธรรมะ อยางแนแท และก็ไมใชทุกคนที่จะทําไดขนาดน้ีดวย ผูหญิงที่ น่ังอยูตรงนั้นยังมองไมเห็นเลยวามีเทพและสัตวนรกอยูใกลๆ นเี่ อง” หากผปู ฏบิ ตั ผิ นู ไ้ี มพ ยายามเอาชนะกองทพั ทส่ี บิ ของมาร เขาจะเกดิ ความงมงายและละทงิ้ การพฒั นาจติ ซง่ึ จะทาํ ใหช วี ติ ของเขาตองตกอยใู นความทุกขทรมานอยางใหญหลวง พลังจิตหรืออภิญญามิไดทําใหผูใดหลุดพนจากทุกข อยางแทจริง ในปจจุบันคนจํานวนมากชื่นชมคนท่ีมีพลังจิต เหนือกวามนุษยธรรมดา การแสดงพลังจิตเล็กๆนอยๆ อาจสามารถดงึ ดดู ความศรทั ธาจากประชาชนไดม าก แมใ นสมยั พุทธกาลก็เชนกัน มีชายคนหน่ึงกราบทูลใหพระพุทธองคเผย

๘๙พระกัมมฏั ฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภวิ ังสะ แพรพระพุทธศาสนาดวยการแสดงปาฏิหาริย เขาไดขอให พระพุทธองคสงพระสงฆสาวกทุกรูปท่ีมีอภิญญาออกไปแสดง ปาฏิหารยิ ใหประชาชนดู “ผูคนก็จะประทับใจมาก” ชายผูน ัน้ กลา ว “พระองคจะไดส าวกเพมิ่ ขึ้นมากดวยวิธีนี้” พระพุทธองคทรงปฏิเสธ ชายผูน้ันทูลขอถึงสามคร้ัง และพระพทุ ธองคก ท็ รงปฏเิ สธทงั้ สามครงั้ ในทสี่ ดุ พระพทุ ธองค ตรสั วา “ดกู อ นทา นผเู จรญิ ปาฏหิ ารยิ ม อี ยสู ามประเภทดว ยกนั คือ หนึ่ง อิทธิปาฏิหาริย ความสามารถในการเหาะเหินเดิน อากาศดําดิน และการแสดงฤทธิ์เหนือมนุษยอื่นๆ สอง อาเทสนาปาฏิหาริย ความสามารถในการอานจิตผูอื่น ซึ่ง สามารถบอกไดวา “เม่ือวันนั้น วันน้ี ทานมีความคิดอยางนี้ และไดอ อกไปทาํ อยา งนน้ั อยา งน”ี้ ผคู นคงจะประทบั ใจมากกบั สิ่งเหลานี้ แตยังมีปาฏิหาริยขอสามคือ อนุสาสนีปาฏิหาริย ความสามารถในการบอกกลา วแกผ หู นง่ึ กวา “พฤตกิ รรมอยา ง นั้นอยางนี้ท่ีไมดี ไมเปนกุศล ไมเปนหนทางแหงความเจริญ ไมเปนประโยชนสุขแกตนเองหรือผูอ่ืน ควรละทิ้งการกระทํา เหลา น้นั เสยี แลว ปฏบิ ตั ิในหนทางทจ่ี ะกอใหเ กิดกศุ ล ทาน ควรท่ีจะเจริญกรรมฐานดังที่จะสอนใหทาน ณ บัดน้ี” ความ

๙๐ กองทพั ทั้ง ๑๐ ของมาร สามารถแนะนาํ สง่ั สอนใหผ อู นื่ ใหเ ขา สหู นทางทถ่ี กู ตอ งนแี้ หละ เปนปาฏิหารยิ ทส่ี าํ คัญท่สี ดุ “ทานผูเ จรญิ หากแสดงปาฏหิ าริย ๒ ประการแรกแก ผูท ี่มศี รัทธาในวิปส สนา กจ็ ะไมท ําลายความศรทั ธาน้นั แตยงั มีบุคคลท่ขี าดศรทั ธา เขาเหลาน้ันอาจกลาว “โธเ อย ไมเหน็ มี อะไรเลย ฉนั เคยเหน็ ศาสนาอนื่ นกิ ายอนื่ เขากท็ าํ แบบนไ้ี ด โดย การรายมนตและวิธีการปฏิบัติท่ีพิสดารอื่นๆ” ผูคนจําพวกน้ี แหละทจ่ี ะไมเขาใจคําสอนของตถาคต” “ปาฏหิ ารยิ แ บบทสี่ าม กลา วคอื ความสามารถในการ สัง่ สอนผอู ่ืนนี้แหละนบั วา เลศิ ดูกอนทานผูเจรญิ เมื่อมีผกู ลา ว วา “น่เี ปนส่ิงไมด ี ไมค วรทํา ทา นควรรกั ษา กาย วาจา ให เหมาะสม นเ่ี ปน วธิ ชี าํ ระลา งกเิ ลสออกจากจติ ใจของทา น นค่ี อื วิธเี จรญิ วิปส สนา นค่ี อื วิธบี รรลถุ ึงซ่งึ ความสขุ แหง พระนพิ พาน ซ่ึงทําใหพนจากความทุกขทั้งปวง” นี่แหละทานผูเจริญ คือ ปาฏหิ ารยิ ท เี่ ลิศท่ีสุด” อยางไรก็ตาม หากผูปฏิบัติสนใจเร่ืองอภิญญาหรือ ปาฏิหารยิ  พงึ พากเพยี รเอาเองเถดิ แมปาฏหิ าริยจ ะไมขัดการ เจรญิ วปิ ส สนา แตก ม็ ใิ ชส งิ่ สาํ คญั ไมม ใี ครหา ม และหากประสบ

๙๑พระกัมมฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑติ าภิวงั สะ ความสําเร็จก็เปนส่ิงท่ีไมมีใครดูถูกเหยียดหยามได แตพึงอยา เขา ใจวา นน่ั เปน สาระสาํ คญั ของการปฏบิ ตั ิ บคุ คลทไี่ ดอ ภญิ ญา แลว คดิ วา ตนเองไดบ รรลถุ งึ ทส่ี ดุ ของการปฏบิ ตั ธิ รรมแลว ไดช อื่ วาหลงผิด เปรียบเหมือนผูท่ีแสวงหาแกนไมแตกลับพอใจกับ เนื้อไมรอบนอกเทาน้ัน เม่ือนํามันกลับมาบาน เขาก็จะพบวา สง่ิ ทไ่ี ดน นั้ ไมม ปี ระโยชน ดงั นน้ั เมอื่ ผปู ฏบิ ตั ไิ ดอ ภญิ ญาแลว พงึ พยายามปฏิบัติใหไดวิปสสนาญาณขั้นสูงข้ึนตามลําดับ จนได บรรลุมรรคผลและอรหตั ตผลในทส่ี ุด เมื่อสติและสมาธิเจริญข้ึน วิปสสนาญาณที่หย่ังรู สภาวะความเปน จรงิ ของรปู นามในระดบั ตา งๆ จะบงั เกดิ ขน้ึ น้ี ก็เปนปาฏิหาริยรูปแบบหน่ึงเชนกัน แตยังมิใชที่สุดของ พรหมจรรย ผปู ฏบิ ตั อิ าจบรรลถุ งึ โสดาปต ตผิ ล เปน ผถู งึ กระแสอนั เปนการบรรลุธรรมข้ันแรก การไดประจักษหนทางเขาสูพระ นิพพานเปนครั้งแรกจะสามารถทําลายกิเลสบางประเภทได อยา งถาวร การปฏบิ ตั จิ นบรรลผุ ลญาณนน้ั เมอ่ื ผลญาณปรากฏ จติ จะเสวยสันติสุขแหง พระนิพพาน กลาวกันวาการหลุดพน นี้ ไมถกู จํากดั ดว ยกาลเวลา เมื่อผปู ฏบิ ตั ิไดลงมือพยายามปฏิบตั ิ

๙๒ กองทัพทงั้ ๑๐ ของมาร และไดพบกับพระนิพพานแลว ผูปฏิบัติก็อาจยอนกลับมาสู สภาวะนเ้ี มื่อไรกไ็ ด อยา งไรกต็ าม ผลการปฏบิ ตั ขิ น้ั ตน นม้ี ใิ ชเ ปา หมายของ พระพุทธองคที่ทรงมุงการตรัสรูโดยสมบูรณ อันเปนการหลุด พนของจิตจากความทุกขโ ดยสิ้นเชงิ เมื่อพระพุทธองคทรงแสดงอุปมาเร่ืองแกนไมจบลง แลวตรัสวา “สาระของคําสอนของตถาคตมิไดอยูท่ีลาภ สักการะ และความมีช่ือเสียง มิไดอยูที่ความบริสุทธิ์ของ ความประพฤติ มิไดอยูที่การบรรลุฌาน มิไดอยูท่ีปาฏิหาริย แตอยูท่ีการหลุดพนแหงจิตจากอาสวะทั้งปวง ซ่ึงสามารถ ทําใหแจงไดทกุ เม่อื ” อาตมาหวังวาผูปฏิบัติจะรวบรวมความเขมแข็ง ความเพียร และความกลาหาญท้ังหมดเพ่ือที่จะเผชิญและ ทําลายลางกองทัพท้ังสิบของมารใหสิ้นไปอยางไมปรานี เพ่ือ บรรลุถึงวิปสสนาญาณขั้นตางๆ ขอใหผูปฏิบัติไดรูแจงธรรม และบรรลถุ งึ โสดาปต ตผิ ลในชาตนิ เี้ ปน อยา งนอ ย และหลงั จาก นนั้ ขอใหผ ปู ฏบิ ตั จิ งหลดุ พน จากความทกุ ขท งั้ หลายโดยสนิ้ เชงิ กลาวคอื อรหัตตผลดวยเทอญ

รายนามผูร วมพมิ พห นงั สอื “กองทพั ทั้งสบิ ของมาร” ลาํ ดบั รายชอื่ จาํ นวนเงนิ ลําดับ รายช่ือ จํานวนเงนิ ๑ ขออุทิศกศุ ลแด ๑๖ คุณนิพันธ ศิริวรรณโภคะกุล ๒,๘๔๐ ๑๗ นพ.ชวลิต รกั ษาศริ กิ ุล ๒,๕๐๐ คุณแมสมถวลิ รงุ ขาํ ๔๕,๗๖๐ ๑๘ คณุ คึกฤทธิ์ อารีปกรณ ๒,๑๗๐ ๑๙ คุณนฤมล ทิพยส งเคราะห ๒,๐๐๐ ๒ คณะอาจารยโรงเรยี น เสาไห ๒๐ คุณบมุ (เยาวราช) ๒,๐๐๐ ๒๑ คุณเบญจวรรณ ธรี ะศลิ ป ๒,๐๐๐ “วมิ ลวิทยานกุ ลุ ” ๑๓,๗๔๐ ๒๒ พล.ต.ต.ทองอินทร ศริ กิ ันยา ๒,๐๐๐ ๓ คณุ ชณุ หกาญจน สุวรรณาภิรมย ๑๓,๐๓๐ คณุ นนั ทนชั หาญผจญศกึ ๒,๐๐๐ คณุ วสนั ศรสี ขุ ๑,๙๐๐ ๔ คณุ สมใจ ทพิ ยชัยเชษฐา ๖,๐๑๐ ๒๓ ภ.ญ.วลัยทิพย ปต จิ อมวงศ ๑,๘๒๐ และครอบครัว ๑,๖๑๐ ๕ คณุ บรรเจิด ตันถนนทก ลุ ๖,๐๐๐ ๒๔ คณุ วิภาพร สงวนดี ๑,๔๐๐ ๒๕ คุณฉันทภรณ ตระกลู คศู รี ๑,๓๐๐ คุณพูนทรพั ย แจม ใส คณุ พชั รี ๒๖ คณุ สมชาย ศริ โิ ชคชัยเจริญ ๑,๒๐๐ ๒๗ คณุ วิภาพร ศรีไพจติ ร ๑,๐๗๐ เกษชมุ พล คณุ อรณุ เกษชุมพล ๒๘ คณุ ทิพปภา เก้ือศริ กิ ลุ ๑,๐๕๐ ๒๙ คุณวรรณา พงษว นวัฒน ๑,๐๐๐ และครอบครัว คุณอนุ เกษชมุ พล ๓๐ คุณพมิ พช นา ภวู ... ๑,๐๐๐ ๓๑ คุณสรุ เทพ ตรงั จิระเสถยี รย ๖ คณะฟง ธรรมจากหอธรรมทัศน ๕,๖๐๐ ๓๒ คณุ กิตยาพร ใหญสวา ง ๓๓ คุณรชต ชอบธรรมสกลุ รพ.สวนดอก คุณเฌรณั ณ นันทพลู ทรัพย ๗ ครอบครวั ลิมปพ ัฒนสนิ ๕,๐๐๐ ๘ คุณภารดี ตาบทพิ ยวฒั นา ๕,๐๐๐ ๙ คณุ ศรินธรา วงศศ ุภลกั ษณ ๕,๐๐๐ ๑๐ คณุ หนึ่งฤทยั ชนิ สมบรู ณ ๕,๐๐๐ ๑๑ คุณอวิรทุ ธ อริยวฒุ ยากร ๕,๐๐๐ ๑๒ คุณปรทิ ัศน พรมณีทรัพย ๔,๔๒๐ ๑๓ คณะฟง ธรรมจากกรมการเงนิ กองทัพเรอื ๔,๐๐๐ ๑๔ คณุ ปราโมทย มากประโคน ๓,๐๐๐ ๑๕ พญ.สุกัญญา โรจนว ิรฬุ ๓,๐๐๐

๙๔ รายนามผูร ว มจดั พมิ พหนังสือ ลําดับ รายช่อื จํานวนเงิน ลาํ ดับ รายชื่อ จาํ นวนเงนิ ๓๔ คณุ วัชราภรณ เดชดํารงคป รชี า ๑,๐๐๐ ๕๖ คุณจิณณ ศิรบิ ุญศรัทธา ๕๐๐ ๓๕ คณุ อนุ เกษชมุ พล ๑,๐๐๐ ๕๗ คณุ ทรรศนีย ศาสตรเปลง แสง ๕๐๐ ๓๖ ชมรมสุรตั นธรรม ๑,๐๐๐ ๕๘ คณุ ทิพวรรณ บญุ เสรี ๕๐๐ ๓๗ พล.ต.ต. ปญญา ๑,๐๐๐ ๕๙ คณุ นลินรัตน มากวงศ ๕๐๐ ๓๘ คณุ วภิ า เสรมิ พงศส วุ ฒั น ๗๕๐ ๖๐ คุณนภิ า พกิ ลุ ทอง ๕๐๐ ๓๙ คณุ วณี า เลาหไพบูลย ๗๕๐ ๖๑ คุณภาณศุ ักดิ์ เอกอารศี ักด์ิ ๕๐๐ ๔๐ คุณศริ วิ รรณ ๗๔๐ ๖๒ คุณวชิระ อดเิ รก ๕๐๐ ๔๑ คุณไชยพงษ เปยมพงษสานต ๗๑๐ ๖๓ คุณวรรณา ลิมปพ ฒั นสิน ๕๐๐ ๔๒ คณุ ฉตั รกลุ นิลนนท ๗๐๐ ๖๔ คณุ อกุ ฤษฏ คณุ เชษมศกั ดิ์ ๔๓ คณุ พ่มิ จติ ร ศริ ิสมบรู ณว งศ ๖๙๐ อายตวงษ ๕๐๐ ๔๔ คณุ นคร จนั ทรวัฒนพงษ ๖๗๐ ๖๕ คณุ กัลยา นาคพงษ ๔๙๐ ๔๕ คณุ พชั นี เทยี นวฒั นา ๖๒๐ ๖๖ คณุ พรชัย สทิ ธยิ ากรณ ๔๔๐ ๔๖ คณุ กุลนที แสงบาท ๖๐๐ ๖๗ คณุ ศลิ ปชัย จันทรเพ็ชร ๔๐๐ ๔๗ คณุ พชมน หรกิ ุลรักษ ๖๐๐ ๖๘ พ.ต.ท.หญิง วรจนิ าถ ๔๐๐ ๔๘ คณุ พณิ นา เหลา ประดิษฐ ๖๐๐ ๖๙ พ.ต.อ.บญุ เสริม ศรีชมภู ๓๗๐ ๔๙ คุณเม ๖๐๐ ๗๐ คุณจินตจุพา ตะปน ตา ๓๒๐ ๕๐ ด.ช.นนทกร สําราญร่นื ๖๐๐ ๗๑ คณุ ชอผกา แซโ คว ๓๒๐ ๕๑ คุณธนากร พันธธนา ๕๙๐ ๗๒ คณุ จินดา แซโ คว ๓๑๐ ๕๒ คุณปย วงษ บางปา ๕๔๐ ๗๓ คณุ ธนชานนั ท ทรรศนัยพงษ ๓๐๐ ๕๓ คุณไพโรจน เหลอื งเถลิงพงษ ๕๒๐ ๗๔ คณุ ธรรมนาถ ทองเคยี น ๓๐๐ ๕๔ ครกู าญจนา ๕๐๐ ๗๕ คุณธญั พร ภบู ังบอน ๕๕ คุณกรชาล คณุ บุหลัน และครอบครัว ๓๐๐ กวินภมู ิเสถียร ๕๐๐ ๗๖ คุณรวิวรรณ ตันธนะศริ ิเดช ๓๐๐

๙๕กองทัพท้ัง ๑๐ ของมาร ลาํ ดับ รายชอื่ จาํ นวนเงนิ ลําดับ รายชอ่ื จํานวนเงนิ ๗๗ คณุ วิรัตน วงศศรีนันท ๓๐๐ ๙๙ คณุ วัลภา บญุ ทรพั ย ๑๗๐ ๗๘ คุณศิรพิ รรณี นกั รอง ๓๐๐ ๑๐๐ คณุ ศิรินนั ท เผอื กโสภา ๑๕๐ ๗๙ คุณสพุ จน น่มิ ไพบลู ยว ฒั ๓๐๐ ๑๐๑ คุณอธิตชญา อรธนากระวิภา ๑๕๐ ๘๐ รา นเจรญิ ศิลปทาํ ปา ย ๑๐๒ พระมงคล สมุ งคฺ โล ๑๕๐ แอนดสติกเกอร ๓๐๐ ๑๐๓ คณุ นภา เจตนม งคลรัตน ๑๓๐ ๘๑ คุณอษุ า หรรษคณาฒยั ๒๙๐ ๑๐๔ คณุ ปราโมทย ศลษิ ฎอรรถกร ๑๓๐ ๘๒ คณุ จรนิ ทพิ ย จารุวงศ ๒๘๐ ๑๐๕ คณุ นิภาพร เครอื วฒั นกลุ ๑๒๐ ๘๓ คุณคนึงนิจ หะริณสกุ ๒๗๐ ๑๐๖ คุณปย นาถ ทัพภะสตุ ๑๒๐ ๘๔ คณุ ฉลองชัย คงบนั เทิง ๒๔๐ ๑๐๗ คณุ วริ ัตน โอฌานนท ๑๒๐ ๘๕ คุณสุวทิ ย แซจ วิ ๒๑๐ ๑๐๘ คุณฐานันดร แดงแตง ๑๑๐ ๘๖ คุณคิม้ แซโงว ๒๐๐ ๑๐๙ คุณอํานาจ สมบรู ณท รัพย ๑๑๐ ๘๗ คุณเงก็ เอ๊ียะ แซเตีย ๒๐๐ ๑๑๐ คุณคมสัน พงศป ระยรู ๑๐๐ ๘๘ คุณจรยิ า ชินะกานนท ๒๐๐ ๑๑๑ คุณจีรนนั ท คิดจติ ต ๑๐๐ ๘๙ คุณณิชาภา วิจิตรราชากลุ ๒๐๐ ๑๑๒ คณุ ชัชชัย ทองช่ืน ๑๐๐ ๙๐ คุณธนารตั น แสงนกิ รเกียรติ ๒๐๐ ๑๑๓ คุณชยั ภทั ร ถิรธนบรู ณ ๑๐๐ ๙๑ คณุ วสุมนย จงศรรี ตั นาพร ๒๐๐ ๑๑๔ คณุ ดวงรตั น ดวี าจา ๑๐๐ ๙๒ คุณวิสาร ศรที รง ๒๐๐ ๑๑๕ คณุ ทอ คณุ สนุ นั ทา ๙๓ คุณวีรชยั ปญควิ จณาณ ๒๐๐ แหลมไพศาล ๑๐๐ ๙๔ คุณสวมณี สระตนั ติ์ ๒๐๐ ๑๑๖ คณุ ธนเดช ๑๐๐ ๙๕ คณุ สุริยา ศรีนวนแกว ๒๐๐ ๑๑๗ คณุ ธรี นชุ พิพัฒพนั ธ ๑๐๐ ๙๖ คุณอารยา ปฏิภาณกวี ๒๐๐ ๑๑๘ คุณนนั ธภัทร ปาลกะวงศ ๙๗ คณุ คมาวัต สุขพาณิชย ๑๘๐ ณ อยุธยา ๑๐๐ ๙๘ คณุ อัญชลี วไิ ลวลั ย ๑๘๐ ๑๑๙ คณุ พรี พงศ เดชด่งั ปนธิ านดี ๑๐๐

๙๖ รายนามผรู วมจดั พิมพห นังสือ ลําดับ รายชอ่ื จาํ นวนเงนิ ลําดบั รายชอื่ จาํ นวนเงิน ๑๒๐ คุณวรภพ ลิมปสขุ ๑๐๐ ๑๔๑ คุณบญุ สง นิลศรี ๔๐ ๑๒๑ คุณวรรณะศักด์ิ อุนเรอื น ๑๐๐ ๑๔๒ คุณวิเชยี ร กมิ ศรี ๔๐ ๑๒๒ คณุ วชิ ยั สมโอชา ๑๐๐ ๑๔๓ คณุ ชณภตั วฒุ ิพงศ ๒๐ ๑๔๔ คุณบุญลอ ม ชาวหรรษา ๒๐ ๑๒๓ คณุ สุภาพ พงษลังกา ๑๐๐ ๑๒๔ คุณสภุ าภรณ จรญู ย่งิ หา ๑๐๐ ๑๔๕ คุณปาหนัน สารกิ บุตร ๒๐ ๑๒๕ พระมหาธรี านนท จริ ฎฐิโต ๑๐๐ ๑๔๖ คุณไพศาล เจรญิ ชัยพิทกั ษ ๒๐ ๑๒๖ คณุ จารุพรรณ นธิ สิ นั ทวะคปุ ณ ๙๐ ๑๒๗ คณุ พิชติ แซต งั้ ๙๐ อนโุ มทนาสาธุทุกทา น ยอดรวมศรัทธาทั้งสิน้ ๑๒๘ คณุ ศิรกิ าญจน ไผร ักษา ๙๐ ๑๙๓,๖๗๐ ๑๒๙ คุณธนา ศรีนเิ วศน ๘๐ ๑๓๐ คณุ บรรเจิด ตนั ถนนทกุล และครอบครัว ๘๐ ๑๓๑ คณุ ณวิญญา ฤทธวิ ธุ ๖๐ ๑๓๒ คณุ วันทนา ลขิ ติ วเิ ศษกุล ๖๐ ๑๓๓ ผมู ปี ระสงคอ อกนาม ๖๐ ๑๓๔ คณุ กวินธร พเิ สฏฐศลาศัย ๕๐ ๑๓๕ คุณจิตรศราวุฒิ ทุมภา ๕๐ ๑๓๖ คุณณภ ววิ ชิ ชานนท ๕๐ ๑๓๗ คณุ เลก็ เถาสุวรรณ ๕๐ ๑๓๘ คุณอตพิ ร มาลีสรเวชกลุ ๕๐ ๑๓๙ คณุ อาทิตย ธนาจริ วัฒน ๕๐ ๑๔๐ คณุ ชวนินทร เกตหุ อม ๔๐

กองทพั ท้งั ๑๐ ของมาร เมือ่ มารมาทาทายพระพทุ ธองค เราทราบดีวา ฝา ยใดเปน ผชู นะ แตในการปฏบิ ัติของเรา ฝา ยไหนเลาจะเปน ฝา ยชนะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook