Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Magga

Magga

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-04-09 09:35:26

Description: Magga

Search

Read the Text Version

2 มรรค เทศน์อบรมสมาธิ พระอาจารยเ์ จฟฟรีย์ (พระภาวนาวธิ านปรชี า) ธรรมบรรณาการ วัดเมตตาวนาราม

3 สัมมาทฏิ ฐิ ๑๗ สงิ หาคม ๒๕๕๕ เวลาทา่ นอธบิ ายไตรสกิ ขา ปัญญาเป็นข้อสุดทา้ ย แตเ่ วลาท่านอธบิ ายเร่อื ง มรรค ปัญญาเป็นข้อแรก เราอาจจะสงสัยว่าทำไมเปน็ อย่างน้ัน กเ็ ปน็ เพราะว่า ปญั ญาในทางโลกิยะเปน็ ผู้ช้แี นวทางในขั้นตน้ ปัญญาในทาง โลกุตระเป็นผูพ้ าเราไปถงึ ที่สุดทีจ่ ุดหมายปลายทาง สัมมาทิฏฐิเปน็ เรื่องของปญั ญาโดยตรง ท่านแบง่ ออกเป็นสองประเภท คือ โลกิยะ และโลกุตระ โลกิยะสมั มาทฏิ ฐิ คอื เช่ือบญุ เชื่อบาป เช่อื เรือ่ งของ กรรม คนเรามกี รรมจริงๆ ไม่ใช่มีเฉพาะกรรมในอดตี เราก็มกี รรมท่กี ำลังทำ ในปจั จุบันด้วย และกรรมนนั้ ย่อมให้ผลไม่ใชเ่ ฉพาะโลกนี้ ที่ใหผ้ ลโลกหนา้ กม็ ี และท่เี ราทำกรรมนเี้ ราเป็นผูต้ ัดสินใจเอง ไมใ่ ชว่ า่ มอี ะไรอ่นื มาบังคบั เปน็ เพราะเหตนุ ี้ท่ีส่ิงท่เี ป็นบญุ เชน่ การให้ทานและรักษาศีล เป็นสิ่งที่มี ประโยชนจ์ ริงๆ มคี ุณธรรมจรงิ ๆ ถ้าหากวา่ เราถูกบงั คับโดยไม่มีทางเลอื ก การใหท้ านจะไม่มีคุณธรรมอะไรมาก เพราะเราถกู บังคับ กเ็ หมือนเครอ่ื งจกั ร เครื่องจกั รไมร่ ับผดิ ชอบอะไรเลย เจา้ ของเขาตั้งอยา่ งไร คนท่อี อกแบบเขาต้ัง อยา่ งไร เคร่อื งจักรกท็ ำไปตามน้นั เครอ่ื งจักรก็ไม่ไดบ้ ุญ ไม่ไดบ้ าปอะไรเลย แตจ่ ิตใจของคนเราไม่ใช่อยา่ งนั้น การทเี่ ราใหท้ านกอ็ อกจากเจตนาดขี องเรา และสง่ เสริมความดีของเราด้วย

4 เวลาทา่ นอธิบายเรอ่ื งโลกิยะสัมมาทฏิ ฐิ ท่านจะพูดถงึ เรอื่ งความกตญั ญวู ่า พ่อแมม่ จี รงิ ซึ่งเปน็ เรื่องที่ฟังแลว้ ก็รูส้ กึ แปลกดี ใครๆ ก็รวู้ า่ พ่อแม่มีจรงิ แต่ ความหมายของทา่ นอย่ลู ึกกว่านัน้ คือ พอ่ แม่ท่ใี ห้ชวี ติ กับเรามีบุญคณุ กับเรา จรงิ ๆ ก็อยา่ งท่ีวา่ ถ้าหากว่ามนุษย์เราเป็นเครื่องจกั ร พ่อแมจ่ ะผลิตลกู ออกมา พอ่ แม่กไ็ มม่ บี ุญคุณอะไรเลยกบั ลูก เพยี งแต่วา่ ทำตามหน้าที่เท่าน้นั เอง แตว่ า่ พ่อแมก่ ็ใหช้ วี ิตแก่เรา ท่านทำด้วยความสมคั รใจ ทา่ นต้องลำบาก แตท่ ่านทำดว้ ยความรกั ทา่ นไมไ่ ดท้ อดทงิ้ เรา เพราะฉะนน้ั ท่เี ราจะรสู้ กึ กตัญญูตอ่ ทา่ นเปน็ ส่ิงที่สมควรมาก นี่เรยี กวา่ สัมมาทฏิ ฐิในทางโลกิยะ เปน็ ไปเพื่อความเวยี นว่ายตายเกดิ ในทางท่ดี ี อยา่ งนอ้ ยกเ็ กิดเป็นมนษุ ย์ สงู กวา่ น้นั อาจจะเกดิ เปน็ เทวดาบน สวรรค์ เพราะเราทำตามความเหน็ อย่างนี้ เป็นเพราะอันนี้ทท่ี า่ นเอาสมั มาทฏิ ฐขิ ้ึนเปน็ ขอ้ แรกในองค์มรรค ถา้ เรา พจิ ารณาดู กจ็ ะเหน็ ว่าเปน็ สมั มาทฏิ ฐิในข้นั ของศรทั ธา เรายังไมร่ ้แู น่นอนแต่ ว่าเราเช่อื จรงิ ๆ ว่าบุญมีจรงิ บาปมีจริง เราสมควรท่ีจะสร้างบุญขึ้นมา ถ้าเรา ไม่เชือ่ ตามแนวทางน้ี กไ็ ม่มีทางทจี่ ะปฏิบัติ จะปฏิบัตทิ ำไม เราจะเหน็ แตว่ า่ มันลำบากเปล่าๆ และทเ่ี ราจะไปถงึ สมั มาทิฏฐิขน้ั ตอ่ ไปคือขน้ั โลกุตระ ซง่ึ เปน็ เรือ่ งอรยิ สจั ๔ นั้นเราตอ้ งเชอ่ื ไวก้ ่อน วา่ อะไรๆ ท่เี กดิ ขนึ้ ในชีวติ ของเราก็ออกจากกรรมของ เรา กรรมมาจากไหน กม็ าจากจติ ใจของเรา การที่เรามีทกุ ข์ มสี ุข ก็ต้องมา จากใจ เม่อื เราเชือ่ อย่างน้ี เราจะค้นเข้าไปอีก

5 บางคนเขาว่าเรือ่ งทพ่ี ระพุทธเจา้ สอนเรอื่ งกรรม เรื่องบุญ เรอ่ื งบาปนน้ั ท่านเพยี งแต่รบั จากความเช่อื ถอื ในสมัยน้นั ไมเ่ กยี่ วกับเรอื่ งอรยิ สจั ๔ แต่อนั นัน้ ไมใ่ ช่ ถา้ หากว่าจติ ใจของเราไมไ่ ดเ้ ปน็ ผรู้ ับผดิ ชอบอรยิ สัจ ๔ คำสอน เหลา่ นี้จะมีความหมายที่ไหน ก็ทา่ นพดู ถึงทกุ ขท์ อี่ อกจากจิตใจของเรา มา จากตณั หา มาจากอปุ าทาน ถา้ หากว่าใจไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง คือความทกุ ข์ ของเราออกจากที่อนื่ มาจากดวงดาวหรือมาจากอะไรภายนอก เราคงไม่มี ทางท่จี ะแก้ไขได้ แต่ทนี ้ี เรากเ็ ช่ือวา่ เราเปน็ ผู้รับผดิ ชอบอยู่ เราจงึ จะมี ทางออกได้ เราจะไดค้ น้ ลงไปภายในจติ ใจของเรา นีป่ ญั ญาจงึ เกิดจากศรทั ธา เพราะอันนีแ้ หละ คนไม่มีศรทั ธาวา่ จะมีทางออก ก็หาทางออกไม่เจอ เหมือนเราเจอปญั หาในบ้านหรือปญั หาในที่ทำงาน ถ้าเราไม่เชอื่ ว่ามีทางแก้ กไ็ ม่มที างที่จะพบทางออกเลย แต่ถา้ เราเชอื่ วา่ ต้องมวี ธิ แี ก้สักอย่างหน่ึง เรา จะมีศรัทธา เราจะมคี วามเพียรจนทำได้ ถา้ ไม่เชือ่ ว่ามีทางออกหรอก ก็ไมม่ ี ทางออกหรอก ฉะนั้น การท่ีเราเชอื่ ในทางท่ดี ีนัน้ ทางท่ีถูกต้อง นัน่ แหละเปน็ บ่อเกิดแหง่ ปญั ญา เราจะเห็นในธรรมะของท่านหลายแขนง อย่างเช่น ท่าน สอนเรอ่ื ง พละ ๕ กเ็ รมิ่ ด้วยศรทั ธา แล้วก็ลงท้ายดว้ ยปญั ญา อนิ ทรยี ์ ๕ ก็ เชน่ เดยี วกัน เริ่มดว้ ยศรัทธา ลงด้วยปญั ญา กป็ ัญญาในท่นี ้ีไมไ่ ดห้ มายถึงการรู้ หนงั สือ หรือการพดู อะไรใหเ้ ขาฟัง แต่เป็นปญั ญาในการกระทำให้ใจของเรามี ทักษะในการดปู ัญหาของเจา้ ของและก็หาทางออกได้ เพราะฉะนน้ั ทเี่ ราเชอ่ื ในกรรม เช่อื ในบุญ เช่อื ในบาปน้ันเปน็ พ้ืนฐานทจี่ ะไดป้ ฏบิ ัตใิ นสัมมาทฏิ ฐิ ขนั้ ต่อไปกค็ ้นลงไปดูทจี่ ิตใจของเรา ที่ทกุ ขอ์ ยู่นน้ั เพราะอะไร เราดูตรงท่ี เราทำอะไรลงไปในปจั จบุ ัน คอื เมือ่ เราทำกรรมอะไรกไ็ มจ่ ำเป็นท่ีจะตอ้ งรอไป ถงึ ปหี นา้ ชาตหิ นา้ จงึ จะเห็นผล บางอยา่ งก็เหน็ ในปจั จบุ นั ถา้ ไม่เช่นน้ันกไ็ ม่มี

6 ทางทีจ่ ะเช่อื มโยงกนั ว่า เหตมุ าจากไหน ผลถึงออกมา ถ้าหากว่าเราทำเหตุ ชาตนิ ้ี แต่ผลออกมาชาตหิ น้าอยา่ งเดียว ก็ไมม่ ีทางทจ่ี ะจำไดว้ ่าเราเคยทำ อะไร แต่ทนี ้ีมหี ลายสงิ่ หลายอย่างเมอื่ ทำลงไปแลว้ ผลจะปรากฏขน้ึ มาทนั ที โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ เวลานัง่ ภาวนาน่แี หละ ถ้ากำหนดลมให้ถูกต้อง ใจกล็ ง ทนั ทีเลย ถา้ ความเหน็ ยงั ผดิ การปฏบิ ตั ยิ งั ผดิ ใจจะไมย่ อมลง หรือบางครั้ง มันจะลงโดยบังเอิญ นั่นแหละเพราะกรรมเก่า แตถ่ ้าหากวา่ เราทำปัจจบุ นั ให้ ถูกต้อง ผลจะปรากฏขนึ้ มาทนั ที เราจงึ มที างทจี่ ะศกึ ษารู้วา่ ใจของเราทีส่ รา้ ง ทกุ ข์กับตวั เอง มันสรา้ งตรงไหน คน้ เขา้ ไป กเ็ ป็นคุณธรรมที่เกิดข้ึนมาต่อหน้า ต่อตา พอตัณหาเกดิ ข้ึนมา ใจกท็ ุกข์ พอยดึ ตัณหา กม็ ีอุปาทานด้วยก็ยดึ ไว้ ท่ี เรายึดในขนั ธ์ ๕ นน่ั แหละเป็นตวั ทุกข์ ที่ท่านว่าการเกิดเป็นทุกข์ การแก่ก็เปน็ ทกุ ข์ การตายก็เปน็ ทุกข์ จะทุกข์ ทำไม กเ็ พราะเรายดึ ดูอย่างพระพทุ ธเจ้า ทา่ นแก่ แต่ทา่ นไม่ทุกข์ รบั รู้อยู่ว่า ร่างกายไม่สบาย เวลาแกล่ งไป ขนาดตายทา่ นก็ไมท่ ุกข์ เพราะทา่ นไมย่ ดึ ใน อาการเหล่าน้ี ทนี ใ้ี จของเราก็ยงั มนี ิสยั ชอบยดึ นน่ั ยดึ น่ี เราก็ควรยดึ มรรคไว้ กอ่ น ยดึ ในขอ้ ปฏบิ ัติไว้ก่อน หมายความวา่ เจริญให้ถงึ ท่ี อย่างที่ทา่ นพอ่ เฟอ่ื ง เคยบอกไวว้ ่า คนทีจ่ ะภาวนาดีกต็ อ้ งบ้าภาวนา คือตอ้ งตดิ อยากจะดู อยากจะรู้ อยากจะกำหนดลมของเรา อยากจะศึกษาเรือ่ งของใจในปจั จุบนั น่แี หละ การปฏิบัตขิ องเราจงึ จะเจรญิ ถ้าเราทำๆ หยดุ ๆ ทำๆ หยดุ ๆ ถงึ วนั พระก็ภาวนาบ้าง มนั ก็ได้อยู่ มนั กด็ ีอยู่ แตท่ ี่จะรูเ้ รอ่ื งจริงๆ ตอ้ งทำตดิ ต่อไป เร่อื ยๆ ใจของเรากต็ ้องสนใจ อยากรู้ อยากเหน็ วา่ ทม่ี นั ทกุ ข์อยู่เป็นเพราะ อะไร และทท่ี ่านวา่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทกุ ข์ ส่วนหนงึ่ ก็เปน็ ทกุ ขใ์ นไตร

7 ลกั ษณ์ แตว่ ่านั่นไมห่ นกั ทหี่ ัวใจ นอกจากว่าเราไปยดึ มันไว้ ฉะน้นั ถา้ เราจะรู้ เรอื่ งของทุกข์ เรยี กวา่ กำหนดรู้ทุกข์ กต็ ้องดซู วิ ่า เรายึดอะไรบ้าง แตท่ นี ้ีนิสัยของใจชอบยดึ จนถอื ว่าเป็นธรรมดา เราจงึ ต้องมกี ารอบรม จิตใจของเราให้อยใู่ นสมาธิ ถอนตวั จากอารมณท์ ง้ั หลายที่เป็นความเคยชนิ แลว้ อยู่เฉพาะท่ีลมหายใจเขา้ หายใจออก จนมน่ั อย่กู ับลม รอู้ ยู่กบั ลม สติเต็ม ตวั สมั ปชัญญะกร็ ูท้ ่วั ร่างกาย เมอ่ื ใจของเราสงบอยา่ งนี้ได้แล้ว กเ็ รยี กวา่ เจริญมรรค พอเคลื่อนจากทน่ี ีเ้ ราจะรู้ได้ทันทเี พราะใจเคยสงบมาแลว้ ท่ที า่ น วา่ ปญั ญากต็ ้องเกดิ จากสมาธิ ก็ตรงน้เี อง ถา้ ใจไมน่ ่ิงเราจะมองความ เคลอ่ื นไหว กม็ องไมช่ ดั มองแลว้ เบลอๆ เพราะไม่มีอะไรแน่นอนที่จะเอามา เทยี บ เหมอื นเรานอนอยู่กลางทงุ่ มองขน้ึ ไปกเ็ ห็นเมฆลอยอยู่บนฟ้า ถ้าเราไม่มีที่ เทียบกับพนื้ ดิน เราจะไมร่ เู้ ลยว่าเมฆเคลอื่ นไปทศิ ไหน เรว็ ช้าขนาดไหน แต่ ถ้าหากว่ามเี สาหรอื มีตน้ ไม้มียอดหลงั คา เราจะเอาน้นั มาเทียบดไู ด้ เมฆลอย ไปทางเหนอื ลอยไปทางใต้ เร็ว ช้าอย่างไร เราก็กำหนดได้ เพราะมีสงิ่ ที่ไม่ เคลื่อนท่เี ลยเป็นที่เทยี บ ฉันใด การทีเ่ ราจะรู้การเคลื่อนไหวของจิตใจว่ายดึ ตรงไหน ปลอ่ ยตรงไหน ใจกต็ ้องสงบไว้กอ่ น ถึงแม้วา่ เรายงั ติดอยใู่ นความ สงบ มีความยนิ ดใี นความสงบ เรียกว่ายังไม่บริสทุ ธ์ิทเี ดียว แต่ยงั เปน็ ที่เทยี บ ได้ ที่เรียกวา่ สมาธิอบรมปญั ญา กต็ รงน้ีเองเพราะเราใช้ความสงบเปน็ ที่ สงั เกต อย่างเช่นเวลาออกจากสมาธิ อยา่ ไปพรวดพราดออกไปนะ พอเราจะออก จากสมาธิ ตอ้ งดวู ่าใจจะไปไหน สิ่งแรกทีใ่ จไปคิด สิง่ แรกทีใ่ จจะมารับผดิ ชอบ

8 ข้ึนมา จะเปน็ การงานหรือจะเปน็ อะไรกแ็ ล้วแต่ ตอ้ งสงั เกตดูวา่ มันยึดเพราะ อะไร มันตดิ เพราะอะไร มนั คดิ เพราะอะไร มนั จงึ ยินดอี อกไปคดิ ถ้าเรา กำหนดอยา่ งนี้เราจะเร่ิมจับกิเลสของเราได้ นก่ี เ็ รียกว่าเราเจรญิ มรรค เราจงึ ได้ละสมทุ ัย เห็นได้ว่าท่ีมันไปติดอยู่ตอน นน้ั มันโงจ่ รงิ ๆ เราจึงจะปลอ่ ยวางได้ ถา้ จะส่ังให้มนั ปลอ่ ยโดยไม่เหน็ ความโง่ ของตัวเอง มันก็ปล่อยได้เป็นช่ัวคราว แตถ่ า้ หากวา่ เราเหน็ ดว้ ยปัญญาจรงิ ๆ ว่ามันไมน่ า่ ยดึ จรงิ ๆ นัน่ แหละเรียกวา่ ไม่ต้องบอก ไมต่ ้องส่ัง มนั จะปลอ่ ยเอง พอเราปล่อยแลว้ ใจก็เบาขน้ึ มา ถงึ แม้ว่ายังไมเ่ ป็นนโิ รธทเี ดยี ว แตย่ ังเปน็ หนทางที่เราจะได้ปฏิบัติเพอ่ื จะให้นโิ รธแจ้งข้นึ มาได้ รวมแลว้ เราก็ทำถกู ต้องตามหนา้ ท่ใี นอรยิ สจั ทั้ง ๔ กำหนดร้ทู ุกขเ์ พราะเรา เจริญมรรค เมอ่ื เราเจรญิ มรรคแล้ว เราจะเห็นสมทุ ัยด้วยปญั ญา ใจกจ็ ะ ปลอ่ ยวาง ความพ้นทุกข์ก็จะแจง้ ข้นึ มา นเ่ี รียกว่าเล่ือนจากสัมมาทิฏฐทิ าง โลกิยะมาสูโ่ ลกตุ ระ ก็เล่อื นทางนี้เป็นสายเดยี วกนั จากนนั้ ก็พยายามทำ ถกู ตอ้ งตามหนา้ ท่ีให้ถงึ ทีส่ ุด พอถึงท่ีสุดแลว้ ทา่ นกบ็ อกวา่ อริยสัจทงั้ ๔ ก็จะ รวมเปน็ อันหนง่ึ อนั เดียวกัน สมทุ ยั นิโรธ มรรครวมแลว้ ก็เป็นสงิ่ ที่จะตอ้ งละ ทง้ั น้นั แหละ นั่นแหละเป็นจุดสดุ ยอดของสัมมาทิฏฐิ ก็เปน็ สายเดียวกนั เพราะเรารู้ทกุ ข์ท่หี นกั อยู่ทหี่ วั ใจ วา่ ไม่ไดม้ าจากทอ่ี น่ื แต่มาจากจิตใจของเราเอง พอเข้าใจแบบนี้แล้วเราจะได้ปฏิบตั ถิ ูกต้อง พอค้น เขา้ ไป ค้นเข้าไป กจ็ ะเห็นตวั ทุกขน์ ี้เกิดจากใจที่แล่นออกไปตดิ อยู่กบั อันนนั้ ยดึ กบั อนั น้ี เราจะคอ่ ยสงั เกตดู ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งท่ไี มใ่ ชม่ รรคเรากพ็ ยายาม ปลอ่ ยวาง ปล่อยวาง ปลอ่ ยวางจนเหลอื แต่ใจท่ีเป็นมรรค

9 นีเ่ รียกว่ามรรคทำหน้าที่เสร็จแล้ว เหมอื นกับเครอ่ื งมอื ของเราทำงานเสร็จ แล้ว เราก็วาง ทา่ นบอกไวอ้ ยา่ งน้ี นนั่ แหละใจจึงจะสละเต็มที่ เพราะฉะนัน้ เราพยายามทำความเห็นให้ถกู ต้อง ถา้ ใจของเราทกุ ขเ์ มื่อไหร่ กอ็ ยา่ ไปเพง่ โทษคนนัน้ โทษคนน้ี เรากลับมาดูตัวเองวา่ ทุกขน์ ี้เกิดขน้ึ เพราะ ใจไปยดึ อะไร พอจบั ได้กถ็ ามวา่ ยึดทำไม กท็ า่ นบอกวา่ ต้องดูการเกดิ เขาดว้ ย การดับเขาด้วย เขาเกิดด้วยเหตุอยา่ งไร เขาดับอยา่ งไร ดูความเอรด็ อรอ่ ย ของเขา ตรงนแี้ หละท่ีใจของเราไม่คอ่ ยยอมรบั วา่ ความโลภมันก็ชอบอยู่นะ ความโกรธมันก็ชอบอยู่ อยา่ งเชน่ เรามานัง่ ภาวนาอยนู่ ้ี หลบั ตาใจดีเหมือน เทวดา พยายามนกึ วา่ ใหใ้ จของเราบริสุทธ์ินะ แตท่ ำไมความโลภเกดิ ข้นึ แลว้ เรายังชอบอยู่ ชอบรสอร่อยของมนั ความโกรธเราก็ยังชอบอยู่ ความหลงก็ยง่ิ ชอบใหญ่เลย เปน็ เพราะอะไร ตรงนแ้ี หละ ถ้าใจของเราไม่ยอมรับ กไ็ ม่มที าง ท่ีจะละได้ เพราะเราไม่รูส้ าเหตุที่เราไปติด ท่เี ราไปยึด เพราะฉะน้ันเวลามันโผลข่ ึน้ มาในจิตใจของเรา แล้วยดึ ขึ้นมาทนั ที ใหถ้ าม ตวั เองวา่ อ้าว ไปกบั มนั ทำไม ชอบมนั ตรงไหน มนั มีเสนห่ ์ตรงไหนความคิด แบบนี้ พอเห็นเสน่ห์ของเขา ก็เอามาเทียบกบั โทษของเขาดว้ ย ทใ่ี จของเราไป แบบนั้นมนั มีโทษนะ พยายามดโู ทษใหถ้ งึ ใจแล้วมาเทียบดูว่า มันคุม้ ไหม พอ เห็นวา่ ไมค่ ้มุ หรอก น่ันแหละมันจงึ จะปลอ่ ยวาง ก็เรียกวา่ รูร้ อด ไม่ใช่วาง เพราะทา่ นสั่งให้วาง มันไมใ่ ช่นะ ถึงแม้ว่าจะวาง กเ็ หมอื นว่าเรามีของอยูใ่ น มอื วางได้แลว้ ยงั ชอบอยู่ เอาวางอยูบ่ นพนื้ แตม่ ือพรอ้ มทจ่ี ะจับขึน้ มาเม่ือไหร่ ก็ได้ พอเผลอนดิ เดยี ว ปปั๊ อา้ ว ยดึ อกี แล้ว น่ี การปล่อยเพราะสง่ั แต่การ ปล่อยเพราะเหน็ จรงิ ๆ น้ัน เป็นคนละอยา่ ง เพราะเราเห็นว่ามนั มโี ทษจรงิ ๆ มันไมค่ ุม้ จะถอื มนั ทำไม วางไดท้ นั ทีเลย ไม่ต้องบอก

10 ด้วยเหตนุ ี้ สัมมาทิฏฐิตอ้ งมาเป็นข้อแรกในองค์มรรค เพราะทกุ สงิ่ ทุก อย่างทจี่ ะเป็นไปไดก้ ็ตอ้ งเปน็ ด้วยความเห็นที่ถกู ต้อง ในขน้ั แรกกเ็ ป็นแต่ ความเชอ่ื ท่านบอกว่ากรรมมจี รงิ บุญมีจริง บาปมีจรงิ นรก สวรรคม์ จี รงิ นพิ พานก็มีจรงิ เรายังไมร่ ้แู นน่ อน แต่เราเห็นวา่ ท่านมีเหตุผล ทา่ นทสี่ อนเรา อย่างพระพทุ ธเจ้า พระอรยิ สงฆส์ าวกทั้งหลายเป็นคนน่านบั ถือ น่าไว้วางใจ เราก็เชอ่ื ตามที่ทา่ นบอก นน่ั เรียกว่าสมั มาทิฏฐิในข้นั แรก พอเราได้ข้นั แรก แลว้ ขั้นต่อไปกต็ ามมา ก็เราปฏิบตั ิด้วยความเอาใจใส่ สกั วนั หน่งึ เราจะได้ เข้าใจ รวมลงเปน็ อริยสจั ๔ จากนนั้ ๔ ก็รวมเป็น ๑ เป็นข้อเดยี วกันหมด คืออะไรๆ ท่ีเกดิ ข้นึ ก็ต้องละ แต่อย่าข้ามขัน้ ตอนนะ ก่อนท่จี ะละหมดเรากต็ อ้ งเจรญิ มรรค และกต็ ้อง พยายามกำหนดรู้ในทุกข์ ศกึ ษาค้นเขา้ ไปว่าใจของเราที่ยังทกุ ข์อยู่นน้ั มนั ยดึ อะไร ยึดตรงไหน นีข่ นั้ น้ีขา้ มไม่ได้หรอก บางคนเขาวา่ อะไรกล็ ะๆๆ ไปหมด เรียกวา่ รู้ก่อนเกิด เลศิ ก่อนทำ ครบู าอาจารยท์ ั้งหลายท่านติเตยี นมาก เราไป ตามขัน้ ตอนของทา่ นดกี ว่า สักวันหนง่ึ เราจะได้ถึงจรงิ ๆ จากน้ีภาวนาตอ่ สัมมาสงั กัปปะ ๑ กนั ยายน ๒๕๕๕ สัมมาสงั กัปโป ความดำรชิ อบน้นั ทา่ นบอกวา่ เปน็ สว่ นหน่งึ ของปัญญา อยู่ ในปญั ญาขนั ธข์ องมรรค ก็เม่อื เราเหน็ ว่าใจของเราที่เปน็ ทุกขน์ ้ันมาจากการ

11 กระทำของเราเอง เรากต็ ้องหนั มาดูจิตใจของเราซ่ึงเปน็ ตน้ ตอของการกระทำ ทง้ั หมด เจตนาทั้งหมด พยายามขับไล่เจตนาทีไ่ ม่ดอี อกจากจติ ใจของเรา การ ท่ีเราจะรเู้ รือ่ งของทกุ ข์และสมทุ ัยเหล่านี้ แค่รเู้ ร่ืองยังไมพ่ อ ยงั ตอ้ งรู้อีกว่า เราจะทำอย่างไรจงึ จะไม่ให้เปน็ ทุกข์ ทุกสง่ิ ทกุ อยา่ งขึน้ อยูก่ บั เจตนาของเรา เพราะฉะนน้ั ทเ่ี ราตั้งใจวา่ เราจะละเจตนาที่ไม่เปน็ กศุ ล นั่นก็เปน็ สว่ นหนึ่งของ ปญั ญา เช่น เราเห็นวา่ การท่ีใจของเรามงุ่ อย่ใู นเรอื่ งกามนั้น จะสรา้ งความทุกข์ สรา้ งความเดอื ดรอ้ น ใจของเรากม็ ัวหมอง เราก็เลยตง้ั ใจวา่ จะละให้หา่ งจาก กาม และเราเห็นว่าที่ใจของเราพยาบาท ไม่ชอบคนนน้ั ไม่ชอบคนนี้ อยากจะ ใหเ้ ขามอี ันเปน็ ไป เพราะเขามาทำกับเราอยา่ งน้นั อย่างนี้ เราอยากจะใหเ้ ขามี ทุกขแ์ ละจะใหก้ รรมของเขาลงโทษเรว็ ๆ ความคิดอย่างน้ีกส็ รา้ งความ เดือดรอ้ น คอื เวลาใจของเราปองร้ายคนอื่น เราจะพดู อะไร ทำอะไร คดิ อะไร ท่ไี ม่เปน็ กุศล กง็ ่ายดี เพราะเราไมแ่ คร์ใคร เขาจะเปน็ อย่างไร ชา่ งหวั มนั ยง่ิ เขาเป็นทกุ ขเ์ ร็วๆ ก็ยิง่ ดีเท่านั้น ถ้าคิดอยา่ งนั้น ใจของเราไว้ใจตัวเองไมไ่ ด้ เมื่อเราเห็นโทษของสิ่งเหล่าน้ี เราก็พยายามทจ่ี ะละ น่นั ก็เป็นการดำรชิ อบก็ เป็นสว่ นหนง่ึ ของปญั ญา สว่ นวิหงิ สาสังกับโป ความคดิ ในการเบยี ดเบียนกค็ ลา้ ยๆ กบั การปองรา้ ย ท่านบอกวา่ การปองรา้ ยเป็นปรปกั ษ์ของเมตตา การคิดทจี่ ะเบียดเบยี นน้ัน เป็นปรปักษข์ องกรณุ า เห็นคนอนื่ เขาทกุ ขอ์ ยแู่ ล้วกอ็ ยากจะซำ้ เตมิ เขา ถ้าคดิ อย่างน้ีจะดที ไี่ หน สรา้ งความทกุ ข์ สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองเปลา่ ๆ ถา้ เราเราตั้งใจวา่ จะละความคดิ แบบนั้นก็เป็นส่วนหนง่ึ ของปัญญา

12 แต่ทา่ นก็บอกว่า การดำรชิ อบนี้เกยี่ วเนอ่ื งกับสมาธิดว้ ย ก็เปน็ ไปได้สอง อยา่ งคอื หน่งึ เชน่ เราก็จะพยายามละพยาบาทด้วยการเจริญเมตตา การเจริญ เมตตานเี้ ป็นอารมณ์ของสมาธทิ ท่ี า่ นสอนให้เจริญแบบไมม่ ีประมาณ หมายความวา่ แผ่ให้ทุกคนในโลก รวมเทวดาทกุ องค์ สตั ว์ทุกตวั โดยไมย่ กเว้น ใคร อย่าใหท้ ั้งเขาท้ังเรามคี วามทุกขเ์ ลย ทีนเ้ี ขาเหลา่ น้ันจะหมดจากทกุ ข์ อยา่ งไร ไม่ใช่วา่ หมดจากทุกขเ์ พราะเราคดิ เฉยๆ ต้องหวังใหเ้ ขาเขา้ ใจในเหตุ แห่งความสขุ ความทุกข์ท่แี ทจ้ ริงและกพ็ ยายามละเหตุแหง่ ความทุกข์ เจรญิ เหตแุ ห่งความสุข ก็เปน็ อันว่า ตอ้ งเขา้ ใจในเร่อื งของกรรม และถา้ เขา เหลา่ นั้นทีม่ เี จตนาท่ไี มด่ ี ที่ขอกใ็ ห้เขาเปล่ยี นเจตนา คนท่ไี มเ่ ขา้ ใจเรอ่ื งของ ความทุกข์ความสุขท่ีแท้จริงน้นั ขอให้เกิดความเข้าใจข้นึ มา ถ้าเราคดิ แบบนี้เรากแ็ ผ่ได้ทั่วไป ไมว่ ่าใครๆ ขนาดคนทเ่ี คยทำสิ่งที่ เหีย้ มโหดอย่างร้ายแรง ความทารณุ อะไรที่จติ ใจของเราหรอื ที่คนอืน่ ทีเ่ ป็น เหย่อื ของเขา เราก็นกึ สงสารเขา วา่ จะสร้างความความเสียหายแบบน้ี กต็ อ้ ง ตกนรก ขอใหเ้ ขาเปล่ียนใจเถอะ นี่ถ้าคดิ อย่างนไ้ี ด้ก็ไมน่ ่าจะมีปญั หาท่ีจะแผ่ เมตตาให้ทัว่ โลกไปเลย พอจติ ใจของเราคิดกวา้ งขวางอยา่ งนี้ กจ็ ะเป็นสมาธิ ขน้ึ มา เปน็ อารมณข์ องสมาธิ นอี่ ยา่ งหนึง่ อีกอย่างหนง่ึ ท่านกบ็ อกวา่ สัมมาสงั กปั โปมสี องขั้น ขั้นแรก สมั มาสงั กัป โปแบบธรรมดา คือคดิ ที่จะออกจากกาม คิดท่จี ะไม่พยาบาทใคร คิดท่ีจะไม่ เบยี ดเบยี นใคร เรียกว่า โลกิยะสมั มาสังกัปโป ส่วน โลกุตระ นนั้ การที่เรา วิตกวจิ ารในเร่อื งของสมาธนิ ัน้ นน่ั ก็เปน็ สมั มาสังกัปโปแบบโลกุตระ เพราะใจ

13 ของเราได้ออกจากกามจรงิ ๆ ไม่มพี ยาบาท ไมม่ กี ารเบยี ดเบียนในความคดิ อนั นั้น ท่ีจะปฏบิ ัตจิ ากโลกิยะไปถงึ โลกุตระนั้นเราจะปฏิบัตอิ ยา่ งไร พระพุทธเจา้ กย็ กเปน็ ตวั อยา่ ง ทา่ นกบ็ อกว่าใหถ้ อื วา่ ความคิดของเราเหมือนฝูงโค เราเปน็ โคบาล น้ีในระหว่างในพรรษา โคของเรามีโอกาสท่ีจะสร้างความอันตราย ข้นึ มาให้เรา เด๋ียวเขาจะรุกลำ้ เข้าไปในเขตนาของคนอืน่ พอขา้ วกำลงั งาม อา้ ว ววั ของเราจะเขา้ ไปเหยยี บยำ่ ตน้ ขา้ ว กินเมลด็ ข้าว เดี๋ยวเจ้าของนาต้อง มาทะเลาะกับเรา เกดิ เรอื่ งไปถึงศาลก็มี เพราะฉะนัน้ โคบาลในระหวา่ งนน้ั ตอ้ งควบคุมโคใหด้ ี ดูแลใหใ้ กล้ชิด ปลอ่ ยไม่ไดเ้ ลย พอมันจะเข้าใกลน้ าของ คนอื่น กต็ ้องไปตบี ้างไลบ่ า้ ง น่ีความคิดของเรากเ็ ช่นเดียวกัน ถ้าคิดในทางที่หมกมุ่นในเรือ่ งกาม คิด พยาบาทใคร คิดจะเบียดเบยี นใคร เราจะปลอ่ ยไม่ได้เลย ตอ้ งพยายามละ ความคดิ เหลา่ นัน้ ใหไ้ ด้เลย ทางทด่ี ที ส่ี ดุ ก็คือคดิ ในทางตรงกันขา้ ม เชน่ เรา เห็นเขาสวยเห็นเขางามก็ไปดใู หด้ ีๆ นะ ดูเขา้ ไปขา้ งใน งามไหม สวยไหม ที่ เราเหน็ ว่าสวยหรือว่างาม นั่นแหละเพราะเรามองข้างเดยี ว มองแบบผิวเผิน ไมไ่ ดเ้ ปดิ ตาของเราให้กว้างออกไป นี้กอ็ ย่างหนง่ึ หรือถา้ เราพยาบาทเขา ลองคิดดซู วิ า่ ถ้าเราไปพยาบาทเขาเรากจ็ ะได้อะไร ขึน้ มา โอกาสทีจ่ ะสร้างอกุศลก็มมี ากจรงิ ๆ เพราะฉะนั้นถ้าเราเห็นคนนน้ั ไมด่ ี คนนี้ไมย่ ุตธิ รรม ก็ถอื ว่าธรรมดาของโลก เราเกิดมาในโลกมนุษย์ ไมใ่ ชโ่ ลก สวรรค์ ท่านบอกว่าต้องคดิ วา่ คนท่ีทำสงิ่ ที่ไม่ดกี บั เราหรือเคยทำส่ิงทีไ่ ม่ดกี ับ เรา กเ็ ป็นธรรมดาของโลกมนุษย์ ธรรมดาของมนษุ ย์เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่

14 อยากจะโดนส่ิงเหล่าน้อี ยา่ ไปเกิดในโลกมนษุ ย์เลย แต่ทีนเ้ี ราเองดันมาเกดิ ใน โลกนี้แล้ว จะไปโทษใคร ทา่ นพ่อเฟอ่ื งมีลกู ศษิ ย์คนหนง่ึ เป็นนางพยาบาล หน้าตาสวย ทีนพ้ี ยาบาล คนอื่นกอ็ ิจฉาเขา ชอบนนิ ทาเขาอย่างน้นั นนิ ทาอย่างนี้ เขาก็น้อยใจ มีอยู่วนั หนึ่ง เขาไปน่งั ภาวนากับทา่ นพอ่ กค็ ิดน้อยใจว่า เอะ๊ ทำไมคนอื่นชอบวา่ เรา ชอบอิจฉาเรา กภ็ าวนาไป เกดิ นิมิตเหน็ ตัวเองอยู่ในหอ้ งกระจกระหว่าง กระจกสอ่ งหนา้ สองดา้ น มองในกระจกด้านน้ีกเ็ หน็ เงาของตัวเองสะทอ้ น กลับไปกลับมาซอ้ นๆๆ คิดข้ึนมาได้วา่ ที่เราโดนแบบน้คี งจะหลายชาตนิ ะนับ ไม่ถ้วน กเ็ กิดยงิ่ สลดสงั เวชตวั เอง พอออกจากภาวนาก็ไปปรารภกับท่านพอ่ ในลกั ษณะที่สงสารตวั เอง อยากจะให้ท่านปลอบใจ แต่ทนี ี้แทนทีจ่ ะปลอบใจทา่ นบอกว่า จะไปโทษใคร เราเองก็เสอื กมาเกิดมาเปน็ มนษุ ย์ จะเอาอยา่ งไร พอฟงั คำว่า “เสือก” น้ีเขา ก็ตกใจ คดิ ขน้ึ มาไดว้ ่า โอ้ มันจริงของทา่ น ไม่มใี ครมาจ้าง ไม่มีใครมาขอให้ มาเกิด เราเองอยากเกดิ ทีนีเ้ ราเกดิ อยู่ทีน่ ี่ จะทำอย่างไร ธรรมดาของโลกก็ เปน็ อยา่ งนี้ ถ้าคิดอยา่ งนีไ้ ด้ ท่ีเราเดอื ดร้อนใจ เห็นว่าอนั นัน้ ไม่ยตุ ธิ รรม อนั นี้ ไม่ยุตธิ รรม ก็วางซะ ก็ไมใ่ ช่เราคนเดยี วที่โดนแบบนี้ คนเขาโดนกนั ทว่ั โลก สว่ นความคิดทีจ่ ะเบียดเบยี นเขา ให้คดิ วา่ นี่แหละ เราเป็นชาวพุทธ มี พระพุทธเจ้าเปน็ บรมครู ท่ีคิดจะไปเบียดเบียนคนอน่ื น้ันไม่สมควร ครูของเรา ไมไ่ ดส้ อนอยา่ งนั้น ความสขุ ท่ไี ด้จากการเบยี ดเบยี นน้นั ไวใ้ จไมไ่ ด้ เรียกวา่ เราพยายามแก้ความคิดของเราทีไ่ มด่ ี หนั กลับเปน็ ความคดิ ทด่ี ี เหมือนโคบาลทค่ี อยตีววั ทจ่ี ะลำ้ เข้าไปในเขตนาของคนอน่ื เขา

15 ทนี ้พี อเราเหน็ ความคิดของเราอย่ใู นทางทถ่ี ูกทคี่ วรแลว้ ทา่ นบอกวา่ ให้ทำ เหมือนนายโคบาลในช่วงฤดูรอ้ น ขา้ วก็เกบ็ หมดแล้ว ถงึ วัวจะล้ำเข้าไปในเขต นาของคนอื่นเขา กไ็ มม่ อี ันตราย กไ็ ม่มีอะไรทีว่ วั จะกนิ หรือทำลาย ฉะนน้ั ปลอ่ ยมนั ได้ นายโคบาลกน็ ัง่ อยใู่ ตต้ ้นไม้ ไม่ตอ้ งคิดอะไรมาก ไม่ตอ้ งระวงั อะไรมาก กส็ บาย แต่ว่ายงั ปลอ่ ยทีเดยี วไม่ได้นะ ต้องคอยสำนกึ อยูเ่ สมอวา่ โคของเราอยทู่ ี่ไหน จะไดเ้ รยี กกลับ นท่ี ่านบอกว่านีจ่ ติ ใจของคนเราท่ีเป็นสัมมาสังกปั โป คิดในทางท่ีจะออก จากกาม คดิ ในทางที่ไม่พยาบาท คิดในทางทไ่ี ม่เบยี ดเบียน คิดแบบน้ีกไ็ มม่ ี โทษ แตว่ ่าถา้ คดิ มากไปมนั กเ็ หนื่อย แล้วจะไปไหน ก็เขา้ สู่สมาธิ ใจของเราจะ ได้พัก นเ่ี ปน็ วธิ อี นั หนึ่งท่จี ะใหใ้ จของเราเล่ือนขึ้นจากสัมมาสังกปั โปทีเ่ ป็นโลกิยะ เปน็ โลกุตระไปเลย ก็เข้าสมาธิ วิตก วิจาร ในเร่อื งของลม วิตก วจิ าร ในเรอ่ื ง ของพทุ โธ กแ็ ลว้ แตอ่ ารมณ์ทเ่ี ราชอบ กท็ ่านบอกว่าใจท่ีเข้าฌานทห่ี นงึ่ แล้ว เป็นใจท่ีไม่มคี วามดำริทเ่ี ป็นอกศุ ลเลย เพราะเหตุนี้ทท่ี ่านบอกวา่ สัมมาสังกปั โปกบั สมั มาสมาธเิ กีย่ วเน่อื งกันอยา่ งใกล้ชดิ กเ็ ป็นวธิ ีใช้ปญั ญาใหเ้ กิดสมาธิ ขน้ึ มา ยิง่ ถา้ เรารู้จกั พิจารณาปลงธรรมสงั เวชว่า ใจเราที่หมกมุ่นในเรื่องกาม ใน เร่ืองพยาบาทนมี้ นั น่าสังเวชจรงิ ๆ ถา้ คดิ อยา่ งนไ้ี ด้ คดิ วา่ อารมณท์ ัง้ หลายท่ี เราเคยหมกมุ่นอยู่นนั้ มนั นา่ สงั เวช ใจกจ็ ะเรม่ิ เปน็ สมาธอิ ยา่ งแน่วแน่ พอออก จากสมาธิกเ็ จอในเรอ่ื งที่สลดสังเวชอีก จะออกไปคดิ ทำไม กลับมานี่ดีกวา่ เพราะฉะน้ันท่ที ่านว่าสมาธทิ ่ีอบรมปญั ญาก็มี ปัญญาท่ีอบรมสมาธิก็มี ก็อยู่ ตรงนแี้ หละ ที่สมั มาสงั กปั โปทเี่ ราเจรญิ น้ันแหละเขา้ ข้ัน

16 ฉะนนั้ ถา้ ใจของเราไม่ยอมลง ยงั ไม่ยอมทจ่ี ะอย่กู บั ลม เรากพ็ ยายาม พจิ ารณาดวู ่า ใจของเรายังตดิ กบั อะไรบา้ ง ติดในกามสุขหรอื ติดในพยาบาท หรอื ตดิ ในความคดิ ที่จะเบียดเบยี นอะไร กพ็ ยายามแกค้ วามคิดเหลา่ น้ี วางลม สักพักหนึ่ง พยายามคดิ ท่ีจะแก้ พอแก้ได้จรงิ ๆ ใจของเราก็จะเข้าสู่สมาธิงา่ ย ขึ้นมา ตามท่ีเราต้องการ ตามทีเ่ ราดำริไว้ จากนภี้ าวนาต่อ สัมมาวาจา ๘ กนั ยายน ๒๕๕๕ ขอ้ ปฏิบตั ิทเ่ี รากำลงั ดำเนนิ อยนู่ ้มี ีทง้ั ศีลทัง้ สมาธิทง้ั ปญั ญา ทนี ถ้ี ้าเราเข้าใจ ว่าสามอยา่ งนี้เป็นคนละเรอ่ื งกนั ที่เรยี งกันเปน็ แถว เชน่ ตอ้ งมศี ีลจงึ ค่อยมี สมาธแิ ลว้ มีปญั ญา ก็จะปฏิบัตยิ าก แต่ถ้าหากวา่ เราเขา้ ใจวา่ ๓ อยา่ งน้ีเก่ียว เน่อื งกนั ศีลกช็ ่วยสมาธิและช่วยปัญญา สมาธชิ ่วยทัง้ ศีลทั้งปัญญา ปัญญาก็ ช่วยทั้งศีลท้งั สมาธิด้วย การปฏบิ ัตกิ จ็ ะงา่ ยข้ึน อย่างทเ่ี รานงั่ ภาวนาอยนู่ ่ี เรากำลงั อบรมจิตใจ ทนี ้ีถ้าเราอบรมใจโดยไม่ เคยอบรมปาก มนั ก็ยาก ถ้าใจที่กำลังนัง่ อยนู่ ่คี ุยกับตวั เอง บอกว่าดลู มนะ ลม นี้ไมด่ ีกเ็ ปลยี่ นลมได้ไหม อา้ ว ทดลองแบบนน้ั แบบนี้ กต็ ิดนิสัยจากคำพดู ภายนอกของเรา ถ้าคำพูดภายนอกของเราเปน็ ความจริง มหี ลกั อยู่ในคำพดู ท่ี เราควบคุมคำพดู ของเราได้ เรากค็ วบคมุ คำพดู ภายในด้วย ไม่เชน่ นน้ั เราจะ โกหกตัวเองวา่ มานง่ั ดูลม แต่ทจี่ รงิ ไปคดิ เรอ่ื งอ่ืน อย่างน้เี ป็นตน้

17 เหตุนั้น ต้องนกึ ถงึ หลกั ในมรรคทที่ า่ นเรียกวา่ สมั มาวาจา วา่ มี ความสำคัญในการปฏบิ ัติจิตใจดว้ ยนะ จะชว่ ยทงั้ สมาธชิ ว่ ยทงั้ ปัญญาดว้ ย ก็ ถา้ เราพิจารณาคำพดู ของเรา คำพดู ท้งั หลายท่ที า่ นบอกว่าให้งดเว้นมอี ยู่ ๔ อย่าง สิ่งทีส่ ำคญั ทสี่ ดุ คือไม่ให้โกหก รองลงมาก็ไมพ่ ูดสอ่ เสียด ไม่พดู คำ หยาบ และไม่พดู เพ้อเจ้อ แต่อนั ดบั แรกนะ คือการโกหก การพดู ในสง่ิ ทไี่ ม่มีความจริงน้ัน พระพุทธเจ้าติเตียนมาก ว่าในบรรดาศลี ท้งั หลาย ท่านจะยกขอ้ นขี้ ึ้นมา ท่าน บอกว่า ถา้ หากว่าคนมคี วามละอายในการพดู โกหก ร้วู า่ ตัวเองพดู ในสง่ิ ทไ่ี ม่ จรงิ ถ้าไมม่ ีความละอายในเรือ่ งนี้ กเ็ ปน็ คนที่ไว้ใจไมไ่ ด้เลย ความชว่ั อยา่ งอนื่ กเ็ ปน็ อนั ว่าทำไดท้ ้ังน้ัน เพราะการพูดโกหกนี้เปน็ ศัตรูต่อธรรมะ คนทเี่ ข้าใจ ผิดในเรอ่ื งธรรมะน้ันกเ็ พราะคนโกหกกันมากตอ่ มาก และถา้ หากว่าเราพดู โกหกกับคนอน่ื เราเองก็ตอ้ งโดนดว้ ย เพราะคนอน่ื เขาจะโกหกกับเรา เขาจะ ไมใ่ ห้ความสำคญั ในคำพูดของเรา น่นั เรยี กว่า ตัดปากของตัวเอง ฉะน้นั ขอ้ นี้ กต็ อ้ งสำรวมให้มากทสี่ ุด ท้งั ภายนอกทั้งภายใน โดยไม่มีข้อยกเว้นเลย อกี สามข้อนัน้ ท่านก็มีข้อยกเว้นนะ อยา่ งเช่น พดู ส่อเสียด หมายความว่า พดู เพอื่ ทำใหเ้ ขาแตกแยกจากความเปน็ มติ รกนั กลวั คนนั้นจะเป็นมติ รกับคน น้ี กลวั เราจะเสยี อำนาจ หรอื จะเสยี เปรียบ เรากพ็ ดู ใหเ้ ขาแตกกนั สว่ นใหญ่ เป็นสิง่ ที่ไมถ่ กู ไมด่ ี แต่วา่ บางครั้งเราเหน็ คนท่ีไมด่ ีพยายามท่ีจะเอาเปรียบอกี ฝา่ ยหนง่ึ โดยแสดงตัวว่าเป็นมิตรอยา่ งนน้ั อย่างนี้ บางคร้งั เรากม็ หี นา้ ท่ีท่ี จะต้องเตือนอกี ฝา่ ยหน่ึง แตว่ ่าตอ้ งเตือนดว้ ยปญั ญา ไม่เชน่ นน้ั เขาจะเกลยี ด ขห้ี นา้ เรา เด๋ยี วเขาจะไมไ่ ว้ใจเราว่า เอ๊ะ ทำไมเราพดู อย่างนัน้ ทำไมใส่ร้ายคน

18 นนั้ เพราะฉะนั้นตอ้ งใช้ความรอบคอบ นี่ศีลก็ต้องมีปัญญาด้วยจึงจะบรสิ ทุ ธ์ิ ได้ จงึ จะไมม่ โี ทษ การพูดคำหยาบ คำที่เราเจตนาที่จะทำให้เขาเสยี ใจ เจ็บชำ้ น้ำใจน้นั ปกติ ทา่ นหา้ ม แต่สำหรบั พระทา่ นมขี ้อยกเว้นว่า ถ้าหากว่าเรามีเจตนาเป็นธรรม เห็นว่าถ้าเราไม่พดู หนักเขาก็จะไมร่ ู้สกึ ตวั บางทกี ็ตอ้ งพูดหนัก อยา่ งอาตมา อยู่กบั ครบู าอาจารย์ กโ็ ดนหลายครง้ั หลายหนนับไมถ่ ้วน บางทีคำพูดของครู บาอาจารย์เจบ็ จรงิ ๆ เสยี ดแทงเข้าไปในจติ ใจ แต่เจตนาของทา่ นเปน็ ธรรม เราก็ฟงั ได้ อยา่ งพระพทุ ธเจ้าท่านเปรียบเทียบเหมือนกับวา่ เรามลี กู คนหนงึ่ ท่ีเอาเศษ แก้วเข้าไปในปาก เราก็ตอ้ งพยายามเอาเศษแก้วนั้นออกจากปากใหไ้ ด้ อยา่ ให้เดก็ กลนื เขา้ ไป ถา้ กลนื เข้าไปแลว้ กจ็ ะเป็นอันตรายมาก ทนี ี้เวลาเอาออก จากปากบางครั้งตอ้ งมบี าดแผลที่ปากบา้ ง เลอื ดออกบา้ ง แต่ต้องทำ ถ้าไมท่ ำ อยา่ งนนั้ เด็กกจ็ ะเปน็ อันตรายมาก น่ีกล็ กั ษณะเชน่ เดยี วกัน คือบางคร้ังก็ตอ้ ง ใช้คำหนกั แต่อย่างทว่ี ่า ตอ้ งรูจ้ กั ใชป้ ญั ญาด้วย และต้องรอบคอบในเจตนา ของเราวา่ เราเจตนาดีจริงๆ ไม่ใช่ว่า กิเลสเขา้ มาสวมรอย ส่วนคำเพ้อเจ้อนนั้ เปน็ คำท่ีไม่มีประโยชน์อะไรเลย อนั นนั้ ก็ไม่ดี แตใ่ นศลี ของพระทา่ นก็ไม่ได้ห้ามทเี ดียว ไมเ่ หน็ มใี นสกิ ขาบททไ่ี หนท่หี ้าม ท่านก็บอก ว่าไมด่ นี ะ แต่บางคร้ังเราอยู่ในหมู่ต้องพูดอะไรให้แสดงนำ้ ใจซง่ึ กันและกัน เราจะไดท้ ำงานด้วยกันได้ ไปกนั ได้ แตใ่ จของเราไมไ่ ด้แลน่ ไปตามเรอื่ งน้ัน พดู พอประมาณเทา่ น้ัน เหน็ ว่า เออ พูดแค่นีก้ พ็ อแล้วนะ ก็หยดุ จงึ เรยี กว่าตอ้ งใชป้ ญั ญาพจิ ารณาว่าควรมีหลักเกณฑ์อย่างไรในวาจา ๓ ประเภทสดุ ทา้ ยนี้ แต่เรือ่ งโกหกน้นั ท่านห้ามทเี ดยี ว นเี่ ราต้องใชป้ ญั ญา

19 เหมือนกนั บางครง้ั คนนี้จะเข้ามาถามนนู่ ถามน่ี ถ้าเราพดู ความจรงิ เดี๋ยวก็เกดิ โลภข้นึ มา โกรธข้ึนมา หลงขึน้ มาก็มี แตว่ ่าท่านหา้ มไม่ใหพ้ ดู โกหก ไมใ่ ห้พดู สิง่ ท่ีไม่จริง เพราะฉะน้ันต้องรู้จักหลกี เลยี่ งไว้ แล้วจะหลกี เลย่ี งอย่างไร กต็ ้อง ใช้ปญั ญา เขาพดู อะไร เขาถามอะไร เรากถ็ ามตอบ เราเปลี่ยนหวั ข้อ เราต้อง ทำแบบที่เขาจับไมไ่ ด้ อนั นีต้ อ้ งใชป้ ญั ญาทเี ดยี ว กก็ ารรักษาศีลท่านไมไ่ ด้บอกวา่ เป็นเรอ่ื งง่ายนะ ท่านไม่ได้อนุญาตวา่ ถ้าหา กว่าเขาจะเสียใจ เขาจะน้อยใจอะไร เราพดู โกหกกไ็ ด้เพ่ือรักษานำ้ ใจเขา นัน้ ไม่ได้เลย เป็นกฎเดด็ ขาด เพราะฉะนน้ั ในการรกั ษาศีลกต็ ้องใช้ปัญญาให้ รอบคอบทีเดียว นีถ่ ้าเรารอบคอบกับวาจาภายนอก เรอ่ื งวาจาภายในก็จะค่อยงา่ ยข้นึ มา ด้วย เราร้จู กั ควบคุมปากได้ การควบคมุ จิตใจของเรากจ็ ะงา่ ยข้ึนมา อย่างพระพทุ ธเจา้ มหี ลกั ในการพูด ทา่ นก็บอกว่า หนง่ึ เปน็ เร่ืองจริงไหม ถ้าไมจ่ รงิ ทา่ นจะไม่พูดเลย ถ้าเห็นว่าจริงข้อตอ่ ไปคือ จะเป็นประโยชน์ไหม ถ้าไมเ่ ปน็ ประโยชน์กอ็ ย่า พดู นะ นแ่ี สดงว่าส่งิ ทไ่ี ม่จริงแต่ว่าจะเปน็ ประโยชน์ ทา่ นไม่พดู ถงึ เลย เพราะ มันไม่มจี รงิ ๆ ถึงแม้วา่ เราคิดวา่ เราโกหกเขา จะได้เป็นประโยชน์กับเขา แต่ว่า จริงๆ แล้ว จะได้ประโยชน์ท่ีไมจ่ ริง นีข่ ้อสอง ขอ้ ทีส่ าม สิ่งทจ่ี ริงดว้ ย มปี ระโยชนด์ ว้ ย อย่าเพิง่ พดู นะ ตอ้ งถามอีกตอ่ ไป ว่า ถกู กาลเทศะไหม กบ็ างอย่างถงึ จะจรงิ และมีประโยชน์ ถ้ารจู้ ักใชค้ ำพดู บางทีตอ้ งพูดดีๆ จงึ จะถกู กาลเทศะ บางทีต้องพูดแบบไมด่ จี งึ จะถูกกาลเทศะ อย่างทีว่ า่ ตอ้ งใชค้ ำหนัก ใช้คำพดู ที่เขาไมพ่ อใจเพอื่ จะเตือนเขา ยกตวั อยา่ ง พระเทวทตั ขอให้พระพทุ ธเจ้าเกษยี ณอายุ พระเทวทตั จะได้เปน็ ผ้นู ำพระสงฆ์

20 ต่อไป พระพทุ ธเจา้ ดา่ ไมม่ ีดีเลย ถ้าแปลเปน็ ภาษาไทยก็ “ไอ้คนกินเสลดคน อืน่ ” เรียกว่าดา่ หนกั พระเทวทตั ไม่พอใจเดินหนี แต่ถา้ หากว่าพระพุทธเจา้ ไม่ไดพ้ ดู หนกั ถึงขนาดนนั้ พระภิกษทุ ่ฟี ังดว้ ยกนั อาจจะไม่รู้วา่ พระเทวทตั มี เจตนาลามกขนาดไหน เพราะฉะน้นั ท่านต้องพูดหนัก พูดคอ่ ยๆ ไม่ได้เลย เอาตัวอย่างทใ่ี กล้ๆ เรา เคยมพี ระองค์หน่ึงเขา้ มากราบหลวงปู่ นำญาติ โยมเข้ามาจะถวายผา้ ป่า พระองค์นมี้ ีประวัติท่ีเสีย แต่เข้าใจวา่ หลวงปู่ก็จะไม่ พดู ถึงเลยต่อหนา้ ญาตโิ ยม แต่เปล่า ทา่ นกถ็ ามเปน็ คำแรกเลย “อา้ ว เรอ่ื ง ของท่าน ก็มผี หู้ ญงิ ไปฟ้องว่าทำมิดมี ิร้ายกับเขา เรอ่ื งนที้ ำไมไม่เห็นจัดให้มัน เรียบร้อย ให้มนั แนน่ อนว่ามนั ไม่จริง” พระองค์นั้นกต็ อบวา่ “ผมก็พยายาม ทำ” หลวงปกู่ ็สวนทางวา่ “ถา้ พยายามจริงๆ มนั กเ็ รยี บรอ้ ยไปนานแล้ว ใน สายตาของผม ทา่ นไม่ใชพ่ ระนะ” น่ีพดู ต่อหนา้ คนหลายคน ก็เรยี กวา่ คำหนัก ของทา่ น จะได้เตอื นคนท่อี ย่รู อบๆ ใหร้ วู้ า่ คนนไี้ วใ้ จไม่ไดเ้ ลย ปกตหิ ลวงปู่จะ เปน็ คนท่ีพูดนิ่มนวลที่สดุ แต่เวลาจำเป็นจริงๆ ท่านก็พูดหนกั ได้ นหี่ ลกั ในการพูดท่เี ราใช้กับวาจาภายนอก เวลาภาวนากใ็ ช้กับวาจาภายใน เราน่งั อยู่นี่ ใจกพ็ ูดถงึ เร่อื งลมหรือพดู ถงึ เรือ่ งอะไร อา้ ว บางทเี ร่อื งอืน่ คดิ ขึน้ มาได้ “อันนน้ั มนั จรงิ นะควรจะเตรยี มอันน้ันไว้ ควรจะวางแผนอยา่ งนนั้ อยา่ งนี้” ใช่ มนั อาจจะเป็นประโยชนอ์ ยู่ แต่ไม่ใช่กาลเทศะ ไมใ่ ชเ่ วลาที่จะ คิดถึงเรื่องนนั้ ใหเ้ อาไว้ทหี ลัง อย่างเชน่ ถ้ามเี ร่ืองสำคญั จริงๆ ภาวนาแล้ว กอ่ นเลิกภาวนาก็ใหน้ ่งั น่งิ อีกสัก ๕ นาที หรอื ๑๐ นาที ค่อยคดิ น่ันแหละจงึ จะถกู กาลเทศะ แต่ในขณะน้ที ่ีเรากำลังดูลมหายใจเข้าออก ใจจะวติ กวิจารก็ ใหว้ ิตกวิจารในเรื่องของลม ลมกบั ใจเท่าน้ันเองสองอยา่ ง อย่างอน่ื ถึงจะจรงิ

21 ขนาดไหน มีประโยชน์ขนาดไหน แต่น่ีไม่ใชเ่ วลา ต้องมกี ฎเด็ดขาดกับตวั เอง อยา่ งนี้ สมาธขิ องเราจงึ จะเจริญ จงึ เรยี กวา่ สมั มาวาจาเปน็ หลกั ไมใ่ ช่เฉพาะในเร่อื งของศีลนะ แต่กินถึง สมาธกิ ับปญั ญาดว้ ย ฉะนั้น ข้อนีอ้ ย่าไปมองขา้ ม เปน็ ข้อสำคญั มากในการ อบรมจติ ใจของเรา เป็นเพ่ือมรรค เพ่อื ผล เพื่อนพิ พาน ถึงแม้ว่าเราไมม่ ่งุ สงู ขนาดน้นั แตจ่ ะให้อยใู่ นโลกนโ้ี ดยไมม่ โี ทษ กค็ วรเอาสมั มาวาจาน้ีเป็นหลัก สำคญั ทสี่ ดุ เพราะปากของเรานแ้ี หละสงั หารกนั ได้งา่ ยกว่าร่างกาย วาจาทจี่ ะ สงั หารเขาและกลับมาสงั หารตวั เองได้กง็ ่ายนิดเดียว ถ้าไมไ่ ด้ใชค้ วาม ระมดั ระวงั แต่ถา้ หากวา่ เรารจู้ ักใช้ วาจาของเราก็จะเปน็ ประโยชนท์ ้งั กบั ตัวเองด้วยและกบั คนอื่นด้วย อยา่ งทีท่ ่านพ่อลเี คยบอกไว้ เราอตุ ส่าห์เกิดมาเปน็ มนุษย์ มีปากของมนษุ ย์ ทสี่ ือ่ ความได้ ก็สมควรท่ีจะกราบปากของเจา้ ของทกุ วันๆ และใช้ด้วยความ เคารพว่า เรามอี ำนาจในตวั เราเองขนาดน้ีทพี่ ดู ได้ สอื่ ความได้ อตุ สา่ ห์สรา้ ง บญุ สร้างบารมขี ้นึ มาขนาดน้ีแลว้ อยา่ ให้มนั เสยี อย่าใช้ในทางที่จะเปน็ โทษ จากนภ้ี าวนาตอ่ สัมมากมั มนั ตะ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ สมั มากมั มันตะ คือการงานชอบ การงานในที่น้หี มายถึงกิรยิ าของร่างกาย ที่ทำดว้ ยเจตนา ปกติเร่อื งนีเ้ ราไมค่ ่อยจะนึกถงึ เวลาเรานงั่ ภาวนา พอน่ัง

22 ภาวนา กายก็นงิ่ ไมไ่ ด้ฆา่ สตั ว์ ไม่ไดล้ ักทรพั ย์ ไม่ได้ประพฤติผดิ ในกาม กถ็ อื วา่ ในระหวา่ งทีเ่ ราอยู่น้ี ข้อน้ีเราไดแ้ ล้ว เรามาสนใจกับการภาวนาโดยตรง สนใจกบั ลมหายใจของเราโดยตรง แต่บางครั้งก็เป็นการดที เี่ รามาพิจารณาว่า สมั มากมั มนั ตะน้นั ทำไมทา่ นบัญญตั เิ รือ่ งน้ีขึน้ มา ก็จะดูกันง่ายๆ คือหน่งึ เรา ไมไ่ ดฆ้ ่าใคร ไมไ่ ดล้ กั ทรพั ย์ ไม่ได้ประพฤติผดิ ในกาม คอื ไม่ได้สรา้ งเวรสรา้ ง กรรมกบั ใคร ไมม่ ใี ครท่จี ะมาคิดแก้แค้นกบั เรา เราสังเกตได้วา่ ชวี ติ ของเรา ซง่ึ หลายอยา่ งนั้นไมไ่ ด้อยู่ในการควบคมุ ของเรา จนบางคร้ังก็ร้สู กึ วา่ ชีวติ ของ เราเองก็ไม่มีอำนาจทจี่ ะแกไ้ ขอะไรได้ กรรมเกา่ จะบงั คับอยา่ งน้ันอย่างน้ี แต่ เมื่อเราต้ังใจทจ่ี ะประพฤตติ ามศลี ของท่านจริงๆ เราก็จะเห็นได้ว่า ชวี ิตของ เราเปลยี่ นไปในทางท่ีดี เราเองกม็ อี ำนาจท่จี ะให้จติ ใจของเรา ให้ชวี ิตของเรา ดีขึ้นมาบ้าง ทีน้ีในเร่ืองของศลี นน้ั ไมใ่ ช่เฉพาะเรื่องของกายและวาจา แต่เขา้ ไปถึงจติ ดว้ ย อยา่ งทเ่ี ราละเว้นจากสิง่ ทผ่ี ดิ ศลี กเ็ ป็นอันวา่ เราไม่ไดเ้ ปิดโอกาสให้ความ โลภ ความโกรธ ความหลงแบบหยาบๆ มีอำนาจในจิตใจของเรา เราทำใหส้ ่ิง เหลา่ นี้อ่อนลงได้ ก็เปน็ การอบรมจติ ใจโดยตรงในสว่ นหน่งึ ท่ีทา่ นเรยี กวา่ กิเลสหยาบๆ แตเ่ วลาเราทำสมาธิ เราเอาสามขอ้ นี้เขา้ มาเป็นข้อเปรยี บเทียบเปน็ อปุ มา ก็ได้ อยา่ งทา่ นพอ่ ลีชอบพดู อย่เู สมอวา่ เวลาน่ังภาวนา ใจของเราอย่าไปฆา่ สัตว์ อย่าไปลักทรัพย์ อยา่ ไปประพฤติผดิ ในกาม ท่านหมายถงึ อะไร หนึ่ง อยา่ ไปฆ่าสัตว์คือ อยา่ ไปฆ่าความดขี องตัวเอง อยา่ ไปฆ่าสมาธขิ อง ตวั เอง อุตสา่ หม์ านั่งภาวนาอยู่น่ี ดูลมหายใจ นิวรณ์เขา้ มากระซิบกระซาบนดิ

23 หน่ึง เรากท็ ้งิ ลมซะ กลบั ไปคดิ เรือ่ งบ้าน เรื่องช่อง เร่อื งการ เรอื่ งงาน นถ่ี า้ เรา ปลอ่ ยลมไปเหมือนกับวา่ เราฆ่าสมาธิของเรา เราก็ตอ้ งปลุกใหม่ ตงั้ ตน้ ใหม่ ที น้ีตั้งตน้ ใหมก่ ค่ี ร้งั ๆ จะไดผ้ ลที่ไหนถา้ เราไม่ได้รกั ษา กเ็ หมอื นเราปลูกต้นไม้ ปลกู ต้นหน่ึงแล้วก็ทง้ิ ไมไ่ ดด้ ูแล ไม่ได้ใสน่ ำ้ ใส่ปุ๋ย เด๋ยี วกต็ าย พอกลบั มาดู อ้าว ตายไปแลว้ ปลกู ใหม่กท็ ้งิ อีก ถ้าทำแบบน้ี ๕๐ ปีกไ็ ม่มตี ้นไม้สกั ตน้ มแี ต่ ต้นไม้ตายๆ ตายๆ เปน็ แถว นี่สมาธิของเราจะมีชีวติ ได้ จะเจริญงดงามขนึ้ มา ได้ เรากต็ อ้ งรกั ษาเข้มงวดกวดขันกับตวั เอง อยา่ ใหน้ ิวรณ์เข้ามาทำลาย อยา่ ไปฆ่าสมาธิของเรา นี่ข้อหน่งึ ขอ้ ที่สอง อย่าไปลักทรัพย์ ก็ส่ิงท่ไี ม่ดีของคนอืน่ เขา เขาจะดีอยา่ งไรไมด่ ี อย่างไร ก็เรอ่ื งของเขา เราจะเอามาทำไม เราไม่ได้ขออนญุ าตเขา ไม่เคยถาม เขาวา่ เขายินดีทีจ่ ะให้หรอื ไม่ น่ีเหมือนกบั วา่ เราลักทรพั ย์ของเขาไป และ สว่ นมากที่เราเอามาน้ัน ก็เป็นแต่เรอื่ งเสียๆ หายๆ ถ้าหากวา่ เรายากจนจรงิ ๆ จำเปน็ ท่จี ะต้องเอาอะไรจากเขา ก็นา่ จะเอาความดีของเขามาคิดก็แล้วกนั แตท่ างที่ดที ่ีสดุ เราต้องถือว่า ท่เี ราสขุ เราทกุ ข์อยู่น่ีมาจากไหน กม็ าจากการ กระทำของเราเอง ความคิดของเราเอง คำพูดของเราเอง ก็คอื สงิ่ ทอ่ี อกจาก จติ ใจของเราท้งั นนั้ แหละ เราไม่ไดท้ ุกข์เพราะคนนั้นคนนี้ นอกจากวา่ เรา ปล่อยใหจ้ ติ ใจของเรายึดเขา้ มาเปน็ เรือ่ งเป็นราว เราเห็นวา่ เขาทำเสยี นน่ั แหละคนนนั้ จะตกนรก ไม่จำเป็นทจี่ ะใหเ้ ราตกนรกไปด้วย ถ้าเราเอาของเขา มาเปน็ ของเราไป กรรมไมด่ ขี องเขาก็จะกลายเป็นกรรมไมด่ ีของเรา ถ้าจะ ขโมยอะไรกอ็ ยา่ งน้อยขโมยของดีๆ ก็แลว้ กนั แต่ดกี วา่ นน้ั อย่าไปขโมยอะไร เลย น่ันเราสร้างเรอื่ งของเราขน้ึ มา ดูแลจิตใจเราในปัจจุบันน่ีแหละ ไมต่ อ้ ง ขโมยของคนอืน่ เขามา นขี่ ้อทีส่ อง

24 ข้อท่ีสาม การประพฤตผิ ดิ ในกาม คือใจของเราชอบกเิ ลสกาม วัตถกุ าม วัตถกุ ามคือ สงิ่ ทเี่ ราวา่ นา่ รักน่าใคร่ กิเลสกามกต็ ัวความคิดท่ีจะหาความสขุ กับส่งิ นั้นสิ่งน้ี เช่น เราคดิ ท่จี ะทำกบั ข้าว ในการกนิ ข้าวน้ันเราก็ใชเ้ วลาอย่าง มากคร่ึงชั่วโมง แต่ที่เราคิดวา่ จะทำ จะแต่งอยา่ งนน้ั อย่างน้ี น่คี ดิ เป็นชว่ั โมงๆ ได้ ก็ทา่ นบอกว่าใจคนเราไม่ใชต่ ิดในวตั ถุ แต่กลับตดิ ในความคิดเกี่ยวกบั กาม นแี่ หละ ไมย่ อมปล่อย อยา่ งเช่นเราคดิ ว่าเม่อื เลกิ จากท่ีนี้แล้วจะไปทานข้าว รา้ นอาหารนี้ แต่พอไปถงึ น่นู ปรากฏวา่ ร้านเขาปิด แตไ่ ม่เป็นไร ร้านอ่นื ๆ ก็ เปิด ใจกค็ ดิ ไปอีก ไปท่ีร้านนู้นจะมอี ะไรดี มพี ิซซา่ มีอะไรกว็ ่าไป น่แี สดงว่า เราไมไ่ ด้ติดในวตั ถุ แตก่ ลับตดิ อยใู่ นความคดิ เกีย่ วกบั วตั ถตุ า่ งหาก นีป่ ระพฤติ ผดิ ในกาม ทจ่ี ะให้ถกู ต้อง ใจเราจะคิด ก็คดิ ได้ คดิ ในเร่อื งของลม คดิ ในเรือ่ งของ สมาธิ คือท่านบอกวา่ ให้ตดิ นะ ให้แช่อยใู่ นความสุข ใหจ้ ิตใจของเรายนิ ดีที่ จะอยกู่ บั ลม แต่ไม่ใชเ่ ฉพาะสุขเวทนาของลม สุขในเจตนาของจติ ทีช่ อบคิด ชอบพจิ ารณา ชอบค้นควา้ เหน็ เปน็ เรอ่ื งท่ีนา่ สนใจ น่ีทา่ นเรียกว่า จิตอทิ ธิ บาท อทิ ธิบาททีเ่ กดิ จากการเอาใจใส่ ชอบคิดถงึ ทางแก้ไขปัญหา เชน่ ถ้าลม ไม่ดตี รงนี้ ทำอยา่ งไรจะใหด้ ีข้ึนมา ถ้าใจของเราเกดิ สนใจเพลนิ อยู่ในเร่ืองนี้ ก็ เรียกว่าตดิ ในส่งิ ทด่ี ี ถา้ เราติดอยู่ในเรอ่ื งแบบน้ีกด็ กี วา่ ท่จี ะติดในเรอ่ื งกาม หลายๆ เทา่ คือคนทตี่ ิดในกามน้นั ฆา่ คนได้ ลกั ขโมยได้ แต่คนทต่ี ดิ สมาธิ ไม่ เคยฆ่าใครเพราะตดิ สมาธิ การตดิ สมาธนิ นั้ เปน็ เรอ่ื งท่ีแก้ไขได้งา่ ย และใจของ เราจะละเอียดเขา้ ละเอยี ดเขา้ จนกระท่ังรู้ตัวข้ึนมาก็ โอ้ การทต่ี ดิ จากกาม นั้นไม่ดเี ลย จากนน้ั กล็ ะเอียดเขา้ ไปอกี ละเอียดเข้าไปอีก จะเห็นวา่ ความสุข

25 ท่เี กดิ จากสมาธยิ ังมคี วามบกพรอ่ ง แลว้ จะไปอยา่ งไร จะไปไหน ใจของเราก็ น้อมที่จะไปในธรรมะที่สูงกวา่ นน้ั แตต่ ราบใดทเ่ี รายงั ไม่เคยเสวยความสขุ ในสมาธิ ใจของเรายังหยาบอยู่ เพราะฉะนั้นเพื่อความละเอยี ดของใจ เรากเ็ อาความสุขตอนนแี้ หละ อย่าไป สนใจความสขุ ในเรอื่ งกาม กามหมายถงึ สิ่งทีช่ อบดู ชอบฟงั ชอบดม ชอบล้มิ รส ชอบสมั ผสั ทัง้ หมด ซง่ึ ผิดกับความสุขจากรูปคอื ความรสู้ ึกของเราท่ีอยูใ่ น ร่างกาย น่ันเปน็ ความสุขไมม่ โี ทษ อยา่ งพระพทุ ธเจา้ ตอนท่บี ำเพ็ญทกุ รกริ ยิ า ๖ พรรษา พอรูต้ ัวว่าทางน้ัน ไม่ใช่ทางทถ่ี ูก จงึ ถามพระองค์เองวา่ ทางอื่นมีไหม กน็ กึ ขึน้ มาได้ ถึงตอนท่ี เปน็ เด็ก เคยนั่งสงบจิตอย่ใู ต้ต้นไม้ในขณะทีพ่ ระบิดากำลงั ทำงานอยู่ ใจก็ เขา้ ฌานเลย มีความสุข มีปีติเกิดขึน้ จากวิเวก นี่พระองคก์ ถ็ ามตวั เองวา่ ความสขุ นม้ี ีโทษไหม กไ็ ม่เห็นมีโทษ คือไม่ได้ทำใหใ้ จมัวเมา ใจกลับสวา่ งดว้ ย ซำ้ และไมไ่ ด้เบียดเบียนใคร ไม่ได้เบียดเบยี นตัวเอง ไม่ไดเ้ บยี ดเบยี นคนอ่นื ก็ เรียกวา่ เปน็ ความสขุ ท่ีไมม่ ีโทษ คิดไปคดิ มาจนไมก่ ลัว แลว้ จงึ ไดห้ นทางที่ถูก นี่ เรยี กว่า เราเอาสัมมากมั มันตะเป็นขอ้ อุปมาสำหรบั สมาธิ แต่ท่ีจะเปน็ ข้ออปุ มาสำหรับปัญญานั้น เราต้องดูตรงทว่ี า่ ถา้ ทำผดิ แต่ละข้อๆ ท่ีทา่ นห้าม ไว้ ความผดิ นน้ั ก็เหมือนกบั วา่ เรายึดกรรมสิทธ์ิในสิง่ ทไ่ี ม่ใช่ของเรา ยงั ไปฆ่า เขา ชีวิตเขาไม่ใชข่ องเราทีจ่ ะมาประหารได้ มนั ลว่ งเกินเขา ไปลกั ขโมยก็ ลว่ งเกนิ เขา ไปเอาลูกเอาเมียไปเอาผวั ของเขา มันล่วงเกนิ เขาในสงิ่ ท่ีไมใ่ ช่ ของๆ เรา นี่ทา่ นสอนเรือ่ ง อนัตตา ตรงนีแ้ หละ ถ้าเรายึดในส่งิ ทีไ่ มใ่ ช่ของเรา ก็ทกุ ข์นะ พอน้อมจิตเขา้ มา กส็ ิ่งทล่ี ะเอียดกว่านั้นที่เรายงั ยึด ทลี่ ว่ งเกินยงั มี ไหม ก็มีถมไป เชน่ ร่างกายของเรานีน่ ะ คิดไปคดิ มามันไมใ่ ช่ของเรา

26 เหมือนกนั คอื เราไปแย่งจากสตั ว์ท้งั หมด คอื รา่ งกายของเราจะอย่ไู ด้กจ็ าก อาหาร ทง้ั ผักกม็ ี เนอ้ื สัตว์กม็ ี เน้อื สตั วเ์ ขายินดีให้ไหม เขาเองกไ็ ม่ไดย้ นิ ดี แต่ เรายดึ ว่าเปน็ เรา เปน็ ของๆ เรา และผลจากความยดึ นัน้ จะต้องทกุ ข์ เด๋ียว เจ็บนนู่ เจ็บน่ี กก็ รรมที่เราเอาของเขามา ใหพ้ ิจารณาเข้าไปอีก เขา้ ไปอีก รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อาการของขนั ธ์ทง้ั ๕ กไ็ มใ่ ช่ของเรา ที่เรายึด ของเขา เรากต็ ้องทกุ ข์ น่ีเรียกวา่ ในสัมมากมั มนั ตะท่านสอนเรือ่ งอนตั ตานูน่ จนกระทงั่ ขอ้ สดุ ท้าย อยา่ งท่านอธิบายเรื่องการกำหนดลมมีตงั้ ๔ หมวด ๑๖ ขอ้ ท่ีหมวดสดุ ท้ายมี การพิจารณา อนิจจงั เราพิจารณาอนิจจังกต็ อ้ งมี ทกุ ขัง และ อนัตตา แฝง อยูใ่ นน้ันดว้ ย นนั่ ขอ้ แรก ขอ้ ท่ี ๒ พิจารณา วริ าคะ ข้อที่ ๓ พิจารณา นโิ รธ คือการดับ แค่นน้ั เองนา่ จะจบแลว้ แตย่ งั ไม่ใช่ ขอ้ สดุ ทา้ ยคือ ปฏนิ ิสสคั โค การคืนไป หมายความวา่ อะไรๆ ที่เราเคยยดึ ไมใ่ ช่ของๆ เรา กค็ ืนให้ ธรรมชาติเขาไป ร่างกายก็คืนเขาไป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ กค็ ืนเขา ไป ขนาดมรรคก็ยงั คืนเขาไปอกี จะคืนอะไร ก็มรรคนย้ี งั เปน็ ขนั ธ์น่ีแหละ ปญั ญากต็ อ้ งมีสญั ญาและสังขารจงึ จะพิจารณาได้ นีห่ มายความวา่ ปัญญา ทำงานเสร็จแลว้ เราไมไ่ ด้ยึดปัญญาเปน็ ของๆ เรา ตอ้ งปล่อยวางนะ น่ที ่านก็ ใหป้ ลอ่ ยวางถึงขนาดน้ัน ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งเมือ่ เราปลอ่ ยวางแลว้ ใจของเราจงึ จะพ้น ท่านเทียบเหมือนไฟ เวลามนั ไหม้อย่มู ันยังยึดที่เชอื้ ถา้ มันปลอ่ ยเช้อื ไฟจะดบั พอดบั ไปแล้วไฟก็อสิ ระ กลบั ไปสูธ่ าตเุ ดมิ ของมนั นีจ่ ิตใจของเราก็ เชน่ เดียวกนั ทีเ่ ราตดิ ในขนั ธ์ ไมใ่ ช่ว่าขนั ธม์ าจับเรา เราไปจับเขาตา่ งหาก ถ้า เราปล่อย เรากพ็ น้ ไมต่ อ้ งแยง่ อะไรจากเขาเลย เราเองกป็ ล่อย กห็ มดเรือ่ ง

27 นี่ธรรมะท่ีเราไดม้ าจากการพจิ ารณาเรื่องสมั มากัมมันตะกนิ ถงึ ท้ังศลี ท้ัง สมาธิ ท้ังปัญญา ตามหลักท่ีครูบาอาจารย์เคยสอนไว้ว่า การปฏิบัติธรรมเป็น เน้อื เดยี วกนั หมด ต้งั แตข่ ัน้ แรกไปถงึ ขั้นสดุ ทา้ ย เพราะฉะน้นั ไม่ต้องไปแยก อนั นค้ี อื ศลี อนั นคี้ อื สมาธิ อนั นี้คอื ปัญญา ท่ีจรงิ มนั กแ็ ยกกันได้ แตว่ า่ เอา รวมกนั ดีกว่า เม่ือเอารวมกนั กไ็ ด้ขอ้ คิดหลายอย่างท่จี ะทำให้การปฏบิ ตั ิของ เราก้าวหน้าไดด้ ี จากน้ภี าวนาตอ่ สมั มาอาชีวะ ๑๙ กนั ยายน ๒๕๕๕ สมั มาอาชีวะ การเล้ียงชีพชอบ เป็นองคใ์ นอรยิ มรรคที่ท่านไมไ่ ดอ้ ธบิ าย เทา่ ไหร่นัก มีเฉพาะว่า อรยิ สาวกเว้นจากการเล้ียงชพี ในทางทผี่ ดิ ประกอบ อาชีพในทางทีถ่ กู ก็บอกแค่นน้ั ไมไ่ ดอ้ ธบิ ายวา่ อะไรคือผดิ อะไรคอื ถกู ถ้า เราจะดูในท่ีต่างๆ ว่า เช่น ท่านบอกว่าการคา้ ขายบางอย่าง อบุ าสก อุบาสิกา ไมค่ วรจะประกอบ เช่น ขายมนษุ ย์ ขายสัตวท์ ่ีจะเปน็ อาหาร ขายยาพษิ ขาย อาวุธ ขายเหลา้ และเครอื่ งมนึ เมา ทา่ นบอกว่าให้เว้นจากการค้าขายแบบนี้ และมีอย่บู างแห่งเชน่ มีทหารอาชีพเข้ามาหาพระพทุ ธองค์บอกว่า อาจารย์ เคยสอนไวว้ า่ ถา้ ฝกึ อาชีพนีแ้ ล้วไปตายในสนามรบกจ็ ะขนึ้ สวรรค์ จะจรงิ หรือ เปลา่ ตอนแรกพระพทุ ธเจา้ ไม่ยอมตอบ บอกวา่ อยา่ ถามเลย ทหารก็ถามอกี ถึงสามคร้งั ขอให้บอกเถอะ พระพทุ ธเจ้าจึงบอกว่า ถา้ อยา่ งนั้นก็หลีกเล่ยี ง

28 ไมไ่ ด้นะ ถ้าตายในระหวา่ งที่รบอยู่ ใจกำลังโกรธเกลยี ดและจะให้พวกนี้ตาย ก็เปน็ อกศุ ลจติ ถา้ เราตายไปดว้ ยอกศุ ลจติ กต็ กนรก แต่ถา้ เหน็ ว่าจะข้นึ สวรรค์ กเ็ ปน็ ความเห็นท่ผี ิด ผลของการเห็นผิดคอื ตกนรกหรอื เกดิ เปน็ สัตวเ์ ดรจั ฉาน ทหารคนนั้นก็รอ้ งไหเ้ ลย พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ นี่แหละท่จี ะไมต่ อบ กเ็ พราะ อันน้ี ทหารก็บอกวา่ ไม่ได้ร้องไห้เพราะที่พระพุทธเจ้าบอก แตร่ ้องไหเ้ พราะ ถกู พวกอาจารย์หลอกมาหลายปี มีนกั แสดงเข้ามาถามเหมอื นกนั ทำนองเดียวกัน วา่ อาจารย์เคยบอกเขา ว่าถ้า แสดงใหผ้ ู้ชมชอบใจ เมอื่ ตายไปแล้วก็จะข้นึ สวรรค์แห่งการหวั เราะ จะ จริงไหม พระพุทธเจ้าไมย่ อมตอบ จนนักแสดงถามถึงครั้งท่ีสาม พระองค์จงึ บอกวา่ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากวา่ แสดงเพ่อื ให้ผู้ชมมีความโลภ ความโกรธ หรืออกุศลจติ เกดิ ขนึ้ ในเขา เมื่อตายไปแลว้ ก็จะตกนรกแหง่ การหวั เราะ ซึ่งไม่ เปน็ ทสี่ นกุ นะ คือสวรรค์แหง่ การหัวเราะกเ็ ป็นท่ีร่นื เรงิ แต่ในนรกแห่งการ หัวเราะเขาเยาะเย้ยเรา นักแสดงก็ร้องไห้อกี พระพทุ ธเจา้ บอกว่า ท่ีไมต่ อบก็ เพราะอันน้ี ไม่อยากใหร้ ้องไห้ นกั แสดงบอกว่าไม่ได้รอ้ งไห้ทพี่ ระพทุ ธเจา้ บอก แต่รอ้ งไห้เพราะถกู อาจารย์หลอกมาหลายปี นี่พระองคไ์ ด้แสดงมารยาท ไม่ใช่ออกเทย่ี วโพนทะนาว่าอาชีพน้ันไม่ดี อาชีพน้ไี มด่ ี นอกจากว่าเขามาถามจริงๆ ต้องการรูจ้ ริงๆ พระองคจ์ งึ บอก นี่ให้เหน็ ว่า การดูอาชพี ของเรา เราเองกต็ ้องดอู าชพี นี้วา่ เบยี ดเบียนคน อ่นื ไหม เบียดเบยี นเราไหม หมายความวา่ ทำให้เราทำผดิ ศลี ผิดธรรม ทำให้ เราเกิดอกศุ ลจิตขน้ึ มาไหม หรอื จะทำให้คนอืน่ ทำผิดศีล ผดิ ธรรม ทำให้เขา เกดิ อกุศลจิตข้ึนมาไหม มันเป็นเรอื่ งทจี่ ำเป็นในอาชพี นัน้ ไหม ถ้าจำเป็นจริงๆ

29 เราควรพยายามหาทางออก กจ็ ะเป็นเพราะอันน้ีทีพ่ ระองค์ไมไ่ ดต้ อบตรงๆ คร้ังแรกตามท่ีทหารหรือนักแสดงเข้ามาถาม ก็บางคร้งั เรามีอาชพี อยู่ มนั ออกยาก กว่าจะฝึกอาชีพใหมก่ ต็ อ้ งใชเ้ วลา แต่ถ้าเราต้ังใจปฏิบตั ิจรงิ ๆ เราต้องดูอาชพี ของเรา คือชวี ิตเลือดเน้อื ของเรา มาจากไหน กม็ าจากอาชีพนแ่ี หละ ถ้าเราประกอบอาชพี ดว้ ยการเบียดเบียน เขา หนึ่ง เป็นกรรม สอง จิตใจท่อี ย่ใู นอาชพี นั้น สว่ นมากความเห็นจะคลอ้ ย ไปตามจนรูส้ ึกวา่ ไมเ่ ปน็ ไร คนอื่นสตั ว์อ่ืนเขาจะทุกข์ เขาจะมอี ันตรายอะไร ก็ไมเ่ ป็นไร เชน่ เรามีอาชพี ฆา่ แมลง ฆ่าอะไรต่างๆ กไ็ มเ่ ปน็ ไร ตอ้ งมคี นทำ ถ้าเราไม่ทำ คนอ่ืนจะทำ มนั กห็ ลอกตวั เองอยู่เรอ่ื ยอยา่ งนี้ ทีนี้เมอ่ื หลอก ตัวเองเร่ืองอาชพี ของตวั เองได้ ตอ่ ไปอยา่ งอนื่ ก็หลอกตวั เองได้ เพราะฉะนน้ั ต้องพยายามดูอาชพี ของเราว่ามันสุจรติ ตลอดไหม หรอื จะเปน็ อาชพี ทท่ี ำให้ จติ ใจของเราโกหกตัวเองได้ ไมซ่ ือ่ ตรงต่อตวั เองได้ น่ีเรื่องอาชพี ภายนอก สว่ นอาชพี ภายใน หมายความว่า จติ ใจของเราเลีย้ งดว้ ยอะไร เราเลีย้ ง ด้วย ความโลภ โกรธ หลงไหม เช่น เวลาจะหาความสนุกเพลดิ เพลิน เราเอา ราคะ โทสะ โมหะออกมาใช้ไหม ออกมาเจริญไหม เวลาจะหาความสุขใจจะ ไปทางไหน ที่จรงิ ที่เรามาปฏบิ ัติจติ ใจอยู่กับลมหายใจน้ีเปน็ การเลยี้ งชพี ที่ ถูกต้อง เราเลย้ี งชีวิตของเรา เล้ยี งความดีของเราดว้ ยความสขุ ท่ีไมม่ โี ทษ อย่างที่พระพทุ ธเจ้าชว่ งท่ยี ังเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญทุกรกิรยิ า พอรูต้ ัว วา่ นน่ั ไม่ใชท่ าง แลว้ พระองค์ก็พิจารณาวา่ มีทางอนื่ ไหม ก็นกึ ข้นึ มาได้ ว่า สมยั เป็นเด็กนั่งอยใู่ ต้ตน้ ไม้ในเวลาท่ีพอ่ ไปไถนา พระองค์เกิดใจรวมข้นึ มาเปน็ หนึ่ง ก็เข้าปฐมฌาน มปี ีติสุขท่เี กิดจากวิเวก ชว่ งทพี่ ระองค์บำเพญ็ ทกุ รกิรยิ า ไม่ยอมใหใ้ จมคี วามสุขแมแ้ ต่นิดหน่ึงเพราะกลวั ทนี ้ีเม่อื มาพจิ ารณาแล้ว

30 ความสุขนนี้ ่ากลัวตรงไหน มีโทษตรงไหน ก็ไม่มโี ทษ ไมไ่ ดท้ ำใหม้ ัวเมา ไมไ่ ด้ ทำใหเ้ บยี ดเบยี นใคร จะกลวั มนั ทำไม อ้าว ตง้ั ใจไวว้ า่ จะไม่กลัวแลว้ จงึ หนั มา เสวยพระกระยาหารที่จะทำใหร้ ่างกายมีกำลงั พอท่ีจะปฏิบตั ิสมาธินั้นได้ ท่ีสำคญั คือวา่ ความสขุ นไ้ี มม่ โี ทษ และความสุขในสมาธินี้ท่านกเ็ ทียบ เหมือนอาหาร อยา่ งท่านบอกวา่ เรามสี ุขเกดิ จากปีติเสวยเป็นทพิ ยาหาร เหมอื นอาภัส-รพรหมนั้น คนอืน่ ในโลกเขาหิว เขาตอ้ งไปกนิ อะไรที่ เบียดเบียนคนนั้นคนน้ี ก็หาความสขุ ในทางทม่ี โี ทษ แตเ่ มอื่ เราเสวยปตี ิเปน็ อาหาร เรายกจิตใจของเราให้สูงกวา่ ระดับมนษุ ย์ ขึน้ มาเปน็ ระดับของพรหม อกี อย่างหน่ึงท่านเทียบความสุขในฌานทง้ั ๔ เหมือนกับอาหารต่างๆ ท่ี เขาเก็บไว้ตามป้อมปราการท่อี ยู่ชายแดน ทป่ี ้อมปราการก็ตอ้ งมีทหารและ นายทวาร นายทวารก็คือสติ ทหารกค็ อื ความเพียร คนเหล่านี้ตอ้ งมอี าหาร เล้ียงไว้ ไม่น้ันกจ็ ะไม่มีกำลังทจ่ี ะตอ่ สูก้ บั ศัตรไู ด้ อาหารนั้นกไ็ ดแ้ ก่ ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ฌานที่ ๑ ก็เหมือนกับหญ้า ซ่ึงเปน็ อาหารของสัตว์พาหนะ ฌานที่ ๔ น้ันเป็นพวกนำ้ มนั เนย นำ้ ผ้งึ นำ้ อ้อย ซงึ่ เปน็ อาหารที่ประณตี นเี่ ม่อื ใจของเรามคี วามสุขเกิดจากสมาธิซง่ึ เปน็ อาหารประณตี แล้ว กห็ ันมา ดคู วามสขุ ทางโลก เมื่อคิดทจี่ ะเสวยความสุขทางโลก ใจกเ็ กดิ เบื่อหน่ายข้ึนมา หมายความวา่ เรารสู้ ึกว่า มีโทษมาก ส่วนคุณก็มีนอ้ ย อย่างทีท่ ่านบอกว่า คนเราถ้าหากว่าไมม่ ีความสุขไมม่ ีปตี ิท่ีเกิดจากสมาธินี้จะละความสขุ ในกาม น้นั ไม่ได้เลย ถงึ แม้วา่ เราจะรู้โทษของมนั สักเท่าไหร่ พิจารณาทุกวนั ๆ อาการ ๓๒ บา้ ง แตถ่ ้าหากว่าใจไมม่ ีความสุขของสมาธิทจี่ ะเสวยแทน ใจก็จะกลับมา หากามเหมอื นเดมิ หรือยิ่งหนกั กว่าเดมิ เสียอีก

31 เหมือนทีเ่ ขาเล่าเรื่องสุนัขตวั หน่ึง มีเทวดาเกดิ สงสาร เพราะชาตกิ ่อนเคย เปน็ มิตรสหายกนั เหน็ ว่าชาติน้ีเพอื่ นเกิดมาเป็นสุนขั นกึ สงสารกเ็ นรมติ ข้ึนมา เป็นเจ้าชาย พอเป็นเจ้าชายแลว้ กเ็ กดิ มีเจา้ หญงิ คนหนง่ึ เหน็ เขา้ รักทันทเี ลย จะเอามาเป็นคู่ครอง พากลับไปที่วังบอกพ่อแม่ น่ีจะเอาคนนีแ้ หละเป็นคู่รกั พ่อแมก่ ็ถามวา่ นเ่ี ปน็ เจา้ ชายมาจากไหนไมเ่ คยรู้จักเลย เป็นเจ้าชายจรงิ หรอื เปล่า ฝา่ ยลกู สาวก็จะไม่ยอม จะเอาคนน้ีให้ได้เลย จนพอ่ แม่กย็ นิ ยอม ก็ แต่งงานกัน อยดู่ ว้ ยกนั ทีนเี้ จ้าชายยงั มนี ิสยั เดมิ ก็สมัยเป็นสนุ ขั กช็ อบกินขี้ ก็ มีอยวู่ นั หน่ึง ภรรยาเขา้ มาดูในหอ้ งนำ้ อา้ ว เจา้ ชายกำลังกนิ ขีอ้ ยใู่ นสว้ ม จงึ รู้ วา่ น่ีไมใ่ ชเ่ จา้ ชายแลว้ นีค่ นเราก็เป็นอยา่ งนน้ั พิจารณาอาการ ๓๒ เท่าไหร่ๆ จนเปน็ เจ้าชายแลว้ แต่เอาแล้วเผลอกลบั ไปกินขี้อกี เพราะอะไร เพราะความสุขอยา่ งอ่นื ทส่ี ูงกวา่ กามสุขนั้นเรายังไมม่ ี เพราะเรายังไม่ไดป้ ระกอบให้มีขึ้นมา เพราะฉะนน้ั ความสุขท่ีเกดิ จากการภาวนาอยา่ ไปถอื วา่ เป็นของเล็กๆ น้อยๆ อย่าไปกลวั วา่ จะติด ตดิ ภาวนาดกี วา่ ติดในกามสุข คนตดิ กามสขุ นัน้ ก็ ฆ่ากนั ได้ ลักขโมยกนั ได้ ประพฤติผิดในกามได้ โกหกกันได้ ทำผดิ ศลี ผิดธรรม ได้ง่ายทส่ี ดุ แต่คนที่จะทำผดิ ศลี เพราะความสุขในฌานน้ัน ไมม่ ีเลย ถ้าจะตดิ ก็ใหต้ ิดอยูใ่ นสมาธิดีกว่า เพราะเป็นสิง่ ที่แก้กนั ได้ มโี ทษนอ้ ยที่สดุ เหตุนนั้ ทีเ่ ราปฏิบัติจิตใจของเราให้มีความสขุ ในสมาธิ ให้ถือวา่ เป็นสมั มา อาชโี ว การเลยี้ งชีพชอบ คือการหาความสุขจากรปู เสียง กลิน่ รส สัมผัสนน้ั มนั ต้องมกี ารเบียดเบียนกนั บ้าง ไมอ่ ยา่ งใดกอ็ ย่างหนง่ึ แต่ความสขุ แบบน้ไี ม่ ต้องเบยี ดเบียนใคร ไมต่ ้องแย่งจากใครท้ังนน้ั น่เี ปน็ หนทางของพระอริยเจา้

32 และเป็นหนทางของเราดว้ ยท่ีจะไดป้ ฏิบตั ิจิตใจของเราให้มคี วามสขุ ที่ ย่งิ กวา่ นั้นอกี จากนี้ภาวนาตอ่ สัมมาวายามะ ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๕ การภาวนาน้ีทา่ นเรยี กว่า การทำความเพียร กค็ ือ สมั มาวายามะ ความ เพียรชอบ สว่ นมากก็จัดในองค์สมาธิ เราพยายามอยกู่ บั อารมณเ์ ดยี วที่เปน็ กุศล ถา้ ใจยงั ไม่อยูก่ บั อารมณน์ ัน้ กพ็ ยายามตัง้ ใหม้ ขี ึน้ มา พอมีขึ้นมาแล้วก็ รกั ษาไวใ้ หเ้ จริญ ส่วนอารมณท์ ่ไี ม่เป็นกุศล เราก็พยายามละไว้ สง่ิ ทย่ี งั ไมเ่ กิด ก็ก้ันไวไ้ ม่ใหเ้ กดิ วธิ ที ี่ดีสุดที่จะกัน้ ไว้ กค็ อื เราอยู่กบั กศุ ลธรรมท่ีสบาย อยา่ งท่ี เราอยกู่ ับลมหายใจเข้าออก แตง่ ลมของเราใหพ้ อดี เข้าก็พอดี ออกกพ็ อดี รสู้ ึกแชม่ ชน่ื อยูใ่ นรา่ งกาย แชม่ ชื่นอยู่ในจติ ใจของเรา นว่ี ธิ ดี ที ส่ี ุดท่จี ะกนั้ อกุศลไว้ไม่ใหเ้ กิดข้ึนมา ทนี ถ้ี ้ามันเกิดขน้ึ มาแล้ว เราก็ละ พอร้สู ึกตัวว่าใจของ เราเข้าไปกบั ส่ิงท่ีเป็นอกุศล ซง่ึ ในขณะนี้หมายความวา่ สิ่งที่นอกเหนือจาก องคภ์ าวนาของเรา เรากท็ ิง้ มันซะ น่แี หละความเพียรชอบ แต่เรอ่ื งความเพยี รน้ไี มใ่ ช่เฉพาะเรื่องของสมาธิ แต่เปน็ เร่อื งของปญั ญา ด้วย ก็เร่ิมแรกก็ตอ้ งรจู้ กั แยกออก อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล นี่อาศัย ปัญญาพ้ืนฐาน แต่พน้ื ฐานนบี้ างทเี ราเองก็งง พอนวิ รณ์เข้ามา ใจของเราก็จะ คล้อยไปตาม ไม่รู้สึกตัวว่าน่ีเราเข้ากับอกศุ ลเสยี แล้ว เชน่ กามฉนั ทะ เกดิ

33 ขึน้ มา ชอบในเรอื่ งรูปท่ีสวย เสียงทเี่ พราะ กลนิ่ ทห่ี อม รสทีอ่ รอ่ ย บางทกี ็นึก พรุง่ นี้เราจะทำอาหารอะไรบา้ ง อ้าว หนีจากลมแล้ว กใ็ จมนั บอกตวั เอง ว่ารูป นนั้ สวยจรงิ ๆ เสยี งนั้นเพราะจรงิ ๆ ก็วา่ ไปตามเขา ไปคล้อยตามกิเลสจนไม่ รูส้ ึกตัว ทา่ นบอกวา่ นวิ รณ์มีอำนาจอยู่ตรงนี้ ที่เราไม่รูส้ ึกตวั วา่ เปน็ นวิ รณ์ แต่ กลับเห็นจรงิ เห็นจงั กับเขาดว้ ย เร่ือง พยาบาท ก็เชน่ เดียวกนั นึกถงึ คนทเี่ ขาทำส่ิงทไี่ มด่ ี มนั ก็ไมด่ จี รงิ ๆ แล้วเขากท็ ำจริงๆ แตง่ เปน็ เร่อื งเป็นราวขนึ้ มา ถงึ จะจรงิ กต็ าม แต่เปน็ อกุศล ในใจของเรา ตอ้ งจำไว้ นเ่ี ป็นส่วนหนึ่งของปัญญาทีจ่ ะแยกตวั ออกจากสง่ิ เหลา่ นี้เพราะจำเขาได้ อ้อ นี่เรื่องไม่ดีเข้ามาแทรกแลว้ แหละ นอกเหนอื จากนั้นก็มีอยู่คณุ ธรรมทท่ี ่านอธิบายในเรือ่ งความเพยี รชอบด้วย คอื การปลุกฉันทะ ให้ใจของเรายินดีที่จะละอกุศลและท่ีจะเจริญกุศลข้นึ มา นี่ ตอ้ งใช้ปัญญาเหมือนกนั กท็ า่ นบอกวา่ เครื่องวัดปญั ญาของเราก็มสี องอยา่ ง คือ หน่งึ สง่ิ ที่เรารู้ว่าเป็นสง่ิ ที่ใหผ้ ลดแี ตเ่ ราไมช่ อบทำ สอง สงิ่ ทเี่ รารู้วา่ จะ ใหผ้ ลไม่ดีแตเ่ รากลบั ชอบทำ ทว่ี ดั ปญั ญาก็เมือ่ มสี ่งิ ท่ีดแี ต่เราไม่ชอบทำน้ัน เราก็รู้จกั วิธปี ลกุ ใจให้ยนิ ดีท่ีจะทำ สว่ นสง่ิ ไม่ดีที่เรากลบั ชอบทำนั้น เรารจู้ กั หกั ห้ามจิตใจของเราไมใ่ หท้ ำตามนั้น ก็ต้องรู้จักอบุ าย อบุ ายแก้ของแต่ละ คนๆ จะไมเ่ หมอื นกัน กว็ ิธปี ลกุ ฉันทะนน้ั บางครงั้ กต็ ้องเตอื นวา่ นี่นะสิง่ ท่ไี ม่ ดนี นั้ ถึงจะชอบขนาดไหนสักวันหน่งึ มันจะพาให้เราทุกข์ ไมส่ งสารตัวเองบา้ ง เหรอ ไมก่ ลวั เหรอผลของสงิ่ ท่ไี ม่ดีนั้น เรียกว่าปลกุ ความไม่ประมาทข้นึ มาให้ ใจของเรายินดีท่จี ะละ อีกอย่างหนึง่ นกึ ถึงว่าเราสงสารตัวเองไม่ใช่เหรอที่เรา ตอ้ งออกมาปฏบิ ตั ิ อตุ สา่ ห์เสยี สละถึงขนาดน้ีแลว้ จะกลับไปมอื เปลา่ เหรอ ความสุขท่ีเราตอ้ งการจะเอาแบบธรรมดาๆ ของทางโลกเขาเหรอ ในเม่ือ

34 พระพุทธเจ้าและพระอริยเจา้ ท้งั หลายทา่ นกช็ ีท้ างให้ ท่ีเปน็ ทางแหง่ ความสขุ ท่ีแท้จริงนน้ั เราเป็นมนษุ ย์ เรามโี อกาสทจ่ี ะสรา้ งขึน้ มาได้ ไม่รกั ตวั เองบ้าง เหรอ นค่ี อื อบุ ายอยา่ งหนง่ึ ทจ่ี ะปลกุ ฉนั ทะ กบ็ างคร้งั เราตอ้ งใช้มานะว่าคนอื่น เขาทำไดท้ ำไมเราทำไมไ่ ด้ ทา่ นเหล่านน้ั เป็นมนษุ ย์ เราเองกเ็ ปน็ มนษุ ย์ เหมอื นกัน เริ่มแรกท่านกเ็ ป็นปุถชุ นเหมือนกบั เราๆ นี่แหละ แต่ทา่ นเปน็ คน เอาจริงเอาจัง มที า่ นคนเดยี วเหรอ หรือกลุ่มน้ันกลุ่มเดียวเหรอท่ีเอาจริงเอา จังได้เหรอ เราก็มบี ารมีเหมอื นกัน น่ีเรยี กว่าใชม้ านะปลุกฉนั ทะของเรา รวมแล้วกต็ อ้ งรจู้ ักวธิ ีใหใ้ จของเราน้อมไปที่จะสร้างความดี เจรญิ กุศล ละ อกศุ ลใหไ้ ด้ นก่ี เ็ ปน็ เรื่องปัญญาเหมือนกนั เป็นปัญญาทมี่ ี กุศโลบาย คือ บางครัง้ เราส่ังใจใหอ้ ยู่ มันกอ็ ยู่ บางครัง้ สัง่ ขนาดไหนก็ไม่ยอมอยู่ มันจะหนี เทีย่ ว น่ีกต็ ้องร้จู กั วิธคี วบคมุ เขา ตะล่อมกลับเขา้ มาสคู่ วามดที เี่ ราร้อู ยู่สว่ น ลกึ ๆ ว่าเป็นส่ิงทีด่ ีจริง นเี่ ป็นเรอ่ื งของปญั ญาเหมือนกัน อกี เรื่องหนึ่ง การทำความเพียรนนั้ เพียรไดห้ ลายอย่าง บางอย่างก็ตอ้ ง กำหนดรจู้ ึงจะถกู บางอย่างกต็ อ้ งละ ตอ้ งรจู้ ักแยกออกไปว่าส่งิ ไหนที่เมื่อเราดู แลว้ จะไดป้ ระโยชน์ สิ่งไหนเมอื่ เราดูแลว้ ตดิ ตามดูแลว้ ไมไ่ ดป้ ระโยชนอ์ ะไร เลย รู้จกั แยกออกไป เชน่ เร่อื งของทุกข์บางทีเราจะคิดถึงวา่ ชาตกิ ่อนนน้ั เรา ทำอะไรหนอถงึ เปน็ ได้อย่างนี้ แต่ถ้าเราคดิ อยา่ งน้ีกไ็ มไ่ ดป้ ระโยชน์ ตอ้ ง กลับมาดสู ง่ิ ทเ่ี ราทำในปจั จุบนั น้ีดกี ว่า เหตุที่ทำข้นึ ในปัจจุบนั น้มี ีอะไรบ้าง ก็ สงิ่ ท่ีผา่ นไปแลว้ ก็เลยไปแล้ว จะกลบั แกไ้ ขไม่ได้ ตอ้ งดแู ลส่วนท่ีเรากำลงั ทำอยู่ น่ี ท่เี ราทกุ ข์อยู่นี้จะไปโทษกรรมเก่าอย่างเดยี วไมไ่ ด้ เราก็ทำกรรมท่ีไม่ฉลาด ในปัจจุบนั ด้วย เราถึงทุกข์ ก็คิดดซู วิ า่ พระอรยิ เจ้าทัง้ หลายทที่ า่ นไมท่ กุ ข์

35 บางทีกอ็ าการในร่างกายของท่านไมด่ ีจริงๆ แต่ท่านไม่ทกุ ข์ บางทคี นมาดา่ วา่ ทา่ น ท่านกไ็ ม่ทุกข์ คอื วา่ กรรมไมด่ ใี นอดตี ทา่ นก็มอี ยู่ แตท่ ่านมวี ิชา รู้จักแตง่ จติ ใจในปัจจุบนั ของท่านให้ดีได้ นกี่ แ็ สดงวา่ เราจะไปโทษกรรมเกา่ อย่างเดียวไมไ่ ด้ เรามกี รรมอยู่ใน ปจั จุบนั ด้วยทเี่ รากำลังประกอบขึ้นอยู่ทกุ ขณะจิต เรามาสนใจอย่ตู รงนี้ นัน่ จงึ จะไดป้ ระโยชน์ บางส่ิงบางอยา่ งเราควรจะทนไว้ บางส่ิงบางอย่างท่านบอก ไมใ่ ห้ทน ที่ใหท้ นนนั้ คืออะไร กค็ ือทุกขเวทนาทเี่ กดิ ข้ึนในรา่ งกาย และคำพูด ท่ีคนอนื่ เขาพูดเพือ่ เสียดแทงจติ ใจของเรา นั่นท่านบอกวา่ กต็ อ้ งทน นี่เรียกว่า รู้จักแยกออก หนา้ ที่ของเรา แตไ่ ม่ใช่ว่าจะให้เฉยอย่างเดียวในทุกกรณี ท่จี ริงมีหลายสิง่ หลายอย่างท่เี รา พอหลกี เลีย่ งได้ อย่าไปทนทุกข์เฉยๆ เชน่ เราเขา้ ไปในที่อนั ตราย มันก็ อันตรายเปลา่ ๆ ถา้ ไม่ได้ประโยชนอ์ ะไรเลย อย่าไปเลย จะมาแสดงตัวว่าฉัน เกง่ อย่างนน้ั ฉนั เกง่ อยา่ งนี้กไ็ มไ่ ด้ประโยชน์อะไร คอื ทุกขเวทนาอนั ไหนที่ หลีกเลีย่ งไม่ได้ ท่านบอกว่า ใหท้ นเอา อนั ไหนท่พี อหลกี เล่ียงได้จะไปทนมัน ทำไม เราไม่ใช่ควาย เรากเ็ ปน็ มนษุ ย์ นี่เรียกวา่ ตอ้ งรจู้ กั แยกออกวา่ ความ เพียรของเราท่คี วรจะทำนน้ั มหี ลายๆ ประเภท ต้องดเู หตุการณ์ปัจจบุ ันวา่ อนั ไหนเป็นหน้าท่ีของเราในปัจจบุ ัน เราก็ทำตามนั้น น่ีเรอ่ื งของปัญญา เช่นเดียวกนั ข้อสดุ ท้าย ความเพียรของเราจะเอาหนกั แค่ไหน อันนี้กข็ ึน้ อยู่สองอย่าง คือ หนงึ่ ข้นึ อยกู่ บั กำลงั กายของเรา กำลังจิตใจของเรา อยา่ งเร่อื งพระโสณะ เดิมทีทา่ นเกดิ มาในสกลุ รำ่ รวยมาก ทุกสิ่งทกุ อย่างก็มพี ร้อม อยกู่ บั ความ สบายจนมขี นขึน้ มาท่ฝี า่ เท้า เรียกว่าผิวหนังทฝ่ี า่ เทา้ ทา่ นนิ่มมาก แทบจะ

36 ไมไ่ ด้เหยียบดินเลย ทนี พี้ อเกิดศรัทธาอยากจะออกบวช กเ็ ดนิ จงกรม อา้ ว เท้าแตก เลอื ดอาบเตม็ ทางจงกรม ทา่ นก็เกดิ ท้อใจขึ้นมาวา่ อุตส่าห์ทำความ เพียรถึงขนาดน้ี ไม่เห็นสำเรจ็ อะไรเลย ก็ท้อใจ จนคดิ ว่าจะสึก พระพุทธเจา้ ทรงรกู้ ็เหาะมาหา แล้วถามท่านวา่ น่ีเธอคิดจะสึกหรือ พระโสณะก็ยอมรับว่า คิดอย่างนน้ั พระพทุ ธเจ้าก็ถามว่า ตอนเป็นฆราวาสอยู่ เลน่ พิณเก่งไม่ใช่เหรอ ใช่ พิณนน้ั ถา้ สายหยอ่ นเกินไป เสียงจะดไี หม เปลา่ ถา้ ตงึ เกินไปจะดไี หม เปล่า ตอ้ งใหม้ นั พอดี พระองคก์ ต็ รัสตอ่ ไปว่า ความเพียรของเราก็ เช่นเดยี วกัน พระองคจ์ ึงยกเรอื่ ง อินทรยี ์ ๕ ข้นึ มา คือสายพณิ นัน้ มี ๕ เสน้ เมอื่ จะปรบั เสียง เร่ิมแรกตอ้ งเอาเส้นหน่งึ ปรับให้พอดีก่อน แล้วจากนั้นกเ็ อา เสน้ อื่นปรบั ให้เขา้ กันกบั เสน้ แรก ในอินทรยี ์ ๕ กเ็ ช่นเดียวกัน ตอ้ งเอา วิริยะ ขึ้นมากอ่ น วา่ กำลงั กาย กำลงั จิตใจของเราทำไดแ้ คไ่ หน เรากป็ รบั ความเพยี ร ของเราใหพ้ อดี จากนัน้ ก็ปรับศรทั ธา ปรับสติ สมาธิ ปัญญาของเราให้เขา้ กนั ก็หมายความว่า สมมุติว่าวันนร้ี า่ งกายของเราไมส่ บาย เราจะต้ังอธิษฐาน ขึน้ มา ถ้าไม่ไดส้ ำเร็จทเี ดยี วฉันจะไม่ลกุ จากท่ี อนั นัน้ ไมส่ มควร มันเกินตัว เรา กจ็ ัดความเพยี รของเราให้พอดี ศรทั ธาของเราใหพ้ อดี สติของเราใหพ้ อดีกบั เหตุ น่อี ยา่ งหน่งึ อีกขอ้ หนึง่ ทเี่ ก่ยี วกับกำลังท่คี วรจะใช้แค่ไหนน้ัน บางคร้ังก็ตอ้ งขึ้นอยู่กับ เหตทุ ่เี กิดข้นึ ในจิตใจของเรา ก็กิเลสบางตัว ถา้ เราเพยี งแตม่ องเฉยๆ เขาก็ หายไป ไมต่ อ้ งไปออกแรงอะไร ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรมากมาย แต่ บางอยา่ งจะไมใ่ ชอ่ ย่างนัน้ อยา่ งเช่น ทา่ นจะสอนว่า เราจะเอาสตติ ัวเดยี ว อย่างเดียว รบั รเู้ ฉยๆ อย่างเดยี วมนั จะพอกับทกุ สิง่ ทกุ อย่างก็ไม่ใช่ ใช้ได้ เฉพาะบางส่งิ บางอยา่ ง น่ีกเิ ลสบางตวั มันดอ้ื มเี หตุ มผี ลชี้แจงน่าฟังมาก นา่

37 หลงมาก เมือ่ เป็นอย่างน้ี เราตอ้ งใช้ความเพียรพยายาม วติ ก วจิ ารใหม้ ีอบุ าย ใหมข่ ึน้ มา ใช้สัญญาใหมข่ ึ้นมา เรียกวา่ พลิกแพลงจิตใจของเรา พลิกแพลง ความเหน็ ของเราในเร่ืองนัน้ สว่ นลมหายใจ ทา่ นบอกวา่ ใหพ้ ลกิ แพลงเหมือนกัน เช่น ความโกรธเกดิ ขึ้นมา เราก็หายใจฟึดฟัด ฟึดฟัดนแี่ หละ ทา่ นกใ็ หเ้ ปล่ียนการหายใจเป็นข้อ แรกทีเดยี ว จะตัดกำลงั ความโกรธได้ แต่ตดั ยังไม่หมดนะ จากนน้ั กพ็ ยายาม วติ กใหม่ วิจารใหม่ ก็คนที่ไม่ดนี ั้น ท่ีเขาทำอยา่ งนัน้ อยา่ งน้ี เขาเลวร้ายขนาด ทีเ่ ราตอ้ งโกรธเหรอ บางทีเขาทำสิ่งท่ีไม่ดคี รงั้ สองครั้ง เราก็จะโกรธเป็นฟนื เป็นไฟ แต่ในสง่ิ ที่เขาทำดีๆ นั้นมมี ากกวา่ น้หี ลายเทา่ มนั สมควรเหรอท่ีเราก็ จะถือโกรธ หรือถึงแม้ว่าเขาเปน็ คนไมด่ จี ริงๆ ไม่เคยสรา้ งความดใี หป้ รากฏ ก็ นา่ จะสงสารเขามากกว่าที่จะโกรธเขา เขากำลงั ขุดหลุมนรกใหต้ วั เอง นี่ เรยี กวา่ เราใช้ความคิดในทางใหม่ ไมค่ ล้อยไปตามกิเลส เพราะฉะนนั้ ความเพียรของเรานัน้ จะทำค่อยๆ หรอื จะทำแรงๆ กต็ อ้ ง ข้นึ อยกู่ บั หนงึ่ กำลังของเรา สอง เหตุท่ีเราต้องแกไ้ ข ถ้าเป็นเหตุทพ่ี อมอง เฉยๆ มันจะหายไปเอง กเ็ อาแค่น้ัน ไมต่ ้องไปออกแรงอะไรมากมาย แต่ถา้ มองเทา่ ไหร่ๆ กไ็ ม่หายๆ นีต่ ้องรจู้ กั คิดใหม่ ปรับปรงุ ความเขา้ ใจ จนมนั แจ่ม แจง้ ข้นึ มา จนละเขาได้ กเ็ ปน็ เรื่องของปัญญาทงั้ นัน้ แหละ ฉะนั้น เรอื่ งความเพยี รน้นั ไมใ่ ช่เรื่องการออกแรงเฉยๆ แตจ่ ะใหเ้ ป็นความ เพยี รชอบนัน้ ต้องรจู้ ักใชป้ ัญญาแยกออกไป อะไรคอื กุศล อะไรคอื อกุศล ทำ อยา่ งไรเราจะปลกุ จิตใจของเราให้ยนิ ดีทจ่ี ะละอกุศลเจรญิ กศุ ลข้ึนมาได้ ก็วธิ ี ละ วธิ เี จรญิ นน้ั ก็มีหลายวิธี อนั ไหนเหมาะสมกับเหตกุ ารณ์ และเราควรจะ ออกแรงขนาดไหน ลว้ นแต่เปน็ เรอื่ งของปัญญาทั้งนั้นแหละท่ีจะเข้ากบั องค์

38 ตอ่ ไป คือ สัมมาสติ ตรงทีค่ ำวา่ อาตาปี หรือ อาตปั ปะ ความเพียรเพง่ น่กี ็ เป็นองค์ปญั ญาท่อี ยใู่ นสติ เพราะฉะน้นั ความเพียรของเราทีจ่ ะอยู่ในองค์ มรรคตอ้ งเป็นความเพียรทใ่ี ช้ปัญญารอบด้านเลย การปฏิบตั ิของเราจงึ จะ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สัมมาสติ ๘ ตลุ าคม ๒๕๕๕ สัมมาสติ ความระลึกชอบ เราระลกึ อยา่ งไรจึงจะชอบ ก็มีสองอย่างคือ หนึง่ เราต้องระลึกวา่ เราจะสร้างกุศลธรรมขึ้นมา แลว้ ละอกุศลธรรม น่ีตอ้ ง ระลึกไวอ้ ยู่เสมอ เพอ่ื เอามาใช้ตลอดเวลา อยา่ ใหล้ มื อย่าให้เผลอ สว่ นอยา่ ง ทสี่ อง ใจของเราทจี่ ะระลึกได้น้นั กต็ อ้ งมที ตี่ งั้ ถา้ ใจไม่มที ี่ตงั้ กจ็ ะเลื่อนลอยไป จำอะไรก็ยาก ถงึ จะพยายามที่จะระลึก ก็ระลกึ ไมอ่ ยู่ ฉะนั้น เราตอ้ งหาท่ีต้ัง อยู่ในปจั จุบัน จะอยูก่ บั กาย ท่ที า่ นเรยี กว่ากายในกาย หรืออยู่กบั เวทนาใน เวทนา จติ ในจติ หรอื ธรรมในธรรม รวมแล้วก็ใหอ้ ยตู่ รงนี้แหละ ตรงทเี่ รา กำหนดลมหายใจอยู่ ลมหายใจน้ีคืออาการของกาย เมือ่ เราเพง่ อยทู่ ่ีลมหายใจ น่นั ก็เป็น เวทนา อาการของจิตทอี่ ยูห่ รือไมอ่ ยู่ก็ปรากฏอยู่ตรงน้ี สว่ นธรรมก็แล้วแต่เหตุการณ์ เราจะระลึกถึงธรรมหมวดไหน กใ็ หเ้ ก่ียวขอ้ งกบั การปฏิบัติของเรา อยา่ งเช่น ตอนนเ้ี ราพยายามสรา้ งสมาธิข้นึ มา เราจะระลกึ ถึงนวิ รณ์ว่า เป็นศัตรขู อง สมาธิ นวิ รณ์อะไรเกดิ ขึน้ มาก็ตอ้ งรูท้ ันแล้วพยายามทจี่ ะละมนั อีกอยา่ งหน่ึง

39 เราจะระลึกถึงโพชฌงค์ คือคุณธรรมที่จะสรา้ งสมาธิขนึ้ มา ตั้งแตส่ ตไิ ปถึง อุเบกขา เราทำอย่างไรจงึ จะสร้างให้ธรรมเหล่านี้เกดิ ขน้ึ มาได้ หรือถ้ามีอยู่ แลว้ จะทำอย่างไรท่ีจะให้เจรญิ ย่งิ ๆ ขึน้ ไป ก็เป็นคุณธรรมที่อยู่ตรงนีแ้ หละ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ่ีอ่ืน เพราะฉะน้ันเราอยกู่ บั ลม สติปัฏฐานของเราก็อยู่ด้วยกันพรอ้ ม ทัง้ ๔ อยา่ ง แตก่ ารระลึกเฉยๆ ยงั ไมพ่ อ ตอ้ งมีคุณธรรมประกอบอยู่ทงั้ สามอยา่ ง คือมี สติ มสี ัมปชญั ญะ และก็มีอาตัปปะ สติ กค็ อื ความระลึกได้ สัมปชัญญะ คือความร้ตู ัววา่ ทำอะไรอยู่ สว่ น อาตัปปะ แปลว่า ความเพียรเพง่ หรอื เพยี รเผา กค็ ือความเพียรทจ่ี ะละอกุศล และเจริญกศุ ลข้นึ มา นีก่ ็ต้องปลกุ ความพอใจ ความยนิ ดที ี่จะละสิ่งเหลา่ นี้ได้ ในสามขอ้ น้ี สติก็เก่ยี วกบั เรือ่ งของอดตี ทเ่ี ราจำได้ ระลึกได้ ธรรมะท่เี รา เคยฟงั มาหรอื อ่านมา อุบายทเ่ี ราเคยใชใ้ นการกำหนดลม เราเกบ็ มาจากอดีต เอามาใช้ในปัจจุบนั สมั ปชัญญะ ก็คืออาการทรี่ ตู้ ัวอยใู่ นปัจจุบันว่า เราทำอะไรอยู่ แลว้ ได้ผล อยา่ งไรบ้าง ตรวจดูการกระทำพร้อมกับผลของการกระทำด้วย ส่วนอาตัปปะน้นั กพ็ ยายามอยู่ในปจั จบุ ันเพอ่ื ใหอ้ นาคตของใจเราดขี ึ้นๆ รวมแล้วกเ็ รียกว่า คุมเวลาท้ังสามกาล ในคณุ ธรรมทั้ง ๓ ขอ้ นี้ อาตัปปะนเ้ี ปน็ องค์ของปัญญา ปัญญาไม่ใชร่ ้เู ฉยๆ นะ เรารูเ้ พ่ือทำใหม้ อี ุบายที่จะปลกุ ความพอใจในการทจ่ี ะทำ อย่างหลวงปู่สุ วัจนเ์ คยพูดอย่เู สมอว่า ท่ีเราภาวนาอยูน่ ้ี อย่าสักแตว่ ่าทำ ต้องทำดว้ ย ศรทั ธา ความเชอื่ ทำด้วย ปสาทะ ความเลื่อมใส น่เี ราตอ้ งดูจติ ใจของเรา ตอนนี้ มศี รทั ธาไหม เลือ่ มใสไหม ถา้ ร้สู ึกวา่ ศรัทธายังอ่อน ทำอยา่ งไรจึงจะ

40 ปลุกศรทั ธาให้เข้มแข็งขน้ึ มา เรากพ็ ยายามของเรา เชน่ เราอาจจะรเู้ ร่ือง อรยิ สัจ แตถ่ ้าไม่ได้ประกอบให้มบี ทบาทในการภาวนาของเรา ก็ไมม่ ี ความหมาย จะเรียกว่าปัญญากไ็ ม่ได้ เป็นแคส่ ัญญาเฉยๆ ปัญญาจรงิ ๆ ก็เป็น ตัวทร่ี วู้ า่ ความสุขของเรา ความทุกขข์ องเราขนึ้ อยู่กบั อะไร กข็ ึน้ อยู่กับการ กระทำของเรา กาย วาจา ใจของเรา ถ้าใจของเรายงั มีทุกข์อยู่ แสดงว่าเรา ตอ้ งดดั แปลงจติ ใจ ดดั แปลงนสิ ยั ของเรา นี่ตวั ปญั ญาทจ่ี ะเห็นความจำเป็นท่ี จะภาวนาและปลุกความยนิ ดที จ่ี ะให้ภาวนาดยี ง่ิ ๆ ขน้ึ ไป ส่วนสติกับสมั ปชญั ญะเป็นองค์ประกอบท่ีจะตรวจดูว่าตอนน้ีเหตุการณ์ เปน็ อย่างไร เมอื่ เราพยายามแกไ้ ข ผลออกมาเปน็ อย่างไรบ้าง นั่นตวั สมั ปชัญญะ สตกิ เ็ พียงแต่ระลึกวา่ อะไรควร อะไรไมค่ วร อะไรดีหรอื ไมด่ ี และ ก็ระลกึ อกี ว่า สง่ิ ที่ไมด่ ีทีไ่ มเ่ ปน็ กุศลต้องพยายามละให้ได้ ไม่ใช่รับร้เู ฉยๆ แลว้ ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม แล้วแตจ่ ะเกิด แล้วแตจ่ ะดับ ท่านบอกวา่ หนา้ ทขี่ องสติก็คอื จำหนา้ ตาของสิง่ ท่เี ปน็ อกุศล และระลกึ ไดว้ ่า ต้องพยายาม ละใหไ้ ด้เลย สว่ นส่ิงท่เี ป็นกุศล ต้องพยายามใหเ้ จรญิ ข้ึนมา หมายความว่า ไม่ไดป้ ล่อยให้เขาเกดิ ดบั ของเขาเอง สงิ่ ทีด่ เี รากต็ อ้ งพยายามใหม้ นั เกดิ ให้ได้ สงิ่ ท่ีไมด่ ีต้องพยายามให้ดบั ใหไ้ ด้ นีต่ อ้ งอาศยั ความเพยี รที่อยูใ่ นตวั อาตปั ปะนแ่ี หละ อนั นเี้ ราจะขาดไมไ่ ด้ เลย ถ้าขาดอาตปั ปะถงึ จะมีสตริ ะลกึ ไดอ้ ยู่ สัมปชัญญะรตู้ วั อยู่ มันก็แคน่ ั้น แหละ การภาวนากไ็ มไ่ ด้ไปไหน กิเลสเกิดดบั อยา่ งไรมนั กย็ ังเกดิ ดับอย่นู ่ัน แหละ กบ็ างคนเขาก็เข้าใจว่าเพียงแตด่ เู ฉยๆ กิเลสก็จะหายไปเอง จรงิ อยู่ บางตวั ก็เป็นอยา่ งนัน้ แตไ่ มใ่ ช่ทุกตัวนะ กิเลสตัวสำคญั ไม่ใช่ง่ายๆ อยา่ งน้นั

41 นะ เราตอ้ งมีอุบายพยายามสอดสอ่ งดูว่า อุบายอนั นใ้ี ช้ได้ไหม ไดผ้ ลอย่างไร บา้ ง ถ้าใชไ้ ด้ก็จำไว้ ระลกึ ไว้ ถา้ ใช้ไมไ่ ดจ้ ะแกไ้ ขอยา่ งไรจงึ จะไดผ้ ลดี ตรงนี้แหละท่ีการภาวนาของเราจะได้เป็นวิชาข้นึ มา เพราะสตปิ ัฏฐานนี่ ทา่ นบอกว่าเป็นอารมณข์ องสมาธิ ถา้ มีคณุ ธรรมท้งั สามอย่างนอ้ี ยกู่ ับตัวเรา ก็ หนไี ม่พ้น ใจของเราก็ตอ้ งลง ตอ้ งต้งั มั่นพรอ้ มกบั ปญั ญาดว้ ย เรียกวา่ มีทั้ง สมถะทง้ั วิปสั สนาอย่ใู นตวั บางคนกว็ า่ สมถะกต็ ้องทำอย่างนั้น วปิ สั สนากต็ ้อง ทำอีกอยา่ งหนึง่ แตท่ จ่ี รงิ มันแยกไม่ไดห้ รอก สมถะก็ตัวนิ่ง วิปัสสนากต็ วั รู้ ถา้ ใจไมน่ ิ่งมันจะรูอ้ ยา่ งไร ถ้าใจไมร่ มู้ ันจะนิ่งไดอ้ ย่างไร ส่ิงเหล่าน้ีกต็ ้องเดนิ ควบคู่กันไป ก็หมายความว่า สัมมาสติจะเข้าถงึ องคส์ มั มาสมาธกิ ต็ อ้ งมปี ัญญาและ ความเพียรอยู่ในน้ันด้วย จึงจะเป็นไปเพือ่ ความถกู ตอ้ งในการปฏิบัติของเรา ฉะนั้น พยายามตรวจดจู ติ ใจ ตรวจดูงานของเรา เหมอื นคนที่ตรวจดคู ณุ ภาพ ในโรงงาน ถ้าเหน็ ว่า คนงานทำงานไมเ่ ปน็ ที่พอใจ กต็ ้องหยุดแลว้ ก็ตรวจดูวา่ ผดิ ตรงไหน แล้วควรจะแก้ไขตรงไหน ไมใ่ ชป่ ลอ่ ยใหเ้ ขาผดิ อย่อู ย่างน้นั นะ่ เดยี๋ วสินคา้ ที่ออกมากแ็ กไ้ ขไมไ่ ด้ โรงงานจะต้องเสยี ช่ือเสยี ง เดีย๋ วล้มละลาย นี่จติ ใจของเรากเ็ ช่นเดียวกนั ต้องคอยตรวจงานของเราอยเู่ สมอและพยายาม คดิ หาวธิ แี กไ้ ข นน่ั จงึ จะกลายเป็นวิชาขนึ้ มา เคยอ่านเร่อื งมหาวิทยาลยั แพทยศ์ าสตร์แห่งหนง่ึ เปน็ มหาวทิ ยาลัยทม่ี ี ชอื่ เสียงในทางทีส่ อนการผา่ ตัดสมองเก่งมาก ทีนี้นกั ศกึ ษาที่จะสมคั ร ผลการ เรียนมากม็ ีแต่ A A A ท้ังน้นั แหละ แต่วา่ คนทไ่ี ดเ้ กรดดๆี แบบน้นั ไม่ใช่วา่ จะ เป็นหมอผา่ ตัดท่ีดีทกุ คนไป คณะอาจารย์ก็เลยหาอบุ ายเวลาสมั ภาษณ์ ที่จะ ช่วยให้รอู้ ยา่ งไรวา่ คนไหนมีแวว ไมม่ แี วว เขาเลยตง้ั คำถามข้นึ มาสองข้อ ข้อ

42 แรกเขาถามวา่ “ชว่ ยเลา่ ใหฟ้ งั วา่ คุณได้ทำอะไรผิดมาเมือ่ เรว็ ๆ น้ี” คนสมคั ร ทบ่ี อกวา่ “โอะ๊ ฉนั ไม่ค่อยทำอะไรผดิ ” นัน่ แหละไมม่ ที างที่จะดี กส็ ่วนมากก็ จะเปน็ พวกที่แก้ตัวอยเู่ สมอ วา่ “มีปัญหาอย่างน้นั อยา่ งน้ี แต่มนั ไมใ่ ช่ ความผดิ ของฉัน” แบบน้ีไมม่ ีทางทจี่ ะเปน็ หมอผ่าตดั ท่ีดี แต่ถา้ หากว่าผู้สมคั รตอบวา่ “ฉันเคยทำผดิ อยา่ งนนั้ อย่างนี้มา” คำถาม ตอ่ ไปก็คือ “ถา้ หากเหตุการณแ์ บบนนั้ เกิดข้นึ มาอกี จะทำอย่างไร” ถา้ เด็กยงั ไม่ได้คิดวา่ ควรจะแกไ้ ข กส็ อบตกอีก ตอ้ งเปน็ เดก็ ที่ยอมรบั ความผดิ และก็ พยายามสอดส่องดอู ยู่เสมอว่า ฉนั จะแก้ไขได้อย่างไรดี นั่นแหละมที างท่จี ะ เป็นหมอผา่ ตัดทดี่ ีได้ การภาวนาของเรากเ็ ชน่ เดยี วกนั ต้องมีสัมปชญั ญะคอยรู้ตวั ว่า เราทำ อะไรอยู่ และทำถกู ตอ้ งหรอื ไม่ สติก็คอยระลึกวา่ ควรจะทำอะไรอยู่ ว่าอันน้ี ใชไ้ ด้ไหม อนั น้ีควรหรอื ไม่ควร เป็นผลที่นา่ พอใจหรอื ไมน่ า่ พอใจ ถ้าเปน็ ท่นี า่ พอใจเราจะรกั ษาได้อยา่ งไร นี่คอื หน้าทขี่ องอาตัปปะ ถา้ ทำไม่ดกี ็พยายามท่ี จะแกไ้ ขอย่างไร การแก้ไขกต็ ้องใช้ปฏภิ าณ ซ่งึ เปน็ หน้าที่ของอาตัปปะเชน่ กนั เพราะฉะนน้ั อาตปั ปะน้ีขาดไม่ไดเ้ ลย เปน็ สงิ่ ที่สำคัญที่สุดในการเจรญิ สมั มาสติให้ถงึ สมั มาสมาธทิ ่จี ะเปน็ ไปเพื่อปัญญา และใหป้ ัญญาเปน็ ไปเพอ่ื ความหลุดพน้ กอ็ อกจากตวั อาตปั ปะนแี่ หละ เป็นเพราะเหตนุ ีห้ ลวงปู่สวุ จั น์ จงึ พดู อยู่เสมอวา่ ตอ้ งปลกุ ใจของเราใหย้ นิ ดที ีจ่ ะภาวนา ภาวนาเอาใจใส่ ก็ หมายถงึ อนั น้ีแหละ ให้มคี ณุ ธรรมทง้ั ๓ อยา่ งพรอ้ มกันหมด การภาวนาของ เราจะได้มีประสิทธิภาพ จะไดม้ ีผลเป็นทนี่ า่ พงึ ใจ จากนี้ภาวนาต่อ

43 สัมมาสมาธิ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ การท่ีเรามาปฏิบัตใิ จของเราให้เป็นสมั มาสมาธิน้ันต้องรูจ้ กั แยกออกว่า สว่ นไหนเปน็ เหตุ สว่ นไหนเป็นผล ใหส้ นใจแตเ่ ร่ืองเหตุ ถา้ เรอ่ื งเหตุเราทำ ถกู ต้องแล้ว ผลกต็ ้องมาเอง ถา้ เราคดิ ว่าจะแตง่ ผลโดยไม่ได้แต่งเหตนุ ้ัน ก็ เป็นไปไม่ได้หรอก ตามบาลที ่านว่า วิวิจจะ กาเมหิ ววิ ิจจะ อกสุ ะเลหิ ธมั เมหิ สงัดจากกาม ทง้ั หลาย สงดั จากอกศุ ลธรรมท้ังหลาย ใจของเราจะสงัดแบบนไ้ี ด้อยา่ งไร ก็ ด้วยอาศยั วติ กวจิ าร นั่นแหละ ถ้าใจของเรายงั หมกม่นุ อย่ใู นเร่ืองราวที่ทำให้ ฟงุ้ ซา่ นออกไป เรากต็ อ้ งพจิ ารณาดูวา่ ทำไมใจของเราชอบ อารมณน์ นั้ มี ความเอรด็ อรอ่ ยตรงไหน เรือ่ งกามน้นั ทจ่ี รงิ ไมใ่ ช่เรอ่ื งวตั ถกุ ามนะ ทา่ นบอก วา่ ใจของเรายนิ ดีที่จะคดิ เรอื่ ยไปในเรอ่ื งกามนน้ั แน่ะ เช่นพรุ่งนีเ้ ราจะทาน ขา้ วแบบนน้ั แบบนี้ เราจะปรงุ อาหารอยา่ งนนั้ อย่างน้ี เราคดิ ได้เป็นช่วั โมงๆ ทั้งๆท่ีวา่ การทเี่ ราจะทานข้าวนน้ั บางทีกไ็ ม่ถึงสบิ นาทีกเ็ สรจ็ แลว้ แต่ใจของ เราคิดเปน็ ช่ัวโมงได้ น่ตี วั กามทใี่ จยินดตี ิดอยใู่ นความคิด วางแผนอย่างนน้ั วางแผนอยา่ งนี้ ฉะน้นั ถ้าเราเหน็ ว่า จติ ใจของเราตดิ อย่ใู นสง่ิ เหล่านี้ เราก็ต้อง ดูว่า ทำไมเราชอบ และเราต้องหาธรรมะมาแก้ อย่างท่านกบ็ อกวา่ กามน้ีก็เหมอื นกับสนุ ขั แทะกระดูกท่ีไม่มีเน้ือมอี ะไร จะมีรสอะไร กม็ ีแต่รสนำ้ ลายของตัวเองเท่าน้นั แต่ไมไ่ ดเ้ ป็นอาหาร แต่ถึง อยา่ งนั้นก็แทะไป แทะไป ไมไ่ ดอ้ ะไรเลย ถา้ เรามาพจิ ารณาจนเห็นวา่ ถูกของ

44 ท่าน ใจเราจะยนิ ดีท่ีจะสละออกจากสิ่งเหล่าน้ัน อีกอย่างหน่งึ ถ้าใจของเรา ติดอยู่ในกามเรื่องนี้ กต็ ้องมีคนอื่นตดิ อยูใ่ นสิ่งทีเ่ ราต้องการเชน่ กนั กต็ อ้ งเกดิ ความขดั แย้งกัน ทา่ นบอกวา่ เหมอื นเหยยี่ วท่ีได้เนอ้ื กอ้ นหนงึ่ บินขึ้นไป พวก เหย่ียว พวกกา กม็ าแย่งเอาไป บางทีถงึ กบั ตายถา้ หากวา่ เหย่ยี วตัวแรกไม่ ยอมปลอ่ ย ทีจ่ ริงท่านกใ็ หว้ ธิ ีท่จี ะพิจารณากามตั้งหลายประเภท เชน่ เราจะพิจารณา อาการ ๓๒ ก็ได้ พจิ ารณาเปน็ ธาตุกไ็ ด้ ก็แลว้ แตค่ วามเหมาะสม น่เี ป็นหนา้ ที่ของวิจาร ท่เี รียกว่ากำจดั อภิชฌาและโทมนัสในโลก ซง่ึ เปน็ สว่ นหนึง่ ของสมั มาสติทเ่ี ปน็ ไปสัมมาสมาธิด้วย เม่ือทำสำเร็จแล้ว ใจของเราพรอ้ มท่ีจะลงเปน็ สมาธิ ก็ต้องวจิ ารอกี ตอ้ ง พิจารณาอกี เช่น เราจะดลู มหายใจ ท่ีจรงิ เราดไู ด้หลายจุด หลายแบบก็ได้ ที นเี้ ราต้องพิจารณาดูว่าใจของเราชอบตรงไหน รู้สึกวา่ ต้ังได้ท่ไี หนดี จะเปน็ ที่ ปลายจมูกกไ็ ด้ ปลายลนิ้ ปีก่ ็ได้ เหนือสะดือกไ็ ด้ กแ็ ลว้ แตเ่ ราพอใจ บางคนก็ วา่ ตอ้ งกำหนดตรงนั้นตรงน้ี แต่พระพทุ ธเจา้ ทา่ นไมว่ า่ หรอก ฉะนน้ั ใหเ้ รา เลือกดู ใจของเราชอบตรงไหน กเ็ อาตรงนนั้ สว่ นลมเข้า ลมออก เราชอบแบบไหน จะส้ัน จะยาว จะลกึ จะตน้ื เราก็ เลือกตามความพอใจกไ็ ด้ คือเรอ่ื งของสมาธนิ นั้ ถ้าใจมีความยนิ ดี มีความ สบาย ก็งา่ ยที่จะอยู่ ถ้าอยดู่ ว้ ยความอดึ อดั คืออาการไมส่ บาย มนั กไ็ ม่อยูแ่ ล้ว เหมือนเดก็ ท่พี อ่ แมค่ อยด่าคอยวา่ คอยตีอย่เู สมอ ถงึ จะขงั ไว้ในหอ้ งใสก่ ญุ แจ เดก็ กจ็ ะหาวธิ อี อกจากบา้ นจนได้ พอออกจากบ้านแลว้ จะไม่กลับ จิตใจของเราก็เชน่ เดียวกัน ถ้าลมไม่สบาย ใจของเราไมส่ บาย มันกห็ า เร่ืองหนเี ทีย่ ว จะดงึ กลับมาก็ดงึ ยาก ฉะนั้น ส่วนสำคัญมากท่ีสุดในการ

45 กำหนดลมนก้ี เ็ ปน็ ตวั วิจาร ท่ีแต่งลมหายใจแลว้ คอ่ ยดูว่า ได้ผลอย่างไรบ้าง ทา่ นพ่อลีกใ็ หข้ ้อเปรียบเทียบว่า เหมือนแม่ที่เลี้ยงลูกเป็น เวลารอ้ งไห้ขน้ึ มาก็ รูว้ ่า เสียงรอ้ งน้ีแสดงว่าหิวข้าว เสยี งน้ีแสดงวา่ จะใหอ้ ุม้ พอฟังออกกร็ จู้ ัก วธิ ีแกไ้ ข บางทีกพ็ าเดนิ เลน่ บ้างเพราะเด็กมันหงดุ หงดิ บางทกี ป็ วดทอ้ ง บางที กห็ ิว บางทีกอ็ ะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราชำนาญเราก็จะฟังรเู้ รื่อง แก้ไขไดถ้ ูก เด็กก็ จะกลายเปน็ คนวา่ นอนสอนง่าย นี่จติ ใจของเรากเ็ ช่นเดียวกนั เราดูอาการของจติ เราดูอาการของลมค่อย ปรบั ปรุงแกไ้ ข การปรบั ปรุงแกไ้ ขน้ีมีข้อเปรียบเทยี บอีกอย่าง คอื เหมือนกบั พอ่ ครัวทร่ี ับจ้าง ต้องดูเจา้ นายว่าชอบอาหารแบบไหน ชอบเค็ม ชอบหวาน หรอื ชอบเปร้ียว ก็ไม่ตอ้ งถาม เพียงแตด่ ู พอ่ ครัวกเ็ อาอาหารมาหลายแบบ วางต่อหน้านายจา้ ง นายจา้ งจะหยิบอนั ไหนมากกว่าเพอื่ น พ่อครวั กจ็ ำไว้ จำ ไว้ แล้ววนั ต่อมาก็ทำแบบนัน้ เพ่ิมเติม นี่การดแู ลจิตใจของเราก็เชน่ เดียวกัน เราวางอาหารหลายแบบ ทดลอง เชน่ ลมยาวเปน็ อยา่ งนี้ ชอบไหม จะหยิบ ไหม ไม่เห็นหยิบ อ้าว ลมสนั้ กแ็ ลว้ กนั เขา้ สน้ั ออกยาว เข้ายาวออกส้นั จะ กำหนดเฉพาะจุดหน่งึ หรอื จะกำหนดสองจุดก็ได้นะ อันนี้ไม่มใี นตำรา แต่ว่าเคยรจู้ ักโยมคนหนึ่ง ตอนทอ่ี าตมาเรยี นกรรมฐาน ใหมๆ่ อยทู่ วี่ ัดอโศฯ มคี นหนง่ึ เป็นครูที่เกษียณแล้ว สมาธิเขาแข็งมาก แลว้ วธิ ี ของเขาเป็นอย่างไร ก็กำหนดท่ีกลางสมองและกำหนดที่กน้ กบสองจุดพร้อม กนั นึกเหมอื นกับวา่ มีสาย เหมอื นสายไฟฟา้ ต่อกันระหว่างทง้ั สองจุด พอสอง จุดตอ่ กันแลว้ ใจจะสวา่ งขน้ึ มาเหมอื นเอาหลอดไฟตดิ อยู่ที่หมอ้ แบตเตอรี่ พอ สายถงึ ข้วั นน้ั ขว้ั นี้ ป๊ัป ไฟกส็ วา่ งข้ึนมาทันที

46 รวมแล้ว เราจะเลือกจดุ ไหน เราจะเลอื กลมแบบไหน ก็อยู่ที่เรา พอลม รู้สึกสบาย เราก็พยายามขยายความร้สู ึกทส่ี บายนัน้ ใหท้ ั่วตัว ใหน้ ึกถึงวา่ ลมใน เส้นประสาทของเรา ลมในเสน้ เลอื ดของเรา คือเป็นพลังชนดิ หน่ึง เปน็ ความรู้สกึ ท่ีแลน่ ไปแล่นมาเวลาเราหายใจเข้าหายใจออก ลมนัน้ เดินดีไหม หรือมีอะไรขัดขอ้ ง ถ้ารา่ งกายรู้สึกเครยี ดตรงไหน แสดงว่าน่นั แหละ ขัดขอ้ ง อยูต่ รงนั้น เราก็ไลไ่ ป คลคี่ ลายไปเรอ่ื ยๆ น่ีงานของวิจาร กต็ วั วิจารนี้เล่นบทสองบท บทหน่ึงเพยี งแต่ดูเฉยๆ เป็นผู้รู้ รบั ร้อู ะไรเกิดขน้ึ ดกี ็รับรู้ ไมด่ กี ร็ บั รู้ อีกบทหนงึ่ เปน็ ผทู้ ่จี ดั การวา่ ลมน้ีสบาย หรอื ไม่สบาย ถา้ ไม่สบายกท็ ดลองดูว่า จะแกไ้ ขได้ไหม ถา้ ยาวกวา่ นจี้ ะดีไหม กใ็ หม้ ันยาวกว่านั้นหนอ่ ย นฝ่ี า่ ยท่ีรับรู้ก็ดูเร่ือยๆ จนรู้สกึ วา่ เออ ทเ่ี ราเปล่ียน อย่างนน้ั ไมด่ ี อ้าว เอาใหม่ แก้ไขใหม่ กฝ็ ่ายท่รี ับรตู้ ้องเป็นฝา่ ยทมี่ ีอุเบกขา มี ขนั ติ อยไู่ ด้ ดูได้ ดไู ปเรื่อยๆ อีกฝ่ายหนงึ่ คือฝา่ ยที่จดั การอยา่ งนัน้ อย่างน้ี ต้อง ใช้ความเพียร ต้องใช้ปฏภิ าณฝกึ ไป แก้ไขไป คือการภาวนาน้ีไมใ่ ช่เร่ืองทจ่ี ะอา่ นในตำราแล้วเพียงแต่ทำตามแต่ละข้อๆ แล้วจะไดผ้ ลออกมา ไมใ่ ช่อยา่ งนน้ั บางครงั้ เรากต็ ้องแก้ไขของเรา ใหเ้ ข้ากับ เร่อื งของเราท่ีเป็นอยู่ในปจั จุบนั นแี่ หละ ตัวนแ้ี หละท่จี ะเป็นทฝ่ี ึกปญั ญาของ เรา กถ็ ้าหากเราเพยี งแต่ทำตามแตล่ ะขอ้ ๆ ทีค่ นอ่นื เขากำหนดไว้ กไ็ ม่รูจ้ ัก วิธใี ช้ปฏิภาณของตัวเอง พอเกดิ ปัญหาขน้ึ มาทไี่ ม่มใี นตำรา ก็ไมร่ ู้จะทำ อยา่ งไร เหมอื นครบู าอาจารย์ท่านบอกไว้วา่ ถ้าท่านบอกทกุ สิ่งทกุ อยา่ งก็ เหมือนกบั วา่ ให้อาหารจดั บนถาดมาให้เรา เราเพยี งแต่ชบุ มอื เปบิ เทา่ นั้น เรา จะไมม่ ีปัญญาในการท่จี ะปรงุ อาหารของตัวเองได้ เราเพียงแตร่ บั ทีค่ นอ่ืนปรุง ใหก้ โ็ งอ่ ย่นู ่ัน ถา้ เราจะเกดิ ปญั ญาก็ต้องรูจ้ กั ปรงุ เองบ้าง พลกิ แพลงแก้ไขบา้ ง

47 เอาลมน่ีแหละเป็นครูของเรา เหมอื นเราจะเยบ็ ผา้ เยบ็ ครงั้ แรกตะเข็บจะไม่ เทา่ กนั ยาวบา้ งสั้นบ้าง คดไปคดมา เราจะทำอย่างไร ต้องพยายามใหม่ เย็บ ใหม่ ที่เราถบี จักร จังหวะพอดีไหม ทเี่ ราดงึ ผ้าดึงพอดีไหม กต็ ้องรู้จักสังเกต ทัง้ ผา้ ดว้ ย ทัง้ จกั รดว้ ย ท้งั มอื เทา้ ของเราดว้ ย ทดลองหลายอยา่ งจนได้ที่ อ้าว แบบน้แี หละใช้ได้ ตะเขบ็ สวย น่ีเราได้ปัญญาเพราะอะไร เพราะเรารู้จัก สงั เกต ต้ังคำถามขนึ้ มาก็ต้องอาศัยความอยากด้วย อยากให้มนั ดี อยากให้มนั เปน็ ทีท่ ่านบอกว่าเวลาภาวนา ไมใ่ ห้อยากนะ กท็ ่านหมายถึงอยากในเร่อื งผล เราต้องรจู้ ักเอาความอยากเพง่ ไวท้ เ่ี หตุ ต้องการทำเหตุใหด้ ี ผลกจ็ ะดีไปเอง อย่างหลวงป่ชู าเคยต้ังคำถามขน้ึ มาว่า สมมุตวิ า่ เรากลับมาจากตลาด เราก็ ถอื กลว้ ยมาใบหนึง่ มีคนมาถามวา่ “อ้าว กลว้ ยใบนน้ั จะเอาไปทำอะไร” เรา จะบอกวา่ “จะเอาไปกิน” “แต่น่ีไมใ่ ช่เฉพาะกลว้ ยนะ เห็นถือเปลือกกล้วย ดว้ ย จะเอาเปลือกกลว้ ยไปกินด้วยหรอื ” “เปล่า” “อา้ ว ถา้ ไมค่ ดิ ว่าจะกิน จะถือไปทำไม” หลวงปกู่ บ็ อกว่า เราจะตอบเขาดว้ ยอะไร ท่านบอกวา่ เราจะต้องตอบด้วย ความอยาก คืออยากใหค้ ำตอบของเราดี เราจึงจะเกดิ ปญั ญาข้ึนมา ทจี่ ะตอบ ได้วา่ “ยังไมถ่ งึ เวลาทจี่ ะทง้ิ เปลือก เอาไว้เวลากนิ จงึ ค่อยทง้ิ ” ถา้ ไม่มคี วามอยากที่ท่านเรียกวา่ ฉนั ทะ ปัญญาจะไมเ่ กิดหรอก อยู่อย่างไร กอ็ ยูอ่ ย่างน้นั ท้ังปที ้งั ชาติ ไม่รู้จักคดิ แกไ้ ข แต่ที่ใจของเราอยากจะใหม้ นั ดีกว่า นี้ เราตอ้ งรู้จักเอาความอยากเพง่ ไว้ที่เหตุ กค็ ือเร่อื งวิตก วจิ ารในเรื่องของลม เรือ่ งของจติ ใจของเรากจ็ ะยนิ ดีลงสู่ความเปน็ หนึ่ง เกดิ ปตี ิ เกิดสขุ ขน้ึ มา นนั่ แหละส่วนผล

48 น่เี รียกวา่ สมั มาสมาธิกต็ ้องมปี ญั ญาอย่ใู นตวั ด้วย อยา่ งทพ่ี ดู กนั อยูเ่ สมอ ศีล สมาธิ ปัญญา แยกกันไมอ่ อก ปญั ญากต็ ้องอาศยั ศลี กบั สมาธิ สมาธิต้อง อาศยั ศลี กับปญั ญา และศลี ตอ้ งอาศยั สมาธิกับปัญญาดว้ ยนะ บางคนกว็ า่ ต้องใหศ้ ีลบรสิ ุทธิ์ก่อนแลว้ ค่อยทำสมาธิ แล้วจึงคอ่ ยเกดิ ปัญญา แต่ครูบาอาจารย์ท่านบอกวา่ ไม่ใชอ่ ยา่ งนน้ั มนั จะตอ้ งชว่ ยเหลือซงึ่ กัน และกนั สมาธขิ องเราจะไดเ้ ปน็ สมาธิท่ดี ี มีสตพิ ร้อมท่ีจะเกดิ ความรู้ข้ึนมา ก็ ต้องอาศยั ปญั ญา คือตัววจิ ารนแี่ หละ ทั้งส่วนท่ีเป็นฝา่ ยจัดการ ท้งั ส่วนทีเ่ ปน็ ฝา่ ยสงั เกตรบั รู้ แต่ฝ่ายทีจ่ ัดการเรยี กว่าต้องใชป้ ฏภิ าณ ต้องรู้จักตง้ั คำถาม ขึน้ มาวา่ ถา้ ยงั ไมด่ ี ทำอย่างไรจงึ จะให้มันดีขนึ้ มา แลว้ ก็ใช้ความสังเกต ใช้ ปฏภิ าณหาคำตอบให้ได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook