อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ แลว้ ทรงพจิ ารณาวา่ นอกจากพระนางยโสธราพมิ พาแลว้ ไม่มีใครงามเท่าทา่ น เมื่อถงึ เวลาปฏิบัตธิ รรมก็ไม่สนใจ ไม่ตั้งใจ เพราะยังมีราคจริต ติดในรูปร่างท่ีสวยงาม ของตัวอยู่ ในทสี่ ดุ วนั หนงึ่ ทวี่ ดั เชตวนั พระพทุ ธเจา้ ประทบั น่ังบนพระอาสนะ ภิกษุณีเข้าฟังธรรม พระพุทธเจ้า ทรงเนรมิตนางฟา้ องคห์ นงึ่ อายุ ๑๖ ปี ยืนถวายงานพดั อยู่ข้างๆ เมื่อพระสุนทรีนันทาเห็นนางฟ้าก็ชื่นชม ความงามเพราะตรงกับจริตของตัวเอง เกิดราคจริต พระพุทธเจ้าท่านมีเจโตปริยญาณ หย่ังรู้วาระจิตของ พระสนุ ทรนี นั ทา จงึ เนรมติ ใหน้ างฟา้ มอี ายมุ ากขน้ึ เพม่ิ ขน้ึ จนเปน็ วัยกลางคน ลว่ งถึงวัยชรา หลังโกง ผมหงอก ฟันหลุด ผิวหนังเห่ียวย่น ทรงกายไม่ไหว ล้มลง 50
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ปัสสาวะ อจุ จาระราด นอนคลุกส่ิงปฏกิ ูลอยู่จนสิ้นลม ข้ึนอืด มีหนอนชอนไชออกทางจมูกและปากส่งกล่ิน เน่าเหม็น พระสุนทรนี ันทาเหน็ โดยตลอด คิดได้วา่ “ขนาดคนนง้ี ามกว่าเรา ยงั เป็นไปเชน่ น้ีได”้ ใจจึงพิจารณาปล่อยวาง พระพุทธเจ้าอ่านใจรู้ เช่นนน้ั จึงตรสั วา่ “ร่างกายนี้เป็นของไม่สะอาด มีส่ิงสกปรกไหล เขา้ -ไหลออกตลอดเวลา ซงึ่ คนเขลาพากนั ปรารถนานกั รา่ งกายของหญงิ นเี้ ปน็ ฉนั ใด นนั ทา จงดเู ถดิ เธอไมต่ า่ ง ไปจากหญงิ คนนี้ ในที่สดุ เธอต้องเปน็ เหมือนหญิงผนู้ ี้ ฉันนั้น จงมองดูธาตุ ๔ (ดิน น�้ำ ลม ไฟ) ให้เห็น เปน็ ของวา่ งเปลา่ นนั ทา เธออยา่ กลบั มาสู่โลกนอี้ กี เลย” 51
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ ผู้บรรยายซ้ึงมาก เพราะเคยหลงติดโลกนี้ ต่อ ไปนี้ไม่มาอีกแล้ว พระพุทธเจ้าสอนพระสุนทรีนันทา “เธออย่ากลับมาสู่โลกน้ีอีกเลย” พระสุนทรีนันทา พิจารณาตาม นั่นคือวิปัสสนาญาณ ท�ำให้ส�ำเร็จโสดา ปัตติผล เป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าทรงสอนต่อ ทันที ไมย่ อมให้จิตว่าง พระองค์ได้ตรสั วา่ “เมืองคือร่างกาย ประกอบด้วยโครงกระดูก ฉาบทาดว้ ยเลอื ดและเนอ้ื นเ้ี ปน็ ทร่ี วมลงของความแก่ ความตาย ความถอื ตวั และความลบหล่”ู พระสนุ ทรนี นั ทาฟงั ถงึ ตรงน้ี พจิ ารณาแลว้ ส�ำเรจ็ เป็นพระอรหันต์ทันที พระพุทธเจ้าท่านแก้ราคจริต ด้วยอสุภกรรมฐาน เพราะฉะนั้น ใครมีราคจริตแล้ว 52
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ปฏิบัติธรรมยาก ให้พิจารณาอสุภกรรมฐาน ใครชอบ ของสวยๆ งามๆ ลองดดู อกไม้ เชน่ ดอกกหุ ลาบ ปลกู ไว้ ไมน่ านกร็ ว่ งโรย ดดู อกบวั ในสระก็ได้ มนั หมองมนั คลำ�้ ไปในท่ีสดุ พจิ ารณาด้วยการโยนิโสมนสกิ าร ใช้ปัญญา วิปัสสนาท่ีเกิดขึ้นกับจิต ในที่สุดจะสามารถหลุดพ้น จากวัฏฏสงสารอย่างพระสุนทรีนันทาได้ ราคจริตต้อง แก้ด้วยวธิ ีน้ี 53
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ ราคจรติ เกดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร ? เกดิ จากไดเ้ หน็ สง่ิ สวยงาม แลว้ ไมโ่ ยนิโสมนสกิ าร คือ ไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ในส่งิ สวยงามน้นั เกิดสังขาร คอื การปรงุ แตง่ ของจติ ราคจรติ จะถกู สง่ั สมขน้ึ ในดวงจติ กลายเป็นสันดานรักสวยรักงาม โทษไม่มากแต่ทำ�ให้ เวยี นวา่ ยตายเกดิ ยาวนาน เพราะราคจรติ แกย้ าก และท�ำ ให้ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมกา้ วหนา้ ยาก เพราะฉะนน้ั ถา้ มรี าคจรติ ตอ้ งพจิ ารณาอสภุ กรรมฐานเมอ่ื ๒ วนั กอ่ น มีข่าวออกโทรทัศน์ ผู้หญิงแต่งตัวสวยงาม ใส่เคร่ือง ประดับเต็มตัว โดนฆ่ายัดถัง น่ันเหตุเพราะราคจริต (ความรกั สวยรกั งาม) ของเขา น�ำ ทกุ ขน์ �ำ โทษมาให้ 54
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร เช่นเดียวกัน โทสะ คือไฟเผาใจให้เร่าร้อน กรุงกบิลพัสด์ุล่มสลาย เพราะโทสะของกษัตริย์กรุง สาวตั ถลี ม่ ไปตง้ั แตส่ มยั พทุ ธกาล จนปจั จบุ นั นย้ี งั ไมฟ่ น้ื ผบู้ รรยายไปดมู าแลว้ เหน็ แลว้ นา่ สงสาร มจิ ฉาทฏิ ฐแิ ละ โทสะของคน เผาบ้านเผาเมืองเรียบไปเลย น่ัน ๒ พัน กวา่ ปมี าแลว้ เหตทุ เ่ี กดิ โทสะเพราะขาดโยนิโสมนสกิ าร เมอ่ื มสี งิ่ ขดั ใจ แลว้ ไม่โยนิโสมนสกิ าร โทสะจะเกดิ ทนั ที ความขัดใจอาจเกิดจากสง่ิ ของเป็นเหตุ หรือมคี นท�ำ ให้ ขดั ใจ เชน่ สงั่ ใหล้ กู ท�ำ นนั่ ท�ำ น่ี แลว้ ลกู ไมท่ �ำ หรอื ท�ำ ชา้ ไมท่ นั ใจ รสู้ กึ ขดั ใจ เกดิ โทสะ เปน็ ไฟเผาใคร เผาเราเอง ไม่ได้เผาลูก เมือ่ มีอะไรขดั ใจ ให้โยนิโสมนสิการ แลว้ โทสะจะไม่เกดิ แต่ถา้ เกดิ แล้ว จะทำ�อยา่ งไร 55
หลดุ พน้ จากโทสะได้อยา่ งไร เจริญเมตตาให้มาก ท�ำ ได้ดว้ ยการใหอ้ ภัย “ชา่ ง มนั เถอะ” เราเกดิ มาเจอกนั ชว่ั ประเดย๋ี วประดา๋ ว ใหค้ นอน่ื หงุ ขา้ ว ขา้ วไหมต้ ดิ กน้ หมอ้ เกดิ โทสะ เพราะเขาหงุ เรา ไม่ไดห้ งุ ถา้ เราหงุ ไหม.้ ..ไมเ่ ปน็ ไร นเี่ พราะสกั กายทฏิ ฐิ (ความเหน็ ทเ่ี ปน็ เหตใุ ห้ถอื ตวั ตน) เราเกดิ โทสะเพราะ คนอน่ื ท�ำ ใหข้ ดั ใจ ตอ้ งพจิ ารณาโยนิโสมนสกิ ารวา่ ถา้ เขา ฉลาด เก่ง ดีพร้อม เขาไม่มาเป็นคนรับใช้เราหรอก เม่ือโทสะเกิดแล้วต้องให้อภัย แต่ถ้ายังไม่เกิดหากมี เหตุขดั ใจ ต้องโยนิโสมนสกิ าร เช่นนเ้ี ราจงึ จะสามารถ หลุดพ้นจากโทสะได้ 56
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ผ้บู รรยายได้พสิ ูจน์แล้ว และทำ�ไดจ้ รงิ ลูกศษิ ย์ คนหน่ึงมีโทสะมาก มาปรึกษาว่า “อาจารย์คะ หนูมี โทสะมาก รู้ว่าไม่ดี ทำ�อย่างไรจึงจะแก้ได้คะ” ผู้ บรรยายคิดอยู่ ๓ วันว่าจะสอนเขาอย่างไรดี เพราะ แต่ละคนมีจรติ ไมเ่ หมอื นกัน ตอ้ งรู้วาระจิตของเขา จึง จะสอนไดเ้ หมาะสม ในทสี่ ดุ ไดบ้ อกเขาวา่ “เธอคอยดคู รู กแ็ ล้วกนั เธอจะตอ้ งทำ�โปรเจ็คต์ (project) อย่กู บั ครู ๑ ปี ถ้าวนั ไหนครพู ูดไม่ดี หรอื เกิดโทสะ ให้บอกกนั ทนั ที” แกคอยจ้องจับผดิ อยนู่ าน ๑ ปี ไมเ่ กดิ โทสะ แกก็เลยเลิกมีโทสะไปด้วย ต้องแก้ด้วยวิธีนี้ ตอนนี้ ลกู ศิษย์คนน้ีไปเรียนตอ่ ปรญิ ญาเอกอยู่ที่อเมรกิ าแลว้ 57
โมหะ...ตอ้ งแกด้ ้วยการเจรญิ ปัญญา โมหะ คือ ความหลง เกิดเพราะขาดโยนิโส- มนสิการ เช่น ฟังเสียงโฆษณาแล้วไม่โยนิโสมนสิการ มะพรา้ วออก ๒ ยอด แลว้ มคี นไปขอหวย นน่ั คอื ตวั อยา่ ง ของคนหลง เมอ่ื เราสรา้ งเหตแุ หง่ ความหลง ตายแลว้ ไป เกดิ ท่ีไหน ไปเกดิ เปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉาน เพราะความหลง เปน็ เหตุ นา่ สงสารคนไทย อยู่ในเมอื งพทุ ธแทๆ้ แตด่ เู อา เถอะวา่ เมอ่ื ไรเศรษฐกจิ ไมด่ ี พยากรณช์ วี ติ ในหนงั สอื พมิ พ์ จะเปน็ ท่นี ิยม น่นั คอื ความหลงของคนทง้ั น้นั ในทส่ี ุด เม่ือท้ิงขันธ์น้ีแล้ว ต้องลงอบายไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ฉะนน้ั ถา้ ไมอ่ ยากมคี วามหลงตอ้ งเจรญิ ปญั ญา 58
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร อยา่ งทท่ี า่ นทงั้ หลายมาในทน่ี .้ี ..ถกู ตอ้ งแลว้ เรา มาเจรญิ ปญั ญาเห็นถูก เม่อื มปี ญั ญาฯ ใครจะชักนำ�เรา ไม่ได้ ใครจะพูดอะไร ก็ฟังหูไว้หู เพราะเราไม่ได้อยู่ กับเขาตลอดเวลา จะไปรู้ใจเขาได้อย่างไร คร้ังหนึ่งที่ กรงุ สาวตั ถี พระเจา้ ปเสนทิโกศลไดท้ ดสอบพระพทุ ธเจา้ ตอนนนั้ ทา่ นยงั ไมเ่ ชอ่ื ถอื ในพระพทุ ธองค์ ขณะทเ่ี ขา้ ไป เฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นนักบวชนิกาย ตา่ งๆ เดนิ ผา่ นไปไกลๆ กต็ รสั ขออนญุ าตพระพทุ ธเจา้ กราบนกั บวชพวกน้นั แล้วจึงตรัสกับพระพุทธเจ้าวา่ “ในกลุม่ นักบวชพวกนั้น น่าจะมสี ักทา่ นหน่ึงที่ เป็นพระอรหันต์ ได้กราบก็เป็นบญุ ของขา้ พเจ้า” พระพุทธองค์ตรัสว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลยัง เป็นผู้บริโภคกามอยู่ จึงยากที่จะรู้ว่าคนพวกนี้บรรลุ อรหันต์หรอื ไม่ จากนั้นทรงตรัสว่า 59
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ “ศีล...พึงรู้ได้ด้วยการอย่รู ่วมกนั ความสะอาด...พงึ รู้ไดด้ ้วยการงาน กำ�ลงั ใจ...พึงรู้ไดใ้ นคราวมีอนั ตราย ปัญญา...พึงรไู้ ดด้ ้วยการสนทนา เหลา่ นี้จะพึงร้ไู ด้ด้วยการใช้เวลานาน ไม่ใชด่ ้วย เวลาเพียงเลก็ นอ้ ย ผสู้ นใจจึงจะร้ไู ด้ ผไู้ มส่ นใจก็ไม่รู้ ผูม้ ีปญั ญาจึงจะรู้ได้ ผูม้ ีปัญญาทรามก็ไม่รู้” พระพทุ ธองคส์ อนไม่ใหห้ ลง เพราะทา่ นมปี ญั ญา เห็นถูกในที่สุด...พระเจ้าปเสนทิจึงยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้าตง้ั แต่น้ันมา เช่นเดียวกัน การที่พวกเรามาฝึกวิปัสสนา กรรมฐานน้ี ความหลงก็น่าจะลดน้อยลงไปๆ ถ้าฝึก 60
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร กรรมฐานแล้วยังหลงดูหมอ หลงเช่ือเจ้าใบ้หวยอยู่ ก็นับว่าเสียอาจารย์เลยทีเดียว เพราะปัญญาเห็นถูก ไมเ่ กดิ ความหลงเกิดแทน ๑๐. ความรู้ความเหน็ วา่ หลดุ พน้ เป็นเรื่องลำ�ดับสุดท้ายใน ๑๐ เร่ืองที่เราควร พูดถึงและควรประพฤติปฏิบัติ บางคนอ่านอภิธรรม พบค�ำ วา่ ศรทั ธาวมิ ตุ ติ หลดุ พน้ ดว้ ยศรทั ธา พวกนเี้ วลา จะตายกก็ อดพระพทุ ธรปู ไว้ ดว้ ยคดิ วา่ ตายแลว้ จะไดไ้ ป อยกู่ บั พระพทุ ธเจา้ นเี่ พราะเขาเขา้ ใจวา่ สามารถหลดุ พน้ ด้วยศรัทธาได้ ท้ังท่ีตัวเองยังมีความโลภ โกรธ หลง จะปรารถนาไปให้ถึงนิพพาน จะไปอยู่กับพระพทุ ธเจา้ ไดอ้ ยา่ งไร การทจี่ ะไปนพิ พานหรอื ไปอยกู่ บั พระพทุ ธเจา้ ตอ้ งเขา้ ใจคำ�ว่า ศรทั ธาวมิ ตุ ติ อย่างถ่องแท้ 61
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ ศรัทธาวิมุตติ ในคร้ังพุทธกาล มีภิกษุชาวแคว้นโกศล ชื่อ “วกั กล”ิ วกั กลิเป็นพระหนมุ่ ทีช่ อบตามดพู ระพทุ ธเจ้า ชื่นชมพระลักษณะของมหาบุรุษ พระพุทธองค์เสด็จ ไปท่ีไหน กต็ ามไปเฝา้ ดู เกดิ สังขาร (การปรงุ แตง่ ของ จิต) เกดิ ปตี ิ เกิดปราโมทย์ ไมเ่ ปน็ อันประพฤตปิ ฏิบตั ิ ธรรม จนในท่ีสุดวันหน่ึง ขณะท่ีพระวักกลิตามเสด็จ พระพุทธเจ้ามาอยู่ที่แคว้นมคธ พระพุทธเจ้าเห็นว่า พระวักกลิจะทำ�ให้พระองค์เสียหาย (ท่านทั้งหลาย ระวงั อยา่ ไปคดิ ไมด่ ี พระวกั กลทิ า่ นเปน็ พระอรหนั ตแ์ ลว้ เดยี๋ วจะเปน็ บาปตดิ ตวั เรา) จงึ ตรสั วา่ “วกั กลิ ไปใหพ้ น้ เรา” ขณะน้ันอยู่ท่ีเขาคิชฌกูฏ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัส เทา่ นน้ั พระวกั กลนิ อ้ ยใจเสยี ใจ คดิ จะไปกระโดดเขาตาย แตพ่ ระพุทธเจา้ ทรงรูว้ าระจติ ของพระวักกลิ จึงตามไป 62
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร เรียกชื่อ “วักกล”ิ ดว้ ยเสียงอ่อนโยน พระวักกลิได้ยิน ใจมาเป็นกอง พระพุทธเจ้า ทา่ นตรสั สอนว่า “ภกิ ษุ ผมู้ คี วามยนิ ดปี ราโมทย์ หากดบั สงั ขารการ ปรงุ แตง่ ของจติ เสยี ได้ กส็ ามารถพบหนทางสวา่ งได”้ พระวักกลิได้ฟัง เกิดกำ�ลังใจปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน จนสำ�เร็จเป็นพระอรหันต์ น่ีคือคุณของ วปิ สั สนากรรมฐาน เมอ่ื เราเหน็ ของสวยงาม จติ ใจปรงุ แตง่ กต็ อ้ งพจิ ารณาวา่ ของพวกนตี้ อ้ งเปลยี่ นแปลงดบั สลาย เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สังขารคือการปรุงแต่ง ของจิต เมื่อจิตรับส่ิงกระทบ ก็ปรุงอารมณ์ไปเรื่อยๆ ดใู หเ้ หน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา เกดิ วปิ สั สนาญาณในทส่ี ดุ 63
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ จิตหลุดจากกิเลสเข้าเป็นพระอรหันต์ ในตอนหลัง พระพุทธเจ้าได้ทรงแต่งต้ังพระวักกลิเป็นเอตทัคคะ (เป็นเลิศ) ในด้านการหลุดพ้นด้วยศรัทธา ท่ีเรียกว่า ศรัทธาวมิ ตุ ติ แตค่ นทวั่ ไปกลบั ตคี วามวา่ ศรทั ธาวมิ ตุ ติ หลดุ พน้ ด้วยศรัทธา คอื ไม่ต้องทำ�อะไรอน่ื เพียงแคม่ ศี รทั ธา ในพระพทุ ธเจา้ แลว้ เปน็ พอ เดย๋ี วกเ็ ขา้ นพิ พานได้ ไม่ใช่ อย่างนั้น จะหลุดพ้นได้ต้องใช้วิปัสสนาญาณ เป็น เครอ่ื งกำ�จัดกิเลส จงึ จะหนวี ฏั ฏสงสารได้ เชน่ เดยี วกัน คำ�วา่ เจโตวมิ ตุ ติ ความหลดุ พ้น ด้วยพลังสมาธิ ถ้าหลุดพ้นด้วยพลังของสมาธิล้วนๆ ไดจ้ รงิ แล้ว ในมรรคมีองค์ ๘ ทำ�ไมท่านตอ้ งกล่าวถึง 64
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นถูกต้อง และสัมมาสมาธิ คอื สมาธทิ ถ่ี กู ตอ้ ง ท�ำ ไมทา่ นไมร่ ะบวุ า่ หลดุ พน้ ไดด้ ว้ ย สมาธิฝา่ ยเดียว ไมต่ อ้ งมีสัมมาทิฏฐิ ไตรสกิ ขา ประกอบด้วยศลี สมาธิ ปญั ญา ถา้ หลุดพ้นด้วยกำ�ลังสมาธิได้ ทำ�ไมต้องมีปัญญา มาฝึก สมาธิอย่างเดียว ก็น่าจะหลุดพ้นได้ อย่างที่เรียกว่า เจโตวมิ ุตติ คอื หลุดพ้นจากกิเลสดว้ ยอ�ำ นาจของสมาธิ ความจรงิ ก็คือ หลุดพน้ ไม่ได้ แมแ้ ต่อาจารย์ ๒ ทา่ น ของเจ้าชายสิทธัตถะ คือ อทุ กดาบส กับ อาฬารดาบส ก็ไม่อาจหลุดพน้ ได้ ทง้ั สองทา่ นฝึกสมาธจิ นแกล้วกล้า ในท่ีสดุ ไปเกดิ เปน็ อรปู พรหม ๒ ช้ันสดุ ทา้ ย จึงไม่ได้ เข้านิพพาน 65
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ แต่เม่ือใดท่ีเราสามารถเจริญเจโตวิมุตติ แล้ว ตามดว้ ยปัญญาวิมุตติ และเกดิ อาสวักขยญาณ (ความ รู้ที่เปน็ เหตใุ ห้ส้ินอาสวะ) ซงึ่ เป็นอภิญญาตัวท่ี ๖ และ เป็นโลกุตตรอภิญญา นน่ั จึงจะหลดุ พน้ จากกเิ ลส เขา้ สู่นิพพานได้ ฉะนั้น ความรู้ความเห็นว่าหลุดพ้น เราต้องใช้ ปัญญาพิจารณา นักอภธิ รรมมักโตแ้ ย้งกนั มาก มนั ถูก ในแบบของเขา ถ้าจะให้หลุดพ้นได้ เราไม่ต้องมาน่ัง เม่อื ยน่ังปวดฝกึ กันหรอก เอาพระพทุ ธรปู ใสป่ ากเวลา จะตาย แล้วจะได้ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ง่ายกว่า สบายกว่า แต่เปน็ ไปไม่ได้ ถา้ เปน็ ได้ พระพุทธเจา้ คง กวาดไปหมดโลกแลว้ ไมต่ อ้ งมานง่ั ทนเมอ่ื ยทนปวดกนั อยอู่ ย่างนีห้ รอก 66
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ความรู้ความเห็นว่าหลุดพ้น เม่ือเรามีปัญญา เห็นถกู ตรงตามธรรม เรากส็ ามารถวิเคราะห์ไดว้ า่ อะไร เป็นจริง ตรงตามหลักกาลามสูตรเลยทีเดียว ตำ�ราว่า ไวอ้ ย่างไร ไม่สำ�คญั ต้องไปประพฤติปฏิบตั ิ แล้วเกดิ สนั ทิฏฐิโก แลว้ เราจะรู้ด้วยตัวเอง ผบู้ รรยายเคยสงสยั ว่าในสมัยก่อนเป็นไปได้อย่างไรที่น่ังฟังพระพุทธเจ้า แสดงธรรมประเดี๋ยวเดียว...เข้าถึงนิพพานได้ เป็น อรหนั ต์ได้ เยอะแยะเหลอื เกนิ แตพ่ อเราฝกึ มาถงึ ขน้ั น้ี จึงหายสงสัย เพราะคนสมัยก่อน โดยเฉพาะพวก พราหมณ์ ต่างได้เคยศึกษาเรื่องพระเวททั้งสาม เมื่อ ศึกษาแล้วรู้ว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้น ต่างก็บวชเป็นฤาษี เจริญสมถภาวนา ทำ�จิตนิ่งมามาก อภิญญา ๕ เกิด ฌานสมาบตั ิเตม็ มีพนื้ ฐานอยู่แล้ว พอมาฟงั นิดหน่อย ก็หลุดพ้น เข้านิพพานกันง่ายๆ เพราะมีพ้ืนฐานจิต 67
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ นิง่ อยู่แล้ว อนั น้จี ึงหายสงสยั หากเราเองฝึกจติ จนได้ อย่างนั้น มีพื้นฐานเป็นอย่างน้ันก็ได้ง่ายเหมือนกัน ผู้บรรยายเองได้ประสบหลายอย่างภายในเดือนเดียว สามารถพสิ จู นอ์ ภญิ ญา ๕ ทง้ั หมดไดด้ ว้ ยตวั เอง หทู พิ ย์ ตาทิพย์ มีจริง ญาณรู้ใจคนอื่นมีจริง ญาณรู้การเกิด ของสัตว์ (จตุ ูปปาตญาณ) มจี รงิ ญาณรู้ว่าในหนหลงั เคยเกิดเป็นอะไร (ปุพเพนิวาสานุสตญิ าณ) มีจริง แต่ ตวั สดุ ทา้ ย คือ อาสวกั ขยญาณ ยังไม่เกิด จงึ ยงั ไมม่ ี ความร้วู ่านพิ พานเปน็ อย่างไร สรปุ ย้�ำอีกครั้งวา่ เราควรพดู กันถงึ เร่ือง ๑๐ อย่างนค้ี อื ๑. ความมกั น้อย ๒. ความสนั โดษ 68
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ๓. ความสงดั ๔. ความหลกี ออกจากหมูจ่ ากพวก ๕. การเร่งความเพียร ๖. ศีล ๗. สมาธิ ๘. ปัญญา ๙. ความหลดุ พ้น ๑๐. ความรูค้ วามเห็นว่าหลดุ พ้น คุยกันเรื่องเหล่านี้ แล้วจิตจะสงบ การปฏิบัติ จะได้มรรคไดผ้ ล 69
เมอื่ สองปราชญส์ นทนา การบรรยายทที่ า่ นไดฟ้ งั ในคนื นี้ เมอ่ื ครง้ั พทุ ธกาล ได้เคยเกิดลักษณะทำ�นองนี้มาแล้ว ท่ีกรุงกบิลพัสดุ์ ในครั้งน้ันพระอานนท์ได้สำ�เร็จเป็นพระโสดาบันจาก การฟังธรรมเช่นน้ี คนท่ีแสดงธรรมให้ฟังคือ พระ ปุณณมันตานีบุตร พระปุณณมันตานีบุตรเป็นหลานของพระอัญ- ญาโกณฑญั ญะ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้บวชท่าน ในสำ�นกั ของตน (ไม่ใช่พระพุทธเจา้ บวชให)้ ตอนหลัง ท่านสำ�เร็จเป็นพระอรหันต์ และเป็นกำ�ลังสำ�คัญใน 70
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร การเผยแผ่ศาสนา ทา่ นใช้เร่ือง ๑๐ อย่างท่ีผ้บู รรยาย เลา่ ให้ฟังนี้ เปน็ หลกั ตลอดชีวติ ของทา่ น ในที่สดุ ชาว กบิลพัสดุ์เกดิ ศรัทธาเลอ่ื มใส มาบวชกบั ทา่ นถงึ ๕๐๐ คน และด้วยการได้ยินได้ฟังและประพฤติปฏิบัติเรื่อง ๑๐ อย่างน้ี ไม่นานก็ได้สำ�เรจ็ เป็นพระอรหันตท์ งั้ หมด พระสารีบุตรตามเสด็จพระพุทธเจ้าจากกรุง ราชคฤห์ เมืองหลวงของแควน้ มคธ ไปยงั วดั เชตวันที่ นครสาวตั ถี ซงึ่ เปน็ เมอื งหลวงของแควน้ โกศล ทง้ั มคธ และโกศลต่างเป็นแคว้นใหญ่ ต้ังอยู่ห่างกันประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร ขณะนั้นพระปณุ ณมนั ตานีบตุ รอยทู่ ่ี กรุงกบิลพสั ดุ์ แควน้ สกั กะ ซง่ึ อยู่หา่ งออกไปประมาณ ระยะทางจากเชียงใหม่ถึงลำ�ปาง พระปุณณะฯ เดิน ทางมากราบพระพุทธเจา้ ทว่ี ัดเชตวนั แล้วปลกี ตัวออก 71
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ ไปอยู่ในปา่ ใกล้ๆ วดั เชตวัน พระสารบี ุตรทราบว่าทา่ น ไปอยู่ในป่า จงึ ตามไป เพราะต้องการจะพบพระเถระ สกั ครงั้ หนงึ่ ไดพ้ บพระปณุ ณะฯ นง่ั อยู่โคนไม้ จงึ เขา้ ไป ปราศรยั ด้วย พระสารีบตุ ร: ท่านผูม้ อี าวโุ ส ๑ (พระสารีบตุ ร แก่กว่า) ท่านเป็นสาวกของพระศาสดาหรือ พระปุณณะฯ: ใช.่ ..ทา่ นผู้เจริญ (ภนั เต) พระสารบี ตุ ร: ทา่ นประพฤตพิ รหมจรรยน์ เี้ พอ่ื ให้ศลี บรสิ ทุ ธ์ิหรือ ? พระปุณณะฯ: ไม่ใช่ พระสารบี ุตร: เพ่ือให้จติ บริสุทธิ์หรอื ? พระปณุ ณะฯ: ไม่ใช่ ๑ค�ำ วา่ “อาวโุ ส” ในภาษาบาลี แปลว่า “ผู้มีอายุ” เปน็ ค�ำ เรียกหรอื ค�ำ ทักทาย ที่ภกิ ษุผู้แกพ่ รรษาใชเ้ รียกภิกษผุ อู้ ่อนพรรษากวา่ คกู่ บั คำ�วา่ “ภันเต” แปลวา่ “ข้าแตท่ ่านผู้เจริญ” ซ่งึ ภิกษุผนู้ ้อยใช้เรียกภิกษุผ้ใู หญ่ 72
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร พระสารีบตุ ร: เพือ่ ใหป้ ัญญาบริสทุ ธหิ์ รอื ? พระปณุ ณะฯ: ไม่ใช่ พระสารีบุตร: เพือ่ ใหข้ า้ มพ้นความสงสัยได้ อย่างบรสิ ทุ ธห์ิ รอื ? พระปุณณะฯ: ไม่ใช่ พระสารบี ตุ ร: เพอ่ื ให้รวู้ า่ อนั ใดเปน็ ทาง อันใด ไม่เป็นทาง อยา่ งบรสิ ุทธ์หิ รอื ? พระปณุ ณะฯ: ไม่ใช่ พระสารบี ตุ ร: เพอ่ื ใหร้ ูจ้ ักทางดำ�เนิน อย่าง บรสิ ุทธหิ์ รอื ? พระปณุ ณะฯ: ไม่ใช่ พระสารบี ตุ ร: เพอ่ื ใหร้ ใู้ หเ้ หน็ ธรรมอยา่ ง บรสิ ทุ ธห์ิ รอื ? พระปณุ ณะฯ: ไม่ใช่ 73
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ ในเมื่อความบริสุทธ์ทิ ้ัง ๗ อยา่ ง (วิสุทธิ ๗) พระปณุ ณมันตานบี ุตรตอบว่า “ไม่ใช”่ ทงั้ หมด พระสารบี ุตรจึงถามวา่ “ถา้ เชน่ นน้ั ท่านปฏบิ ัตธิ รรมเพอ่ื อะไร ?” พระปณุ ณะฯ ตอบวา่ “เพอ่ื อนปุ าทาปรนิ พิ พาน” (อนุปาทิเสสนพิ พาน) ทา่ นวา่ ธรรมทง้ั ๗ อยา่ งน้ัน ในตวั มันเองไม่ใช่ อนุปาทาปรินิพพาน เพราะยังมีอุปาทาน ยังยึดอยู่ แต่ธรรมท้ัง ๗ อย่างนี้ เป็นธรรมที่ส่งไปสู่อนุปาทา ปรินิพพาน ท่านอธิบายโดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบ คือ สมมติว่าพระเจ้าปเสนทิต้องการเดินทางจากกรุง สาวตั ถีไปเมอื งสาเกต ตอ้ งใชร้ ถมา้ ๗ คนั โดยขนึ้ รถมา้ คันที่ ๑ จากเมืองสาวัตถี พอไปถึงรถม้าผลัดท่ี ๒ 74
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ต้องลงจากรถมา้ คนั ที่ ๑ แล้วขึ้นรถม้าคันที่ ๒ เพื่อ เดนิ ทางตอ่ พอไปถึงรถมา้ ผลดั ที่ ๓ ตอ้ งลงจากรถมา้ คนั ท่ี ๒ แลว้ ขึ้นรถมา้ คันท่ี ๓ อย่างนี้เรอ่ื ยไป จนถงึ รถม้าผลัดที่ ๗ ก็ต้องลงจากรถม้าคันที่ ๖ แล้วขึ้น รถม้าคันที่ ๗ เม่ือรถม้าคันท่ี ๗ ไปถึงเมืองสาเกต ก็ต้องลงจากรถม้าคันท่ี ๗ จึงจะได้ช่ือว่าเข้าถึงเมือง สาเกตอย่างแท้จรงิ อปุ มาเหมือนกบั หลักธรรมท้งั เจ็ด (บริสุทธิ์ ๗) แต่ละอยา่ งเกือ้ กลู ซ่งึ กนั และกนั และ ในที่สุด ต้องท้ิงแมห้ ลักธรรมทงั้ ๗ นี้ จึงจะบรรล ุ นพิ พานได้ พระสารบี ตุ รฟงั แลว้ แจม่ แจง้ จงึ สรรเสรญิ แล้วถามวา่ “ทา่ นชอื่ อะไร” พระปุณณะฯ ตอบวา่ “ขา้ พเจา้ ช่อื ปณุ ณะฯ แต่ เพื่อนพรหมจรรย์มกั เรียกวา่ มนั ตานบี ตุ ร” 75
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ ก่อนอ�ำ ลากนั พระสารีบตุ รกล่าวยกยอ่ งชมเชย พระปุณณะฯ ว่า “หลักธรรมของพระพุทธเจ้าน้ัน ท่านปุณณะฯ เข้าใจอย่างถ่องแท้ เป็นลาภเหลือเกิน ทเ่ี พอ่ื นพรหมจรรย์ไดพ้ บไดเ้ หน็ ทา่ น ขา้ พเจา้ เองกเ็ ชน่ กนั ได้มาสนทนาธรรมกับท่าน ถอื วา่ เป็นลาภอยา่ งย่ิง” พระปณุ ณะฯ กช็ มเชยพระสารีบตุ รเช่นกนั ว่า “เปน็ ครงั้ แรกทข่ี า้ พเจา้ ไดเ้ หน็ ทา่ น ซงึ่ มลี กั ษณะ คล้ายพระพุทธเจา้ (คล้ายกันในดา้ นสตปิ ญั ญาเป็นรอง พระพุทธเจ้าเพียงเล็กน้อย) ถ้าข้าพเจ้าทราบแต่แรก วา่ ทา่ นคอื พระสารีบตุ ร ข้าพเจ้าคงไมก่ ลา้ สนทนาธรรม อยา่ งน”้ี น่ีคือส่ิงท่ีท่านผู้ทรงปัญญา คือ พระสารีบุตร กับพระปุณณมันตานีบุตร ได้สนทนากัน เป็นเร่ืองท่ี 76
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ทำ�ให้เราต้องคิดว่า หากเราต้องการทำ�ให้สติปัญญา งอกงาม เราควรน้อมนำ�ตัวของเราเข้าไปสนทนา พูดคยุ กบั ผมู้ ีปญั ญาสูงกว่า แล้วสติปญั ญาของเราจะ งอกงาม ถ้าเราเป็นนักเรยี น อยากเรยี นเกง่ ตอ้ งเขา้ หา ครบู าอาจารย์ ถา้ เราเป็นนักปฏิบตั ิธรรม เราตอ้ งเข้าไป หาผมู้ ปี ัญญาเสมอตนหรอื เหนอื กว่าตน พระพทุ ธองค์ ทา่ นสรรเสริญ และทรงตรสั ไว้วา่ “ตราบใดท่ีเธอโคจรไป ยังไม่พบผู้มีปัญญา เสมอตนหรือสูงกว่าตน ตราบนั้นเธอยังไม่พบสหาย จงโคจรตอ่ ไป แตเ่ มอ่ื ใดไดพ้ บผมู้ ปี ญั ญาสงู กวา่ จะท�ำ ให้ สติปัญญาของเธองอกงามข้นึ ” 77
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ ฉะน้นั ในการประพฤตปิ ฏบิ ัตธิ รรม โดยเฉพาะ ในการอบรมครง้ั นี้ เปน็ การฝึกวิปสั สนากรรมฐาน คือ ปัญญาเห็นแจ้ง การท่ีท่านได้ยินได้ฟังส่ิงท่ีเป็นมงคล เช่นนี้ ทำ�ให้ปัญญาของท่านงอกงามขึ้น ทำ�ให้ท่านมี ก�ำ ลังใจ ผู้บรรยายเองได้พสิ ูจน์สัจธรรม ด้วยสาเหตุที่ ไมเ่ ชอ่ื จงึ ไดไ้ ปบวชและปฏบิ ตั ธิ รรม ปจั จบุ นั นี้ไดพ้ สิ จู น์ แลว้ จงึ ส้นิ สงสยั ในพระสทั ธรรมของพระพทุ ธเจ้า เพราะฉะนน้ั ทา่ นตอ้ งพฒั นาก�ำ ลงั ใจของตวั เอง ใหม้ ากข้นึ คอื ก�ำ ลงั สติ กำ�ลังสมาธิ และกำ�ลงั ปัญญา พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พึ่งตนเอง ร่างกายของเรา คือขันธ์ ๕ นี้ เป็นเครื่องมือให้เราไดพ้ ัฒนาจติ เราพ่งึ รา่ งกายของเราในการสง่ั สมปญั ญา เมอื่ เรามปี ญั ญาแลว้ เราจงึ สั่งสมความดีใหย้ ่งิ ขน้ึ ไป 78
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ความดีคือส่ิงท่ีทำ�แล้วเกิดประโยชน์ ทำ�แล้ว ไม่เบียดเบียน เม่ือจิตคิดแล้ว ปากพูดแล้ว ลงมือ กระท�ำ แลว้ จะส่ังสมไวใ้ นดวงจติ เป็นบญุ เปน็ บารมี เมื่อมีความดีสั่งสมอยู่ในตัวเอง เราจะสามารถพ่ึง ความดขี องตวั เองได้ ดว้ ยเหตนุ ้ี พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั วา่ “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” ซงึ่ แปลว่า ตนเป็นท่ีพ่งึ แห่งตน คนท่ีไมม่ คี วามดี ไมส่ ง่ั สมความดีไว้ในจิตใจเขา ย่อมพึ่งตัวเองไม่ได้ เมื่อใดท่ีเรามีความดี มีบุญ มบี ารม ี สง่ั สมในจติ ใจ เราสามารถพงึ่ บญุ พง่ึ บารม ี ของเราได้ ส่ิงท่ีเป็นทีพ่ ง่ึ สูงสดุ ดีท่ีสดุ คือ ธรรมะ ของพระพทุ ธเจ้า พ่งึ หนุ้ ห้นุ กต็ ก พึ่งคน คนกต็ าย 79
อุ บ า ย ทํ า จิ ต ใ ห้ ส ง บ แต่พง่ึ ธรรมะ ไมอ่ นจิ จัง ไม่ทกุ ขงั ไม่อนัตตา เปน็ สง่ิ ตายตัวแน่นอน ท่านจึงให้พึ่งหลักธรรม ในคร้ังที่ พระพทุ ธเจ้าตรัสร้ใู หม่ๆ ทรงร�ำ พงึ กับพระองค์เองวา่ “แต่ก่อนเรายงั มีทเ่ี คารพบชู า คือ ครูบาอาจารย์ ตา่ งๆ ตอนนเ้ี ราไดต้ รสั รแู้ ลว้ เรามสี ตปิ ญั ญาบญุ วาสนา บารมี สงู กวา่ คนอน่ื แลว้ เราจะพงึ่ ใคร ไมม่ ีใครในโลกนี้ ที่เราจะพ่งึ ได้เลย” แตแ่ ลว้ พระองคท์ รงนกึ ถงึ พระธรรม ทรงเคารพ บูชาพระธรรม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพบูชา พระธรรม พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพบูชา พระธรรม พระอรหนั ตท์ กุ องคเ์ คารพบชู าพระธรรม เอา พระธรรมเปน็ ทพ่ี ง่ึ ทย่ี ดึ เกาะ พระธรรมนพ้ี ง่ึ ไดแ้ นน่ อน 80
ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร ผู้บรรยายได้พิสูจน์แล้วว่า พึ่งบุญ พ่ึงบารมี พง่ึ สงั ขารรา่ งกายของตวั เอง เพอื่ เจรญิ วปิ สั สนาปญั ญา ข้ึนมา เหล่าน้ีคือสิ่งท่ีพึ่งได้ ในขณะเดียวกัน เรา ประพฤติปฏิบัติธรรม เราพ่ึงพระธรรมได้แน่นอน ไม่ ผิดหวัง ด้วยบุญ ดว้ ยกุศลความดี ของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย ของพระปจั เจกพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย ของพระ อรยิ บคุ คลทง้ั หลาย จงบนั ดาลใหส้ มั มาทฏิ ฐเิ กดิ ขน้ึ ในจติ ใจของทา่ นผฟู้ งั นบั แตบ่ ดั นเ้ี ปน็ ตน้ ไปเทอญ 81
82
ประวตั ิ ดร.สนอง วรอไุ ร ดร. สนอง วรอไุ ร เกิดทต่ี ำ�บลคลองหลวงแพ่ง จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา เป็นบุตรคนที่ ๖ ในจ�ำ นวนพีน่ ้อง ท้ังหมด ๘ คน เรยี นจบชั้นมัธยมศกึ ษาจากโรงเรียน วัฒนศิลป์วิทยาลัย สำ�เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาโรคพืช และปริญญาโท สาขาเชื้อรา จาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 83
เมื่อได้รับการโอนย้ายเข้าเป็นอาจารย์ประจำ� คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหมร่ นุ่ บกุ เบกิ แลว้ ไดร้ ับทนุ โคลัมโบ ไปศึกษาต่อระดบั ปริญญาเอก สาขา ไวรสั วิทยา ณ มหาวิทยาลยั ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ใชเ้ วลาศกึ ษา ๔ ปี จึงสำ�เรจ็ กลับมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ก่อนเปิดภาคเรียน ได้ใช้เวลาว่างไปอุปสมบท ท่ีวัดปรินายก แล้วไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับพระ เทพสิทธมิ นุ ี (โชดก ญาณสทิ ธฺ ิ ป.ธ. ๙) ทคี่ ณะ ๕ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ เพื่อพิสูจน์สัจธรรมของ พระพทุ ธองค์ ตลอดเวลา ๑ เดือน ที่ท่านตั้งใจปฏิบัติอย่าง เต็มท่ี ท่านได้รับประสบการณ์ทางจิตมากมาย ทำ�ให้ 84
ส้ินสงสัยในพระรัตนตรัย และเปล่ียนวิถีชีวิตมาช้ีนำ� ทางสสู่ ุคติภมู แิ ก่เพือ่ นสหธรรมิก อกี ทง้ั ยังเป็นอาจารย์ พิเศษถวายความรแู้ ก่พระสงฆเ์ ร่ือยมาจนถงึ ปัจจบุ นั 85
พุทธพจน์เรือ่ งความไม่ประมาท ๑๔ ประการ ๑. ไม่ปล่อยจิตไปในกามคุณ ๕ ๒. ไมเ่ พิ่มตามไปแก่การทำ�ทุจรติ คอื ไม่เป็น ไปตามอำ�นาจของความชวั่ ๓. กระทำ�โดยเคารพ ในการยงั กศุ ลธรรมท้ัง หลายให้เกิดขึน้ ๔. ท�ำ ความดีตดิ ต่อกนั ไป ๕. ทำ�กุศลไม่หยดุ คือ ไม่หยดุ สร้างความดี ๖. ไม่ยอ่ หย่อนในการสรา้ งความดี ๗. ไม่ทอดธุระ ในทาน ศีล ภาวนา 86
๘. ไม่ทอดธรุ ะในการทำ�กุศล ๙. อธิษฐานจิต คือ ตัง้ ใจสร้างความดอี ย่าง เต็มท่ี ๑๐. หมั่นประกอบกุศลบ่อยๆ ๑๑. หมน่ั สร้างทาน ศีล ภาวนาบอ่ ยๆ ๑๒. หมนั่ เจริญสมถะและวิปัสสนาบ่อยๆ ๑๓. พยายามทำ�ความดีใหม้ ากๆ ๑๔. งดส่ิงทีค่ วรงด เจริญสิ่งท่ีควรเจริญ 87
ผลของการเจริญวิปสั สนากรรมฐาน ๑. สตฺตานํ วิสุทฺธิยา เพ่อื ความบรสิ ทุ ธิ์หมดจดของสัตวท์ ั้งหลาย ๒. โสกปริเทวานํ สมตกิ ฺกมาย เพื่อกา้ วล่วงความโศกเศร้า ปรเิ ทวนาการท้งั หลาย ๓. ทุกขฺ โทมนสสฺ านํ อตฺถงฺคมาย เพื่อดบั ทุกข์ทางกายและดบั ทุกขท์ างใจ ๔. ญายสฺส อธิคมาย เพ่อื บรรลุมรรค ๔ ผล ๔ ๕. นิพพฺ านสฺส สจฉฺ ิกริ ยิ าย เพอื่ กระทำ�พระนพิ พานใหแ้ จ้ง 88
Search