ดังน้ัน ขอให้ท่านเร่งความเพียรตลอด หยดุ ผสั สะทง้ั หลายทไี่ มจ่ �ำเปน็ การอา่ น การ ฟงั การพดู ทไ่ี มจ่ ำ� เปน็ หยดุ เสยี พลงั งานจะถกู อนุรักษ์ไว้...ไม่สูญเสีย ท�ำให้เรานอนน้อยได้ เมอื่ มพี ลงั งานมาก เอามาฝกึ ปฏบิ ตั ิ เรง่ ความ เพยี ร และท�ำต่อเนื่อง จติ ก็จะสงบไดง้ ่าย ขณะทเ่ี รง่ ความเพยี ร ทา่ นม ี อทิ ธบิ าท ๔ กำ� กับการปฏิบัตหิ รอื ไม?่ ถามใจตวั เองดู อิทธิบาท ๔ ในการปฏิบัติกรรมฐาน ไดแ้ ก ่ ๑. รักในการปฏบิ ัตกิ รรมฐาน ๒. ปฏบิ ตั กิ รรมฐานดว้ ยความพากเพยี ร ๓. ปฏิบตั ิกรรมฐานดว้ ยจติ จดจ่อ ๔. ใช้ปัญญาไตส่ วน 50 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
ขณะทฝ่ี กึ ไป ทา่ นตอ้ งพจิ ารณาวา่ ทำ� ไม วนั นน้ี ง่ิ เรว็ ทำ� ไมเมอื่ วานนง่ิ ชา้ เมอ่ื วานไมป่ วด ทำ� ไมวนั นป้ี วดเรว็ ฯลฯ ตอ้ งใชป้ ญั ญาไตส่ วน แลว้ ปรบั ปรงุ แกไ้ ขทต่ี น้ เหต ุ ถา้ ทำ� ไดอ้ ยา่ งนแี้ ลว้ มรรคผลจะเกดิ ไดเ้ ร็ว จากประสบการณข์ องผบู้ รรยาย ครบู า อาจารยท์ า่ นรกู้ ำ� ลงั ใจของลกู ศษิ ยท์ มี่ าปฏบิ ตั ิ ธรรม มอี ยปู่ ระโยคหนง่ึ ทที่ า่ นพดู คอื “ธรรมะ ของพระพุทธองค์ จะได้ไปต้องเอาชีวิตเข้า แลก” ผบู้ รรยายนกึ ถงึ พระทอ่ี อกธดุ งคอ์ ยปู่ า่ รปู เดยี ว ทา่ นเหลา่ นน้ั เดด็ เดยี่ วเอาชวี ติ เขา้ แลก ทั้งนั้น จึงได้ธรรมะของพระพุทธเจ้ามาจริง ส่วนตัวเราไม่เคยท�ำมาก่อน เวลานั่งจึงปวด เม่ือย มีเหน็บมีชา เมื่อบริกรรม “พองหนอ ยบุ หนอ” ไมน่ าน เวทนากต็ ามมา แกเ้ วทนา ไม่ได้ก็เปล่ียนอิริยาบถ จากนั่งมาเป็นเดิน 51ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
จงกรม สลับกันไป พอเดินไปๆ สักพัก ก็ไป นั่งอีก พอน่ังแล้วปวดอีก ก็ต้องเดินอีก เป็น อยอู่ ยา่ งน ้ี วนั นน้ั ผบู้ รรยายพจิ ารณาแลว้ คดิ ได้ว่า “เอ๊ะ อย่างน้ีแล้วเมื่อไหร่จะได้ล่ะ จิต ไม่ต้งั มนั่ ไมน่ ่งิ ถงึ ท่ีสดุ เสยี ท”ี ในทส่ี ดุ ระลกึ ถงึ คำ� ของครบู าอาจารยว์ า่ ‘ธรรมะของพระพทุ ธองค ์ ตอ้ งเอาชวี ติ เขา้ แลก จึงจะได้’ วันน้ัน ผู้บรรยายจึงต้ังสัจจะอธิษ- ฐานว่า “เช้าน้ีจะนั่งฝึกกรรมฐาน จะบริ- กรรม ‘พองหนอ...ยุบหนอ...พองหนอ...ยุบ หนอ’ เมอ่ื มคี วามเจบ็ ปวดเกดิ ขน้ึ กบั แขง้ ขา จะไม่ยอมเปล่ียนอิริยาบถ จะไม่ยอมขยับ เขยอื้ น แตจ่ ะบรกิ รรม ‘พองหนอ...ยบุ หนอ’ จะยอมตาย” เพราะคิดว่าคนที่ฝึกนั่งกรรม ฐานแล้วตายยังไม่มี ผู้บรรยายจะยอมตาย เพื่อรักษาสัจจะอธิษฐานท่ีให้ไว้ ในที่สุดต้อง 52 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
ปวดแนน่ อน แตด่ ว้ ยพลงั ของสจั จะบารมที อี่ ยู่ ในใจ ได้ต่อสู้กับความเจ็บปวดจนแทบจะเอา ชีวิตเข้าแลกจริงๆ ความรู้สึกของจิตขณะนั้น เหมอื นรา่ งกายนก้ี ำ� ลงั จะสลาย เหงอ่ื เมด็ ใหญๆ่ ออกมาเหมอื นอาบนำ้� จวี รเปยี กโชก บรกิ รรม “พองหนอ...ยุบหนอ” กายไม่ขยับเขยื้อน จน ในท่ีสุดจิตดิ่งเข้าอัปปนาสมาธิไป เม่ือจิตด่ิง เขา้ สอู่ ปั ปนาสมาธ ิ ความปวดแขง้ ปวดขาหาย หมด เสยี งอะไรขา้ งนอกไมไ่ ดย้ นิ เลย ใครพดู อะไรไมไ่ ดย้ นิ รอ้ น-เยน็ ไมป่ รากฏ อาการเจบ็ แขง้ เจบ็ ขาไมป่ รากฏ มแี ตค่ วามเบาความสบาย อย่างเดียว ความรู้สึกในขณะนั้น เหมือนว่า ได้เข้าอัปปนาสมาธิเพียงแว๊บเดียว ประมาณ สกั ชว่ั ขณะจติ เทา่ นนั้ แตเ่ มอ่ื ออกจากอปั ปนา สมาธ ิ กลบั มาสสู่ ภาวะปจั จบุ นั พบวา่ เวลาผา่ น ไปแล้วหลายช่ัวโมง จึงได้เห็นความเหลื่อม ของเวลาดว้ ยปญั ญาเหน็ แจง้ สงิ่ ตา่ งๆ เหลา่ นี้ มีอยู่จริง 53ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
เช่นเดียวกัน ขอยกตัวอย่างอีกคนหน่ึง ทผี่ บู้ รรยายไดเ้ จอ ผบู้ รรยายบอกเขาวา่ “ถา้ คณุ พบผมบอ่ ยๆ อกี หนอ่ ยคณุ จะเดนิ ตามผม” ผบู้ รรยายพดู แคน่ ้ี นนั่ เปน็ การแนะนำ� ใหร้ จู้ กั ครั้งแรก ปรากฏว่าเมื่อเกือบๆ เดือนท่ีผ่าน มา เขาเปน็ โรคหวั ใจ ตอ้ งเขา้ หอ้ งซซี ยี ู (CCU) ทกี่ รงุ เทพฯ ดว้ ยอาการคลนื่ หวั ใจหยดุ (Flat) ขาดชว่ งเปน็ เวลานาน ๕ นาท ี ปรากฏวา่ ชว่ ง เวลา ๕ นาทีนี ้ เขาไดไ้ ปเท่ียวนรกมา ๒ วนั เม่ือกลับมาจากนรกแล้ว เขาได้เปล่ียนพฤติ กรรมไปในทางทดี่ ขี น้ึ เหน็ ไหมครบั วา่ ๕ นาที ที่หายไปในเมืองมนุษย์เป็นเวลาท่ียาวนาน ถึง ๒ วันในเมืองนรกขุมตื้นๆ นี่เป็นเครื่อง ยืนยันว่า การเหลื่อมของมิติแห่งกาลเวลามี จริง อยู่ทีเ่ ราจะสัมผัสไดห้ รอื ไมเ่ ท่าน้ัน 54 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
ฉะนน้ั การยอมเอาชวี ติ เขา้ แลกธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ถ้าท�ำถึงที่สุดแล้วท่านจะ ได้เห็น ถ้าท่านอยากพิสูจน์ ท�ำได้ที่นี่เดี๋ยวน้ี เลย อธิษฐานว่า “เราจะนั่งกรรมฐาน แม้จะ ปวดเม่ือยเท่าไหร่ จะไม่ยอมขยับเขยื้อน” แลว้ รกั ษาสจั จะอธษิ ฐานนใ้ี หค้ งอย ู่ อยา่ ใหเ้ สยี สจั จะ แล้วทา่ นจะไดธ้ รรมะ ท่านยอมตายเพื่อแลกกับธรรมะของ พระพุทธเจ้าไหม? ถ้าท่านยอมตายได้ คนที่ ยอมตายจะได้ของดไี ป ผ้บู รรยายได้เห็นพระ ธุดงค์ พระกรรมฐาน ท่านเหล่านั้นมีใจเด็ด เดี่ยว เอาชีวิตเข้าแลกธรรมะของพระพุทธ องค์ทั้งน้ัน มีหลวงปู่รูปหน่ึง* ขณะน้ีอายุ *กล่าวถึง หลวงปู่สุภา กันตสีโล อริยสงฆ์ ๕ แผ่นดิน ซึ่งท่านละสังขารแล้วด้วยอาการสงบท่ีวัดบ้านเกิด จงั หวดั สกลนคร เม่ือ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ 55ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
๑๐๖ ปี สวดมนต์ไม่พลาดเลย คนอายุต้ัง ๑๐๖ ปี ตามหลักวิทยาศาสตร์ สมองเสื่อม ไปแล้ว แต่ท่านไม่เสื่อม ผู้บรรยายเคยเรียน ถามท่านว่า “ในฐานะนักปฏิบัติ ตลอดระยะ เวลาทหี่ ลวงปอู่ อกธดุ งคม์ า เคยมบี า้ งไหมครบั ท่ีพบเหตุการณ์วิกฤติถึงกับต้องเอาชีวิตเข้า แลก?” ทา่ นตอบวา่ “ม”ี ทา่ นเลา่ วา่ ครง้ั หนงึ่ ทา่ นธดุ งคไ์ ปแถบเมอื งญวณ อยรู่ ปู เดยี วในปา่ ขณะทน่ี งั่ กรรมฐาน ปรากฏวา่ มงี ใู หญเ่ ขมอื บ ท่านเข้าไปครึ่งตัวทางขา ท่านนั่งเหยียดขา เอามือเทา้ พน้ื ไว้ ผ้บู รรยายถามทา่ นวา่ “หลวงปู่กลวั ไหม?” 56 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
“ไม่กลัว” ท่านตอบ งูก็เขมือบท่านเข้า ไปเรื่อยๆ ท่านพูดกับงูว่า “ชีวิตน้ีไม่เสียดาย หรอก เพราะตง้ั แตบ่ วชมา กต็ อ้ งการนพิ พาน เท่านั้น เพราะฉะนั้น จะกินก็กินไปเลย แต่ ขอให้ได้นิพพานก่อน” นี่คืออธิษฐานปรมัตถ บารมี เอาชีวิตเข้าแลกธรรม พอท่านพูด อย่างน้ี งูขยอกออก ผู้บรรยายจึงได้ข้อคิด- ค�ำสอนจากท่านและพระกรรมฐานทั้งหลาย ท่ีท�ำตนเป็นแบบอย่างให้ดู เด๋ียวน้ีเวลาผู้ บรรยายเข้าป่าคนเดียว นอนป่าคนเดียว ไม่ กลวั เลย อะไรจะเกดิ กช็ า่ งเถดิ ถงึ ตวั จะตายก็ ช่างเถิด แต่ขอให้ได้นิพพานก่อนตาย ดังนั้น ทา่ นทงั้ หลาย เมอื่ ทา่ นอธษิ ฐานแลว้ ทา่ นตอ้ ง รักษาสัจจะนั้นไว้ ท�ำให้มาก แล้วเร่งความ เพียรให้ต่อเนื่อง ก�ำกับด้วยอิทธิบาท ๔ คือ ปฏิบัติด้วยใจรัก, ปฏิบัติด้วยความพากเพียร, ปฏิบัติด้วยใจจดจ่อ, และใช้ปัญญาไต่สวน 57ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
วันน้ีปฏิบัติได้ดี เม่ือวานไม่ดี หรือวันน้ีไม่ดี เมื่อวานดี ต้องหาเหตุและแก้ไขที่เหตุให้ได้ มรรคผลในการปฏบิ ตั กิ รรมฐานจะเกดิ ขนึ้ เรว็ เหตุท่ีจิตไม่สงบอีกประการหนึ่งคือ อินทรีย์ ๕ ไม่เสมอกัน อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ศรัทธา วิริยา สติ สมาธิ และ ปัญญา วันนี้ ผบู้ รรยายมาเปน็ กระจกสอ่ ง ขอใหท้ า่ นตรวจ สอบตัวเอง ศรัทธาต้องเสมอกับปัญญา ให้มีพลัง เทา่ ๆ กนั ถา้ ศรทั ธามากแตห่ ยอ่ นปญั ญา สง่ิ ทปี่ รากฏคอื ความโลภ ปฏบิ ตั มิ าตงั้ หลายวนั ... อยากเห็นน่ัน อยากเห็นนี่ อยากได้มรรคผล เหลือเกิน เพราะฉะน้ัน ต้องถามใจตัวเองว่า เราอยากบรรลุถึงข้ันน้ันข้ันนี้ อยากเห็นนั่น อยากเห็นน่ีหรือเปล่า น่ันคือ ศรัทธามากแต่ ปัญญาน้อย ไม่สมดุล เป็นอุปสรรคให้เกิด 58 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
ความเนน่ิ ช้าในการประพฤติปฏิบัติ ถา้ ปญั ญามาก ศรทั ธานอ้ ย กท็ ำ� ใหเ้ กดิ ความลังเลสงสัยต่างๆ “เราท�ำไปแล้วจะถูก ไหม?” ดงั นนั้ ขอใหห้ ยดุ สงสยั ครบู าอาจารย์ บอกอย่างไร จงท�ำตาม ไม่ต้องสงสัยค�ำพูด ของครบู าอาจารย ์ เกบ็ ความสงสยั เอาไวก้ อ่ น เม่ือเรามีปัญญา จะมาตรวจสอบทีหลังได้ว่า ค�ำพูดของครูบาอาจารย์เป็นสัมมาทิฏฐิหรือ ไม่ ดังน้ัน ศรัทธากับปัญญาต้องเสมอกัน แล้วจะไปได้เร็ว วริ ยิ ากบั สมาธติ อ้ งสมดลุ กนั ถา้ ความ เพียรมากจะฟุ้งซ่าน ถ้าสมาธิน้อยจะคุมจิต ยาก หรือถ้าสมาธิมาก-ความเพียรน้อย จิต นิ่งมากก็จะง่วง เพราะฉะน้ัน ต้องเร่งความ เพยี ร คอื เพม่ิ พลงั ของความเพยี รใหส้ งู ขน้ึ มา 59ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
เท่าสมาธ ิ แลว้ จะไปได้เร็ว ส่วนสติ ท�ำให้ย่ิงใหญ่ ยิ่งมากเท่าไร ก็ยงิ่ ดีเทา่ นน้ั เรามสี ติมากหรือน้อยดูไมย่ าก ขณะที่ท่านบริกรรม “พองหนอ...ยุบหนอ... พองหนอ...ยุบหนอ” สักคร่ึงชั่วโมง ลองดูว่า ครงึ่ ชวั่ โมงน ้ี จติ ของทา่ นระลกึ รอู้ ยกู่ บั หนา้ ทอ้ ง ทพ่ี อง-ยบุ (กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน) เทา่ นน้ั หรือเปล่า หรือว่าครึ่งช่ัวโมงน้ีใจแว่บไปคิด เร่ืองโน้นเรื่องนี้ ท้ังๆ ที่เราก�ำลังบริกรรม กำ� หนดเอาอริ ยิ าบถทเ่ี ปน็ ปจั จบุ นั ถา้ ทา่ นเปน็ อย่างนั้น น่ันคืออาการขาดสติ ท่านต้องท�ำ สตใิ หม้ ากขน้ึ มากขน้ึ ในฐานะทเี่ ปน็ นกั ปฏบิ ตั ิ ผู้บรรยายดูออกว่าใครมีสติแค่ไหน เพราะ พฤติกรรมของแต่ละบุคคลเป็นตัวฟ้อง มีสติ หรือไม่มีสติ...เพียงเห็นเดินมาก็รู้แล้ว เพียง เอ่ยปากพูดก็รู้แล้ว นักปฏิบัติที่มีสติท�ำอะไร 60 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
ย่อมไม่พลาด ท�ำต่อเนื่องได้แบบไม่กระโดก กระเดก ดังน้ัน สติส�ำคัญมาก ท�ำให้ยิ่งใหญ่ เทา่ ไรยงิ่ ดเี ทา่ นน้ั ในขณะตน่ื สตเิ ปน็ ดา่ นหนา้ คอยระลึกได้ทันสิ่งกระทบที่เข้ากระทบจิต สิ่งกระทบจะเข้าทางทวารทั้ง ๖ คือ หู ตา จมูก ล้ิน กาย ใจ สุดแต่จะมีสติระลึกได้ทัน หรอื ไม ่ เมอื่ สตริ ะลกึ ไดท้ นั สตกิ ต็ ง้ั มนั่ สมาธิ เกดิ ตามมาเปน็ อตั โนมตั ิ เมอื่ สมาธเิ กดิ ตามมา ก็เป็นเครื่องมือส�ำหรับใช้พัฒนาปัญญาเห็น แจง้ ใหเ้ กิดขึ้น การเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ โดยพจิ ารณา ตามกฎไตรลกั ษณ ์ เปน็ ทางสปู่ ญั ญาเหน็ แจง้ ผสั สะใดเขา้ กระทบแลว้ ไมเ่ กดิ อนตั ตา ปญั ญา เห็นแจ้งในผัสสะน้ันจะไม่เกิด ผัสสะใดเข้า กระทบแลว้ อนตั ตาได ้ ไมก่ ลบั มาเกดิ อกี ปญั ญา เห็นแจ้งในผัสสะนั้นจะเกิดข้ึน, ผัสสะท่ี ๒ 61ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
เกดิ ขนึ้ แลว้ อนตั ตาได ้ ไมก่ ลบั มาเกดิ อกี ปญั ญา เห็นแจ้งในผัสสะท่ี ๒ เกิดขึ้น เป็นไปเรื่อยๆ อย่างน้ี ปัญญาเห็นแจ้งมีลักษณะ ๒ อย่าง คือ สว่างและคม ในแง่ความสว่าง ปัญญา เหน็ แจง้ สวา่ งยง่ิ กวา่ แสงไฟทน่ี กั วทิ ยาศาสตร์ สรา้ งขน้ึ มา สวา่ งกวา่ แสงดาว แสงจนั ทร ์ และ แสงอาทติ ย ์ แสงแหง่ ปญั ญาสามารถมองทะลุ เข้าไปถึงจิตใจของคน คิดอะไรอยู่ก็รู้ ไปท�ำ อะไรมาก็รู้ คนท่ีฝึกดีแล้ว ปัญญาจะสว่าง อย่างนน้ั ในฐานะทเี่ ปน็ นกั วทิ ยาศาสตร ์ ผบู้ รรยาย วเิ คราะหด์ วู า่ ทำ� ไมจงึ เปน็ อยา่ งนนั้ ได ้ ไมย่ าก เลย คลนื่ จติ ของมนษุ ยเ์ ราละเอยี ดมาก เครอ่ื ง มอื วิทยาศาสตร์ท่ีมีอยู่ในปัจจุบันวัดไม่ได้เลย เมอื่ ใดทเี่ ราสามารถฝกึ จนความถข่ี องคลน่ื จติ คงทไี่ ด ้ (ไมใ่ ชใ่ หญบ่ า้ ง-เลก็ บา้ ง) เรากส็ ามารถ 62 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
เอาคลื่นจิตน้ีไปใช้ประโยชน์ได้มหาศาล เช่น ส่องใจคนได้ รู้เท่าทันสิ่งกระทบทั้งหลาย รู้ เท่าทนั โลกและชีวิต ทัง้ สว่างทงั้ คม สามารถ แกป้ ญั หาไดห้ มดทกุ อยา่ ง ตา่ งกบั ปญั ญาทาง โลก แม้คนที่เรียนจบขั้นปริญญาเอกแล้ว ก็ ยังแก้กิเลสใหญ่ ๓ ตัว คือ โลภ โกรธ หลง ไมไ่ ดเ้ พราะพลงั ยงั ไมถ่ งึ แตเ่ มอ่ื ใดเกดิ ปญั ญา เหน็ แจง้ จะสามารถดบั ความโลภ โกรธ หลง ได้ง่าย วิธีดับกิเลสใหญ่ๆ พวกนี้ไม่ยาก คือ พจิ ารณาขนั ธ ์ ๕ ใหเ้ หน็ วา่ เปน็ ไปตามกฎไตร ลักษณ์ เม่ือใดแต่ละขันธ์อนัตตาได้ ตัวคนก็ ไมม่ ี อตั ตากไ็ มม่ ี (อตั ตา คอื ตวั ตน, คอื ความ เห็นแก่ตัว) กลายเป็นอนัตตาไป เมื่อความ เห็นแก่ตัวดับไป ความเห็นแก่คนอื่นเกิดข้ึน โดยอัตโนมัต ิ ฉะนั้น คนท่ีดับอัตตาได ้ จะไม่ นกึ ถงึ ตวั เอง แตจ่ ะนกึ ถงึ คนอนื่ จะระวงั วา่ เรา จะเบยี ดเบยี นเขาไหม เขาจะเสยี ประโยชนไ์ หม 63ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
คนอยา่ งนจี้ ะพถิ ีพิถันในการด�ำเนินชวี ิต ฉะน้ัน อินทรีย์ท้ัง ๕ ของท่าน ต้อง ปรบั ให้สมดลุ กนั ศรัทธาตอ้ งเสมอกับปัญญา วิริยาต้องเสมอกับสมาธิ สติต้องท�ำให้ยงิ่ ใหญ ่ ยิ่งมากยิ่งดี จะยงิ่ ระลกึ ไดท้ นั ทกุ สงิ่ ทเ่ี ขา้ กระทบจติ สติจะย่ิงใหญ่ได้ ก็ต้องเร่งความเพียร ใหม้ าก บรกิ รรม “พองหนอ-ยบุ หนอ” ใหม้ าก แตส่ ตจิ ะเกดิ ได ้ ตอ้ งเรมิ่ ตน้ มาจากศลี ทบี่ รสิ ทุ ธ์ิ ค่อยๆ ไล่ไป ใช้ปัญญาไต่สวนปรับปรุงแก้ไข ตัวเอง ส่องดูตัวเอง เม่ือท่านมีสติ มีสัมป- ชญั ญะ และมปี ญั ญารเู้ ทา่ ทนั โลกและชวี ติ แลว้ การดำ� เนนิ ชวี ติ ของทา่ นทกี่ ำ� กบั ดว้ ยสตแิ ละ ปญั ญารเู้ ทา่ ทนั จะเปน็ ไปในฝา่ ยกศุ ลทง้ั นนั้ 64 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
ทุกขณะต่ืนท่านด�ำเนินชีวิตอยู่ในฝ่ายกุศล คิดเป็นกุศล พูดเป็นกุศล การกระท�ำเป็น กุศล มีแต่กุศลกรรมล้วนๆ ที่ส่ังสมอยู่ใน ดวงจติ เป็นบญุ ล้วนๆ” 65ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
อนั เนือ่ งดว้ ย พระนางปชาบดโี คตมี ตงั้ แตผ่ บู้ รรยายออกจากวดั เมอื่ ป ี พ.ศ. ๒๕๑๘ อะไรทเ่ี ปน็ อกศุ ล...ไมค่ ดิ ไมพ่ ดู ไมท่ �ำ การท่ี จะปฏบิ ตั เิ ชน่ นไี้ ดต้ อ้ งมสี ตกิ ำ� หนดระลกึ ร ู้ และ ใชป้ ญั ญากำ� กบั เมอ่ื เรายงั อยกู่ บั ครบู าอาจารย์ ท่านบอกให้ท�ำอะไร เราก็ท�ำตาม แต่เมื่อ หา่ งครบู าอาจารย ์ ไมร่ จู้ ะถามใคร ปรกึ ษาใคร เราจะท�ำอย่างไรจึงจะรู้ว่า เราเดินได้ถูกทาง หรือไม่ 67ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
หลักตรวจสอบน้ันมีอยู่ ผู้บรรยายก็ ตรวจสอบตวั เองอยเู่ สมอ หลกั นพี้ ระพทุ ธเจา้ ทรงประทานให้กับพระน้านางปชาบดีโคตมี เรื่องมีอยู่ว่า พระนางทูลขออนุญาตบวชเป็น ภิกษุณีต่อพระพุทธเจ้าถึง ๒ ครั้ง แต่ไม่ทรง อนุญาต หลังจากพระราชทานเพลิงพระศพ พระเจา้ สทุ โธทนะ (พทุ ธบดิ า) แลว้ พระนางได้ ปลงผม และพาเจา้ หญงิ ตา่ งๆ ออกบวชอยา่ ง ไมเ่ ปน็ ทางการ โดยหม่ ผา้ เหลอื งเดนิ พระบาท เปล่าจากเมืองกบิลพัสดุ์ รอนแรมมาจนถึง เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี พระบาทบวมพอง มาถึงกูฏาคารศาลา ได้พบพระอานนท์อยู่ท่ี หน้าประตู พระอานนท์สงสัยว่าพระน้านาง ร้องห่มร้องไห้ด้วยเร่ืองใด จึงสอบถาม ได้ ความว่า ขอบวชเป็นภิกษุณีกับพระพุทธเจ้า ถงึ ๒ ครงั้ แตไ่ มท่ รงอนญุ าต จงึ เสยี พระทยั มาก ทั้งที่ตนเคยเป็นแม่นมเล้ียงเจ้าชายสิท- 68 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
ธตั ถะมาหลงั จากพระนางสริ มิ หามายา (พทุ ธ มารดา) เสดจ็ สวรรคตตงั้ แตเ่ จา้ ชายสทิ ธตั ถะ อายุได้ ๗ วัน พระอานนท์มีความแตกฉาน หลายเรื่อง เมื่อท่านทราบเช่นน้ี จึงรับปาก พระนางปชาบดวี า่ จะไปทลู ถามพระพทุ ธเจา้ ให้วา่ จะไดบ้ วชหรอื ไม่ พระอานนทท์ า่ นรวู้ ธิ ถี าม คนทม่ี ปี ญั ญา จะรู้วิธีถาม พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้หญิง เมื่อประพฤติ ปฏิบัติธรรมแล้ว มรรคผลนิพพานจะเกิดข้ึน ได้หรือไม่? พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์รับว่า ได้ พระอานนท์จึงทูลต่อว่า ในเม่ือผู้หญิง สามารถบรรลุนิพพานได้เหมือนผู้ชาย แล้ว เหตใุ ดเมอ่ื พระนา้ นางปชาบดโี คตมมี าขอบวช จึงไม่ทรงอนุญาต ในที่สุดพระพุทธเจ้าทรง อนญุ าต แตท่ รงตง้ั เงอื่ นไขใหร้ บั ครธุ รรม เสยี 69ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
ก่อน จึงจะบวชได้ พระอานนท์จึงมาบอก พระนางปชาบดโี คตมวี า่ “ผจู้ ะบวชเปน็ ภกิ ษณุ ี ได้ ต้องรับครุธรรม ๘ ประการ ท่านรับได้ หรอื ไม?่ ” พระนางรบั วา่ ได้ เมอื่ รบั ปากวา่ ได้ กถ็ อื วา่ เปน็ การบวชตง้ั แตน่ นั้ เลย มอี ยอู่ งคเ์ ดยี ว ในพระพทุ ธศาสนาทบ่ี วชโดยการรบั ครธุ รรม ๘ ด้วยวาจา ครุธรรม ๘ ได้แก่ ๑. ภกิ ษณุ ี แมจ้ ะบวชมาได ้ ๑๐๐ พรรษา ต้องแสดงความเคารพภิกษุแม้เพิ่ง บวชใหมใ่ นวนั นน้ั ๒. ภกิ ษณุ ีต้องอยูใ่ นวัดที่มภี กิ ษุอยู่ด้วย ๓. ภกิ ษณุ ตี อ้ งเขา้ รบั โอวาทจากภกิ ษทุ กุ กึง่ เดือน ๔. ภกิ ษณุ เี มอ่ื จำ� พรรษา ตอ้ งยอมใหภ้ กิ ษุ และภิกษณุ อี ืน่ วา่ กลา่ วตักเตือนได้ 70 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
๕. ภกิ ษณุ ที ำ� ผดิ วนิ ยั ทม่ี โี ทษหนกั (สงั ฆา- ทเิ สส) ตอ้ งอยกู่ รรมในสงฆท์ ง้ั ๒ ฝา่ ย (คอื ทั้งฝ่ายภกิ ษแุ ละฝ่ายภิกษุณ)ี ๖. ก่อนบวชเป็นภิกษุณี ต้องบวชเป็น สามเณร ี ถอื ศลี ๘ นาน ๒ ป ี แลว้ จงึ บวชเปน็ ภิกษุณกี ับสงฆ์ทง้ั ๒ ฝ่าย ๗. ภิกษุณีต้องไม่ด่าหรือกล่าวให้ร้าย ภิกษุ ๘. ภกิ ษณุ กี ลา่ วสอนภกิ ษไุ มไ่ ด้ แตภ่ กิ ษุ สอนภกิ ษุณไี ด้ ทง้ั ๘ ขอ้ น ี้ ภกิ ษณุ ตี อ้ งถอื ปฏบิ ตั ติ ลอด ชีวติ 71ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
ตรวจสอบตน ด้วยหลกั ๘ ภิกษุณีเม่ือบวชแล้ว ต้องเดินทางธุดงค์ไปฝึก ปฏิบัติอย่างพวกเราน้ี พระนางปชาบดีจึงทูล ถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อห่างครูบาอาจารย์ จะมอี ะไรเปน็ เครอ่ื งวดั วา่ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ธรรมทำ� ถกู หรอื ทำ� ผดิ ? พระพทุ ธเจา้ จงึ ประทาน มาตรวดั ๘ ขอ้ ยามทเ่ี ราหา่ งจากครบู าอาจารย์ ใหเ้ ราใช้หลักธรรมนพี้ ิจารณาวา่ เราปฏบิ ัติได้ ถกู ทางหรอื ไม่ 73ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
หลกั ตัดสนิ ธรรมวินัย ๘ ประการ ๑. ธรรมใด วนิ ยั ใด คำ� สอนใด เมอื่ นำ� ไปประพฤติปฏิบัติแล้ว ท�ำให้ความก�ำหนัด ยินดีเพ่ิมขึ้น ธรรมน้ัน วินัยน้ัน ค�ำสอนน้ัน ไม่ใชข่ องเราตถาคต ๒. ธรรมใด วนิ ยั ใด คำ� สอนใด ทน่ี ำ� ไป ประพฤตปิ ฏบิ ตั แิ ลว้ เปน็ เหตใุ หต้ อ้ งไปเกดิ อกี ในภพต่างๆ ธรรมนั้น วินัยน้ัน ค�ำสอนน้ัน ไม่ใชข่ องเราตถาคต ยกตวั อยา่ งเชน่ บางคน แมป้ ฏบิ ตั ธิ รรม แล้ว ก็ยังเอาข้าวไปถวายพระพุทธเจ้า นี่ยัง เปน็ โลกยี ะ, ฝกึ ไปเหน็ เทวดา นยี่ งั เปน็ โลกยี ะ สิ่งใดท�ำแล้วเป็นเหตุให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ต้ังแต่นรกไปจนถึงพรหม ถือว่าไม่ใช่ เพราะ 74 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
พระพุทธองคส์ อนให้ไมต่ ดิ ในภพ ๓. ธรรมใด วนิ ยั ใด คำ� สอนใด ถา้ นำ� ไป ประพฤติปฏิบัติแล้ว กิเลสเพ่ิม โดยเฉพาะ กิเลสใหญ่ คือ ความโลภ ความโกรธ ความ หลง เพิ่มขึ้น ธรรมนั้น วินัยน้ัน ค�ำสอนน้ัน ไมใ่ ช่ของเราตถาคต บางคนฝึกกรรมฐานไปแล้ว โทสะเพ่ิม มากขนึ้ แสดงวา่ ผดิ ทาง ทา่ นควรถามตวั เอง ว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว ความโกรธลดลงไหม? เรอ่ื งนแี้ กไ้ มย่ ากหากเรามปี ญั ญารเู้ ทา่ ทนั เมอ่ื ประสบกับเหตุที่ท�ำให้โกรธ เม่ือมีเร่ืองขัดใจ ไมว่ า่ จะเปน็ วตั ถสุ ง่ิ ของขดั ใจ หรอื บคุ คลขดั ใจ หากเรามิได้พิจารณาโดยแยบคาย จะเกิด โทสะทงั้ นน้ั ในฐานะทเ่ี ปน็ สาวกของพระพทุ ธ- เจ้า ประพฤติปฏิบัติธรรมตามแนวทางของ 75ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
พระพุทธเจ้าแล้ว ต้องลดความโกรธได้ เม่ือ ประสบสง่ิ ทข่ี ดั ใจ ตอ้ งมสี ตกิ ำ� กบั รเู้ ทา่ ทนั มนั มีปัญญาเห็นแจ้งว่าความโกรธก็เป็นอนัตตา เมื่อรู้เท่าทันแล้ว ความโกรธดับทันที แต่ถ้า โกรธแล้วค้างอยู่ยาวนาน อย่างน้ันผิดทาง ประพฤตธิ รรมแลว้ กเิ ลสตอ้ งลดไป หลดุ ไป เป็นอิสระมากข้ึนๆ จึงจะเรียกว่าด�ำเนินไป ถกู ทาง ๔. ธรรมใด วนิ ยั ใด คำ� สอนใด เมอ่ื นำ� ไปประพฤติปฏิบัติแล้ว ท�ำให้เป็นคนมักมาก กนิ มาก นอนมาก พดู มาก ธรรมนนั้ วนิ ยั นน้ั ค�ำสอนน้นั ไม่ใชข่ องเราตถาคต ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมแลว้ ตอ้ งไมม่ กั มาก ตอ้ ง มกั นอ้ ย กนิ นอ้ ย นอนนอ้ ย พดู นอ้ ย ไมจ่ ำ� เปน็ ไมพ่ ดู ตวั อยา่ งเชน่ เหน็ รถชนกนั พอไปถงึ ท่ี 76 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
ท�ำงานก็เล่าให้เพ่ือนฝูงท่ีท�ำงานฟัง น�ำเร่ือง ไมด่ ไี ปบอกเลา่ ท�ำใหผ้ ู้ฟงั ส่งั สมกิเลสไวใ้ นใจ ผู้บอกเล่าเป็นต้นเหตุต้องรับบาปด้วย แต่คน ท่ีปฏิบัติธรรมแล้วจะมีสติ จะไม่เล่าเรื่องไม่ดี ให้ใครฟงั จะพูดแค่เทา่ ทจ่ี ำ� เป็น ๕. ธรรมใด วนิ ยั ใด คำ� สอนใด เมอ่ื นำ� ไป ประพฤติปฏิบัติแล้ว ทำ� ให้เป็นคนไม่สันโดษ ธรรมนั้น วินัยน้ัน ค�ำสอนนั้น ไม่ใช่ของเรา ตถาคต สนั โดษ คอื พอใจในสง่ิ ทต่ี นเปน็ ตนมี ตนได้รับ ท�ำเต็มที่ ได้แค่ไหน พอใจแค่นั้น เราต้องเข้าใจว่า ของเกา่ ทีแ่ ตล่ ะคนน�ำติดตวั มานน้ั ไมเ่ ทา่ กนั บคุ คล ๒ คนปฏบิ ตั เิ หมอื นกนั เวลาเท่ากัน แต่ได้รับผลไม่เท่ากัน เพราะจิต สั่งสมไว้ไม่เหมือนกัน พวกที่จิตส่ังสมบุญไว้ 77ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
มากกวา่ บาป พวกนไี้ ดผ้ ลเรว็ แตถ่ า้ จติ ดวงใด สงั่ สมขยะไวม้ าก บญุ นอ้ ย พวกนที้ ำ� แทบตาย ไดผ้ ลนดิ เดยี ว บางคนมาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ อตุ สา่ ห์ ท�ำไปต้ัง ๗ วัน ไม่ได้อะไรเลย บางคนบอก ว่า “๗ วัน...ฉันน่าจะได้ถึงข้ันนั้นข้ันนี้” น่ีคิด ผดิ ถนดั เลย เปน็ มจิ ฉาทฏิ ฐ ิ ตอ้ งตง้ั ทฏิ ฐใิ หถ้ กู ท�ำเต็มที ่ ไดแ้ ค่ไหน พอใจแคน่ น้ั ๖. ธรรมใด วนิ ยั ใด คำ� สอนใด เมอื่ นำ� ไปประพฤติปฏิบัติแล้ว ความข้ีเกียจเพิ่มข้ึน ธรรมน้ัน วินัยน้ัน ค�ำสอนน้ัน ไม่ใช่ของเรา ตถาคต ความขเี้ กยี จเพมิ่ เพราะจติ ปรงุ แตง่ ตอ้ ง ใช้พลังมาก พลังในตัวพร่องไปมาก แต่การ ประพฤติปฏบิ ัติเป็นการตดั การปรงุ แตง่ เปน็ การอนุรักษ์พลังงาน ใช้เท่าที่จ�ำเป็น ดังน้ัน 78 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
พลงั งานจงึ พรอ่ งนอ้ ย ความขเ้ี กยี จตอ้ งลดลง ถ้าความขเี้ กียจเพมิ่ แสดงวา่ ปฏิบัติผดิ ทาง ๗. ธรรมใด วนิ ยั ใด คำ� สอนใด เมอื่ นำ� ไปประพฤติปฏิบัติแล้ว เป็นเหตุให้คลุกคล ี ด้วยหมู่คณะ ธรรมนั้น วินัยนั้น ค�ำสอนนั้น ไมใ่ ช่ของเราตถาคต ขอให้ท่านสังเกตดูตนเอง ถ้าประพฤติ ปฏบิ ตั แิ ลว้ กลายเปน็ วา่ ไปไหนคนเดยี วไมไ่ ด้ ท�ำงานคนเดียวไม่ได้ จะต้องมีกลุ่ม ต้องเข้า หมู่ เข้าพวกอยู่ตลอด อันน้ันสวนทาง ไม่ใช่ คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ไมใ่ ชธ่ รรม ไมใ่ ชว่ นิ ยั ของพระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติถูกทางแล้ว จะ เปน็ อสิ ระจากหมจู่ ากพวก จะปลกี ตวั เดยี่ ว ทำ� อะไรด้วยตัวเองคนเดียวได้ 79ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
๘. ธรรมใด วนิ ยั ใด คำ� สอนใด เมอ่ื นำ� ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั แิ ลว้ ทำ� ใหเ้ ปน็ ผเู้ ลย้ี งดยู าก ธรรมนั้น วินัยน้ัน ค�ำสอนน้ัน ไม่ใช่ของเรา ตถาคต ใครปฏิบัติธรรมแล้ว กลายเป็นคนกิน ยาก อาหารนไี้ มอ่ รอ่ ย นน่ั กจ็ ดื ไป เคม็ ไป จะ นอนก็เลือกมาก ขี้ฝุ่นข้ีเท้ามาก ไม่สะอาด... นอนไมไ่ ด้ ตอ้ งอยา่ งนนั้ อยา่ งนี้ เงอื่ นไขมาก นแ่ี สดงว่าผิดทางแน่นอน ในการปฏบิ ตั กิ รรมฐาน สว่ นใหญเ่ ราจะ ตอ้ งอยหู่ า่ งครบู าอาจารย ์ แมก้ ระทงั่ เวลาเรา อยู่ในสถานท่ีปฏิบัติติดต่อกัน ๗ วันอย่างน้ี ครูบาอาจารย์ท่านก็มาร่วมส่ังสอนอบรมได้ ไมน่ านนกั เวลานอกนนั้ เราตอ้ งไปปฏบิ ตั ดิ ว้ ย ตวั เอง ดงั นนั้ เราตอ้ งใชห้ ลกั ธรรมทงั้ ๘ ขอ้ นี้ 80 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
เปน็ เหมอื นคร ู คอยสอ่ งดตู วั เอง เมอื่ ตรวจสอบ ดวู า่ ดำ� เนนิ ถกู ทางแลว้ กข็ อใหท้ ำ� เรอ่ื ยไป แลว้ จะหลุดพ้นเป็นอิสระได ้ กรรมฐานไม่ใช่เรื่อง ยากหากไดค้ รดู แี ละดำ� เนนิ ถกู ทาง วชิ าทพี่ ระ พทุ ธเจา้ สอนมคี รบบรบิ รู ณ ์ แมก้ าลเวลาจะ ผา่ นมานาน เดยี๋ วนกี้ ย็ งั อยคู่ รบ สถานทฝ่ี กึ กเ็ หมาะสม ครฝู กึ กเ็ หมาะสม มพี รอ้ มอยแู่ ลว้ จงเพยี รท�ำเถิด ชวี ิตจะงอกงาม อย่าลืมว่า เมื่อท่านจากโลกน้ีไป ชีวิต ที่ต้องเดินต่อในปรโลกยังอีกยาวไกล อย่าได้ ประมาท หากชีวิตลงต�่ำแล้วพลาดไป กว่า จะกลับข้ึนมาได้น้ันยากมาก ดังนั้น ขอให้ ประคับประคองตัวไว้ให้อยู่ในสุคติภูมิ หรือ สุดท้ายไม่ตอ้ งกลับมาเกิดอีก...เปน็ ดที ่ีสุด” 81ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
กาอ๑ราเ๑นจปริสิญรงสะเก์ขมาอตรงตา (อังคุตตรนกิ าย ทสก-เอกาทสกนิบาต เมตตาสตู ร) ๑. หลบั เปน็ สุข คือ หลบั สบาย หลับสนทิ ๒. ตนื่ เปน็ สขุ คอื เมอ่ื ตน่ื ขนึ้ มากส็ บายตวั สบาย ใจ หายออ่ นเพลยี ไมม่ อี าการง่วงตดิ ต่ออีก ๓. ไม่ฝนั ร้าย คอื จะไม่ฝนั เห็นส่งิ เลวร้ายทำ� ให้ สะดงุ้ ตน่ื กลางคนั หรอื ไมฝ่ นั หวาดเสยี วตา่ งๆ ๔. เปน็ ทรี่ กั ของคนทวั่ ไป คอื จะเปน็ คนมเี สนห่ ์ ไปที่ใดก็ปราศจากศัตรูผู้คิดร้าย แม้ผู้ไม่ ชอบใจก็จะกลับมาชอบได้ ๕. เปน็ ทร่ี กั ของอมนษุ ยท์ ว่ั ไป คอื แมส้ ตั วต์ า่ งๆ ก็รักผู้แผ่เมตตา ไม่ขบกัด ไม่ท�ำร้าย ท�ำให้ ปลอดภัยจากเขีย้ วงาทกุ ชนดิ ๖. เทวดารกั ษาคมุ้ ครอง คอื จะเดนิ ทางไปไหน มาไหนเทวดาจะคุ้มครองให้ความปลอดภัย 82 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
ตลอดเวลา จะไมป่ ระสบอปุ ทั วภยั ตา่ งๆ ทง้ั ทางบก ทางน้ำ� และทางอากาศ ๗. ไฟ ศาสตรา ยาพษิ ไมแ่ ผว้ พาน คอื สงิ่ เหลา่ นี้ จะท�ำอนั ตรายมิได้ ๘. จติ เปน็ สมาธเิ รว็ คอื ผแู้ ผเ่ มตตาเปน็ ประจำ� ถา้ ทำ� สมาธิ จติ จะสงบน่งิ ได้เรว็ ๙. หนา้ ตาผวิ พรรณจะผอ่ งใส คอื ผมู้ เี มตตาจติ เปน็ ประจำ� หนา้ ตาและผวิ พรรณจะมนี ำ�้ มนี วล มเี สนห่ ์ ๑๐. ไม่หลงเวลาตาย คือ เวลาใกล้ตาย จะไม่ หลงเพอ้ ละเมอ หรอื โวยวายอยา่ งนน้ั อยา่ งน้ี หรือไม่ด้ินทุรนทุรายเป็นท่ีน่าเวทนาของผู้ พบเหน็ จะสน้ิ ใจอยา่ งสงบเหมอื นนอนหลบั ไป ฉะน้นั ๑๑. เม่ือไม่อาจบรรลุธรรมช้ันสูง ย่อมเข้าถึง พรหมโลก คอื ผมู้ เี มตตาจติ เปน็ ประจ�ำ แม้ ไมไ่ ดบ้ รรลธุ รรมชนั้ สงู ขนึ้ ไปกวา่ น ้ี กย็ อ่ มจะ ไปบงั เกดิ ในพรหมโลกอนั เปน็ ทเี่ กดิ ของผไู้ ด้ ฌาน 83ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
ผลของการเจริญ วปิ สั สนากรรมฐาน ๑. สตฺตานํ วิสุทฺธิยา เพอื่ ความบรสิ ทุ ธหิ์ มดจดของสตั วท์ ง้ั หลาย ๒. โสกปรเิ ทวานํ สมติกฺกมาย เพอ่ื ก้าวลว่ งความโศกเศรา้ ปรเิ ทวนาการทั้งหลาย ๓. ทกุ ฺขโทมนสฺสาน ํ อตฺถงคฺ มาย เพือ่ ดับทกุ ข์ทางกายและดับทกุ ข์ทางใจ ๔. ญายสสฺ อธคิ มาย เพอ่ื บรรลุมรรค ๔ ผล ๔ ๕. นิพพฺ านสฺส สจฺฉกิ ิริยาย เพอ่ื กระทำ� พระนิพพานใหแ้ จง้ 85ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
ประวัตขิ อง อาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ดร. สนอง วรอุไร เกิดที่ต�ำบลคลอง หลวงแพ่ง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นบุตรคนที่ ๖ ในจำ� นวนพนี่ อ้ งทงั้ หมด ๘ คน เรยี นจบชน้ั มัธยมศึกษาจากโรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัย ส�ำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาพืช และปรญิ ญาโท สาขาเชอ้ื รา จากมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ เมื่อบรรจุเข้าเป็นอาจารย์ประจ�ำคณะ วทิ ยาศาสตร ์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหมร่ นุ่ บกุ เบกิ 86 ก ร ะ จ ก ส ่ อ ง ก ร ร ม ฐ า น
แล้ว ได้รับทุนโคลัมโบ ไปศึกษาต่อระดับ ปรญิ ญาเอก สาขาไวรสั วทิ ยา ณ มหาวทิ ยาลยั ลอนดอน ประเทศองั กฤษ ใชเ้ วลาศกึ ษา ๔ ปี จึงส�ำเรจ็ กลับมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ กอ่ นเปดิ ภาคเรยี น ไดใ้ ชเ้ วลาวา่ งไปอปุ - สมบททวี่ ดั ปรนิ ายก แลว้ ไปฝกึ วปิ สั สนากรรม ฐานกับพระเทพสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) ทคี่ ณะ ๕ วดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฏิ์ เพื่อพิสจู น์สจั ธรรมของพระพทุ ธองค์ ตลอดเวลา ๑ เดือนกับอีก ๑๓ วัน ที่ ทา่ นตงั้ ใจปฏบิ ตั อิ ยา่ งเตม็ ท ี่ ทา่ นไดร้ บั ประสบ การณท์ างจติ มากมาย ทำ� ใหส้ นิ้ สงสยั ในพระ รตั นตรยั และเปลย่ี นวถิ ชี วี ติ มาชนี้ ำ� ทางสสู่ คุ ติ ภูมิแก่เพ่ือนสหธรรมิก อีกท้ังยังเป็นอาจารย์ พิเศษถวายความรู้แด่พระสงฆ์เรื่อยมาจนถึง ปจั จุบัน” 87ด ร . ส น อ ง ว ร อ ุ ไ ร
อนวสฺสุตจติ ฺตสฺส อนนวุ าหตเจตโส ปญุ ฺญปาปปหีนสสฺ นตถฺ ิ ชาครโต ภยํ ฯ ๓๙ ฯ ผมู้ ีสตติ ื่นตวั อยู่เนืองนิตย์ มีจติ เป็นอิสระจากราคะและโทสะ ละบุญและบาปได้ ยอ่ มไม่กลัวอะไร พทุ ธพจน์
Search