๔๙ พระกัมมัฏฐานาจรยิ ะ อู บัณฑติ าภิวงั สะ ชายสานตะกรารับเงินมาดวยความขอบคณุ เนือ่ งจาก เขาไมเ คยมเี งินถงึ ๑,๐๐๐ เหรยี ญมากอ นในชวี ิต เขานำมันกลับ ไปทีก่ ระทอมของตน และเริ่มกงั วลวา จะเกบ็ ไวท่ีไหนดี เขารูส กึ วา กระทอ มไมป ลอดภยั พอ เขาจงึ นอนไมห ลบั ทงั้ คืน ดวยความ วติ กวา โจรหรือแมแตหนูอาจมาขโมยหรือกัดแทะเงนิ กอ นนี้ วันรุง ขนึ้ เขากเ็ อาเงิน ๑,๐๐๐ เหรยี ญ ไปทำงานดวย แต เขากไ็ มอาจรองเพลงหรือผวิ ปากได เพราะมัวแตว ติ กกังวลเร่อื ง เงินน้ัน อีกคนื หนงึ่ เขาก็ไมอาจหลับตาลงได ในวันรุงข้ึน เขาจึงนำ เงินไปคนื เศรษฐีผนู ั้น โดยกลาววา “เอาความสุขของผมคืนมา” ผูปฏิบัติอาจคิดวา พระพุทธศาสนาไมสงเสริมใหคน แสวงหาความรู หรือเกียรติยศ หรือทำงานหนักเพื่อหาเงิน มาสนับสนุนครอบครัวตนเอง และเพื่อนฝูง ตลอดจนบริจาค ใหแ กก จิ กรรม และสถาบันท่ีทำคณุ ประโยชน มใิ ชเลย ศาสนา พุทธสนับสนุนใหคนใชประโยชนจากชีวิต ความรูและสติปญญา อยา งเต็มท่ี ตราบเทา ที่เขาแสวงหาส่ิงเหลา นีม้ าอยา งถูกกฎหมาย และซอ่ื สตั ย ประเด็นก็คือ ใหพอใจในสิ่งที่ตนมี อยาเปน ทาสของ ตณั หา ใหหมนั่ คำนงึ ถงึ จดุ ออ นของชีวิต เพอื่ ทเ่ี ราจะไดสรางคณุ ประโยชนจ ากรา งกายและชวี ติ กอนทเี่ ราจะลมปวย หรอื แกเกนิ ไปท่ีจะปฏบิ ตั ิ และทิง้ รา งอันเปนซากศพท่ีไรคาน้ไี ป
๕๐ ปจจัยท่ี ๘ อดทนและบากบัน่
๕๑ พระกมั มัฏฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภิวงั สะ ปจจัยประการท่ี ๘ ไดแก ความอดทนและบากบ่ัน หากเราปฏิบัติอยางอาจหาญ ไมคำนึงถึงรางกายหรือชีวิต เรา ก็จะสามารถพัฒนาพลัง ที่จะผลักดันเราข้ึนสูการปฏิบัติ ขั้นสูง เพอ่ื ความหลดุ พน ทศั นคตทิ กี่ ลา หาญเชน น้ี นอกจากจะเปน ปจ จยั ท่ีสนับสนุนประการที่ ๗ ของการเจริญพละดังกลาวแลว ยังกอ ใหเ กิดปจ จัยประการที่ ๘ ซงึ่ หมายถงึ ความอดทนและบากบน่ั อกี ปจจยั หนึง่ โดยเฉพาะเวลาตองสูกับความเจบ็ ปวดในรางกาย โยคีทุกคนเคยประสบกับทุกขเวทนาในการน่ังวิปสสนา มาแลว จากการท่ีจิตตองเปนทุกข เพราะความเจ็บปวดเหลานี้ และการที่จติ ด้นิ รน จากการถกู ควบคมุ ในระหวางการปฏบิ ัติ การจะนั่งใหไดสักหนึ่งชั่วโมง ตองอาศัยความพยายาม อยางสูง เบื้องตนเราจะตองพยายามรักษาใจใหอยูกับเปาหมาย หลกั ในการกำหนดใหม ากทสี่ ดุ เทา ทจ่ี ะทำได การยบั ยง้ั และควบคมุ นี้อาจทำใหจิตถูกบีบคั้นไดมาก เนื่องจากจิตคุนเคยกับการ โลดแลน ไปในทต่ี า งๆ การพยายามรกั ษาสมาธิ ทำใหเ กดิ ความเครยี ด อันเกิดจากการดิน้ รนของจิตนี้ เปนความทกุ ขอกี ประเภทหนงึ่ เมื่อจิตด้ินรนมากเขา รางกายก็จะเริ่มมีอาการตาม ไปดวย ความเครียดจะเกิดขึ้น ความทุกขจากการด้ินรนของจิต รวมกับเวทนาทางกาย ก็นับวาเปนงานท่ีหนักเอาการอยู จิตใจ ที่บีบคั้นและรางกายที่เครงตึง อาจทำใหผูปฏิบัติไมสามารถเฝา
๕๒ ดูความเจ็บปวดตรงๆ ได จิตใจจะเร่ิมหวั่นไหวดวยความรูสึก ผลกั ไสและความโกรธ คราวนคี้ วามทุกขก ลายเปนสามเสา คือ จติ ที่ดิ้นรนในตอนแรก ความเจ็บปวดทางกาย และความทุกขใจท่ี เกดิ จากทุกขท างกาย นี่เปนโอกาสท่ีจะนำปจจัยประการที่ ๘ ในการพัฒนา พละมาใช คือความอดทนและบากบ่ัน ใหโยคีพยายามจับตา ดูความเจ็บปวดโดยตรง หากผูปฏิบัติไมพรอมท่ีจะเผชิญหนา กับความเจ็บปวดอยู “โอ...ฉันเกลียดความปวดจริง ๆ อยากให สบายเหมือนเม่ือสัก ๕ นาทที ่ผี านมาจงั ” เมอ่ื เผชิญหนากับความ โกรธและความโลภ หากปราศจากความอดทน จิตก็จะสับสน และตกเปนเหยื่อของโมหะ ไมสามารถกำหนดอะไรไดชัดเจน ไมอาจมองเหน็ ลักษณะของความปวดทีแ่ ทจริงได ในกรณีเชนนี้ ผูปฏิบัติอาจคิดวาเวทนาเปนเสี้ยนหนาม เปนอุปสรรคของการปฏิบัติ ผูปฏิบัติอาจจะอยากขยับตัวเพื่อ ใหสมาธิดีข้ึน แตหากขยับตัวจนเปนนิสัย การปฏิบัติก็จะ ไมกาวหนา ความสงบและสมาธิของจิตมีพ้ืนฐานมาจากกายท่ี สงบนง่ิ อัน ท่ี จริง การ เคล่ือนไหว อยู เสมอ เปน วิธี ท่ี ดี ใน การปดบังลักษณะท่ีแทจริงของความเจ็บปวด ความปวดอาจ
๕๓ พระกัมมฏั ฐานาจริยะ อู บัณฑิตาภวิ งั สะ ปรากฏอยูตรงหนาผูปฏิบัติอยางเดนชัดท่ีสุด ในประสบการณ ทั้งหลาย แตผูปฏิบัติกลับเคล่ือนไหว เพื่อจะไดไมตองมองเห็น ความปวดนน้ั ผปู ฏิบตั จิ ะเสียโอกาสสำคญั ในการเขาใจวา จรงิ ๆ แลว ความเจบ็ ปวดคอื อะไร ความจริง เราก็อยูกับความเจ็บปวดมาตั้งแตเกิด มัน อยูใกลชิดกบั ชวี ติ ของเรา แลวจะวงิ่ หนีมันไปทำไม ถา หากความ เจบ็ ปวดเกดิ ขน้ึ จงเฝา ดมู นั ราวกบั โอกาสทมี่ คี า ทจ่ี ะเขา ใจบางอยา ง ทคี่ ุนเคยใหถอ งแทแ ละในแงม มุ ท่ลี ึกซงึ้ ขึน้ ในขณะท่ีมิไดปฏิบัติอยู บอยครั้งเราก็สามารถฝกความ อดทนตอความรูสึกเจ็บได โดยเฉพาะเมื่อกำลังทุมเทความสนใจ ใหกับอะไรบางอยางท่ีเราชอบ เชนคนท่ีชอบเลนหมากรุก ก็อาจ นั่งจองมองกระดานหมากรุกขณะที่ฝายตรงขามกำลังรุกฆาต บุคคลน้ันอาจน่ังมาแลว ๒ ช่ัวโมง แตก็ไมรูสึกถึงตะคริวที่เกิด ขึ้น เนื่องจากกำลังคิดหาทางออกจากสถานการณอันจนแตมนั้น จิตใจจะจับจอ งอยูท คี่ วามคดิ น้ัน และหากมีความเจ็บปวดอยูบาง กอ็ าจไมใสใจจนกวาจะบรรลุถึงจดุ หมาย ในการปฏิบัติธรรมนั้น ความอดทนยิ่งมีความสำคัญมาก ข้ึนไปอีก เพราะเปนการพัฒนาปญญาที่สูงสงยิ่งกวาการเลน หมากรุก และทำใหเ ราพน จากความหายนะอยา งแทจ รงิ
๕๔ กลยุทธในการตอ สูความเจ็บปวด ความสามารถในการหย่ังรูธรรมชาติอันแทจริงของ สรรพสิ่ง ขึ้นอยูกับระดับสติและสมาธิที่ผูปฏิบัติสามารถพัฒนา ข้ึนได ย่ิงจิตสามารถรวมเปนหนึ่งไดมากเทาใด จิตก็จะมีความ สามารถในการหยง่ั รู และทำความเขาใจสจั ธรรมไดม ากขน้ึ เทา นน้ั โดยเฉพาะเม่ือเรากำลังเผชิญอยูกับความเจ็บปวด หากสมาธิ ออนแอ เราก็ไมอาจรับรูไดถึงความรูสึกไมสบาย อันปรากฏท่ี รางกายของเราอยูตลอดเวลา เมื่อมีสมาธิดีขึ้น แมแตความเจ็บ ปวดเล็กนอย ก็มีความชัดเจนราวกับผานแวนขยายจนเกินจริง มนษุ ยสว นใหญ มสี ายตาสนั้ ในเรอ่ื งนี้ หากปราศจากแวน ขยาย คือ สมาธิ โลกก็จะดูมัว ๆ เบลอ ๆ และไมชัดเจน แตเมื่อเรา สวมแวน (มีสมาธิ) ส่ิงตาง ๆ ก็สวางไสวและชัดเจน ทั้งที่วัตถุ นั้นมิไดเปลี่ยนแปลงแตอยางไร ส่ิงที่เปลี่ยนคือความคมชัดของ สายตาเราน่ันเอง เม่ือเรามองดูหยดนำ้ ดว ยตาเปลา เราก็ไมเ ห็นอะไรมาก นัก แตถานำหยดน้ำไปสองดูดวยกลองจุลทรรศน เราก็จะเห็น
๕๕ พระกัมมัฏฐานาจรยิ ะ อู บัณฑติ าภวิ ังสะ หลายสิ่งหลายอยาง บางอยางกำลังเคลื่อนไหวเตนไปมาอยาง นาสนใจ ถาหากเราสามารถสวมแวนแหงสมาธิในระหวางการ ปฏิบัติธรรม เราจะประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อยาง ที่เกิดขึ้นในจุดที่เจ็บปวด ที่ดูเหมือนแนน่ิงและไมนาสนใจ ยิ่งสมาธิหยั่งลึกลง ความเขาใจในความเจ็บปวดก็จะย่ิงสูงขึ้น ผูปฏิบัติจะรูสึกต่ืนใจที่พบวา ความจริงแลวความเจ็บปวดนี้มีการ แปรปรวนตลอดเวลา จากความรูสึกแบบหน่ึงไปเปนอีกแบบหน่ึง เปล่ียนแปลงไป ลดลง เพ่ิมขึ้น ผกผัน และเคลื่อนยายไปมาได สมาธิและสติจะยิ่งหย่ังลึกลง และมีความเฉียบคมมากขึ้น และ เม่ืออาการเหลาน้ีถึงจุดนาสนใจท่ีสุดแลว ทันใดน้ัน ความรูสึกก็ จะขาดหายไปราวกับมานเวทีการแสดงไดปดลง และความปวดก็ หายไปอยางอัศจรรย ผปู ฏิบตั ิท่ขี าดความกลา หรือความเพยี รที่จะเฝา ดคู วาม เจ็บปวด จะไมมวี ันเขาใจความจรงิ ทีซ่ อ นเรน อยใู นความเจบ็ ปวด เราจึงตอ งสรางความกลา ในจติ ใจ มคี วามพยายามอยางเดด็ เดยี่ ว ท่จี ะเฝาดูความเจบ็ ปวด เราตองเรียนรูทจี่ ะไมวิ่งหนคี วามเจ็บปวด แตม ุง หนาเขา หามนั ตรง ๆ เม่ือความเจ็บปวดเกิดข้ึน กลยุทธแรกคือใหกำหนดจิต มุงไปที่ความเจ็บปวดโดยตรง และเขาไปยังศูนยกลางของความ
๕๖ เจบ็ ปวดนั้น ผูปฏบิ ตั จิ ะพยายามหยง่ั ใหถ ึงรากของมัน ดูความเจบ็ ปวดอยางท่ีมันเปน กำหนดอยางตอเน่ือง พยายามหย่ังลึกเขาไป ในความเจ็บปวด โดยไมตอ งมปี ฏกิ ิริยาตอบโตใ ด ๆ บางครั้ง เม่ือผูปฏิบัติพยายามมาก ๆ ก็อาจเหน่ือยลา ความเจ็บปวดอาจทำใหหมดแรงได เชนเดียวกันหากผูปฏิบัติ ไมสามารถรักษาระดับความเพียร สติ และสมาธิไว ในระดับท่ี เหมาะสมได ก็ถงึ เวลาทจ่ี ะถอนจิตออกมา กลยุทธท่ีสอง ในการจัดการกับความเจ็บปวดก็โดยการ เลนกับมัน ผูปฏิบัติจะเขาไปหาความเจ็บปวด แลวผอนคลาย จติ ลง เอาจติ จบั ที่ความเจบ็ ปวด แตล ดความเขม ขน ของสตแิ ละ สมาธลิ งเบาๆ วธิ นี ที้ ำใหจ ติ ไดพ กั ผอ น เสรจ็ แลว กก็ ลบั เขา ไปดคู วาม เจ็บปวดอยางใกลชิดอีกคร้ัง และหากยังไมประสบความสำเร็จ กถ็ อยออกมาอกี เขา ไปกำหนดแลว ถอยออกมาเชนน้ี ๒-๓ คร้งั หากความเจ็บปวดรุนแรงมาก และพบวาจิตตึงเครียด รูสึกบีบค้ัน แมวาจะไดใชกลยุทธตาง ๆ แลว ก็ถึงเวลาท่ีจะหยุด พัก แตมิไดหมายถึงการเคล่ือนไหวกายในทันที แตใหปรับสิ่งที่ สติเขาไปรับรูกอน โดยไมสนใจความเจ็บปวด ใหหันไปกำหนด พองยุบ หรอื เปา หมายอน่ื ๆ ท่ใี ชก ำหนดอยู พยายามทำใหส มาธิ ต้งั มน่ั ใหมากท่สี ดุ จนไมร สู กึ ถงึ ความเจบ็ ปวดนนั้
๕๗ พระกัมมฏั ฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภวิ งั สะ การรักษาโรคทางรางกายและจิตใจ ผูปฏิบัติตองพยายามเอาชนะความออนแอของจิตใจทุก รูปแบบดวยความเขมแข็งกลาหาญราววีรบุรุษเทาน้ัน ผูปฏิบัติ จึงจะสามารถเอาชนะความเจ็บปวด และเขาใจมนั อยางทม่ี นั เปน จรงิ ๆ ความรสู กึ ทที่ นไดย ากอาจเกดิ ขน้ึ ไดเ สมอระหวา งการปฏบิ ตั ิ โยคเี กอื บทกุ คนจะเหน็ ความทกุ ขท างกายของตนซง่ึ มอี ยตู ลอดชวี ติ ไดอยางชดั เจน โดยไดรบั การขยายดวยพลงั ของสมาธิ ในระหวา ง การปฏิบัติเขม ความเจ็บปวดจากแผลเกาเคราะหกรรมสมัยเด็ก หรือความเจ็บปวดในอดีต ก็อาจหวนกลับคืนมาได การเจ็บปวย ในขณะนั้น หรือกอนหนานั้นไมนาน อาจเลวลงอยางกะทันหัน หากสง่ิ เหลา นี้เกดิ ขน้ึ ผปู ฏิบัติควรคิดวาเปนโชคของตน กลาวคือ ผูปฏิบัติมีโอกาสท่ีจะรักษาความเจ็บปวย หรืออาการเร้ือรังได ดวยความพากเพียรอันแรงกลาของตนเอง โดยไมตองอาศัย ยาแตอยา งไร โยคหี ลายคนสามารถเอาชนะปญหาสขุ ภาพของตน ดว ยการปฏบิ ตั กิ รรมฐานแตเพียงอยางเดยี ว ประมาณ ๑๕ ป มาแลว มีชายคนหน่ึงปวยเปนโรค ลมในระบบทางเดินอาหารมาเปนเวลานาน เมื่อไปพบแพทย
๕๘ หมอบอกวาเขาเปนเนื้องอกและตองทำการผาตัด ชายคนน้ีกลัว วาการผาตัดอาจลม เหลว และเขาจะตองตาย ดังน้ันเขาจึงตัดสินใจเขามาปฏิบัติกรรมฐานกับอาตมา ในไมช าเขากร็ สู ึกเจบ็ ปวดอยางรุนแรง ตอนแรก ๆ ก็ไมม าก แต เมือ่ การปฏิบตั ขิ องเขาคบื หนา จนถงึ ญาณทีห่ ย่งั รคู วามเจ็บปวด อยา งชดั เจน เขารสู กึ ทรมานอยา งสาหัส เขารายงานใหอาตมาฟง อาตมาบอกเขาวา ถา เขาอยากกลบั บาน ไปหาหมอก็ได แตอาตมา อยากใหเขาอยูอกี ๒-๓ วนั เขาคดิ ดวู า การผา ตัดก็ไมอ าจรับประกนั ไดว า เขาจะ ไมตาย เขาจงึ ตดั สนิ ใจทจ่ี ะปฏิบัติตอ ไป เขาตองทานยา ๑ ชอ น ชาทกุ ๆ ๒ ช่วั โมง บางทคี วามเจ็บปวดกำเริบจนทนไมได บางที เขากส็ ามารถกำราบมนั ได มนั เปนการตอ สทู ีย่ าวนาน มีทง้ั แพ และชนะ แตเ ขาเปน คนมคี วามกลา หาญมาก ในระหวางการน่ังสมาธิคราวหน่ึง ความปวดรุนแรง ทำใหรางของเขาส่ันเทา เสื้อผาชุมไปดวยเหงื่อ เขารูสึกวา เนื้องอกน้ันแข็งมากข้ึนเรื่อย ๆ มีความบีบคั้นมากข้ึนตามลำดับ ทนั ใดน้ัน การรับรเู ก่ียวกบั ทองของเขาหายไป มแี ตค วามรู และ กอนความเจ็บปวด มันเจ็บมากแตก็นาสนใจมาก เขาเฝาดูมัน โดยมแี ตจ ติ ท่รี ู กบั ความเจ็บปวดเทา น้ันที่รนุ แรงขึน้ เรอื่ ยๆ
๕๙ พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภวิ งั สะ ทันใดน้นั กเ็ กิดการระเบิดขนึ้ โยคผี นู ้ันกลาววา เขาไดยนิ เสียงระเบิดที่ดังมาก หลังจากนั้น ทุกส่ิงทุกอยางก็จบลง เขาลุก ขึ้นดวยเหง่ือที่ทวมตัว เขาเอามือคลำที่ทองแตตรงบริเวณที่เคย เปนเน้ืองอกน้ัน มันหายไป เขาหายจากโรคน้ันโดยส้ินเชิง และ ยง่ิ ไปกวานนั้ เขาไดป ฏบิ ตั ิจนไดเ ห็นพระนิพพานดวย หลงั จากน้นั ไมน าน ชายคนนั้นก็จากศนู ยปฏบิ ัตไิ ป อาตมาขอใหเ ขาบอกใหอาตมาทราบดวย วา หมอวา อยางไร คุณ หมอตกใจมากทเี่ หน็ วา เน้อื งอกหายไป ชายคนน้นั เลิกควบคุม อาหารทกี่ ระทำมา ๒๐ ป และยงั มีชวี ิตอยจู นถงึ ทกุ วนั นี้ และมี สขุ ภาพดี แมแ ตค ณุ หมอก็เขามาปฏิบตั วิ ปิ ส สนาดวย อาตมาไปพบกบั คนจำนวนมาก ทหี่ ายจากอาการปวดหวั เรื้อรัง โรคหัวใจ วณั โรค แมแ ตม ะเรง็ และอาการบาดเจ็บรนุ แรง จากสมยั เดก็ ๆ บางคนหมอไมร ับรักษาแลว ทกุ ๆ คนตองเผชญิ ความเจ็บปวดที่รุนแรง และพวกเขามีความบากบัน่ และกลา หาญ จนรักษาตนเองได ที่สำคัญ หลายคนไดรับความรู ความเขาใจ สจั ธรรมทลี่ กึ ซงึ้ มากขนึ้ ดว ยการเฝา ดคู วามเจบ็ ปวดดว ยความกลา หาญจนไดญ าณทศั นะ ผูปฏิบัติไมควรทอถอยจากอาการเจ็บปวด แตควรมี ศรัทธาและความอดทนบากบ่ัน จนกวาจะเขาใจธรรมชาติที่แท จริงของตนเอง
๖๐ ปจ จัยท่ี ๙ ปฏปิ ทาทีไ่ มห วัน่ ไหว
๖๑ พระกัมมฏั ฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภวิ งั สะ ปจ จัยประการที่ ๙ ทจี่ ะนำไปสูความเจรญิ ของพละ กค็ ือ จติ ใจทีจ่ ะทำใหเรามุง เดนิ หนา อยางไมวอกแวก หรอื ยอม พา ยแพ จนกวาจะบรรลเุ ปา หมาย อะไรคอื เปา หมายของการปฏบิ ตั ิ เรามาศกึ ษา ศลี สมาธิ ปญ ญา ทำไม การเขา ใจจดุ มงุ หมายของการปฏบิ ตั เิ ปน เรอ่ื งสำคญั แตที่สำคัญกวานั้น เราตองซื่อสัตยกับตนเอง เพื่อท่ีเราจะไดรู ปฏิปทาของตนเอง ในการบรรลุเปาหมายท่ีวาน้ัน มีมากนอย เพียงไร
๖๒ กุศลกรรมและศักยภาพของมนุษย เราลองมาพิจารณาศีลดู การไดมีโอกาสอันประเสริฐท่ี ไดเกิดมาเปนมนุษย และเขาใจวา โอกาสน้ีมาจากกุศลกรรมแลว เราควรทจ่ี ะพยายามใชช วี ติ ใหเ ตม็ ศกั ยภาพสงู สดุ ของมนษุ ย ความ หมายอันเปนนัยยะทดี่ ีงามของคำวา “มนุษย” กค็ ือ ความเมตตา และความกรุณาอันสูงสง มนุษยทุกคนก็ควรที่จะพยายามรักษา คุณสมบัติขอนี้ใหสมบูรณมิใชหรือ หากเราสามารถปลูกฝงความ เมตตากรุณาข้ึนในจิตใจ เราก็จะมีชีวิตอยูไดอยางกลมเกลียว และมีความสุข คุณธรรมเกิดจากการคำนึงถึงความรูสึกของ สงิ่ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ ทง้ั ผอู น่ื และตนเอง การทค่ี นเรามศี ลี ธรรม ไมเ พยี ง แตไ มเ บยี ดเบยี นผอู น่ื เทา นน้ั แตย งั ปกปอ งตนเองจากความทกุ ขใ น อนาคต เราทง้ั หลายควรทจี่ ะหลกี เลย่ี งการกระทำทมี่ ผี ลเสยี และ ประกอบแตก ุศลกรรม ซึง่ จะชว ยใหเราพน ทุกขอยางถาวร กรรม เปน ทรัพย สมบัติ ที่แท จริง ของ เรา เพี ยง อยาง เดียว จะเปนประโยชนอยางยิ่งหากเรายึดแนวคิดเชนนี้ เปน หลักของความประพฤติ การปฏิบัติธรรม และเปนหลักของชีวิต
๖๓ พระกัมมฏั ฐานาจริยะ อู บณั ฑิตาภิวังสะ ไมวากรรมดีหรือกรรมช่ัว กรรมจะติดตามเราไปทุกหนทุกแหง ในชาตนิ แ้ี ละชาตหิ นา นกั ปราชญย อ มสรรเสรญิ และเมตตาเรา และ เราจะมุง หวงั ความสขุ ไดท ัง้ ชาตินีแ้ ละชาติตอ ๆ ไป จนกวา จะถงึ พระนิพพาน การประกอบอกุศลกรรม ทำใหเสื่อมเกียรติ และเสีย ชอ่ื เสียงแมในชาตินี้ นักปราชญจะตำหนิ ดูหม่นิ เรา และเรากไ็ ม อาจหลีกพน ผลของกรรมนั้นในอนาคต เนอื่ งจาก กรรม อาจกอ ใหเ กดิ ทง้ั ผลดแี ละผลเสยี กรรม จึงอาจเปรียบไดกับอาหาร อาหารบางชนิดมีความเหมาะสม และชวยบำรุงสุขภาพ ในขณะท่ีอาหารบางประเภทเปนพิษตอ รา งกาย หากเรารวู า อาหารชนดิ ใดมคี ณุ คา และรบั ประทานอาหาร นั้นในเวลาและปริมาณที่เหมาะสม เราก็จะมีชีวิตที่ยืนยาวและ มีความสุข ในทางกลับกัน หากเราไมอาจอดกล้ันความย่ัวยวน ของอาหารที่ทำลายสุขภาพและเปน พิษ เราก็ตองรบั ผล เราอาจ เจบ็ ปว ย และทุกขท รมาน และอาจตายได
๖๔ กัลยาณกิจ การใหทาน หรือความใจกวางจะชวยลดความโลภ ในจิตใจ ศีล ๕ ชวยควบคุมอารมณ และกิเลสอยางหยาบใน สว นของความโลภและความโกรธได ดวยการรกั ษาศลี น้ี จติ ใจจะ ไดรับการควบคุมในระดับที่ไมใหเกิดผลทางกาย หรือแมแตทาง วาจาได ผูท่ีรักษาศลี อยา งเครงครัด กจ็ ะเปนผูนาเคารพ แมว า จติ ใจอาจเต็มไปดว ยความทุกข ทรมานจากความรอ นใจ ความ โกรธ ความโลภ และเลหเพทบุ ายตา ง ๆ ท่ียงั มีกำลงั มาก ดงั นน้ั ในขัน้ ตอ ไปจงึ ตอ งมีการภาวนา ซ่ึงเปน ภาษาบาลี หมายถงึ การ พัฒนาจติ ใจใหดีงาม โดยสวนแรกของการภาวนาคอื การปอ งกัน อกศุ ลจติ มใิ หเกิดขน้ึ และสว นที่สอง คอื ทำใหเ กดิ ปญ ญาในขณะท่ี จิตปราศจากอกศุ ลแลว
๖๕ พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บัณฑิตาภวิ ังสะ ความสขุ จากสมาธิและวปิ สสนกู เิ ลส สมถภาวนา หรอื การเจรญิ สมาธิ มีพลงั ทจ่ี ะทำใหจติ สงบ วเิ วก และหางไกลจากกเิ ลส โดยกดขม กิเลสไว ไมใ หสง ผล ราย สมถภาวนามไิ ดมีเฉพาะในพระพทุ ธศาสนา แตม ใี นศาสนา อ่นื ดวย เชนศาสนาฮินดู สมาธิเปน การปฏบิ ตั ิอันนาชมเชย โดย ผปู ฏิบตั ิสามารถทำจติ ใหบ รสิ ุทธิ์ได ในระหวางที่จิตจดจอ อยู กับเปา หมายของการทำสมาธิ ผปู ฏบิ ตั จิ ะสามารถบรรลุถึง ปติ ความสขุ และความสงบอยางลกึ ซึง้ บางครั้งพลงั จติ ท่ีพเิ ศษก็อาจ เกิดข้ึนไดด ว ยวธิ ีนี้ ทวาความสำเรจ็ ของสมถภาวนา มิไดท ำให เกิดปญ ญาญาณเหน็ สจั ธรรมของรูปและนามตา ง ๆ กิเลสจะถูก กดขม ไวแตม ไิ ดถอนราก จิตใจยงั มไิ ดห ย่งั ลงสสู ภาวะความเปน จริง ดงั นน้ั ผูปฏิบตั จิ ึงยงั มิไดพนจากสังสารวฏั และอาจกลบั ลงสู อบายภูมิไดใ นอนาคต ดังนนั้ แมวาเราอาจไดรบั ผลดมี ากมายจาก สมาธิ แตก ็อาจกลับเปนผูทล่ี มเหลวในที่สดุ ได หลังจากพระพุทธองคตรัสรูพระอนุตตระสัมมาสัมโพธิ ญาณแลว พระองคทรงใชเวลา ๔๙ วัน อยูท่ีพุทธคยา เสวย
๖๖ วิมุตติสุข แลวทรงพิจารณาวา โลกถูกทับถมดวยกิเลส และคน ยังจมอยูในความมืดมนอนธการย่ิงนัก ทำใหพระองคทรงเล็งเห็น ความยากลำบากอยา งยงิ่ ในการจะสง่ั สอนเวไนยสตั ว แลวพระองคก็ทรงระลึกถึงบุคคล ๒ คน ซ่ึงอาจ รองรับธรรมะของพระองคได เน่ืองจากมีจิตท่ีสะอาดและมีกิเลส เบาบางอยูแลว ทั้งสองทานไดแก อดีตพระอาจารยของพระองค คือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส แตละทานมีลูกศิษยมากมาย เน่ืองจากทานไดบรรลุสมาธิข้ันสูง ซึ่งพระพุทธองคทรงสามารถ ปฏิบัติตามคำสอนของพระอาจารยท้ังสองอยางเชี่ยวชาญแลว แตทรงตระหนักวาพระองคทรงตองการบรรลุส่ิงท่ีสูงสงกวา คำสอนเหลา นั้น อยา งไรกต็ าม จติ ใจของดาบสทงั้ สองมคี วามบรสิ ทุ ธม์ิ าก โดยพระอาฬารดาบสสำเร็จฌาน ๗ และพระอุทกดาบสไดฌาน ๘ ซ่ึงเปนระดับสูงสุดแลว กิเลสหางไกลจากทานทั้งสอง แมใน ระหวางทท่ี านมิไดเขา สมาธิ พระพุทธองคท รงแนพระทัยวาทา น ท้งั สองจะบรรลุธรรมไดด ว ยการเทศนาสัน้ ๆ เทา นนั้
๖๗ พระกมั มัฏฐานาจรยิ ะ อู บณั ฑิตาภิวงั สะ ในขณะที่พระพุทธองคทรงพิจารณาอยูดังน้ี ก็มีเทวดา มากราบทูลวา พระดาบสท้ังสองเสียชีวิตแลว โดยอาฬารดาบส ตายไปเมอื่ ๗ วันกอน สว นอุทกดาบสเพิ่งตายไปเมอื่ คนื กอน ท้งั ๒ ไดไปเกิดเปนอรูปพรหม ท่ีมีจิตแตไมมีรูป พรหมพระดาบส ท้ังสองไมมีหูหรือตาที่จะรับทราบพระธรรมจากพระพุทธองค พระดาบสจึงหมดโอกาสท่ีจะบรรลธุ รรม เน่ืองจากการไดพบครูอาจารยและไดฟงธรรมะ เปน ๒ หนทางเทานั้นท่ีจะนำไปสูการประพฤติปฏิบัติธรรมอยางถูกทาง พระดาบสทั้งสองจงึ พลาดโอกาสท่ีจะตรัสรูธรรมได พระพุทธเจาจึงตรัสวา “พระดาบสท้ังสอง ฉิบหายเสีย แลว”
๖๘ ปญ ญาในการหลดุ พน อะไร เลา ท่ี ขาด หาย ไป ใน การ เจริญ สมถ กรรมฐาน ตอบงาย ๆ ก็คือ สมถภาวนาไมสามารถกอใหเกิดความเขาใจ ในสัจธรรมได ความเขาใจนี้จะเกิดขึ้นไดจากวิปสสนากรรมฐาน เทา นนั้ มเี พยี งปญ ญาญาณทเ่ี หน็ ลกั ษณะของรปู และนามทแี่ ทจ รงิ เทาน้ัน จึงจะทำลายความคิดเร่ืองอัตตา ความเปนตัวตน บุคคล เรา เขา ได หากปราศจากความเห็นแจง ซ่ึงเกิดจากการระลึกรู ดวยความปลอยวางแลว เราจะไมอาจหลุดพนจากความคิดเรื่อง อัตตาไดเลย มีเพียงปญญาที่รูแจงที่จะเขาใจ หลักของเหตุและผล ซึ่งหมายถึง การเห็นความเปนเหตุปจจัยซึ่งกันและกันของรูป และนาม ปญญาน้ีจะทำใหละท้ิงอุปาทานวา สิ่งตาง ๆ สามารถ เกิดขึ้นได โดยปราศจากเหตุ มีเพียงการเห็นแจงปรากฏการณ ของรูปและนามท่ีเกิดข้ึนแลวดับไปอยางรวดเร็วเทานั้น ที่จะ ทำใหผูปฏิบัติสามารถหลุดพนจากความวิปลาสท่ีวา สิ่งตาง ๆ
๖๙ พระกมั มฏั ฐานาจริยะ อู บณั ฑิตาภวิ งั สะ มีความเที่ยง คงทน และตอเนื่องไมส้ินสุด ดวยการรูแจงดวย ตนเองถึงธรรมชาติอันแทจริงของความทุกขเทานั้น ที่จะทำให เกิดความเบื่อหนายในวัฏสงสาร ดวยการรูแจงวาปรากฏการณ ทางกาย ทางจิต ดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ โดยปราศจาก ผูใดหรือสิ่งใดบังคับควบคุมเทานั้น จึงจะทำใหบุคคลคลายจาก ความยดึ ม่นั ในอัตตาได นอกเหนือจากการพัฒนาปญญาไปตามลำดับขั้นจนถึง พระนิพพานแลว เราจะไมอาจเขาใจความสุขท่ีแทจริงได ดวย พระนิพพานเปนเปาหมาย ผูปฏิบัติจึงควรทุมเท ความเพียร บากบั่น ไมท อถอย มงุ มั่นจนกวา จะถึงจุดหมาย ประการแรก ผูปฏิบัติตองมีความเพียรเม่ือจะเริ่มปฏิบัติ โดยเอาจิตจบั อยูทอ่ี ารมณใดอารมณหนงึ่ และเฝา ดอู ยา งตอเนื่อง อาจมกี ารจดั ชว งเวลาการเดนิ และการนงั่ อยา งตอ เนอ่ื งเปน ประจำ เรียกวาเปน “ความเพียรเร่ิมแรก” ท่ีจะนำผูปฏิบัติเขาสูหนทาง แหง สตปิ ฏฐานและคืบหนาตอ ไป แมจะเกิดมีอุปสรรค ผูปฏิบัติก็จะยังคงประพฤติปฏิบัติ ตอไป และเอาชนะอุปสรรคดวยความอดทน หากเบ่ือหรืองวง
๗๐ ใหรวบรวมพลังขึ้นตอสู หากรูสึกเจ็บปวด ใหพยายามเอาชนะ จิตใจที่ออนแอ ซ่ึงคอยจะลาถอยและไมตองการเผชิญหนา กับความเจ็บปวด ความเพียรระดับนี้เรียกวา “ความเพียรที่จะ เอาชนะอุปสรรคทั้งปวง” ซ่ึงจะทำใหโยคีหลุดพนจากความ เกียจคราน โดยมีความมุงมั่น ไมทอถอย จนกวาจะบรรลุ เปาหมาย หลังจากน้ัน เมื่อผูปฏิบัติสามารถเอาชนะความยาก ลำบากเหลานี้ และเร่ิมพบกับความสงบแลว โยคีตองไมปลอยใจ ตามสบาย แตจะยังคงเรงความเพียรใหเกิดปญญาสูงย่ิง ๆ ข้ึน เรียกวา “ความเพียรอยา งแรงกลา เพือ่ ไปใหถงึ ความหลดุ พน” ดงั นน้ั ปจ จยั ประการที่ ๙ ขา งตน ซ่งึ เอ้ืออำนวยตอการ พัฒนาพละท้ัง ๕ แทจริงแลวหมายถึง การใชความเพียรในระดับ ตา ง ๆ เปน ข้ัน ๆ โดยไมห ยุดยัง้ ลังเล ยอมแพ หรือลาถอยจนกวา จะถงึ จุดหมาย เม่ือเราดำเนนิ ไปตามแนวทางน้ี ใชป ระโยชนจากปจ จยั ท้ัง ๙ ประการ พละทั้ง ๕ คือ ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ และปญ ญา
๗๑ พระกมั มฏั ฐานาจริยะ อู บัณฑติ าภิวงั สะ กจ็ ะเฉียบแหลม และหย่งั ลกึ มากข้นึ ๆ จนสามารถนำจติ ไปสู ความหลุดพน ได อาตมาหวังวา โยคคี งจะสามารถตรวจสอบการปฏบิ ตั ิ ของตนเองได และหากยงั พบขอบกพรองในบางดาน ก็ขอใหใ ช ประโยชนจากขอ มูลขา งตน ขอใหโ ยคมี คี วามพากเพยี รมงุ หนาตอ ไป จนกวา จะ บรรลเุ ปาหมายที่ปรารถนาดว ย เทอญ ฯ สาธ.ุ ..สาธ.ุ ..สาธุ
พละ หรอื พละ ๕ คือ กำลัง ๕ ประการ ไดแ ก ๑. ศรทั ธาพละ ความเชอื่ กำลังการควบคุมความสงสยั ๒. วริ ยิ ะพละ ความเพยี ร กำลงั การควบคมุ ความเกียจคราน ๓. สติพละ ความระลกึ ได กำลงั การควบคุมความประมาท การไมใสใจ ใจลอย ไรสติ ๔. สมาธพิ ละ ความตัง้ ใจมั่น กำลงั การควบคุมการวอกแวกเขวไ ขว ฟุงซาน ๕. ปญ ญาพละ ความรอบรู กำลงั การควบคมุ เพกิ เฉยไมสนใจ หลงงมงาย พละทั้งหาน้ี เปนหลักธรรมทผ่ี ูเ จริญวิปส สนาพึงรู ศรัทธาตองปรับใหสมดุลกับปญญา วิริยะตองปรับใหสมดุลกับ สมาธิ สวนสติพึงเจริญใหมากเนื่อง เปนหลักท่ีมีสภาวะปรับสมดุลของ จิตภายในตัวเองอยูแลว เปนหลักธรรมที่คูกับอินทรีย ๕ คือ ศรัทธินทรีย วริ ิยินทรีย สตินทรยี สมาธินทรีย ปญญนิ ทรยี โดยมคี วามเหมอื น ความ แตกตา ง และความเกย่ี วเนอื่ งคอื พละ ๕ เปน สภาวะทเี่ กดิ ขน้ึ แกจ ติ ในปจ จบุ นั ทที่ ำใหเกิดมขี น้ึ สวนอินทรีย คือ พละ ๕ ที่สะสมจนตกผลึก เหมือนกับนิสัย หรือสันดาน เชนผูมีสมาธินทรียมาก ก็อาจทำสมาธิไดงายกวาผูมีนอยกวา ผูมีปญญินทรียมาก ก็มีปกติเปนคนฉลาด พละ ๕ อาจเกิดขึ้นไดดี และสั่งสมเปนอินทรียไดไว คือผูที่บวชหรือประพฤติพรหมจรรย และ ผปู ฏิบัตโิ มเนยยะปฏิบตั ิ ทม่ี า * สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. นวโกวาท. กรุงเทพ : สำนกั พิมพมหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐
ปญญาทรี่ ูแจงทจ่ี ะเขา ใจ หลักของเหตุและผล ซึ่งหมายถงึ การเหน็ ความเปน เหตปุ จจยั ซึง่ กนั และกัน ของรปู แลนาม ปญญานจ้ี ะทำใหล ะทง้ิ อปุ าทาน วา สิง่ ตางๆ สามารถเกิดขึ้นได โดยปราศจากเหตุ มเี พียงการเหน็ แจงปรากฏการณข องรูปและนาม ทเ่ี กดิ ขนึ้ แลว ดบั ไปอยา งรวดเรว็ เทานน้ั ทจี่ ะทำใหผปู ฏิบัติสามารถหลุดพน จากความวปิ ลาส ท่วี า สง่ิ ตา งๆ มคี วามเทย่ี ง คงทน และตอ เนื่องไมส น้ิ สุด ดว ยการรูแจงดวยตนเองถึงธรรมชาตอิ นั แทจ ริง ของความทกุ ขเทานน้ั
Search