Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือตื่นกันเถิด

หนังสือตื่นกันเถิด

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-05-15 02:48:37

Description: หนังสือตื่นกันเถิด

Search

Read the Text Version

ต่ื น กั น เ ถิ ด พระอาจารยส์ ำ�ราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย) เรยี บเรยี งจากโอวาทธรรมยามเชา้ วันที่ ๑๓-๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ ศาลาการเปรียญ วดั ป่าธรรมอทุ ยาน จังหวดั ขอนแกน่



เรยี บเรียงจากโอวาทธรรมยามเช้า วันท่ี ๑๓ สงิ หาคม ๒๕๖๒

การวางภาระหน้าที่การงานท่ีเคยท�ำอยู่ เราก็วาง มาแลว้ ไดเ้ ขา้ มาในวดั วดั ภายนอกเรากไ็ ดเ้ ขา้ มาถงึ ทีน้ีเราก็จะต้องพยายามเข้าวัดภายใน ด้วยการ เจริญสติสร้างความรู้ตัวให้ต่อเน่ืองให้เชื่อมโยง ความรู้สึกพล้ังเผลอก็เริ่มใหม่ ฟังไปด้วยน้อม ส�ำเหนยี กไปดว้ ย ลองสดู ลมหายใจเขา้ ไปยาวๆ ลกึ ๆ แลว้ กผ็ อ่ นลมหายใจออกมายาวๆ สกั สองสามเทย่ี ว อันน้เี ป็นแค่เพียงอบุ ายในการสร้างความรตู้ วั 6 : ต่ืนกนั เถดิ

สร้างความร้ตู วั การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แลว้ กผ็ ่อนลมหายใจ ออกมายาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจ ของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของ ลมหายใจท่ีกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน พยายามสรา้ งความร้สู กึ รับรู้ตรงนี้แหละ ตั้งแต่ต่ืนขึ้นต้ังแต่ยังไม่ได้ลุกจากท่ี พอรู้ตัวปุ๊บเรา ก็สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ท่ีปลายจมูกของเรา สติรู้ กายตง้ั มนั่ ทกุ ขณะลมหายใจเขา้ กเ็ รยี กวา่ ปจั จบุ นั เวลาหายใจออกลมกระทบปลายจมูกก็เรียกว่า ปัจจุบัน ที่ท่านเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ทุกขณะ ลมหายใจเขา้ หายใจออก จากครั้งหน่ึง สองครั้ง เป็นสามคร้ัง จากนาทีเป็น สองนาที สามนาที เปน็ สน่ี าที หา้ นาที สบิ นาที เปน็ ชว่ั โมง จนความรตู้ วั ของเราตงั้ มน่ั อนั นเี้ ปน็ เพยี งแค่ สตริ กู้ าย ตรงนเี้ รากข็ าดความเพยี รในการเจรญิ ใน การท�ำใหม้ ีใหเ้ กดิ ขึ้น พระธรรมเทศนา จากวดั ป่าธรรมอทุ ยาน : 7

รกู้ ายให้ต่อเนอ่ื ง ส่วนความคิดเก่าปัญญาเก่าที่เกิดจากใจ หรือว่า วิญญาณ หรอื วา่ ใจ ความคดิ ทเ่ี กิดๆ ดบั ๆ บางทีก็ เป็นความคิดท่ีไม่ได้ตั้งใจคิด ซ่ึงเปน็ ส่วนนามธรรม เขาคิดข้ึนมา ใจเคล่ือนเข้าไปรวมเป็นสิ่งเดียว แลว้ ไปดว้ ยกนั สว่ นกายซง่ึ เปน็ กอ้ นรปู ซงึ่ วญิ ญาณ มาอาศยั กาย มาสร้างกายข้ึนมา กม็ าอาศยั กาย พระพุทธองค์ท่านถึงเน้นให้เข้าไปถึงต้นเหตุ เจริญ สติให้รู้เท่ารู้ทันต้นเหตุการเกิดของใจ ใจน่ีเขาหลง มาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดนะ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขา หลงมาวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นเราอย่าเพิ่งไปแสวงหาเขา เราแสวงหา วิญญาณในกายของเราให้เห็นเสียก่อน เราถึง จะเข้าใจในข้ันสูงๆ เพียงแค่สติรู้กายให้ต่อเนื่อง เรากพ็ ยายามทำ� ให้ไดเ้ สียกอ่ น 8 : ตื่นกนั เถิด

ดบั เสียกอ่ น สติปัญญาในทางโลกในทางสมมติทุกคนมีกันเต็ม เปี่ยม แต่เป็นสติท่ีประคับประคองสมมติให้อยู่ใน ระดับปกติของสมมติ แต่ความหลงก็ยังครอบง�ำ อยเู่ พราะว่าการเกิดของใจ ความยึดมนั่ ถือม่ันซง่ึ มี อยูใ่ นกายกอ้ นน้ียังมีอยู่ เพราะว่าใจยังคลายความ หลง หรอื วา่ ‘แยกรูปแยกนาม’ ไม่ได้ เขากร็ ูอ้ ยู่ใน ระดบั ของสมมติ พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติสร้างความรู้ตัวลง ที่กายใหไ้ ดเ้ สยี ก่อน ปัญญาเกา่ เรามีสักเทา่ ไร ถึง ปญั ญาโลกยี จ์ ะมเี ตม็ เปย่ี มมที ง้ั รอ้ ย เรากอ็ ยา่ เพง่ิ เอามาคิด อย่าเพิ่งเอามาวิเคราะห์ เรามาสร้าง ความรู้ตัวเข้าไปอบรมใจของเรา อบรมใจไม่ทัน เรากใ็ ชส้ มถะเขา้ ไปดบั อยกู่ บั ลมหายใจบา้ ง หรอื วา่ จะเอาค�ำบริกรรมเข้าไปก�ำกับบ้าง อยู่กับการเดิน สร้างความรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจ ความรสู้ กึ พลง้ั เผลอ เรากเ็ รม่ิ ใหม่ ใจของเราปรงุ แตง่ สง่ ออกไปภายนอก เรารูไ้ ม่ทนั ตน้ เหตเุ ราก็ดับ พระธรรมเทศนา จากวดั ป่าธรรมอุทยาน : 9

คลายใจจากขันธ์หา้ ช่วงใหม่ๆ สร้างความรู้ตัวให้ต่อเน่ืองให้เชื่อมโยง ให้ไดเ้ สยี กอ่ น ดบั ความเกิดของใจ ส่วนความคิดที่ ไมไ่ ดต้ ง้ั ใจคดิ ทผ่ี ดุ ขนึ้ มา หรอื วา่ ‘อาการของขนั ธห์ า้ ’ เวลาเขาผุดขึ้นมาปรุงแต่ง ใจของเราก็จะเคล่ือน เข้าไปรวม ถ้าเราสังเกตทัน ใจของเราก็จะคลาย ออกหงายขึ้นมาถึงเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ หรอื ทเี่ รยี กวา่ ‘สมั มาทฐิ -ิ ความเหน็ ถกู ’ พยายาม หัดสังเกตจนใจคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วน นามธรรมดว้ ยกนั ถา้ ยงั แยกแยะไมไ่ ด้ กเ็ จรญิ สตเิ ขา้ ไปหยดุ เขา้ ไปดบั ดบั ทต่ี น้ เหตุ สว่ นมากตน้ เหตกุ ร็ ไู้ มท่ นั กลางเหตกุ ร็ ู้ ไมท่ นั บางทกี ป็ ลายเหตกุ ร็ ไู้ มท่ นั เราเจรญิ สตใิ หไ้ ด้ ให้เชื่อมโยง ถ้าก�ำลังสติของเรามีมากขึ้นๆ ความ เข้มแข็งก็จะมีข้ึน ใจก็จะช้าลง ต้องอดทนอดกลั้น กับเหตุการณ์ต่างๆ อดทนอดกลั้นกับความคิด อารมณ์ต่างๆ รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็ใช้สมถะเข้าไป ดับเข้าไปหยุด 10 : ตื่นกนั เถดิ

ดบั ดรู ้แู ตต่ น้ เหตุ การพูดงา่ ย การลงมือปฏิบตั ิจริงๆ เราต้องมีความ เพียรเป็นเลิศ เราอย่าไปมองเอาต้ังแต่ปลายเหตุ เราพยามเจรญิ สตลิ งทต่ี น้ เหตใุ หไ้ ดเ้ สยี กอ่ น ตวั อนื่ กจ็ ะคอ่ ยตามมา ถ้าใจคลายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ใจก็จะหงายขึ้นมา เราก็จะเข้าใจค�ำว่า ‘อัตตา- อนัตตา’ รู้อัตตา-อนัตตา เห็นความเกิดความดับ เหน็ อนจิ จงั -ทกุ ขงั -อนตั ตาในขนั ธห์ า้ ในกายของเรา ไมใ่ ชว่ ่านึกเอา ต้องรู้ดว้ ยเห็นด้วย สตปิ ัญญาตามดู ได้ด้วย รับรู้ได้ด้วย เห็นความเกิดความดับ บางที ท่านก็เรียกว่า ‘กองสังขาร กองวิญญาณ กองรูป กองนาม’ พระธรรมเทศนา จากวัดป่าธรรมอุทยาน : 11

มหาสติ มหาปัญญา เอาส่วนใกล้ๆตัว ภายในใจภายในกายของเราให้ เหน็ เสยี กอ่ น สว่ นตวั อน่ื กจ็ ะเรม่ิ ตามมา ถา้ ก�ำลงั สติ ของเราสงั เกตวเิ คราะหจ์ นใจคลายออก ตามดรู เู้ หน็ ก�ำลงั สตกิ จ็ ะตามคน้ ควา้ ก�ำลงั สตกิ จ็ ะเรมิ่ มากขน้ึ ๆ ก็เริม่ กลายเปน็ มหาสติ จากมหาสติกจ็ ะคน้ ควา้ จน หายสงสัยหายลังเล จนกลายเป็นมหาปญั ญา จาก มหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในดวงจิต รอบรู้ในกองสังขาร รอบร้ใู นดวงวิญญาณของเรา 12 : ตนื่ กนั เถิด

ท�ำไปเรอื่ ยๆ แตล่ ะวนั ตนื่ ขนึ้ มาใจของเราเปน็ อยา่ งไร ใจของเรา ปกติ ใจของเรามีความสงบหรือไม่ ใจของเราเกิด กิเลสสักกี่ครั้งสักก่ีเท่ียว เหตุจากภายนอกท�ำให้ เกิด หรือเกิดจากภายใน เราพยายามหัดสังเกต เจาะให้ถึงต้นเหตุ รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็ดับเอาไว้ อย่าเพ่งิ รีบร้อน ทำ� ไปเรอ่ื ยๆ ฉลาดทางโลกเราฉลาดมาแล้ว ทีนี้ก็ให้ฉลาดทาง ธรรม โง่เสียก่อนค่อยฉลาดใหม่ คลายความหลง ใหไ้ ด้ เหน็ ความเกดิ ความดบั เหน็ จดุ เกดิ จดุ ดบั ใหไ้ ด้ เขา้ ใจในภาษาธรรม เขา้ ใจในภาษาโลก รจู้ กั จ�ำแนก แจกแจงรปู รสกลนิ่ เสยี งสมั ผสั ตา่ งๆ ออกจากใจของ ตัวเรา กายของเราท�ำหน้าที่อย่างน้ี หูตาจมูกลิ้น กายทวารทง้ั หกเขาท�ำหน้าทอ่ี ยา่ งน้ี ตาท�ำหน้าทดี่ ู เราก็ห้ามไม่ได้ หูท�ำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ ภาษาธรรมทท่ี ่านเรียก ‘สกั แตว่ า่ ดู สกั แต่ว่ารู้ สกั แตว่ า่ ฟงั ’ เปน็ ลกั ษณะอยา่ งไร แยกรปู รสกลนิ่ เสยี ง ออกจากใจ พระธรรมเทศนา จากวดั ป่าธรรมอทุ ยาน : 13

ทวนกระแสกเิ ลส ส่วนมากเราก็จะไปโทษว่าภายนอกมารบกวนเรา ถ้าเราจะหลบหลีก เราก็หลบหลีกด้วยสติด้วย ปัญญา ท�ำเร่ืองของเรา วิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจ ของเราให้ถึงจุดหมายปลายทางใหไ้ ด้เสยี กอ่ น ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการฝืน เป็นการทวน กระแสกิเลส เพราะว่าใจนี้เขาชอบเกิดชอบคิด ชอบเท่ียว สารพัดเรื่องท่ีเขาจะหาเหตุหาผลมา อ้าง เดยี๋ วก็ตดิ ขดั อนั โน้นบา้ งตดิ ขดั อนั นี้บา้ ง แยก ภายในไม่ได้ ดับความเกิดไม่ได้ ก็ปรุงแต่งหาที่พึ่ง ภายนอก พึ่งสิ่งโน้นบ้างพ่ึงสิ่งนี้บ้าง ไม่ได้เจริญ สติให้เป็นเพื่อนใจ เป็นท่ีพึ่งของใจ อบรมใจ พ่ึง พระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ ท�ำใจให้สะอาดให้ บริสทุ ธิ์ ให้หลุดพน้ จากความยดึ ม่นั ถอื มนั่ ต่างๆ 14 : ตืน่ กันเถดิ

หยุด วิเคราะห์ ละ กิเลสก็มีเยอะแยะมากมาย ไล่ตั้งแต่ความเกิดของ ใจนั่นแหละ คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ ไม่เกิด ทีน้ีเขาก็มาหลงเกิด มาสร้างภพมนุษย์ มา สร้างขันธ์ห้าอันน้ี แล้วก็มายึดติดในขันธ์ห้าอีก ก็ ซบั ซอ้ นเขา้ ไปอกี ขณะทวี่ ญิ ญาณของเราใจของเรา ยงั อาศัยกายนอ้ี ยู่ เขากย็ ังเกดิ อกี ความเกดิ หรอื ว่า ความนึกคิดปรุงแต่งที่ส่งออกไปภายนอกน่ีก็เป็น ความหลงอีกชน้ั ปดิ กนั้ ตวั ใจไวอ้ กี หลงั จากเกิดอยู่ ในภพมนษุ ยห์ ลงเข้ามาในช้นั นีแ้ ลว้ ก็มาหลงยึดใน ภพมนุษย์ ขณะมีกายนี้อยู่เขาก็ยังเกิดต่อ มีการ พัฒนาเกิดต่อ บางทกี เ็ ปน็ ทาสกเิ ลสอกี ความโลภความโกรธความ อยาก ความทะเยอทะยานอยากเข้าครอบง�ำ ทั้ง ความอยากทั้งความหวังอีกช้ันท่ีเขาปิดกั้นเอาไว้ ทีนี้กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเขาปิดกั้นเอาไว้ แถม เขา้ ไปยินดียนิ ร้าย แถมเขา้ ไปสง่ เสริมเข้าไปอีก พระธรรมเทศนา จากวดั ป่าธรรมอุทยาน : 15

เจรญิ สตเิ ขา้ ไปหยดุ เขา้ ไปวเิ คราะหห์ าเหตหุ าผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็รู้จักละ ละเหตุละผล เข้าถึง ความสะอาดความบริสุทธิ์ตัวเดิมของใจ ใจท่ี ปราศจากกเิ ลส เขากบ็ รสิ ทุ ธ์ิ ใจทไี่ มเ่ กดิ เขากน็ งิ่ แต่ เวลานี้ทั้งเกิดทั้งว่ิง ทั้งหลงทั้งยึด เราต้องมาเจริญ สติเขา้ ไปอบรมเข้าไปวิเคราะห์ 16 : ตนื่ กนั เถดิ

ยอมโง่ก่อน ช่วงใหม่ๆ เราไม่เห็นลักษณะของใจ เรารู้ต้ังแต่ เมื่อเขาเกดิ แลว้ เราก็ใช้สมถะดบั อย่างเดยี ว อยู่กับ ลมหายใจบา้ ง อยู่กับการเดนิ บา้ ง อย่าไปนึกไปคิด เอาเด็ดขาด โงก่ ็ยอมโง่ คอ่ ยฉลาดทีหลงั พยายาม ดับความนึกคิดปรุงแต่งให้ได้ แล้วก็หัดสังเกต เวลาเขากอ่ ตวั เขาเรมิ่ กอ่ ตวั เมอื่ ไหรเ่ รากด็ บั ทนั ที พอหยุดทันทีปุ๊ปก็ถึงตัวใจ ใจก็จะนิ่งเพราะว่า ก�ำลงั สง่ ออกไปภายนอกไม่มี แตเ่ วลานใ้ี จสง่ ออกไปภายนอกเรว็ ไว ขนั ธห์ า้ กผ็ ดุ ขนึ้ มาปรุงแต่งใจของเราเร็วไว ก�ำลังสติของเรามีน้อย ไม่ทัน เพียงแค่มาเจริญมาสร้าง มาท�ำมาควบคุม มาอบรม อย่าเพิ่งไปเอาผล ต้องดูที่เหตุเสียก่อน ดูเหตใุ หไ้ ด้ แยกแยะเหตใุ ห้ไดผ้ ลกจ็ ะตามมา พระธรรมเทศนา จากวดั ป่าธรรมอทุ ยาน : 17

มีความเพียรเป็นเลิศ ต้องเป็นบคุ คลทมี่ ีความเพยี รเป็นเลิศ เป็นบคุ คลที่ มกี ารฝกั ใฝม่ คี วามสนใจ หมนั่ สงั เกตหมนั่ วเิ คราะห์ แต่ละวันใจของเรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือไม่ ใจของเรามีความอดทนอดกลั้นหรือเปล่า เรามสี จั จะกบั ตวั เองหรอื ไม่ เรามคี วามเพยี ร มคี วาม รับผิดชอบ มีความเสียสละ หรือว่ามีตั้งแต่ความ เห็นแก่ตัว เราต้องพยายามวิเคราะห์ใหไ้ ดท้ กุ อย่าง ทุกอริ ยิ าบถ ยืนเดนิ นง่ั นอนกนิ อยู่ขับถ่าย ไมใ่ ชว่ า่ จะไปเรยี นตงั้ แตช่ อ่ื อาการ หนา้ ตา เราตอ้ ง เหน็ การเกดิ -การกอ่ -การรว่ ม ตามท�ำความเขา้ ใจ ให้รู้ความเป็นจริง ค่อยพิจารณาให้เห็นอนิจจัง- ทกุ ขงั -อนตั ตาในกายของตวั เรา แลว้ กค็ อ่ ยพจิ ารณา ให้ใจรับรู้ แต่เวลานี้ใจของเราท้ังรู้ท้ังหลงท้ังเกิด เรากต็ ้องมาวิเคราะห์กัน มาท�ำความเข้าใจกัน 18 : ตนื่ กนั เถดิ

อบรมใจ ความรตู้ วั ของเราพลง้ั เผลอกเ็ รมิ่ ใหม่ กายเราเหนอื่ ย เราก็พยายามฝืน ฝืนกายของเราจนไปไม่ไหว จึงค่อยพัก ก�ำลังสติของเราพลั้งเผลอก็เร่ิมใหม่ มีไมม่ ากถ้าคนเราจะสนใจ ถ้าเราดรู เู้ ห็นเขา้ ใจ ใจท่ีปราศจากกเิ ลสเปน็ อย่างน้ี ใจท่ีปกติเป็นอย่างน้ี ใจเขาก็จะเผยตัวออกมาให้ เราเห็นความว่าง ใจที่ว่างจากการเกิดของขันธ์ห้า ว่างจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ว่างด้วยปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริง ชี้เหตุชี้ผล ใจเขาก็จะเกิด ความเบอื่ หนา่ ย การเปน็ ทาสกเิ ลสเขากไ็ มเ่ อา การ เป็นทาสของขันธ์หา้ เขาก็ไม่เอา แม้แตก่ ารเกิดเป็น ทุกข์ เขาก็ไม่เอา หนุนก�ำลังสติปัญญาไปเกิดแทน ท�ำหน้าที่แทน ผิดถูกช่ัวดี เอาสติปัญญาของเรา ไปแก้ไข พระธรรมเทศนา จากวัดป่าธรรมอทุ ยาน : 19

ท�ำความเข้าใจ ค�ำวา่ ‘ปจั จบุ นั ธรรม’ ใจของเราตอ้ งคลายออกจาก ขันธ์ห้า สติปัญญาของเราตามท�ำความเข้าใจ ให้ ใจยอมรับความเป็นจริง ทีน้ีสติปัญญาของเราท�ำ หนา้ ทีแ่ ทนใจ คิดเรื่องอดตี คิดเร่อื งอนาคตก็เปน็ ปญั ญาธรรม เพราะวา่ ใจของเราคลายจากความ หลงแล้ว ใจของเราสงบว่างน่ิงรับรู้อยู่ในกายของ เรา เรียกวา่ ‘ร้อู ย่ปู ัจจบุ นั ’ จะคิดเรื่องของอดีต เรื่องของอนาคตก็เป็นเร่ือง ของปัญญา เขาเรียกว่า ‘ปัญญาอยู่กับปัจจุบัน’ จะยกกายข้ึนมาพิจารณาให้ใจรับรู้ จะยกธรรม ต่างๆ ขึ้นมาพิจารณาให้ใจรับรู้ พิจารณาทั้งกาย ท้ังใจ ท�ำความเข้าใจกับสมมติ ท�ำความเข้าใจกับ วิมุตติ ท�ำความเข้าใจกับโลกธรรม ท�ำความเข้าใจ กับนิวรณ์ธรรม กิเลสต่างๆ รู้ความเป็นจริงแล้วก็ ค่อยละ เหลอื ต้ังแตร่ ปู กับนามกับสตปิ ัญญา กบั ใจ กบั รปู คอยบรหิ ารกายบรหิ ารใจ มคี วามรบั ผดิ ชอบ ด้วยปัญญา ด้วยพรหมวิหารด้วยความเมตตา ทุกเรื่องในชวี ติ 20 : ตน่ื กันเถดิ

ละขนั ธ์ห้า ละกิเลส ตั้งแต่ตื่นขึ้น ต้องดูรู้ทันใจเป็นหลัก จะลุกจะก้าว จะเดิน ใจต้องน่ิงรบั รู้ อย่าไปเสียดายอาลัยอาวรณ์ กับอารมณ์ กับกิเลสเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเราดับต้ังแต่ ตน้ เหตุ ดบั ต้ังแตค่ วามเกดิ ตัง้ แต่ความอยากเลก็ ๆ น้อยๆ กเิ ลสตวั ใหญๆ่ มนั จะเกิดไดย้ งั ไง เราคลาย ความหลง แยกรปู แยกนาม คลายขนั ธห์ า้ ใจกจ็ ะเบา กายกจ็ ะเบา ใจกจ็ ะว่าง ความว่างนนั่ แหละคอื ใจ ในความวา่ งนนั้ มคี วามรสู้ กึ รบั รอู้ ยู่ เหมอื นกบั เรานงั่ อยใู่ นศาลา ศาลาของเรากว็ า่ งโลง่ โปรง่ แตอ่ ากาศก็ มอี ยู่ ในกายของเราน้นั ว่างโลง่ โปรง่ แตค่ วามรู้สึก รบั ร้กู ็มีอยู่ เขากจ็ ะค่อยๆ เผยตวั ออกมาใหเ้ ราเห็น ใจกอ่ ตัว เราก็หยดุ ตงั้ แต่การก่อตัว กถ็ ึงตวั ใจ ใจ ก็จะเกิดปิติเกิดสุข เพราะว่าก�ำลังสติรู้เท่ารู้ทัน- รู้กัน-รู้แก้ ตามท�ำความเข้าใจรู้ความจริงแล้วก็ คอ่ ยละ ละขนั ธห์ า้ ละกเิ ลสที่ใจ มาดบั ความเกดิ ที่ใจ เข้าถึงความบริสุทธ์ความหลุดพ้นของใจ ใจก็ จะมีต้ังแตค่ วามปีตคิ วามสุข พระธรรมเทศนา จากวดั ป่าธรรมอทุ ยาน : 21

เราละกิเลส เราต้องดูรู้ว่าสาเหตุของกิเลส กิเลส เกดิ ขน้ึ จากภายในโดยตรงหรอื เกดิ ขน้ึ จากขนั ธห์ า้ มาปรุงแต่ง หรือเกิดขึ้นจากสติปัญญาของเรา ปรุงแต่ง หรือเกิดจากเหตุภายนอกท�ำให้ใจของ เราเกิด เราก็ต้องเสาะแสวงหาต้นเหตุ ดับต้นเหตุ ดับเหตุภายในไม่ได้ เราก็ต้องแก้เหตุภายนอกด้วย ควบคู่กันไป ดับท้ังภายนอก ละท้ังภายนอก ละ ทั้งภายใน แลว้ ก็อาศยั กาลอาศัยเวลา อาศัยความ เพียรเป็นตัวท�ำความเข้าใจ ความอดทนอดกล้ัน เรียกวา่ ‘ตบะ-บารม’ี มีสจั จะ มีความจริงใจ 22 : ตนื่ กนั เถิด

แยกรูปแยกนามใหไ้ ด้ ถา้ เราฝกึ หดั ปฏบิ ตั แิ ลว้ เราไมร่ คู้ วามจรงิ เรากไ็ ดแ้ ต่ ฝึกหัดปฏิบัติลงที่กาย ปฏิบัติด้วยความหลง หลง ปฏิบัติ ถ้าเรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ วิปัสสนา ความรู้แจ้งเห็นจริงก็ยากท่ีจะเปิดทาง เราก็รู้อยู่ ระดบั ของสมมติ รอู้ ยรู่ ะดบั ของโลกยี ์ ความถกู ตอ้ ง ก็อาจจะมีในระดับโลกีย์ เราต้องพยายามด�ำเนิน ใหไ้ ดใ้ ชต้ วั เองใหเ้ ปน็ เจรญิ สตเิ ขา้ ไปคน้ ควา้ จนไมม่ ี อะไรทจี่ ะเหลอื ใหค้ น้ ควา้ จนเหลอื ตง้ั แตส่ ตปิ ญั ญา กายใจ สตปิ ัญญาสมาธเิ ขาก็จะรกั ษาเรา การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม ถ้าไม่ รจู้ กั หมน่ั พรำ่� สอนตวั เองแลว้ กไ็ มร่ จู้ ะมใี ครมาสอน ให้ ต�ำราครบู าอาจารยก์ เ็ ปน็ เพยี งแคแ่ ผนท่ี ธรรมะ นน้ั มอี ยปู่ ระจ�ำโลก พระพทุ ธองคเ์ ปน็ บคุ คลทคี่ น้ พบ เป็นศาสดาเอกของโลก ความจริง สัจธรรมที่ท่าน ค้นพบก็ยังมีอยู่ในกายของเราทุกคน ความเกิด ความดับเป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็น อย่างไร การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดท่ีท่านได้ ค้นพบว่าต้องท�ำอยา่ งไร พระธรรมเทศนา จากวดั ป่าธรรมอทุ ยาน : 23

คลายของเก่าออกให้หมด ใจเกดิ ความโลภ ละความโลภ ใจเกดิ ความโกรธ ละ ความโกรธ ด้วยการใหอ้ ภยั อโหสิกรรม เรามีความ เกยี จคร้าน สร้างความขยนั สร้างความรับผิดชอบ สร้างความเสียสละ เจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม ของเก่าคลายออกให้หมดให้เหลือต้ังแต่ความ บรสิ ทุ ธห์ิ ลดุ พน้ ทนี จ้ี ะมจี ะเปน็ เรากเ็ จรญิ ทำ� ใหม่ ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา รับผิดชอบใหม่ด้วย สติปัญญาของเรา จะมีมากมีน้อย หรือท�ำมาก ท�ำน้อยก็เป็นเรื่องของสติปัญญากับความขยัน หม่ันเพียร กบั อานิสงสแ์ ห่งบุญของพวกเรา 24 : ตื่นกนั เถดิ

อยา่ ทิ้งโอกาส มโี อกาสกอ็ ยา่ ไปทง้ิ จงท�ำกายกอ้ นนใ้ี หเ้ ปน็ บญุ ท�ำใจ ก้อนน้ีให้เป็นบุญ รีบตักตวงสร้างคุณงามความดี รีบตักตวงหาก�ำไรในชีวิตขณะท่ียังมีก�ำลังกายอยู่ ขณะท่ียังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจแล้ว ก็ มีตั้งแต่เร่ืองบุญกับเร่ืองบาป บุญสมมติเราก็ท�ำให้ เตม็ เปย่ี ม สว่ นการขดั เกลากเิ ลส กเิ ลสเกดิ ขน้ึ เมอ่ื ไหร่ เรากพ็ ยายามละ  พระธรรมเทศนา จากวัดปา่ ธรรมอุทยาน : 25

เรง่ ท�ำความเพยี ร สติของเราพล้ังเผลอได้อย่างไร นิวรณ์เข้าครอบง�ำ ได้อย่างไร ใจเกิดความกังวลเกิดความฟุ้งซ่านเรา ก็รู้จักดับ ใหม่ๆ ก็เป็นการทวนกระแสของกิเลส ใจของคนเราชอบคิดหาเหตุหาผล เริ่มฝึกปุ๊บมันก็ เริ่มเล่นงานเราปั๊บ ท้ังขันธ์ห้าก็เล่นงาน ก�ำลังสติ ของเราจะเข้มแข็งหรือไม่ ตายเป็นตาย ไม่ถึงเวลา กไ็ มต่ าย ทง้ั กลางวนั ทง้ั กลางคนื เรง่ ทำ� ความเพยี ร รู้ไมท่ นั ต้นเหตุ ดบั วางๆ หยุดวางๆ ถา้ เราร้ดู ้วย เหน็ ด้วย เขา้ ถงึ ดว้ ย แยกแยะได้ดว้ ย กำ� ลังสตถิ งึ จะพ่งุ แรงเป็นมหาสติ ชว่ งทยี่ งั รไู้ มท่ นั นกี้ ต็ อ้ งพยายามสรา้ งขน้ึ มา มคี วาม เพยี ร สว่ นมากจะพลงั้ เผลอ ถา้ รไู้ มท่ นั จะพลงั้ เผลอ ความคิดเก่าท่ีเกิดจากตัวใจกับขันธ์ห้าน้ันมีอยู่เดิม เขาหลงมาสร้างกาย เราต้องมาค้นคว้าเร่ืองกายนี้ ให้ละเอียด แล้วก็มาดับความเกิด กายก็ยังอยู่ ถ้า กายเนื้อแตกดับ ใจของเราก็เข้าสู่ความบริสุทธ์ิไม่ ต้องกลับมาเกิด ดับให้ได้ขณะที่ยังมีลมหายใจ ละ ให้ได้ขณะที่ยังมีลมหายใจ ท�ำความเข้าใจให้ถึง จดุ หมายปลายทาง 26 : ตนื่ กนั เถิด

ให้ถงึ จุดหมายเสยี กอ่ น เอาเราให้ถึงจุดหมายปลายทางเสียก่อน เร่ืองของ เรา เรอ่ื งของคนอนื่ กค็ อ่ ยวา่ กนั เรากค็ อยชว่ ยเหลอื ดว้ ยพรหมวหิ าร ดว้ ยความเมตตา ถา้ เราเขา้ ใจแลว้ จะยิ่งเพ่ิมความช่วยเหลือเพ่ิมความอนุเคราะห์ เป็นทวีคูณ เหมือนกับเราว่ายน�้ำให้ข้ึนฝั่งให้ได้ แล้วค่อยกลับมาช่วยคนข้างหลัง ถ้าเรายังข้าม ฝง่ั ไมไ่ ดเ้ ราจะกลบั มาชว่ ยคน เรากจ็ มนำ�้ ไปดว้ ยกนั เราก็ต้องพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่เหลือวิสัย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส อย่าไปปิดก้ันตัวเราเองว่าไม่มีวาสนา ไม่มีบุญ ทุก คนกม็ บี ญุ ทางสมมตบิ างคนกม็ เี ตม็ เปย่ี ม บางคนก็ ขาดตกบกพรอ่ ง แตก่ ไ็ มถ่ งึ กบั ล�ำบาก เรากพ็ ยายาม ด�ำเนนิ ท�ำความเข้าใจ พระธรรมเทศนา จากวัดป่าธรรมอุทยาน : 27

อยู่กบั บุญ ท่านถึงบอกให้รอบรู้ในกองสงั ขาร ให้รอบรใู้ นดวง วิญญาณในกายของเรา แล้วก็รอบรู้ในปัจจัยส่ี ใน ส่ิงที่เราเข้าไปยุ่งเก่ียว รอบรู้ในโลกธรรม รู้จักใช้ สมมติ เคารพสมมติ มคี วามสุขในสง่ิ ทีเ่ รามีเราเป็น สขุ ภายในเรากไ็ ด้ สขุ ภายนอกเรากม็ ดี ว้ ยปญั ญา ยง่ิ บริหารกายย่ิงบริหารใจยิ่งมีความสุขในการสร้าง ประโยชน์ เราก็จะไดอ้ ยู่กบั บญุ กายกเ็ ปน็ บญุ ใจก็ เป็นบญุ วาจากเ็ ป็นบุญ ใจก็จะอยู่กับความบริสุทธ์ิ การเกิดเป็นทุกข์ เขากไ็ มเ่ อา ชว่ งใหมๆ่ นเ่ี ขาหลงเขาเกดิ ทงั้ หลงทงั้ เกดิ ทง้ั ฉดุ ทงั้ รัง้ สารพัดอย่าง ถา้ เราเห็นเหตเุ หน็ ผล ชเ้ี หตชุ ผี้ ล แล้วก็ดับความเกิด รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ ใจนี้ ไมเ่ กดิ เดด็ ขาด จะเอาอะไรมาฉดุ เขากไ็ มเ่ กดิ ถา้ เขา รคู้ วามเปน็ จรงิ ขนั ธห์ า้ เปน็ ทกุ ขเ์ ขากไ็ มเ่ อา กเิ ลส เขาก็ไม่เอา เรากบ็ ริหารด้วยปัญญา 28 : ตน่ื กนั เถิด

อิสรภาพ อนั นต้ี อ้ งเปน็ บคุ คลทม่ี คี วามเพยี รเปน็ เลศิ เสยี สละ เป็นเลิศ เอาออกให้มันหมด เราคลายออกให้ได้ คลายออกได้เมื่อไหร่แล้วก็เป็นอิสระ ใจของเรา ก็อิสระจากกิเลส อิสระจากขันธ์ห้า ใจไม่เกิดแล้ว วางใจให้เป็นอิสรภาพอีก วางกายให้เป็นอิสรภาพ อีก หลายเรื่องมแี ตเ่ ร่อื งละเอียด สว่ นมากคนทวั่ ไปกจ็ ะมองเหน็ ตงั้ แตต่ วั หยาบๆ ตวั ละเอียดไม่ค่อยจะเห็นกันเท่าไหร่ก็เลยเดินไม่ถึง จุดหมายปลายทางกัน เดินก็เดินได้นิดๆ หน่อยๆ ถ้าเปรียบเหมือนการขึ้นบันได ก็ขึ้นได้สองสามข้ัน แลว้ กถ็ อยลงมา เหมอื นกบั ไดแ้ คท่ ำ� บญุ ใหท้ าน แต่ ไม่ทานใหม้ นั หมด ทานให้มนั หมดจากใจของเรา ทานกิเลส ทานความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็เจริญ พรหมวหิ ารเขา้ ไปทดแทน พระธรรมเทศนา จากวดั ปา่ ธรรมอุทยาน : 29

เรารู้เรา กต็ อ้ งพยายามกนั นะ ศกึ ษาจากตน้ เหตไุ ปหาปลาย เหตุ อย่าไปศึกษาตั้งแตป่ ลายเหตเุ ขา้ มาหาต้นเหตุ เราพยายามดับดูรู้ต้ังแต่ต้นเหตุ แล้วก็ค้นคว้าให้รู้ ความจรงิ ทนี เ้ี ราจะเอาจะมจี ะเป็นยงั ไง จะยนื เดิน น่ังนอน กินอยู่ขับถ่ายยังไงก็เป็นเร่ืองของปัญญา ไมต่ อ้ งใหค้ นอนื่ เขารู้ เรารเู้ รา เราชนะเรา เราแกไ้ ขเรา ก็พอแลว้ เอาละ่ วนั นขี้ อเจรญิ ธรรมเพยี งเทา่ นี้ พากนั ไหวพ้ ระ พรอ้ มๆ กนั พากนั ไปสรา้ งสานตอ่ ท�ำความเขา้ ใจให้ ถงึ จุดหมายปลายทางกนั 30 : ต่ืนกนั เถิด

พระธรรมเทศนา จากวัดปา่ ธรรมอุทยาน : 31



เรยี บเรียงจากโอวาทธรรมยามเช้า วันท่ี ๑๔ สงิ หาคม ๒๕๖๒

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึก รับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบ ปลายจมกู ของเรา เรอ่ื งทกุ เรอื่ ง ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ ต่างๆ หยุดเอาไว้ พันธะภาระหน้าท่ีการงานทาง สมมติ ทกุ คนก็หยุดเอาไว้ นอ้ มกายนอ้ มใจของเรา เข้ามาท�ำบุญถวายทาน แล้วกเ็ จริญสติ   34 : ต่ืนกันเถิด

ท่พี ่ึงของใจ ตามความเป็นจริง เราก็ต้องเจริญสติทุกขณะ ลมหายใจเขา้ ออก ไมม่ วี นั หยดุ จนเปน็ อตั โนมตั ิ จน ไมไ่ ดฝ้ กึ จนเหน็ เหตเุ หน็ ผล สตปิ ญั ญาทเ่ี ราสรา้ งขนึ้ มาใหม่เข้าไปท�ำความเข้าใจกับตัวใจ การเกิดการ ดับของใจ การก่อตัวของขันธ์ห้า ใจกับขันธ์ห้าซ่ึง เป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดอย่างไร เขารวมกันได้ อย่างไร ใจเกิดกิเลส เกิดทิฐิเกิดมานะ เรารู้จักละ รู้จักดับรู้จักหยุด รู้จักหาวิธีแก้ไขให้ได้ ใช้ตัวเอง ใหเ้ ปน็ ทา่ นถงึ บอกวา่ ตนเปน็ ทพ่ี ง่ึ ของตน ‘ตน’ ตวั แรกคอื สติที่เราสร้างข้ึนมานี่แหละ ‘ตน’ ตัวท่ีสองก็คือ ตัวใจ เวลาน้ีใจของเราขาดที่พึ่ง มายึดติดขันธ์ห้า มาพ่ึงร่างกาย อันนี้พ่ึงได้อยู่ในระดับของสมมติ เราอาจจะไม่รู้เพราะว่าเรามาหลงมายึด แล้วก็ไป พึง่ สงิ่ โน้นบ้างสิ่งนี้บา้ งสารพัดอย่าง พระธรรมเทศนา จากวดั ป่าธรรมอุทยาน : 35

อบรมใจ เพราะวา่ ขาดสตเิ ปน็ ทพ่ี งึ่ ของใจ ขาดการอบรมใจ มีตั้งแต่ใจวิ่งไปอบรม อบรมโน่นอบรมนี่ เกิดส่ง ออกไปภายนอกหาท่ีพึง่ ภายนอก ใจกเ็ ลยไม่สงบ อาจจะเกดิ อยใู่ นคณุ งามความดี แตค่ วามเกดิ ของใจ น่นั แหละท่ที �ำใหไ้ มส่ งบ เราพยายามท�ำความเขา้ ใจอบรมใจจนใจคลายออก จากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม หงายข้ึนมา ตามดู เหน็ ขันธห์ ้า เห็นความเกิดความดับ เขาเรียกว่า ‘รู้ เห็นอาการของอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตาในกายของ เรา’ ใจกว็ า่ งรบั รู้อยู่ ใจเขาเป็นนามธรรม ไม่มีตัวไม่มีตน แต่ความรู้สึก รับรู้มีอยู่ เรามาเจริญสติเขา้ ไปอบรมใจ หาวิธแี กไ้ ข รู้จักสร้างก�ำลังใจข้ึนมา ช้ีเหตุชี้ผล เพียงแค่คลาย ขนั ธห์ า้ แยกรปู แยกนามใหไ้ ด้ ตวั อน่ื กค็ ลายไดห้ มด  36 : ต่นื กนั เถิด

ควบคมุ ใจ ทนี เี้ รากม็ าละกเิ ลสทง้ั กเิ ลสหยาบกเิ ลสละเอยี ด สว่ น มากกม็ ตี ้ังแตก่ เิ ลสละเอยี ด กเิ ลสหยาบๆ นานๆ ที ถงึ จะเกดิ กบั ความหลง ถา้ คลายความหลงไดแ้ ยกรปู แยกนามได้ก็มาเร่ืองของกิเลส มาเร่ืองของความ เกิด การก่อตัวของใจส่งออกไปภายนอกเรียกว่า อย่างไร เปน็ กศุ ลหรอื วา่ อกศุ ล ความคิดท่ีเราไม่ต้ังใจภายในกายของเราเรียกว่า ‘ขนั ธห์ า้ ’ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของรา่ งกายของเรา สว่ นรปู กน็ ง่ั อยนู่ แ่ี หละ สว่ นวญิ ญาณกส็ ว่ นความคดิ อารมณ์ ต่างๆ เราพยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกต รู้ไม่ทัน เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับรู้จักควบคุม รู้จักลักษณะ ของสติเป็นอย่างนี้ รู้จักลักษณะของใจ ใจที่ปกติ เป็นอย่างนี้ เวลาใจเกิดเราควบคุมใจของเราได้ ต้ังแต่ต้นเหตุ หรอื วา่ กลางเหตุ หรือว่าปลายเหตุ หรือว่าส่งออกมาทางวาจา เราดับภายในไม่ได้ เรากม็ าหยุดทางวาจา เราหยุดทางวาจาไม่ได้ เราก็ ต้องมาใช้ปัญญาหลบหลีกหาวธิ แี กไ้ ข พระธรรมเทศนา จากวัดปา่ ธรรมอทุ ยาน : 37

แก้ไขใจ แตล่ ะวนั ๆ ใจเกดิ สกั กเ่ี ทย่ี ว เหตจุ ากภายนอกท�ำให้ เกดิ หรอื เกดิ จากภายใน กเิ ลสเกดิ ทก่ี ายหรอื วา่ เกดิ ขน้ึ ทใ่ี จ เกดิ ขน้ึ ทก่ี าย ใจสง่ เสรมิ หรอื ไม่ หรอื วา่ เกดิ ขน้ึ ทใี่ จ กายท�ำหนา้ ทอ่ี ยา่ งไร ภาษาธรรมสกั แตว่ า่ ดู สักแตว่ า่ รู้ สักแต่วา่ ฟัง ร้จู กั ลกั ษณะ สติปัญญาทางโลกีย์มีเท่าไหร่ก็อย่าเพิ่งเอามาคิด ไมใ่ ชแ่ นวทางดบั ทกุ ข์ เรามาสรา้ งความรตู้ วั ใหร้ เู้ ทา่ รู้ทัน ท�ำความเข้าใจว่าอะไรควรละ อะไรควร เจริญ อะไรควรด�ำเนิน ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ไม่ปล่อยเวลาท้ิง ทุกเวลาทุกขณะลมหายใจเข้า ออกน่ันแหละเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ต่อไป ข้างหน้าก็ทุกขณะจิต ใจเป็นเอกเป็นหน่ึง รับรู้อยู่ ภายใน ผดิ ถกู ชวั่ ดี เอาสตปิ ัญญาไปแก้ไข 38 : ตน่ื กนั เถดิ

แก้ไขตัวเอง แต่เวลาน้ีเขารวมกันไปหมด อาจจะเห็นถูกอยู่ใน ระดบั ของสมมติ แตใ่ นหลกั ธรรมแลว้ ยงั ยงั หลงอยู่ ตราบใดที่ใจยังเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่หลง เกิดแล้วก็ มายึดมาติด แล้วก็มาเป็นทาสของกิเลสอีก เราก็ คอ่ ยมาขัดเกลา  ใจมคี วามตระหนเ่ี หนยี วแนน่ เรากพ็ ยายามละความ ตระหนเ่ี หนยี วแนน่ ดว้ ยการใหด้ ว้ ยการบรจิ าคดว้ ย การเอาออก ใจเกิดความโกรธก็พยายามดับความ โกรธ แล้วก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คดิ ดี เรามคี วามเกียจคร้าน เรากพ็ ยายามละความ เกยี จครา้ น เราไมม่ คี วามรบั ผดิ ชอบเรากส็ รา้ งความ รบั ผดิ ชอบขนึ้ มา รบั ผดิ ชอบตอ่ ตวั เราใหไ้ ด้ ใชต้ วั เอง ให้เป็นก็จะล้นออกไปสหู่ มู่คณะ พระธรรมเทศนา จากวัดปา่ ธรรมอุทยาน : 39

รบั ผดิ ชอบตวั เอง ส่วนมากก็จะวิ่งออกไปรับผิดชอบต้ังแต่สมมติ รบั ผิดชอบต้งั แต่ภายนอกกนั ให้รับผิดชอบตวั เรา ให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็นเสียก่อน เร่ืองข้างนอกน้ัน เราก็อนุเคราะห์ช่วยเหลือด้วยเหตุด้วยผล ด้วย สติด้วยปญั ญา ดว้ ยพรหมวิหาร ด้วยใจที่ไม่เกดิ เราต้องแก้ไขภายในให้จบ เป็นเร่ืองของเราไม่ใช่ เรอ่ื งของคนอน่ื กเิ ลสกข็ องเรา กเิ ลสมากกเิ ลสนอ้ ยก็ ของเรา กเิ ลสเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ไหร่ ปญั ญากจ็ ดั การกบั มนั ทันที หาอุบายหาวิธีการแนวทางที่จะเข้าไปแก้ไข ตั้งแต่ความเกิดแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่ความเกิด ของใจ ใจไม่เกดิ แลว้ กิเลสจะมีมาทไ่ี หน 40 : ตืน่ กันเถดิ

เรอ่ื งส�ำคัญ ในเมอ่ื เขามาสรา้ งกเิ ลส มาสรา้ งกายขน้ึ มาแลว้ เรา มาจ�ำแนกแจกแจง มาแยกแยะ  ชเี้ หตชุ ผี้ ล แล้ว ก็ไปละ แล้วก็ดับความเกิด ละกิเลสท่ีใจ มีเร่ือง เดียวน่แี หละไม่มีเรื่องอนื่ ถ้าเรารู้จักต้นเหตุแล้วก็ปลายเหตุ มันก็ไม่มี ปญั หา ดบั ตง้ั แตต่ น้ เหตุ พระพทุ ธองคท์ า่ นถงึ ชลี้ งท่ี เหตุ ดบั ภายใน ดบั ไมไ่ ด้ เราดบั กท็ งั้ ภายนอกภายใน เหตุจากภายนอก ก็ละภายนอก แก้ไขภายนอก แล้วมาดบั ภายใน แลว้ ก็อยูก่ บั สมมติ เคารพสมมติ มคี วามสขุ ในสงิ่ ทเ่ี รามเี ราเปน็ มคี วามพอใจ มคี วาม สุขในสง่ิ ทเี่ รามีเราเปน็ ไมห่ ลงไมย่ ดึ ไมว่ ่าจะอย่ใู น อริ ิยาบถไหน ยนื เดนิ นัง่ นอน กนิ อยู่ขับถ่าย พระธรรมเทศนา จากวดั ปา่ ธรรมอุทยาน : 41

สติ สมาธิ ปัญญา การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม บาง คนบางท่านก็ฝึกหัดปฏิบัติมาดี บางคนบางท่าน ก็สมมติไม่พร้อม บางคนบางท่านสมมติก็ล้น เรา ต้องมาศึกษาท�ำความเข้าใจ จะมีมากมีน้อยก็เป็น เร่ืองของปัญญา สติท่ีเราสร้างขึ้นมาถ้าอบรมใจได้ ควบคุมใจได้ ช้ีเหตุชี้ผลจนรู้เท่ารู้ทัน จนแยกจน คลายได้ สติ-สมาธิ-ปัญญาต้องเสมอภาคกัน ถ้าใจเกิดวิ่ง อย่างเดียวก็มีแต่ความทุกข์ ความกังวลความ ฟุ้งซ่านต่างๆ เป็นทาสของกิเลส ถ้าสติปัญญาคิด ไม่หยดุ สมองก็ไม่ได้พกั เราพยายาม ใจก็หยดุ สติ ปัญญาท�ำหน้าท่ีแทน ทีน้ีสติปัญญาของเรา อะไร เป็นประโยชน์เราก็คิด-ท�ำ อะไรไม่เป็นประโยชน์ เราก็ไม่คิด อะไรท่ีจะเป็นอกุศล เราก็ไม่คิด คิด เฉพาะสงิ่ ทเ่ี ปน็ ประโยชน์ สงิ่ ไหนไมเ่ ปน็ ประโยชน์ เรากไ็ มค่ ดิ การกระทำ� ของเรากต็ อ้ งถงึ พรอ้ ม แลว้ กไ็ ม่หลงไม่ยึด ยังประโยชน์ 42 : ตื่นกนั เถิด

ตนื่ กันเถดิ ต้องศึกษาเราให้กระจ่าง วางใจของเราให้เป็น ธรรมชาตทิ ส่ี ดุ วางใจวางกายใหเ้ ปน็ ธรรมชาติ ยืน เดนิ น่งั นอน กนิ อยกู่ บั ถ่าย ก็เปน็ แคเ่ พยี งอิรยิ าบถ เรารู้ตน้ ตอ ตน้ เหตุ สาเหตุแลว้ ก็ไปจัดการ จัดการ ท่ีต้นเหตุ แล้วก็บริหารรับผิดชอบด้วยปัญญา จะ ท�ำมากท�ำนอ้ ยมมี ากมนี ้อยก็เปน็ เรื่องของปัญญา พระใหม่พระเก่าก็ต้องเป็น ‘ผู้ใหม่’ ตลอด ใหม่ ในการรู้ ในการตน่ื ในการเบกิ บาน ตน่ื จากกเิ ลส ตนื่ จากความยดึ มนั่ ถอื มนั่ มคี วามรบั รอู้ ยใู่ นความ บริสุทธิ์ หรือซ่ึงเรียกว่า ‘วิหารธรรม’ คือความ บรสิ ุทธิ์ ความวา่ ง ความเย็นหรอื ว่าปีติ วิหารธรรม ของใจใจที่ปราศจากกิเลส ใจทไ่ี ม่เกดิ พระธรรมเทศนา จากวัดป่าธรรมอทุ ยาน : 43

คลายความหลง อันน้ีหลวงพ่อพูดปลายเหตุ ต้นเหตุเราก็ต้อง พยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ใจเกดิ เม่อื ไหรเ่ รา ก็ดับ ดับแล้วก็วาง ใจหลงขันธ์ห้าเม่ือไหร่ สังเกต ทนั เขากแ็ ยก ตามดใู หไ้ ดเ้ สยี กอ่ น ตามดรู คู้ วามเปน็ จริงภายในกายของเราให้ได้ แล้วก็มาสร้างสะสม บุญบารมี ละกิเลส ละความตระหน่ีเหนียวแน่น ละความเห็นผิด ถ้าแยกได้ความเห็นผิดก็หายไป ความเห็นถูกก็ปรากฏ ซ่ึงเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ- ความเห็นถูก’ โดยท่ัวไป เราอาจจะเห็นถูกในระดับของสมมติ แตย่ ังไม่ใช่ตัวใจ เราต้องพยายามคลายใจออกจาก ขนั ธห์ ้า แลว้ กเ็ หน็ ถูก 44 : ตื่นกันเถดิ

สคู่ วามบริสุทธ์ิ แต่ใจยังมีกิเลสอีกมากมาย ย่ิงฝึกเท่าไหร่ยิ่งเห็น เยอะ มนั อดั แนน่ มานาน เปน็ ทาสของกเิ ลสมานาน ความเกดิ มมี านานแล้ว ก็เปน็ ทาสของกิเลสเพราะ ว่ามันหลงมาต้ังนาน เราต้องพยายามคลายออก ทุกอย่าง ให้ใจของเรากลับสู่สภาวะเดิม คือความ บริสุทธิ์ ความบริสุทธ์ิ ความไม่เกิด หนุนก�ำลังสติ ปัญญาไปเกิดแทน กายเน้ือแตกดับก็เข้าสู่ความ บรสิ ุทธิ์ไม่ตอ้ งกลบั มาเกิดกัน กต็ อ้ งพยายามกนั พยายามดว้ ยเหตดุ ว้ ยผล ดว้ ยสติ ดว้ ยปญั ญา อยา่ พยายามดว้ ยความทะเยอทะยาน อยากของกิเลสของใจ ทั้งความอยากทั้งความ หวงั มนั ผิดทงั้ หมด ทา่ นใหล้ ะทั้งอยากละทัง้ หวงั แล้วการสังเกตการวิเคราะห์การดับ รู้ไม่ทันเราก็ พยายามท�ำความเข้าใจใหม่ รู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็ พยายามหาวธิ ดี ับหาวิธีหยุด  พระธรรมเทศนา จากวัดป่าธรรมอทุ ยาน : 45

เจริญสติ เจริญปญั ญา ไม่ใช่วา่ ฝึกสติ ไม่รจู้ กั เอาสติปัญญาไปใช้ ฝกึ แลว้ ก็ ตอ้ งรจู้ กั เอาสตปิ ญั ญาไปใช้ รเู้ หตรุ ผู้ ลจนกำ� ลงั สติ ของเราคน้ ควา้ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ใหใ้ จยอมรบั ความ เป็นจริงหมด เขาก็ปล่อยเขาก็วางโดยปริยาย สติ ปัญญาสมาธิเขากจ็ ะรกั ษาเรา ช่วงใหม่ๆ สติไม่มีเราก็ต้องสร้างข้ึนมา ใจไม่สงบ เราก็พยายามท�ำ ฝึกใช้สมถะควบคุมใจให้สงบ ปญั ญายงั ไมเ่ กดิ ถา้ เราเหน็ ใจคลายออกจากขนั ธห์ า้ ปัญญาเห็นถูกก็เปิดทาง ก�ำลังสติมันช้าก็ต้องเร่ิม ใหม่ เพียงแค่ประคับประคองสติให้ได้ตรงนี้ก็ยัง ล�ำบาก เพียงแค่สร้างท�ำให้มีให้เกิดตรงนี้ก็ยัง ล�ำบาก มันจะเอาไปใชก้ ารใชง้ านไดอ้ ยา่ งไร 46 : ต่นื กันเถดิ

ความหลดุ พ้นของใจ เราก็ต้องพยายามท�ำความเข้าใจกับสมมติ ภาษา สมมติ ศลี เปน็ อยา่ งไร ความปกติเปน็ อย่างไร ปกติ ระดับไหน ระดับกาย วาจา ลึกลงไปก็ระดับใจ ใจที่ไม่เกิด ความปกติของใจ ความบริสุทธิ์ของใจ ความหลดุ พน้ ของใจ หลดุ พน้ ดว้ ยปญั ญา ละกเิ ลส ด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าแบบหินทับหญ้า เราก็ต้อง พยายามขัดเกลาเอาออก ให้ใจของเราเบาบาง จากกิเลส สกั วนั หนง่ึ ในวนั ขา้ งหนา้ เราอาจจะดบั ความเกดิ ได้ หมดจดไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ละกิเลสไม่ได้หมดก็ จะไปหมดเอาวันข้างหน้า ไม่หมดวันน้ีเดือนน้ีปีนี้ ปหี นา้ ไม่หมดจรงิ ๆ ไปต่อเอาภพหนา้ เพราะว่าใจ ยงั เกดิ อยู่ ถา้ ใจยงั เกดิ เรากต็ อ้ งพยายามแกไ้ ข หมนั่ น้อมใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ไม่ สูญหายไปไหน ทรัพย์-อริยทรัพย์ ความจริงอัน ประเสริฐน้ันมอี ยู่ พระธรรมเทศนา จากวดั ป่าธรรมอทุ ยาน : 47

เดินให้ถึงจดุ หมายปลายทาง การไดย้ นิ ไดฟ้ งั ไดอ้ า่ นทกุ คนมกี นั เตม็ เปย่ี ม แตก่ าร ลงมอื การกระท�ำตอ้ งเปน็ บุคคลทมี่ ีความเพยี รเปน็ เลศิ ถึงจะร้เู ทา่ รูท้ ัน รูก้ ันร้แู ก้ รูจ้ กั หาวิธีอุบาย อยู่ กบั สมมติ เคารพสมมติ ไมย่ ดึ ตดิ สมมติ มคี วามสขุ ในสง่ิ ท่เี รามีเราเปน็ ดแู ลรกั ษากายของเราจนกว่า จะหมดลมหายใจ สว่ นการเกดิ ของใจ เราละเราดบั ตั้งแต่ยังอยู่ในกาย ชี้เหตุช้ีผล เดินให้ถึงจุดหมาย ปลายทางกัน สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้เชื่อมโยง กันสักนิดนึงก็ยังดี ท�ำใจให้โล่งสมองให้โปร่งมี ความรูส้ กึ รับรอู้ ย่ทู ปี่ ลายจมกู ของเรา อยู่หลายคน กเ็ หมอื นกบั อยคู่ นเดยี ว อยคู่ นเดยี วขณะน้ี กใ็ หร้ วู้ า่ ลมหายใจวงิ่ เขา้ วงิ่ ออกกระทบปลายจมกู ของเราให้ ชดั เจนกันนะ  พากันไหว้พระพรอ้ มๆ กัน พากนั ไปท�ำความเข้าใจ ให้ร้ทู ุกอิริยาบถ 48 : ต่นื กนั เถดิ

พระธรรมเทศนา จากวัดปา่ ธรรมอุทยาน : 49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook