เสตะือกนดิ จใิตจ เขมรังสี ภกิ ขุ
เตือนจิตสะกดิ ใจ เขมรังสี ภกิ ขุ พมิ พค์ รง้ั ท ี่ ๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๖ จำ� นวนพิมพ ์ ๓๕,๐๐๐ เลม่ จดั พิมพโ์ ดย วดั มเหยงคณ์ ตำ� บลหนั ตรา อ�ำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐ โทรศัพท ์ : ๐๓๕-๘๘๑-๖๐๑-๒ ๐๘๒-๒๓๓-๓๘๔๘ โทรสาร : ๐๓๕-๘๘๑-๖๐๓ www.mahaeyong.org www.watmaheyong.org ออกแบบ / จดั ทำ� รูปเล่ม / พิสจู น์อักษร คณะศษิ ย์ชมรมกัลยาณธรรม พิมพท์ ี่ บรษิ ัทบุญศริ ิการพิมพ ์ จำ� กดั โทรศัพท์ ๐-๒๙๔๑-๖๖๕๐-๑ Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน
นะมัตถุ รัตตะนะตะยัสสะ ขอ ถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ขอความผาสกุ ความเจรญิ ในธรรม จงมี แก่ญาติสมั มาปฏิบตั ธิ รรมทง้ั หลาย ตอ่ ไปกพ็ งึ ตง้ั ใจสดบั ตรบั ฟงั ธรรมะ อนั เปน็ หลกั ธรรมคำ� สอนขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เพอื่ สง่ เสรมิ ศรทั ธา ปสาทะ ความเพยี ร และสตปิ ญั ญายง่ิ ๆ ขน้ึ ไป 4 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
ในจติ ใจของเรา บางครง้ั เกดิ ความ ท้อถอย เกิดความเกียจคร้านในการ ประพฤติปฏิบัติ เน่ืองจากขาดปีติหล่อ เลี้ยงจิตใจ จิตไม่อ่ิมเอิบผ่องใส ใจไม่ เบิกบาน ไม่มีสมาธิ จึงหมดก�ำลังใจ เกดิ ความท้อถอย เกดิ ความเกียจคร้าน ถกู อำ� นาจของโกสชั ชะ (ความเกยี จครา้ น) ครอบง�ำ ท�ำให้ส้ินหวัง ท้อถอย ท้อแท้ เพราะฉะนนั้ เราตอ้ งปลุกใจของตนเอง ขนึ้ มา ใหเ้ กดิ มศี รทั ธา เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความ เพยี รขนึ้ 5เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
การปลกู สรา้ งศรทั ธาใหเ้ กดิ ความ ขวนขวายพากเพยี ร กใ็ ชว้ ธิ กี ารตา่ งๆ เชน่ การนกึ ถงึ ชวี ติ ของเราซงึ่ มอี ยอู่ กี ไมม่ าก ในชาตินี้ เราเกิดมาแล้ว วันหนึ่งก็ต้อง ละจากโลกนี้ไป เวลาที่เราเหลืออยู่น้ี ไม่มากเลย ถ้าน�ำไปเปรียบกับอายุของ พรหม ของเทวดา อายขุ องมนษุ ยน์ จี้ รงิ ๆ สั้นมาก ช่ัวแป๊บเดียวเท่านั้น ถ้าเทียบ กบั เทวดาและพรหม ยกตวั อยา่ ง ในชนั้ ดาวดงึ ส ์ เพยี ง วันหนึ่งคืนหน่ึง ก็เท่ากับอายุมนุษย์ต้ัง 6 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
๑๐๐ ป ี เทวดามาเกบ็ ดอกไมก้ นั กำ� ลงั ขนึ้ ตน้ ไม ้ อยใู่ ตต้ น้ ไมบ้ า้ ง บนตน้ ไมบ้ า้ ง นำ� ดอกไมม้ าประดบั เทพบตุ ร ปรากฏวา่ มีนางเทพธิดาตนหนึ่งหมดอายุลงใน ขณะนน้ั ตายลงมาเกดิ เปน็ มนษุ ยผ์ หู้ ญงิ ระลกึ ชาตไิ ดว้ า่ ตนเองเคยอยใู่ นชน้ั เทวดา นั้น นึกถึงสามีตนเองท่ีเป็นเทพบุตร อยากจะกลบั ไปอยใู่ นสวรรค ์ จงึ พยายาม ทำ� บญุ ทำ� กศุ ลอยตู่ ลอดชวี ติ มคี รอบครวั มีลูกมีเต้า ท�ำบุญทีไรก็ตั้งจิตปรารถนา จะกลบั ไปสสู่ ำ� นกั ของสามตี นเองในสวรรค์ พอหมดอายุขัยก็ตาย แล้วกลับไปเกิด 7เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
ทเี่ ดมิ พวกเทวดา นางฟา้ บรวิ าร กย็ งั เกบ็ ดอกไมก้ นั อย ู่ พวกกถ็ ามวา่ “เธอหาย ไปไหน” เธอเล่าว่าไปเกิดเป็นมนุษย์ พวกถามวา่ “เปน็ อยา่ งไร มนษุ ยอ์ ายแุ ค่ ไหน” เธอกเ็ ลา่ ใหฟ้ งั วา่ ไปเกดิ แลว้ ตอ่ มา มคี รอบครวั มลี กู มเี ตา้ พอหมดอายขุ ยั กต็ าย เทวดากว็ า่ “โอ!้ มนษุ ยน์ อี่ ายชุ า่ ง สน้ั จรงิ ๆ แลว้ เขาอยกู่ นั อยา่ งไร” เธอตอบ ว่า ส่วนมากก็ประมาทกันอยู่ เทวดาก็ พากนั สลดใจ “โอ!้ ชวี ติ ชวั่ แปบ๊ เดยี ว แต่ เขากย็ งั ประมาทกนั ” 8 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
ฉะนั้น บางทีถ้าเราไม่คิด ก็รู้สึก เหมือนกับว่าชีวิตนี้จะอยู่ได้ตลอดไป แต่ความจริงแล้ว ไม่นานเลย วันเวลา ผ่านไปๆ โอกาสท่ีเราจะได้มาพบพระ พุทธศาสนา โอกาสท่ีจะได้ประพฤติ ปฏิบัติใช่จะเกิดข้ึนง่ายๆ เราจึงต้อง ขวนขวายเสียตอนนี้ เตือนใจ ปลุกใจ ตนเอง นึกถึงความทุกข์ที่รอคอยอยู่ ขา้ งหนา้ ในปจั จบุ นั ชาตนิ ี้ เรากม็ คี วาม ทุกข์มากอยู่แล้ว ชีวิตท่ีเกิดมาต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพลัดพราก ต้องไม่ สมปรารถนา ตอ้ งทกุ ขก์ ายทกุ ขใ์ จ ความ 9เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
เปน็ มนษุ ยน์ มี้ าดว้ ยบญุ มาสสู่ คุ ตภิ มู ิ แต่ ก็ยังทุกข์ขนาดน้ี ถ้าไปเกิดในอบายภูมิ คือความเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สตั วเ์ ดรจั ฉาน ไปดว้ ยบาป ไปดว้ ยอกศุ ล ก็จะย่งิ ทกุ ขท์ รมานมาก ฉะนนั้ เวลาทเี่ ราทอ้ ตอ่ ความทกุ ข์ เช่น อากาศร้อน รู้สึกไม่อยากปฏิบัติ เราตอ้ งนกึ วา่ ความรอ้ นในโลกมนษุ ยท์ ่ี เราไดร้ บั น ี้ ยงั เปน็ สว่ นนอ้ ยถา้ ไปเปรยี บ เทยี บกบั ความรอ้ นในนรกทยี่ งั รอคอยอยู่ ถ้าเรายังปฏิบัติไม่ถึงไหน ยังไม่พอที่จะ 10 เ ต ื อ น จิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
ก้าวไปสู่ขั้นของมรรคผลนิพพาน เราก็ ยงั มสี ทิ ธท์ิ จ่ี ะไปเกดิ ในอบายภมู ิ จะตอ้ ง เผชญิ ความรอ้ นกวา่ นมี้ ากมายนกั หรอื เมอื่ เราปว่ ยเราเจบ็ เดยี๋ วปวดหลงั ปวด ขา ปวดหัว ปวดท้อง อ่อนเพลีย เราก็ ตอ้ งระลกึ วา่ ทกุ ขข์ นาดนย้ี งั นอ้ ย ความ ปวดความเจ็บขนาดนย้ี งั นอ้ ย แตถ่ ้าเรา ไปเกิดในอบายภูมิ จะต้องปวด เจ็บ ทุกข์มากกว่านี้อีกเยอะ และเป็นความ ทกุ ข์ระยะยาวเสียดว้ ย 11เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
ฉะนั้น เราต้องอดทน ต้องต่อสู้ พากเพยี ร นกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ พระองค์ ก็ใช้ความเพียรปฏิบัติทุกรกิริยาอยู่ ๖ ป ี มหิ นำ� ซำ้� ...พระองคย์ งั เปน็ ลกู กษตั รยิ ์ เคยมีชีวิตอยู่กับความสุขสบายสมบูรณ์ ในพระราชวัง มีปราสาท ๓ ฤดู ลอง คดิ ดวู า่ ผทู้ เ่ี คยอยกู่ บั ความเพยี บพรอ้ ม ไปทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วต้องมาอยู่เป็น นักบวช อาหารก็ได้จากชาวบ้านตาม ชนบท ไมป่ ระณตี ทนี่ อนกไ็ มม่ หี อ้ งหบั อะไร สมยั นน้ั กอ็ าศยั อยเู่ ขา อยถู่ ำ้� อยู่ โคนไม้ เต็มไปด้วยเหลือบ ยุง ริ้น ไร 12 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
สัตว์ร้ายนานาชนิด แต่พระองค์ก็ออก มาอยไู่ ด้ ฉะนน้ั การทเ่ี ราเสยี สละบา้ นเรอื น มาใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ นั่งอยู่โคนไม้บ้าง อยู่กับดินบ้าง ก็ให้เราภูมิใจว่า เราได้ เดินตามรอยพระพุทธเจ้า เดินตาม ค�ำสอนของพระพุทธองค์ เกิดความ ภาคภูมิใจ ปลื้มใจในตนเอง ถ้าน�ำ ไปเปรียบเทียบกับการเสียสละของ พระพุทธองค์แล้ว การที่เราสละบ้าน เรือนมาน้ี ช่างเล็กน้อยเสียน่ีกระไร 13เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
พระองคบ์ �ำเพญ็ ทกุ รกริ ยิ าอย่ ู ๖ ปดี ว้ ย การอดอาหาร กลั้นลมหายใจ ท�ำวิธี ทรมานตนทุกอย่างท่ีเขาท�ำกันในสมัย นนั้ ผา่ ยผอมอยา่ งทเ่ี ราเหน็ พระพทุ ธรปู ปางบ�ำเพ็ญทุกรกิริยา เวลาที่พระองค์ เอาพระหตั ถล์ บู พระอทุ ร (ทอ้ ง) พระอทุ ร ก็กระทบกับกระดูกสันหลัง เม่ือคล�ำ ที่กระดูกสันหลังก็กระทบถึงหน้าท้อง ความทผี่ อมไมม่ เี นอื้ มแี ตห่ นงั หมุ้ กระดกู ก้นก็แหลมเหมือนกับเท้าอูฐ พระองค์ ตรัสเล่าไว้ว่า หนังศีรษะท่ีขาดอาหาร เหี่ยวย่นเหมือนผลน�้ำเต้าท่ีถูกแดดเผา 14 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
จนเหี่ยว พอน�ำพระหัตถ์มาลูบพระวร- กาย พระโลมา (ขน) กห็ ลดุ รว่ งไปเพราะ ขาดอาหาร บำ� เพญ็ อยา่ งน ี้ ๖ ป ี ลกุ ขนึ้ เดนิ จงกรมกล็ ม้ สลบ เผอญิ เดก็ ชาวบา้ น แถวนน้ั เลยี้ งแพะ เลยี้ งแกะ ผา่ นมาเหน็ พระองค์ล้มสลบ ก็ช่วยกันเอาน้�ำ เอา นำ�้ นมมาหยอด พระองคก์ ฟ็ น้ื ขน้ึ ตรอง ดูเห็นว่าท�ำอย่างที่สุดขนาดน้ีแล้ว ก็ยัง ไมบ่ รรลสุ มั มาสมั โพธญิ าณ จงึ เรม่ิ เสวย พระกระยาหารอีกคร้ัง ปัญจวัคคีย์ ๕ ทา่ นทมี่ าอยปู่ รนนบิ ตั ริ บั ใช ้ เหน็ พระองค์ เรมิ่ หนั มาฉนั อาหาร เขา้ ใจไปวา่ พระองค์ 15เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
คลายความเพียร จึงหนีไป แต่ที่จริง... พระองคพ์ จิ ารณาเหน็ วา่ แมท้ รมานตน อย่างที่สุดแล้ว ก็ยังไม่ส้ินกิเลส จึงควร หันไปบ�ำเพ็ญเพียรทางจิต และเม่ือจะ บำ� เพญ็ เพยี รทางจติ กต็ อ้ งอาศยั กายทมี่ ี กำ� ลงั ตามสมควร ถา้ ไมม่ กี ำ� ลงั เลย กอ็ ยู่ ไมไ่ ด ้ พระองคจ์ งึ ฉนั อาหาร ใหร้ า่ งกาย มีก�ำลงั ข้ึน และในวันท่ีพระองค์จะตรัสรู้น้ัน ทรงต้องผจญกับมาร เม่ือทรงขึ้นน่ังบน บัลลังก์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ พระองค์ 16 เ ต ื อ น จิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
17เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
ไดอ้ ธษิ ฐานวา่ การนงั่ ครงั้ น ี้ ตราบใดที ่ ยงั ไมบ่ รรลสุ มั มาสมั โพธญิ าณแลว้ จะ ยอมตาย แมเ้ ลอื ดและเนอื้ จะเหอื ดแหง้ ไป เหลอื แตห่ นงั เอน็ กระดกู กจ็ ะไม่ ลุกจากท่ีนี้โดยเด็ดขาด พระองค์ก็น่ัง ตั้งแต่บ่าย พญามารพร้อมเสนามารมา ผจญ ใชศ้ าสตราอาวธุ ใชท้ กุ วธิ ี พระองค์ ต้องต่อสู้กับมาร อาศัยบารมีที่ได้ทรง ส่ังสมบ�ำเพ็ญมา ในท่ีสุดทรงสามารถ เอาชนะมารเหลา่ นน้ั และทำ� ความเพยี ร ทางจิตต่อเน่ืองเร่ือยไป จนปฐมยาม (ช่วงหวั คำ่� ) พระองคก์ ไ็ ดบ้ รรล ุ ปุพเพ- 18 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
นวิ าสานสุ ตญิ าณ คอื ระลกึ ชาตไิ ด ้ มอง เหน็ อดตี ชาตขิ องพระองคเ์ องวา่ เคยเกดิ เป็นใคร ท่ีไหน อย่างไร ถอยหลังไป มากมาย พอถึงมัชฌิมยาม (ยามดึก) กท็ รงบรรล ุ จตุ ปู ปาตญาณ หรอื ทพิ ยจกั ษุ คือ รู้เห็นการเกิด-การตายของสัตว์ทั้ง หลาย ซ่ึงเปรียบเหมือนกับคนออกจาก บ้านนี้...ไปเข้าประตูบ้านน้ัน ออกจาก บ้านน้ัน...มาเข้าบ้านน้ี สัตว์ท่ีตายจาก โลก...บางทตี ายจากมนษุ ย ์ แลว้ เกดิ เปน็ มนุษย์อีกก็มี บางทีตายจากมนุษย์ ไป เกดิ เปน็ สตั วน์ รก หรอื ไปเปน็ เปรต เปน็ 19เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
อสรุ กาย หรอื บา้ งกไ็ ปเปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉาน บางทีตายจากมนุษย์ ก็ไปเป็นเทวดา หรือไปเกิดเป็นพรหม แล้วแต่กรรม บุญ-บาปท่ีตนเองท�ำไว้ บางพวกก็ตาย จากสตั วเ์ ดรจั ฉานมาเปน็ มนษุ ย ์ หรอื ไป เป็นเทวดาก็มี บางพวกตายจากเทวดา มาเป็นมนุษย์ก็มี หรือไปลงนรกก็มี ตายจากพรหมมาเป็นมนุษย์ ตายจาก พรหมไปเปน็ เทวดากม็ ี เหลา่ นพี้ ระองค์ ทรงมองเหน็ เห็นว่าสัตว์ทง้ั หลายมกี าร เกิด การตาย เวียนว่ายตาย-เกิดตาม กรรมทต่ี นเองท�ำไว้ 20 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
พระองคน์ งั่ โดยไมเ่ ปลย่ี นอริ ยิ าบถ ตลอดต้ังแต่บ่ายมา จนผ่านชนะมาร เจริญอานาปานสติ ก�ำหนดลมหายใจ เขา้ -ออก ไดส้ มาธ ิ ไดฌ้ าน เกดิ อภญิ ญา ได้ ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ซง่ึ เปน็ อภญิ - ญาทรี่ ะลกึ ชาตไิ ด ้ แตเ่ มอ่ื ยงั ไมต่ ดั กเิ ลส ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ แม้เมื่อมัชฌิมยาม ทรงบรรลุอภิญญาอีกข้อหนึ่งซึ่งเป็นผล ของสมถะ คือ จุตูปปาตญาณ คือ รู้ การเกดิ -การตายของสตั วท์ ง้ั หลาย กย็ งั ทรงเป็นปุถุชนอยู่ในช่วงน้ัน จนกระทั่ง ปจั ฉมิ ยาม (ยามใกลร้ งุ่ ) พระองคจ์ งึ ทรง 21เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
บรรลุอภิญญาข้อท่ีเป็นผลของวิปัสสนา คอื อาสวกั ขยญาณ คอื ญาณทต่ี ดั อาสวะ กิเลสขาด บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้ รู้แจ้งโลกท้ังหลาย รู้จากความ เปน็ จรงิ รจู้ ากทกุ ข ์ รจู้ ากเหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับ ทกุ ข ์ ชำ� แรกกเิ ลสขาดไปจากจติ ใจ น.่ี .. พระองค์เด็ดเด่ียวมีความเพียรอย่างนั้น จึงบรรลุธรรม พระสงฆท์ อี่ าศยั ค�ำสอนจากพระ- พทุ ธเจ้าก็ปฏิบัติตามพระองค ์ พอได้มา 22 เ ต ื อ น จิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
บวช ฟังคำ� ส่ังสอนของพระองค ์ เรียนรู้ กรรมฐานแล้ว ก็ออกไปสู่ป่า สู่โคนไม้ สเู่ รอื นวา่ ง ปรารภความเพยี ร กไ็ ดบ้ รรลุ เป็นอริยบุคคล เป็นโสดาบันบ้าง เป็น สกทาคามีบ้าง เป็นอนาคามีบ้าง เป็น พระอรหันต์บ้าง บางรูปใช้ความเพียร อย่างมาก เดินจนเท้าแตกเลือดไหล เดนิ เลอื ดสาด เทา้ เจบ็ เดนิ ไมไ่ ดก้ ค็ ลาน ท�ำความเพียรอย่างหนักขนาดนั้นก็มี แต่พระองค์ทรงฉายนิมิตไปให้ปรากฏ แล้วสอนว่า จงปฏิบัติให้พอดี ความ เพยี รกบั สมาธติ อ้ งใหเ้ สมอกนั ศรทั ธา 23เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
กับปัญญาต้องให้เสมอกัน สติน้ันควร มใี หม้ าก ถ้าเพียรมาก แต่สมาธิไม่ทันกัน จะฟุ้ง ถ้าสมาธิมากกว่า แต่ความเพียร ย่อหย่อน จะง่วง ถ้าศรัทธามาก แต่ขาดปัญญา ก็ อาจน้อมใจเชอื่ อะไรงา่ ย แล้วกห็ ลงทาง ปฏบิ ตั ิ เขา้ ใจทางผิด ถ้าใช้ปัญญามาก แต่ศรัทธาน้อย วจิ ยั วจิ ารณม์ ากไป อาจกลายเปน็ จบั จด 24 เ ต ื อ น จิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
ตดั สนิ อะไรไมล่ ง ไมป่ ลงใจอะไรสกั อยา่ ง ผลคอื ไมเ่ ชอ่ื อะไรสกั อยา่ ง หรอื ใชป้ ญั ญา พิจารณามากไปจนเลยเถิด อะไรๆ กส็ ูค้ วามพอดีไมไ่ ด้ ในสมัยพุทธกาล มีตัวอย่างพระ สาวกท่ีปรารภความเพียรอย่างยิ่งยวด หลายรปู บางรปู ใชค้ วามเพยี รในอริ ยิ าบถ ๓ จนกระทั่งส�ำเร็จเป็นพระอรหันต์ อยา่ งพระจกั ขบุ าล ทา่ นอธษิ ฐานปฏบิ ตั ิ ในพรรษา ๓ เดือน ตั้งจิตตั้งเจตนาว่า 25เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
จะไม่นอน จะใช้เพียงอิริยาบถ ๓ คือ ยืนบ้าง เดินบ้าง นั่งบ้าง เดินจงกรม นั่งสมาธิ แต่จะไม่นอนทั้งกลางวันและ กลางคนื ตลอด ๓ เดอื น ตอ่ มานยั นต์ า ของท่านเกิดเจ็บ โยมพาหมอมารักษา หมอให้ยาหยอดที่ต้องนอนหยอด พอ หมอกลบั ไป ทา่ นกน็ ง่ั หยอดยา วนั ตอ่ มา หมอมาด ู เหน็ วา่ ตายงั ไมห่ ายเจบ็ สอบ- ถามทา่ น ทา่ นไมย่ อมตอบ หมอจงึ ไปดู ทที่ พี่ กั ไมเ่ หน็ มที นี่ อน กร็ วู้ า่ ทา่ นไมน่ อน หยอดยา หมอก็เลยเลิกรักษา ท่านไม่ ยอมนอนเพราะว่าได้อธิษฐานแล้ว จะ 26 เ ต ื อ น จิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
ไมย่ อมเสยี ธรรม แมจ้ ะเสยี ดวงตากย็ อม ท่านท�ำความเพียรจนในที่สุด...ตาแตก พรอ้ มๆ กบั ไดบ้ รรลอุ รหนั ต์ สน้ิ อาสวะ กเิ ลส นถ่ี า้ ทา่ นยอมเสยี สจั จะเพราะกลวั ตาจะบอด ชาตนิ นั้ ทา่ นกอ็ าจไมไ่ ดบ้ รรลุ ธรรม ทา่ นกจ็ ะตอ้ งไปทกุ ขอ์ กี หลายภพ หลายชาติ ท่ีจริง...ท่ีท่านตาบอดก็เกิด จากบาปท่ีท่านทำ� ไว้เอง ท่านต้องใช้หน้ี กรรมมาแลว้ หลายภพหลายชาต ิ เพราะ ในอดตี นนั้ เคยปรงุ ยาทำ� ใหเ้ ขาตาบอด... 27เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
ในอดีตชาติหนึ่ง ท่านเป็นหมอ รกั ษาตาเกง่ มาก มแี มล่ กู คหู่ นงึ่ ลกู สาว ตาบอดแม่พามาให้หมอรักษา ถ้าหาย จะยกลูกสาวให้ หมอให้ยาไปรักษา จนหาย ตามองเห็นขึ้นมา แต่สองคน บดิ พลวิ้ แกลง้ ทำ� เปน็ วา่ ยงั ไมห่ าย ไมอ่ ยาก จะเปน็ เมยี หมอ หมอรทู้ นั บอกวา่ ถา้ ยงั ไมห่ าย กเ็ อายาไปใสเ่ พม่ิ อกี คราวหลงั น้ีเอายาพิษใส่ให้ไป ตาเลยกลับบอด อย่างเดิม ด้วยกรรมอันน้ันท่านไปตก นรก ใชห้ นก้ี รรมในนรก พอมาเกดิ เปน็ มนษุ ยก์ ต็ าบอดอยอู่ ยา่ งน ้ี เกดิ มาชาตใิ ด 28 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
กต็ าบอดอกี กรรมทที่ ำ� แลว้ ไมไ่ ดใ้ หผ้ ล ครั้งเดียว แต่ให้ผลไปหลายภพหลาย ชาติ เป็นไปตามกฎแห่งกรรม แต่ใน ชาติสุดท้าย อาศัยที่ท่านมีสัจจะกับ ตวั เอง ไมย่ อมเสยี ธรรมะ แมต้ าจะแตก ก็ยอมให้แตก ท่านจึงบรรลุธรรมเป็น พระอรหันต์ได้ ท่านจึงไม่ต้องไปเวียน วา่ ยตาย-เกดิ ใหท้ กุ ขท์ รมานซำ้� เกดิ ซำ�้ ๆ แก่ซ�้ำๆ เจ็บซ�้ำๆ ตาบอดซ้�ำๆ อยู่อย่าง นน้ั ก็จบแค่น้ัน 29เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
ภกิ ษอุ กี รปู หนงึ่ ทใ่ี ชค้ วามเพยี ร คอื พระตสิ สะ กอ่ นบวชทา่ นเปน็ ลกู เศรษฐี มที รพั ยม์ ากถงึ ๔๐ โกฏ ิ แตท่ า่ นกอ็ อก บวช บวชแลว้ ออกไปอยปู่ า่ บำ� เพญ็ สมณ ธรรม ปฏบิ ตั ธิ รรม ปรากฏวา่ นอ้ งสะใภ้ ละโมบโลภมาก หวังจะฮุบเอาสมบัติ มรดกไวท้ งั้ หมด เกรงวา่ ถา้ พสี่ ามเี กดิ สกึ กลบั มา กจ็ ะตอ้ งแบง่ มรดกกนั จงึ จา้ งวาน โจรใหไ้ ปฆา่ พระตสิ สะ โจรกม็ ารายลอ้ ม ทา่ นในปา่ หมายจะฆา่ พระตสิ สะบอก โจรว่า จะฆ่าก็ไม่ว่าอะไร แตข่ อชวี ติ ไว้ อกี ๑ คนื ไดไ้ หม โจรไมย่ อม กลวั วา่ ทา่ น 30 เ ต ื อ น จิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
จะหาอุบายหลบหนีไป ท�ำอย่างไรโจรก็ ไมย่ อม ทา่ นกค็ ดิ วา่ ท�ำอยา่ งไร โจรจะ เชอื่ วา่ ทา่ นจะไมห่ น ี ทา่ นอยากจะปฏบิ ตั ิ ธรรมเพื่อให้บรรลุธรรม ไม่อยากตาย อยา่ งมกี เิ ลส เพราะตายอยา่ งคนมกี เิ ลส มานบั ครง้ั ไมถ่ ว้ นแลว้ แตเ่ มอ่ื โจรไมย่ อม ไวช้ วี ติ ในทส่ี ดุ ทา่ นกเ็ ลยเอากอ้ นหนิ ท่ี อยขู่ า้ งหนา้ ทบุ ขาทงั้ สองขา้ งของตวั เอง ใหแ้ ตกหกั ตอ่ หนา้ โจร เพอ่ื ขอเพยี งมชี วี ติ อยู่อีกคืนหนึ่ง โจรก็เลยยอม แต่ก็จุด คบเพลงิ รายลอ้ มไว ้ พระตสิ สะทา่ นนงั่ ทำ� ความเพียรข่มทุกขเวทนา พวกเราลอง 31เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
32 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
คดิ ดวู า่ ขาทแ่ี ตกหกั จะเจบ็ ปวดขนาดไหน ทา่ นกข็ ม่ ควบคมุ อารมณ ์ กายจะปวดก็ ปวดไป รกั ษาใจไวไ้ มใ่ หป้ วดดว้ ย ไมท่ กุ ข์ ดว้ ย ด.ู ..กำ� หนดไปกม็ สี ตสิ ลบั กนั รปู้ วด ดว้ ย รใู้ จดว้ ย ดไู ปๆ กเ็ หน็ ปวดสว่ นปวด กายสว่ นกาย ใจสว่ นใจ ใจกเ็ ลยไมท่ กุ ข์ กายทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ด้วย ก�ำหนดไป กำ� หนดมา กเ็ หน็ สภาวะ รปู นาม เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ มคี วามเปลยี่ น แปลง เกิด-ดับ ย่อยยับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนตั ตา เหน็ ความไมใ่ ชต่ วั ไมใ่ ช่ ตน จติ ใจเบอื่ หนา่ ย คลายกำ� หนดั ทส่ี ดุ ... 33เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
จติ กพ็ น้ จากอาสวะกเิ ลส บรรลเุ ปน็ พระ อรยิ บคุ คลอยา่ งน.้ี ..แมจ้ ะถกู ฆา่ กไ็ มต่ อ้ ง ไปตายซ�้ำๆ อีก น่ีเขาเรียกว่าปรารภ ความเพียร ภิกษุอีกรูปหน่ึงไปบ�ำเพ็ญความ เพียรปฏิบัติอยู่ในป่า เดินจงกรม น่ัง สมาธิต่อเน่ืองกัน เมื่อเดินมากๆ เท้าก็ แตกเจบ็ จนเดนิ ไมไ่ หว เมอื่ เดนิ ไมไ่ ด ้ ทา่ น ก็คลานจงกรม ท่านคลานบ้าง นั่งบ้าง ตะคุ่มๆ อยู่แถวพุ่มไม้ วันน้ันเวลาโพล้ เพล ้ มนี ายพรานไปลา่ สตั ว ์ เหน็ ตะคมุ่ ๆ 34 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
นายพรานนึกว่าเป็นพวกเน้ือ พวกสัตว์ ก็พุ่งหอกออกไป หอกไปเสียบอกพระ ภิกษุนั้น นายพรานเข้าไปดูก็ตกใจ แต่ พระทา่ นไมว่ า่ ไมโ่ กรธ ขอใหน้ ายพราน ชว่ ยดงึ หอกออก พอดงึ หอกออก เลอื ด กพ็ งุ่ ทะลกั ออกมามาก ทา่ นกข็ อใหช้ ว่ ย ไปเอาหญ้ามาม้วนๆ อุดรูแผลไว้ก่อน และให้ช่วยประคองไปนั่ง ท่านก็น่ังท�ำ ความเพียรอยู่ ยอมตาย ท่านก�ำหนด ไปเร่ือยอย่างท่ีว่าน ี่ จะปวด จะเจ็บ จะ ทุกข์ทรมานขนาดไหนก็พยายามต้ังสติ ไว ้ รกั ษาจติ ไว ้ ดจู ติ ไว ้ รกั ษา พจิ ารณา 35เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
จิตไม่ทุกข์ด้วย ในท่ีสุด...ท่านก็บรรลุ เป็นพระอริยบุคคล ฉะน้ัน ถ้าเรามีความพากเพียร ความสำ� เรจ็ กจ็ ะเกดิ ขน้ึ การเขา้ ถงึ ธรรมะ เปน็ อรยิ ทรพั ย ์ เปน็ ทรพั ยอ์ นั ประเสรฐิ มีค่าสูงล้�ำกว่าสมบัติภายนอก สมบัติ ภายนอกจะเป็นที่ดินก่ีไร่ เงินทองใน ธนาคารเท่าไร บ้านกี่หลัง ยศอ�ำนาจ สูงส่ง หรือข้าทาสบริวารแค่ไหนก็ตาม กส็ อู้ รยิ ทรพั ยอ์ นั เปน็ ทรพั ยภ์ ายในนไ้ี มไ่ ด้ ยิ่งถ้าถึงข้ันบรรลุมรรคผลนิพพาน ค่า 36 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
ของธรรมะยงิ่ สงู กวา่ กนั มาก ลองพจิ ารณา ดวู า่ ทรพั ยส์ มบตั ภิ ายนอก ยศถาบรรดา ศักด์ิต่างๆ ดับทุกข์ให้เราได้ไหม เอา ชนะความแก ่ ความเจบ็ ความตายได ้ ไหม ดบั ความพลดั พราก ความเศรา้ โศก ในใจเราไดไ้ หม ดบั ไมไ่ ด ้ แกไ้ มไ่ ด ้ แม้ จะมีเงินทองทรัพย์สมบัติ บางทีก็นอน ทุกข์อยู่ในกองทรัพย์นั้น มีเงินหลาย หมื่นล้านก็ยังดิ้นรนกระวนกระวาย จะ มยี ศถาบรรดาศกั ดต์ิ ำ� แหนง่ สงู สดุ ขนาด ไหน ก็ยังเร่าร้อนถ้าหากว่าจิตไม่ได้เข้า ถึงธรรม แล้วก็ไม่ได้ทุกข์แค่ชาตินี้ชาติ 37เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
เดยี ว ตอ้ งไปทกุ ขซ์ ำ้� ๆ อยอู่ ยา่ งนน้ั ไมจ่ บ ไม่ส้นิ แต่หากเข้าถึงธรรม บรรลุธรรม ระดับใดระดับหน่ึง ก็สามารถปิดประตู อบาย เพยี งแคโ่ สดาปตั ตมิ รรคกป็ ดิ ประตู อบายไดส้ นทิ ไมต่ อ้ งไปเกดิ เปน็ สตั วน์ รก เปรต อสรุ กาย สตั วเ์ ดรจั ฉาน และเกดิ อย่างมากท่ีสุดอีกเพียง ๗ ชาติ ก็จะ ส�ำเร็จเป็นพระอรหันต์ หรือถ้าหากเรา ไม่ถึงข้ันโสดาบัน แต่ถ้าเราได้เห็นรูป เหน็ นาม ไดเ้ หน็ สภาวะเกดิ -ดบั กถ็ อื วา่ 38 เ ต ื อ น จิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
เปน็ จลุ โสดาบนั คอื ไดแ้ นวทาง ไดร้ จู้ กั ทางเดนิ เดนิ ตามทางน ี้ เหมอื นเราอยใู่ น ถ้�ำมืดมานาน เริ่มมีแสงสว่างประกาย ข้ึนนิดหน่ึงให้เห็น เราก็จะมีแนวทาง ที่จะออกจากถ�้ำได้ด้วยการเดินไปตาม แสงน้ัน หรือเราหลงอยู่ในป่ามานาน เราจะออกอย่างไร เม่ือเรามีผู้น�ำทาง เริ่มมองเห็นทางเดิน เราก็มีโอกาสจะ ออกจากป่าได้ ฉะน้ันแล้ว ก็ในเม่ือสิ่งท่ีเรียกว่า “ธรรมะ” นนั้ สงู คา่ อยา่ งน ้ี เราจะไมย่ อม 39เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
ลงทุนลงแรงพากเพียรท่ีจะให้ได้ให้ถึง หรือ เราลงทุนลงแรงกับการหาทรัพย์ ภายนอก เหนด็ เหนอื่ ยยากลำ� บาก เรา ยังท�ำได้ ทั้งๆ ท่ีท�ำแล้วก็ไม่ได้ดีอะไร แค่ไหน แต่การลงทุนลงแรงเพ่ือให้ได้ อริยทรัพย์ เม่ือได้แล้วถึงแล้ว จะเป็น ประโยชน ์ เปน็ ความดบั ทกุ ขใ์ หต้ นเอง เราจะไม่ลงทุนลงแรงหรือ ดังนั้น เมื่อ ยงั มสี งั ขาร ยงั มรี า่ งกาย ยงั มชี วี ติ จติ ใจ เราจะตอ้ งสละ ลงทนุ ลงแรง พากเพยี ร อดทน ต่อสู้กับความทุกข์ยากล�ำบาก แตก่ ไ็ มใ่ ชว่ า่ เราจะทนแบบดอ้ื ๆ ไปอยา่ ง 40 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
นั้น เราต้องมีศิลปะ มีวิธีการ มีความ ฉลาดในการปฏิบัติ จริงอยู่...เรามีเป้า หมายต่อความดับทุกข์ มีเป้าหมาย ต่อการละกิเลส แต่ไม่ใช่ต้องท�ำด้วย ความทะยานอยาก เพียรปฏิบัติก็จริง แตไ่ มใ่ ชเ่ พยี รดว้ ยใจเรา่ รอ้ น ไมใ่ ชเ่ พยี ร ด้วยความทะยานอยากจะเอาให้ได้ ปรารภความเพยี รใหต้ อ่ เนอ่ื ง แตร่ กั ษา ใจใหป้ กตไิ ว ้ มสี ตหิ ยง่ั รสู้ ภาพธรรมใน ตนเอง 41เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
สภาพธรรมในตนเองก็มีทั้งใน กายและในใจ ความรู้สึกในกายก็มีเช่น รู้สึกเย็น รู้สึกร้อน รู้สึกอ่อน รู้สึกแข็ง รสู้ กึ หยอ่ น รสู้ กึ ตงึ รสู้ กึ สบาย ไมส่ บาย น่ีแหละ ระลึกให้ตรงความรู้สึก ส่วน สภาวะทางใจก็มีอยู่เหมือนกัน ระลึก ให้ตรงลักษณะความนึกคิด คิดก็ให้รู้ รู้คิด รู้ลักษณะของอาการความรู้สึก ปฏิกิรยิ าท่ปี รงุ แต่งอยูใ่ นจติ ใจ ให้ระลึก สังเกตว่า สภาพของจิตขณะนี้...ถ้า สบายใจ ก็รู้ลักษณะสบายใจ, จิตไม่ สบายใจ ก็รู้ลักษณะความไม่สบายใจ, 42 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
จติ สงบ กร็ วู้ า่ ลกั ษณะจติ สงบเปน็ อยา่ งน,้ี จิตไม่สงบ ก็รู้ว่าลักษณะของจิตไม่สงบ เป็นอย่างน้ี, จิตมีความพอใจก็รู้, จิต ไม่พอใจก็รู้ ระลึกรู้ให้ตรงลักษณะของ สภาวธรรมทป่ี รากฏอยู่ สงั เกตความสขุ ความทกุ ขใ์ นกาย มันปวดหรือเจ็บก็ตาม มันเหน่ือย มัน แน่น จิตใจยังว้าวุ่น จิตใจยังวุ่นวาย ใจ ไมส่ งบ ดเู ขาไป อาศยั ความอดทนอดกลน้ั นงิ่ ด ู นง่ิ รเู้ ขา วางใจเฉยๆ ตอ่ เขา อยา่ งน้ี เรียกว่ามีความเพียรอยู่ ความเพียรใน 43เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
ท่ีน้ีคือ เพียรระลึกรู้ เพียรต้ังใจ เพียร ปฏิบัติ แต่ให้มันพอดี เพียรอย่างมี ความเหมาะสมพอด ี เจรญิ สตใิ หต้ อ่ เนอ่ื ง กัน คือเพียรมีสติอย่างถูกต้อง เพียร ระลึกรู้ให้ถูกต้อง ตรงทาง ตรงธรรม ระลึกให้ตรงต่อสภาวะท่ีก�ำลังปรากฏ แลว้ กป็ ลอ่ ยวางในท ี เรยี กวา่ รตู้ รง รเู้ ปน็ ตรงดว้ ย เป็นดว้ ย “ตรง” คอื ระลกึ ใหต้ รงตอ่ สภาวะ รูป-นามที่ก�ำลังปรากฏ สภาวะน้ันมัน เป็นจริง มีอยู่จริง ถ้าไม่ตรงก็จะเลยไป 44 เ ต ื อ น จิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
สบู่ ัญญตั ิ “เปน็ ” กค็ อื วางทา่ ทขี องการระลกึ น้ีให้เหมาะสม ให้เป็นกลาง ไม่ใช่ไป เพ่งเอาๆ จะเอาให้ได้ มันก็ล้�ำหน้าเกิน เลย ไมพ่ อด ี ตอ้ งวางใจใหพ้ อด ี จะพอดี ไดก้ ต็ อ้ งมกี ารฝกึ หดั ใหป้ ลอ่ ยใหว้ างอย ู่ ในท ี เวลาระลกึ รทู้ ไี รกป็ ลอ่ ยวาง หรอื สักแต่ว่า หรือไม่ว่าอะไร สักแต่ว่า... สกั แตว่ า่ ร ู้ ร.ู้ ..สกั แตว่ า่ ร ู้ เหน็ ...สกั แตว่ า่ เห็น ไม่เข้าไปยินดียินร้าย ไม่เข้าไป บงั คบั จดั แจง ไดย้ นิ ...สกั แตว่ า่ ไดย้ นิ ไม่ 45เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
ยินดียินร้าย ไม่เข้าไปบังคับ ไม่เข้าไป จัดแจง รู้อย่างสักแต่ว่ารู้ รู้อย่างไม่ว่า อะไร ส่ิงท้ังหลายจะเป็นไปอย่างไร ก็ รู้ไปอย่างน้ัน เขาจะเกิดก็เกิด เขาจะ เส่ือมก็เส่ือม จะดับก็ดับ มีก็มี ไม่มีก็ ไม่มี ก็แล้วไป ดูเขาเฉยๆ ให้เป็นผู้ดู อย่างวางอย่างปล่อย ดูตรงด้วย ดูเป็น ด้วย พร้อมกับสังเกตพิจารณาไปด้วย สังเกตความเปล่ียนแปลง สังเกตความ เกดิ -ดบั สงั เกตความไมใ่ ชต่ วั ตน ดซู วิ า่ มันใช่ตัวเราของเราไหม แต่อย่าไปคิด ยาวหรือคิดมาก เอาแค่สังเกตชั่วขณะ 46 เ ต ื อ น จ ิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
47เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
หนึง่ ทีเ่ ป็นปัจจบุ ันอยู่ น่ีแหละคือทางเดิน เดินตามทาง อย่างนี้ ทางเดินของวิปัสสนา ก็คือ รปู นาม ปรมตั ถ ์ สติเม่ือระลึกรูอ้ ยกู่ บั ปรมัตถธรรมอย่างน้ี ก็เท่ากับก�ำลัง เดินทางอยู่ จุดหมายปลายทางก็คือ มรรคผลนิพพาน ไม่มีเส้นทางอ่ืนท่ีจะ เข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ แม้เบื้องต้น เราจะปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร แตกตา่ งกนั อยา่ งไร กต็ าม ทสี่ ดุ แลว้ ตอ้ งรวมเขา้ มารรู้ ปู -นาม หรอื ปรมตั ถ ์ หรอื สภาวะทก่ี ำ� ลงั ปรากฏ 48 เ ต ื อ น จิ ต ส ะ ก ิ ด ใ จ
จงึ จะเหน็ ความเกดิ -ดบั จงึ จะเหน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา การถา่ ยถอนกเิ ลสตอ้ ง อาศยั การมปี ญั ญารแู้ จง้ ปญั ญาจะรแู้ จง้ ตามความเปน็ จรงิ กต็ อ้ งอาศยั การมสี ต ิ ระลึกรู้ตรงต่อสภาวะอย่างถูกต้องอยู ่ เสมอๆ ระลกึ ไป ระลกึ ไป บอ่ ยๆ เนอื งๆ แต่ไม่ใช่ระลึกทีเดียวให้เห็นแจ้งเลย มันไม่ได้ เพราะก�ำลังของสติยังสะสม มาไม่พอ ต้องค่อยๆ สะสมๆ สะสมๆ ไป ระลกึ ไปกอ่ น ระลกึ ไปเรอื่ ยๆ ถา้ เรา ใจร้อนจะระลึกให้มันแจ่มแจ้ง ไปเพ่ง เบง่ เครง่ ตงึ อยา่ งนน้ั ไมไ่ ด ้ ตอ้ งดเู บาๆ 49เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ
Search