1 0 0 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พื่ อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต ในการแสวงหาทรพั ยน์ ้นั ผู้มคี วามเพยี รยอ่ มหาทรัพย์ได้ดว้ ย การท�ำงานท่ีเหมาะสม มีธุระอยู่เสมอไม่ว่าง ขยันท�ำการงานหรือ ประกอบกจิ อนั เปน็ หนา้ ทข่ี องตน ไมเ่ หน็ แกก่ ารหลบั นอนมากเกนิ ไป คนท่ีมีชีวิตอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่ท�ำงานหรือหน้าท่ีของตน ใหเ้ ตม็ กำ� ลงั ยอ่ มเปดิ โอกาสใหค้ วามฟงุ้ ซา่ นเกดิ ขน้ึ ในใจไดม้ าก สว่ น คนท่ีขยันหมั่นเพียร ย่อมได้ความสงบใจ อย่างน้อยก็ได้ขณิกสมาธิ คอื สมาธชิ วั่ ขณะในเวลาทจ่ี ติ ใจจดจอ่ อยกู่ บั การงานนน้ั ความเพยี ร ยอ่ มกอ่ ใหเ้ กดิ ผลดแี กผ่ ทู้ ำ� ความเพยี รทงั้ ในปจั จบุ นั และอนาคต เหมอื น เรารดน�้ำตน้ ไมท้ โี่ คนแตม่ ผี ลทปี่ ลาย ผู้ท่ีจับจด เบื่อหน่ายง่าย ท�ำการงานไม่ม่ันคง ย่อมไม่ท�ำ ประโยชน์อันดีงามให้ส�ำเร็จได้ ประโยชน์อันดีงามย่อมส�ำเร็จแก่ผู้ ที่ท�ำการงานโดยไม่เบ่ือหน่าย ท�ำความเพียรเหมือนไฟสุมขอน คือ กรุ่นอยู่เสมอ ไม่ท�ำความเพียรแบบไฟไหม้ฟาง คือ ลุกวูบวาบขึ้น ชั่วคราว แลว้ ดับไปมอดไป ไม่ติดข้ึนอีก
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 10 1 อน่งึ ควรทราบว่า อะไรควรทำ� ก่อน อะไรควรทำ� ทีหลงั อยา่ ให้สับกัน ถ้าสิ่งที่ควรท�ำก่อนกลับไม่ท�ำ ประมาท นอนใจ เมื่อล่วง กาลผา่ นโอกาสเสยี แลว้ ทำ� ไมไ่ ด ้ จะตอ้ งเสยี ใจวา่ ถา้ เราทำ� อยา่ งนนั้ ๆ เสยี แตแ่ รกกจ็ ะไมว่ บิ ตั อิ ยา่ งน ้ี ซงึ่ เรามกั จะไดย้ นิ คนจำ� นวนไมน่ อ้ ยพดู อยา่ งนเี้ สมอ ตวั อยา่ งเดก็ ทอ่ี ยใู่ นวยั เรยี น โอกาสทจ่ี ะเรยี นกม็ ี พอ่ แม่ ก็มีเงินทองเพียงพอท่ีจะส่งเสียให้เล่าเรียนได้ แต่เกียจคร้าน มัวไป เพลดิ เพลนิ ในการเล่น การเท่ียว พอล่วงกาลผา่ นวยั ไปแล้ว มภี าระ ผูกพันมากมาย ไม่สะดวกในการศึกษาเล่าเรียนเสียแล้ว จึงนึกย้อน เสยี ใจและเสยี ดาย แตท่ กุ อยา่ งไดล้ ว่ งไปแลว้ เรยี กคนื ไมไ่ ด ้ ยอ้ นกลบั ไม่ได้ วันเวลาไม่ย้อนหลัง วันน้ีมีเพียงหนเดียว เพราะฉะนั้น จงท�ำ วนั นใ้ี หด้ ที ส่ี ดุ อยา่ ผลดั วนั ประกนั พรงุ่ ใหม้ ากนกั ความเพยี รตอ้ งรบี ท�ำวันน้ีทีเดียว ใครจะรู้ได้ว่าความตายจะมาถึงในวันพรุ่งนี้หรือไม ่ พงึ ตง้ั ใจไวว้ า่ เปน็ คนควรพยายามจนกวา่ จะสำ� เรจ็ ประโยชนท์ ป่ี ระสงค์
1 0 2 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พ่ื อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต การทำ� ความเพียรติดต่อเป็นการสรา้ งสมบารมี พระโพธสิ ัตว์ ในสมยั เปน็ พระมหาชนก ชาตหิ นงึ่ ในอดตี ของพระพทุ ธเจา้ ไดช้ อื่ วา่ เป็นผู้มีความเพียรอย่างย่ิงยวด ท่านมีทรรศนะว่า “อานิสงส์แห่ง ความเพยี รนนั้ มอี ย ู่ ถงึ แมจ้ ะมองไมเ่ หน็ ฝง่ั มหาสมทุ ร ขณะทวี่ า่ ย อยกู่ จ็ ะพยายามเรอื่ ยไป สกั วนั หนง่ึ จะตอ้ งถงึ ฝง่ั นน้ั ถา้ ไมต่ ายเสยี กอ่ น แตถ่ งึ จะตายในขณะทำ� ความเพยี รกไ็ มม่ ใี ครตเิ ตยี นได ้ ถ้าเลกิ ทำ� ความเพยี รเสยี สงิ่ ทจี่ ะเขา้ มาแทนกค็ อื ความเกยี จครา้ น คงจะ ต้องได้รับผลแห่งความเกียจคร้านของตน เม่ือมองเห็นผลที่ต่าง กันของความเพียรและความเกียจคร้านแล้ว ควรประกอบกิจอัน เปน็ หนา้ ท่ขี องตน แม้จะไมส่ ำ� เร็จก็ช่างเถิด” เมอื่ ไดเ้ สวยราชยแ์ ลว้ พระมหาชนกโพธสิ ตั วท์ รงหวนระลกึ ถงึ ความเพียรที่เคยทรงท�ำมา จึงทรงเปล่งอุทานด้วยความเบิกบาน พระทัยว่า “บคุ คลผเู้ ปน็ บณั ฑติ ควรมคี วามหวงั อยเู่ สมอ ไมค่ วรเบอ่ื หนา่ ย การงาน ความปรารถนาของเรา ๒ ประการ สำ� เรจ็ ไดก้ เ็ พราะเรา
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 10 3 ไม่ส้ินหวัง คือได้ขึ้นบกสมปรารถนา และได้ครองราชสมบัติ สมปรารถนา” “ผมู้ ปี ญั ญาแมไ้ ดร้ บั ทกุ ข ์ กไ็ มค่ วรสนิ้ หวงั ในความสขุ คนสว่ น มากเมื่อไดร้ บั ทกุ ข์กม็ กั ทำ� สง่ิ ที่ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ ตอ่ เมอ่ื มคี วามสขุ จงึ ทำ� สงิ่ ทเี่ ปน็ ประโยชน ์ พวกเขาขาดความสำ� นกึ ทว่ี า่ คนมปี ญั ญา แมไ้ ดร้ บั ทกุ ขก์ ไ็ มส่ นิ้ หวงั ในความสขุ บางอยา่ งเราเคยคดิ วา่ จะเปน็ ก็เป็นไปได้ บางอย่างเราเคยคิดแต่ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เช่นเรา ไม่เคยคิดว่าเราจะได้ราชสมบัติโดยไม่ต้องรบ แต่สิ่งน้ันก็ปรากฏ แกเ่ ราแลว้ เราคดิ วา่ เราจะไดร้ าชสมบตั ใิ นสวุ รรณภมู ิ แตก่ ห็ าเปน็ เช่นน้ันไม่ โภคทรพั ยไ์ มอ่ าจเกิดข้ึนไดด้ ว้ ยเหตุเพียงความคดิ อยา่ ง เดยี ว แตจ่ ะสำ� เรจ็ ไดด้ ว้ ยความเพยี ร จงึ ควรทำ� ความเพยี รโดยแท”้ พระวิริยบารมีของพระโพธิสัตว์ได้สืบเนื่องมาในตัวท่านโดย ตลอด จนถงึ พระชาตสิ ดุ ทา้ ยทเ่ี ปน็ พระสทิ ธตั ถะ ทรงทำ� ความเพยี ร อย่างไม่ย่อท้อจนได้ส�ำเร็จพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ทรงเป็น มหาบรุ ษุ ของโลก
1 0 4 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พ่ื อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต ในระหวา่ งทใ่ี ชค้ วามเพยี รพยายามทำ� สงิ่ ใดเพอ่ื บรรลผุ ลสำ� เรจ็ นั้น อาจมีส่ิงยั่วยวนให้เราเกียจคร้านหรือออกนอกทาง จึงต้องใช้ คุณธรรมอย่างอื่นเช่น ขันติความอดทนเป็นต้น ช่วยด้วย ความ อดทนนน้ั มอี ย ู่ ๓ ประเภท เพอ่ื ตอ่ ตา้ นสง่ิ ๓ อยา่ งคอื ชอบแตค่ วาม สุขสบาย การเจบ็ ปว่ ยและอารมณย์ ่ัวยวน คือ ธีติขันติ หมายถึง อดทนต่อหนาวร้อน หิวกระหาย อดทน ต่อความล�ำบากตรากตร�ำตา่ งๆ หนกั เอาเบาสู้ เพ่อื ใหก้ ารศึกษาและ การงานส�ำเรจ็ ลุล่วงไปด้วยดี อธิวาสนขันติ อดทนต่อความเจ็บป่วยต่างๆ อันมาท�ำให้ รา่ งกายกระวนกระวาย พยายามรกั ษาใจใหส้ งบ ไมใ่ หก้ ระวนกระวาย ไปดว้ ย ผมู้ ีความอดทนในเรอ่ื งนี้ เจบ็ มากเหมอื นเจ็บน้อย เจบ็ น้อย เหมอื นไมเ่ จบ็ เลย อนง่ึ ผ้มู ปี ัญญาพึงพจิ ารณาทกุ ขเวทนาทางกาย ให้เป็นประโยชน์แก่จิตใจ ให้เห็นว่ากายน้ีเป็นที่รองรับทุกข์นานา ประการ เพื่อไม่หลงใหลมัวเมาในกายน้ีจนไม่รู้ความจริงของชีวิต ดังกล่าวแลว้
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 10 5 ตีติกขาขันติ อดทนต่ออารมณ์ย่ัวยวนต่างๆ เช่น ส่ิงที่มา ยวั่ ยวนใหโ้ ลภบา้ ง โกรธบา้ ง หลงบา้ ง คนทตี่ อ้ งท�ำความชวั่ ตา่ งๆ ก็ เพราะอดทนต่ออารมณ์เหล่าน้ีไม่ได้ จิตใจต้านทานต่อกระแสอัน รนุ แรงของอารมณไ์ มไ่ ด ้ กำ� ลงั ตา้ นทานมไี มพ่ อ ความโลภ โกรธ หลง จงึ ครอบงำ� ยำ�่ ยไี ด ้ ตอ้ งเสยี คนไปกม็ าก จงึ ควรหดั อดทนตอ่ สง่ิ ยว่ั ยวน ใจตา่ งๆ คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั ทางกาย อนั นา่ ใคร ่ นา่ ปรารถนา น่าพอใจ เปน็ เรอื่ งนา่ ประหลาดอยปู่ ระการหนงึ่ ในหมมู่ นษุ ย ์ คอื มกั จะ อดทนต่อเร่ืองเล็กๆ น้อยๆ ไม่ค่อยได้ แต่จะอดทนในเรื่องใหญ่ๆ ได้ เช่น ใครมาด่าว่าเสียดสีเขาเล็กๆ น้อยๆ หรือมีกิริยาท่าทีดูหม่ินเขา เล็กๆ นอ้ ยๆ เขาทนไม่ได ้ ตอ้ งทะเลาะววิ าท ประหัตประหารกัน แต่ พอตดิ คกุ ถกู จองจำ� ตอ้ งทำ� งานหนกั กนิ อยหู่ ลบั นอนลำ� บากแรน้ แคน้ เขากลับทนได้ถึง ๕ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง หรือตลอดชีวิต บา้ ง ถา้ เขาหดั อดทนเรอ่ื งเลก็ ๆ นอ้ ยๆ เสยี กค็ งไมต่ อ้ งมาอดทนตอ่ เรื่องใหญ่ๆ อุปมาเหมือนคนที่ระวังไฟเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไฟไม้ขีด ไฟในครวั ไฟธปู เทยี น เปน็ ตน้ ไมเ่ ผลอเรอจนไหมบ้ า้ นเรอื น เขากไ็ ม่
1 0 6 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พื่ อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต ตอ้ งเสยี แรงเสยี เวลา และเสยี ทรพั ยส์ นิ เปน็ อนั มากเพราะไฟไหมบ้ า้ น การหัดอดใจและสร้างก�ำลังใจให้ทนทานต่ออารมณ์ย่ัวยวน จึงมี ประโยชนม์ หาศาลตอ่ ชวี ติ ทกุ ดา้ น มคี ำ� กลา่ วเปน็ คตทิ น่ี า่ สนใจ นา่ คดิ ว่า “คนอ่อนแอ พอทนต่ออารมณ์ที่ไม่น่าพอใจได้ แต่คนเข้มแข็ง เทา่ นน้ั ทจ่ี ะอดทนอารมณอ์ นั นา่ พอใจได”้ หมายความวา่ การอดทน ตอ่ สง่ิ ทน่ี า่ ปรารถนานา่ พอใจนนั้ ตอ้ งใชก้ ำ� ลงั ใจทเี่ ขม้ แขง็ กวา่ เพราะ สงิ่ ทน่ี า่ พอใจมอี ำ� นาจยวั่ ยวนมาก แปลวา่ เราจะตอ้ งอดทนตอ่ อารมณ์ ท้ังท่ีน่าพอใจและไม่น่าพอใจ คนท่ีอดทนต่ออารมณ์ที่น่าพอใจได ้ ไม่ให้หว่ันไหวไปตามส่ิงยั่วยวนอันน่าพอใจนั้น ต้องมีจิตใจเข้มแข็ง กวา่ คนทอ่ี ดทนตอ่ อารมณอ์ นั ไมน่ า่ พอใจ เพราะอารมณอ์ นั ไมน่ า่ พอใจ น้นั เราจ�ำเปน็ ตอ้ งอดทนอยู่แล้ว การฝกึ จติ ใหอ้ ดทนกเ็ หมอื นการหดั ยกนำ�้ หนกั เมอ่ื คอ่ ยๆ เพม่ิ นำ้� หนกั ขนึ้ ทลี ะนอ้ ยและยกทกุ วนั กจ็ ะยกนำ้� หนกั ไดม้ าก เพราะกำ� ลงั ของผยู้ กกเ็ พม่ิ ขนึ้ ตามกำ� ลงั ของนำ้� หนกั มเี รอ่ื งเลา่ กนั วา่ เดก็ คนหนงึ่ เลยี้ งลกู ววั ไวแ้ ละเขาอมุ้ ลกู ววั ทกุ วนั เมอ่ื ลกู ววั โตเปน็ ววั ใหญแ่ ลว้ เขา กย็ ังอมุ้ ได้ นี่คือตวั อยา่ ง
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 10 7 ความเพียรกับความอดทนจึงต้องไปด้วยกัน เพ่ือให้ความ เพยี รนนั้ ดำ� เนนิ ไปตอ่ เนอื่ งและมมี ากพอทจ่ี ะใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ ได ้ ความขยนั หมนั่ เพยี รเมอ่ื ทำ� ไปตดิ ตอ่ ไมข่ าดสาย กจ็ ะกลายเปน็ นิสยั ที่เคยชนิ ตอ่ ความขยันน้นั เกียจครา้ นไมเ่ ปน็ ความเคยชินทด่ี มี คี ุณคา่ กบั ชีวิต ทง้ั คนชนั้ สงู และคนชน้ั ตำ่� ยอ่ มเหมอื นกนั ทงั้ นน้ั คอื ความเคย ชินย่อมสามารถกลืนมนุษย์ได้ ฉะน้ัน ขอให้เราคิดดูให้ดีและละท้ิง ความเคยชินท่ีชั่วร้ายเสีย ยิ่งมีความรู้สึกและเคยชินมากข้ึนเพียงใด ก็ยิ่งประจักษ์แจ้งขึ้นเพียงนั้นว่า มนุษย์เรานี่แหละคือ สาเหตุแห่ง ทุกข์และสขุ ของตนเอง ความเคยชนิ เปรยี บเหมอื นเชอื กทข่ี วน้ั เปน็ เกลยี ว คอ่ ยๆ เพมิ่ ขนึ้ ทลี ะนอ้ ย เมอื่ หนาแนน่ เสยี แลว้ กต็ ดั ใหข้ าดไดย้ าก ไมว่ า่ ความเคยชนิ ในทางดหี รอื ทางชวั่ เมอื่ เปน็ เชน่ นเ้ี ราฝกึ ใหม้ คี วามเคยชนิ ในทางดี จะมดิ กี วา่ หรอื เชน่ เคยชนิ ตอ่ ความขยนั หมน่ั เพยี ร เคยชนิ ตอ่ ความ อดทน ยอ่ มจะดกี วา่ เคยชนิ ตอ่ ความเกยี จครา้ นและไมม่ นี ำ้� อดนำ้� ทน
1 0 8 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พ่ื อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต ทกุ คนตอ้ งประกอบการงาน ตอ้ งประกอบอาชพี อยา่ งใดอยา่ ง หนง่ึ หลกั สำ� คญั ในการเลอื กอาชพี อยา่ งหนง่ึ กค็ อื จงหางานทท่ี ำ� ให้ เราเพลิดเพลินในการท�ำ เพราะนั่นเป็นสิ่งจ�ำเป็นข้ันแรกที่จะก้าวไป ส่คู วามส�ำเร็จในการงาน
1 1 0 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พ่ื อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต ธอมสั เอดสิ นั นกั ประดษิ ฐผ์ ยู้ ง่ิ ใหญช่ าวอเมรกิ นั ไดก้ ลา่ วไว้ ว่า เขาได้ประสบความส�ำเร็จใหญ่หลวงในด้านการประดิษฐ์ทาง วทิ ยาศาสตร ์ เพราะเขาสนกุ เพลดิ เพลินกับงาน ไม่เฉพาะแต่เอดิสัน เทา่ นน้ั คนทกุ คนผปู้ ระสบความสำ� เรจ็ ในดา้ นใด เขาตอ้ งชอบงานนน้ั สนกุ สนานเพลดิ เพลนิ อยกู่ บั งานนนั้ มคี วามพากเพยี รพยายามเอาใจ ใสแ่ ละทมุ่ เทปญั ญาความรคู้ วามสามารถทง้ั หมดลงในงานนน้ั คนที่ ทำ� งานดว้ ยเบือ่ หนา่ ยไมม่ ที างท่จี ะเจรญิ รุ่งโรจนข์ น้ึ มาไดเ้ ลย เจ.เอส.มลิ ล ์ ปราชญช์ าวองั กฤษ (ค.ศ. ๑๘๐๖ – ๑๘๗๓) ได้ กล่าวไว้อย่างน่าฟังและน่าคิดท่ีสุดว่า “ความไม่เหมาะสมกับหน้าท่ี การงานในวงการอตุ สาหกรรม นบั วา่ เปน็ ความเสยี หายอนั มหาศาล ที่สดุ ในสงั คมมนุษย์” ใครๆ ก็จะต้องเห็นด้วยกับค�ำของมิลล์ และอาจจะเพิ่มลงไป ได้ว่า คนที่ต้องทุกข์ทรมานที่สุดในโลกก็คือ ผู้ท่ีต้องท�ำงานอันไม่ เหมาะสมกบั อปุ นสิ ยั ของเขาและเขาเกลยี ดงานนน้ั คนทไี่ มช่ อบงาน ของตนจนถงึ ข้นั เกลียด หรอื รสู้ กึ วา่ สตปิ ญั ญาของเขาถูกน�ำไปใชใ้ น
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 11 1 ทางทผ่ี ดิ เสยี แลว้ นนั้ จะทำ� งานใหด้ ไี ดอ้ ยา่ งไร เมอื่ งานเลวลง ตวั เขา เองก็ไม่มคี วามภูมใิ จ ผูบ้ งั คบั บัญชาหรอื คนทงั้ หลายกม็ องเขาในแง่ ตำ่� หรอื ตำ� หน ิ เขาไมไ่ ดร้ บั การยกยอ่ งจากสงั คม ลงทา้ ยทสี่ ดุ กล็ ม้ เหลว ทงั้ งานและคน ในการทำ� งานนน้ั ยอ่ มจะตอ้ งพบกบั อปุ สรรค เพราะความ ผิดพลาดบกพร่องของเราเองบ้าง เพราะสิ่งอ่ืนบ้าง เมื่อใดพบ อปุ สรรค จงเอาใจใสพ่ จิ ารณาปญั หาและอปุ สรรคนน้ั อยา่ งรอบคอบ และสรา้ งกำ� ลงั ใจ คดิ ตอ่ สเู้ ผชญิ ปญั หาและอปุ สรรคนนั้ ดว้ ยความ อดทนเข้มแข็งบึกบึน ไม่ท้อถอยง่าย พยายามแก้ปัญหาด้วย ปัญญา ไมใ่ ช่ด้วยอารมณ์
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 11 3 เรอ่ื งตอ่ ไปนีแ้ สดงใหเ้ หน็ ว่า บัณฑติ ทา่ นแกป้ ญั หาดว้ ยการใช้ อทิ ธบิ าท คือ วิมงั สา ซ่งึ ไดแ้ ก่ ปญั ญาและความเพยี รอย่างไร ในสมัยของพระพุทธเจ้า มีพระภิกษุสาวกของพระพุทธองค์ รูปหน่ึง เรียนกรรมฐานในส�ำนักของพระพุทธองค์ แล้วไปท�ำความ เพียรอยู่ในป่าถึง ๓ เดือน ก็ไม่อาจบรรลุมรรคผลใดๆ ได้ จึงคิดว่า “บรรดาบคุ คล ๔ จำ� พวกทพ่ี ระศาสดาตรสั เปรยี บกบั ดอกบวั ๔ เหลา่ ไว ้ เราคงเปน็ ผอู้ าภพั ในศาสนา ไมอ่ าจบรรลมุ รรคผลได ้ อยปู่ า่ ตอ่ ไป กไ็ มม่ ปี ระโยชน ์ เราควรกลบั ไปอยใู่ นเมอื งฟงั พระธรรมอนั ไพเราะของ พระศาสดาดีกว่า” คิดดังน้ีแล้วกลับมายังวัดเชตวัน เล่าเรื่องน้ันให้ ภกิ ษุเพื่อนพรหมจารที ราบ ภิกษุทั้งหลายน�ำสาวกผู้นั้นไปยังส�ำนักพระศาสดา กราบทูล เรอ่ื งราวใหท้ รงทราบวา่ “ภกิ ษรุ ปู นเี้ ปน็ ผคู้ ลายความเพยี รเสยี แลว้ ” พระศาสดาตรสั วา่ “เธอบวชในศาสนาของเรา ผสู้ รรเสรญิ ความเพยี ร ไฉนจึงคลายความเพียรเล่า เธอไม่ควรท�ำตนให้คนทั้งหลายรู้จักใน ฐานะผู้คลายความเพียร แต่ควรท�ำตนให้เขารู้จักในฐานะผู้มีความ
1 1 4 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พ่ื อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต เพยี รสมำ�่ เสมอ ไมท่ อ้ ถอย ครงั้ อดตี เธอกเ็ ปน็ ผมู้ คี วามเพยี รมาอยา่ ง ดแี ลว้ คนเหลา่ นนั้ ไดร้ บั ความสขุ เพราะความเพยี รของเธอแตผ่ เู้ ดยี ว ไดด้ ม่ื นำ้� ในทะเลทรายทกี่ นั ดาร คนเหลา่ นนั้ ไดร้ บั ความสขุ เพราะความ เพยี รไมถ่ อยหลงั ของเธอ” เมอ่ื ภกิ ษทุ ง้ั หลายกราบทลู ใหท้ รงแสดงเรอ่ื งในอดตี ของภกิ ษุ นั้น พระพุทธองคจ์ งึ ทรงนำ� เรื่องในอดตี มาแสดงดงั นี้ ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เป็นพ่อค้าเกวียนในกรุงพาราณสี เท่ียวค้าขายด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม มาถึงทะเลทรายอันกันดารแห่ง หนงึ่ ระยะทางกนั ดารยาวถงึ ๖๐ โยชน ์ หรอื ประมาณ ๙๖๐ กโิ ลเมตร ทรายละเอียดขนาดก�ำแล้วไม่ติดอยู่ในมือเลย ต้ังแต่ดวงอาทิตย์ข้ึน รอ้ นเหมอื นกองถา่ นเพลงิ เพราะฉะนน้ั พวกพอ่ คา้ เกวยี นเหลา่ นนั้ จงึ บรรทกุ เอาเสบยี งอาหาร เชน่ ฟนื นำ�้ นำ้� มนั และขา้ วสาร เปน็ ตน้ เดินทางเฉพาะกลางคนื เท่านน้ั พอรงุ่ อรุณก็ทำ� กระโจมแล้วหยดุ พกั พอตกเย็นบริโภคอาหารเย็นแล้ว แผ่นดินแผ่นทรายเย็นแล้วก็เดิน ทางต่อไป
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 11 5 พระโพธสิ ตั ว ์ เปน็ หวั หนา้ พอ่ คา้ เกวยี นเดนิ ทางผา่ นทางกนั ดาร ในทะเลทรายนั้นได้ ๕๙ โยชน์แล้ว เหลืออีกราตรีเดียวก็จะพ้นทาง กนั ดาร จงึ สั่งให้บรวิ ารเทนำ้� ท้ิงเสยี สนิ้ พอ่ คา้ เกวียนผนู้ �ำทางนั่งอยทู่ ่เี กวยี นคันหน้า คอยดดู าว และ บอกทางว่า “ท่านทั้งหลายจงหันเกวียนไปทางนี้ จงขับเกวียนไป ทางนนั้ ” และเน่ืองจากเขาไม่ได้นอนมาหลายเวลารสู้ กึ เหนด็ เหนือ่ ย อ่อนเพลีย จึงหลับไป พอรุ่งอรุณก็ถึงท่ีท่ีพวกเขาเริ่มออกเดินทาง เมื่อวนั วาน คนน�ำทางตื่นขึ้นเวลารุ่งอรุณ บอกให้ชาวเกวียนกลับเกวียน แตไ่ มไ่ ดป้ ระโยชนอ์ ะไรเสยี แลว้ พอ่ คา้ เกวยี นทง้ั หลายเสยี ใจมาก เมอ่ื รวู้ า่ พวกตนทง้ั หลายเดนิ ทางกนั ทงั้ คนื มาหยดุ อยทู่ เี่ ดมิ ตอนเรมิ่ ออก เดินทางนั่นเอง เขาบ่นกันว่า “น�้ำของพวกเราหมดแล้ว พวกเราจะ ฉิบหายในครง้ั นอี้ ย่างแน่นอน” แล้วพากันนอนอยใู่ ตเ้ กวียนของตน
1 1 6 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พื่ อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต สว่ นพระโพธสิ ตั วเ์ ทยี่ วเดนิ ตรวจดพู นื้ ทบ่ี รเิ วณนน้ั เหน็ กอหญา้ แพรกกอหนง่ึ จงึ เกดิ ความคดิ ขนึ้ วา่ เมอ่ื มหี ญา้ อยา่ งน ้ี จกั ตอ้ งมนี ำ�้ อยภู่ ายใตแ้ นน่ อน จงึ ใหบ้ รวิ ารของตนขดุ สถานทนี่ น้ั คนทงั้ หลายขดุ ลกึ ลงไป ๖๐ ศอก ไมพ่ บนำ้� พบแตห่ นิ แผน่ หนง่ึ พอ่ คา้ ทงั้ หมดหมด ส้นิ ความพยายาม พากนั นอนรอความตายอยู่ ฝา่ ยพระโพธสิ ตั วค์ ดิ วา่ “ภายใตแ้ ผน่ หนิ อาจมนี ำ�้ กไ็ ด ้ จงึ ไตล่ ง ไปเงยี่ หฟู งั ไดย้ นิ เสยี งนำ้� ไหล จงึ ขน้ึ มาแลว้ บงั คบั คนใชข้ องตนวา่ “เมอ่ื เจา้ จะละความพยายามเสยี แลว้ พวกเราจกั พากนั ฉบิ หายหมด เจา้ จง เอาก้อนเหล็กนี้ต่อยแผ่นหินให้แตก คนใช้ท�ำตามน้ันแล้ว แผ่นหิน แตกเปน็ สองซกี กระแสนำ�้ ๒ ขา้ งพงุ่ ขน้ึ เปน็ เกลยี วประมาณเทา่ ลำ� ตาล พ่อค้าทั้งหมดจึงได้ดื่มอาบ และเดินทางต่อไปได้ตามความ ประสงค์ของตน
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 11 7 พระศาสดาทรงนำ� เรือ่ งนมี้ าเลา่ จบ แล้วตรัสตอ่ ไปว่า “คนผไู้ มเ่ กยี จครา้ นทง้ั หลายชว่ ยกนั ขดุ แผน่ ดนิ ในทะเลทราย ไดน้ ำ�้ ในทะเลทรายอนั เปน็ ทด่ี อนฉนั ใด มนุ ผี ไู้ มเ่ กยี จครา้ นกฉ็ นั นนั้ เปน็ ผปู้ ระกอบดว้ ยกำ� ลงั แหง่ ความเพยี ร ยอ่ มไดป้ ระสบความสงบ แห่งใจ” นค่ี อื คณุ ของปญั ญาและความเพยี ร ความเพยี รและการเอาใจ ใสต่ อ่ การงานยงั มคี ณุ อกี อยา่ งหนง่ึ คอื ชว่ ยทำ� ลายความทกุ ข ์ ความ วติ กหมกมนุ่ ใหห้ มดไป ไมม่ เี วลาสำ� หรบั ทกุ ข ์ เพราะตอ้ งเอาเวลาไป ทำ� การงานหรอื ทำ� หนา้ ทอ่ี ยตู่ ลอดเวลา จนไมม่ เี วลาสำ� หรบั ทกุ ขร์ อ้ น ยอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ นักแต่งบทละครผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ชาวไอรชิ ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ เวลาวา่ ง ทา่ นมกั ปลอ่ ยใหค้ วามคดิ วติ กกงั วล มารบกวนใจว่ามคี วามสขุ ดอี ยูห่ รือ นั่นแหละคือสาเหตุแหง่ ทกุ ข์
1 1 8 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พื่ อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต ขณะทส่ี งครามโลกครงั้ ทส่ี องกำ� ลงั รนุ แรงอยนู่ น้ั เซอรว์ นิ สตนั เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้มีนามอุโฆษ ต้องท�ำงานวันละ ๑๘ ชัว่ โมง มคี นถามท่านว่า มคี วามร้สู ึกหนักใจมากหรอื ไม่ในความ รับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นั้น เชอร์ชิลล์ตอบว่า ฉันมีภารกิจมากมาย จนไมม่ ีเวลาจะกงั วล คนทีอ่ ยวู่ ่างไม่ทำ� อะไรให้เป็นประโยชน์ มกั ต้องตกเป็นทาส แหง่ ความวติ กหมกมนุ่ ทกุ ขร์ อ้ น สว่ นนกั ทำ� งาน นกั คน้ ควา้ ซง่ึ เวลา ต้องหมดไปกับการแสวงหาความรู้และความจริงใหม่ๆ นั้น โรค วิตกกังวลไมอ่ าจกลำ้� กรายเข้ามาในชวี ติ ของเขาได ้ เพราะเขาไมม่ ี เวลาพอท่ีจะคิดอะไรอย่างฟมุ่ เฟือย แมแ้ ตง่ านของเขากไ็ มม่ เี วลา ทำ� พออยูแ่ ลว้ ท�ำไมการท�ำงาน การท�ำความเพียรชอบ (สัมมาวายามะ) อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ จงึ สามารถทำ� ลายความวติ กกงั วลเสยี ได ้ คำ� ตอบ กค็ อื ธรรมชาตขิ องจติ ใจมกี ฎอนั แนน่ อนตายตวั อยอู่ ยา่ งหนงึ่ คอื ไม่ อาจคิดอะไรคร้ังละ ๒ อย่างได้ คือ ไม่อาจมีอารมณ์ ๒ อารมณ์ใน
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 11 9 ขณะเดยี วกนั ได ้ มนั ตอ้ งเกดิ ขนึ้ ทลี ะอยา่ ง เมอื่ เปน็ ดงั นข้ี ณะทเ่ี ราคดิ เรื่องงาน ท�ำงานอย่างเอาใจจดจอ่ อยู่ อารมณ์อยา่ งอน่ื ก็ไมอ่ าจเขา้ มาได ้ ความทกุ ข ์ ความกงั วล จะไมม่ ารบกวนเรา การทำ� งานดว้ ยวริ ยิ ะ อตุ สาหะ ดว้ ยความพอใจ ดว้ ยปญั ญา จงึ เปน็ อบุ ายอนั ดยี ง่ิ ในการขบั ไล่อารมณร์ า้ ยหรือความทุกข์ร้อนออกไปจากจิตใจของเรา เม่อื นาน เขา้ จติ กไ็ ดพ้ ลงั และเคยชนิ กบั การทำ� งาน เพม่ิ พลงั มากขนึ้ ๆ จนบคุ คล น้ันเป็นผ้ทู กุ ขไ์ ม่เป็น หรือไมม่ ีเวลาส�ำหรบั ทุกข์ การทำ� งานทไ่ี มม่ โี ทษ การใชค้ วามเพยี รไปในทางทดี่ จี งึ เปน็ ยา รักษาชนิดหน่ึง แพทย์ชาวกรีกสมัยก่อนได้เคยใช้วิธีน้ีรักษาคนป่วย ผู้เป็นโรคทางจิตแล้ว และแม้ในสมัยปัจจุบันน้ีก็เป็นที่นิยมของ จติ แพทย์ทัว่ ไปในการรักษาคนป่วยผเู้ ป็นโรควติ กกังวล นักเรียนนักศึกษาและประชาชน ผู้มักวิตกกังวลใจเลื่อนลอย เศร้าซึม ลงโทษตัวเอง ลองเอาวิธีการน้ีมาใช้ดูก็จะได้ผลประจักษ์ เป็นท่พี อใจ
1 2 0 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พื่ อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต นอกจากการเรียน การทำ� งานแลว้ เราควรปลกู ฝงั อทิ ธิบาท ในการประกอบคณุ งามความด ี คอื สรา้ งความพอใจ ความพากเพยี ร ความเอาใจใส่และปัญญาพิจารณาเหตุผลในการประกอบคุณงาม ความด ี ซึง่ เป็นสง่ิ ส�ำคญั ที่จะใหช้ ีวิตร่มเย็นเปน็ สุข การสรา้ งความดเี ปน็ ภารกจิ อนั ยง่ิ ใหญข่ องมนษุ ย ์ เปน็ สง่ิ ท่ี จะตอ้ งทำ� ตลอดชวี ติ หรอื ถา้ จะกลา่ วใหห้ นกั แนน่ เขา้ ไปอกี กก็ ลา่ ว ได้ว่าตลอดเวลาที่ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏน้ัน ความดีเป็นสิ่งที่ เลิกท�ำไม่ได้ คนเราจะท�ำอะไรหรือไม่ก็ตาม แต่ส่ิงหนึ่งซ่ึงจะไม่ท�ำ ไม่ได้ สิ่งนั้นคือ ความดี แต่คนที่จะท�ำความดีได้ม่ันคงย่ังยืนนั้น จะตอ้ งมพี น้ื ฐานทางจติ ใจด ี มพี นื้ ฐานอนั มน่ั คงเหมอื นการสรา้ งตกึ หรืออาคารใหญ่ อาคารถาวรจะต้องลงรากตอกเข็มอย่างแน่น หนาม่ันคง อปุ สรรคของการทำ� ความดนี น้ั มมี าก จงึ ทำ� ใหค้ นจำ� นวนนอ้ ย ทอ้ ถอยในการทำ� ความด ี เหน็ วา่ การไมต่ อ้ งทำ� อะไรแลว้ อยไู่ ปวนั หนง่ึ ๆ
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 12 1 สขุ สบายกวา่ จะทำ� ใหเ้ หนอ่ื ยยากลำ� บากทำ� ไมกนั เพราะฉะนน้ั เพอ่ื ใหม้ พี น้ื ฐานทางจติ ใจทด่ี มี นั่ คง จงึ ควรนอ้ มจติ ใหร้ กั ความดอี ยเู่ สมอ เหมือนคนหน่มุ สาวท่รี กั สวยรักงาม รักความสะอาด การรกั ความดี กเ็ พอื่ ความดนี นั่ เอง แมเ้ ราจะทำ� ความดเี พอื่ ความด ี แตเ่ มอื่ ไดส้ งั่ สม ความดีบริบูรณ์ดีแล้ว ความดีน่ันเองจะย้อนกลับมาคุ้มครองให้อยู่ เปน็ สขุ เหมอื นคนปลกู ตน้ ไมไ้ วด้ ว้ ยความรกั ตน้ ไม ้ เมอ่ื มนั เจรญิ เตบิ โต เต็มท่ีแล้ว ย่อมให้ร่มเงาดอกผล ความร่มเย็นเป็นสุขแก่เจ้าของผู้ ปลกู นนั่ เอง สมตามทพี่ ระพทุ ธองคต์ รสั วา่ ธรรมยอ่ มรกั ษาผปู้ ระพฤติ ธรรม ธรรมท่ีบคุ คลประพฤตดิ แี ล้ว ย่อมน�ำความสขุ มาให้ ด้วยเหตุน้ี คนดีมีปัญญา ย่อมไม่ละเลยคุณงามความดี ไม่ดู หมิ่นว่าเล็กน้อยแล้วเพิกเฉยเสีย เขาย่อมหมั่นส่ังสมคุณความดีวัน ละเล็กละน้อย เท่าท่ีก�ำลังกาย ก�ำลังทรัพย์และโอกาสจะอ�ำนวย เหมือนคนเข้าไปในสวนดอกไม้เก็บดอกไม้ใส่กระเช้าหรือตระกร้า ไม่นานนักกระเช้าหรือตระกรา้ นั้นย่อมเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสแี ละ รปู ทรง
1 2 2 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พื่ อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต ความดที จี่ ะตอ้ งท�ำนน้ั มมี าก ทตี่ อ้ งใชท้ นุ ทรพั ยก์ ม็ ี ไมต่ อ้ งใช้ ทนุ ทรัพย์กม็ ี โดยท่ีสดุ การน่ังอย่เู ฉยๆ แลว้ แผ่เมตตาจิตไปยังสรรพ สัตว์ทั่วสากลโลก นั่นก็เป็นความดี การท�ำใจให้สงบผ่องแผ้วก็เป็น ความดี จะเห็นวา่ เราสามารถทำ� ความดไี ดท้ กุ โอกาส พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงบญุ กริ ยิ าวตั ถ ุ (วธิ ที ำ� บญุ ) ไว ้ ๑๐ อยา่ ง จะกล่าวโดยย่อดงั นี้ ๑. ทานมยั บญุ จากการบรจิ าค การใหแ้ บง่ ปนั ชว่ ยเหลอื ผอู้ น่ื ด้วยอาหาร เส้ือผา้ หรือท่อี ยูอ่ าศยั และยารักษาโรค ๒. สีลมัย บญุ จากการรักษาศลี เว้นจากการเบียดเบยี นกนั ๓. ภาวนามัย บุญจากการอบรมจิตใจใหผ้ ่องแผ้ว ๔. อปจายนมยั บญุ จากการเคารพออ่ นนอ้ มตอ่ ผทู้ ค่ี วรเคารพ อ่อนน้อม ๕. ไวยาวจั จมยั บญุ จากการชว่ ยขวนขวายในกจิ ธรุ ะอนั ชอบ ธรรมของผู้อน่ื ๖. ปัตตทิ านมยั บุญจากการใหส้ ่วนบญุ
อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ 12 3 ๗. ปัตตานโุ มทนามยั บุญจากการอนุโมทนาส่วนบุญ ๘. ธมั มเทสนามยั บญุ จากการแสดงธรรม ชข้ี อ้ ดชี วั่ ถกู ผดิ อะไรควรเว้น อะไรควรท�ำแกผ่ ู้อน่ื ๙. ธัมมัสสวนมยั บุญจากการฟงั ธรรม ๑๐. ทิฏฐุชุกรรม การท�ำความเห็นให้ตรง เป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามทำ� นองคลองธรรม ตามนี้ จะเห็นว่าวันหนึ่งเรามีโอกาสท�ำบุญมากเหลือเกิน ถ้า เรามีความตั้งใจดี ท่ีต้องออกทรัพย์อยู่บ้างก็มีเพียงข้อ ๑ ข้อเดียว เทา่ นั้น อีก ๙ ขอ้ ไม่ต้องออกทรพั ย์เลย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เกี่ยวข้องกับใคร เรามีโอกาสได้บุญ มีโอกาส สั่งสมบญุ อยเู่ สมอ ถา้ เรารจู้ ักทำ� กาย วาจา ใจ ใหเ้ ป็นบญุ การสง่ั สมทรพั ย ์ อาจมที งั้ คณุ และโทษ คนตอ้ งเสยี ชวี ติ เพราะ คุ้มครองทรัพย์ก็มาก แต่การสั่งสมบุญ ส่ังสมความดีมีแต่คุณโดย สว่ นเดยี ว บญุ กศุ ลยอ่ มคอยพทิ กั ษร์ กั ษาคนผมู้ คี วามดใี หม้ คี วามสขุ
1 2 4 ห ลั ก ธ ร ร ม เ พ่ื อ ค ว า ม ส� ำ เ ร็ จ ใ น ชี วิ ต ความปลอดภยั บญุ กศุ ลเปน็ ผคู้ มุ้ ครองทด่ี กี วา่ ผคู้ มุ้ ครองใดๆ ความดี เป็นส่ิงที่นา่ ท�ำจริงๆ เพราะฉะนน้ั ผหู้ วงั ความเจรญิ รงุ่ เรอื ง ความสำ� เรจ็ ในชวี ติ และ การอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ จงึ ควรปลกู ฝงั เพม่ิ พนู อทิ ธบิ าท ๔ ทง้ั ในสว่ นทเ่ี กย่ี ว กบั การศกึ ษาเลา่ เรยี น การทำ� งานและการสง่ั สมคณุ งามความดตี า่ งๆ ผลย่อมมาจากเหตุ เม่ือเราต้องการผลดีก็ควรสร้างเหตุดี ย่อมจะต้องประสบผลดีอย่างแน่นอน ขอให้สร้างความมั่นใจใน เร่ืองน้ี รู้จักรอคอย ไม่ใจร้อนด่วนได้ ต้นไม้พันธุ์บางอย่างให้ผล เรว็ บางอยา่ งใหผ้ ลช้าฉนั ใด การทำ� ความดกี ฉ็ นั นน้ั บางอยา่ งให้ ผลเรว็ บางอยา่ งใหผ้ ลชา้ ความหวงั ผลจะสำ� เรจ็ ไดด้ ว้ ยดแี กผ่ รู้ จู้ กั รอคอย ขอให้สร้างเหตุดีไว้เถิด ผลดีย่อมไม่ไปไหนเสีย เหมือน หวา่ นพืชเชน่ ใดยอ่ มได้รับผลเช่นน้นั
ประวตั ิของอาจารยว์ ศนิ อนิ ทสระ ชาตภิ ูมิ เกิดทห่ี มู่บา้ นท่าศาลา อ�ำเภอรัตตภูมิ จังหวดั สงขลา เม่ือวนั ท่ี ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เม่ือจ�ำความได้ พ่อแม่ได้ย้ายไปอยู่ท่ีหมู่บ้านตากแดด ต�ำบลปากรอ อ�ำเภอเมือง จงั หวัดสงขลา การบรรพชาอุปสมบท บวชเปน็ สามเณรเมื่ออายุ ๑๓ ปี ที่วัดบปุ ผาราม เขตธนบรุ ี กรุงเทพฯ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๐ และอปุ สมบทเปน็ ภิกษเุ ม่อื พ.ศ.๒๔๙๗ ลาสกิ ขา เมื่อ ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๗ การศึกษา มัธยม ๘ (สมัครสอบ) นกั ธรรมเอก เปรียญ ๗ (ป.ธ.๗) ศาสนศาสตร์บณั ฑิต (มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย) M.A. (ทางปรัชญา มหาวทิ ยาลยั บานารัส อนิ เดีย) ปริญญาดษุ ฎบี ัณฑติ กิตติมศกั ดิ์ สาขาพทุ ธศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราช วทิ ยาลัย หนา้ ทก่ี ารงาน สอนวิชาศีลธรรม - ทโ่ี รงเรียนราชินี - ที่โรงเรยี นพณิชยการสีลม (อาจารยผ์ ปู้ กครอง) - ทโี่ รงเรยี นเตรยี มทหาร และเปน็ หวั หนา้ แผนกสารบญั มยี ศเปน็ รอ้ ยโท
สอนวิชาพทุ ธปรชั ญาเถรวาท-มหายาน ทีม่ หาวิทยาลยั รามคำ� แหง (ประมาณ ๑๒ ปี ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๒๑ ถงึ พ.ศ. ๒๕๓๓) สอนวชิ าพทุ ธศาสนาในประเทศไทยและวชิ าจรยิ ศาสตร์ ทมี่ หาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ประมาณ ๑๐ ปี ต้งั แต่ พ.ศ. ๒๕๓๓ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๓ สอนที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เกี่ยวกับศาสนาและปรัชญาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๒ (เปน็ ระยะเวลา ๔๖ ปเี ต็ม) สอนพิเศษประชาชนท่ัวไปเกี่ยวกับความรู้ทางพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ท่ี มหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๕ มาจนถึง พ.ศ. ๒๕๕๓ (เป็นระยะเวลา ๒๘ ปีเตม็ ) บรรยายพิเศษในทต่ี ่างๆ ตามทไ่ี ด้รบั เชิญ บรรยายธรรมทางวทิ ยตุ ง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๓๙ จนถงึ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยออกเปน็ รายการ สดบ้าง ใชเ้ ทปบ้าง (เป็นระยะเวลา ๑๑ ปีเตม็ ) การประพนั ธ์ เขยี นหนังสอื ประเภทตา่ งๆ เช่น นวนิยายองิ หลักธรรม อธิบายหลักธรรม ฯลฯ ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ มาจนถึงปัจจุบัน มีประมาณ ๒๐๐ กว่าชื่อเรื่อง บางชื่อเรื่องก็ม ี หลายเลม่ เชน่ ทางแห่งความดี เปน็ ต้น ทำ� นิตยสาร เป็นบรรณาธิการนติ ยสารธรรมจักษุ ของมูลนิธิมหามกุฏราชวทิ ยาลยั ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๒๙ ถึง พ.ศ.๒๕๓๙ เปน็ บรรณาธกิ ารนติ ยสารศภุ มติ รของมลู นธิ สิ ง่ เสรมิ กจิ การศาสนาและมนษุ ยธรรม (กศม.) ของวดั มกฏุ กษัตริยาราม ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๓๔ ถงึ พ.ศ. ๒๕๕๑
รางวลั พเิ ศษ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ไดร้ บั โล่รางวัลชมเชยจากคณะกรรมการจัดงานสปั ดาหห์ นังสอื แหง่ ชาติ ประเภทสารคดี หนงั สอื เรอ่ื ง “จริยาบถ” และในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หนังสือเร่ือง “จรยิ ศาสตร”์ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ไดร้ บั พระราชทานเสาเสมาธรรมจกั ร เปน็ รางวลั ในฐานะผบู้ ำ� เพญ็ คณุ ประโยชนแ์ กพ่ ระพทุ ธศาสนาประเภทวรรณกรรม เนอื่ งในโอกาสสมโภชกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ๒๐๐ ปี ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ไดร้ บั เกยี รตคิ ณุ บตั รจากกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ในฐานะเปน็ รางวลั ชมเชย ประเภทสรา้ งสรรคด์ า้ นศาสนา จากบทความเรอื่ ง “หลกั กรรมกบั การพงึ่ ตนเอง” ๒๒ เมษายน ๒๕๕๒ ได้รับโลพ่ ุทธคุณูปการ กาญจนเกียรตคิ ุณและเกยี รตบิ ตั ร ในฐานะผู้บ�ำเพ็ญคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา จากคณะกรรมการวัฒนธรรม แห่งชาตกิ ระทรวงวฒั นธรรม ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ได้รับรางวัลปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย เน่ืองในวัน ภาษาไทยแหง่ ชาติ ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จากกระทรวงวัฒนธรรม เรอื่ งพระอานนทพ์ ทุ ธอนุชา เรื่อง พระอานนท์ พุทธอนุชา นอกจากจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายใน สังคมไทยแลว้ สารานกุ รมวรรณกรรมโลกในศตวรรษที่ ๒๐ (Encyclopedia of World Literature in 20th Century) ได้น�ำเรอื่ งพระอานนท์พทุ ธอนชุ าไปสดุดีไว้ในหนงั สือดงั กลา่ วนน้ั เปน็ ทำ� นองวา่ ไดช้ ท้ี างออกใหแ้ กส่ งั คมไทยทส่ี บั สนวนุ่ วายอยดู่ ว้ ยปญั หานานปั การ
พระพทุ ธองค์ทรงสอนเรือ่ งสงั คหวตั ถุ ๔ อนั เป็นหลกั ธรรมเพือ่ ครองใจคน และอทิ ธิบาท ๔ อนั เป็นหลักธรรมเพอื่ ความสำ�เร็จของชวี ิต ไว้เปน็ แนวปฏบิ ตั ิอนั ประเสริฐ ส�ำ หรบั ผ้มู งุ่ ความส�ำ เรจ็ และความผาสุกในชีวิต หากจะใหช้ งั่ ถึงความสำ�คัญ ก็ยากจะตัดสินใจว่า สองเร่ืองนีอ้ ะไรสำ�คญั กวา่ กนั โดยความเปน็ จรงิ แลว้ ทกุ ชีวิตย่อมตอ้ งการความสุข และความสำ�เร็จ จงึ ตอ้ งเอาใจใสแ่ ละใหค้ วามส�ำ คัญ ปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมทั้งสองน้ีไมย่ งิ่ หย่อนกว่ากนั ไมว่ ่าเราจะรจู้ ักหวั ข้อธรรมเหล่าน้ีหรือไมก่ ็ตาม www.kanlayanatam.com
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130