กรแอกบนนในอก เขมรงั สี ภิกขุ
แกนในกรอบนอก เขมรังสี ภิกขุ
ขอน้อมถวายเป็นพระราชกุศล แด่ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทร มหาภมู ิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธบิ ดี จกั รนี ฤบดินทร สยามนิ ทราธิราช บรมนาถบพิตร
กรอบนอก แกนใน เขมรังส ี ภกิ ขุ พิมพ์คร้ังท่ ี ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ จำ� นวนพิมพ์ ๓๕,๐๐๐ เล่ม จดั พมิ พ์เปน็ ธรรมทานโดย วดั มเหยงคณ์ ต�ำบลหันตรา อำ� เภอพระนครศรอี ยุธยา จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ๑๓๐๐๐ โทรศัพท ์ : ๐๓๕-๘๘๑-๖๐๑-๒, ๐๘๒-๒๓๓-๓๘๔๘ โทรสาร : ๐๓๕-๘๘๑-๖๐๓ www.mahaeyong.org www.watmaheyong.org ออกแบบ / จัดท�ำรูปเล่ม / พิสจู น์อกั ษร คณะศิษยช์ มรมกัลยาณธรรม จัดพมิ พ์และร่วมเปน็ เจ้าภาพโดย บริษัทขุมทองอุตสาหกรรมและการพิมพ์ จำ� กัด โทร. ๐-๒๘๘๕-๗๘๗๐-๓
เราจะตอ้ งระลึกศกึ ษา สภาวะในกายใจตนเองอยู่เนอื งๆ เพราะวา่ ถ้ายงั ฝกึ น้อย กำ� หนดยงั ไมบ่ อ่ ย ยังไม่ตอ่ เนื่อง สติมนั กย็ ังไมม่ กี �ำลัง สมาธกิ ไ็ มม่ ี แล้วปัญญาจะเกิดมาได้อยา่ งไร
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ขอความ ผาสกุ ความเจรญิ ในธรรม จงมแี กญ่ าตสิ มั มาปฏบิ ตั ิ ธรรมทั้งหลาย แต่นี้ไปก็เป็นการฟังธรรมะพร้อมกับการ เจริญสติ การเจริญสตินั้นต้องฝึกการเจริญได้ ทุกขณะ ทุกโอกาส แม้แต่ขณะท่ีก�ำลังฟังธรรม อยู่ ก็พึงเจริญสติไปด้วย จะได้ทั้งสุตมยปัญญา 8 กรอบนอก แกนใน
ปญั ญาทเี่ กดิ จากการไดฟ้ งั ไดท้ ง้ั จนิ ตามยปญั ญา ปัญญาท่ีเกิดจากความคิดพิจารณา แล้วก็ได้ ภาวนามยปัญญา ปัญญาท่ีเกิดจากการปฏิบัต ิ เจรญิ สติ เจริญภาวนา ส่วนหน่ึงก็ต้องฟังธรรมะให้รู้เร่ืองให้เข้าใจ ส่วนหนึ่งก็ต้องมีสติในการที่จะระลึกรู้สึกตัวท่ัว พรอ้ มอย ู่ รกู้ ายรใู้ จอย ู่ ฟงั กไ็ ดฟ้ งั ไดย้ นิ อย ู่ ระลกึ รู้ตัวก็รู้อยู่ ในการปฏิบัติกรรมฐานมีแนวทาง มีวิธี มีอารมณ์ที่จะให้เพ่งให้ระลึกรู้หลายอย่าง ด้วยกัน แต่ว่าโดยท่ีสุดแล้ว ก็ต้องเข้าไปรู้ถึงรูป ถงึ นาม จงึ จะเกดิ ปญั ญารแู้ จง้ เหน็ จรงิ ได ้ เหมอื น การปฏิบัติ ต้องมีการฟังให้เข้าใจ เพ่ือจะได ้ ระลกึ ไปใหถ้ กู ตอ้ ง ในชว่ งแรกๆ เรากใ็ ชอ้ ารมณ์ สมมติ อารมณ์บัญญัติ ใช้กรรมฐานในบทต่างๆ 9เ ข ม ร ั ง ส ี ภิ ก ขุ
เปรียบเหมือนเป็นการดูในส่วนท่ีเป็นกรอบนอก หรือวงนอกไปก่อน แต่ท่ีสุดแล้วก็ต้องเชื่อมโยง เข้าไปรู้ถึงแกนในคือตัวสภาวะ ตัวรูปธรรม นามธรรม ซงึ่ เปน็ ของจรงิ เปน็ ปรมตั ถธรรม จงึ จะทำ� ใหเ้ กิดปญั ญารูแ้ จง้ เหน็ จรงิ ได้ ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงนั้น รู้เห็นอย่างไร ก็คือการเข้าไปรู้เห็นสภาพธรรม มีความเปล่ียน แปลง มีความเส่ือมสลาย มีความแตกดับ ม ี สภาพที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นอนัตตา บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด ้ ไมใ่ ชต่ วั ตน ไมใ่ ชต่ วั เรา ไมใ่ ช ่ ตัวตนของเรา เรียกว่า ความรู้เห็นตามความ เป็นจริง เร่ืองความเป็นจริงของชีวิต สักแต่ว่า เป็นธาตุ เป็นธรรมชาติ มีความเปล่ียนแปลง อยู่ตลอด มีสภาพที่เป็นทุกข์ ทนอยู่ต้ังอยู่ไม่ได ้ 10 กรอบนอก แกนใน
ต้องแตกต้องดับอยู่เรื่อยๆ แล้วก็บังคับบัญชา ไม่ได้ การเกิดขึ้น การดับไป แต่ละสภาพธรรม น้ัน ไม่มีอ�ำนาจจะไปบังคับเขาได้ เขาเกิดข้ึน เพราะมีเหตุมีปัจจัยท�ำให้เกิดขึ้น และดับไป เพราะหมดเหตปุ จั จยั จงึ ทำ� ใหด้ ับไป ฉะนั้นปัญญาท่ีรู้เห็นความจริง ท่ีท่านได ้ ดวงตาเห็นธรรม ได้อุทานว่า ส่ิงใดสิ่งหนึ่ง ม ี ความเกดิ ขน้ึ เป็นธรรมดา ส่งิ ท้งั หลายทง้ั ปวงนนั้ ก็มีความดับไปโดยธรรมดา ถามว่าการเกิดขึ้น ท�ำไมจึงเป็นธรรมดา ความดับไปท�ำไมจึงเป็น ธรรมดา ความไม่เท่ียงท�ำไมจึงไม่เที่ยง ท�ำไม รูปนามต้องเกิดต้องดับด้วย ไม่เกิดไม่ดับไม่ได้ หรอื ทำ� ไมไมค่ งท ี่ มแี ลว้ ตอ้ งหมดไป ปรากฏแลว้ ตอ้ งหมดไป นน่ั กเ็ พราะวา่ รปู นามทง้ั หลายมเี หต ุ เ ข ม ร ั ง ส ี ภ ิ ก ขุ 11
มีปัจจัยท�ำให้เกิดขึ้น เขาก็ต้องเกิดขึ้น เม่ือหมด เหตุหมดปัจจัย เขาก็ต้องดับไป เม่ือเหตุเกิด ผลกต็ อ้ งเกิด เมอ่ื เหตุดับ ผลกต็ ้องดับ การเกิดขึ้น ดับไป ถือว่าเป็นธรรมดา คือ มันต้องเป็นเช่นนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เมื่อเหตุ ปัจจัยประกอบขึ้น รูปนามจะไม่เกิดข้ึนก็ไม่ได้ ต้องเกิดตามเหตุ หมดเหตุหมดปัจจัย รูปนาม จะไม่ดับก็ไม่ได้ มันต้องดับ ต้ังอยู่ไม่ได้เพราะ เหตปุ จั จยั มนั ดบั เรยี กวา่ มนั เปน็ ธรรมดา คอื มนั ตอ้ งเปน็ เชน่ นนั้ เราสอ่ งกระจก ยม้ิ ไป เงาออกมา ในกระจกก็ต้องยิ้มมาใช่ไหม ถ้าบ้ึงไป เงาใน กระจกกต็ ้องบ้งึ มา 12 กรอบนอก แกนใน
ไฟฟา้ แสงสวา่ งทม่ี นั สวา่ งได้ มนั สวา่ งไดเ้ อง ไหม มันก็ต้องมีเหตุมีปัจจัยท�ำให้มันสว่าง มัน มีหลอดไฟ ไส้ไม่ขาด หลอดไฟอย่างเดียวสว่าง ไหม มันก็ไม่ได้ ต้องมีกระแสไฟมา มีกระแสไฟ แต่ถ้าไม่มีสายไฟ มาได้ไหม ก็ต้องมีสายไฟมา น้ีเป็นส่วนประกอบเป็นปัจจัย ไฟฟ้ามันมาได้ จากไหน มนั กต็ อ้ งมแี หลง่ กำ� เนดิ มอี งคป์ ระกอบ ต่างๆ เพราะมันมีเหตุมีปัจจัย ถ้าเหตุปัจจัยมัน พร้อมสมบูรณ ์ สับสวิทซ ์ ไฟมันก็สว่าง เม่ือเหตุ ปัจจัยมันขาดไปอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น ไส้ขาด หลอดขาด หรือว่าสายไฟขาด หรือว่าใครไปตัด สวิทซ์ หรือกระแสไฟไม่มา ไฟมันจะดับไหม มันก็ต้องดับ จะไปบังคับว่าอย่าดับมันก็ไม่ได ้ มันต้องดับ มันเป็นเช่นน้ันเอง มันเป็นไปตาม เหตตุ ามปัจจัย เ ข ม รั ง ส ี ภิ ก ขุ 13
สงั ขาร คอื รปู นาม รา่ งกาย จติ ใจ มนั กเ็ ปน็ อย่างน้ี มันมีเหตุปัจจัยท�ำให้เกิดมันก็เกิด หมด เหตุปัจจัยก็ดับ มีกรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัย มีอุตุ ความเยน็ ความรอ้ น เปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั มอี าหาร เป็นปัจจัย มีจิตเป็นปัจจัย เป็นต้น มันก็เกิด ตวั เหตตุ วั ปจั จยั กม็ กี ารดบั ไป รปู นาม ทเ่ี ปน็ ผล มันก็ดับไป ถ้าปฏิบัติแล้ว เข้าไปเห็นความเกิด ความดับ ความเปล่ียนแปลง เพราะมันมีเหต ุ มีปัจจัยท�ำให้เกิด หมดเหตุหมดปัจจัยมันก็ต้อง ดับ เห็นสภาพความเป็นจริงอย่างนี้ จะยอมรับ ไหม ใจมนั กต็ อ้ งยอม แทนทจี่ ะไปฝนื ไปขนื อยา่ ให้มันเกิด อย่าให้มันดับ มันท�ำไม่ได้ มันเข้าไป รู้เห็นสภาพความเป็นจริง มันต้องเป็นของมัน อย่างน้ี ต้องเกิดต้องดับของมัน จะไปฝืนมัน ไม่ได ้ ใจก็ตอ้ งยอม ยอมลงปลงได้ ยอมเปน็ จึง 14 กรอบนอก แกนใน
เยน็ ได ้ ปลดปลงลงวาง กว็ า่ งสบาย ยอมสนทิ จงึ พชิ ิตชยั ชนะ เข้าถงึ ความเปน็ อสิ ระหลดุ พ้น เพราะละ เพราะปล่อย เพราะวาง วางก็ว่าง ไม่วางก็วนุ่ วาย ฉะน้ัน บุคคลที่ทุกข์ทุกวันนี้ ดูไปแล้วก็ เพราะไม่วาง จะเอาให้เป็นอย่างน้ัน จะเอาให้ เป็นอย่างน้ี เท่ากับว่าจะเอาส่ิงไม่เท่ียงมาท�ำให ้ มันเที่ยง มันก็เลยผิดหวัง สิ่งท่ีจะต้องมีความ แตกดับเป็นธรรมดา ก็ไปหวัง ไปอยาก ไปยึด ให้มันไม่แตกไม่ดับ มันก็ต้องผิดหวัง ผิดหวังก็ หลั่งน�้ำตา เสียอกเสียใจ คร่�ำครวญ น่ีเพราะ อวิชชา ความไม่รู้จักความเป็นจริง ไปหลงยึด ส่ิงที่มีความแตกดับเป็นธรรมดา จะให้มัน ไม่แตกไม่ดับ มันก็เลยผิดหวัง ส่ิงท่ีจะต้องมี 16 กรอบนอก แกนใน
ความเปลย่ี นแปลงเป็นธรรมดา กไ็ ปอยากให้มนั ไม่เปล่ียนแปลง มันก็เลยผิดหวัง หล่ังน�้ำตา เศร้าโศก พิไรร�ำพัน คับแค้นใจ โกรธแค้น พยาบาท อาฆาต เกดิ การเขน่ ฆา่ ประหตั ประหาร กันก็มี ฆ่ากัน ท�ำร้ายกัน เพราะไม่ได้อย่างใจ มนั จะไปไดอ้ ยา่ งใจยงั ไง เพราะสงิ่ ทง้ั หลายมนั เปน็ ของไม่เท่ียง เมื่อไปอยาก ไปยึดส่ิงที่ไม่เที่ยง จะใหม้ ันเท่ียง มนั ก็เลยผิดหวัง ทผ่ี ดิ หวงั ทำ� ไมจงึ ผดิ หวงั กเ็ พราะหวงั ผดิ ที ่ ผิดหวังก็เพราะหวังผิด ไปหวังส่ิงไม่เที่ยงจะให้ มันเที่ยง นี่หวังผิด ส่ิงท่ีต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไปเป็นธรรมดา สิ่งท่ีต้องมีความแตกดับเป็น ธรรมดา ไปหวงั จะใหม้ นั คงท ่ี จะใหด้ ี จะใหเ้ ปน็ อย่างใจเราปรารถนา มันก็เลยผิดหวัง เรียกว่า เ ข ม ร ั ง ส ี ภิ ก ขุ 17
หวังผิดจึงผิดหวัง ฉะนั้นต่อไปเราก็หวังให้มัน ถูกหน่อย จะได้ไม่ผิดหวัง มีสิ่งใดเราก็รู้ว่า อ๋อ เราก�ำลังมีสิ่งไม่เท่ียง สักวันก็ต้องเปลี่ยน มี สิ่งใดเราก็รู้ว่า ก�ำลังมีสิ่งที่จะต้องมีการแตกดับ เป็นธรรมดา รู้ไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของวัตถุ ทุกส่ิงทุกอย่างตกอยู ่ ในกฎไตรลักษณ์ท้ังหมด รวมท้ังตัวของตัวเอง ท่ีจะต้องเปล่ียนแปลง จะต้องมีความแก่เป็น ธรรมดา จะต้องมีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา จะตอ้ งมคี วามตายไปเปน็ ธรรมดา การปรารถนา วา่ อยา่ แกน่ ะ อยา่ เจบ็ ปว่ ยนะ อยา่ ตายนะ ไมใ่ ช่ ฐานะท่ีจะมีได้เป็นได้ ถ้าเราไปหวังไปอยาก อยา่ งน้ันก็ผดิ หวัง กท็ ุกข์อกี 18 กรอบนอก แกนใน
ฉะนนั้ ถา้ รเู้ หน็ ความเปน็ จรงิ จติ ใจยอมรบั กจ็ ะไมท่ กุ ขใ์ จ กร็ อู้ ยแู่ ลว้ ในเวลาทสี่ งิ่ นนั้ เปลย่ี น แปลง เออ ก็รู้อยู่แล้วต้องเปลี่ยน ถึงเวลาต้อง แตกดบั เออ กร็ อู้ ยแู่ ลว้ ตอ้ งแตกดบั ใจกไ็ มท่ กุ ข์ หรือมีสิ่งใดต้องมีให้เป็น ถ้ามีเป็นก็ไม่เป็นทุกข ์ มอี ยา่ งรเู้ ท่าทนั มอี ย่างรวู้ ่ามีของไมเ่ ทยี่ ง สักวัน ตอ้ งเปลย่ี นไป ตอ้ งแตกดบั ตอ้ งพลดั พราก ตอ้ ง จากไปในที่สุด ไม่จากเป็นก็จากตาย เขาไม่จาก เรา เรากต็ อ้ งจากเขา ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งเปน็ อยา่ งนี้ แนน่ อน เม่ือเข้าใจอย่างน้ี มันก็มีอย่างเป็น คือ มีอย่างเข้าใจ และถ้ามีให้เป็น ก็ไม่ทุกข์ ถ้า มีแล้วไม่เป็น มีแบบยึด จะต้องมั่นคง จะต้อง ไม่เปลี่ยนแปลง ใครจะท�ำได้ อย่าว่าแต่คนอ่ืน เ ข ม ร ั ง สี ภิ ก ขุ 19
ตัวของตัวเองไม่ให้เปล่ียนแปลงได้ไหม อย่าแก ่ อย่าเจ็บ จิตใจมั่นคง จิตใจคงที่ อย่าคิด อย่า โกรธ อย่าเกลียด ได้ไหม ก็ยังท�ำกายใจของ ตัวเองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไร จะไปอยากไป ยึดให้คนนั้นได้อย่างใจ ให้เขาเป็นอย่างใจเรา ปรารถนา มันก็เลยผิดหวัง เป็นทุกข์ เรียกว่า มีไม่เป็น ก็เป็นทุกข์ ถ้ามีก็มีให้มันเป็น มีสิ่งใด กร็ วู้ า่ สง่ิ นไี้ มเ่ ทยี่ ง ไมย่ ง่ั ยนื ถงึ เวลาเปลยี่ นแปลง ก็ไม่ทกุ ข์ ถ้าไม่มีเป็นทุกข์ไหม ถ้าไม่มีไม่เป็น ก็เป็น ทกุ ขน์ ะ คนไมม่ ี มนั ทำ� ใจใหอ้ ยกู่ บั ความไมม่ ไี มไ่ ด้ ดิ้นรนต้องการ ต้องการให้มี อยากได้อยากม ี อยากได้ ก็ทุกข์นะสิ เรียกว่าอยู่กับความไม่มี ไม่เป็น ส่วนผู้อยู่กับความไม่มีเป็น มันก็ไม่ทุกข ์ 20 กรอบนอก แกนใน
เบาดี สบายด ี ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้อง ไปคอยดแู ล ไมต่ อ้ งไปคอยเอาใจ ไมต่ อ้ งไปผกู พนั ยึดถือให้เศร้า ให้ทุกข์ สบาย ดังนั้นไม่มีก็ไม่ม ี ให้เปน็ พอใจอยกู่ ับความไม่มีอะไร ฉะนน้ั บคุ คลทจี่ ะลดละความยดึ มนั่ ผดิ ๆ ได้ กจ็ ะตอ้ งเขา้ ไปรเู้ หน็ สภาพความเปน็ จรงิ ในตนเอง อยา่ งแทจ้ รงิ อยา่ งทฟี่ งั นม่ี นั ยงั ไมไ่ ดร้ เู้ หน็ มนั เปน็ เพียงความคิดความจ�ำ ความนึก เราฟังไว้เป็น ข้อมูล เสร็จแล้วเราคิดตาม ก็ยังบรรเทาได้ตาม สมควร รู้จักคิดตามนี้ให้มันเป็น มันก็บรรเทา ความเศร้าความโศก แต่มันยังตัดขาดไม่ได้ ทั้งหมด ยังไม่เห็นแจ้ง ยังไม่เห็นความไม่เท่ียง จริงๆ ยังไม่เห็นความเป็นทุกข์จริงๆ ยังไม่เห็น อนตั ตาจริงๆ จติ มันก็ยงั สละละโดยส้ินเชิงไมไ่ ด้ เ ข ม รั ง ส ี ภิ ก ขุ 21
ทำ� ไฉนถงึ จะไดเ้ หน็ จรงิ ๆ รจู้ รงิ ๆ มนั จะตอ้ ง มาสู่การปฏิบัติ จะต้องเจริญกรรมฐาน เจริญ กรรมฐานก็จะต้องเจริญให้เป็น ระลึกให้ถูกต้อง ถึงตัวของสภาพท่ีเป็นจริง สภาพที่เป็นจริงของ ชีวิต เช่น ร่างกายมันมีอะไรประกอบอยู่เป็น ร่างกาย จิตใจมันมีอะไรประกอบอยู่เป็นจิตใจ มันมีระบบเป็นไปอย่างไร ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะตอ้ งเขา้ ไประลกึ ศกึ ษาจรงิ ๆ เวลาเหน็ เป็นอย่างไร เวลาได้ยินเป็นอย่างไร เวลารู้กลิ่น เวลารู้รสเป็นอย่างไร จะต้องระลึกศึกษา เวลา ที่รู้สึกโผฏฐัพพะ ส่ิงท่ีมากระทบทางกายเป็น อย่างไร รู้สึกอย่างไร เวลาที่ใจมันคิดมันนึก มันรู้สึกอย่างไร ใจมันปรุงแต่งเป็นอย่างไร มัน มีอาการต่างๆ อย่างไรในจิตในใจ นั่นคือความ เปน็ จรงิ ของชวี ิต 22 กรอบนอก แกนใน
เราจะต้องระลึกศึกษา สภาวะในกายใจ ตนเองอยเู่ นอื งๆ เพราะวา่ ถา้ ฝกึ ยงั นอ้ ย กำ� หนด ยังไม่บ่อย ยังไม่ต่อเนื่อง สติมันก็ยังไม่มีก�ำลัง สมาธกิ ไ็ มม่ กี ำ� ลงั แลว้ ปญั ญาจะเกดิ มาไดอ้ ยา่ งไร ฉะน้ันเราก็ต้องฝึกบ่อยๆ ท�ำต่อเน่ืองเนืองๆ อยู่ จนกระท่ังว่าสติมันมีกำ� ลัง ก็จะไม่พลั้ง ไม่เผลอ ไมห่ ลดุ ไมห่ ลน่ ไมเ่ ลอะเลอื น ถา้ ใหก้ ำ� หนดนาน ไปหน่อย จิตไหลไป หลงลืมไปอีก เผลอไปอีก กวา่ จะรตู้ วั ผา่ นไปนาน นมี่ นั ยงั ไมม่ กี �ำลงั ของสติ มนั จะเกดิ ปญั ญาได้อย่างไร แตว่ า่ สตเิ รากส็ ามารถฝกึ ได้ โดยเพยี รระลกึ เพียรรู้อยู่บ่อยๆ เนืองๆ ใส่ใจระลึกก�ำหนดรู้อยู่ เสมอ ตอ่ ไปสติกจ็ ะตงั้ ม่ันข้ึน ไม่ตอ้ งฝนื ไมต่ ้อง บังคับ ไม่ต้องควบคุมอะไรกันมาก สติต้ังม่ัน 24 กรอบนอก แกนใน
มันก็จะรู้ จิตจะไม่ส่งออกนอก เกิดความรู้อยู่ ในกายในใจอยู่เสมอ ไม่ต้องเพ่ง แต่ก็ไม่เผลอ ถา้ สตเิ รายงั ไมม่ กี ำ� ลงั อะไร กเ็ ลยตอ้ งคอยจะเพง่ กลวั จะเผลอ ถา้ เพง่ กเ็ ครง่ ตงึ อกี พอผอ่ นกเ็ ผลอ อกี เปน็ อยา่ งนนั้ เมอื่ ไมม่ กี �ำลงั แตถ่ า้ สตทิ ฝี่ กึ มา มากขึ้น มีก�ำลัง ไม่ต้องเพ่ง แต่มันก็ไม่เผลอ ก�ำหนดรู้ ดูเบาๆ สบายๆ มันก็ไม่เลื่อนลอย ไมเ่ ลอะเลือน ไมเ่ ผลอ เพราะมนั มีก�ำลงั แต่ช่วงท่ีมันยังไม่มีก�ำลัง มันก็ต้องฝึก ฝึก แล้วฝึกอีก ฝึกฝนอบรมกันไปบ่อยๆ อยู่เนืองๆ หม่ันระลึก ที่สุดต้องระลึกให้จรดสภาวะที่กาย เช่น ความไหว ระลึกรู้ให้มันตรงต่อความไหวๆ ความกระเพื่อม ความสะเทอื น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง สบาย ไม่สบาย น่ันเป็นตัวสภาวะทางใจ เ ข ม รั ง ส ี ภ ิ ก ขุ 25
ก็ระลึกไปให้มันจรดสภาวะของจิตใจ ใจขณะน ้ี มนั เปน็ อยา่ งไร สงั เกตไป มนั คดิ นกึ กร็ ู้ รคู้ วาม คดิ นกึ มนั ปรงุ แตง่ วติ กวจิ ารอย ู่ สงสยั อย ู่ พอใจ อยู่ ไม่พอใจอยู่ ก็คอยรู้ในจิตในใจอยู่ เป็นการ ระลึกศึกษา สบายกาย สบายใจ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คอยระลึกรู้อยู่ ถ้าการเจริญสติมันยังตั้งหลักไม่ได้ โดย เฉพาะคนใหม่ๆ จะมาดูปรมัตถ์ ดูสภาวะ รู้สึก มันยาก ตั้งหลักไม่ได้ มันก็จ�ำเป็นต้องมีการ ระลกึ ในสว่ นกรอบนอกไปกอ่ น เชน่ การระลกึ ร้ ู ลมหายใจเข้าออกไว้ หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจ ออกก็ให้รู้ หายใจเข้ายาวออกยาวก็ให้รู้ หายใจ เข้าสั้นออกส้ันก็ให้รู้ รู้อยู่ตลอดกองลมหายใจ เข้าออก ปรับผ่อนลมหายใจเข้าออกให้ดี ด ู 26 กรอบนอก แกนใน
ลมหายใจ จติ ไมอ่ ยกู่ บ็ รกิ รรมชว่ ย นบั ลมหายใจ ช่วย จะนับบ้าง จะพุทโธ หรือจะมีค�ำบริกรรม อื่นๆ ทำ� ใหจ้ ิตใจมนั มาอยูก่ ับลมหายใจ อย่างน้ีก็คือเจริญสติให้มันมีสมาธิ แล้วจึง เชื่อมโยงเข้ามาดูสภาวะ อันเป็นตัวแกนใน เข้า มารู้ความรู้สึกท่ีใจเป็นยังไง ใจสงบเป็นอย่างไร ใจไมส่ งบเปน็ อยา่ งไร กายสงบใจสงบ ใจอม่ิ เอบิ กายไหวใจร ู้ กจ็ ะเขา้ มาสแู่ กนในซงึ่ เปน็ ตวั สภาวะ หรือท�ำควบคู่กันอยู่ ดูลมด้วย ดูจิตดูใจด้วย ด ู ลมหายใจ ดคู วามรู้สึกในกายใจด้วย ถ้าดูลมหายใจไม่ถนัด ก็ก�ำหนดดูอย่างอ่ืน มาก�ำหนดดูอิริยาบถใหญ่แทน พระพุทธเจ้า ก็แสดงไว้ว่า นั่งอยู่ก็ให้รู้ตัวว่านั่งอยู่ ก�ำหนดดู เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ 27
กายในทา่ นง่ั แทนลมหายใจกไ็ ด ้ เมอื่ ยนื อยกู่ ร็ ตู้ วั อยู่กับกายที่ยืนอยู่ เม่ือเดินก็รู้ชัดอยู่กับกายที ่ ก�ำลังเดิน ก�ำหนดดูการเดิน เม่ือนอนก็รู้ตัวอยู่ กับกายที่นอน นี่ก็เป็นการปฏิบัติ เมื่อจิตใจ ตั้งม่ันดี ก็เช่ือมโยงเข้าไปรู้อยู่กับแกนใน เดินนี่ ตอนแรกเราก�ำหนดแค่เดิน รู้ตัวว่าเดิน รู้ตัวว่า กา้ ว วา่ ซา้ ยวา่ ขวา ตอ่ ไปมนั กจ็ ะรถู้ งึ แกนใน คอื ไปรทู้ ตี่ วั สภาวะ ไปเจอความไหว ความกระเพอื่ ม สะเทือน เย็น ร้อน สบาย ไม่สบาย ก็มีอยู ่ ท่ัวๆ ตัวด้วย เดินอยู่ก็มีความรู้สึกเหล่านี้ ม ี ใจอยใู่ นเวลาเดนิ มใี จรบั ร ู้ มใี จรสู้ กึ มใี จตรกึ นกึ กายไหวอย่างหน่ึง ใจรู้อย่างหน่ึง น่ีมันก็เข้ามา สแู่ กนในแลว้ 28 กรอบนอก แกนใน
เวลาน่ัง ตอนแรกดูท่าน่ัง ดูกายว่านั่ง พอ จติ ใจตัง้ มน่ั ก็เช่ือมเข้าไปดูถึงแกนใน ลึกซึ้งไปถึง ตัวสภาวะที่ความรู้สึก เช่น ความไหว ความ กระเพ่ือม สะเทือน เย็น ร้อน สบาย ไม่สบาย จิตใจรับรู้ รู้สึก ใจตรึกใจนึกรู้สึกอย่างไร รับรู ้ สภาพที่เป็นจริง ไม่ว่าจะน่ังอยู่ จะยืน จะเดิน จะนอน ทส่ี ุดกเ็ ข้าไปรู้ถงึ ตวั สภาวะ ในส่วนกรอบนอกก็ยังมีอย่างอื่นๆ ไว้ให ้ ปฏิบัติ บางท่านจะถนัดอิริยาบถย่อย อิริยาบถ ตา่ งๆ การค ู้ การเหยยี ด การขยบั เขยอ้ื นเคลอื่ น ไหว กเ็ จรญิ สตไิ ป ขยบั มอื ขยบั แขนเปน็ อริ ยิ าบถ ยอ่ ย รบั ร ู้ รสู้ กึ รวู้ า่ จบั รวู้ า่ งอ รวู้ า่ กม้ รวู้ า่ เงย รู้ว่าเหลียวซ้ายแลขวา ก็ยังถือว่ามีการเจริญสต ิ อยู่ แต่ถ้ารู้ลึกซึ้งเข้าไปสู่แกนใน ก็จะเข้าไปรู้ท ี่ เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ 29
30 กรอบนอก แกนใน
ตัวสภาวะ เวลาคู้เหยียด เคลื่อนไหว ก้มเงย เหลยี วซา้ ยแลขวา ไปรทู้ ต่ี วั สภาวะ ความเคลอื่ น ไหว ความกระเพ่ือม สะเทือน เย็น ร้อน รู้สึก อนั นม้ี นั เขา้ ไปส่แู กนใน เพราะฉะนั้นในส่วนท่ีเป็นกรอบนอก มันมี กรรมฐานหลายๆ อย่างให้เลือกท�ำ มีลมหายใจ มีอิริยาบถใหญ่ มีอิริยาบถย่อย มีอาการ ๓๒ พิจารณาให้เป็นของปฏิกูลก็ได้ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา เกสา คือผมทั้งหลาย โลมาคือขนท้ังหลาย นะขาคือ เล็บท้ังหลาย ทันตาคือฟันทั้งหลาย ตะโจคือ หนัง พิจารณาไปในเเง่ของความเป็นของปฏิกูล ภายในหนงั เขา้ ไป มเี นอ้ื มเี อน็ มกี ระดกู หวั ใจ เ ข ม ร ั ง สี ภิ ก ขุ 31
ตับ ปอด ล�ำไส้ อุจจาระ ปัสสาวะ เลือด นำ�้ เหลอื ง นำ้� ตา นำ้� ลาย เปน็ ตน้ นกี่ เ็ ปน็ กรรม- ฐาน แต่ยังเป็นวงนอกอยู่ จิตใจมันก็สงบระงับ ดบั ไปซง่ึ ราคะความใคร ่ ความกำ� หนดั ยนิ ดใี นกาม ได้ ใจก็สงบ แล้วจากนั้นก็น้อมเข้ามาสู่แกนใน ไปรู้จิตรู้ใจ รู้ความไหว รู้ใจท่ีรับรู้ รู้ใจท่ีรู้สึก รู้ความตรึกนึก รู้ความรู้สึกท่ีกายที่ใจ ก็จะเป็น การเขา้ ไปสวู่ งในแกนใน นอกจากน้ีในส่วนกรอบนอกจะพิจารณา ธาตุ ๔ ก็ได้ บางคนถนัดชอบพิจารณาเห็นกาย เปน็ ธาตดุ นิ เปน็ ธาตนุ ำ�้ เปน็ ธาตไุ ฟ เปน็ ธาตลุ ม อวัยวะส่วนไหนที่มันแค่นแข็งก็เป็นธาตุดินไป เช่น พวกกระดูก เน้ือหนัง อวัยวะใดที่มันไหล เกาะกุมเอิบอาบก็เป็นธาตุน�้ำ เช่น พวกน�้ำลาย 32 กรอบนอก แกนใน
เลอื ด ปสั สาวะ ธาตไุ ฟกค็ อื ไออนุ่ ไฟยอ่ ยอาหาร เป็นต้น ธาตุลมก็ท�ำให้พัดไหว ลมในท้อง ลม ในไส้ ลมหายใจเข้าออก ลมพัดข้ึนเบื้องบน เรอออกมา ลมพัดเบ้ืองล่างมันวิ่งลง ร่างกาย เป็นธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้�ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบชีวิตอยู่ ถ้ามันพอประกอบกันก็ค่อย ยังช่ัว คราวใดมันไม่ยอมสมดุลกันก็เดือดร้อน มาก ธาตุไฟก�ำเริบตัวร้อนเป็นไข ้ ธาตุดินก�ำเริบ ตวั หนกั แขง็ กระด้าง พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบธาตุ ๔ เหมือน งู ๔ ตัว คือ งูดิน งูน�้ำ งูไฟ งูลม ต้องคอย ประคบประหงม ดูแลเขา ต้องให้เขากินตาม เวลา ให้เขานอนพักผ่อนตามเวลา เรียกว่าต้อง ดแู ลเขาอยา่ งด ี ไมง่ นั้ เขาโกรธขน้ึ มา เขาเลน่ งาน เ ข ม รั ง ส ี ภ ิ ก ขุ 33
กัดเจ้าของ น่ีงู ธาตุก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ดูแล สุขภาพ อดตาหลับขับตานอน กินไม่เป็นเวลา ท�ำงานหนักเกินไม่ได้พัก เดี๋ยวงูก�ำเริบล่ะ เจ็บ ป่วยเดือดร้อน ให้พิจารณาว่าในกายมีธาต ุ ดินน้�ำลมไฟ ซ่ึงเป็นภัยเป็นโทษ มันบีบคั้น มัน เหมอื นกบั ลกู ศรเสยี บอก เหมอื นง ู เหมอื นเปน็ ฝ ี เหมอื นเปน็ โรค เปน็ รงั แหง่ โรค เกดิ ความสลดใจ แลว้ กน็ อ้ มเขา้ ไปรถู้ งึ ตวั สภาวะซงึ่ เปน็ แกนใน ดูจิตดูใจ ดูความรู้สึก ดูความตรึกนึก ใจสงบ เป็นยังไง ใจสังเวช ใจพุทธะผู้รู้ เขาเรียกว่า ไปสู่สภาพที่เป็นจริง หรือ แม้แต่การพิจารณา ซากศพก็เป็นกรรมฐาน ศพเปื่อยเน่า ถูกสัตว์ กัดกิน ศพถูกหนอนชอนไช ข้ึนอืดชนิดต่างๆ น้อมเข้ามาสู่ตน ร่างกายของตนก็มีความเป็น 34 กรอบนอก แกนใน
อย่างน้ี หนีไม่พ้น น่ีเราช�ำนาญ นึกข้ึนเห็นก็ได ้ ให้เห็นร่างกายเป็นซากศพ เป็นกระดูก โครง กระดกู บางทมี นั กข็ นึ้ มาเอง แลว้ กำ� หนดพจิ ารณา เปน็ กรรมฐาน โดยพจิ ารณาดไู ป ใหม้ นั เกดิ ความ สังเวช สลดใจ เบื่อหน่าย คลายก�ำหนัด สงบ จากราคะ จากนนั้ กน็ อ้ มเขา้ ไปรถู้ งึ แกนใน คอื พจิ ารณา ดูรูปดูนาม ดูสภาวะ จิตใจสังเวช จิตใจสงบ จิตใจเป็นผู้รู้ ก�ำหนดพิจารณาอยู่ให้เห็นตาม ท่ีเป็นจริงนั้นๆ น่ีก็เป็นการเข้าสู่สภาวะ อย่างนี้ ก็จะเห็นความเปล่ียนแปลง แตกดับ มีโอกาส เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงรู้สึกว่า เออ รูป นาม สังขาร ชีวิต มันเป็นภัย เป็นโทษ น่าเบื่อ หน่าย เกิดความเบื่อหน่าย จิตก็คลายก�ำหนัด เ ข ม รั ง ส ี ภ ิ ก ขุ 35
เม่อื คลายกำ� หนัด จิตกห็ ลุดพ้นจากอาสวะกิเลส ฉะนน้ั ต้องฝึกภาวนา คนใหม่ๆ ก็ดูกรอบ นอกไปก่อน คือ ลมหายใจบ้าง อิริยาบถ ยืน เดนิ นงั่ นอนบา้ ง คเู้ หยยี ด กม้ เงย เหลยี วซา้ ย แลขวา เป็นต้นบ้าง พิจารณาอาการ ๓๒ เป็น ของปฏกิ ลู บา้ ง แยกกายเปน็ ธาต ุ ๔ คอื ดนิ นำ้� ลม ไฟบา้ ง หรอื วา่ กรอบนอกทหี่ า่ งออกไป เพอ่ื ท�ำสมาธิก่อน โดย เพ่งกสิณดิน กสิณน�้ำ กสิณ ลม กสิณไฟ เพ่งกสิณสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว หรือแผ่เมตตา ความรักความปรารถนาดี หรอื เจรญิ มรณานสุ ต ิ ระลกึ ถงึ ความตาย นเ่ี ปน็ กรอบนอก นอกออกไปอีก ท�ำไปก่อนเพ่ือให ้ จิตใจมันเกิดสมาธิ แต่ในที่สุดก็จะรวมเข้ามาสู่ แกนในทง้ั นั้น 36 กรอบนอก แกนใน
การเจรญิ วปิ สั สนาตอ้ งรเู้ ขา้ ไปถงึ ตวั แกนใน คือตัวสภาวะ อายตนะภายในภายนอกมาเชื่อม ตอ่ กนั เชน่ รปู ารมณม์ าเชอื่ มตอ่ กบั ตา สกี ระทบ ตา เห็นเกิดข้ึน เห็นแล้วรู้สึกเป็นยังไง ชอบ ไม่ชอบ ก�ำหนดดู หรือเม่ือมีเสียงมากระทบกับ ประสาทห ู ไดย้ นิ เกดิ ขนึ้ อายตนะภายในภายนอก มาเชอ่ื มตอ่ ไดย้ นิ แลว้ เปน็ ยงั ไง ชอบบา้ ง ไมช่ อบ บา้ งกต็ อ้ งกำ� หนดร ู้ มกี ลนิ่ มากระทบประสาทจมกู รู้กล่ินเกิดข้ึนเป็นยังไง ชอบไม่ชอบ ก�ำหนดรู้ มีรสชาติอาหาร เม่ือรสมาสัมผัสล้ิน เกิดรู้รส ขน้ึ มา กำ� หนดรรู้ ส ใจเปน็ ยงั ไง ชอบไมช่ อบ เกดิ ความอยาก เกดิ ความยดึ กต็ อ้ งกำ� หนดพจิ ารณา ไป มโี ผฐัพพารมณ์มากระทบประสาทกาย รู้สึก ขนึ้ มา เยน็ บา้ ง รอ้ นบา้ ง ตงึ หยอ่ น ไหว สบาย ไม่สบายเกิดขึ้นก็ต้องกำ� หนดรู้ ใจเป็นยังไง เมื่อ เ ข ม รั ง ส ี ภ ิ ก ขุ 37
เวลากายปวด ใจดิ้นรนกระวนกระวาย หรือ ใจวางเฉย ใจไหว ใจรู้ มีปวด มีเม่ือย มีเจ็บ มเี หนอื่ ย เปน็ สภาวะทง้ั หมด รกั ษาใจใหว้ างเฉย ร้อู ยา่ งละวาง เมอ่ื กำ� หนดพจิ ารณาศกึ ษาเขา้ มาในตวั อยา่ ง นี้ ฝึกรู้จักสภาวะในกายในใจให้เก่ง ต่อไปการ ระลึกรู้ก็ผ่านเข้าถึงตรงสภาวะเลยได้ เม่ือ รู้จักแล้ว ช�ำนาญแล้ว ระลึกรู้สภาวะได้โดยตรง เหมือนเราจะมาท่ีวัดน้ี ตอนยังไม่รู้จักวัด ก็แวะ ถามไปโน่นถามน่ัน บางทีก็ไปทางผิด ในที่สุด เรากต็ อ้ งเขา้ มาทนี่ ี่ ทเ่ี ราจะมาปฏบิ ตั ิ ตอ่ ไปเมอ่ื ร้จู ักแล้วเราก็ตรงมาไดเ้ ลย ผา่ นมาเลย เขา้ ถงึ ท่ี 38 กรอบนอก แกนใน
เหมือนอยา่ งการปฏิบัติกเ็ หมือนกัน ทีแรก ดกู รอบนอกไปกอ่ น ตอ่ ไปมนั รจู้ กั สภาวะ กำ� หนด สภาวะเปน็ มนั กผ็ า่ นเขา้ ไปรสู้ ภาวะเลยได้ หรอื ว่ารู้จักสภาวะแล้ว แต่ว่าจิตใจวันนั้นมันสับสน มันรับอารมณ์ต่างๆ มาก จิตใจวุ่นวาย ต้ังหลัก ไม่ได้ เราก็อาศัยกรอบนอกใหม่ อาศัยบัญญัติ อาศัยการดูลมหายใจ อาศัยการยืนเดินน่ังนอน คู้เหยียดเคล่ือนไหว พอจิตใจมันตั้งหลักได้ เรา กน็ ้อมเข้ามาสู่แกนใน เพราะฉะน้ันถ้าเราเข้าใจอย่างน้ี เราก็จะ สบายใจ บางคนปฏิบัติแบบนั้น ก็ใช้ได้ ปฏิบัติ แบบโน้น ก็ใช้ได้ อันนี้ ก็ใช้ได้ ขอให้เชื่อมโยง เขา้ มาสสู่ ภาวะ ใหม้ นั ไดใ้ นทส่ี ดุ กแ็ ลว้ กนั สำ� คญั มันอยู่ท่ีตรงน้ัน เบ้ืองต้นใครจะท�ำแบบไหนก็ได ้ เ ข ม รั ง ส ี ภิ ก ขุ 39
สำ� หรบั การทำ� สมาธดิ ลู มหายใจ กด็ ไู ป ดอู ริ ยิ าบถ ยนื เดนิ นง่ั นอนกด็ ไู ป ใชบ้ รกิ รรมใชบ้ ญั ญตั เิ ขา้ มา ช่วยกแ็ ลว้ แต ่ ให้เปน็ แนวทางของการปฏิบตั ิ วันน้ีก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียง เท่าน้ี ขอความสุขความเจริญในธรรม จงมีแก ่ ทกุ ท่านเทอญ. 40 กรอบนอก แกนใน
เ ข ม ร ั ง สี ภ ิ ก ขุ 41
42 กรอบนอก แกนใน บกวํ ชา เหน นก ขด มั กม าภ รา วป นฏา ิ บ ั ปต ิ ี ธ ๒ร ๕ร ๖ม๐ ณ วัดมเหยงคณ ์ ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรอี ยธุ ยา ที่ วนั สำ� คัญ พิธี ก�ำหนดวนั บวช และลาสกิ ขา ๑ วนั มาฆบูชา บวช วันศกุ ร์ท ่ี ๑๐ ก.พ. ๖๐ (ข้ึน ๑๔ ค่�ำ เดอื น ๓) ลาสกิ ขา วันจนั ทร์ท ี่ ๑๓ ก.พ. ๖๐ (แรม ๒ คำ่� เดอื น ๓) ๒ วนั สงกรานต์ บวช วันพุธท่ี ๑๒ เม.ย. ๖๐ (แรม ๑ ค่�ำ เดือน ๕) ลาสิกขา วนั เสาร์ท่ี ๑๕ เม.ย. ๖๐ (แรม ๔ ค�ำ่ เดอื น ๕) ๓ วันวสิ าขบูชา บวช วนั จนั ทรท์ ่ี ๘ พ.ค. ๖๐ (ขน้ึ ๑๓ ค�ำ่ เดือน ๖) ๔ วนั อาสาฬหบูชา- ลาสิกขา วันพฤหัสที่ ๑๑ พ.ค. ๖๐ (แรม ๑ คำ่� เดือน ๖) วันเข้าพรรษา บวช วนั ศกุ รท์ ี่ ๗ ก.ค. ๖๐ (ขึ้น ๑๔ ค่�ำ เดอื น ๘) ๕ วันแมแ่ ห่งชาติ ลาสิกขา วนั จันทรท์ ี่ ๑๐ ก.ค. ๖๐ (แรม ๒ ค่ำ� เดือน ๘) บวช วนั ศกุ ร์ที ่ ๑๑ ส.ค. ๖๐ (แรม ๔ ค�ำ่ เดอื น ๙) ลาสิกขา วนั จนั ทรท์ ่ี ๑๔ ส.ค. ๖๐ (แรม ๗ ค่�ำ เดอื น ๙)
๖ วนั ออกพรรษา บวช วนั พฤหัสที ่ ๕ ต.ค. ๖๐ (ขน้ึ ๑๕ คำ่� เดอื น ๑๑) ลาสกิ ขา วันอาทติ ยท์ ่ี ๘ ต.ค. ๖๐ (แรม ๓ ค่ำ� เดอื น ๑๑) ๗ วนั พ่อแห่งชาติ บวช วนั อาทิตย์ท ี่ ๓ ธ.ค. ๖๐ (ขึ้น ๑๕ ค�ำ่ เดือน ๑) ลาสิกขา วนั พธุ ที ่ ๖ ธ.ค. ๖๐ (แรม ๓ ค�่ำ เดอื น ๑) ๘ วนั ขึน้ ปีใหม่ บวช วันศกุ รท์ ี่ ๒๙ ธ.ค. ๖๐ (ขึน้ ๑๒ ค�่ำ เดือน ๒) ลาสกิ ขา วันจันทร์ท่ ี ๑ ม.ค. ๖๑ (ขน้ึ ๑๕ คำ่� เดือน ๒) บวชเนกขัมมภาวนาในชว่ งเทศกาล (วนั ส�ำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย ์ และ วนั ประเพณไี ทย) • พธิ ีบวช มวี ันละ ๓ รอบ คอื ๑ เวลา ๑๒.๐๐ น. (วนั แรกเวลา ๑๐.๐๐ น.) ๒ เวลา ๑๕.๓๐ น. ๓ เวลา ๒๑.๐๐ น. [ผูจ้ ะบวชตอนบ่ายและค่�ำได ้ ต้องไม่ได้ทานอาหาร ในเวลาวกิ าล (เลยเทย่ี งวนั )] บวช• เพนิธกีลขามั สมกิ ภขาา วมนวี านั ปละร ะ๑จ �ำรวอนั บ คอื เวลา ๐๖.๐๐ น. • พธิ ีบวชเวลา ๐๙.๐๐ น. (นอกเทศกาล) บวชไดท้ ุกวนั
กำ� หนดการอุปสมบทหมพู่ ระภกิ ษุ ประจำ� ปี ๒๕๖๐ ณ วัดมเหยงคณ์ ต.หนั ตรา อ.พระนครศรอี ยุธยา จ.พระนครศรีอยธุ ยา ท่ี เดือน วันพิธอี ุปสมบท เขา้ เก็บตวั ปฏบิ ัติ วปิ ัสสนากรรมฐาน ๑ มกราคม วนั อาทติ ย์ท่ี ๘ ม.ค. ๖๐ วันท ี่ ๑๔ - ๒๒ ม.ค. ๖๐ ๒ กุมภาพันธ์ วันจันทร์ท่ ี ๑๓ ก.พ. ๖๐ วันท ่ี ๑๘ - ๒๖ ก.พ. ๖๐ ๓ มนี าคม วันอาทิตย์ท่ ี ๕ มี.ค. ๖๐ วันที ่ ๑๑ - ๑๙ มี.ค. ๖๐ ๔ เมษายน วนั เสาร์ท่ี ๑๕ เม.ย. ๖๐ วนั ท่ ี ๒๒ - ๓๐ เม.ย. ๖๐ ๕ พฤษภาคม วันอาทิตย์ท ่ี ๗ พ.ค. ๖๐ วันท่ี ๑๓ - ๒๑ พ.ค. ๖๐ ๖ มถิ ุนายน วนั เสารท์ ี ่ ๓ มิ.ย. ๖๐ วันท ี่ ๑๐ - ๑๘ มิ.ย. ๖๐ ๗ กรกฎาคม วันอาทติ ยท์ ่ี ๒ ก.ค. ๖๐ วันท่ี ๙ ก.ค. - ๕ ต.ค. ๖๐ (บวชอยูจ่ ำ� พรรษา ๓ เดอื น) ๘ ตุลาคม วันอาทิตย์ท ี่ ๘ ต.ค. ๖๐ วนั ท่ ี ๙ - ๒๑ ต.ค. ๖๐ ๙ พฤศจิกายน วนั อาทิตยท์ ี่ ๑๒ พ.ย. ๖๐ วันที่ ๑๘ - ๒๖ พ.ย. ๖๐ ๑๐ ธันวาคม วันเสารท์ ่ี ๒ ธ.ค. ๖๐ วนั ท ี่ ๓ - ๑๘ ธ.ค. ๖๐ (ชาวศรลี งั กา) ๑๑ ธันวาคม วนั เสาร์ท ี่ ๙ ธ.ค. ๖๐ วนั ท ่ี ๑๐ - ๑๗ ธ.ค. ๖๐ 44 กรอบนอก แกนใน
กำ� หนดการอบรมวปิ ัสสนากรรมฐาน รุ่นระยะเวลา ๙ วัน ประจ�ำปี ๒๕๖๐ ณ วัดมเหยงคณ์ คร้ังที่ ๑ วนั เสารท์ ่ี ๑๔ - วันอาทติ ยท์ ี่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๐ คร้ังท่ ี ๒ วนั เสารท์ ี่ ๑๘ - วันอาทติ ย์ที ่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ครั้งท่ี ๓ วันเสาร์ท ่ี ๑๑ - วันอาทิตยท์ ่ี ๑๙ มนี าคม ๒๕๖๐ คร้งั ท ่ี ๔ วันเสาร์ที ่ ๒๒ - วันอาทติ ยท์ ี่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ ครั้งท ่ี ๕ วนั เสาร์ท่ี ๑๓ - วันอาทิตย์ท่ ี ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ครั้งท ่ี ๖ วนั เสาร์ที่ ๑๐ - วนั อาทติ ย์ท่ ี ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ ครง้ั ท่ ี ๗ วันเสาร์ท่ี ๑๕ - วันอาทิตย์ท ี่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ คร้งั ท่ ี ๘ วนั เสารท์ ี่ ๑๙ - วันอาทติ ย์ที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ครัง้ ท ี่ ๙ วนั เสารท์ ่ี ๑๖ - วนั อาทติ ย์ที ่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๐ ครง้ั ที ่ ๑๐ วันเสาร์ท ่ี ๑๔ - วนั เสารท์ ี ่ ๒๑ ตลุ าคม ๒๕๖๐ ครง้ั ที่ ๑๑ วันเสาร์ท ่ี ๑๘ - วันอาทิตยท์ ่ี ๒๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๐ ครัง้ ท่ ี ๑๒ วันอาทติ ยท์ ่ี ๙ - วนั อาทติ ย์ท ่ี ๑๗ ธนั วาคม ๒๕๖๐ (พกั อาคารรวม “สมจริยาอาศรม” หรือ กางเต้นท์) เ ข ม รั ง ส ี ภ ิ ก ขุ 45
หลักเกณฑ์การรบั สมคั ร • รับสมัครเฉพาะผู้มีความต้ังใจจริงๆ ในการจะ อบรมเจริญสตปิ ญั ญาเทา่ น้นั • รบั รนุ่ ละ ๘๐ ทา่ น ทั้งชาย-หญิง ทง้ั คฤหสั ถ ์ และบรรพชิต • ครั้งที่ ๑, ๓, ๕, ๗, ๙, ๑๑ รับเฉพาะคนใหม่ คือผู้ที่ยังไม่เคยเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน คอร์ส ๗ วันข้ึนไป ที่มี พระภาวนาเขมคุณ (สุรศักด์ิ เขมรังสี) เป็นพระวิปสั สนาจารย์ • ครง้ั ท ่ี ๒, ๔, ๖, ๘, ๑๐, ๑๒ รบั เฉพาะคนเกา่ คอื ผทู้ เี่ คยผา่ นการเขา้ ปฏบิ ตั วิ ปิ สั สนากรรมฐาน คอร์ส ๗ วันข้ึนไป ที่มีพระภาวนาเขมคุณ เปน็ พระวิปสั สนาจารย์ หมายเหตุ • สมัครเข้าปฏิบัติได้เพียงปีละ ๑ ครั้งเท่านั้น ทง้ั คนเกา่ และ คนใหม ่ เพอ่ื เผอ่ื แผใ่ หท้ วั่ ถงึ กนั 46 กรอบนอก แกนใน
เนื่องจากมีผู้สนใจสมัครเข้าปฏิบัติกรรมฐาน เปน็ จำ� นวนมาก แตท่ า่ นสามารถสมคั รเขา้ ปฏบิ ตั ิ ได้ตามสาขาของวดั มเหยงคณ ์ หรอื ทอี่ น่ื ๆ ทมี่ ี พระภาวนาเขมคณุ (สุรศักดิ์ เขมรังสี) ไปเป็น พระวปิ สั สนาจารย์ เปิดรบั สมัคร • เปิดรับสมัครก่อนวันเข้าอบรม ๓ เดือน (ใน แต่ละคอร์ส จองได้ล่วงหน้าไม่เกิน ๓ เดือน ตัวอย่างเช่น เข้าอบรมเดือนเมษายน ให้เร่ิม สมคั รได้ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นตน้ ไป) การสมัคร • การสมัครต้องกรอกใบสมัครล่วงหน้า ขอใบ สมคั รได้ที ่ วดั มเหยงคณ์ (แผนกกรรมฐาน) • E-mail : [email protected] www.watmaheyong.org www.mahaeyong.org เ ข ม รั ง สี ภ ิ ก ขุ 47
หลกั ฐาน • ส�ำเนาบัตรประชาชน / รูปถ่าย ส�ำหรับติด ใบสมคั ร ขนาด ๑ น้วิ จ�ำนวน ๑ รปู วันเปดิ การอบรม • ลงทะเบยี นเขา้ ปฏบิ ตั ิ เวลา ๐๗.๐๐ - ๐๘.๓๐ น. • ปฐมนิเทศ เวลา ๐๙.๐๐ น. • พธิ ีเขา้ กรรมฐาน เวลา ๑๐.๐๐ น. วันปดิ การอบรม • พธิ อี อกกรรมฐาน เวลา ๐๗.๐๐ น. หมายเหตุ • ผู้เข้าอบรมต้องไปให้ทันตามเวลาท่ีก�ำหนด ในวันเปิดอบรม และต้องอยู่ปฏิบัติจนครบถึง วันปิดอบรม • เมื่อสมัครเข้าอบรมแล้ว ต้องการจะยกเลิก 48 กรอบนอก แกนใน
ต้องแจ้งให้ทางวัดทราบอย่างช้าก่อนก�ำหนด เปิดอบรม ๗ วัน มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ใน ครั้งตอ่ ไป เ ข ม รั ง สี ภิ ก ขุ 49
Search