หมวด 4 137 [177] ปรากฏของวบิ าก นอกจากอาศัยเหตุคือกรรมแลว ยงั ตอ งอาศยั ฐานคือ คติ อุปธิ กาละ และ ปโยคะ เปนปจ จัยประกอบดว ย กลา วคือ จะตอ งพจิ ารณา กรรมนยิ าม โดยสัมพนั ธก บั ปจจัยท้ัง หลายที่เปนไปตามนิยามอ่ืนๆ ดวย เพราะนิยามหรือกฎธรรมชาติน้ันมีหลายอยาง มใิ ชมแี ต กรรมนยิ ามอยา งเดยี ว ดู [177] สมบตั ิ 4; [223] นยิ าม 5. Vbh.338. อภ.ิ วิ.35/840/458. [177] สมบัติ 4 (ขอ ด,ี ความเพียบพรอ ม, ความสมบรู ณแ หง องคป ระกอบตา งๆ ซง่ึ อํานวย แกก ารใหผ ลของกรรมดี และไมเปด ชองใหก รรมชั่วแสดงผล, สว นประกอบอาํ นวย ชว ยเสรมิ กรรมดี — Sampatti: accomplishment; factors favourable to the ripening of good Karma) 1. คตสิ มบัติ (สมบตั แิ หงคติ, ถงึ พรอ มดวยคต,ิ คตใิ ห; ในชวงยาวหมายถงึ เกดิ ในกาํ เนิดอัน อํานวย หรอื ทีเ่ กิดอนั เจริญ ในชว งสน้ั หมายถงึ ที่อยู ทไ่ี ป ทางดําเนินดี หรือทาํ ถกู เรือ่ ง ถูกท่ี คอื กรณีนน้ั สภาพแวดลอ มนน้ั สถานการณนั้น ถิ่นที่นนั้ ตลอดถงึ แนวทางดาํ เนินชวี ติ ขณะนนั้ เอื้อ อาํ นวยแกก ารกระทําความดี หรอื การเจริญงอกงามของความดี ทําใหค วามดปี รากฏผลโดยงาย — Gati-sampatti: accomplishment of birth; fortunate birthplace; favourable environment, circumstances or career) 2. อุปธสิ มบตั ิ (สมบตั แิ หงรา งกาย, ถึงพรอ มดว ยรูปกาย, รูปกายให; ในชว งยาวหมายถงึ มี กายสงา สวยงาม บุคลกิ ภาพดี ในชว งสนั้ หมายถึง รา งกายแข็งแรง มสี ขุ ภาพดี — Upadhi- sampatti: accomplishment of the body; favourable or fortunate body; favourable personality, health or physical conditions) 3. กาลสมบตั ิ (สมบตั ิแหง กาล, ถงึ พรอ มดว ยกาล, กาลให; ในชว งยาว หมายถึง เกิดอยูใน สมัยทีโ่ ลกมีความเจรญิ หรือบานเมอื งสงบสขุ มีการปกครองที่ดี คนในสงั คมอยใู นศีลธรรม สามคั คกี นั ยกยอ งคนดี ไมสง เสรมิ คนชวั่ ในชว งสน้ั หมายถงึ ทาํ ถกู กาลถูกเวลา — Kàla- sampatti: accomplishment of time; favourable or fortunate time) 4. ปโยคสมบตั ิ (สมบัตแิ หง การประกอบ, ถงึ พรอมดวยการประกอบความเพียร, กจิ การให; ในชวงยาว หมายถงึ ฝกใฝใ นทางท่ถี ูก นําความเพยี รไปใชขวนขวายประกอบการท่ีถูกตองดงี าม มปี กตปิ ระกอบกจิ การงานทถ่ี กู ตอ ง ทาํ แตค วามดงี ามอยแู ลว ในชว งสน้ั หมายถงึ เมอ่ื ทาํ กรรมดี ก็ ทาํ ใหถ งึ ขนาด ทาํ จริงจัง ใหครบถวนตามหลกั เกณฑ ใชว ิธีการที่เหมาะกับเรือ่ ง หรือทาํ ความดี ตอเนื่องมาเปนพื้นแลว กรรมดีที่ทาํ เสริมเขา อีก จงึ เหน็ ผลไดงา ย — Payoga-sampatti: accomplishment of undertaking; favourable, fortunate or adequate undertaking) ดู [176] วบิ ตั ิ 4 2; [223] นยิ าม 5. Vbh.339. อภ.ิ ว.ิ 35/840/459.
[178] 138 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร [178] วิปลลาส หรือ วิปลาส 4 (ความรูเ หน็ คลาดเคล่ือน, ความรูเ ขาใจผดิ เพย้ี นจาก ความเปน จริง — Vipallàsa: distortion) วิปลาส มี 3 ระดับ คือ 1. สัญญาวิปลาส (สญั ญาคลาดเคล่ือน, หมายรผู ิดพลาดจากความเปนจริง เชน คนตกใจเหน็ เชอื กเปน งู — Sa¤¤à-vipallàsa: distortion of perception) 2. จติ ตวปิ ลาส (จิตคลาดเคลอื่ น, ความคิดผิดพลาดจากความเปน จรงิ เชน คนบา คดิ เอาหญา เปนอาหาร — Citta-vipallàsa: distortion of thought) 3. ทิฏฐวิ ปิ ลาส (ทฏิ ฐคิ ลาดเคลอ่ื น, ความเหน็ ผดิ พลาดจากความเปนจรงิ โดยเฉพาะเช่ือถอื ไป ตามสญั ญาวปิ ลาส หรอื จติ ตวปิ ลาสนนั้ เชน มสี ญั ญาวปิ ลาสเหน็ เชอื กเปน งู แลว เกดิ ทฏิ ฐวิ ิปลาส เชื่อหรือลงความเหน็ วา ทบี่ รเิ วณนัน้ มีงชู มุ หรอื มีจิตตวิปลาสวา ทุกส่ิงทเ่ี กิดข้นึ ตอ งมผี ูส รา ง จงึ เกดิ ทฏิ ฐวิ ปิ ลาสวา แผน ดนิ ไหวเพราะเทพเจา บนั ดาล — Diññhi-vipallàsa: distortion of views) วิปลาส 3 ระดับนี้ ทเ่ี ปนพนื้ ฐาน เปน ไปใน 4 ดา น คือ 1. วิปลาสในสิ่งทไ่ี มเ ท่ียง วา เทย่ี ง (to regard what is impermanent as permanent) 2. วิปลาสในส่งิ ท่เี ปนทกุ ข วา เปน สขุ (to regard what is painful as pleasant) 3. วิปลาสในสง่ิ ทไี่ มเปน ตัวตน วา เปนตัวตน (to regard what is non-self as a self) 4. วิปลาสในส่งิ ที่ไมง าม วา งาม (to regard what is foul as beautiful) A.II.52 องฺ.จตุกฺก.21/49/66 [179] วุฒิ หรือ วุฑฒิธรรม 4 (ธรรมเปนเคร่ืองเจริญ, คณุ ธรรมทก่ี อใหเกิดความ เจรญิ งอกงาม — Vuóóhi-dhamma: virtues conducive to growth) 1. สัปปรุ สิ สังเสวะ (เสวนาสัตบุรุษ, คบหาทานผทู รงธรรมทรงปญญาเปนกลั ยาณมติ ร — Sappurisasa§seva: association with good and wise persons) 2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมที่แท — Saddhammassavana: hearing the good teaching) 3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี — Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention) 4. ธัมมานธุ ัมมปฏปิ ตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม, ปฏิบตั ธิ รรมถกู หลัก ใหธ รรมยอย คลอยแกธ รรมใหญ สอดคลอ งตามวตั ถปุ ระสงคข องธรรมทงั้ หลายที่สัมพนั ธกนั , ดาํ เนนิ ชีวติ ถกู ตอ งตามธรรม — Dhammànudhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematic way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards their respective purposes; living in conformity with the Dhamma) ธรรมหมวดน้ี ในบาลที ่ีมา เรียกวา ธรรมทีเ่ ปน ไปเพ่อื ปญ ญาวุฒิ [ปญ ญาวุฒธิ รรม] คือ เพอ่ื ความเจรญิ งอกงามแหง ปญ ญา (Pa¤¤àvuóóhi: virtues conducive to growth in wisdom) อยา งไรก็ดี ในการเลา เรยี นธรรมในประเทศไทยที่สืบกนั มา ไดร ูจักธรรมหมวดนใ้ี นช่ือส้นั ๆ
หมวด 4 139 [180] วา วฒุ ิ 4 และอธบิ ายความหมายโดยมงุ ใหคนท่วั ไปเขา ใจและนาํ ไปใชป ระโยชนอยางกวา งๆ จงึ จะแสดงความหมายแบบงา ยๆ ไวดวยดงั น้ี 1. สปั ปุรสิ สงั เสวะ คบหาสตั บรุ ุษ, เสวนาทานผรู ูผทู รงคณุ ความดี มคี วามประพฤตชิ อบดว ย กาย วาจา ใจ 2. สัทธมั มัสสวนะ ฟงสทั ธรรม, ต้งั ใจฟงคาํ สั่งสอนของทาน เอาใจใสเ ลา เรยี น 3. โยนโิ สมนสิการ ทาํ ในใจโดยแยบคาย, รจู ักคิดพิจารณาใหเหน็ เหตผุ ลคณุ โทษในสง่ิ ท่ีไดเ ลา เรียนสดบั ฟง น้นั จบั สาระที่จะนําไปใชประโยชนได 4. ธัมมานุธัมมปฏิปตติ ปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธ รรม, นําสิง่ ทไ่ี ดเ ลา เรยี นและตริตรองเหน็ แลวไปใชปฏบิ ตั ใิ หถกู ตอ งตามหลกั สอดคลองกับความมุงหมายของหลกั การน้นั ๆ A.II.245. อง.ฺ จตุกกฺ .21/248/332. [180] เวสารัชชะ หรือ เวสารัชชญาณ 4 (ความไมครั่นครา ม, ความแกลวกลา อาจหาญ, พระญาณอนั เปน เหตุใหทรงแกลวกลา ไมครน่ั ครา ม — Vesàrajja: intrepidity; self-confidences) พระตถาคตเจา ไมท รงมองเหน็ วา ใครกต็ าม จักทกั ทว งพระองคไดโดยชอบธรรมในฐานะ เหลาน้ี คือ (The Perfect One sees no grounds on which anyone can with justice make the following charges:) 1. สมั มาสัมพุทธปฏญิ ญา (ทานปฏิญญาวา เปนสัมมาสมั พุทธะ ธรรมเหลา นีท้ า นยังไมร ู — Sammàsambuddha-pañi¤¤à: You who claim to be fully self-enlightened are not fully enlightened in these things.) 2. ขณี าสวปฏญิ ญา (ทา นปฏญิ ญาวา เปน ขณี าสพ อาสวะเหลา นขี้ องทา นยงั ไมส น้ิ — Khãõàsava- pañi¤¤à: You who claim to have destroyed all taints have not utterly destroyed these taints.) 3. อันตรายิกธรรมวาทะ (ทานกลาวธรรมเหลาใดวา เปน อันตราย ธรรมเหลา นัน้ ไมอ าจกอ อนั ตรายแกผ สู อ งเสพไดจ รงิ — Antaràyikadhammavàda: Those things which have been declared by you to be harmful have no power to harm him that follows them.) 4. นยิ ยานกิ ธรรมเทศนา (ทานแสดงธรรมเพ่ือประโยชนอ ยา งใด ประโยชนอยา งนน้ั ไมเ ปน ทางนําผูทําตามใหถึงความสิ้นทุกขโดยชอบจริง — Niyyànikadhammadesanà: The Doctrine taught by you for the purpose of utter extinction of suffering does not lead him who acts accordingly to such a goal.) ดว ยเหตนุ ้ี พระองคจ งึ ทรงถงึ ความเกษม ถงึ ความไมม ภี ยั แกลว กลา ไมค รน่ั ครา มอยู (Since this is so, he abides in the attainment of security, of fearlessness and intrepidity.) เวสารัชชะ 4 นี้ คูก บั ทศพล หรอื ตถาคตพล 10 (เรียกกนั ทว่ั ๆ ไปวา ทศพลญาณ) เปน ธรรม ทที่ ําใหพระตถาคต ทรงปฏญิ ญาฐานะแหงผูนาํ เปลง สีหนาทในบรษิ ทั ทง้ั หลาย ยงั พรหมจักรให
[181] 140 พจนานุกรมพุทธศาสตร เปน ไป (Endowed with these four kinds of intrepidity, the Perfect One claims the leader’s place, roars his lion’s roar in assemblies, and sets rolling the Divine Wheel.) ดู [323] ทศพลญาณ. M.I.71; A.II.8. ม.มู.12/167/144; องฺ.จตกุ ฺก.21/8/10. [181] ศรัทธา 4 (ความเชือ่ , ความเช่ือทีป่ ระกอบดวยเหตุผล — Saddhà: faith; belief; confidence) 1. กัมมสัทธา (เช่อื กรรม, เช่อื การกระทํา, เชอ่ื กฎแหง กรรม, เช่ือวา กรรมมอี ยจู รงิ คือ เช่ือวา เม่ือทาํ อะไรโดยมเี จตนา คอื จงใจทาํ ทงั้ รู ยอมเปนกรรม คือ เปนความดคี วามชั่วมีขนึ้ ในตน เปนเหตุปจจัยกอใหเกิดผลดีผลรายสืบเนื่องตอไป การกระทําไมวางเปลา และเช่ือวาผลที่ ตอ งการจะสาํ เรจ็ ไดด วยการกระทํา มิใชดว ยออนวอนหรือนอนคอยโชค เปนตน — Kamma- saddhà: belief in kamma; confidence in accordance with the law of action) 2. วิปากสัทธา (เชอ่ื วบิ าก, เชือ่ ผลของกรรม, เชือ่ วา ผลของกรรมมีจริง คอื เช่ือวากรรมทท่ี ํา แลว ตองมีผล และผลตอ งมเี หตุ ผลดีเกดิ จากกรรมดี ผลชว่ั เกดิ จากกรรมชัว่ — Vipàka- saddhà: belief in the consequences of actions) 3. กัมมัสสกตาสทั ธา (เช่ือความท่สี ตั วม กี รรมเปนของของตน, เช่อื วาแตละคนเปนเจา ของ จะ ตอ งรับผิดชอบเสวยวิบากเปนไปตามกรรมของตน — Kammassakatà-saddhà: belief in the individual ownership of action) 4. ตถาคตโพธสิ ัทธา (เช่อื ความตรสั รูของพระพุทธเจา, ม่ันใจในองคพ ระตถาคต วา ทรงเปน พระสัมมาสมั พทุ ธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บญั ญัตวิ นิ ัยไวด ว ยดี ทรงเปน ผูนํา ทางทีแ่ สดงใหเหน็ วา มนษุ ยคือเราทุกคนนี้ หากฝกตนดวยดี ก็สามารถเขา ถงึ ภมู ิธรรมสงู สุด บริสทุ ธ์ิหลุดพนได ดงั ทพ่ี ระองคไดทรงบําเพญ็ ไวเ ปนแบบอยา ง — Tathàgatabodhi-saddhà: confidence in the Enlightenment of the Buddha) ศรทั ธา 4 อยางน้ี มีมาในบาลเี ฉพาะขอท่ี 4 (ตถาคตโพธสิ ัทธา) อยา งเดยี ว (เชน องฺ.สตฺตก. 23/4/3; A.III.3 เปน ตน) วาโดยใจความ ศรัทธา 3 ขอตน ยอมรวมลงในขอที่ 4 ไดท ้ังหมด อน่ึง ขอ 3 มขี อธรรมทม่ี าในบาลคี ลา ยกนั แตเ ปนเรอ่ื งของญาณ หรือปญ ญา ไมใชเร่ืองของ ศรทั ธา คอื กัมมัสสกตาญาณ (ปรีชาหยงั่ รูความทีส่ ัตวม ีกรรมเปนของตน — knowledge that action is one’s own possession) เชน อภ.ิ วิ. 35/822/443; Vbh.328. สัทธา 4 น้ี เปนชุดสืบๆ กนั มา ที่คนไทยรจู กั กันมาก ซึง่ จัดรวมข้ึนภายหลงั แตศ รทั ธาทมี่ ี หลกั ฐานมาในคมั ภีร (ชน้ั อรรถกถา) ไดแก สัทธา 2 คือ 1. กัมมผลสทั ธา (เชอ่ื กรรมและผลของกรรม, เชอื่ กฎแหง กรรม — Kammaphala-saddhà: belief in kamma and its result; confidence in accordance with the law of action) 2. ตถาคตโพธสิ ทั ธา หรือ รตนตั ตยสทั ธา (เชื่อปญ ญาตรัสรูของตถาคต หรอื เชอ่ื พระ รัตนตรัย — Tathàgatabodhi-saddhà: confidence in the Enlightenment of the
หมวด 4 141 [183] Buddha, or Ratanattaya-saddhà: confidence in the Triple Gem) จะเห็นวา ขอ 1 กมั มผลสทั ธา ในชุดสทั ธา 2 น้ี ครอบคลุมขอ 1, 2, 3 ในชุดสทั ธา 4 ทงั้ หมด และทานยังไดอธบิ ายไวดวยวา กมั มผลสัทธา เปน โลกิยสัทธา สว น รตนตั ตยสทั ธา ถา ถกู ตองจรงิ แทเ หน็ ประจักษด วยปญ ญามัน่ คงไมหวนั่ ไหว เปนโลกตุ ตรสทั ธา (ท้งั นี้ พงึ ดู อ.ุ อ. 110, 235; อติ ิ.อ.74, 353; เถร.อ.1/490; จริยา.อ.336) [182] สติปฏฐาน 4 (ทตี่ ง้ั ของสต,ิ การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาสง่ิ ทง้ั หลายใหร เู หน็ ตามความ เปน จรงิ คอื ตามทสี่ งิ่ นน้ั ๆ มนั เปน ของมนั — Satipaññhàna: foundations of mindfulness) 1. กายานปุ สสนาสติปฏฐาน (การตัง้ สตกิ ําหนดพจิ ารณากาย ใหรเู ห็นตามเปนจริงวา เปน แตเพยี งกาย ไมใ ชสตั วบ ุคคลตัวตนเราเขา — Kàyànupassanà-~: contemplation of the body; mindfulness as regards the body) ทา นจําแนกวิธีปฏิบตั ไิ วหลายอยาง คอื อานาปานสติ กําหนดลมหายใจ 1 อริ ยิ าบถ กาํ หนดรทู ันอริ ิยาบถ 1 สัมปชัญญะ สรา ง สัมปชญั ญะในการกระทาํ ความเคลือ่ นไหวทุกอยาง 1 ปฏกิ ูลมนสิการ พจิ ารณาสว นประกอบอนั ไมส ะอาดทงั้ หลายท่ปี ระชมุ เขาเปน รา งกายน้ี 1 ธาตุมนสกิ าร พจิ ารณาเห็นรางกายของตนโดยสัก วา เปนธาตุแตล ะอยา งๆ 1 นวสวี ถิกา พจิ ารณาซากศพในสภาพตา งๆ อนั แปลกกนั ไปใน 9 ระยะ เวลา ใหเห็นคติธรรมดาของรางกาย ของผูอ ื่นเชน ใด ของตนกจ็ ักเปนเชน นน้ั 1 2. เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน (การตั้งสติกาํ หนดพิจารณาเวทนา ใหรเู ห็นตามเปนจรงิ วา เปน แตเ พยี งเวทนา ไมใ ชส ตั วบ คุ คลตวั ตนเราเขา — Vedanànupassanà-~: contemplation of feelings; mindfulness as regards feelings) คือ มีสติอยพู รอมดวยความรูชดั เวทนาอันเปน สขุ กด็ ี ทุกขกด็ ี เฉยๆ ก็ดี ท้ังท่ีเปน สามิส และเปนนริ ามสิ ตามท่เี ปน ไปอยใู นขณะนน้ั ๆ 3. จติ ตานุปส สนาสตปิ ฏฐาน (การตั้งสติกาํ หนดพจิ ารณาจิต ใหรเู หน็ ตามเปนจริงวา เปนแต เพียงจิต ไมใ ชสตั วบคุ คลตัวตนเราเขา — Cittànupassanà-~: contemplation of mind; mindfulness as regards mental conditions) คือ มีสติอยพู รอ มดว ยความรูช ดั จติ ของตนที่ มีราคะ ไมม รี าคะ มโี ทสะ ไมม ีโทสะ มีโมหะ ไมมีโมหะ เศราหมองหรอื ผองแผว ฟุงซานหรอื เปน สมาธิ ฯลฯ อยา งไรๆ ตามท่ีเปน ไปอยใู นขณะนั้นๆ 4. ธมั มานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน (การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาธรรม ใหร เู หน็ ตามเปน จรงิ วา เปน แต เพยี งธรรม ไมใ ชส ตั วบ คุ คลตวั ตนเราเขา — Dhammànupassanà-~: contemplation of mind- objects; mindfulness as regards ideas) คอื มีสตอิ ยูพ รอมดวยความรูชัดธรรมทั้งหลาย ไดแ ก นวิ รณ 5 ขนั ธ 5 อายตนะ 12 โพชฌงค 7 อรยิ สัจจ 4 วาคอื อะไร เปน อยา งไร มใี นตน หรือไม เกดิ ข้นึ เจริญบริบรู ณ และดับไปไดอยางไร เปนตน ตามที่เปนจรงิ ของมันอยางนนั้ ๆ. D.II.290–315; M.I.55–63. ท.ี ม.10/273–300/325–351; ม.มู.12/131–152/103–127. [183] สมชีวิธรรม 4 (หลักธรรมของคชู ีวติ , ธรรมทจ่ี ะทาํ ใหค ูส มรสมชี ีวิตสมหรอื สมํ่าเสมอกลมกลนื กัน อยูครองกันยืดยาว — Samajãvidhamma: qualities which make a couple well matched)
[184] 142 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 1. สมสัทธา (มีศรทั ธาสมกนั — Sama-saddhà: to be matched in faith) 2. สมสีลา (มศี ลี สมกัน — Sama-sãlà: to be matched in moral conduct) 3. สมจาคา (มจี าคะสมกัน — Sama-càgà: to be matched in generosity) 4. สมปญญา (มปี ญ ญาสมกนั — Sama-pa¤¤à: to be matched in wisdom) A.II.60. อง.ฺ จตุกฺก.21/55/80. [184] สมาธิภาวนา 4 (การเจรญิ สมาธิ, วิธฝี ก สมาธิแบบตางๆ จําแนกตามวัตถปุ ระสงค — Samàdhi-bhàvanà: ways or kinds of concentration-development) 1. สมาธิภาวนาที่เปนไปเพอ่ื ทิฏฐธรรมสุขวหิ าร (คือเพอ่ื การอยเู ปนสขุ ในปจจบุ ัน เชน ใช เปนเครือ่ งพักผอ นจิต หาความสขุ ยามวาง เปนตน — concentration-development that is conducive to happy living in the present) 2. สมาธิภาวนาท่ีเปน ไปเพื่อการไดญาณทสั สนะ (concentration-development that is conducive to the acquisition of knowledge and insight) 3. สมาธภิ าวนาท่เี ปนไปเพ่ือสติและสัมปชัญญะ (concentration-development that is conducive to mindfulness and full comprehension) 4. สมาธิภาวนาที่เปนไปเพื่ออาสวักขยะ คือความสิ้นอาสวะ (concentration- development that is conducive to the destruction of cankers) D.III.222; A.II.44. ท.ี ปา.11/233/233; องฺ.จตุกกฺ .21/41/57. [185] สังขาร 4 (คาํ วา สงั ขาร ท่ีใชในความหมายตา งๆ — Saïkhàra: applications of the word formation) 1. สงั ขตสงั ขาร (สงั ขารคือสังขตธรรม ไดแ กส ิ่งทัง้ ปวงท่ีเกดิ จากปจจัยปรงุ แตง รูปธรรมก็ตาม นามธรรมก็ตาม ไดใ นคําวา อนิจจฺ า วต สงขฺ ารา เปน ตน — Saïkhata-saïkhàra: formation consisting of the formed) 2. อภสิ งั ขตสงั ขาร (สงั ขารคอื สง่ิ ทกี่ รรมแตง ขนึ้ ไดแ กร ปู ธรรมกต็ าม นามธรรมกต็ าม ในภมู สิ าม ทเี่ กดิ แตก รรม — Abhisaïkhata-saïkhàra: formation consisting of the karma-formed) 3. อภิสังขรณกสังขาร (สังขารคือกรรมท่ีเปนตัวการปรุงแตง ไดแก กุศลเจตนา และ อกศุ ลเจตนาท้ังปวงในภูมิสาม ไดใ นคําวา สังขาร ตามหลกั ปฏจิ จสมุปบาท คือ [119] สังขาร 3 หรือ [129] อภสิ งั ขาร 3 — Abhisaïkharaõaka-saïkhàra: formation consisting in the act of kamma-forming) 4. ปโยคาภิสงั ขาร (สงั ขารคอื การประกอบความเพยี ร ไดแกกําลังความเพยี รทางกายกต็ าม ทางใจกต็ าม — Payogàbhisaïkhàra: formation consisting in exertion or impetus) Vism.527. วิสทุ ธฺ .ิ 3/120.
หมวด 4 143 [187] [186] สังคหวัตถุ 4 (ธรรมเครอ่ื งยดึ เหนี่ยว คอื ยึดเหนี่ยวใจบุคคล และประสานหมชู น ไวในสามคั ค,ี หลกั การสงเคราะห — Saïgahavatthu: bases of social solidarity; bases of sympathy; acts of doing favours; principles of service; virtues making for group integration and leadership) 1. ทาน (การให คอื เอือ้ เฟอ เผอื่ แผ เสยี สละ แบง ปน ชวยเหลอื กันดวยส่งิ ของ ตลอดถงึ ให ความรแู ละแนะนาํ สั่งสอน — Dàna: giving; generosity; charity) 2. ปยวาจา หรอื เปยยวัชชะ (วาจาเปน ทร่ี กั วาจาดดู ดม่ื นํา้ ใจ หรือวาจาซาบซงึ้ ใจ คือกลา วคาํ สุภาพไพเราะออนหวานสมานสามัคคี ใหเกิดไมตรีและความรักใครนับถือ ตลอดถึงคาํ แสดง ประโยชนป ระกอบดว ยเหตุผลเปน หลักฐานจงู ใจใหน ิยมยนิ ดี — Piyavàcà: kindly speech; convincing speech) 3. อตั ถจรยิ า (การประพฤตปิ ระโยชน คอื ขวนขวายชว ยเหลอื กจิ การ บาํ เพญ็ สาธารณประโยชน ตลอดถึงชวยแกไขปรับปรุงสงเสรมิ ในทางจรยิ ธรรม — Atthacariyà: useful conduct; rendering services; life of service; doing good) 4. สมานตั ตตา* (ความมีตนเสมอ** คือ ทําตนเสมอตนเสมอปลาย ปฏบิ ตั ิสมาํ่ เสมอกันในชน ทั้งหลาย และเสมอในสุขทุกขโดยรวมรับรูรวมแกไข ตลอดถึงวางตนเหมาะแกฐานะ ภาวะ บคุ คล เหตกุ ารณแ ละสิ่งแวดลอม ถกู ตอ งตามธรรมในแตล ะกรณี — Samànattatà: even and equal treatment; equality consisting in impartiality, participation and behaving oneself properly in all circumstances) ดู [11] ทาน 21; [229] พละ 4. D.III.152,232; A.II.32,248; A.IV.218,363. ท.ี ปา.11/140/167; 267/244; องฺ.จตกุ ฺก.21/32/42; 256/335; องฺ.อฏ ก.23/114/222; อง.ฺ นวก.23/209/377. [187] สังคหวัตถุของผูครองแผนดิน หรอื ราชสังคหวัตถุ 4 (สังคหวัตถุของพระราชา, ธรรมเครื่องยึดเหน่ียวจิตใจประชาชน, หลักการสงเคราะหประชาชน ของนักปกครอง — Ràja-saïgahavatthu: a ruler’s bases of sympathy; royal acts of doing favours: virtues making for national integration) 1. สัสสเมธะ (ความฉลาดในการบํารุงพืชพันธุธัญญาหาร สงเสริมการเกษตร — Sassamedha: shrewdness in agricultural promotion) 2. ปรุ สิ เมธะ (ความฉลาดในการบาํ รงุ ขา ราชการ รจู กั สง เสรมิ คนดมี คี วามสามารถ — Purisa- medha: shrewdness in the promotion and encouragement of government officials) 3. สมั มาปาสะ (ความรูจกั ผกู ผสานรวมใจประชาชนดวยการสงเสรมิ อาชีพ เชน ใหคนจนกูยมื * ในปกรณฝ ายสันสกฤตของมหายาน เปน สมานารถฺ ตา (= บาลี สมานตฺถตา) แปลวา “ความเปน ผมู ีจดุ หมาย รว มกนั หรือความคาํ นึงประโยชนอนั รว มกัน” (having common aims; feeling of common good) **คําแปลน้ีถอื ตามทแ่ี ปลกันมาเดิม แตต ามคาํ อธิบายในคัมภรี นา จะแปลวา “ความมีตนรว ม” (participation) โดยเฉพาะมงุ เอารว มสขุ รว มทุกข
[188] 144 พจนานุกรมพุทธศาสตร ทุนไปสรางตัวในพาณิชยกรรม เปน ตน — Sammàpàsa: “a bond to bind men’s hearts”; act of doing a favour consisting in vocational promotion as in commercial investment) 4. วาชเปยะ หรือ วาจาเปยยะ (ความมีวาจาอนั ดดู ด่ืมน้าํ ใจ นาํ้ คําควรด่ืม คอื รจู กั พูด รจู กั ปราศรัย ไพเราะ สุภาพนุมนวล ประกอบดวยเหตผุ ล มปี ระโยชน เปนทางแหง สามัคคี ทาํ ใหเกดิ ความเขา ใจอนั ดี และความนยิ มเช่อื ถอื — Vàjapeya: affability in address; kindly and convincing speech) ราชสังคหวตั ถุ 4 ประการนี้ เปนคาํ สอนในพระพทุ ธศาสนา สวนทแี่ กไขปรบั ปรุงคาํ สอนใน ศาสนาพราหมณ โดยกลาวถึงคาํ ศัพทเดียวกัน แตช้ีถึงความหมายอันชอบธรรมทต่ี างออกไป ธรรมหมวดน้ี วาโดยศพั ท ตรงกบั มหายญั 5 (the five great sacrifices) ของพราหมณ คอื 1. อัสสเมธะ (การฆามา บชู ายญั — Assamedha: horse sacrifice) 2. ปรุ สิ เมธะ (การฆาคนบูชายญั — Purisamedha: human sacrifice) 3. สมั มาปาสะ (ยญั อนั สรา งแทน บชู าในทขี่ วา งไมล อดบว งไปหลน ลง — Sammàpàsa: peg- thrown site sacrifice) 4. วาชเปยะ (การดมื่ เพอื่ พลงั หรอื เพอ่ื ชยั — Vàjapeya: drinking of strength or of victory) 5. นิรคั คฬะ หรอื สรรพเมธะ (ยญั ไมม ลี ิ่มสลกั คือ ทัว่ ไปไมมีขีดขนั้ จํากดั , การฆาครบทกุ อยางบูชายญั — Niraggaëa or Sabbamedha: the bolts-withdrawn sacrifice; universal sacrifice) มหายญั 5 ทพ่ี ระราชาพงึ บชู าตามหลกั ศาสนาพราหมณน ้ี พระพทุ ธศาสนาสอนวา เดมิ ทเี ดยี ว เปน หลกั การสงเคราะหท ด่ี งี าม แตพ ราหมณส มยั หนงึ่ ดดั แปลงเปน การบชู ายญั เพอื่ ผลประโยชนใน ทางลาภสกั การะแกต น ความหมายที่พึงตองการซง่ึ พระพทุ ธศาสนาสง่ั สอน 4 ขอแรก มีดังกลาว แลวขางตน สวนขอ ท่ี 5 ตามหลกั สังคหวัตถุ 4 นี้วาเปน ผล แปลวา ไมมลี มิ่ กลอน หมายความวา บานเมืองจะสงบสุขปราศจากโจรผูราย ไมตองระแวงภยั บา นเรอื นไมตองลงกลอน S.I.76; A.II.42; IV.151; It.21; Sn.303; SA.I.145; SnA.321. สํ.ส.15/351/110; องฺ.จตุกฺก.21/39/54; องฺ.อฏ ก.23/91/152; ขุ.อิต.ิ 25/205/246; ข.ุ ส.ุ 25/323/383; สํ.อ.1/169; อติ ิ.อ.123. [188] สังเวชนียสถาน 4 (สถานทเี่ ปน ทต่ี งั้ แหง ความสงั เวช, สถานทเี่ นอื่ งดว ยพทุ ธประวตั ิ ซ่ึงพุทธศาสนิกชนควรไปดูเพื่อเปนเครื่องเตือนใจใหเกิดความไมประมาท จะไดเรงขวนขวาย ประกอบกุศลกรรม และสําหรบั ผูศรัทธาจะไดจารกิ ไปชม เพ่อื เพมิ่ พูนปสาทะ กระทาํ สกั การะ บูชา อันจะนําใหเ ขา ถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค — Sa§vejanãyaññhàna: places apt to cause the feeling of urgency; places made sacred by the Buddha’s association; places to be visited with reverence; the four Buddhist Holy Places) 1. ชาตสถาน (ทพี่ ระพทุ ธเจา ประสตู ิ คอื อทุ ยานลมุ พนิ ี — Jàtaññhàna: birthplace of the Buddha)
หมวด 4 145 [189] 2. อภสิ มั พทุ ธสถาน (ทพ่ี ระพทุ ธเจา ตรสั รอู นตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณ คอื ควงโพธท์ิ ตี่ าํ บลพทุ ธคยา — Abhisambuddhaññhàna: place where the Buddha attained the Enlightenment) 3. ธัมมจักกปั ปวตั ตนสถาน (ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงปฐมเทศนา ธัมมจกั กปั ปวตั ตนสตู ร คอื ท่ปี าอสิ ปิ ตนมฤคทายวัน แขวงเมอื งพาราณสี เรยี กปจจุบนั วาสารนาถ — Dhamma- cakkappavattanaññhàna: place where the Buddha preached the First Sermon) 4. ปรินิพพตุ สถาน (ที่พระพุทธเจาเสดจ็ ปรินิพพาน คือ ที่สาลวโนทยาน เมอื งกุสนิ ารา — Parinibbutaññhàna: place where the Buddha passed away into Parinibbàna) D.II.140. ที.ม.10/131/163. [189] สัมปชัญญะ 4 (ความรูตัว, ความรตู วั ทวั่ พรอม, ความรูช ดั , ความรทู ่ัวชดั , ความ ตระหนกั — Sampaja¤¤a: clear comprehension; clarity of consciousness; awareness) 1. สาตถกสมั ปชญั ญะ (รูชัดวา มปี ระโยชน หรอื ตระหนักในจดุ หมาย คอื รูตัวตระหนักชัดวา ส่ิงที่กระทําน้ันมีประโยชนตามความมุงหมายอยางไรหรือไม หรือวาอะไรควรเปนจุดหมายของ การกระทาํ นั้น เชน ผเู จรญิ กรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ท่ีใดทห่ี น่ึง มใิ ชสกั วารูส กึ หรือนกึ ขึ้นมาวา จะ ไป กไ็ ป แตต ระหนกั วา เมือ่ ไปแลวจะไดปติสขุ หรอื ความสงบใจ ชวยใหเ กิดความเจริญโดยธรรม จึงไป โดยสาระคอื ความรตู ระหนักทจ่ี ะเลือกทาํ สงิ่ ทีต่ รงกบั วตั ถุประสงคหรืออาํ นวยประโยชนท่ี มุง หมาย — Sàtthaka-sampaja¤¤a: clear comprehension of purpose) 2. สปั ปายสมั ปชญั ญะ (รชู ัดวา เปน สัปปายะ หรือตระหนกั ในความเหมาะสมเกือ้ กลู คอื รูตัว ตระหนกั ชดั วา สงิ่ ของนนั้ การกระทํานั้น ท่ที ี่จะไปนนั้ เหมาะกนั กบั ตน เกือ้ กลู แกส ขุ ภาพ แกกจิ เอ้ือตอการสละละลดแหง อกุศลธรรมและการเกดิ ขน้ึ เจริญงอกงามแหง กศุ ลธรรม จงึ ใช จึงทาํ จงึ ไป หรือเลือกใหเหมาะ เชน ภกิ ษุใชจีวรท่ีเหมาะกับดินฟา อากาศและเหมาะกบั ภาวะของตนท่ี เปนสมณะ ผเู จริญกรรมฐานจะไปฟงธรรมอันมปี ระโยชนใ นที่ชุมนมุ ใหญ แตรวู ามีอารมณซงึ่ จะ เปน อันตรายตอกรรมฐาน ก็ไมไป โดยสาระคือ ความรูตระหนักทจ่ี ะเลอื กทาํ แตส ่งิ ท่เี หมาะสบาย เออ้ื ตอ กาย จติ ชวี ติ กจิ พนื้ ภมู ิ และภาวะของตน — Sappàya-~: clear comprehension of suitability) 3. โคจรสมั ปชญั ญะ (รชู ดั วา เปน โคจร หรอื ตระหนกั ในแดนงานของตน คอื รตู วั ตระหนกั ชดั อยู ตลอดเวลาถงึ สงิ่ ทเ่ี ปน กจิ หนา ท่ี เปน ตวั งาน เปน จดุ ของเรอื่ งทตี่ นกระทาํ ไมว า จะไปไหนหรอื ทาํ อะไร อนื่ กร็ ตู ระหนกั อยู ไมป ลอ ยใหเ ลอื นหายไป มใิ ชว า พอทาํ อะไรอนื่ หรอื ไปพบกบั สงิ่ อน่ื เรอ่ื งอน่ื ก็ เตลดิ เพรดิ ไปกบั สง่ิ นนั้ เรอื่ งนนั้ เปน นกบนิ ไมก ลบั รงั โดยเฉพาะการไมท งิ้ อารมณก รรมฐาน ซงึ่ รวม ถงึ การบาํ เพญ็ จติ ภาวนาและปญ ญาภาวนาในกจิ กรรมทกุ อยา งในชวี ติ ประจาํ วนั โดยสาระคอื ความรู ตระหนกั ทจี่ ะคมุ กายและจติ ไวใ หอ ยใู นกจิ ในประเดน็ หรอื แดนงานของตน ไมใ หเ ขว เตลดิ เลอ่ื น ลอย หรอื หลงลมื ไปเสยี — Gocara-~: clear comprehension of the domain) 4. อสมั โมหสัมปชญั ญะ (รูชดั วาไมห ลง หรอื ตระหนกั ในตัวเน้อื หาสภาวะ ไมหลงใหลฟน เฟอ น คือเม่อื ไปไหน ทําอะไร กร็ ตู วั ตระหนกั ชัดในการเคลือ่ นไหว หรือในการกระทาํ นั้น และใน
[190] 146 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร สง่ิ ท่กี ระทํานั้น ไมห ลง ไมสบั สนเงอะงะฟน เฟอน เขา ใจลว งตลอดไปถึงตวั สภาวะในการกระทาํ ท่ี เปน ไปอยนู ้ัน วา เปน เพยี งการประชุมกันขององคประกอบและปจจัยตางๆ ประสานหนนุ เน่ืองกัน ขึ้นมาใหป รากฏเปนอยางน้ัน หรือสําเรจ็ กจิ นนั้ ๆ รทู นั สมมติ ไมห ลงสภาวะเชน ยดึ เห็นเปน ตวั ตน โดยสาระคือ ความรูตระหนัก ในเรอ่ื งราว เนือ้ หา สาระ และสภาวะของสิง่ ท่ตี นเกี่ยวของหรือ กระทําอยูนั้น ตามที่เปนจริงโดยสมมติสัจจะ หรือตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใชพ รวดพราด ทาํ ไป หรอื สักวา ทํา มใิ ชทาํ อยา งงมงายไมรูเ รอ่ื ง และไมถูกหลอกใหล มุ หลงหรอื เขาใจผิดไปเสีย ดว ยความพรามัว หรอื ดวยลกั ษณะอาการภายนอกที่ยัว่ ยุ หรือเยา ยวนเปน ตน — Asammoha- ~: clear comprehension of non-delusion, or of reality) DA.I.183; VbhA.347. ที.อ.1/228; วิภงคฺ .อ.451. [190] สัมปทา หรอื สัมปทาคุณ 4 (ความถงึ พรอม, ความพรง่ั พรอ มสมบรู ณแ หง องคประกอบตางๆ ซง่ึ ทําใหท านท่ีบริจาคแลว เปน ทานอันยอดเยยี่ ม มผี ลมาก อาจเหน็ ผลทนั ตา — Sampadà: successful attainment; accomplishment; excellence) 1. วตั ถสุ มั ปทา (ถงึ พรอ มดวยวตั ถุ คือบุคคลผเู ปนทีต่ ้งั รองรับทาน เชน ทกั ขิไณยบุคคลเปน พระอรหันต หรอื พระอนาคามี ผูเ ขานโิ รธสมาบตั ไิ ด — Vatthu-sampadà: excellence of the foundation for merit) 2. ปจ จัยสัมปทา (ถงึ พรอมดว ยปจจัย คอื สิ่งที่จะใหเ ปน ของบริสุทธ์ิ ไดม าโดยชอบธรรม — Paccaya-sampadà: excellence of the gift) 3. เจตนาสมั ปทา (ถงึ พรอมดวยเจตนา คอื มเี จตนาในการใหส มบรู ณค รบ 3 กาล ทัง้ กอ นให ขณะให และหลังให จติ โสมนัส ประกอบดว ยปญ ญา — Cetanà-sampadà: excellence of the intention) 4. คุณาตเิ รกสัมปทา (ถึงพรอมดวยคณุ สว นพิเศษ คอื ปฏคิ าหกมคี ณุ สมบัติพิเศษ เชน ทักขไิ ณยบคุ คลนน้ั ออกจากนิโรธสมาบตั ิใหมๆ — Guõàtireka-sampadà: excellence of extra virtue) DhA.III.93. ธ.อ.5/88. [191] สัมปรายิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอื่ ประโยชนเ บอ้ื งหนา , ธรรมเปน เหตใุ หส มหมาย, หลกั ธรรมอนั อาํ นวยประโยชนส ขุ ขนั้ สงู ขนึ้ ไป — Samparàyikattha-sa §vattanika-dhamma: virtues conducive to benefits in the future; virtues leading to spiritual welfare) 1. สัทธาสมั ปทา (ถงึ พรอ มดว ยศรัทธา — Saddhà-sampadà: to be endowed with faith; accomplishment of confidence) 2. สลี สมั ปทา (ถึงพรอมดว ยศลี — Sãla-sampadà: to be endowed with morality; accomplishment of virtue)
หมวด 4 147 [193] 3. จาคสมั ปทา (ถงึ พรอ มดวยการเสียสละ — Càga-sampadà: to be endowed with generosity; accomplishment of charity) 4. ปญญาสมั ปทา (ถึงพรอมดวยปญ ญา — Pa¤¤à-sampadà: to be endowed with wisdom; accomplishment of wisdom) ธรรมหมวดนี้ เรยี กกนั สนั้ ๆ วา สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอื เรยี กตดิ ปากอยา งไทยๆ วา สมั ปราย-ิ กตั ถประโยชน (อตั ถะ กแ็ ปลวา “ประโยชน” จงึ เปน คาํ ซ้าํ ซอนกัน) A.IV.284. องฺ.อฏ ก.23/144/292. [,,,] สัมมัปปธาน 4 ดู [156] ปธาน 4. [192] สุขของคฤหัสถ หรือ คิหิสุข หรอื กามโภคีสุข 4 (สุขของชาวบาน, สุขท่ีชาวบานควรพยายามเขาถึงใหไดสมํ่าเสมอ, สุขอันชอบธรรมที่ผูครองเรือนควรมี — Gihisukha: house-life happiness; deserved bliss of a layperson) 1. อตั ถสิ ขุ (สุขเกิดจากความมีทรัพย คอื ความภูมิใจ เอิบอม่ิ ใจ วาตนมีโภคทรัพยที่ไดม าดวย น้ําพักนาํ้ แรงความขยันหมั่นเพียรของตน และโดยชอบธรรม — Atthisukha: bliss of ownership; happiness resulting from economic security) 2. โภคสขุ (สุขเกดิ จากการใชจ ายทรัพย คอื ความภูมิใจ เอิบอม่ิ ใจ วาตนไดใชทรพั ยท ่ไี ดม าโดย ชอบน้ัน เลย้ี งชพี เลย้ี งผูควรเลี้ยง และบาํ เพญ็ ประโยชน — Bhogasukha: bliss of enjoyment; enjoyment of wealth) 3. อนณสุข (สขุ เกดิ จากความไมเ ปน หน้ี คือ ความภมู ใิ จ เอิบอม่ิ ใจ วาตนเปนไท ไมมีหนีส้ นิ ติด คางใคร — Anaõasukha: bliss of debtlessness; happiness on account of freedom from debt) 4. อนวชั ชสขุ (สุขเกิดจากความประพฤติไมม โี ทษ คือ ความภมู ิใจ เอิบอ่มิ ใจ วาตนมีความ ประพฤตสิ ุจริต ไมบกพรองเสียหาย ใครๆ ติเตยี นไมไ ด ทัง้ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ — Anavajjasukha: bliss of blamelessness; happiness on account of leading a fault- less life) บรรดาสุข 4 อยางนี้ อนวชั ชสุข มีคา มากทสี่ ดุ A.II.69. องฺ.จตกุ ฺก.21/62/90. [,,,] สุหทมิตร 4 ดู [169] สุหทมิตร 4. [193] โสตาปตติยังคะ 41 (องคค ณุ เครอ่ื งบรรลุโสดา, องคประกอบของการบรรลุ โสดา, คณุ สมบตั ิทที่ าํ ใหเ ปนพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry) 1. สัปปรุ สิ สงั เสวะ (เสวนาสตั บรุ ษุ , คบหาทา นผทู รงธรรมทรงปญญาเปนกลั ยาณมติ ร — Sappurisasa§seva: association with good and wise persons)
[193] 148 พจนานุกรมพุทธศาสตร 2. สัทธัมมัสสวนะ (สดับสัทธรรม, ใสใจเลาเรียนฟงอานหาความรูใหไดธรรมที่แท — Saddhammassavana: hearing the good teaching) 3. โยนิโสมนสิการ (ทําในใจโดยแยบคาย, รูจักคิดพิจารณาหาเหตุผลโดยถูกวิธี — Yonisomanasikàra: analytical reflection; wise attention) 4. ธัมมานธุ มั มปฏิปต ติ (ปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธ รรม, ปฏิบัติธรรมถูกหลกั ใหธ รรมยอย คลอ ยแกธ รรมใหญ สอดคลอ งตามวตั ถปุ ระสงคของธรรมท้ังหลายท่ีสัมพนั ธก นั , ปฏิบตั ิธรรม น้ันๆ ใหสอดคลองพอดีตามขอบเขตความหมายและวัตถปุ ระสงคท ส่ี อดคลอ งกบั ธรรมขอ อนื่ ๆ กลมกลนื กันในหลักใหญท ่เี ปนระบบทัง้ หมด, ดําเนนิ ชวี ิตถกู ตอ งตามธรรม — Dhammànu- dhammapañipatti: practice in accord with the Dhamma, i.e. in such a systematic way that all levels and aspects of the Dhamma are in accord as regards their respective purposes; living in conformity with the Dhamma) โสตาปต ตยิ งั คะ 4 หมวดน้ี ตรงกับหลักท่เี รยี กวา [ ],,, ปญญาวุฒธิ รรม 4 หรือ [179] วุฒธิ รรม 4 ธรรม 4 ประการนี้ มใิ ชเ พียงเปนโสตาปตติยังคะ ทจ่ี ะใหบรรลโุ สดาปตตผิ ล คือเปนพระโสดาบนั เทา น้นั พระพทุ ธเจาตรสั วา ธรรม 4 ประการน้ี เมอ่ื เจรญิ ปฏบิ ตั ิ ทําใหม าก ยอ มเปน ไปเพ่อื การบรรลุ อรยิ ผลไดท กุ ขนั้ จนถึงอรหัตตผล (ส.ํ ม.19/1634–7/516–7 = S.V.411) D.III.227; S.V.347, 404. ที.ปา.11/240/239; สํ.ม.19/1428/434; 1620/509. [194] โสตาปตติยังคะ 42 (องคค ุณเครอ่ื งบรรลุโสดา, คุณสมบัติที่ทําใหเปนพระ โสดาบัน, คุณสมบัติของพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry) 1. ประกอบดว ยความเลอ่ื มใสมนั่ ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha) 2. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมนั่ ในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma) 3. ประกอบดวยความเลอ่ื มใสม่ันในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha) 4. ประกอบดว ยอรยิ กันตศลี คือ ศลี อนั เปน ทีช่ น่ื ชมพอใจของพระอรยิ ะ บรสิ ุทธ์ิ ไมถ กู ตณั หา และทฏิ ฐิแปดเปอนหรือครอบงํา และเปนไปเพ่อื สมาธิ (unblemished morality) S.V.345. ส.ํ ม.19/1420/431). [195] โสตาปตติยังคะ 43 (องคคุณเครอ่ื งบรรลโุ สดา, คณุ สมบัตทิ ี่ทาํ ใหเปนพระ โสดาบัน, คณุ สมบัติของพระโสดาบัน — Sotàpattiyaïga: factors of Stream-Entry) 1. ประกอบดว ยความเลอื่ มใสมนั่ ในพระพทุ ธเจา (unshakable confidence in the Buddha) 2. ประกอบดว ยความเลอ่ื มใสมั่นในธรรม (unshakable confidence in the Dhamma) 3. ประกอบดวยความเลื่อมใสมน่ั ในสงฆ (unshakable confidence in the Sangha) 4. ครองเรอื นดว ยใจปราศจากมัจฉรยิ ะ ยนิ ดีในการแจกจายแบง ปนชว ยเหลือผอู ่นื (devo- tion to charity; delight in giving and sharing) S.V.397. สํ.ม.19/1597–8/499.
หมวด 4 149 [198] [,,,] หลักการแบงทรัพย 4 สวน ดู [163] โภควภิ าค 4. [196] อคติ 4 (ฐานะอนั ไมพึงถงึ , ทางความประพฤติทผ่ี ดิ , ความไมเที่ยงธรรม, ความ ลาํ เอยี ง — Agati: wrong course of behaviour; prejudice) 1. ฉันทาคติ (ลาํ เอียงเพราะชอบ — Chandàgati: prejudice caused by love or desire; partiality) 2. โทสาคติ (ลําเอยี งเพราะชัง — Dosàgati: prejudice caused by hatred or enmity) 3. โมหาคติ (ลาํ เอยี งเพราะหลง, พลาดผิดเพราะเขลา — Mohàgati: prejudice caused by delusion or stupidity) 4. ภยาคติ (ลําเอียงเพราะกลัว — Bhayàgati: prejudice caused by fear) D.III.182,228; A.II.18. ท.ี ปา.11/176/196; 246/240; องฺ.จตกุ กฺ .21/17/23. [197] อธิษฐาน หรอื อธิษฐานธรรม 4 (ธรรมเปน ท่ีม่นั , ธรรมอันเปนฐานทีม่ ัน่ คงของบคุ คล, ธรรมทค่ี วรใชเปนทีป่ ระดษิ ฐานตน เพอื่ ใหส ามารถยดึ เอาผลสาํ เร็จสงู สุดอันเปน ที่ หมายได โดยไมเกิดความสําคัญตนผิด และไมเ กดิ สิ่งมัวหมองหมกั หมมทบั ถมตน, บางทีแปลวา “ธรรมทค่ี วรตง้ั ไวใ นใจ” — Adhiññhàna: foundation; foundations on which a tranquil sage establishes himself; virtues which should be established in the mind) 1. ปญ ญา (ความรูชดั คือ หยง่ั รูใ นเหตุผล พจิ ารณาใหเ ขาใจในสภาวะของสิง่ ทงั้ หลายจนเขาถงึ ความจริง — Pa¤¤à: wisdom; insight) 2. สัจจะ (ความจริง คือ ดํารงม่ันในความจริงที่รูชัดดวยปญญา เร่ิมแตจริงวาจาจนถึง ปรมัตถสัจจะ — Sacca: truthfulness) 3. จาคะ (ความสละ คือ สละสิ่งอนั เคยชิน ขอ ทเี่ คยยดึ ถอื ไว และส่งิ ท้ังหลายอันผิดพลาดจาก ความจริงเสยี ได เริ่มแตสละอามสิ จนถึงสละกเิ ลส — Càga: liberality; renunciation) 4. อุปสมะ (ความสงบ คอื ระงับโทษขอขัดของมัวหมองวนุ วายอนั เกิดจากกิเลสท้ังหลายแลว ทาํ จติ ใจใหสงบได — Upasama: tranquillity; peace) ทัง้ 4 ขอนี้ พงึ ปฏบิ ตั ติ ามกระทดู งั น้ี 1. ปฺ นปฺปมชฺเชยฺย (ไมพ งึ ประมาทปญญา คือ ไมละเลยการใชป ญ ญา — Pa¤¤a§ nappamajjeyya: not to neglect wisdom) 2. สจจฺ ํ อนรุ กเฺ ขยยฺ (พงึ อนรุ กั ษส จั จะ — Sacca§anurakkheyya:to safeguard truthfulness) 3. จาคํ อนุพรฺ ูเหยยฺ (พงึ เพม่ิ พูนจาคะ — Càga§ anubråheyya: to foster liberality) 4. สนฺตึ สกิ ฺเขยฺย (พึงศกึ ษาสันติ — Santi§ sikkheyya: to train oneself in tranquillity) D.III.229; M.III.243. ที.ปา.11/254/241; ม.อุ.14/682/437. [198] อบาย หรอื อบายภูมิ 4 (ภาวะหรอื ทอี่ นั ปราศจากความเจรญิ — Apàya: states
[199] 150 พจนานุกรมพุทธศาสตร of loss and woe; low states of existence; unhappy existence) 1. นิรยะ (นรก, สภาวะหรอื ทีอ่ ันไมมคี วามสุขความเจรญิ , ภาวะเรา รอนกระวนกระวาย — Niraya: hell; woeful state) 2. ติรัจฉานโยนิ (กําเนดิ ดิรจั ฉาน, พวกมดื มัวโงเขลา — Tiracchànayoni: the animal kingdom; realm of beasts) 3. ปต ตวิ สิ ยั (แดนเปรต, ภมู แิ หง ผหู วิ กระหายไรส ขุ — Pittivisaya: realm of hungry ghosts) 4. อสุรกาย (พวกอสูร, พวกหวาดหวนั่ ไรค วามรื่นเรงิ — Asurakàya: host of demons; the unrelenting and dejected; frightened ghosts) ดู [351] ภูมิ 4, 31. It.93. ข.ุ อติ ิ.25/273/301. [199] อบายมุข 4 (ชอ งทางของความเสอื่ ม, ทางท่จี ะนาํ ไปสูความพินาศ, เหตุยอ ยยับแหง โภคทรพั ย — Apàyamukha: causes of ruin; sources for the destruction of the amassed wealth) 1. อิตถธี ุตตะ (เปนนกั เลงหญงิ , นกั เทยี่ วผูหญิง — Itthãdhutta: seduction of women; debauchery) 2. สุราธุตตะ (เปน นกั เลงสุรา, นักด่ืม — Suràdhutta: drunkenness) 3. อักขธุตตะ (เปนนักการพนัน — Akkhadhutta: indulgence in gambling) 4. ปาปมติ ตะ (คบคนชวั่ — Pàpamitta: bad company) อบายมุข 4 อยางนี้ ตรัสกบั ผคู รองเรอื นที่มหี ลักฐานแลว และตรสั ตอ ทา ยทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถ- สงั วัตตนิกธรรม 4 มุง ความวาเปน ทางพนิ าศแหง โภคะท่ีหามาไดแ ลว A.IV.283. อง.ฺ อฏก.23/144/292. [200] อบายมุข 6 (ชอ งทางของความเสอ่ื ม, ทางแหง ความพนิ าศ, เหตยุ อ ยยบั แหง โภคทรพั ย — Apàyamukha: causes of ruin; ways of squandering wealth) 1. ตดิ สุราและของมึนเมา (addiction to intoxicants; drug addiction) มโี ทษ 6 คอื 1) ทรัพยห มดไปๆ เหน็ ชดั ๆ 2) กอการทะเลาะววิ าท 3) เปนบอ เกิดแหงโรค 4) เสียเกียรตเิ สยี ชือ่ เสยี ง 5) ทําใหไมรูอาย 6) ทอนกําลังปญญา a) actual loss of wealth
หมวด 4 151 [200] b) increase of quarrels c) liability to disease d) source of disgrace e) indecent exposure f) weakened intelligence. 2. ชอบเท่ียวกลางคนื (roaming the streets at unseemly hours) มีโทษ 6 คอื 1) ชอื่ วา ไมร กั ษาตวั 2) ชอ่ื วาไมร กั ษาลกู เมีย 3) ชอื่ วาไมรกั ษาทรัพยส มบัติ 4) เปนท่ีระแวงสงสัย 5) เปนเปา ใหเขาใสค วามหรอื ขา วลอื 6) เปนทางมาของเรอื่ งเดอื ดรอ นเปนอันมาก a) He himself is without guard and protection. b) So also are his wife and children. c) So also is his property. d) He is liable to be suspected of crimes. e) He is the subject of false rumours. f) He will meet a lot of troubles. 3. ชอบเท่ยี วดูการละเลน (frequenting shows) มโี ทษ โดยการงานเสอ่ื มเสยี เพราะใจ กงั วลคอยคิดจอ ง กับเสียเวลาเมื่อไปดสู ง่ิ น้ันๆ ทั้ง 6 กรณี คอื 1) ราํ ท่ไี หนไปท่นี น่ั 2)–6) ขบั รอง, ดนตรี, เสภา, เพลง, เถิดเทิงทไ่ี หน ไปท่ีนนั่ * (He keeps looking about to see) a) Where is there dancing? b)–f) Where is there singing? ~ choral music? ~ story-telling? ~ cymbal playing? ~ tam-tams? 4. ติดการพนัน (indulgence in gambling) มโี ทษ 6 คือ 1) เม่อื ชนะยอ มกอเวร 2) เมือ่ แพกเ็ สยี ดายทรพั ยท ีเ่ สียไป * คําแปลภาษาไทยถือตามท่แี ปลกนั มา สว นภาษาอังกฤษแปลตางหาก ไมไดมงุ ใหตรงกนั
[201] 152 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 3) ทรัพยหมดไปๆ เห็นชดั ๆ 4) เขา ทป่ี ระชุม เขาไมเ ชือ่ ถอื ถอ ยคาํ 5) เปนท่ีหม่ินประมาทของเพอ่ื นฝงู 6) ไมเ ปน ท่ีพึงประสงคของผูท่ีจะหาคูครองใหล ูกของเขา เพราะเหน็ วา จะเลี้ยงลกู เมยี ไมไหว a) As winner, he begets hatred. b) As loser, he regrets his lost money. c) There is actual loss of wealth. d) His word has no weight in an assembly. e) He is scorned by his friends and companions. f) He is not sought after by those who want to marry their daughters, for they would say that a gambler cannot afford to keep a wife. 5. คบคนชัว่ (association with bad companions) มโี ทษ โดยนาํ ใหก ลายไปเปน คนชัว่ อยา งคนทตี่ นคบทงั้ 6 ประเภท คอื ไดเ พอื่ นทจี่ ะนาํ ใหกลายเปน 1) นกั การพนนั (gamblers) 2) นกั เลงหญงิ (rakes; seducers) 3) นกั เลงเหลา (drunkards) 4) นักลวงของปลอม (cheaters with false things) 5) นักหลอกลวง (swindlers) 6) นักเลงหัวไม (men of violence) 6. เกียจครานการงาน (habit of idleness) มโี ทษ โดยทําใหย กเหตุตางๆ เปนขออางผดั เพี้ยนไมท าํ การงาน โภคะใหมก็ไมเกดิ โภคะทม่ี อี ยกู ็หมดสิ้นไป คอื ใหอ างไปทั้ง 6 กรณวี า 1)–6) หนาวนกั — รอนนัก — เย็นไปแลว — ยงั เชา นกั — หวิ นัก — อม่ิ นกั * a)–f) He always makes an excuse that it is too cold, — too hot, — too late, — too early, he is too hungry, — too full and does no work. อบายมขุ หมวดน้ี ตรัสแกส งิ คาลกมาณพ กอนตรัสเรอ่ื งทศิ 6 D.III.182–184. ที.ปา.11/178–184/196–198. [201] วัฒนมุข 6 (ธรรมทเ่ี ปนปากทางแหงความเจริญ, ธรรมที่เปนดจุ ประตูชยั อันจะเปด ออกไปใหก า วหนา สคู วามเจรญิ งอกงามของชวี ติ — Vaóóhana-mukha: channels of growth; gateway to progress) * บางฉบับเปน “กระหายนกั ” (too thirsty)
หมวด 4 153 [202] 1. อาโรคยะ (ความไมม ีโรค, ความมีสุขภาพดี — ârogya: good health) 2. ศลี (ความประพฤตดิ ี มวี นิ ยั ไมก อ เวรภยั ไดฝ ก ในมรรยาทอนั งาม — Sãla: moral conduct and discipline) 3. พุทธานุมัต (ศึกษาแนวทาง มองดแู บบอยาง เขาถงึ ความคิดของพทุ ธชนเหลา คนผเู ปน บัณฑติ — Buddhànumata: conformity or access to the ways of great, enlightened beings) 4. สุตะ (ใฝเลาเรียนหาความรู ฝกตนใหเชี่ยวชาญและทันตอเหตุการณ — Suta: much learning) 5. ธรรมานวุ ัติ (ดําเนินชวี ติ และกิจการงานโดยทางชอบธรรม — Dhammànuvatti: practice in accord with the Dhamma; following the law of righteousness) 6. อลนี ตา (เพียรพยายามไมระยอ, มีกําลงั ใจแขง็ กลา ไมท อถอยเฉือ่ ยชา เพยี รกา วหนา เรอื่ ย ไป — Alãnatà: unshrinking perseverance) ธรรม 6 ประการชุดน้ี ในบาลีเดมิ เรยี กวา อตั ถทวาร (ประตแู หง ประโยชน, ประตูสจู ดุ หมาย) หรือ อตั ถประมุข (ปากทางสปู ระโยชน, ตน ทางสูจุดหมาย) และอรรถกถาอธิบายคาํ อัตถะ วา หมายถงึ “วฒุ ”ิ คอื ความเจริญ ซ่ึงไดแ ก วฒั นะ ดังนั้นจึงอาจเรยี กวา วฒุ มิ ขุ หรอื ท่คี น ไทยรูสกึ คุน มากกวาวา วฒั นมุข อนง่ึ ในฝา ยอกศุ ล มหี มวดธรรมรจู กั กนั ดที เี่ รยี กวา อบายมขุ 6 ซง่ึ แปลวา ปากทางแหง ความ เสอ่ื ม จงึ อาจเรยี กธรรมหมวดน้ดี ว ยคาํ ทเ่ี ปนคตู รงขา มวา อายมุข 6 (ปากทางแหงความเจรญิ ) J.I.366 ขุ.ชา.27/84/27 [202] อปสเสนะ หรือ อปสเสนธรรม 4 (ธรรมดุจพนกั พิง, ธรรมเปนท่อี ิงหรือ พ่งึ อาศยั — Apassena: virtues to lean on; states which a monk should rely on) 1. สงขฺ าเยกํ ปฏเิ สวติ (ของอยางหน่ึง พจิ ารณาแลวเสพ ไดแก สิ่งของมปี จ จยั 4 คอื จวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสัช เปนตนกด็ ี บคุ คล และธรรมเปนตน ก็ดี ทจี่ ําเปน จะตอ ง เกี่ยวขอ งและมีประโยชน พึงพจิ ารณาแลว จึงใชสอยและเสวนาใหเปนประโยชน — Pañisevanà: The monk deliberately follows or makes use of one thing.) 2. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ (ของอยางหนึ่ง พิจารณาแลว อดกลน้ั ไดแ ก อนฏิ ฐารมณต า งๆ มี หนาว รอ น และทุกขเวทนาเปนตน พึงรูจ กั พิจารณาอดกลั้น — Adhivàsanà: The monk deliberately endures one thing.) 3. สงขฺ าเยกํ ปริวชฺเชติ (ของอยา งหนงึ่ พิจารณาแลว เวน เสยี ไดแ ก สง่ิ ทเ่ี ปน โทษ กอ อันตราย แกรา งกายก็ตาม จิตใจก็ตาม เชน ชางราย คนพาล การพนนั สุราเมรัย เปน ตน พงึ รูจกั พจิ ารณา หลกี เวน เสยี — Parivajjanà: The monk deliberately avoids one thing.) 4. สงขฺ าเยกํ ปฏิวิโนเทติ (ของอยา งหนึง่ พจิ ารณาแลว บรรเทาเสยี ไดแก ส่ิงท่ีเปนโทษกอ
[203] 154 พจนานุกรมพุทธศาสตร อนั ตราย เชน อกุศลวิตก มกี ามวติ ก พยาบาทวติ ก วหิ ิงสาวติ ก เปนตน และความช่ัวรา ยทั้ง หลาย เกิดข้ึนแลว พึงรูจ ักพจิ ารณาแกไข บาํ บัดหรอื ขจัดใหส ิน้ ไป — Pañivinodanà: The monk deliberately suppresses or expels one thing.) อปสเสนะ 4 น้ี เรียกอีกอยางวา อปุ นสิ ยั 4 (ธรรมเปนท่ีพึง่ พงิ หรอื ธรรมชว ยอุดหนุน — Upanissaya: supports; supporting states) เมอื่ รูจ กั พจิ ารณาปฏิบตั ติ อ ส่ิงตางๆ ใหถ ูกตอ งดว ยปญญาตามหลักอปส เสนะ หรอื อุปนสิ ัย 4 อยา งนี้ ยอมเปน เหตุใหอ กุศลท่ยี ังไมเ กดิ ก็ไมเ กดิ ขึ้น ท่ีเกิดแลวก็เสอ่ื มสนิ้ ไป และกศุ ลทยี่ ังไม เกิดยอมเกิดข้นึ ทเ่ี กิดข้นึ แลว ก็เจริญยงิ่ ขน้ึ ไป ภกิ ษุผพู รอมดว ยธรรม 4 ประการน้ี ดาํ รงอยูในธรรม 5 คือ ศรทั ธา หริ ิ โอตตปั ปะ วิริยะ ปญ ญา ทา นเรยี กวา นสิ สยสมั บนั (ผถู งึ พรอ มดว ยทพ่ี ง่ึ อาศยั — fully supported; resourceful). D.III.224,270; A.IV.354; A.V.30. ท.ี ปา.11/236/326; 472/338; องฺ.นวก.23/206/366; องฺ.ทสก.24/20/32. [,,,] อรหันต 4 ดู [62] อรหันต 4. [,,,] อริยบุคคล 4 ดู [56] อริยบคุ คล 4. [203] อริยวงศ 4 (ปฏิปทาที่พระอริยะทั้งหลายปฏิบัติสืบกันมาแตโบราณไมขาดสาย, อริยประเพณี — Ariyava§sa: Ariyan lineage; noble tradition; the fourfold traditional practice of the Noble Ones) 1. จวี รสนั โดษ (ความสนั โดษดวยจวี ร — Cãvara-santosa: contentment as regards robes or clothing) 2. ปณ ฑปาตสันโดษ (ความสันโดษดวยบิณฑบาต — Piõóapàta-santosa: contentment as regards alms-food) 3. เสนาสนสนั โดษ (ความสันโดษดวยเสนาสนะ — Senàsana-santosa: contentment as regards lodging) 4. ปหานภาวนารามตา (ความยนิ ดใี นการละอกศุ ลและเจรญิ กศุ ล — Pahànabhàvanà- ràmatà: delight in the abandonment of evil and the development of good) การปฏบิ ัติทีจ่ ดั เปนอรยิ วงศใ นธรรมทัง้ 4 ขอนั้น พระภิกษุพึงประพฤติดังน้ี ก. สนั โดษดว ยปจจัยใน 3 ขอ ตน ตามมีตามได ข. มปี กติกลา วสรรเสรญิ คุณของความสันโดษใน 3 ขอ น้ัน ค. ไมป ระกอบอเนสนา คอื การแสวงหาทีผ่ ดิ (ทจุ รติ ) เพราะปจจัยทง้ั 3 อยา งนั้นเปน เหตุ (เพยี ร แสวงหาแตโดยทางชอบธรรม ไมเ กยี จคราน) ง. เมื่อไมได ก็ไมเรารอนทุรนทุราย จ. เมอื่ ได กใ็ ชโ ดยไมต ดิ ไมห มกมนุ ไมส ยบ รเู ทา ทนั เหน็ โทษ มปี ญ ญาใชส งิ่ นน้ั ตามประโยชน ตาม ความหมายของมนั (มแี ละใชด ว ยสตสิ มั ปชญั ญะ ดาํ รงตนเปน อสิ ระ ไมต กเปน ทาสของสงิ่ นนั้ )
หมวด 4 155 [204] ฉ. ไมถ อื เอาการท่ีไดประพฤตธิ รรม 4 ขอ น้ี เปน เหตยุ กตนขม ผูอืน่ โดยสรปุ วา เปน ผขู ยนั ไมเ กียจคราน มสี ตสิ ัมปชัญญะในขอนัน้ ๆ เฉพาะขอ 4 ทรงสอนไม ใหสันโดษ สว น 3 ขอแรกทรงสอนใหทําความเพียรแสวงหาในขอบเขตที่ชอบดว ยธรรมวินัยและ มีความสนั โดษตามนัยทแ่ี สดงขางตน อนึ่ง ในจฬู นิทเทส ทา นแสดงอรยิ วงศข องพระปจเจกพทุ ธเจาตางไปเลก็ นอ ย คอื เปล่ียนขอ 4 เปน สันโดษดว ยคิลานปจ จยั เภสชั บรขิ าร (medical equipment) D.III.224; A.II.27; Nd2107. ท.ี ปา.11/237/236; อง.ฺ จตกุ กฺ .21/28/35; ข.ุ จ.ู 30/691/346. [204] อริยสัจจ 4 (ความจริงอันประเสริฐ, ความจรงิ ของพระอริยะ, ความจรงิ ท่ีทําใหผ ูเ ขา ถึงกลายเปนอรยิ ะ — Ariyasacca: The Four Noble Truths) 1. ทกุ ข (ความทกุ ข, สภาพที่ทนไดย าก, สภาวะทบ่ี ีบค้นั ขัดแยง บกพรอ ง ขาดแกน สารและ ความเทย่ี งแท ไมใ หความพงึ พอใจแทจรงิ , ไดแก ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสงิ่ อันไมเปน ทร่ี ัก การพลัดพรากจากส่ิงที่รัก ความปรารถนาไมสมหวัง โดยยอวา อุปาทานขันธ 5 เปนทกุ ข — Dukkha: suffering; unsatisfactoriness) 2. ทุกขสมทุ ัย (เหตุเกดิ แหงทุกข, สาเหตใุ หทกุ ขเ กิด ไดแ ก ตณั หา 3 คอื กามตณั หา ภวตณั หา และ วภิ วตณั หา — Dukkha-samudaya: the cause of suffering; origin of suffering) 3. ทกุ ขนโิ รธ (ความดบั ทกุ ข ไดแ ก ภาวะทตี่ ณั หาดับส้ินไป, ภาวะทเ่ี ขาถึงเม่อื กาํ จัดอวชิ ชา สาํ รอกตัณหาสนิ้ แลว ไมถ กู ยอ ม ไมตดิ ของ หลุดพน สงบ ปลอดโปรง เปนอิสระ คอื นพิ พาน — Dukkha-nirodha: the cessation of suffering; extinction of suffering) 4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ปฏิปทาท่ีนําไปสูความดบั แหงทกุ ข, ขอปฏบิ ัตใิ หถงึ ความดบั ทกุ ข ไดแก อริยอัฏฐงั คิกมรรค หรอื เรียกอกี อยางหนง่ึ วา มชั ฌมิ าปฏปิ ทา แปลวา “ทางสาย กลาง” มรรคมอี งค 8 นี้ สรุปลงในไตรสิกขา คือ ศลี สมาธิ ปญ ญา — Dukkha-nirodha- gàminã pañipadà: the path leading to the cessation of suffering) อรยิ สจั จ 4 นี้ เรยี กกนั สน้ั ๆ วา ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค (Dukkha, Samudaya, Nirodha, Magga); การแสดงอรยิ สัจจ 4 น้ี มีชือ่ เรยี กอกี อยา งหนึง่ วา สามุกกงั สิกาธรรมเทศนา (เชน องฺ. อฏก.23/102/190) แปลตามอรรถกถาวา พระธรรมเทศนาท่ีพระพทุ ธเจาทรงหยิบยกขน้ึ ถือเอาไว ดว ยพระองคเ อง คอื ทรงเหน็ ดว ยพระสยมั ภญู าณ (=ตรสั รเู อง) ไมส าธารณะแกผ อู นื่ (แตต ามท่ี อธิบายกนั มา มกั แปลวา “พระธรรมเทศนาทพี่ ระพุทธเจา ทรงยกข้นึ แสดงเอง โดยไมต องปรารภ คําถามหรอื การทูลขอรองของผฟู ง อยา งการแสดงธรรมเร่อื งอน่ื ๆ”; ความจรงิ จะแปลวา “พระ ธรรมเทศนาข้ันสุดยอด” ก็ได ซ่ึงสมกับเปนเร่ืองที่ทรงแสดงทายสุดตอจาก อนุปุพพิกถา 5 คํา แปลอยา งหลงั น้ี พงึ เทียบ องฺ.ทสก.24/95/208) ดู [216] ขันธ 5; [74] ตัณหา 3; [293] มรรคมีองค 8; [124] สกิ ขา 3. Vin.I.9; S.V.421; Vbh.99. วนิ ย.4/14/18; ส.ํ ม.19/1665/528; อภิ.ว.ิ 35/145/127.
[205] 156 พจนานกุ รมพุทธศาสตร [205] กิจในอริยสัจจ 4 (หนาท่อี นั จะพึงทาํ ตออรยิ สัจจ 4 แตละอยาง, ขอที่จะตอ ง ปฏบิ ัติใหถกู ตองและเสร็จสิ้นในอริยสัจจ 4 แตล ะอยา ง จงึ จะชือ่ วารูอรยิ สจั จหรอื เปน ผตู รัสรู แลว — Ariyasaccesu kiccàni: functions concerning the Four Noble Truths) 1. ปรญิ ญา (การกาํ หนดรู เปน กจิ ในทกุ ข ตามหลกั วา ทกุ ขฺ ํ อรยิ สจจฺ ํ ปริ เฺ ยยฺ ํ ทกุ ขค วรกาํ หนด รู คอื ควรศกึ ษาใหร จู กั ใหเ ขา ใจชดั ตามสภาพทเ่ี ปน จรงิ ไดแ ก การทาํ ความเขา ใจและกาํ หนด ขอบเขตของปญหา — Pari¤¤à: comprehension; suffering is to be com-prehended) 2. ปหานะ (การละ เปนกิจในสมุทัย ตามหลกั วา ทกุ ฺขสมุทโย อรยิ สจจฺ ํ ปหาตพฺพํ สมุทยั ควร ละ คือ กําจดั ทําใหห มดส้นิ ไป ไดแ กการแกไ ขกาํ จัดตน ตอของปญหา — Pahàna: era- dication; abandonment; the cause of suffering is to be eradicated) 3. สจั ฉกิ ริ ิยา (การทําใหแจง เปนกิจในนิโรธ ตามหลักวา ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺฉิกาตพพฺ ํ นโิ รธควรทําใหแ จง คือ เขา ถงึ หรือบรรลุ ไดแ กก ารเขาถึงภาวะท่ีปราศจากปญ หา บรรลุจุดหมาย ท่ีตองการ — Sacchikiriyà: realization; the cessation of suffering is to be realized) 4. ภาวนา (การเจรญิ เปน กจิ ในมรรค ตามหลกั วา ทกุ ขฺ นโิ รธคามนิ ี ปฏปิ ทา อรยิ สจจฺ ํ ภาเวตพพฺ ํ มรรคควรเจรญิ คอื ควรฝก อบรม ลงมอื ปฏบิ ตั ิ กระทาํ ตามวธิ กี ารทจี่ ะนาํ ไปสจู ดุ หมาย ไดแ กก ารลงมอื แกไ ขปญ หา — Bhàvanà: development; practice; the path is to be followed or developed) ในการแสดงอริยสจั จ กด็ ี ในการปฏิบตั ิธรรมตามหลกั อรยิ สัจจ กด็ ี จะตอ งใหอ ริยสัจจแต ละขอ สัมพันธต รงกนั กับกจิ แตละอยาง จงึ จะเปน การแสดงและเปนการปฏิบตั ิโดยชอบ ทั้งนี้ วางเปนหวั ขอไดด ังน้ี 1. ทุกข เปนขน้ั แถลงปญ หาทีจ่ ะตอ งทาํ ความเขาใจและรขู อบเขต (ปรญิ ญา) — statement of evil; location of the problem. 2. สมุทัย เปนข้ันวิเคราะหและวินิจฉัยมูลเหตุของปญ หา ซึ่งจะตอ งแกไขกําจดั ใหหมดสิน้ ไป (ปหานะ) — diagnosis of the origin. 3. นโิ รธ เปนข้นั ชบี้ อกภาวะปราศจากปญ หา อนั เปนจดุ หมายที่ตอ งการ ใหเ ห็นวาการแกป ญ หา เปนไปได และจุดหมายนนั้ ควรเขา ถึง ซงึ่ จะตอ งทําใหสําเร็จ (สจั ฉิกิริยา) — prognosis of its antidote; envisioning the solution. 4. มรรค เปนขั้นกาํ หนดวิธีการ ขน้ั ตอน และรายละเอยี ดที่จะตอ งปฏิบตั ิในการลงมอื แกปญหา (ภาวนา) — prescription of the remedy; programme of treatment. ความสาํ เรจ็ ในการปฏบิ ตั ิทงั้ หมด พึงตรวจสอบดวยหลัก [73] ญาณ 3 2 Vin.I.10; S.V.422. วินย.4/15/20; ส.ํ ม.19/1666/529. [206] ธรรม 4 (ธรรมทงั้ ปวงประดามี จดั ประเภทตามลักษณะความสมั พนั ธทม่ี นุษยพงึ ปฏิบัตหิ รอื เกย่ี วขอ งเปน 4 จําพวก อนั สอดคลอ งกบั หลักอริยสจั จ 4 และกิจในอริยสัจจ 4 — Dhamma: all dhammas [states, things] classified into 4 categories according as they are to be rightly treated)
หมวด 4 157 [207] 1. ปริญไญยธรรม = ธรรมทเี่ ขากบั กิจในอริยสจั จขอ ท่ี 1 คอื ปริญญา (ธรรมอนั พึงกําหนดร,ู ส่ิงทค่ี วรรอบรู หรือรเู ทา ทันตามสภาวะของมัน ไดแก อุปาทานขันธ 5 กลาวคอื ทกุ ขและสิง่ ทั้ง หลายทอี่ ยใู นจาํ พวกทเี่ ปน ปญ หาหรอื เปนท่ีตัง้ แหง ปญหา — Pari¤¤eyya-dhamma: things to be fully understood, i.e. the five aggregates of existence subject to clinging) 2. ปหาตัพพธรรม = ธรรมท่เี ขากับกิจในอริยสจั จข อ ท่ี 2 คือ ปหานะ (ธรรมอนั พงึ ละ, สง่ิ ท่ีจะ ตอ งแกไขกําจัดทําใหห มดไป วาโดยตนตอรากเหงา ไดแก อวิชชา และภวตณั หา กลาวคือธรรม จําพวกสมทุ ัยทีก่ อ ใหเ กดิ ปญ หาเปนสาเหตขุ องทกุ ข หรือพูดอีกอยางหนงึ่ วา อกศุ ลทงั้ ปวง — Pahàtabba-dhamma: things to be abandoned, i.e. ignorance and craving for being) 3. สัจฉิกาตพั พธรรม = ธรรมท่เี ขากับกิจในอรยิ สจั จขอท่ี 3 คือ สจั ฉกิ ิรยิ า (ธรรมอนั พงึ ประจกั ษแ จง, สิ่งที่ควรไดควรถงึ หรือควรบรรลุ ไดแ ก วิชชา และวมิ ุตติ เมื่อกลา วโดยรวบยอด คอื นิโรธ หรอื นพิ พาน หมายถงึ ธรรมจําพวกทเี่ ปนจดุ หมาย หรือเปน ทด่ี บั หายส้ินไปแหงทุกข หรอื ปญหา — Sacchikàtabba-dhamma: things to be realized, i.e. true knowledge and freedom or liberation) 4. ภาเวตัพพธรรม = ธรรมทีเ่ ขากับกิจในอริยสัจจข อที่ 4 คือ ภาวนา (ธรรมอนั พงึ เจริญหรอื พงึ ปฏิบัติบําเพ็ญ, สิ่งทีจ่ ะตองปฏบิ ัตหิ รอื ลงมือทํา ไดแก ธรรมที่เปนมรรค โดยเฉพาะสมถะ และวิปสสนา กลาวคือ ประดาธรรมทเี่ ปนขอปฏบิ ตั หิ รอื เปนวิธกี ารทีจ่ ะทําหรือดาํ เนนิ การเพอื่ ให บรรลจุ ดุ หมายแหง การสลายทกุ ขห รอื ดบั ปญ หา — Bhàvetabba-dhamma: things to be developed, i.e. tranquillity and insight, or, in other words, the Noble Eightfold Path) M.III.289; S.V.52; A.II.246. ม.อ.ุ 14/829/524; สํ.ม.19/291–5/78;อง.ฺ จตุกกฺ .21/254/333. [207] อรูป หรอื อารุปป 4 (ฌานมอี รูปธรรมเปน อารมณ คอื อรปู ฌาน, ภพของสัตวผ ู เขาถงึ อรูปฌาน, ภพของอรูปพรหม — Aråpa, âruppa: absorptions of the Formless Sphere; the Formless Spheres; immaterial states) 1. อากาสานญั จายตนะ (ฌานอันกําหนดอากาศคือชอ งวา งหาท่ีสดุ มิไดเ ปนอารมณ หรอื ภพ ของผูเขา ถึงฌานนี้ — âkàsàna¤càyatana: Sphere of Infinity of Space) 2. วิญญาณัญจายตนะ (ฌานอนั กาํ หนดวญิ ญาณหาทีส่ ดุ มไิ ดเปน อารมณ หรือภพของผูเขา ถึง ฌานน้ี — Vi¤¤àõa¤càyatana: Sphere of Infinity of Consciousness) 3. อากญิ จญั ญายตนะ (ฌานอันกําหนดภาวะท่ีไมม อี ะไรๆ เปน อารมณ หรอื ภพของผูเขา ถึง ฌานน้ี — âki¤ca¤¤àyatana: Sphere of Nothingness) 4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ฌานอนั เขาถึงภาวะมีสญั ญาก็ไมใ ช ไมม สี ญั ญาก็ไมใช หรอื ภพของผูเขาถงึ ฌานนี้ — Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana: Sphere of Neither Perception Nor Non-Perception) D.III.224; S.IV.227. ที.ปา.11/235/235; ส.ํ สฬ.18/519/326.
[208] 158 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร [208] อวิชชา 4 (ความไมร ูแจง, ไมรจู ริง — Avijjà: ignorance; lack of essential knowledge) 1. ทกุ ฺเข อฺาณํ (ไมรูใ นทกุ ข — ignorance of suffering) 2. ทกุ ขฺ สมุทเย อฺาณํ (ไมรูใ นทุกขสมุทยั — ~ of the cause of suffering) 3. ทุกฺขนิโรเธ อฺาณํ (ไมรูในทุกขนิโรธ — ~ of the cessation of suffering) 4. ทุกฺขนิโรธคามนิ ิยา ปฏปิ ทาย อฺาณํ (ไมร ใู นทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทา — ~ of the path leading to the cessation of suffering) กลา วสัน้ ๆ คือ ไมร ใู นอรยิ สัจจ 4 S.II.4; S.IV.256; Vbh.135. สํ.นิ.16/17/5; สํ.สฬ.18/505/315; อภิ.ว.ิ 35/256/181. [209] อวิชชา 8 (ความไมรแู จง, ไมรูจริง — Avijjà: ignorance; lack of essential knowledge) 4 ขอ แรกตรงกับอวิชชา 4; ขอ 5–8 ดงั น้ี 5. ปพุ พฺ นฺเต อฺาณํ (ไมร ใู นสว นอดีต — ignorance of the past) 6. อปรนฺเต อฺาณํ (ไมรูในสว นอนาคต — ~ of the future) 7. ปพุ พฺ นตฺ าปรนเฺ ต อฺ าณํ (ไมร ทู งั้ สว นอดตี ทง้ั สว นอนาคต — ~ of both the past and the future) 8. อทิ ปฺปจฺจยตาปฏิจจฺ สมปุ ปฺ นเฺ นสุ ธมฺเมสุ อฺาณํ (ไมร ูในธรรมทง้ั หลายทีอ่ าศัยกนั จึง เกดิ มขี ้ึนตามหลักอิทปั ปจจยตา — ~ of states dependently originated according to specific conditionality) Dhs.190,195; Vhh.362. อภ.ิ สํ.34/691/273; 712/281; อภิ.ว.ิ 35/926/490. [210] อันตรายของภิกษุสามเณรผูบวชใหม 4 (ตามบาลีวาภยั สาํ หรับ กลุ บุตรผบู วชในธรรมวินัยน้ี อนั เปน เหตุใหป ระพฤติพรหมจรรยอยูไดไ มย ่งั ยืน ตอ งลาสิกขาไป — Bhaya: perils or terrors awaiting a clansman who has gone forth from home to the homeless life; dangers to newly ordained monks or novices) 1. อมู ภิ ยั (ภัยคลืน่ คือ อดทนตอ คําสงั่ สอนไมได เกิดความข้ึงเคียดคบั ใจ เบื่อหนา ยคํา ตกั เตอื นพรํ่าสอน — æmibhaya: peril of waves, i.e. wrath and resentment caused by inability to accept teaching and advice) 2. กุมภีลภัย (ภยั จระเข คือ เหน็ แกปากแกท อ ง ถกู จาํ กดั ดว ยระเบียบวินยั เกย่ี วกับการบรโิ ภค ทนไมได — Kumbhãlabhaya: peril of crocodiles, i.e. gluttony) 3. อาวฏภัย (ภัยนํ้าวน คือ หวงพะวงใฝทะยานในกามสุข ตัดใจจากกามคุณไมได — âvañabhaya: peril of whirlpools, i.e. desire for sense-pleasures) 4.สสุ กุ าภัย (ภัยปลาราย หรือภยั ฉลาม คอื เกดิ ความปรารถนาทางเพศ รักผหู ญิง — Susukà bhaya: peril of sharks, i.e. love for women) M.I.460; A.II.123. ม.ม.13/190/198; องฺ.จตุกฺก.21/122/165.
หมวด 4 159 [212] [,,,] อัปปมัญญา 4 ดู [161] พรหมวิหาร 4. [211] อาจารย 4 (ผูประพฤตกิ ารอนั เกื้อกูลแกศษิ ย, ผูท ศี่ ิษยพ ึงประพฤติดว ยความ เออ้ื เฟอ, ผูส ่งั สอนวิชาและอบรมดแู ลความประพฤติ — âcariya: teacher; instructor) 1. บรรพชาจารย (อาจารยใ นบรรพชา คือ ทา นผูใหสิกขาบทในการบรรพชา — Pabbajjà- cariya: initiation-teacher; teacher at the Going Forth) 2. อปุ สมั ปทาจารย (อาจารยใ นอุปสมบท คอื ทานผสู วดกรรมวาจาในอุปสมบทกรรม — Upasampadàcariya: ordination-teacher; teacher at the Admission) 3. นสิ สยาจารย (อาจารยผใู หนสิ ัย คอื ทา นทีต่ นไปขอถือนสิ ยั เปนอนั เตวาสกิ คอื ยอมตนเปน ศษิ ยอยใู นปกครอง — Nissayàcariya: tutelar teacher; teacher from whom one takes the Dependence) 4. อุเทศาจารย หรือ ธรรมาจารย (อาจารยผ ใู หอุเทศ, อาจารยผ ูส อนธรรม คอื ทานท่ี ส่ังสอนใหว ชิ าความรู โดยหลกั วิชาก็ดี เปนท่ีปรกึ ษาไตถ ามคน ควาก็ดี — Uddesàcariya, Dhammàcariya: teacher of textual study; teacher who gives the instruction; teacher of the Doctrine) บางแหง เตมิ โอวาทาจารย (อาจารยผ ใู หโ อวาท คอื อบรมตกั เตือนแนะนาํ เปนครั้งคราว — Ovàdàcariya: teacher who gives admonitions) เขาอกี รวมเปน อาจารย 5. Vism.94; VinA.V.1085, VII.1379. วิสทุ ฺธ.ิ 1/118; วนิ ย.อ.3/182,582; วนิ ย.ฏีกา4/168; มงฺคล.2/289. [,,,] อาสวะ 4 ดู [136] อาสวะ 4. [212] อาหาร 4 (สภาพทีน่ าํ มาซึ่งผลโดยความเปนปจจัยค้าํ จนุ รปู ธรรมและนามธรรมทง้ั หลาย, เครื่องค้ําจนุ ชวี ติ , ส่งิ ทห่ี ลอ เลี้ยงรางกายและจิตใจ ทําใหเ กิดกําลังเจรญิ เติบโตและววิ ัฒน ได — âhàra: nutriment) 1. กวฬงิ การาหาร (อาหารคือคําขา ว ไดแก อาหารสามญั ที่กลนื กินดดู ซึมเขา ไปหลอ เลย้ี งรา ง กาย — Kavaëiïkàràhàra: material food; physical nutriment) เม่ือกาํ หนดรกู วฬิงการาหารได แลว ก็เปนอนั กาํ หนดรรู าคะทีเ่ กดิ จากเบญจกามคณุ ไดด ว ย 2. ผัสสาหาร (อาหารคือผสั สะ ไดแ ก การบรรจบแหง อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วญิ ญาณ เปนปจ จัยใหเกดิ เวทนา พรอมทั้งเจตสกิ ท้งั หลายทจ่ี ะเกิดตามมา — Phassàhàra: nutriment consisting of contact; contact as nutriment) เม่ือกาํ หนดรูผัสสาหารไดแ ลว กเ็ ปนอนั กําหนดรเู วทนา 3 ไดดว ย 3. มโนสัญเจตนาหาร (อาหารคือมโนสัญเจตนา ไดแก ความจงใจ เปน ปจจยั แหง การทํา พูด คิด ซ่งึ เรยี กวา กรรม เปนตวั ชกั นํามาซ่ึงภพ คอื ใหเกดิ ปฏสิ นธิในภพทั้งหลาย — Manosa¤ cetanàhàra: nutriment consisting of mental volition; mental choice as nutriment) เมือ่ กาํ หนดรูม โนสญั เจตนาหารไดแ ลว ก็เปนอนั กําหนดรูต ัณหา 3 ไดด วย. 4. วญิ ญาณาหาร (อาหารคอื วญิ ญาณ ไดแ ก วญิ ญาณเปน ปจ จยั ใหเ กดิ นามรปู — Vi¤¤àõàhàra:
[213] 160 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร nutriment consisting of consciousness; consciousness as nutriment) เมอื่ กําหนดรู วิญญาณาหารไดแลว กเ็ ปนอันกาํ หนดรูนามรูปไดด วย. D.III.228; M.I.48; S.II.101; Vbh.401. ที.ปา.11/244/240; ม.มู.12/113/87; ส.ํ นิ.16/245/122; อภ.ิ วิ.35/1081/543. [213] อิทธิบาท 4 (คณุ เคร่อื งใหถ ึงความสาํ เร็จ, คุณธรรมทนี่ าํ ไปสคู วามสาํ เรจ็ แหง ผลที่ มงุ หมาย — Iddhipàda: path of accomplishment; basis for success) 1. ฉนั ทะ (ความพอใจ คอื ความตอ งการที่จะทาํ ใฝใ จรกั จะทําส่ิงน้นั อยเู สมอ และปรารถนาจะ ทําใหไดผลดยี ิ่งๆ ข้ึนไป — Chanda: will; zeal; aspiration) 2. วิริยะ (ความเพยี ร คือ ขยนั หมนั่ ประกอบส่ิงน้นั ดว ยความพยายาม เขม แขง็ อดทน เอาธุระ ไมทอ ถอย — Viriya: energy; effort; exertion; perseverance) 3. จิตตะ (ความคิดมุง ไป คือ ตงั้ จิตรบั รใู นสง่ิ ท่ีทําและทําสงิ่ นน้ั ดว ยความคิด เอาจิตฝก ใฝไ ม ปลอ ยใจใหฟ ุงซา นเลอ่ื นลอยไป อุทิศตัวอุทศิ ใจใหแกส ่ิงทท่ี ํา — Citta: thoughtfulness; active thought; dedication) 4. วมิ ังสา (ความไตรตรอง หรอื ทดลอง คอื หม่ันใชป ญญาพิจารณาใครครวญตรวจตราหา เหตุผลและตรวจสอบขอย่ิงหยอ นในสง่ิ ที่ทําน้นั มกี ารวางแผน วัดผล คดิ คน วธิ ีแกไ ขปรับปรุง เปน ตน — Vãma§sà: investigation; examination; reasoning; testing) D.III.221; Vbh.216. ที.ปา.11/231/233; อภ.ิ ว.ิ 35/505/292. [214] อุปาทาน 4 (ความยึดมัน่ , ความถอื ม่นั ดวยอาํ นาจกเิ ลส, ความยดึ ติดอันเนือ่ งมาแต ตัณหา ผกู พันเอาตัวตนเปน ทต่ี ้ัง — Upàdàna: attachment; clinging; assuming) 1. กามปุ าทาน (ความยดึ ม่นั ในกาม คอื รูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ท่นี า ใคร นา พอใจ — Kàmupàdàna: clinging to sensuality) 2. ทิฏปุ าทาน (ความยึดมัน่ ในทิฏฐหิ รือทฤษฎี คือความเหน็ ลัทธิ หรือหลกั คําสอนตา งๆ — Diññhupàdàna: clinging to views) 3. สีลพั พตปุ าทาน (ความยดึ มัน่ ในศลี และพรต คือ ถอื วา จะบรสิ ทุ ธหิ์ ลุดพน ไดเพียงดวยศีล และวตั ร หลกั ความประพฤติ ขอ ปฏิบตั ิ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนยี มประเพณี ลัทธิ พิธตี า งๆ ถือวาจะตอ งเปนอยางนน้ั ๆ โดยสกั วา ทาํ สบื ๆ กันมา หรอื ปฏิบัติตามๆ กันไปอยาง งมงาย หรือโดยนิยมวาขลัง วาศักด์ิสิทธ์ิ มิไดเปนไปดวยความรูความเขาใจตามหลักความ สัมพนั ธแ หง เหตุและผล —Sãlabbatupàdàna: clinging to mere rules and rituals) 4. อัตตวาทุปาทาน (ความยดึ ม่นั ในวาทะวาตัวตน คอื ความถอื หรอื สําคญั หมายอยูในภายใน วา มตี ัวตน ที่จะได จะเปน จะมี จะสญู สลาย ถูกบบี คนั้ ทําลาย หรอื เปน เจาของ เปนนายบงั คับ บญั ชาสิ่งตางๆ ได ไมม องเห็นสภาวะของสิ่งทง้ั ปวง อันรวมทงั้ ตัวตนวาเปน แตเ พยี งส่งิ ท่ปี ระชมุ ประกอบกนั เขา เปน ไปตามเหตปุ จ จยั ทง้ั หลายทมี่ าสมั พนั ธก นั ลว นๆ — Attavàdupàdàna: clinging to the ego-belief)
หมวด 4 161 [215] D.III.230; M.I.66; Vbh.375. ที.ปา.11/262/242; ม.ม.ู 12/156/132; อภ.ิ วิ.35/963/506. [215] โอฆะ 4 (สภาวะอนั เปน ดุจกระแสนํา้ หลากทวมใจสตั ว, กิเลสดจุ นํ้าทวมพาผูต กไปให พินาศ — Ogha: the Four Floods) ไดแ ก กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา [กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวชิ โชฆะ] เหมือนในอาสวะ 4. ดู [136] อาสวะ 4. D.III.230,276; S.V.59; Vbh.374. ที.ปา.11/258/242; สํ.ม.19/333/88; อภ.ิ วิ.35/963/506.
ปญจกะ — หมวด 5 Groups of Five (including related groups) [,,,] กัลยาณธรรม 5 ดู [239] เบญจธรรม. [,,,] กามคุณ 5 ดู [6] กามคณุ 5. [,,,] กําลัง 5 ของพระมหากษัตริย ดู [230] พละ 5 ของพระมหากษัตริย [216] ขันธ 5 หรือ เบญจขันธ (กองแหงรปู ธรรมและนามธรรมหา หมวดที่ประชุมกนั เขาเปน หนว ยรวม ซึง่ บัญญัติเรยี กวา สัตว บคุ คล ตัวตน เรา–เขา เปน ตน , สวนประกอบหาอยาง ทร่ี วมเขาเปนชีวิต — Pa¤ca-khandha: the Five Groups of Existence; Five Aggregates) 1. รปู ขนั ธ (กองรปู , สว นทเ่ี ปน รูป, รา งกาย พฤติกรรม และคุณสมบตั ติ า งๆ ของสว นที่เปน รา งกาย, สวนประกอบฝายรปู ธรรมทง้ั หมด, สิง่ ที่เปน รา งพรอมท้ังคุณและอาการ — Råpa- khandha: corporeality) 2. เวทนาขันธ (กองเวทนา, สวนท่ีเปน การเสวยรสอารมณ, ความรสู กึ สุข ทกุ ข หรือเฉยๆ — Vedanà-khandha: feeling; sensation) 3. สญั ญาขนั ธ (กองสญั ญา, สวนท่ีเปนความกําหนดหมายใหจาํ อารมณน ้นั ๆ ได, ความ กาํ หนดไดหมายรูในอารมณ 6 เชนวา ขาว เขียว ดํา แดง เปนตน — Sa¤¤à-khandha: perception) 4. สงั ขารขันธ (กองสงั ขาร, สว นที่เปน ความปรงุ แตง , สภาพทปี่ รุงแตง จิตใหดหี รือช่ัวหรือเปน กลางๆ, คณุ สมบัติตา งๆ ของจติ มเี จตนาเปน ตัวนาํ ท่ปี รงุ แตง คณุ ภาพของจติ ใหเ ปนกุศล อกศุ ล อัพยากฤต — Saïkhàra-khandha: mental formations; volitional activities) 5. วญิ ญาณขนั ธ (กองวญิ ญาณ, สว นทเี่ ปน ความรแู จง อารมณ, ความรอู ารมณท างอายตนะทง้ั 6 มี การเห็น การไดย นิ เปนตน ไดแ ก วญิ ญาณ 6 — Vi¤¤àõa-khandha: consciousness) ขันธ 5 น้ี ยอ ลงมาเปน 2 คอื นาม และ รูป; รูปขนั ธจัดเปนรูป, 4 ขันธนอกนัน้ เปน นาม. อกี อยางหนง่ึ จัดเขาในปรมัตถธรรม 4: วญิ ญาณขันธเ ปน จติ , เวทนาขันธ สญั ญาขันธ และ สงั ขารขันธ เปน เจตสกิ , รูปขันธ เปน รูป, สว น นิพพาน เปนขนั ธวินมิ ตุ คือ พนจากขันธ 5 เร่อื งขันธ 5 พึงดปู ระกอบในหมวดธรรมอนื่ ๆ เชน 1. รปู ขนั ธ ดู [38] รปู 21, 28; [39] มหาภตู 4; [40] อุปาทายรปู 24. 2. เวทนาขนั ธ ดู [110] เวทนา 2; [111] เวทนา 3; [112] เวทนา 5; [113] เวทนา 6. 3. สญั ญาขันธ ดู [271] สัญญา 6.
หมวด 5 163 [218] 4. สังขารขนั ธ ดู [119] สังขาร 3 1; [120] สังขาร 3 2; [129] อภสิ ังขาร 3; [263] เจตนา 6. 5. วิญญาณขันธ ดู [268] วญิ ญาณ 6. นอกนี้ ดู [356] จติ 89; [355] เจตสกิ 52 S.III.47; Vbh.1. สํ.ข.17/95/58; อภิ.วิ.35/1/1. [,,,] คติ 5 ดู [351] ภูมิ 4 หรือ 31. [217] จักขุ 5 (พระจกั ษอุ นั เปน สมบตั ขิ องพระผมู พี ระภาคเจา — Cakkhu: the Five Eyes of the Blessed One) 1. มังสจกั ขุ (ตาเน้ือ คือ ทรงมีพระเนตรอนั งาม มีอาํ นาจ เหน็ แจม ใส ไว และเหน็ ไกล — Ma §sa-cakkhu: the physical eye which is exceptionally powerful and sensitive) 2. ทิพพจักขุ (ตาทิพย คอื ทรงมีพระญาณอนั เห็นหมสู ตั วผ เู ปน ไปตางๆ กัน ดวยอํานาจกรรม — Dibba-cakkhu: the Divine Eye) 3. ปญ ญาจักขุ (ตาปญญา คอื ทรงประกอบดว ยพระปญ ญาคุณยิ่งใหญ เปนเหตุใหสามารถ ตรัสรูอรยิ สัจจธรรม เปนตน — Pa¤¤à-cakkhu: the eye of wisdom; Wisdom-Eye) 4. พทุ ธจกั ขุ (ตาพระพทุ ธเจา คอื ทรงประกอบดว ยอนิ ทรยิ ปโรปรยิ ตั ตญาณ และอาสยานสุ ย ญาณ เปนเหตใุ หท รงทราบอธั ยาศัยและอปุ นิสยั แหงเวไนยสตั ว แลวทรงสัง่ สอนแนะนาํ ใหบรรลุ คุณวเิ ศษตา งๆ ยังพุทธกจิ ใหบ ริบรู ณ — Buddha-cakkhu: the eye of a Buddha; Buddha-Eye) 5. สมันตจักขุ (ตาเหน็ รอบ คอื ทรงประกอบดวยพระสัพพญั ุตญาณ อันหยัง่ รธู รรมทกุ ประการ — Samanta-cakkhu: the eye of all-round knowledge; All-seeing Eye; omniscience) Nd2235. ขุ.ม.29/51/52. [,,,] ฌาน 5 ดู [9] ฌาน 4. [218] ธรรมขันธ 5 (กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมทัง้ ปวงเขาเปนหัวขอใหญ — Dhamma-khandha: bodies of doctrine; categories of the Teaching) 1. สลี ขันธ (กองศีล, หมวดศลี ประมวลธรรมท้ังหลาย เชน อปจายนมยั เวยยาวัจจมยั ปาติโมกขสงั วร กายสจุ รติ สัมมาวาจา สัมมากัมมนั ตะ สัมมาอาชวี ะ เปน ตน — Sãla-khandha: body of morals; virtue category) 2. สมาธขิ นั ธ (กองสมาธ,ิ หมวดสมาธิ ประมวลธรรมท้งั หลาย เชน ฉนั ทะ วริ ิยะ จติ ตะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ เปนตน — Samàdhi-khandha: body of concen- tration; concentration category) 3. ปญญาขันธ (กองปญญา, หมวดปญญา ประมวลธรรมทัง้ หลาย เชน ธัมมวิจยะ วมิ ังสา
[219] 164 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร ปฏสิ มั ภิทา สัมมาทฏิ ฐิ สัมมาสังกัปปะ เปน ตน — Pa¤¤à-khandha: body of wisdom or insight; understanding category) 4. วิมุตตขิ ันธ (กองวิมุตติ, หมวดวิมุตติ ประมวลธรรมทัง้ หลาย เชน ปหาน วิราคะ วิโมกข วสิ ุทธิ สนั ติ นโิ รธ นพิ พาน เปน ตน — Vimutti-khandha: body of deliverance; deliver- ance category) 5. วิมุตติญาณทัสสนขันธ (กองวิมตุ ตญิ าณทัสสนะ, หมวดธรรมเกี่ยวกบั การรกู ารเห็นใน วมิ ตุ ติ ประมวลธรรมท้ังหลาย เชน ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ เปน ตน — Vimutti¤àõa- dassana-khandha: body of the knowledge and vision of deliverance; knowing- and-seeing-of-deliverance category) ธรรมขนั ธ 4 ขอ ตน เรียกอกี อยา งวา สาระ 4 (แกน , หลักธรรมที่เปน แกน , หวั ใจธรรม — essences) D.III.279; A.III.134; A.II.140. ที.ปา.11/420/301; อง.ฺ ปจฺ ก.22/108/152; องฺ.จตุกกฺ .21/150/189. [219] ธรรมเทสกธรรม 5 (ธรรมของนกั เทศก, องคแหง ธรรมกถึก, ธรรมทผี่ ูแสดง ธรรมหรือสั่งสอนคนอืน่ ควรตัง้ ไวใ นใจ — Dhammadesaka-dhamma: qualities of a preacher; qualities which a teacher should establish in himself) 1. อนุปพุ พฺ ิกถํ (กลา วความไปตามลาํ ดบั คอื แสดงหลักธรรมหรอื เน้อื หาวิชาตามลําดับความ งายยากลุมลึก มีเหตุผลสัมพันธตอเน่ืองกันไปโดยลําดับ — Anupubbikatha§: His instruction or exposition is regulated and gradually advanced.) 2. ปรยิ ายทสสฺ าวี (ชแ้ี จงยกเหตุผลมาแสดงใหเ ขาใจ คือ ชีแ้ จงใหเ ขาใจชดั ในแตละแงแ ตละ ประเด็น โดยอธบิ ายขยายความ ยักเยอื้ งไปตา งๆ ตามแนวเหตุผล — Pariyàyadassàvã: It has reasoning or refers to causality.) 3. อนุทยตํ ปฏิจจฺ (แสดงธรรมดวยอาศัยเมตตา คอื สอนเขาดวยจติ เมตตา มงุ จะใหเปน ประโยชนแกเ ขา — Anudayata§ pañicca: It is inspired by kindness; teaching out of kindliness.) 4. น อามิสนฺตโร (ไมแสดงธรรมดวยเห็นแกอามิส คือ สอนเขามใิ ชเพราะมงุ ทีต่ นจะไดล าภ หรือผลประโยชนตอบแทน — Na àmisantaro: It is not for worldly gain.) 5. อตฺตานฺจ ปรฺจ อนปุ หจฺจ (แสดงธรรมไมก ระทบตนและผูอ่นื คือ สอนตามหลักตาม เนอื้ หา มุง แสดงอรรถ แสดงธรรม ไมย กตน ไมเ สียดสขี ม ข่ผี อู ่นื — Anupahacca: It does not hurt oneself or others; not exalting oneself while contempting others.) A.III.184. อง.ฺ ปจฺ ก.22/159/205. [220] ธรรมสมาธิ 5 (ธรรมทีท่ าํ ใหเกดิ ความมัน่ สนิทในธรรม เกิดความม่ันใจในการ ปฏบิ ัตธิ รรมถกู ตอ ง กาํ จัดความขอ งใจสงสยั เสียได เมอื่ เกิดธรรมสมาธิ คือความมน่ั สนทิ ใน
หมวด 5 165 [222] ธรรม ก็จะเกิดจิตตสมาธิ คอื ความตั้งมน่ั ของจิต — Dhamma-samàdhi: concentration of the Dhamma; virtues making for firmness in the Dhamma) 1. ปราโมทย (ความชน่ื บานใจ รา เรงิ สดใส — Pàmojja: cheerfulness; gladness; joy) 2. ปต ิ (ความอม่ิ ใจ, ความปล้มื ใจ — Pãti: rapture; elation) 3. ปสสทั ธิ (ความสงบเย็นกายใจ, ความผอ นคลายรนื่ สบาย — Passaddhi: tranquillity; relaxedness) 4. สขุ (ความรนื่ ใจไรความของขดั — Sukha: happiness) 5. สมาธิ (ความสงบอยูตัวมั่นสนิทของจิตใจ ไมมีส่ิงรบกวนเราระคาย — Samàdhi: concentration) ธรรม หรอื คุณสมบตั ิ 5 ประการน้ี ตรสั ไวทัว่ ไปมากมาย เมอ่ื ทรงแสดงการปฏิบตั ธิ รรมท่ี กาวมาถึงข้ันเกิดความสาํ เร็จชัดเจน ตอจากนี้ ผูปฏิบตั ิจะเดนิ หนาไปสกู ารบรรลผุ ลของสมถะ (คือไดฌาน) หรอื ของวิปสสนา แลวแตก รณี ดังนั้น จงึ ใชเปนเครือ่ งวดั ผลการปฏิบตั ิขน้ั ตอนใน ระหวางไดด ี และเปนธรรมหรอื คุณสมบัตสิ าํ คญั ของจติ ใจที่ทกุ คนควรทําใหเกิดมีอยเู สมอ S.IV.350. สํ.สฬ.18/665–673/429–439. [221] ธรรมสวนานิสงส 5 (อานสิ งสใ นการฟง ธรรม — Dhammassavanànisa§sa: benefits of listening to the Dhamma) 1. อสสฺ ตุ ํ สุณาติ (ยอ มไดฟ ง สง่ิ ทีย่ งั ไมเ คยฟง, ไดเรียนรสู ง่ิ ทยี่ งั ไมเ คยเรียนรู — He hears things not heard.) 2. สตุ ํ ปรโิ ยทเปติ (สง่ิ ทเี่ คยไดฟ ง ก็ทําใหแ จม แจง เขาใจชดั เจนย่ิงขนึ้ — He clears things heard.) 3. กงขฺ ํ วหิ นติ (แกขอ สงสยั ได, บรรเทาความสงสยั เสยี ได — He dispels his doubts.) 4. ทิฏ ึ อชุ ุ กโรติ (ทําความเหน็ ใหถ กู ตองได — He makes straight his views.) 5. จติ ฺตมสฺส ปสที ติ (จติ ของเขายอมผองใส — His heart becomes calm and happy.) A.III.248. องฺ.ปจฺ ก.22/202/276. [222] นวกภิกขุธรรม 5 (ธรรมทีค่ วรฝกสอนภกิ ษบุ วชใหมใ หประพฤติปฏบิ ัตอิ ยาง มัน่ คง, องคแ หง ภกิ ษใุ หม — Navakabhikkhu-dhamma: qualities of a newly ordained monk; qualities which should be established in newly ordained monks) 1. ปาตโิ มกขสังวร (สาํ รวมในพระปาฏโิ มกข รกั ษาศีลเครง ครดั ทงั้ ในสวนเวน ขอ หาม และทาํ ตามขอ อนญุ าต — Pàñimokkhasa§vara: restraint in accordance with the monastic code of discipline; self-control strictly in accordance with the fundamental training-rules) 2. อนิ ทรยี สังวร (สาํ รวมอนิ ทรยี มสี ตริ ะวงั รกั ษาใจ มใิ หก เิ ลสคอื ความยนิ ดยี นิ รา ยเขา ครอบงาํ
[223] 166 พจนานุกรมพุทธศาสตร เม่อื รับรูอ ารมณด ว ยอนิ ทรยี ท ง้ั 6 มเี หน็ รปู ดว ยตาเปน ตน — Indriyasa§vara: restraint of the senses; sense-control) 3. ภัสสปรยิ ันตะ (พูดคยุ มีขอบเขต คอื จํากดั การพูดคุยใหนอ ย รขู อบเขต ไมเอิกเกรกิ เฮฮา — Bhassapariyanta: restraint as regards talking) 4. กายวูปกาสะ (ปลกี กายอยสู งบ คือ เขา อยใู นเสนาสนะอันสงดั — Kàyavåpakàsa: seclusion as to the body; love of solitude) 5. สัมมาทสั สนะ (ปลูกฝงความเห็นชอบ คือ สรา งเสรมิ สมั มาทิฏฐิ — Sammàdassana: cultivation of right views.) A.III.138. องฺ.ปฺจก.22/114/156. [223] นิยาม 5 (กาํ หนดอนั แนนอน, ความเปน ไปอันมรี ะเบยี บแนน อนของธรรมชาติ, กฎ ธรรมชาติ — Niyàma: orderliness of nature; the five aspects of natural law) 1. อตุ นุ ยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กยี่ วกบั อณุ หภมู ิ หรอื ปรากฏการณธ รรมชาตติ า งๆ โดยเฉพาะดนิ นา้ํ อากาศ และฤดกู าล อนั เปน สงิ่ แวดลอ มสาํ หรบั มนษุ ย — Utu-niyàma: physical inorganic order; physical laws) 2. พชี นยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กย่ี วกบั การสบื พนั ธุ มพี นั ธกุ รรมเปน ตน — Bãja-niyàma: physical organic order; biological laws) 3. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาตเิ กีย่ วกบั การทํางานของจิต — Citta-niyàma: psychic law) 4. กรรมนยิ าม (กฎธรรมชาตเิ ก่ยี วกบั การกระทําของมนุษย คือ กระบวนการใหผ ลของการ กระทาํ — Kamma-niyàma: order of act and result; the law of Kamma; moral laws) 5. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความสัมพนั ธแ ละอาการที่เปน เหตุเปน ผลแกกันแหง ส่ิง ทั้งหลาย — Dhamma-niyàma: order of the norm; the general law of cause and effect; causality and conditionality) ดู [86] ธรรมนิยาม 3; [176] วิบัติ 4 2; [177] สมบัติ 4. DA.II.432; DhsA.272. ที.อ.2/34; สงคฺ ณี.อ.408. [224] นิโรธ 5 (ความดับกิเลส, ภาวะไรกิเลสและไมมีทุกขเกิดข้ึน — Nirodha: extinction; cessation of defilements; non-arising of suffering) 1. วกิ ขมั ภนนโิ รธ (ดบั ดว ยขม ไว คอื การดบั กเิ ลสของทา นผบู าํ เพญ็ ฌาน ถงึ ปฐมฌาน ยอ มขม นวิ รณ ไวไ ด ตลอดเวลาทอี่ ยใู นฌานนน้ั — Vikkhambhana-nirodha: extinction by suppression) 2. ตทงั คนโิ รธ (ดบั ดว ยองคน น้ั ๆ คอื ดบั กเิ ลสดว ยธรรมทเ่ี ปน คปู รบั หรอื ธรรมทตี่ รงขา ม เชน ดับสักกายทิฏฐดิ ว ยความรูท ่กี าํ หนดแยกนามรปู ออกได เปนการดบั ช่วั คราวในกรณนี น้ั ๆ — Tadaïga-nirodha: extinction by substitution of opposites) 3. สมจุ เฉทนโิ รธ (ดบั ดว ยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสรจ็ สน้ิ เดด็ ขาด ดวยโลกตุ ตรมรรค ในขณะ
หมวด 5 167 [226] แหงมรรคนั้น ชอ่ื สมุจเฉทนิโรธ — Samuccheda-nirodha: extinction by cutting off or extirpation) 4. ปฏิปสสัทธินิโรธ (ดับดวยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรรคดับกิเลสเดด็ ขาดไปแลว บรรลโุ ลกุตตรผล กเิ ลสเปน อันสงบระงบั ไปหมดแลว ไมต องขวนขวายเพอ่ื ดับอกี ในขณะแหง ผลนัน้ ชื่อ ปฏิปสสทั ธินโิ รธ — Pañipassaddhi-nirodha: extinction by tranquillization) 5. นิสสรณนิโรธ (ดับดว ยสลัดออกได หรือดบั ดวยปลอดโปรง ไป คือ ดบั กเิ ลสเสร็จส้นิ แลว ดาํ รงอยูในภาวะท่กี ิเลสดับแลว นน้ั ยัง่ ยืนตลอดไป ภาวะนนั้ ชื่อ นสิ สรณนิโรธ ไดแ กอมตธาตุ คอื นพิ พาน — Nissaraõa-nirodha: extinction by escape; extinction by getting freed) ปหาน 5 (การละกิเลส — abandonment), วมิ ตุ ติ 5 (ความหลุดพน — deliverance), วิเวก 5 (ความสงดั , ความปลีกออก — seclusion), วริ าคะ 5 (ความคลายกําหนดั , ความ สํารอกออกได — detachment; dispassionateness), โวสสคั คะ 5 (ความสละ, ความปลอย — relinquishing) ก็อยา งเดยี วกนั นี้ท้งั หมด Ps.I.27,220–221; Vism.410. ข.ุ ปฏิ.31/65/39; 704/609; วิสทุ ธฺ .ิ 2/249. [225] นิวรณ 5 (ส่ิงทกี่ น้ั จติ ไมใ หก าวหนาในคุณธรรม, ธรรมที่ก้นั จติ ไมใ หบรรลคุ ุณความ ดี, อกศุ ลธรรมทีท่ าํ จติ ใหเ ศราหมองและทาํ ปญ ญาใหออนกําลงั — Nãvaraõa: hindrances.) 1. กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม, ความตองการกามคณุ —Kàmachanda: sensual desire) 2. พยาบาท (ความคดิ รา ย, ความขัดเคืองแคนใจ — Byàpàda: illwill) 3. ถีนมทิ ธะ (ความหดหแู ละเซ่ืองซมึ — Thãna-middha: sloth and torpor) 4. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ (ความฟงุ ซา นและรอ นใจ, ความกระวนกระวายกลมุ กงั วล — Uddhacca- kukkucca: distraction and remorse; flurry and worry; restlessness and anxiety) 5. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสยั — Vicikicchà: doubt; uncertainty) A.III.62; Vbh.378. อง.ฺ ปฺจก.22/51/72; อภ.ิ วิ.35/983/510. [,,,] เบญจธรรม ดู [239] เบญจธรรม. [,,,] เบญจศีล ดู [238] ศีล 5. [,,,] ประโยชนที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย 5 ดู [232] โภคอาทยิ ะ 5 [,,,] ปหาน 5 (การละกิเลส — Pahàna: abandonment) ดู [224] นโิ รธ 5 [,,,] ปญจกัชฌาน ดู [7] ฌาน 2. [226] ปติ 5 (ความอม่ิ ใจ, ความดื่มด่าํ — Pãti: joy; interest; zest; rapture) 1. ขทุ ทกาปต ิ (ปติเลก็ นอ ย พอขนชูชนั น้ําตาไหล — Khuddakà-pãti: minor rapture; lesser thrill)
[227] 168 พจนานกุ รมพุทธศาสตร 2. ขณิกาปติ (ปต ิชั่วขณะ ทําใหร สู ึกแปลบๆ เปนขณะๆ ดจุ ฟา แลบ — Khaõikà-pãti: momentary or instantaneous joy) 3. โอกกนั ตกิ าปติ (ปติเปนระลอกหรือปติเปนพักๆ ใหร ูส ึกซลู งมาๆ ในกาย ดจุ คลนื่ ซดั ตอ ง ฝง — Okkantikà-pãti: showering joy; flood of joy) 4. อุพเพคาปต ิ หรือ อุพเพงคาปติ (ปต ิโลดลอย เปนอยางแรงใหรสู กึ ใจฟแู สดงอาการหรอื ทําการบางอยางโดยมไิ ดต ง้ั ใจ เชน เปลงอทุ าน เปน ตน หรอื ใหร ูสึกตวั เบาลอยขึ้นไปในอากาศ — Ubbegà-pãti: uplifting joy) 5. ผรณาปติ (ปติซาบซา น ใหรูสกึ เย็นซา นแผเอิบอาบไปทว่ั สรรพางค ปต ทิ ี่ประกอบกบั สมาธิ ทา นมุง เอาขอน้ี — Pharaõà-pãti: suffusing joy; pervading rapture) Vism.143. วสิ ุทฺธ.ิ 1/182. [227] พร 5 (สงิ่ นา ปรารถนาทบ่ี คุ คลหนง่ึ อาํ นวยใหห รอื แสดงความประสงคด ว ยความปรารถนา ดใี หเ กดิ มขี นึ้ แกบ คุ คลอน่ื ; สงิ่ ประเสรฐิ , สง่ิ ดเี ยย่ี ม — Vara: blessing; boon; excellent thing) พรท่รี จู กั กนั มากไดแก ชดุ ที่มจี ํานวน 4 ขอ ซ่งึ เรียกกันวา จตุรพิธพร หรือพร 4 ประการ คอื อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ Dh.109; A.II.63. ข.ุ ธ.25/18/29; อง.ฺ จตกุ ฺก.21/58/83. พรทเ่ี ปน ชดุ มจี ํานวน 5 ขอ บาง 6 ขอบาง ก็มี เชน อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ปฏภิ าณ (อง.ฺ ปฺจก.22/37/44 = A.III.42); อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สขุ ะ พละ (อง.ฺ จตกุ กฺ .21/34/45; อง.ฺ ปจฺ ก. 22/32/38; ขุ.อติ ิ. 25/270/299 = A.II.35; A.III.36; It.89); อายุ วรรณะ สุขะ ยศ เกียรติ สคั คะ คอื สวรรค พรอ มทั้ง อุจจากุลีนตา คอื ความมีตระกลู สงู (อง.ฺ ปจฺ ก. 22/43/51 = A.III.48); อายุ วรรณะ ยศ สุข อาธปิ จ จะ คอื ความเปน ใหญ (ข.ุ เปต. 26/106/195 = Pv. 308) และชุดทีจ่ ะกลาวถงึ ตอ ไปคือ อายุ วรรณะ สุขะ โภคะ พละ อยา งไรก็ดี พงึ ทราบวา คําวา พร ในท่นี ้ี เปน การใชโดยอนุโลมตามความหมายในภาษาไทย ซึง่ เพีย้ นไปแลว จากความหมายเดิมในภาษาบาลี ในภาษาบาลีแตเดิม พร หมายถงึ ผลประโยชน หรือสิทธิพิเศษทีอ่ นญุ าตหรืออาํ นวยใหต ามที่ขอ พรทกี่ ลา วถึง ณ ท่ีน้ีทงั้ หมด ในบาลไี มไดเรียก วา พร แตเรยี กวา ฐานะ หรือ ธรรม ท่นี าปรารถนา นา ใคร นาพอใจ (ซง่ึ จะบรรลไุ ดด ว ยกรรม คอื การกระทาํ ทดี่ ีอนั เปน บญุ ) สําหรบั พระภกิ ษุ พรหรือธรรมอนั นา ปรารถนาเหลานี้ หมายถึงคุณธรรมตางๆ ที่ควรปลูกฝง ฝก อบรมใหเกดิ มี ดงั พทุ ธพจนวา : ภิกษทุ อ งเทีย่ วอยู ภายในถ่ินทองเทย่ี วที่เปนแดนของตนอนั สบื ทอดมาแตบ ิดา (คือ สตปิ ฏ ฐาน 4) จักเจริญดว ย 1. อายุ คือ พลงั ทห่ี ลอ เลี้ยงทรงชวี ติ ใหส ืบตอ อยูไดย าวนาน ไดแก อิทธบิ าท 4 (for monks, âyu: longevity = the Four Bases of Accomplishment) 2. วรรณะ คอื ความงามเอบิ อม่ิ ผอ งใสนา เจรญิ ตาเจรญิ ใจ ไดแ ก ศลี (Vaõõa: beauty =
หมวด 5 169 [229] moral conduct) 3. สขุ ะ คอื ความสขุ ไดแ ก ฌาน 4 (Sukha: happiness = the Four Meditative Absorptions) 4. โภคะ คอื ความพร่ังพรอ มดว ยทรัพยส มบัติและอปุ กรณตางๆ อันอาํ นวยความสขุ ความ สะดวกสบาย ไดแ ก อปั ปมญั ญา หรอื พรหมวหิ าร 4 (Bhoga: wealth = the Four Boundless Sublime States of Mind) 5. พละ คอื กาํ ลงั แรงความเขม แขง็ ทที่ าํ ใหข ม ขจดั ไดแ มแ ตก าํ ลงั แหง มาร ทาํ ใหส ามารถดาํ เนนิ ชีวิต ที่ดีงามปลอดโปรงเปน สขุ บําเพญ็ กิจดวยบรสิ ุทธิแ์ ละเตม็ ท่ี ไมมีกเิ ลสหรือความทกุ ขใดๆ จะ สามารถบบี คนั้ ครอบงาํ ไดแก วมิ ตุ ติ ความหลดุ พน หมดส้ินอาสวะ หรืออรหัตตผล (Bala: strength or power = the Final Freedom) D.III.77. ที.ปา.11/50/85. [228] พละ 5 (ธรรมอันเปนกําลงั — Bala: power) องคธรรม 5 อยา งในหมวดนี้ มชี ือ่ ตรงกับ อินทรีย 5 จงึ ขอใหด ทู ่ี [258] อนิ ทรีย 5 พละหมวดนี้เปน หลักปฏบิ ตั ิทางจิตใจ ใหถ งึ ความหลดุ พนโดยตรง D.III.239; A.III.10; Vbh.342. ที.ปา.11/300/252; อง.ฺ ปจฺ ก.22/13/11; อภ.ิ ว.ิ 35/844/462. [229] พละ 4 (ธรรมอนั เปน กาํ ลงั , ธรรมอนั เปนพลงั ทาํ ใหดําเนินชีวิตดว ยความม่นั ใจ ไม หวน่ั ตอ ภัยทุกอยา ง — Bala: strength; force; power) 1. ปญญาพละ (กําลังปญญา — Pa¤¤à-bala: power of wisdom) 2. วิรยิ พละ (กําลังความเพยี ร — Viriya-bala: power of energy or diligence) 3. อนวัชชพละ (กาํ ลังสุจริต หรือ กาํ ลังความบรสิ ทุ ธิ์, ตามศัพทแ ปลวา กาํ ลังการกระทําที่ไมมี โทษ คอื มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมบรสิ ุทธิ์ เชน มคี วามประพฤตแิ ละหนา ทีก่ ารงานสจุ ริต ไมมีขอ บกพรอ งเสยี หาย พดู จรงิ มีเหตุผล มุงดี ไมร กุ รานใหร า ยใคร ทาํ การดว ยเจตนาบริสทุ ธิ์ — Anavajja-bala: power of faultlessness, blamelessness or cleanliness) 4. สังคหพละ (กําลังการสงเคราะห คอื การยึดเหนย่ี วนา้ํ ใจคนและประสานหมชู นไวในสามคั คี — Saïgaha-bala: power of sympathy or solidarity) สงเคราะหด ว ยสงั คหวตั ถุ 4 คอื 4.1 ทาน (การใหป น โดยปกตหิ มายถึง ชวยเหลอื ในดานทนุ หรือปจ จัยเครอ่ื งยงั ชีพ ตลอดจน เผอื่ แผก ันดว ยไมตรี อยา งเลิศหมายถึงธรรมทาน คือ แนะนําสัง่ สอนใหค วามรคู วามเขาใจ จน เขารูจักพง่ึ ตนเองได — Dàna: gift; charity; benefaction) 4.2 เปยยวชั ชะ (พดู จบั ใจ, = ปย วาจา คือ พดู ดว ยนํ้าใจหวังดี มุง ใหเปน ประโยชน และรจู กั พดู ใหเ ปน ผลดี ทําใหเ กดิ ความเชือ่ ถือ สนิทสนม และเคารพนับถอื กัน อยางเลศิ หมายถงึ หมน่ั แสดงธรรม คอยชวยชี้แจงแนะนําหลักความจริง ความถูกตองดีงาม แกผูท่ีตองการ — Peyyavajja: kindly speech) 4.3 อตั ถจริยา (บาํ เพญ็ ประโยชน คอื ชว ยเหลอื รับใช ทํางานสรา งสรรค ประพฤติการทเี่ ปน
[230] 170 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ประโยชน อยางเลิศหมายถงึ ชว ยเหลือสงเสริมคนใหมคี วามเช่อื ถือถกู ตอ ง (สทั ธาสัมปทา) ให ประพฤติดงี าม (สีลสมั ปทา) ใหม คี วามเสียสละ (จาคสมั ปทา) และใหม ีปญญา (ปญ ญาสัมปทา) — Atthacariyà: friendly aid; doing good; life of service) 4.4 สมานตั ตตา (มตี นเสมอ คอื เสมอภาค ไมเ อาเปรยี บ ไมถ ือสงู ตา่ํ รวมสุขรว มทุกขด ว ย อยางเลิศหมายถึง มีความเสมอกันโดยธรรม เชน พระโสดาบันมีตนเสมอกับพระโสดาบัน เปนตน — Samànattatà: equality; impartiality; participation) พละหมวดน้ี เปนหลักประกนั ของชวี ติ ผูประพฤติธรรม 4 นีย้ อ มดาํ เนนิ ชีวติ ดวยความมั่น ใจ เพราะเปน ผมู ีพลังในตน ยอ มขามพน ภยั ทงั้ 5 คือ 1. อาชวี ิตภัย (ภัยเน่ืองดว ยการครองชีพ — fear of troubles about livelihood) 2. อสโิ ลกภัย (ภัยคือความเสือ่ มเสยี ชอ่ื เสียง — fear of ill-fame) 3. ปริสสารชั ชภยั (ภัยคอื ความครั่นครามเกอเขนิ ในทีช่ ุมนุม — fear of embarrassment in assemblies) 4. มรณภัย (ภัยคือความตาย — fear of death) 5. ทคุ คติภัย (ภยั คือทคุ ติ — fear of a miserable life after death) ดู [186] สังคหวัตถุ 4. A.IV.363. อง.ฺ นวก.23/209/376. [230] พละ 5 ของพระมหากษัตริย (พลังของบุคคลผยู ิง่ ใหญทสี่ ามารถเปน กษัตรยิ ป กครองแผนดินได — Bala: strengths of a king) 1. พาหาพละ หรือ กายพละ (กําลงั แขน หรือกาํ ลงั กาย คอื ความแขง็ แรงมสี ขุ ภาพดี สามารถ และชาํ นาญในการใชแ ขนใชม อื ใชอ าวธุ ตลอดจนมยี ทุ โธปกรณพ รงั่ พรอ ม — Bàhà-bala, Kàya- bala: strength of arms) 2. โภคพละ (กาํ ลงั โภคสมบตั ิ คอื มที ุนทรพั ยบริบรู ณ พรอมท่จี ะใชบ าํ รงุ เลย้ี งคน และดําเนนิ กจิ การไดไมติดขัด — Bhoga-bala: strength of wealth) 3. อมัจจพละ (กาํ ลังอาํ มาตย หรือกําลังขา ราชการ คอื มีทป่ี รึกษาและขา ราชการระดบั บริหารที่ ทรงคุณวฒุ ิเกงกลา สามารถ และจงรักภักดี ซอื่ สตั ยตอแผนดิน — Amacca-bala: strength of counsellors or ministers) 4. อภิชัจจพละ (กําลงั ความมชี าตสิ งู คอื กาํ เนดิ ในตระกูลสงู เปนขตั ตยิ ชาตติ องดว ยความ นิยมเชดิ ชขู องมหาชน และไดรบั การฝก อบรมมาแลว เปนอยางดตี ามประเพณแี หง ชาตติ ระกูลนนั้ — Abhijacca-bala: strength of high birth) 5. ปญ ญาพละ (กาํ ลังปญญา คือ ทรงปรีชาญาณ หย่ังรเู หตผุ ล ผิดชอบ ประโยชน มใิ ช ประโยชน สามารถวนิ ิจฉัยเหตกุ ารณท ้งั ภายในภายนอก และดาํ รกิ ารตางๆ ใหไ ดผลเปน อยา งดี — Pa¤¤à-bala: strength of wisdom)
หมวด 5 171 [232] กาํ ลังแขน หรือกาํ ลงั กาย แมจะสําคัญ แตทา นจัดวาตํ่าสดุ หากไมมพี ลงั อน่ื ควบคุมคา้ํ จนุ อาจกลายเปน กาํ ลังอนั ธพาล สวนกาํ ลังปญ ญา ทา นจดั วา เปนกําลงั อันประเสริฐ เปนยอดแหง กําลงั ทง้ั ปวง เพราะเปนเครอ่ื งกาํ กับ ควบคุม และนาํ ทางกําลังอ่ืนทกุ อยา ง J.V.120. ขุ.ชา.27/2444/532; ชา.อ.7/348. [231] พหูสูตมีองค 5 (คุณสมบตั ิที่ทาํ ใหควรไดรบั ชอ่ื วา เปน พหสู ูต คือ ผูไ ดเรียนรูม าก หรอื คงแกเรียน — Bahussutaïga: qualities of a learned person) 1. พหุสสฺ ตุ า (ฟง มาก คือ ไดเ ลา เรยี นสดับฟง ไวมาก — Bahussutà: having heard or learned many ideas) 2. ธตา (จําได คอื จบั หลักหรอื สาระได ทรงจําความไวแมนยํา — Dhatà: having retained or remembered them) 3. วจสา ปริจิตา (คลอ งปาก คอื ทอ งบน หรือใชพ ดู อยูเ สมอจนแคลว คลอ งจัดเจน — Vacasà paricità: having frequently practised them verbally; having consolidated them by word of mouth) 4. มนสานุเปกขฺ ิตา (เพงขน้ึ ใจ คือ ใสใจนึกคดิ พจิ ารณาจนเจนใจ นกึ ถึงครั้งใด กป็ รากฏเนื้อ ความสวา งชัด — Manasànupekkhità: having looked over them with the mind) 5. ทิฏ ยิ า สปุ ฏิวทิ ธฺ า (ขบไดดว ยทฤษฎี หรือแทงตลอดดดี ว ยทิฏฐิ คือ มีความเขา ใจลึกซง้ึ มองเห็นประจักษแ จง ดวยปญ ญา ทง้ั ในแงความหมายและเหตผุ ล — Diññhiyà supañividdhà: having thoroughly penetrated them by view) A.III.112. อง.ฺ ปฺจก.22/87/129. [232] โภคอาทิยะ หรือ โภคาทิยะ 5 (ประโยชนท ่ีควรถอื เอาจากโภคทรัพย หรอื เหตุผลทอี่ รยิ สาวกควรยดึ ถือ ในการทีจ่ ะมหี รอื ครอบครองโภคทรพั ย — Bhoga-àdiya: uses of possessions; benefits which one should get from wealth; reasons for earning and having wealth) อริยสาวกแสวงหาโภคทรพั ยมาได ดวยนํ้าพกั นา้ํ แรงความขยนั หมน่ั เพยี รของตน และโดย ทางสจุ ริตชอบธรรมแลว 1. เลยี้ งตวั มารดาบดิ า บตุ รภรรยา และคนในปกครองทง้ั หลายใหเ ปน สขุ (to make oneself, one’s parents, children, wife, servants and workmen happy and live in comfort) 2. บํารุงมติ รสหายและผูรว มกิจการงานใหเปนสุข (to share this happiness and comfort with one’s friends) 3. ใชปองกนั ภยันตราย (to make oneself secure against all misfortunes) 4. ทําพลี 5 อยาง (to make the fivefold offering) ก. ญาตพิ ลี สงเคราะหญาติ (to relatives, by giving help to them)
[233] 172 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ข. อติถพิ ลี ตอนรับแขก (to guests, by receiving them) ค. ปพุ พเปตพลี ทาํ บุญอทุ ศิ ใหผ ูล วงลับ (to the departed, by dedicating merit to them) ง. ราชพลี บาํ รงุ ราชการดว ยการเสยี ภาษอี ากรเปน ตน (to the king, i.e. to the government, by paying taxes and duties and so on) จ. เทวตาพลี ถวายเทวดา* คือ สกั การะบาํ รุงหรือทําบุญอุทิศสิง่ ท่เี คารพบูชาตามความเช่ือถือ (to the deities, i.e. those beings who are worshipped according to one’s faith) 5. อปุ ถัมภบ ํารงุ สมณพราหมณผปู ระพฤติดปี ฏิบัตชิ อบ (to support those monks and spiritual teachers who lead a pure and diligent life) เม่อื ใชโภคทรพั ยท าํ ประโยชนอยา งน้ีแลว ถึงโภคะจะหมดส้ินไป ก็สบายใจไดว า ไดใชโภคะ นั้นใหเปนประโยชนถูกตองตามเหตผุ ลแลว ถา โภคะเพิม่ ขน้ึ กส็ บายใจเชน เดยี วกนั เปน อนั ไม ตองเดือดรอ นใจในทั้งสองกรณ.ี A.III.45. องฺ.ปจฺ ก.22/41/48. [233] มัจฉริยะ 5 (ความตระหน่ี, ความหวง, ความคดิ กดี กันไมใ หผ ูอนื่ ไดด ี หรอื มีสวน รว ม — Macchariya: meanness; avarice; selfishness; stinginess; possessiveness) 1. อาวาสมจั ฉริยะ (ตระหนท่ี ่อี ย,ู หวงทีอ่ าศัย เชน ภกิ ษหุ วงเสนาสนะ กีดกนั ผอู น่ื หรือผมู ใิ ช * ในจฬู นิทเทส ทา นอธิบายความหมายของ เทวดา ไวว า ไดแ กส ่งิ ที่นบั ถอื เปน ทกั ขิไณยของตนๆ (เย เยสํ ทกฺขเิ ณยฺยา, เต เตสํ เทวตา — พวกไหนนับถอื สิง่ ใดเปน ทักขไิ ณย สิ่งน้ันก็เปน เทวดาของพวกนัน้ ) และ แสดงตัวอยา งไวตามความเช่อื ถอื ของคนสมยั พุทธกาล ประมวลไดเปน 5 ประเภท คือ 1. นักบวช นักพรต (ascetics) เชน อาชวี กเปนเทวดาของสาวกอาชวี ก นิครนถ ชฎลิ ปริพาชก ดาบส ก็ เปน เทวดาของสาวกนคิ รนถเปน ตน เหลา น้นั ตามลาํ ดับ 2. สตั วเล้ยี ง (domestic animals) เชน ชางเปน เทวดาของพวกประพฤตพิ รตบชู าชาง มา โค ไก กา เปน ตน ก็เปน เทวดาของพวกถอื พรตบชู าสตั วน ั้นๆ ตามลาํ ดับ 3. ธรรมชาติ (physical forces and elements) เชน ไฟเปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบชู าไฟ แกว มณี ทศิ พระจันทร พระอาทิตย เปน เทวดาของผูถือพรตบูชาส่งิ น้ันๆ ตามลาํ ดับ 4. เทพชนั้ ต่ํา (lower gods) เชน นาคเปน เทวดาของพวกประพฤตพิ รตบูชานาค ครุฑ ยกั ษ คนธรรพ เปน เทวดาของผูถอื พรตบชู านาคเปน ตนเหลา นน้ั ตามลําดับ (พระภมู ิจัดเขา ในขอ นี)้ 5. เทพชน้ั สูง (higher gods) เชน พระพรหม เปน เทวดาของพวกประพฤติพรตบูชาพระพรหม พระอนิ ทร เปน เทวดาของผูถือพรตบชู าพระอนิ ทร เปนตน สําหรับชนท่ียังมีความเช่ือถือในสิ่งเหลาน้ี พระพทุ ธศาสนาสอนเปลี่ยนแปลงเพยี งใหเลกิ เซน สรวงสงั เวยเอา ชีวติ บูชายัญหันมาบชู ายญั ชนดิ ใหม คือบรจิ าคทานและบําเพญ็ กศุ ลกรรมตางๆ อทุ ศิ ไปใหแ ทน คอื มงุ ทวี่ ธิ ี การอันจะใหส าํ เรจ็ ประโยชนก อ น สว นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือเปนเรื่องของการแกไขทางสติปญ ญา ซง่ึ ประณตี ขึน้ ไปอีกชัน้ หน่งึ โดยเฉพาะนกั บวชในประเภทที่ 1 แมสาวกใดจะเปลย่ี นมานบั ถอื พระพุทธศาสนา โดยสมบูรณ พระพทุ ธเจา กท็ รงแนะนาํ ใหอุปถัมภบาํ รงุ นักบวชนน้ั ตอ ไป ดู Devatà ใน Pali Text Society’s Pali-English Dictionary, p. 330 ดวย Nd2308. ข.ุ จ.ู 30/120/45.
หมวด 5 173 [234] พวกของตน ไมใ หเ ขาอยู เปน ตน — âvàsa-macchariya: stinginess as to dwelling) 2. กุลมัจฉรยิ ะ (ตระหน่ีตระกลู , หวงสกุล เชน ภกิ ษุหวงสกลุ อุปฏ ฐาก คอยกดี กนั ภิกษุอ่นื ไม ใหเ ก่ียวของไดรบั การบํารุงดว ย เปนตน — Kula-macchariya: stinginess as to family) 3. ลาภมจั ฉริยะ (ตระหน่ีลาภ, หวงผลประโยชน เชน ภิกษุหาทางกดี กนั ไมใหล าภเกดิ ขน้ึ แก ภกิ ษุอื่น — Làbha-macchariya: stinginess as to gain) 4. วณั ณมจั ฉรยิ ะ (ตระหนี่วรรณะ, หวงสรีรวณั ณะ คือผวิ พรรณของรา งกาย ไมพ อใจใหผูอ ื่น สวยงาม ก็ดี หวงคณุ วัณณะ คอื คําสรรเสรญิ คณุ ไมอยากใหใครมคี ณุ ความดีมาแขงตน หรือ ไมพ อใจไดย ินคําสรรเสริญคุณความดีของผอู ่ืน กด็ ี ตลอดจนแบง ชนั้ วรรณะกัน — Vaõõa- macchariya: stinginess as to recognition; caste or class discrimination) 5. ธัมมมัจฉริยะ (ตระหนีธ่ รรม, หวงวิชาความรู และคุณพเิ ศษท่ีไดบรรลุ ไมย อมสอนไมย อม บอกผูอน่ื กลวั เขาจะรูเทยี มเทาหรอื เกินตน — Dhamma-macchariya: stinginess as to knowledge or mental achievements) D.III.234; A.III.271; Vbh.357. ท.ี ปา.11/282/246; อง.ฺ ปฺจก.22/254/301; อภ.ิ วิ.35/978/509. [234] มาร 5 (สิง่ ท่ีฆาบคุ คลใหตายจากคณุ ความดีหรือจากผลทหี่ มายอนั ประเสรฐิ , สงิ่ ทล่ี า ง ผลาญคณุ ความดี, ตัวการที่กําจัดหรือขัดขวางบุคคลมิใหบรรลุผลสาํ เรจ็ อนั ดีงาม — Màra: the Evil One; the Tempter; the Destroyer) 1. กเิ ลสมาร (มารคอื กเิ ลส, กเิ ลสเปนมารเพราะเปนตวั กาํ จดั และขดั ขวางความดี ทาํ ใหส ตั ว ประสบความพินาศท้งั ในปจ จุบนั และอนาคต — Kilesa-màra: the Màra of defilements) 2. ขนั ธมาร (มารคอื เบญจขันธ, ขันธ 5 เปน มาร เพราะเปนสภาพอนั ปจจัยปรงุ แตง มคี วามขัด แยงกันเองอยภู ายใน ไมม นั่ คงทนนาน เปนภาระในการบรหิ าร ทัง้ แปรปรวนเส่อื มโทรมไปเพราะ ชราพยาธเิ ปนตน ลว นรอนโอกาสมิใหบคุ คลทํากิจหนา ท่ี หรือบาํ เพ็ญคณุ ความดไี ดเตม็ ปรารถนา อยา งแรง อาจถงึ กบั พรากโอกาสน้นั โดยส้นิ เชิง — Khandha-màra: the Màra of the aggregates) 3. อภสิ ังขารมาร (มารคืออภสิ ังขาร, อภิสังขารเปนมาร เพราะเปน ตัวปรุงแตง กรรม นําใหเ กิด ชาติ ชรา เปนตน ขัดขวางมิใหห ลดุ พน ไปจากสังสารทุกข — Abhisaïkhàra-màra: the Màra of Karma-formations) 4. เทวปุตตมาร (มารคือเทพบุตร, เทพยิง่ ใหญระดับสงู สุดแหงชั้นกามาวจรตนหนงึ่ ช่อื วา มาร เพราะเปนนิมิตแหงความขัดของ คอยขดั ขวางเหนย่ี วรัง้ บุคคลไว มใิ หลว งพนจากแดนอํานาจ ครอบงําของตน โดยชักใหหวงพะวงในกามสุขไมหาญเสียสละออกไปบําเพ็ญคุณความดีที่ย่ิง ใหญได — Devaputta-màra: the Màra as deity) 5. มัจจมุ าร (มารคอื ความตาย, ความตายเปน มาร เพราะเปนตวั การตัดโอกาสที่จะกาวหนาตอ ไปในคุณความดีทงั้ หลาย — Maccu-màra: the Màra as death)
[235] 174 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร Vism.211; ThagA.II.16,46. วิสทุ ฺธ.ิ 1/270; เถร.อ. 2/24,383,441; วินย.ฏกี า1/481. [,,,] มิจฉาวณิชชา 5 (การคา ขายทผี่ ดิ หรอื ไมช อบธรรม) เปน คาํ ชน้ั อรรถกถา บาลี เรยี ก อกรณียวณิชชา คอื “วณิชชาทไ่ี มค วรทํา” ดู [235] วณชิ ชา 5. [235] วณิชชา 5 (การคา ขาย 5 อยา ง ในทนี่ ห้ี มายถงึ การคา ขายทเ่ี ปน อกรณยี ะสาํ หรบั อบุ าสก คอื อบุ าสกไมค วรประกอบ — Vaõijjà: trades which should not be plied by a lay disciple) 1. สตั ถวณิชชา (คา ขายอาวุธ — Sattha-vaõijjà: trade in weapons) 2. สตั ตวณิชชา (คาขายมนุษย — Satta-vaõijjà: trade in human beings) 3. มังสวณิชชา (คา ขายเนอ้ื สัตว — Ma§sa-vaõijjà: trade in flesh; อรรถกถาแกว าเลีย้ ง สัตวไ วข าย — trade in animals for meat) 4. มัชชวณชิ ชา (คา ขายของเมา — Majja-vaõijjà: trade in spirits or narcotics) 5. วสิ วณชิ ชา (คา ขายยาพิษ — Visa-vaõijjà: trade in poison) A.III.207. องฺ.ปจฺ ก.22/177/233. [,,,] วัฑฒิ หรอื วัฒิ หรอื วุฒิ 5 ดู [249] อริยวฑั ฒิ 5. [236] วิมุตติ 5 (ความหลุดพน — deliverance) ดู [224] นโิ รธ 5 เทียบ ปหาน 5. [,,,] วิราคะ 5 ดู [224] นิโรธ 5. [,,,] วิเวก 5 ดู [224] นโิ รธ 5. [,,,] เวทนา 5 ดู [112] เวทนา 5. [237] เวสารัชชกรณธรรม 5 (ธรรมทาํ ความกลาหาญ, คณุ ธรรมที่ทําใหเ กดิ ความ แกลวกลา — Vesàrajjakaraõa-dhamma: qualities making for intrepidity) 1. ศรทั ธา (ความเชอื่ ทมี่ เี หตผุ ล มน่ั ใจในหลกั ทถ่ี อื และในการดที ที่ าํ — Saddhà: faith; confidence) 2. ศลี (ความประพฤตถิ กู ตอ งดงี าม ไมผ ดิ ระเบยี บวนิ ยั ไมผ ดิ ศลี ธรรม — Sãla: good conduct; morality) 3. พาหุสจั จะ (ความเปนผไู ดศ ึกษาเลาเรียนมาก — Bàhusacca: great learning) 4. วริ ยิ ารมั ภะ (ปรารภความเพียร คือ การทไี่ ดเร่ิมลงมอื ทาํ ความเพยี รพยายามในกิจการน้นั ๆ อยูแลวอยางมั่นคงจรงิ จัง — Viriyàrambha: exertion; energy) 5. ปญญา (ความรอบรู เขา ใจชดั ในเหตุผล ดี ชว่ั ประโยชน มใิ ชประโยชน เปน ตน รคู ดิ รู วนิ จิ ฉยั และรทู จี่ ะจัดการ — Pa¤¤à: wisdom; understanding) A.III.127. อง.ฺ ปจฺ ก.22/101/144.
หมวด 5 175 [239] [,,,] โวสสัคคะ 5 ดู [224] นิโรธ 5. [238] ศีล 5 หรือ เบญจศีล (ความประพฤตชิ อบทางกายและวาจา, การรักษากายวาจา ใหเ รยี บรอ ย, การรักษาปกตติ ามระเบียบวนิ ยั , ขอ ปฏบิ ัตใิ นการเวน จากความชวั่ , การควบคุมตน ใหต้ังอยใู นความไมเ บยี ดเบยี น — Pa¤ca-sãla: the Five Precepts; rules of morality) 1. ปาณาติปาตา เวรมณี (เวนจากการปลงชีวิต, เวนจากการฆาการประทษุ รายกนั — Pàõàtipàtà veramaõã: to abstain from killing) 2. อทินนฺ าทานา เวรมณี (เวนจากการถือเอาของท่ีเขามไิ ดให, เวนจากการลัก โกง ละเมิด กรรมสทิ ธิ์ ทําลายทรัพยส ิน — Adinnàdànà ~: to abstain from stealing) 3. กาเมสุมิจฉฺ าจารา เวรมณี (เวนจากการประพฤติผิดในกาม, เวน จากการลว งละเมิดสงิ่ ที่ ผอู ่นื รกั ใครหวงแหน — Kàmesumicchàcàrà ~: to abstain from sexual misconduct) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากการพูดเท็จ โกหก หลอกลวง — Musàvàdà ~: to abstain from false speech) 5. สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏานา เวรมณี (เวน จากนํ้าเมาคือสรุ าและเมรัยอันเปนทีต่ ้งั แหง ความประมาท, เวน จากสง่ิ เสพตดิ ใหโ ทษ — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain from intoxicants causing heedlessness) ศลี 5 ขอ น้ี ในบาลีชั้นเดิมสว นมากเรยี กวา สิกขาบท 5 (ขอ ปฏบิ ัตใิ นการฝกตน — Sikkhà- pada: training rules) บา ง ธรรม 5 บา ง เมื่อปฏบิ ตั ิไดตามนี้ กช็ ื่อวา เปน ผูม ศี ลี คือเปนเบ้อื ง ตนทีจ่ ัดวาเปน ผมู ีศีล (virtuous) คําวา เบญจศีล ทีม่ าในพระไตรปฎ ก ปรากฏในคมั ภีรช้ัน อปทาน และพุทธวงส ตอ มาในสมัยหลงั มชี อ่ื เรียกเพิม่ ขึน้ วา เปน นจิ ศีล (ศลี ทค่ี ฤหสั ถควรรกั ษา เปนประจํา — virtues to be observed uninterruptedly) บาง วา เปน มนุษยธรรม (ธรรม ของมนุษยห รือธรรมทท่ี ําใหเ ปนมนุษย — virtues of man) บาง ดู คาํ สมาทาน ใน Appendix D.III.235; A.III.203,275; Vbh.285. ท.ี ปา.11/286/247; อง.ฺ ปจฺ ก.22/172/227; 264/307; อภ.ิ วิ.35/767/388. [239] เบญจธรรม หรอื เบญจกัลยาณธรรม (ธรรม 5, ธรรมอนั ดีงามหา อยาง, คณุ ธรรมหา ประการ คกู บั เบญจศีล เปน ธรรมเก้ือกลู แกก ารรกั ษาเบญจศลี ผูรักษาเบญจศีลควร มีไวประจาํ ใจ — Pa¤ca-dhamma: the five ennobling virtues; virtues enjoined by the five precepts) 1. เมตตาและกรุณา (ความรกั ใครป รารถนาใหม ีความสุขความเจริญ และความสงสารคิดชวย ใหพน ทกุ ข — Mettà-karuõà: loving-kindness and compassion) คกู ับศลี ขอท่ี 1 2. สมั มาอาชวี ะ (การหาเลย้ี งชพี ในทางสจุ รติ — Sammà-àjãva: right means of livelihood) คู กบั ศลี ขอ ท่ี 2 3. กามสังวร (ความสังวรในกาม, ความสํารวมระวังรจู กั ยับย้งั ควบคุมตนในทางกามารมณ ไม
[240] 176 พจนานกุ รมพุทธศาสตร ใหห ลงใหลในรปู เสียง กล่ิน รส และสมั ผัส — Kàmasa§vara: sexual restraint) คูก บั ศลี ขอ ท่ี 3 4. สัจจะ (ความสตั ย ความซื่อตรง — Sacca: truthfulness; sincerity) คกู ับศีลขอ ที่ 4 5. สตสิ มั ปชญั ญะ (ระลกึ ไดแ ละรตู วั อยเู สมอ คอื ฝก ตนใหเ ปน คนรจู กั ยงั้ คดิ รสู กึ ตวั เสมอวา สง่ิ ใดควรทาํ และไมค วรทาํ ระวงั มใิ หเ ปน คนมวั เมาประมาท — Sati-sampaja¤¤a: mindfulness and awareness; temperance) คกู บั ศลี ขอ ที่ 5 ขอ 2 บางแหง เปน ทาน (การแบง ปน เออื้ เฟอ เผอื่ แผ — Dàna: giving; generosity) ขอ 3 บาง แหง เปน สทารสนั โดษ (ความพอใจดว ยภรรยาของตน — Sadàrasantosa: contentment with one’s own wife) ขอ 5 บางแหง เปน อปั ปมาทะ (ความไมป ระมาท — Appamàda: heedfulness) เบญจธรรมน้ี ทา นผกู เปนหมวดธรรมขึน้ ภายหลงั จงึ มแี ปลกกนั ไปบาง เมือ่ วา โดยทีม่ า หวั ขอเหลา น้ีสว นใหญประมวลไดจ ากความทอ นทายของกศุ ลกรรมบถขอ ตน ๆ. ดู [320] กศุ ลกรรมบถ 10 2; [238] ศีล 5. [240] ศีล 8 หรือ อัฏฐศีล (การรักษาระเบียบทางกายวาจา, ขอปฏบิ ัติในการฝก หดั กาย วาจาใหยง่ิ ขน้ึ ไป — Aññha-sãla: the Eight Precepts; training rules) 1. ปาณาตปิ าตา เวรมณี (เวน จากการทาํ ชีวิตสัตวใ หต กลวงไป — Pàõàtipàtà veramaõã: to abstain from taking life) 2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากการถือเอาของท่ีเขามิไดใหดวยอาการแหงขโมย — Adinnàdànà ~: to abstain from taking what is not given) 3. อพฺรหฺมจริยา เวรมณี (เวนจากกรรมอันมิใชพรหมจรรย, เวนจากการประพฤติผิด พรหมจรรย คอื รวมประเวณี — Abrahmacariyà ~: to abstain from unchastity) 4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากการพูดเท็จ — Musàvàdà ~: to abstain from false speech) 5. สุราเมรยมชฺชปมาทฏ านา เวรมณี (เวนจากนํา้ เมา คอื สุราและเมรัยอนั เปน ทตี่ ง้ั แหง ความประมาท — Suràmerayamajjapamàdaññhànà ~: to abstain from intoxicants causing heedlessness) 6. วกิ าลโภชนา เวรมณี (เวน จากการบรโิ ภคอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแตเทยี่ งแลวไป จนถงึ รงุ อรณุ ของวนั ใหม — Vikàlabhojanà ~: to abstain from untimely eating) 7. นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นมาลาคนธฺ วเิ ลปนธารณมณฑฺ นวภิ สู นฏ านา เวรมณี (เวน จากการฟอ นราํ ขับรอง บรรเลงดนตรี ดกู ารละเลนอนั เปน ขาศึกตอพรหมจรรย การทัดทรง ดอกไม ของหอม และเครือ่ งลูบไล ซ่งึ ใชเ ปน เคร่อื งประดบั ตกแตง — Naccagãtavàdita- visåkadassana-màlàgandhavilepanadhàraõamaõóanavibhåsanaññhànà ~: to abstain from dancing, singing, music and unseemly shows, from wearing garlands,
หมวด 5 177 [242] smartening with scents, and embellishment with unguents) 8. อจุ จฺ าสยนมหาสยนา เวรมณี (เวน จากทนี่ อนอนั สงู ใหญห รหู ราฟมุ เฟอ ย — Uccàsayana- mahàsayanà ~: to abstain from the use of high and large luxurious couches) คําสมาทาน ใหเตมิ สิกฺขาปทํ สมาทยิ ามิ ตอทายทกุ ขอ แปลเพ่มิ วา “ขา พเจา ขอสมาทาน สกิ ขาบท คือเจตนางดเวน จาก ... หรือ ขา พเจา ขอถอื ขอ ปฏบิ ตั ใิ นการฝกตนเพือ่ งดเวนจาก ...” ศลี 8 น้ี สมาทานรกั ษาพเิ ศษในวนั อโุ บสถ เรยี กวา อโุ บสถ (Uposatha: the Observances) หรอื อโุ บสถศลี (precepts to be observed on the Observance Day) A.IV.248. อง.ฺ อฏก.23/131/253. [241] ศีล 8 ทั้งอาชีวะ หรอื อาชีวัฏฐมกศีล (ศลี มีอาชวี ะเปนคาํ รบ 8, หลัก ความประพฤติรวมทง้ั อาชีวะทบี่ รสิ ุทธด์ิ วยเปน ขอ ที่ 8 — âjãvaññhamaka-sãla: virtue having livelihood as eight; the set of eight precepts of which pure livelihood is the eighth) 1.–7. ตรงกบั กศุ ลกรรมบถ 7 ขอ ตน (กายกรรม 3 วจีกรรม 4) 8. สมั มาอาชวี ะ อาชีวัฏฐมกศลี น้ี เปน ศลี สวนอาทพิ รหมจรรย คือ เปนหลักความประพฤติเบอ้ื งตน ของ พรหมจรรย กลาวคอื มรรค เปนสงิ่ ท่ีตองประพฤตใิ หบรสิ ทุ ธิ์ในข้ันตนของการดาํ เนนิ ตามอริย- อัฏฐงั คิกมรรค วาโดยสาระ อาชีวฏั ฐมกศลี กค็ อื องคม รรค 3 ขอ ในหมวดศีล คอื ขอที่ 3, 4, 5 ไดแ ก สมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ และ สัมมาอาชวี ะ น่ันเอง ดู [293] มรรคมีองค 8; [319] กศุ ลกรรมบถ 101; [320] กศุ ลกรรมบถ 102. Vism.11. วิสุทธฺ .ิ 1/13. [242] ศีล 10 หรือ ทศศีล (การรกั ษาระเบยี บทางกายวาจา, ขอปฏบิ ัตใิ นการฝก หัดกาย วาจาใหย่งิ ข้ึนไป — Dasa-sãla: the Ten Precepts; training rules) 6 ขอแรกเหมือนในศีล 8; ขอ ที่ 7 แยกเปน 2 ขอ ดังน้ี 7. นจจฺ คีตวาทติ วสิ กู ทสฺสนา เวรมณี (เวน จากการฟอ นราํ ขับรอ ง บรรเลงดนตรี ดู การละเลน อนั เปน ขา ศกึ ตอพรหมจรรย — Nacca~dassanà ~: to abstain from dancing, singing, music and unseemly shows) 8. มาลาคนธฺ วิเลปนธารณมณฑฺ นวภิ ูสนฏ านา เวรมณี (เวน จากการทดั ทรงดอกไม ของหอม และเครอ่ื งลบู ไล ซงึ่ ใชเ ปน เครอื่ งประดบั ตกแตง — Màlà~ñhànà ~: to abstain from wearing garlands, smartening with scents, and embellishment with unguents) เล่ือนขอ 8 ในศีล 8 เปน ขอ 9 และเติมขอ 10 ดังน้ี
[243] 178 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร 10. ชาตรูปรชตปฏคิ ฺคหณา เวรมณี (เวนจากการรับทองและเงนิ — Jàtaråparajata- pañiggahaõà ~: to abstain from accepting gold and silver) สกิ ขาบท 10 นี้ เปน ศลี ทสี่ ามเณรและสามเณรรี ักษาเปน ประจํา หรอื อบุ าสกอบุ าสิกาผมู ี อตุ สาหะจะรักษากไ็ ด Kh.I.1. ขุ.ข.ุ 25/1/1. [,,,] สกทาคามี 5 ดู [59] สกคามี 3, 5. [,,,] สมบัติของอุบาสก 5 ดู [259] อุบาสกธรรม 5. [243] สังวร 5 (ความสาํ รวม, ความระวงั ปด ก้นั บาปอกศุ ล — Sa§vara: restraint) สงั วรศลี (ศลี คอื สงั วร, ความสาํ รวมเปน ศลี — virtue as restraint) ไดแ ก สงั วร 5 อยา ง คอื 1. ปาฏโิ มกขสังวร (สาํ รวมในปาฏโิ มกข คอื รกั ษาสกิ ขาบทเครงครดั ตามท่ีทรงบัญญตั ิไวใน พระปาฏโิ มกข — Pàñimokkha-sa§vara: restraint by the monastic code of discipline) 2. สตสิ งั วร (สํารวมดวยสติ คอื สํารวมอินทรียมีจกั ษุเปน ตน ระวังรกั ษามิใหบ าปอกศุ ลธรรม เขา ครอบงาํ เมอ่ื เหน็ รปู เปน ตน — Sati-sa§vara: restraint by mindfulness) = อนิ ทรยี สงั วร 3. ญาณสังวร (สาํ รวมดวยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมีตณั หาเปนตน เสียได ดวยใชปญญา พิจารณา มิใหเขามาครอบงําจิต ตลอดถึงรูจักพิจารณาเสพปจจัยส่ี — ¥àõa-sa§vara: restraint by knowledge) = ปจ จัยปจ จเวกขณ 4. ขนั ตสิ ังวร (สาํ รวมดว ยขันติ คือ อดทนตอหนาว รอ น หิว กระหาย ถอยคาํ แรงราย และ ทุกขเวทนาตางๆ ได ไมแ สดงความวิการ — Khanti-sa§vara: restraint by patience) 5. วริ ยิ สังวร (สาํ รวมดว ยความเพยี ร คอื พยายามขับไล บรรเทา กําจดั อกศุ ลวิตกทเี่ กิดขนึ้ แลว ใหหมดไปเปนตน ตลอดจนละมจิ ฉาชีพ เพียรแสวงหาปจ จยั ส่ีเลยี้ งชีวติ ดว ยสัมมาชพี ท่ีเรียกวา อาชวี ปาริสทุ ธิ — Viriya-sa§vara: restraint by energy) = อาชวี ปารสิ ทุ ธ.ิ ในคมั ภรี บางแหง ทีอ่ ธิบายคาํ วา วินัย แบงวนิ ยั เปน 2 คอื สังวรวนิ ยั กบั ปหานวนิ ยั และ จาํ แนกสงั วรวนิ ยั เปน 5 มแี ปลกจากนเี้ ฉพาะขอ ท่ี 1 เปน สลี สงั วร. (ดู สตุ ตฺ .อ.1/9; สงคฺ ณ.ี อ.505; SnA.8; DhsA.351). Vism.7; PsA.14,447; VbhA.330. วสิ ทุ ธฺ .ิ 1/8; ปฏิสํ.อ.16; วิภงคฺ .อ.429. [244] สุทธาวาส 5 (พวกมีทอี่ ยอู นั บรสิ ุทธ์ิ หรือท่ีอยขู องทานผูบ ริสุทธิ์ คอื ทเ่ี กิดของพระ อนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) ไดแ ก อวหิ า อตปั ปา สทุ สั สา สทุ สั สี และ อกนฏิ ฐา สทุ ธาวาส 5 น้ี เปนรปู าวจรภมู ิ (ชัน้ จตตุ ถฌานภูมิ ลาํ ดบั ท่ี 3 ถึง 7) ในพระไตรปฎกแสดง ไวในรายช่ือทีร่ วมกบั ภมู อิ ่นื ๆ บา งเทาทมี่ เี ร่ืองเก่ียวขอ ง จงึ ไมม รี ายช่ือภูมิทงั้ หมดทุกชน้ั ทุกระดับ ครบถวนในที่เดยี ว แตในคมั ภีรชน้ั อรรถกถาบางแหง ทานแสดงรายชอื่ ภูมิไวท้งั หมดครบทุกชน้ั ทุกระดับ มจี ํานวนรวมทั้งสิ้น 31 ภูมิ จงึ จะแสดงความหมายของชื่อสทุ ธาวาสภูมทิ ัง้ 5 นี้ รวมไว ในรายช่ือภมู ิ 31 นั้น
หมวด 5 179 [246] ดู [351] ภูมิ 31. D.III.237; M.III.99–103; Pug.17. ที.ปา.11/2/250; ม.อ.ุ 14/317–332/216–225; อภ.ิ ป.ุ 36/56/149. [,,,] องคแหงธรรมกถึก 5 ดู [219] ธรรมเทสกธรรม 5. [,,,] องคแหงภิกษุใหม 5 ดู [222] นวกภกิ ขุธรรม 5. [245] อนันตริยกรรม 5 (กรรมหนกั ทสี่ ดุ ฝา ยบาปอกศุ ล ซง่ึ ใหผ ลรนุ แรงตอ เนอ่ื งไป โดย ไมม กี รรมอนื่ จะมากนั้ หรอื คน่ั ได — Anantariya-kamma: immediacy-deeds; heinous crimes which bring immediate, uninterrupted and uninterruptible results) 1. มาตุฆาต (ฆามารดา — Màtughàta: matricide) 2. ปตฆุ าต (ฆา บดิ า — Pitughàta: patricide) 3. อรหันตฆาต (ฆาพระอรหนั ต — Arahantaghàta: killing an Arahant) 4. โลหติ ปุ บาท (ทาํ รา ยพระพุทธเจาจนถงึ พระโลหติ หอ ขน้ึ ไป — Lohituppàda: causing a Buddha to suffer a contusion or to bleed) 5. สงั ฆเภท (ยงั สงฆใ หแ ตกกนั , ทาํ ลายสงฆ — Saïghabheda: causing schism in the Order) กรรม 5 นี้ ในพระบาลีเรียกวา อนันตรกิ กรรม A.III.146; Vbh.378. องฺ.ปจฺ ก.22/129/165; อภิ.ว.ิ 35/984/510. [,,,] อนาคามี 5 ดู [60] อนาคามี 5. [246] อนุปุพพิกถา 5 (เรอื่ งทก่ี ลาวถงึ ตามลําดับ, ธรรมเทศนาทแ่ี สดงเนอ้ื ความลมุ ลกึ ลงไปโดยลาํ ดับ เพ่ือขดั เกลาอัธยาศัยของผฟู ง ใหประณตี ขน้ึ ไปเปนช้นั ๆ จนพรอ มท่ีจะทําความ เขา ใจในธรรมสว นปรมตั ถ — Anupubbikathà: progressive sermon; graduated sermon; subjects for gradual instruction) 1. ทานกถา (เรอ่ื งทาน, กลา วถึงการให การเสยี สละเผอ่ื แผแ บง ปน ชว ยเหลือกัน — Dàna- kathà: talk on giving, liberality or charity) 2. สลี กถา (เรอื่ งศลี , กลา วถงึ ความประพฤตทิ ถ่ี กู ตอ งดงี าม — Sãla-kathà: talk on morality or righteousness) 3. สัคคกถา (เรื่องสวรรค, กลาวถึงความสุขความเจริญ และผลทน่ี า ปรารถนาอันเปน สวนดขี อง กาม ทจี่ ะพงึ เขาถึง เมอื่ ไดประพฤติดงี ามตามหลกั ธรรมสองขอตน — Sagga-kathà: talk on heavenly pleasures) 4. กามาทนี วกถา (เรือ่ งโทษแหง กาม, กลา วถงึ สวนเสยี ขอบกพรอ งของกาม พรอมทั้งผลราย ท่สี บื เนือ่ งมาแตกาม อนั ไมค วรหลงใหลหมกมนุ มัวเมา จนถงึ รูจกั ที่จะหนา ยถอนตนออกได — Kàmàdãnava-kathà: talk on the disadvantages of sensual pleasures)
[247] 180 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 5. เนกขมั มานิสงั สกถา (เรอ่ื งอานสิ งสแ หงความออกจากกาม, กลา วถึงผลดขี องการไมหมก มุนเพลดิ เพลนิ ตดิ อยูใ นกาม และใหม ฉี นั ทะทจ่ี ะแสวงความดงี ามและความสขุ อันสงบทีป่ ระณีต ย่งิ ขน้ึ ไปกวานน้ั — Nekkhammànisa§sa-kathà: talk on the benefits of renouncing sensual pleasures) ตามปกติ พระพทุ ธเจาเม่อื จะทรงแสดงพระธรรมเทศนาแกคฤหสั ถ ผูมอี ุปนิสัยสามารถทจ่ี ะ บรรลธุ รรมพเิ ศษ ทรงแสดงอนปุ ุพพิกถาน้ีกอน แลว จงึ ตรสั แสดงอริยสัจจ 4 เปนการทําจิตให พรอมท่จี ะรับ ดจุ ผา ทซี่ ักฟอกสะอาดแลว ควรรับนาํ้ ยอ มตางๆ ไดดว ยดี Vin.I.15; D.I.148. วินย.4/27/32; ที.ส.ี 9/237/189. [247] อภิณหปจจเวกขณ 5 (ขอที่สตรีก็ตาม บรุ ุษก็ตาม คฤหัสถก็ตาม บรรพชติ ก็ ตาม ควรพจิ ารณาเนืองๆ — Abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantly reviewed; facts which should be again and again contemplated) 1. ชราธัมมตา (ควรพิจารณาเนืองๆ วา เรามคี วามแกเ ปนธรรมดา ไมลว งพนความแกไปได — Jaràdhammatà: He should again and again contemplate: I am subject to decay and I cannot escape it.) 2. พยาธธิ มั มตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามคี วามเจบ็ ปว ยเปน ธรรมดา ไมล ว งพน ความเจบ็ ปว ยไปได — Byàdhidhammatà: I am subject to disease and I cannot escape it.) 3. มรณธมั มตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามีความตายเปนธรรมดา ไมลว งพนความตายไป ได — Maraõadhammatà: I am subject to death and I cannot escape it.) 4. ปยวนิ าภาวตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เราจกั ตองมคี วามพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ท้งั สน้ิ — Piyavinàbhàvatà: There will be division and separation from all that are dear to me and beloved.) 5. กัมมสั สกตา (ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา เรามีกรรมเปน ของตน เราทาํ กรรมใด ดกี ต็ าม ชั่ว กต็ าม จักตองเปนทายาท ของกรรมน้นั — Kammassakatà: I am owner of my deed, whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.) ขอท่ีควรพิจารณาเนืองๆ 5 อยางนี้ มวี ัตถปุ ระสงคเพอื่ ละสาเหตตุ า งๆ มคี วามมัวเมา เปนตน ที่ทาํ ใหสตั วทง้ั หลายตกอยูใ นความประมาท และประพฤติทจุ ริตทางไตรทวาร กลาวคอื ขอ 1 เปนเหตุละหรอื บรรเทาความเมาในความเปนหนมุ สาวหรือความเยาวว ยั ขอ 2 เปนเหตลุ ะหรือบรรเทาความเมาในความไมม ีโรค คอื ความแขง็ แรงมีสขุ ภาพดี ขอ 3 เปน เหตลุ ะหรอื บรรเทาความเมาในชีวิต ขอ 4 เปนเหตลุ ะหรอื บรรเทาความยดึ ติดผูกพันในของรกั ทั้งหลาย ขอ 5 เปน เหตุละหรอื บรรเทาความทุจรติ ตา งๆ โดยตรง เมือ่ พิจารณาขยายวงออกไป เห็นวามิใชตนผูเดยี วทีต่ อ งเปน อยา งน้ี แตเปนคตธิ รรมดาของ
หมวด 5 181 [248] สตั วท ง้ั ปวงทจ่ี ะตอ งเปนไป เมือ่ พจิ ารณาเหน็ อยางนเ้ี สมอๆ มรรคก็จะเกิดขนึ้ เมอ่ื เจริญมรรคนัน้ มากเขา ก็จะละสังโยชนท้งั หลาย สิน้ อนุสยั ได. A.III.71. อง.ฺ ปจฺ ก.22/57/81. [248] ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณ 10 (ธรรมทบี่ รรพชิตควรพจิ ารณาเนอื งๆ — Pabbajita-abhiõhapaccavekkhaõa: ideas to be constantly reviewed by a monk; facts which the monk should again and again contemplate) บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนืองๆ วา (เติมลงหนาขอความทุกขอ) 1. เราถึงความมเี พศตา งจากคฤหสั ถแลว * (I have come to a status different from that of a layman.) ขอ นบี้ าลีวา “เววณณฺ ยิ มหฺ ิ อชฺฌูปคโต” ในทนี่ ้แี ปล เววณฺณิย วา ความมีเพศตา ง (จาก คฤหสั ถ) แตห ลายทา น แปลวา ความปราศจากวรรณะ (casteless state) คือเปน คนนอกระบบ ชนชน้ั หรือ หมดวรรณะ คอื หมดฐานะในสังคม หรอื เปนคนนอกสงั คม (outcast) ความตาง หรอื ปราศจาก หรอื หมดไปน้ี อรรถกถาอธบิ ายวา เปน ไปในสองทาง คือ ทางสรีระ เพราะปลงผม และหนวดแลว และทางบรขิ าร คอื เครือ่ งใช เพราะแตกอ นครัง้ เปนคฤหัสถ เคยใชผาดๆี รบั ประทานอาหารรสเลิศในภาชนะเงินทอง เปนตน ครัน้ บวชแลว ก็นุง หม ผายอมฝาดฉนั อาหาร คลุกเคลา ในบาตรเหล็กบาตรดิน ปหู ญา นอนตา งเตยี ง เปนตน สวนวัตถุประสงคแ หงการพิจารณาธรรมขอ น้ี อรรถกถาแกวา จะละความกําเรบิ ใจ (ความ จจู ีเ้ งา งอน) และมานะ (ความถอื ตัว) เสยี ได. 2. การเล้ยี งชีพของเราเน่ืองดวยผูอืน่ ** (คือตองอาศยั ผอู ื่น — My livelihood is bound up with others.) วตั ถุประสงค ตามอรรถกถาแกว า เพอ่ื ใหม อี ิรยิ าบถเรยี บรอ ยเหมาะสม มอี าชวี ะบรสิ ุทธิ์ เคารพในบิณฑบาต และบรโิ ภคปจจยั ส่ีดวยใสใ จพิจารณา 3. เรามอี ากปั กิริยาอยา งอ่นื ที่จะพงึ ทํา*** (I have a different way to behave.) อรรถกถาอธบิ ายวา เราควรทําอากปั ป (คอื กิริยามารยาท) ที่ตางจากของคฤหสั ถ เชน มี อนิ ทรยี สงบ กา วเดินสมํ่าเสมอ เปน ตน และแสดงวัตถปุ ระสงคว า เพ่อื ใหมอี ิริยาบถเรียบรอย เหมาะสม บําเพ็ญไตรสกิ ขาไดบ ริบรู ณ * ใน นวโกวาท มตี อวา “อาการกริ ยิ าใดๆ ของสมณะ เราตองทําอาการกิริยานน้ั ๆ“ ** ใน นวโกวาท มีตอวา “เราควรทาํ ตัวใหเ ขาเล้ียงงาย.” *** ใน นวโกวาท ทรงเรยี งเปน ขอ ความใหมว า “อาการกายวาจาอยางอืน่ ทีเ่ ราจะตอ งทําใหดขี ึน้ ไปกวา นย้ี ังมอี ยู อีก ไมใชเพยี งเทา น้.ี ” จะเหน็ วา ขอ 1 กับขอ 3 ทรงตคี วามตา งออกไป ถา แปลตามนยั อรรถกถา ขอ 1 จะได วา “เราเปนผหู มดวรรณะ คอื ไมมฐี านะในสังคมแลว จะตองไมมีความกระดา งถือตวั ใดๆ” ขอ 3 จะไดวา “เราจะตอ งมีอาการกริ ยิ าตา งจากคฤหัสถ สาํ รวมใหเหมาะกบั ความเปน สมณะ”. (องฺ.อ.3/395)
[249] 182 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร 4. ตวั เรายงั ติเตยี นตัวเราเองโดยศีลไมไ ดอยูหรอื ไม (Can I still not reproach myself on my virtue’s account?) ขอ น้ี มวี ัตถปุ ระสงคเ พือ่ ใหเกิดหิรพิ รงั่ พรอมอยใู นใจ ชว ยใหม ีสงั วรทางไตรทวาร 5. เพื่อนพรหมจรรยทั้งหลายผูเปนวิญูชนพิจารณาแลว ยังติเตียนเราโดยศีลไมไดอยู หรอื ไม (Do my discerning fellows in the holy life, on considering me, not reproach me on my virtue’s account?) ขอ นี้ มีวตั ถปุ ระสงคเพอ่ื ใหด ํารงโอตตปั ปะในภายนอกไวได ชว ยใหมสี งั วรทางไตรทวาร 6. เราจกั ตอ งมีความพลัดพรากจากของรกั ของชอบใจท้ังสนิ้ (There will be division and separation from all that are dear to me and beloved.) ขอนี้ มีวัตถปุ ระสงคเ พ่อื ใหเ ปน ผูไมประมาท และเปน อันไดต ้งั มรณสติไปดวย 7. เรามกี รรมเปน ของตน เราทาํ กรรมใด ดกี ต็ าม ชวั่ กต็ าม จกั ตอ งเปน ทายาทของกรรมนน้ั (I am owner of my deed, whatever deed I do, whether good or bad, I shall become heir to it.) ขอ นี้ มวี ัตถปุ ระสงคเพอ่ื ปองกันมิใหกระทําความชั่ว 8. วนั คนื ลว งไปๆ เราทําอะไรอยู (How has my passing of the nights and days been?) ขอนี้ มีวตั ถุประสงคเ พอ่ื ทําความไมป ระมาทใหบ รบิ รู ณ 9. เรายินดใี นท่สี งัดอยหู รือไม (Do I delight in a solitary place or not?) ขอนี้ มีวตั ถปุ ระสงคเ พ่ือทาํ กายวเิ วกใหบริบูรณ 10. คณุ วเิ ศษยิ่งกวามนษุ ยส ามญั ท่เี ราบรรลแุ ลว มีอยูห รอื ไม ที่จะใหเ ราเปนผไู มเ กอเขนิ เม่อื ถูกเพอ่ื นบรรพชิตถาม ในกาลภายหลัง (Have I developed any extraordinary qualities whereon when later questioned by my fellows in the holy life I shall not be confounded?) ขอ นี้ มีวัตถปุ ระสงคเพ่ือมใิ หเปนผตู ายเปลา A.V.87; Netti.185. องฺ.ทสก.24/48/91; องฺ.อ.3/395. [,,,] อรหันต 5 ดู [62] อรหนั ต 5. [249] อริยวัฑฒิ หรอื อารยวัฒิ 5 (ความเจรญิ อยา งประเสรฐิ , หลกั ความเจรญิ ของอารย ชน — Ariyà vaóóhi: noble growth; development of a civilized or righteous man) 1. ศรัทธา (ความเช่อื ความมั่นใจในพระรัตนตรัย ในหลักแหง ความจริงความดงี ามอันมเี หตุผล — Saddhà: confidence) 2. ศลี (ความประพฤติดี มีวินยั เลย้ี งชพี สุจรติ — Sãla: good conduct; morality) 3. สตุ ะ (การเลาเรียนสดบั ฟงศกึ ษาหาความรู — Suta: learning) 4. จาคะ (การเผ่อื แผเสยี สละ เออื้ เฟอ มีนํา้ ใจชวยเหลอื ใจกวา ง พรอ มที่จะรบั ฟงและรวมมือ
หมวด 5 183 [251] ไมค บั แคบเอาแตต ัว — Càga: liberality) 5. ปญญา (ความรอบรู รคู ิด รพู จิ ารณา เขา ใจเหตผุ ล รจู ักโลกและชีวติ ตามความเปน จริง — Pa¤¤à: wisdom) A.III.80. อง.ฺ ปจฺ ก.22/63–64/91–92. [250] อายุสสธรรม หรือ อายุวัฒนธรรม 5 (ธรรมทเ่ี ก้อื กลู แกอายุ หรอื ธรรม ท่ีสง เสรมิ สขุ ภาพ, ธรรมทชี่ ว ยใหอ ายยุ นื — âyussa-dhamma: things conducive to long life) 1. สปั ปายการี (ทาํ สงิ่ ทส่ี บายคอื เออื้ ตอ ชวี ติ — Sappàyakàrã: to do what is suitable for oneself and favourable to one’s health; to act in accordance with the rules of hygiene) 2. สปั ปายมตั ตญั ู (รจู กั ประมาณในสงิ่ ทสี่ บาย — Sappàye matta¤¤å: to be moderate even as to things suitable and favourable) 3. ปรณิ ตโภชี (บรโิ ภคสงิ่ ท่ียอยงาย เชน เค้ยี วใหละเอียด — Pariõatabhojã: to eat food which is ripe or easy to digest) 4. กาลจารี (ประพฤตเิ หมาะในเรอื่ งเวลา เชน รจู กั เวลา ทาํ ถกู เวลา ทาํ เปน เวลา ทาํ พอเหมาะแก เวลา เปน ตน — Kàlacàrã: to behave oneself properly as regards time and the spending of time.) 5. พรหมจารี (ถือพรหมจรรย ถึงจะเปนคฤหัสถก็รูจักควบคุมกามารมณเวนเมถุนบาง — Brahmacàrã: to practise sexual abstinence) อายุวฒั นธรรมน้ี มีอีกหมวดหนึ่ง สามขอแรกเหมือนกนั แปลกแตข อ 4 และ 5 เปน 4. สีลวา (มีศลี ประพฤตดิ ีงาม ไมท ําความผิด — Sãlavà: to be morally upright) 5. กัลยาณมิตตะ (มีกัลยาณมติ ร — Kalyàõamitta: to have good friends) A.III.145. อง.ฺ ปจฺ ก.22/125–6/163. [,,,] อารยวัฒิ 5 ดู [249] อริยวฑั ฒิ 5. [251] อาวาสิกธรรม 51 (ธรรมของภกิ ษุผูอยปู ระจาํ วดั , แปลถือความมาใชใ หเหมาะ กบั ปจ จุบันวา คุณสมบตั ิของเจาอาวาส, หมวดที่ 1 ประเภทท่นี ายกยอ ง หรือเปนทชี่ น่ื ชูเจรญิ ใจ — âvàsika-dhamma: qualities of an esteemable resident or incumbent of a monastery; qualities of an esteemable abbot) 1. ถึงพรอมดวยอากัปกิริยาและวัตรปฏิบัติ (มีกิริยามารยาททาทีการแสดงออกทางกาย วาจาสํารวมงดงาม และเอาใจใสปฏิบัติกิจหนาที่สมํ่าเสมอเรียบรอย — âkappavatta- sampanna: to be accomplished in manner and duties) 2. เปน พหูสตู (ไดศึกษาเลา เรียนมาก รูหลักพระธรรมวินยั มีความรูความเขา ใจกวา งขวางลึก ซ้งึ — Bahussuta: to have great learning) 3. ประพฤตขิ ัดเกลา (ฝก อบรมตนในไตรสกิ ขา ชอบความสงบ ยนิ ดใี นกลั ยาณธรรม — Pañi-
[252] 184 พจนานุกรมพุทธศาสตร sallekhità: to be fond of solitude) 4. มีกลั ยาณพจน (มีวาจางาม กลา วกลั ยาณพจน รูจ กั พดู รูจกั เจรจานาศรทั ธาและนาํ ปญ ญา — Kalyàõavàca: to have kindly and convincing speech) 5. มปี ญ ญา (รูเขาใจ รูคิด รพู ิจารณา เฉลยี วฉลาด สามารถแกป ญ หา ไมซ มึ เซอเบอะบะ — Pa¤¤avà: to be wise) A.III.261. อง.ฺ ปฺจก.22/231/290. [252] อาวาสิกธรรม 52 (คณุ สมบัติของเจาอาวาส หมวดท่ี 2 ประเภทเปน ทีร่ กั ท่ีเคารพ ของสพรหมจารี คอื เพื่อนภกิ ษุสามเณรผูประพฤติพรหมจรรยร วมกัน — âvàsikadhamma: qualities of a beloved and respected incumbent or abbot) 1. มศี ลี (ตง้ั อยใู นศลี สาํ รวมในพระปาฏโิ มกข ประพฤตเิ ครง ครดั ในสกิ ขาบททงั้ หลาย — Sãlavà: to have good conduct) 2. เปน พหสู ตู (ไดศ กึ ษาเลา เรยี นมาก รหู ลกั พระธรรมวนิ ยั มคี วามรคู วามเขา ใจกวา งขวางลกึ ซงึ้ — Bahussuta: to have great learning) 3. มกี ลั ยาณพจน (มีวาจางาม กลาวกลั ยาณพจน รูจักพดู รจู ักเจรจานาศรทั ธาและนําปญ ญา — Kalyàõavàca: to have lovely and convincing speech) 4. เปน ฌานลาภี (ไดแ คลว คลอ งในฌาน 4 ทเ่ี ปน เครอื่ งอยสู ขุ สบายในปจ จบุ นั — Jhànalàbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions at will) 5. ประจักษแจงวิมุตติ (บรรลุเจโตวิมุตติ ปญญาวิมุตติ ส้ินอาสวะแลว —Vimutti- sacchikattà: to have gained the Deliverance) A.III.262. องฺ.ปฺจก.22/232/290. [253] อาวาสิกธรรม 53 (คุณสมบัติของเจา อาวาส หมวดท่ี 3 ประเภทอาวาสโสภณ คอื ทาํ วัดใหง าม — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot who graces the monastery) 1. มีศีล (ตั้งอยูในศีล สํารวมในพระปาฏิโมกข ประพฤติเครงครัดในสิกขาบททั้ง หลาย — Sãlavà: to have good conduct) 2. เปนพหูสตู (ไดศกึ ษาเลา เรยี นมาก รหู ลกั พระธรรมวนิ ัย มีความรคู วามเขา ใจกวางขวางลกึ ซง้ึ — Bahussuta: to have great learning) 3. มีกัลยาณพจน (มวี าจางาม กลา วกัลยาณพจน รจู ักพูด รจู ักเจรจานา ศรัทธาและนาํ ปญญา — Kalyàõavàca: to have lovely and convincing speech) 4. สามารถกลาวธรรมกี ถา (สามารถกลา วสอนธรรมใหผูมาหาเหน็ แจมชดั ยอมรับไปปฏบิ ัติ เราใจใหแกลว กลา และเบกิ บานใจ — Dhammikathàya sandassaka: to be able to teach, incite, rouse and satisfy those who visit him with talk on the Dhamma)
หมวด 5 185 [255] 5. เปน ฌานลาภี (ไดแคลว คลอ งในฌาน 4 ทเี่ ปน เครื่องอยูสขุ สบายในปจจุบนั — Jhàna- làbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions at will) A.III.262. องฺ.ปจฺ ก.22/233/291. [254] อาวาสิกธรรม 54 (คุณสมบตั ิของเจาอาวาส หมวดท่ี 4 ประเภทมอี ุปการะมาก แกวัด — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot who is of great service to his monastery) 1. มีศีล (ต้ังอยูในศีล สํารวมในพระปาฏิโมกข ประพฤติเครงครัดในสิกขาบททั้ง หลาย — Sãlavà: to have good conduct) 2. เปน พหสู ตู (ไดศ กึ ษาเลาเรยี นมาก รหู ลกั พระธรรมวนิ ยั มคี วามรคู วามเขา ใจกวางขวางลกึ ซึ้ง — Bahussuta: to have great learning) 3. รจู ักปฏสิ ังขรณ (เอาใจใสด ูแลซอ มแซมเสนาสนะและส่ิงของทชี่ ํารุดหักพัง — Khaõóa- phullapañisaïkharaka: to repair broken and dilapidated things) 4. บอกกลา วในคราวจะไดท าํ บญุ แกม หาสงฆ (เมอ่ื มสี งฆห มใู หญม าจากตา งถน่ิ ตา งแควน ขวนขวายบอกชาวบา นผปู วารณาไวใ หม าทาํ บญุ — Pu¤¤akaraõàyàrocaka: to inform the householders of the arrival of incoming monks in order that the former may make merit) 5. เปน ฌานลาภี (ไดแ คลว คลองในฌาน 4 ที่เปน เคร่ืองอยสู ุขสบายในปจจุบนั — Jhàna- làbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions at will) A.III.263. องฺ.ปฺจก.22/234/292. [255] อาวาสิกธรรม 55 (คุณสมบัตขิ องเจา อาวาส หมวดที่ 5 ประเภทอนุเคราะห คฤหัสถ — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot who is kind to lay people) 1. ชักนําคฤหัสถใหถือปฏิบัติในอธิศีล (เอาใจใสชักชวนแนะนําชาวบานใหสมาทานในอธิศีล คอื ใหร กั ษาศลี 5 ทเ่ี ปน พน้ื ฐานเพอ่ื กา วขน้ึ สคู ณุ ความดที ส่ี งู ขน้ึ ไป — Adhisãle samàdapaka: to incite them to higher virtue) อธศิ ลี ในทน่ี ้ี ทา นอธบิ ายวา ไดแ กเ บญจศลี ทเี่ ปนไปเพอ่ื คณุ เบ้ืองสูง 2. ยังคฤหัสถใหต้ังอยูในธรรมทัศนะ (เอาใจใสช ้แี จงแสดงธรรมแนะนาํ ชาวบานใหรเู หน็ เขา ใจ ธรรม — Dhammadassane nivesaka: to encourage them in the discernment of truth or the vision of the doctrine) 3. ไปเยย่ี มใหสติคนเจ็บไข — Gilànasatuppàdaka: to visit the sick and rouse them to mindfulness and awareness) 4. บอกกลาวในคราวจะไดทําบุญแกมหาสงฆ (เมื่อมีสงฆหมูใหญมาจากตางถิ่นตางแควน
[256] 186 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ขวนขวายบอกชาวบา นผูปวารณาไวใ หมาทําบุญ — Pu¤¤akaraõàyàrocaka: to inform the householders of the arrival of incoming monks in order that the former may make merit) 5. ไมทําศรัทธาไทยใหต กไป (ชาวบานถวายโภชนะใดๆ จะดอยหรอื ดี กฉ็ ันดวยตนเอง ไม ทาํ ของท่เี ขาถวายดวยศรทั ธาใหห มดคณุ คาไปเสยี — Saddhàdeyyàvinipàtaka: to eat any given food himself, whether it is mean or choice, not frustrating the gift of faith) A.III.263. อง.ฺ ปจฺ ก.22/235/292. [256] อาวาสิกธรรม 56 (คณุ สมบตั ิของเจาอาวาส หมวดท่ี 6 ประเภทมคี วามสขุ ความเจรญิ ดจุ ไดร บั เชญิ ขน้ึ ไปอยใู นสวรรค — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot who is prosperous as if put in heaven) 1. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ กลา วตาํ หนติ เิ ตยี นบคุ คลทค่ี วรตาํ หนติ เิ ตยี น — to speak in blame of a person deserving blame only after deliberately testing and plumbing the matter. 2. พิจารณาใครครวญโดยรอบคอบแลว จึงกลาวยกยองสรรเสริญบุคคลท่ีควรยกยอง สรรเสรญิ — to speak in praise of a person deserving praise only after deliberately testing and plumbing the matter. 3. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ แสดงความไมเ ลอ่ื มใส ในฐานะอนั ไมค วรเลอื่ มใส — to show disbelief in what deserves disbelief only after deliberately testing and plumbing the matter. 4. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ แสดงความเลอื่ มใส ในฐานะอนั ควรเลอื่ มใส — to show appreciation in what deserves appreciation only after deliberately testing and plumbing the matter. 5. ไมย ังศรัทธาไทยใหต กไป — not to frustrate the gift of faith. เจา อาวาสท่ปี ระพฤติตรงขา มจากนี้ ยอมเส่อื มดุจถกู จบั ไปขงั ในนรก. A.III.264. อง.ฺ ปจฺ ก.22/236/293. [257] อาวาสิกธรรม 57 (คณุ สมบัติของเจาอาวาส หมวดที่ 7 ประเภทมคี วามสุขความ เจริญดจุ ไดร บั เชิญขน้ึ ไปอยูในสวรรค อกี หมวดหนงึ่ — âvàsika-dhamma) 1. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ กลา วตําหนติ เิ ตยี นบคุ คลทคี่ วรตาํ หนติ เิ ตยี น — Anuviccavaõõabhàsaka: to speak in blame of a person deserving blame only after deliberately testing and plumbing the matter. 2. พิจารณาใครครวญโดยรอบคอบแลว จึงกลาวยกยองสรรเสริญบุคคลท่ีควรยกยอง สรรเสรญิ — Anuviccàvaõõabhàsaka: to speak in praise of a person deserving
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402