ยุคเรเนสซองส์ the golden age of polyphony จัดทำโดย อัจฉรียา โสดาจันทร์ Autchareeya sodajun ศุภาวิณี พุทรขันธ์ Supawinee phutthakhun ภูมิรัตน์ บุสหงษ์ Phumirat bussahong ณัฐพล คำสังวาลย์ Nattaphon khamsangwan ณัฐวัฒน์ จันทอง Nattawat chanthong Present to คุณครู อรรถชัย สายสั้น Teacher Autthachai Saisan
สารบัญ หน้า เรื่อง 1 ประวัติความเป็นมา 2-4 5 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของยุค 6-7 8-10 11-13 เครื่องดนตรี คีตกวีคนสำคัญของยุค ศิลปินของยุค ภาพผนวก
ประวัติความเป็นมา 1. หลังจาก สงครามครูเสดอันยาวนานร่วม 300 ปีสิ้นสุดลง ยุโรปก็เข้าสู่สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา โดยในช่วงแรกความรู้ทางศิลปะและวิทยาการของกรีกและโรมันได้ถูกนำเข้ามาผ่าน เอกสารและหนังสือที่นักวิชาการมุสลิมในโลกอาหรับได้แปลไว้ เช่น ปรัชญาของ อริสโตเติล และคณิตศาสตร์ของกรีก ต่อมาการล่มสลายของนครคอนสแตนติโนเปิล ศูนย์กลางแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 15 จากการรุกรานของ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ทำให้บรรดาพระ และผู้มีวิชาความรู้ใน เมืองหอบตำราสำคัญที่คัดลอกด้วยมือ (manuscripts) ต่างๆอันเป็นความรู้และสมบัติ ทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจากอารยธรรมกรีก และโรมัน ออกมาเผยแพร่เพื่อต่อ สังคมยุโรปในวงกว้าง และเนื่องจากในขณะนั้นเทคโนโลยีการพิมพ์ และการพิมพ์ แบบตัวเรียง (moveable types) เพิ่งได้รับการประดิษฐ์ขึ้นโดยกูเทนเบิร์กในยุโรป ความรู้ศิลปวิทยาการในสมัยคลาสสิคจึงแพร่กระจายไปได้เร็วมาก ทำให้ยุโรปได้นำ ศิลปวิทยาการที่ได้รับการเผยแพร่ใหม่เหล่านี้ มาสอนในมหาวิทยาลัย ตลอดจนนำมา ปรับปรุง ดัดแปลงใหม่ ทำให้ยุโรปมีความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทุก ๆ ด้าน คำว่า “Renaissance” แปลว่า “การเกิดใหม่ ” (Re-birth) ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ ปัญญาชนในยุโรปได้ หันความสนใจจากกิจการฝ่ายศาสนาที่ได้ปฏิบัติมาอย่าง เคร่งครัดตล อดสมัยกลาง มาสู่การฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งมีแนวความคิดอ่านและ วัฒนธรรมตามแบบกรีก และโรมันโบราณ สมัยแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยานี้ ได้เริ่มขึ้น ครั้งแรกตามหัวเมืองภาคเหนือของแหลมอิตาลี โดยได้เริ่มขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ก่อนแล้วจึงแพร่ไปยังเวนิช ปิสา เจนัว จนทั่วแคว้นทัส คานีและลอมบาร์ดี จากนั้นจึงแพร่ไปทั่วแหลมอิตาลีแล้วขยายตัวเข้าไปในฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ลักษณะของดนตรีในสมัยนี้ยังคงมีรูปแบบคล้ายในสมัยศิลป์ใหม่ แต่ได้มีการปรับปรุง พัฒนารูปแบบมากขึ้น ลักษณะการสอดประสานทำนอง ยังคงเป็นลักษณะเด่น เพลง ร้องยังคงนิยมกัน แต่เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16
2. การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของยุค มีการพัฒนา Rhythm ในแบบ Duple time และ Triple time ขึ้น อัตราจังหวะ เป็นเครื่องหมายกำหนดอัตราจังหวะ ที่บอกถึงค่าตัวโน้ต และจำนวนจังหวะ ในแต่ละห้องเพลง อัตราจังหวะ (Time) เป้็ นกลุ่มโน้ตที่ถูกจัดแบ่งจังหวะเคาะที่เท่า ๆ กัน ในแต่ละห้องเพลงและทำให้เกิดชีพจรจังหวะ (Pulse) คือ การเน้นจังหวะหนัก-เบา 1. อัตราจังหวะสองธรรมดา (Simple duple time) คือ จังหวะเคาะในแต่ละห้องเพลงมี 2 จังหวะ 2. อัตราจังหวะสามธรรมดา (Simple triple time) คือ จังหวะเคาะในแต่ละห้องเพลงมี 3 จังหวะ เช่น การประสานเสียงใช้คู่ 3 ตลอด และเป็นสมัยสุดท้ายที่มีรูปแบบของขับร้องและบรรเลง เหมือนกัน การประสานเสียงโดยใช้คู่3ตลอด หรือ ตรัยแอ็ด (Triad) คือ คอร์ดที่ประกอบด้วยเสียง 3 เสียง โดยเกิดจากการนำโน้ตลำดับที่ 1st ,โน้ตลำดับที่ 3rd และโน้ตลำดับที่ 5th ของบันไดเสียงมาจัดเรียงกันในแนวตั้ง ตรัย แอ็ด (Triad) หรือคอร์ด 3 เสียง ที่สำคัญในบันไดเสียง ซี เมเจอร์ (C major) หรือบันได เสียงเมเจอร์ทั่วไปที่มักนำมาใช้ในการบรรเลง ประกอบด้วย คอร์ดลำดับที่ 1st ,ลำดับที่ 4th และลำดับที่ 5th และ การได้ชื่อว่า“The Golden Age of Polyphony” โพลีโฟนี (Polyphony) เป็นเท็กซ์เจอร์ดนตรีประเภทหนึ่งที่ประกอบด้วยทำนองอิสระ ตั้งแต่สองบรรทัดขึ้นไป ในทางตรงกันข้ามกับเท็กซ์เจอร์ดนตรีที่มีเพียงเสียงเดียว โมโนโฟนี หรือเท็กซ์เจอร์ที่มีเสียงไพเราะที่โดดเด่นเพียงเสียงเดียวพร้อม ด้วยคอร์ด โฮโมโฟนี
3. อีกจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางดนตรีของยุคนี้ เกิดขึ้นจากศตวรรษที่16 มีการ ขุดแย้งทางดนตรีศาสนากับกลุ่มโรมันคาธอลิคว่าเป็นเพลงที่มีจังหวะคลุมเครือ จึงมีการแต่งเพลงสวดชื่อว่า โคราล (Corale) ศัตวรรษที่ 16 นี้ จึงเป็น ศตวรรษที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านดนตรีศาสนาไปอย่างมีแบบแผนมากขึ้น มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัดมากกว่าศตวรรษที่ 15 15th century และ 16th century 15th century ประชาชนทั่วไปได้หลุดพ้นจากการปกครองระบอบศักดินา (Feudalism) มนุษย นิยม (Humanism) ได้กลายเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา ศิลปินผู้มีชื่อเสียง คือ ลอเร็นโซ กิแบร์ตี โดนาเต็ลโล เลโอนาร์โด ดา วินชิ ฯลฯ เพลงมักจะมี 3 แนว โดยแนวบนสุดจะมีลักษณะน่าสนใจกว่าแนวอื่น ๆ เพลงที่ประกอบด้วยเสียง 4 แนว ในลักษณะของโซปราโน อัลโต เทเนอร์ เบส เริ่มนิยมประพันธ์กันซึ่งเป็นรากฐานของการประสานเสียง 4 แนว ในสมัยต่อ ๆ มา เพลงโบสถ์จำพวก แมสซึ่งพัฒนามาจากแชนท์มีการประพันธ์กันเช่นเดียวกับในสมัยกลาง เพลง โมเต็ตยังมีรูปแบบคล้ายสมัยศิลป์ใหม่ ในระยะนี้เพลงคฤหัสถ์เริ่มมีการสอด ประสานเกิดขึ้น คือ เพลงประเภทซังซอง แบบสอดประสาน (Polyphonic chanson) ซึ่งมีแนวทำนองเด่น 1 แนว และมีแนวอื่นสอดประสานแบบล้อกัน (Imitative style) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลักษณะของการใส่เสียงประสาน (Homophony) ลักษณะล้อกันแบบนี้เป็นลักษณะสำคัญของเพลงในสมัยนี้ นอกจากนี้มีการนำ รูปแบบของโมเต็ตมาประพันธ์เป็นเพลงแมสและการนำ หลักของแคนนอนมา ใช้ในเพลงแมสด้วย
16th century 4. มนุษยนิยมยังคงเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา การปฏิรูปทางศาสนาและการต่อ ต้านการปฏิรูปทางศาสนาของพวกคาทอลิก เป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งของ คริสต์ศาสนาเพลงร้อง แบบสอดประสานทำนองพัฒนาจนมีความสมบูรณ์ แบบเพลงร้องยังคงเป็นลัก ษณะเด่น แต่เพลงบรรเลงก็เริ่มนิยมกันมากขึ้น เพลงโบสถ์ยังมีอิทธิพลจากเพลงโบสถ์ของโรมัน แต่ก็มีเพลงโบสถ์ของนิกาย โปรแตสแตนท์เกิดขึ้น การประสานเสียงเริ่มมีหลักเกณฑ์มากขึ้น การใช้การ ประสานเสียงสลับกับการล้อกันของทำนองเป็นลักษณะหนึ่งข องเพลงในสมัยนี้ การแต่งเพลงแมสและโมเต็ต นำหลักของการล้อกันของทำนองมาใช้แต่เป็น แบบฟิวก์ (Fugue) ซึ่งพัฒนามาจากแคนนอน คือ การล้อของทำนองที่มีการ แบ่งเป็นส่วน ๆ ที่สลับซับซ้อนมีหลักเกณฑ์มากขึ้นในสมัยนี้มีการปฏิวัติทาง ดนตรีเกิดขึ้นในเยอ รมัน ซึ่งเป็นเรื่องของความขัดแย้ง ทางศาสนากับพวกโรมันแคธอลิก จึงมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่โดยใช้กฏ เกณฑ์ใหม่ด้วยเพลงที่เกิดขึ น้ มาใหม่เป็นเพลงสวดที่เรียกว่า “โคราล” (Chorale) ซึ่งเป็นเพลงที่นำมาจากแชนท์แต่ใส่อัตราจังหวะเข้าไป นอกจากนี้ ยังเป็นเพลงที่นำมาจากเพลงคฤหัสถ์โดย ใส่เนื้อเป็นเรื่องศาสนาและเป็นเพลง ที่แต่งขึ้นใหม่ด้วย เพลงในสมัยนี้เริ่มมีอัตราจังหวะแน่นอน เพลงคฤหัสถ์มีการ พัฒนาทั้งใช้ผู้ร้องและการบรรเลง กล่าวได้ว่าดนตรีในศตวรรษนี้มีรูปแบบ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นและหลักการต่าง ๆ มีแบบแผนมากขึ้น ในสมัยนี้มนุษย์เริ่มเห็นความสำคัญของดนตรีมาก โดยถือว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิต นอกจากจะให้ดนตรีในศาสนาสืบเนื่องมาจากสมัยกลาง (Middle Ages) แล้วยังต้องการดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) เพื่อพักผ่อนใน ยามว่าง เพราะฉะนั้นในสมัยนี้ดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) และดนตรี ศาสนา (Sacred Music) มีความสำคัญเท่ากัน
5. เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีสมัยรีเนซองส์ - เครื่องดนตรีในสมัยนี้ที่นิยมใช้กันได้แก่ เครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชัก ได้แก่ ซอวิโอล ซอรีเบค ลูท เวอร์จินัล และ ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ เป็นต้น ภาพตัวอย่างของลูท (lute)
6. คีตกวีคนสำคัญของยุค 1. ดันสเตเบิล (John Dunstable, ประมาณ 1390 –1453) ผู้ประพันธ์เพลงชาวอังกฤษ ซึ่งนอกจากมีชื่อเสียงเรื่องการประพันธ์ เพลงแล้ว ยังเป็นนักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ อีกด้วย เป็นผู้ทำให้วงการดนตรีรู้จักและยกย่องดนตรีของชาวอังกฤษ รูปแบบดนตรีของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการดนตรี เขาคงความ มีชื่อเสียงได้จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1453 ผู้ประพันธ์เพลงที่รับเอาอิทธิพล ของดันสเตเบิลไว้ ได้แก่ แบงชัวส์ และดูเฟย์ และผู้ประพันธ์คนอื่น ๆ ที่ อยู่ในกลุ่มผู้ประพันธ์เพลงเบอกันดี (Burgandy) ดันสเตเบิลใช้รูปแบบการ ประสานเสียงที่ดนตรีมาตรฐานนิยมใช้ ไม่ว่าจะเป็น ในสมัยคลาสสิก โรแมนติก หรือเพลงสมัยนิยม ในขณะที่ดนตรีในสมัยนั้น โดยทั่ว ๆ ไปไม่นิยมการประสานเสียง ในลักษณะนี้เลย จึงกล่าวได้ว่าดันสเตเบิลเป็นบิดาของดนตรีสมัยใหม่ 2. ดูเฟย์(Guillianum Dufay ประมาณ 1400-1474) ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ดูเฟย์เป็นหนึ่งในจำนวนนักแต่งเพลง ที่มีความสามารถสูงในสมัยนี้เป็นหนึ่งของผู้ที่ริเริ่ม ดนตรีในสมัยรีเนซองส์ ผลงานของดูเฟย์ที่มีชื่อเสียงคือ เพลงแมส ซึ่ง ประพันธ์ไว้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีเพลงโมเต็ต ซึ่งจัดเป็นเพลงที่ดู เฟย์พัฒนารูปแบบไว้และผู้ประพันธ์เพลงรุ่นต่อมานำไปใช้ ในบรรดาลูก ศิษย์ของดูเฟย์มี ผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงในวงการดนตรีมาก คือ โอคิกัม
7. 3. โอคิกัม (Johannes Ockeghem, ประมาณ 1410-1497) ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ ลูกศิษย์ของดูเฟย์ ผู้ซึ่งรับเอาแนวคิด ของดูเฟย์มา และนำเอาหลักการและความคิดของตนใส่เข้าไปทำให้ดนตรี ของโอคิกัมมีเสน่ห์ชวนฟัง ได้รับฉายาว่า “เจ้าชายแห่งดนตรี” (The Prince of music) โอคีกัมพัฒนารูปแบบ ของการสอดประสานทำนองโดยเน้นการ ล้อกันของแนวเสียงแต่ละแนว (Imitative style) ซึ่งเป็นต้นแบบของฟิวก์อันเป็นรูปแบบที่สำคัญในสมัยบาโรก 4. จอสกิน เดอส์ เพรซ์ (Josquin des Prez, ประมาณ 1440 -1521) ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ผู้ที่ทำงานให้สันตะปาปา ชั่วระยะเวลา หนึ่ง และย้ายมารับใช้เจ้านายในราชสำนักฝรั่งเศสเป็นผู้ที่มีแนวการแต่ง เพลงที่ละเอียดอ่อน และเป็นผู้นำการแต่งเพลงประสานเสียงซึ่งทำให้ผู้ฟัง เห็นถึงความสดใสและความมีพลังของการขับร้อง แนวทางที่เขาใช้นี้รู้จักใน นามของ Musica reservata และยังมีคีตกวีคนอื่นๆที่มีความสำคัญในยุคสมัยเรเนสซองส์ เช่น โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis) ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi da Palestrina) เบิร์ด (William Byrd) และ มอนแทแวร์ดี (Claudio Monteverdi) เป็นต้น
8. ศิลปินของยุค เลโอนาร์โด ดี แซร์ ปีเอโร ดา วินชี ( Leonardo di ser Piero da Vinci ) เป็นผู้รอบรู้ชาวอิตาลีแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาชั้นสูงที่มีบทบาทเป็นทั้ง จิตรกร, นักวาด, วิศวกร, นักวิทยาศาสตร์, นักทฤษฎี, ประติมากร และ สถาปนิก ในขณะที่ชื่อเสียงของเขาโดยทั่วไปขึ้นกับความสำเร็จในฐานะ จิตรกร เขาเป็นที่รู้จักจากสมุดบันทึกของเขา ซึ่งเขาได้วาดภาพและจด บันทึกในหัวข้อต่างๆ มากมาย รวมถึงกายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ พฤกษศาสตร์ การทำแผนที่ ภาพวาด และซากดึกดำบรรพ์ ความอัจฉริยะ เลโอนาร์โดแสดงให้เห็นถึงอุดมคติของมนุษยนิยมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มีเกลันเจโล หรือที่มักรู้จักกันในชื่อ ไมเคิลแองเจโล ( Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni ) เขาเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ หลังจากที่ไปอยู่ที่กรุงโรมเมื่ออายุ 21 ปี และใช้ ชีวิตอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี มีเกลันเจโลสร้างประติมากรรมรูปสลัก ดาวิด (มีเกลัน เจโล) ขณะมีอายุ 26 ปี จากหินอ่อนก้อนมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมือง ฟลอเรนซ์เป็นเวลาหลายปี จึงกลายเป็นที่ฮือฮาของชาวเมือง ด้วยเหตุผลที่ ว่า ไม่มีใครกล้าพอที่จะแตะต้องมัน ความสำเร็จหลังจากงานชิ้นนี้ ทำให้ชื่อ เสียงของเขาโด่งดังไปทั่วอิตาลี
9. โดนาเตลโล ( Donatello หรือ Donato di Niccolò di Betto Bardi ) โดนาเตลโลเป็นลูกของพ่อค้าขนแกะนิกโกเลาะ ดี เบตโต บาร์ดี ผู้เป็นสมาชิก ของสมาคมพ่อค้าขนแกะแห่งฟลอเรนซ์ที่เกิดที่งฟลอเรนซ์ราวปี ค.ศ. 1386 โดนาเตลโลได้รับการศึกษาภายในบ้านของตระกูลมาร์เตลลี และการศึกษา เบื้องต้นจากห้องศิลป์ของช่างทอง และต่อมาก็ได้ฝึกงานอยู่ชั่วระยะเวลา หนึ่งกับ โลเรนโซ กีแบร์ตี ขณะที่ร่ำเรียนและทำงานขุดค้นอยู่กับ ฟีลิปโป บรูเนลเลสกี ใน กรุงโรม ระหว่าง ค.ศ. 1404 ถึง ค.ศ. 1407 ศิลปินสองคนนี้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักล่าสมบัติ โดนาเตลโลหากินโดยการทำงานกับร้านช่างทอง การทำงานในกรุงโรมเป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของการ วิวัฒนาการทั้งหลายของศิลปะอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เพราะในช่วงนี้ เองที่บรูเนลเลสกีทำการวัดโดมของ ตึกแพนธีอัน และสิ่งก่อสร้างโรมันอื่น ๆ ราฟาเอลหรือ รัฟฟาเอลโล ซานซีโอ ดา อูร์บีโน ( Raffaello Sanzio da Urbino) เป็นจิตรกรชาวอิตาลีที่มีอาวุโสน้อยที่สุดในบรรดาจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ในสมัย ฟื้นฟูศิลปวิทยา โดยมีอายุน้อยกว่าเลโอนาร์โด ดา วินชี 31 ปี และอ่อนกว่ามี เกลันเจโล บัวนาร์โรตี 8 ปีงานจิตรกรรมของราฟาเอลในระยะหลังมีความ เรียบง่ายและมีความใหญ่โตมากขึ้น แต่ยังคงรักษาความมีชีวิตชีวาของงาน ยุคต้นของตนเองไว้ได้ งานของราฟาเอลที่แสดงถึงความงามของผู้หญิงนับ ได้ว่าเป็นผลงานที่มีอิทธิพลต่อศิลปินกลุ่มสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกรีกโรมัน (Neo-Classical architecture) เป็นอย่างมาก
10. อเลสซันโดร ดี มารีอาโน ดี วันนี ฟีลีเปปี หรือเรียกสั้น ๆ ว่า บอตตีเชลลี ( Alessandro di Mariano di Vanni Filipepi หรือเรียกย่อว่า Il Botticello ) เป็นจิตรกรชาวอิตาลีแห่งสกุลช่างเขียนแห่งฟลอเรนซ์ระหว่างสมัยฟื้นฟู ศิลปวิทยาตอนต้น เพียงไม่ถึงร้อยปึต่อมาวิธีการเขียนของสกุลช่างนี้ (ภายใต้ การอุปถัมภ์ของโลเรนโซ เด เมดีชี) ก็ถูกจัดโดยจอร์โจ วาซารีให้เป็น “ยุคทอง” ในบทนำของหนังสือ “ชีวิตศิลปิน” และยังมีศิลปินคนอื่นที่่ยังไม่ได้กลายถึงอีกหลายคน
11. ภาพผนวก วิทรูเวียนแมน ดาวิด (มีเกลันเจโล)
12. เครื่องดนตรีลูท ( lute ) เครื่องดนตรีรีคอดเดอรื ( Recorder )
13. อาหารค่ำมื้อสุดท้าย จิตรกรรมฝาผนังโดย เลโอนาร์โด ดา วินชี เพดานโบสถ์น้อยซิสทีน จิตรกรรมฝาผนังโดย มีเกลันเจโล การสร้างอาดัม จิตรกรรมฝาผนังโดย มีเกลันเจโล
ยุคเรเนสซองส์ the golden age of polyphony จัดทำโดย อัจฉรียา โสดาจันทร์ Autchareeya sodajun ศุภาวิณี พุทรขันธ์ Supawinee phutthakhun ภูมิรัตน์ บุสหงษ์ Phumirat bussahong ณัฐพล คำสังวาลย์ Nattaphon khamsangwan ณัฐวัฒน์ จันทอง Nattawat chanthong Present to คุณครู อรรถชัย สายสั้น Teacher Autthachai Saisan
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: