Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บันทึกการเรียนรู้

บันทึกการเรียนรู้

Published by Titaree Thongpu, 2021-04-29 15:58:28

Description: นายอภิสิทธ์ เครือบุดดี รหัส 62115239215

Search

Read the Text Version

หลักสตู รคณะครุศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชนั ปที 2 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร

คํานํา บนั ทึกการเรยี นรูฉ้ บบั นเี ปนสว่ นหนงึ ของรายวชิ าการวดั และการประเมนิ การศึกษาและการ เรยี นรู้ โดยมจี ุดประสงค์เพอื การศึกษาความรูท้ ีได้จาก การเรยี นแล้วนาํ มาสรุปเนอื หารวบ ยอดเพอื ให้ง่ายต่อการศึกษาด้วยตนเอง ทังนใี นบนั ทึกการเรยี นรูน้ มี เี นอื หาประกอบทังหมด 16 หนว่ ยการเรยี นรู้ ผ้จู ัดทําขอขอบพระคณุ รองศาสตราจารย์ ดร.สาํ ราญ กําจัดภัย ผ้ใู ห้ความรูแ้ ละแนวทาง การศึกษา และหวงั เปนอยา่ งยงิ วา่ บนั ทึกการเรยี นรูฉ้ บบั นจี ะให้ความรู้ และเปนประโยชนแ์ ก่ผู้ ศึกษาทกุ ๆท่าน หากมขี อ้ เสนอแนะประการใด ผ้จู ัดทําขอรบั ไวด้ ้วยความขอบพระคณุ อยา่ งยงิ

เสนอ ผูส้ อน รองศาสตราจารย์ ดร.สาํ ราญ กําจัดภัย สาขาวชิ า/โปรแกรม : วจิ ัยและประเมนิ ผลการศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ ตําแหน่งปจจบุ นั : ประธานคณะกรรมการบรหิ ารหลักสูตรดุษฎีบณั ฑิต สาขาวจิ ัยหลักสูตรและการสอน

โดย นายอภิสทิ ธ์ เครอื บุดดี ชอื เล่น ฟว ปจจบุ นั เปนศกึ ษาสาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชนั ปที 2 รหัสนักศกึ ษา 62115239215

สารบญั 1. คํานํา 6. ใบสญั ญาการเรยี น 2. สารบญั 3. แนะนําเจ้าของผลงาน 4. บนั ทึกหน่วยการเรยี นรู้ 16 หน่วย 5. สะท้อนความรสู้ กึ

แนะนําเจา้ ของผลงาน นายอภิสทิ ธ์ เครอื บุดดี ชอื เล่น ฟว ปจจุบนั เปนศึกษาสาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชนั ปที 2 รหัสนักศึกษา 62115239215 นิสยั : ขยนั มองโลกในแง่ดี ชอบคยุ งานอดิเรก : อ่านหนังสอื เล่นเกม เล่นดนตรี คติ : ฝนให้ไกลแล้วไปถึง

16 หน่วยการเรยี นรู้ 2 1 แนวคิดเบอื งต้นเกียวกับ การวดั และประเมนิ ผล แนวคิดเกียวกับการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ 3 4 ความสาํ คัญ ประเภท หลัก การวดั และประเมนิ ผลการ การ และจดุ มุง่ หมายของการ เรยี นรู้ โดยใชแ้ บบทดสอบ วดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้

16 หน่วยการเรยี นรู้ แบบทดสอบปรนัยชนิดถูก ผดิ 5 แบบทดสอบปรนัยชนิดจับ-คู่ 6 แบบทดสอบปรนัยชนิดเติมคําและชนิดแบบตอบสนั 7 แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 8

16 หน่วยการเรยี นรู้ 9 10 การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ 11 12 การวเิ คราะห์ตัวชวี ดั สูก่ ารออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ การออกแบบหน่วยการเรยี นรอู้ งิ มาตรฐาน โดยใชก้ ระบวนการออกแบบยอ้ นกลับ การประเมนิ จากการสอื สารระหวา่ งบุคคล

16 หน่วยการเรยี นรู้ การประเมนิ การปฏิบตั ิ 13 การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในชนั เรยี น 14 การใชร้ บู กิ สใ์ นการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 15 การประเมนิ โดยใชแ้ ฟมสะสมผลงาน 16

-การ-พเปฤลตยี ิกนรแรมปลง - การ-ไคด่อ้รบันปขา้ระงถสาบวกรารณ์ การเรยี นรู(้ Learning) หมายถึง “การ ด้านจิตพิสัย ด้านทักษะพิสัย เปลยี นแปลงพฤติกรรมทคี ่อนข้างถาวร ทักษะของ Dave 5 ขัน อันเนืองมาจากการได้รบั ประสบการณ์” แนวคิดเกยี วกับการเรยี นรู้ -รบั รู้ Simpson! ด้านพุทธพิสัยของ Bloom -ลงมือปฏิบัติ จําแนกออกเปน 6 ระดับ -ลดความผิดพลาด -การรบั รู้ -ความรู้ ความจํา -ปฏิบัติได้อยา่ งชัดเจน -การเตรยี มความพรอ้ มทจี ะกระทํา -ความเข้าใจ การตคี วาม -ปฏิบัติได้อยา่ งเปนธรรมชาติ -การตอบสนองตามแนวชแี นะครู -การนําไปใช้ -การปฏิบัติด้วยความเชือมันตัวเอง -การวิเคราะห์เรอื งราว -การตอบสนองขันตอนทซี ับซ้อน -การสังเคราะห์ให้ดขี ึน -การดัดแปลงวิธเี ดิมให้มปี ระสิทธิภาพยิงขึน -การประเมินค่า -การเิ รมิ ปลผลงานใหม่ ด้วยวิธกี ารคิดค้นขึนใหม่

มขี ันตอนเหมือนกันคือ การเก็บรวบรวมข้อมูลและการจัดการกระทําหรอื วิเคราะห์ขอ้ มูล การประเมินผลการเรยี นรู้ คือ Evalution คือ การตัดสินคุณค่า กระบวนการตัดสินคุณค่าหรอื Assesment คือ กระบวนการรวบรวมข้อมูลเพือนําไปใช้ในการประเมินผล คุณภาพเกยี วกับการเรยี นของผู้ เรยี นและผู้ตัดสินคุณค่านคี ือผู้ ประเมินหรอื ครูผู้สอน การวัดผลการเรยี นรูม้ อี งค์ประกอบทสี าํ คัญ Formative คือ ดําเนินการจัดการ แนวคิดเบอื งต้นเกียวกับการวดั และ ได้แก่ เรยี นการสอนอยา่ งต่อเนือง ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ - สงิ ทตี ้องการวัด การเรยี นรูต้ ามเปาหมายที Summative คือ การจัดการเรยี น กําหนดไว้ การสอนเพือหาข้อสรุป - วิธกี ารและเครอื งมอื ทใี ชว้ ัด เชน่ การทดสอบ - ขอ้ มลู เปนตัวเลขคะแนนจากแบบทดสอบหรอื คณุ ภาพชนิ งาน การวัดผลทางตรง คือ สามารถวัดสงิ ทตี ้องการวัด มี 4 ระดับ ในมาตรการวัดผล ได้โดยตรงจรงิ เชน่ วัดนาหนักนักเรยี น 1. ระดับนามบัญญัติ ใช้จําแนกสิงทตี ้องการวัดผลออกเปน การวัดทางอ้อม คือ ไมส่ ามารถวัดสงิ ทตี ้องการได้ ประเภท เชน่ อาชพี ของบิดา หมูเ่ ลือด โดยตรง เชน่ การวัดวินัยของนักเรยี น จึง ต้องกําหนดตัว 2. วัดผลเรยี งละดับ โดยการเปรยี บเทยี บ มากไปน้อย สูงไปตา บง่ ชอี อกมาทสี ามารถวัดหรอื สงั เกตได้ 3. ระดับอันตรภาค คือการวัดไมม่ ศี ูนย์แท้ เชน่ การได้คะแนน 0 ไมไ่ ด้บง่ บอกว่าไมม่ คี วามรูเ้ ลย 4. ระดับอัตราสว่ น เปนระดับทมี ี 0 แท้ เชน่ นาหนัก ความสูง อายุ

12..3สก.ถามารกีนวาศัดรกึแวษลัดะาแรปลว่ ระมะปกเรมับะนิ ผเมมจทู้ จีนิัดเี ุกดผกยีมลาหวงุ่รคลขหเรักณุ อ้มยี กงาลนารยักกรว่ เษาพมรณกอื สันพะอปอฒั นรันนะรพอาเมงึ แบปนิ ลดรผะ้าะตเู้นสรัดยีงสคนนิ ์ กผรละกบาวรนเรกยี านร จุดมุง่ หมายของการวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้ -โดยมบี ทบาทเพือตรวจสอบผลการปฏิบัติในด้านผู้เรยี น และด้านผู้สอนตลอด ทังหลักสูตร -การวัดและประเมินผลมจี ุดมุง่ หมายเพือตรวจสอบผล และเปนผลย้อนกลับ เพือพัฒนา ปรบั ปรุงในกระบวนการจัดการเรยี นการสอน ประเภท ความสาํ คัญ ประเภท หลักการ กําหนดระดับของการดําเนินงานวัดและประเมินผล 1. การวัดและประเมินผล การเรยี นรูต้ ามขันตอนการจัดการ และจดุ มุง่ หมายของการวดั ไว้ 4 ระดับ คือ ระดับชันเรยี นระดับสถานศกึ ษา และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ระดับเขตพืนทกี ารศกึ ษา และระดับชาติ เรยี นการสอน ก่อนเรยี น ระหว่างเรยี น และหลังเรยี น 2. การวัดและการประเมินผลจําแนกตามวิธกี ารแปลความ หมายผลการเรยี นรู้ หรอื ตามอ้างอิง ผู้เรยี น ความสาํ คัญ ผู้สอน 1. ผู้สอนแจ้งเนือหาให้ผู้เรยี นทราบ เพือเตรยี มความพรอ้ มในการประเมิน 1. การวัดและประเมินผลการเรยี นก่อนเรยี นทําใหผ้ ู้สอนได้ทราบข้อมูลพืนฐาน ภาพรวมของผู้ 2. ผู้สอนประเมินแล้วสง่ ข้อมูลย้อนหลับใหผ้ ู้เรยี นได้รบั ทราบ จากนันผู้เรยี นนําข้อ เรยี นเปนรายบุคคล หรอื ชันเรยี น เพือเปนแนวทางในการจัดการเรยี นการสอน บกพรอ่ งไปดําเนินแก้ไขปรบั ปรุง 2. การวัดและประเมินผลระหว่างเรยี น ทําให้ผู้สอนได้ทราบถึง ผู้เรยี นแต่ละคนมพี ฒั นาการใน 3. เมือผู้สอนวัดและประเมินผลสรุปผลการเรยี นรูแ้ ล้วแจ้งใหผ้ ู้เรยี นทราบ ว่าตัวเอง ด้านใด และทสี ําคัญทสี ุดคือได้ข้อมูลจุดเด่น และจุดทคี วรปรบั ปรุงเพือให้ข้อมูลย้อนกลับ ผา่ นเกณฑ์หรอื ไม่ อยูใ่ นระดับไหน เพือเปนประโยชน์ในการปรบั ปรุงในบทต่อๆไป นักเรยี น เพือนําไปปรบั ปรุงและพัฒนาให้ดยี ิงขึน หลังจากจบรายวิชาเพือตัดเกรดก็จะทําใหผ้ ู้เรยี นทราบว่า ตลอด 1 ภาคเรยี นผลการ เรยี นอยูใ่ นระดับใด อันจะเปนประโยชน์ต่อการวางแผนหรอื แรงจูงใจในการเรยี นราย 3. การวัดและประเมินหลังเรยี น จะทําให้ผู้สอนได้ทราบว่าแต่ละคนบรรลุเปาหมายในบทเรยี น นันๆหรอื ไม่ เพือจะได้นําไปปรบั ปรุงแก้ไข ก่อนจะเรมิ ขึนบทเรยี นอืน เพือใหก้ ารสอนมี วิชาอืนๆ ในภาคเรยี นต่อๆไป ประสิทธิภาพยิงขึนหลังเรยี นจบรายวิชานันๆ ประเมินเพือตัดเกรด ก็จะทําใหผ้ ู้สอนได้ทราบ ว่าตลอดภาคเรยี นผลการเรยี นรูข้ องผู้เรยี นอยูใ่ นระดับใด

แนวทางการใหค้ ะแนน 1. สรา้ งเกณฑ์การใหค้ ะแนน Rubrics อยา่ งละเอยี ดชดั เจน 2. ผตู้ รวจไมล่ ําเอยี งหรอื มอี คติในการตรวจ 3. ผตู้ รวจควรตรวจทลี ะขอ้ คําถามของทกุ คนใหเ้ สรจ็ เชน่ ตรวจขอ้ 1 ทกุ คนก่อนยา้ ยไปขอ้ 2 เพอื ไมใ่ หเ้ กิดความสบั สน 4. ในกรณมี ผี ตู้ รวจหลายคน ควรแบง่ กันคนละ 2 ขอ้ และขอ้ เดยี วกันเพราะมาตรฐานของผตู้ รวจแต่ละคนไมเ่ ท่ากัน เมอื ตรวจเสรจ็ ค่อยนําคะแนนของแต่ละคนมารวมกัน 5. ในการตรวจแต่ละขอ้ ผตู้ รวจต้องรกั ษาความคงเสน้ คงวา เก็บรวบรวมความผดิ พลาด ซงึ บางทอี าจจําเปนต้องมกี าร ตรวจซา เพอื ใหม้ นั ใจได้ว่ามกี ารหกั คะแนนของทกุ คนอยา่ งเปนธรรมและสอดคล้องกัน หลักการหรอื แนวทางในการในการสรา้ งแบบทดสอบความเรยี ง การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรโู้ ดย -เลือกและกําหนดข้อสอบ ใชแ้ บบทดสอบ —เขยี นข้อคําถามโดยใช้ถ้อยคําชัดเจน ไมย่ าวมาก โดยระบุบง่ ชี เฉพาะเจาะจงโดยเขยี นคําถามเปนประโยคคําสัง -ระบุเกณฑ์การให้คะแนนอยา่ งชัดเจน -มกี ารทบทวนคําตอบก่อนนําไปใช้ แบบทดสอบความเรยี ง หรอื แบบทดสอบแบบอัตนัย เปนชุดคําถามทผี ู้สอนกําหนดขึนเพือให้ผู้เรยี นเขยี นเรยี บเรยี งคําตอบอยา่ ง จุดแข็ง สามารถวัดสิงทตี ้องการสัดได้อยา่ งลึกซึง อิสระ โดยใช้ความรู้ ความสามารถในการคิดระดับ สูง จุดอ่อน การให้คะแนนคําตอบ ต้องกําหนดเกณฑ์หรอื แนวทางการให้คะแนน อยา่ งชัดเจน

หลักการ หรอื แนวทางในการสรา้ ง - เขยี นคําชแี จงให้ชัดเจน เชน่ ให้ตอบว่า ถูกหรอื ผิด - ข้อความทเี ปนสถานการณ์จะต้องถูกหรอื ผิดอยา่ งแท้จรงิ ไมม่ ขี ้อยกเว้น - เขยี นคําถามสถานการณ์ด้วยภาษาทเี รยี บง่าย เพือใหผ้ ู้อ่านเข้าใจตรงกัน -แต่ละข้อคําถามให้ข้อมูลทเี พยี งพอ เพือชว่ ยในการตัดสินใจ -หลกี เลยี งการลอกข้อคําถามมาจากหนังสือ เพราะจะทําให้ผู้เรยี นจํามากกว่าทําความเข้าใจ -ควรหลกี เลยี งคําบางคําทเี ปนเครอื งชคี ําตอบ และการตังคําถามซ้อนทสี ง่ ผลในขอ้ ต่อไป - คําตอบของข้อคําถามควรถูกผิดตามหลักวิชาไมใ่ ชต่ ามความคิดเหน็ - ข้อถูกผิดควรกระจาย ไมร่ วมกลุ่มกันเพือลดความคาดเดาได้ง่าย ข้อถูกผิดควรอยูร่ ะหว่าง 40-60% - ควรหลกี เลยี งคําศพั ท์ทผี ู้เรยี นไมค่ ุ้นเคย หรอื ไมเ่ หมาะสมกับวัยของผู้เรยี น ในกรณที ขี ้อสอบหลายประเภทอยูฉ่ บับเดยี วกัน ควร แบบทดสอบปรนัยชนิดถูก ผดิ จัดข้อสอบถูก-ผิดไว้ตอนต้นๆ เพราะเปนข้อสอบที ค่อนข้างง่าย เรา้ ให้ผู้เรยี นอยากทําข้อต่อๆไป เพือให้ผู้เรยี นพิจารณาว่าข้อความนัน ‘’ถูก-ผิด’’,\"จรงิ -ไมจ่ รงิ ”,\"ใช-่ ไมใ่ ช”่ แบบทดสอบประเภทนี มปี ระโยชน์เพือให้ผู้เรยี นสามารถ ทจี ะแยกแยะข้อเท็จจรงิ ออกจากความคิดเหน็ และระบุ ข้อเท็จจรงิ ว่า ถูกหรอื ผิดตามหลักวิชาการ

แบบทดสอบปรนัยชนิดจับคู่ มักจะวางกลุ่มคํา วลี ตัวเลข หรอื สัญลักษณ์ไว้เปน 2 คอลัมน์ คอมลัมน์ซ้ายและขวา โดยทคี อลัมน์ซ้าย จะวางกลุ่มคําตอบ สว่ นคอลัมน์ขวา จะวางคํา หรอื วลี ทเี กยี วขอ้ งกับกล่มุ คําตอบ แบบทดสอบปรนัยชนิดจับคู่ หลักการหรอื แนวทางในการสรา้ ง 1. คํา วลี ใน 2 คอลัมน์ควรเปนเรอื งราวและเนือหาเดยี วกัน 2. เขยี นคําชแี จงใหช้ ดั เจนในการจับค่รู ะหว่างชุดคําถามกับคําตอบ 3. ควรทบทวนชุดคําถามและคําตอบ ไมไ่ ด้ชแี นะคําตอบอยา่ งชดั เจน และเพมิ จํานวนรายการคําตอบเพอื ลดโอกาสการคาดเดา 4. ควรมจี ํานวนขอ้ คําถาม 5-8 ขอ้ หรอื มากสดุ ไมค่ วรเกิน 10 ขอ้ 5. เรยี งลําดับรายการขอ้ คําตอบ ทอี ยูท่ างขวามอื เชน่ เรยี งจํานวนน้อยไปมาก หรอื เรยี งตามตัวอักษร สว่ นรายการขอ้ คําถามทอี ยูท่ างซา้ ย มอื ควรจัดใหก้ ระจายไมต่ รงกับขอ้ คําตอบ 6. รายการขอ้ คําถามและขอ้ คําตอบในหนึงชุดควร จัดใหอ้ ยูใ่ นหน้าเดยี วกัน เพราะจะทําใหผ้ เู้ รยี นไมเ่ สยี เวลาในการพลิกกลับไปมา จนเกิด ความสบั สน หรอื เบอื หน่าย

แบบทดสอบชนิดเติมคําทใี ห้ผู้เรยี นคิดหาคําตอบ เปน คํา วลหี รอื หลักการ ประโยคแล้วเขยี นคําตอบนันลงในชอ่ งว่างต่อจากข้อความทเี ขยี น -ให้ข้อแนะนําในการตอบข้อสอบอย่างชัดเจน -เขยี นประโยคคําถามชัดเจน และคําตอบทถี ูกต้องเพยี งคําตอบเดยี ว ค้างไว้ เพือให้เปนข้อความทถี ูกต้องสมบูรณ์ -ประโยคคําถามสรา้ งขึนใหม่ ไมค่ วรเอามาจากหนังสือหรอื ตํารา -เว้นชอ่ งว่างเติมคําตอบทเี พยี งพอในการเขยี นคําตอบทคี าดหวัง - ข้อคําถามควรเปนเรอื งทสี ําคัญของบทเรยี น สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ของการเรยี นรู้ แบบทดสอบปรนัยชนิดเติมคําและชนิดแบบตอบสนั แบบทดสอบชนิดตอบสัน เปนแบบทดสอบใหผ้ ู้เรยี นตอบ หลักการ ทอี ยูใ่ นรูปประโยคคําถามหรอื คําสัง โดยมักจะจัดเนือหา - ให้ข้อแนะนําในการตอบข้อสอบอยา่ งชดั เจน -เขยี นข้อคําถามชัดเจนในรูปประโยคคําถามหรอื คําสัง ข้อเท็จจรงิ ต่างๆ -ข้อคําถามควรให้มคี ําตอบถูกเพยี งคําตอบเดยี ว และ เชน่ สมการเสน้ ตรง 6x-2y+5 = 0 สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรยี นรู้ ตอบ 3 -ผู้สอนควรประยุกต์ข้อคําถามให้วัดสติปญญาในระดับสูง กว่าความรูค้ วามจําด้วย

หลักการหรอื แนวทางในการสรา้ ง เชน่ สัตว์อะไรมปี ก -วิเคราะห์หลักสูตร เนือหาและตัวชวี ัดทตี ้องการวัดและ ก. นก ข. ไก่ ประเมินผล ค.สุนัข ง. เหยยี ว -เลือกตัวชวี ัดทเี หมาะสมสําหรบั การออกแบบข้อสอบ -กําหนดนาหนักคะแนนของแต่ละตัวชวี ัด -กําหนดจํานวนข้อสอบแต่ละตัวชวี ัด -ดําเนินการสรา้ งข้อสอบตามแผนทวี างไว้ ประกอบด้วย 2 สว่ นได้แก่ 1. สว่ นของคําถามนําหรอื คําถามหลัก เขยี นได้ 2 รูปแบบ คือ เขยี น เปนคําถามโดยตรง กับ เขยี นเปนประโยคหรอื ขอ้ ความทไี มส่ มบูรณ์ 2. สว่ นของตัวเลือกมี 2 ชนิด คือ ตัวเลือกทเี ปนคําตอบถกู และตัว เลือกทเี ปนคําตอบผดิ หรอื ตัวลวง แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ หลักการสรา้ งปรนัยชนิดเลือกตอบ ขอ้ สอบแบบเลือกตอบทนี ิยมใชม้ ี 3 แบบ -เขยี นขอ้ คําถามกระชบั รดั กมุ ชดั เจน มขี อ้ มลู เพยี งพอสาํ หรบั การตอบคําถามได้ 1. แบบคําถามเดยี วคือมคี ําถามและตัวเลือกทสี มบูรณ์ในขอ้ นัน -ควรมจี ํานวนตัวเลือกอยูใ่ นชว่ ง 3-5 ตัวเลือก แต่โดยทัวไปนิยม 4 ตัวเลือก 2. แบบตัวเลือกคงทเี ปนขอ้ สอบทกี ําหนดตัวเลือกไว้ 1 ชุด ใช้ -ควรจัดลําดับคําตอบเพอื ใหผ้ เู้ รยี น อ่านสะดวกเชน่ เรยี งตามลําดับตัวอักษรหรอื ตัวเลขมากไปน้อย -หลกี เลยี งคําถามจากหนังสอื เน้นไปทกี ารประยุกต์ใชค้ วามรูม้ ากกว่าระดับความจํา สาํ หรบั ตอบคําถามมากกว่า 1 ขอ้ -หลกี เลยี งคําถามเชงิ ลบ เชน่ ไม่ น้อยทสี ดุ ยกเว้น ไมเ่ คย ไมถ่ ูกต้อง 3. แบบสถานการณ์ ขอ้ สอบทใี ชก้ ําหนดสถานการณ์ต่างๆประกอบ -ต้องแน่ใจว่าขอ้ สอบขอ้ หนึงๆมคี ําตอบทถี กู ต้องเพยี งตัวเดยี ว พจิ ารณาในการตอบคําถาม อาจอยูใ่ นรูป ขอ้ ความ ภาพ หรอื ตาราง -ต้องมนั ใจว่าไมม่ ขี อ้ สอบขอ้ ใดขอ้ หนึงไปชแี นะคําตอบ - ควรเลือกตัวลวงทมี ปี ระสทิ ธิภาพ -หลกี เลยี งการใชค้ ําตอบผดิ ทกุ ขอ้ -พจิ ารณาวางแผนใหร้ อบคอบ เกยี วกับเนือหา จํานวนขอ้ เวลา และความชดั เจนในการชแี จงขอ้ สอบ

การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ เกณฑ์ใช้ประเมินคุณภาพของแบบทดสอบ ความเทยี งตรง,ความเปนปรนัย,ความยาก,อํานาจจําแนก และความเชือมัน ความเทยี งตรง เปนเครอื งมอื วัดผลเพอื วัดระดับ ความเปนปรนัย บง่ บอกว่าขอ้ สอบชุดนันมคี วามชดั แจ้งใน ความยากรายขอ้ สญั ลักษณ์ทใี ชค้ ือ p คณุ ภาพแบง่ เปน 3 ประเภท 1) ความเทยี งตรงตาม การเขยี นคําชแี จงหรอื คําถาม หรอื การตรวจใหค้ ะแนน P =R/N เนือหา 2) ความเทยี งตรงตามโครงสรา้ ง 3)ความเทยี ง ตรงเกณฑ์สมั พนั ธ์ โดยแบง่ เปน 2 ประเภทยอ่ ยได้แก่ P เขา้ ใกล้1 จะง่าย แต่เขา้ ใกล้ 0 จะยาก แต่ถ้าเขา้ ใกล้ ความเทยี งตรงตามสภาพ ความเทยี งตรงตามพยากรณ์ 0.5 จะดมี าก อํานาจจําแนกรายขอ้ 1) กรณที ดสอบแบบอิงกล่มุ สญั ลักษณ์ทใี ช้ r หรอื D หมายถึงระดับคณุ ภาพแต่ละขอ้ ของแบบทดสอบแยกคนออกเปน 2 กล่มุ โดยแบง่ กล่มุ สงู กับกล่มุ ตา ความเชอื มนั ของแบบทดสอบ บง่ บอกว่าแบบทดสอบ ฉบบั นสี ามารถวัดคณุ ลักษณะทตี ้องการวัดได้คงเสน้ คงวา r= (RH-RL)/RH วิเคราะหค์ ณุ ภาพของแบบทดสอบและ r ยงิ เขา้ ใกล้1 ยงิ จําแนกดี แต่เขา้ ใกล้ 0 อํานาจจําแนกไมด่ ี ค่าดัชนที เี หมาะสมคือ p แบบสอบถามโดยใชโ้ ปรแกรม SPSS มากกว่าหรอื เท่ากับ 0.20 หรอื pน้อยกว่าหรอื เท่ากับ 1.00 2) กรณแี บบทดสอบอิงเกณฑ์ มกี ารใหค้ ะแนนแต่ละขอ้ เปน 0 กับ 1 นิยมใชว้ ิธขี อง Brennan

ประเภทของตัวชวี ัด ตามแนวคิดของ stiggins ตัวชวี ัด หมายถึง สงิ ทพี งึ รู้ พงึ ปฏิบตั ิรวมถึงคณุ ลักษณะของผเู้ รยี นในแต่ละระดับชนั - ตัวชวี ัดด้านความรูค้ วามเขา้ ใจ ขอ้ เท็จจรงิ กฏเกณฑ์ วิธกี าร อธิบาย เปนเกณฑ์วัดและประเมนิ ผลเพอื ตรวจสอบคณุ ภาพผเู้ รยี น - ตัวชวี ัดด้านการคิดอยา่ งมเี หตผุ ล ได้แก่ การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมนิ ค่า - ตัวชวี ัดด้านทักษะการปฏิบตั ิ เชน่ สงั เกต ทดลอง อ่าน พดู - ตัวชวี ัดด้านผลผลิต เพอื สรา้ งผลผลิตเปนรูปธรรม เชน่ การออกแบบ สรา้ งผลิต วาด จัดนิทรรศการ - ตัวชวี ัดด้านจิตพสิ ยั เชน่ ความรูส้ กึ ทัศนคติต่างๆ การกําหนดหลักฐานการเรยี นรู้ จําแนกได้ 2 ประเภทดังนี 1) ผลผลิต 2) ผลการปฏิบตั ิ มาตรฐานการเรยี นรูห้ มายถึง สงิ ทใี หท้ ราบว่าต้องการสอนอะไร อยา่ งไร ประเมนิ อยา่ งไร การวเิ คราะห์ตัวชวี ดั สูก่ ารออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ วิธกี ารวิเคราะหต์ ัวชวี ัดเพอื การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ ขนั ที 1 ค้นหาคําสาํ คัญ พฤติกรรมทกี ําหนดไว้ในตัวชวี ัด เชน่ เขา้ ใจ อธิบาย พฤติกรรมเหล่านจี ะบง่ บอกไว้ในตัวชวี ัด ขนั ท2ี กําหนดหลักฐานการเรยี นรู้ ขนั ที 3 กําหนดวิธกี ารวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ใหพ้ จิ ารณาคําสาํ คัญประกอบกับสาระการเรยี นรู้ ว่าควรใชว้ ิธกี ารวัดและประเมนิ ผลแบบใด ขนั ที 4 กําหนดเครอื งมอื ทใี ชว้ ัด ขนั ที 5 กําหนดกิจกรรมการเรยี นรูห้ รอื วิธกี ารจัดการเรยี นการสอน ทไี ด้ระบุไว้ในขนั ที 2

คือ เปนการวางแผนและจัดทําหน่วยการเรยี นรู้ โดยมมี าตรฐาน องค์ประกอบ 1) ชือหน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรูแ้ ละตัวชวี ัด เปนเปาหมายสําคัญของการเรยี นรู้ ซึง 2) มาตรฐานและตัวชวี ัด หรอื ผลการเรยี นรูใ้ นวิชาเพิม ในการออกแบบจะต้องมกี ารวิเคราะห์เชือมโยงมาตรฐานและตัวชี วัด สาระการเรยี นรู้ วิธกี ารจัดการเรยี นการสอน วิธกี ารวัดและ เติม 3) สาระสําคัญ ประเมินผลการเรยี นรูอ้ ยา่ งสัมพันธ์กัน 4) สาระการเรยี นรู้ 5) ชินงานหรอื ภาระงานทใี ห้ผู้เรยี นปฏิบัติ 6) วิธกี ารวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ 7) กิจกรรมการเรยี นรูห้ รอื วิธกี ารจัดการเรยี นการสอน 8) เวลาเรยี นและนาหนักคะแนนประจําหน่วยการเรยี นรู้ การออกแบบหน่วยการเรยี นรอู้ งิ มาตรฐานโดยใชก้ ระบวนการออกแบบยอ้ นกลับ ขันตอนการออกแบบ ขันตอนท1ี ระบุผลลัพธ์ทตี ้องการ หรอื ขันกําหนดเปาหมาย โดยต้องครอบคลุมทัง 3 ด้าน คือ 1)มคี วามเข้าใจทคี งทน 2) มจี ิตพิสัยหรอื คุณลักษณะทพี ึงประสงค์ 3)มที ักษะทจี ําเปนในลักษณะทัวไป ขันตอนท2ี กําหนดหลักฐานทผี ู้เรยี นได้บรรลุเปาหมายทพี ึงประสงค์ ได้แก่ ชินงาน ภาระงาน ขันตอนท3ี วางแผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรูห้ รอื การเรยี นการสอนเกยี วกับกิจกรรมการสอนและสือทใี ช้ประกอบ

การสอื สารระหว่างบุคคล คือ เปนกระบวนการแสดงปฏิกิรยิ าโต้ตอบ องค์ประกอบของการสอื สารระหว่างบุคคลมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ระหว่าง2คนหรอื มากกว่านันในชวี ิตประจําวัน 1.ผสู้ ง่ สาร บุคคลทที ําหน้าทสี ง่ ขา่ วสาร เพอื สอื ความรูส้ กึ ไปยงั ผรู้ บั สาร 2. สาร หมายถึงเรอื งราวต่างๆทผี สู้ ง่ สารต้องการสอื ใหผ้ รู้ บั สารอาจจะอยูใ่ นรูปแบบต่างๆ 3.สอื คือสงิ ทเี ปนพาหนะในการสง่ สาร เชน่ คําพดู สหี น้า ท่าทาง โทรทัศน์ เปนต้น 4. ผรู้ บั สาร หมายถึง กระบวนการเก็บรวบรวม วิเคราะห์ ตคี วามหรอื การแสดงปฏิกิรยิ าโต้ตอบระหว่างผสู้ อนกับผเู้ รยี น แล้วนําขอ้ มลู ทไี ด้มาปอนกลับ ปรบั ปรุงใหแ้ ก่ผเู้ รยี น การประเมนิ จากการสอื สารระหวา่ งบุคคล วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล แบง่ ประเภทต่างๆ ได้ดังนี 1. การตอบคําถามในชนั เรยี น เพอื ถามใหผ้ เู้ รยี นได้ตอบระหว่างการจัดกิจกรรมการ 4. การวัดจากการอภิปรายชนั เรยี น โดยดจู ากการทผี เู้ รยี นได้อภิปรายหน้าชนั เรยี น การแลก เรยี นการสอน โดยผสู้ อนจะต้องรบั ฟงคําตอบและแปลความหมายเพอื สรุปผลปอน เปลยี นความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ซงึ กันและกันในชนั เรยี น ตามประเด็นเนือหาทไี ด้ กลับ แล้วนํามาวางแผนปรบั ปรุงแก้ไขพฒั นาการจัดการเรยี นการสอน 2. วัดจากการพบปะพดู คยุ กับผเู้ รยี นเปนการเก็บรวบรวม วิเคราะห์ ตคี วาม บนั ทึก กําหนดไว้ตามวัตถปุ ระสงค์ อันนําไปสขู่ อ้ มลู ยอ้ นกลับ เพอื ประเมนิ สรุปผลในบทเรยี นนันๆ ขอ้ มลู จากการสนทนากับผเู้ รยี นอยา่ งมเี ปาหมายสาํ หรบั การเรยี นรูข้ องผเู้ รยี นซงึ อาจ 5. วิธกี ารสอบปากเปล่า ดําเนินได้ในระหว่างเรยี นหรอื หลังเรยี น โดยผสู้ อนสามารถนัดคยุ เปนรายบุคคล ราย 6. วัดจากการบนั ทึกเหตกุ ารณ์ของผเู้ รยี น ทเี กยี วขอ้ งทังนอกและในหอ้ งเรยี น การนําความรู้ กล่มุ หรอื ทังชนั เรยี นเพอื วินิจฉัยและนํามาไปวางแผนพฒั นาการเรยี นรูผ้ เู้ รยี นต่อไป ไปใชแ้ ก้สถานการณ์ต่างๆ 3. วัดจากการพดู คยุ กับผเู้ กยี วขอ้ งกับผเู้ รยี น หมายถึงคนทรี ูจ้ ักเปนอยา่ งดี สามารถให้ 7. วัดจากการตรวจการบา้ นหรอื แบบฝกหดั ประจําวัน ขอ้ มลู ผเู้ รยี นเกยี วกับพฤติกรรมในบางสว่ น หรอื รูม้ าบา้ งแต่ต้องการรายละเอยี ด เพมิ เติม เพอื ความถกู ต้อง เสรมิ ความมนั ใจในการลงสรุปผลการเรยี นรู้

หมายถึง กระบวนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เกยี วกับพฤติกรรมการเรยี นรูข้ องผเู้ รยี น ลักษณะสาํ คัญ ผา่ นการลงมอื ปฏิบตั ิจรงิ ตามภาระงานทผี สู้ อนได้ออกแบบไว้ แล้วนําขอ้ มลู มา -การประเมนิ ปฏิบตั ิต้องมภี าระงาน ใหผ้ เู้ รยี นได้ปฏิบตั ิจรงิ เชน่ ผลงานหรอื ชนิ งาน วิเคราะห์ โดยมงุ่ ประเมนิ ไปทที ักษะการปฏิบตั ิ ทักษะทางสมองและสติปญญา -การสงั เกตพฤติกรรมการเรยี นรู้ ทักษะสมอง ทักษะพสิ ยั การทํางาน บางงานอาจจะประเมนิ เกยี วกับเจตคติ - เน้นการประเมนิ กระบวนการปฏิบตั ิงาน ผสู้ อนหรอื ผปู้ ระเมนิ ต้องเผา้ สงั เกตดวู ่าผเู้ รยี น จะปฏิบตั ิงานทกี ําหนดได้หรอื ไมอ่ ยา่ งไร การประเมนิ การปฏิบตั ิ ขนั ตอน จุดแขง็ -การประเมนิ การปฏิบตั ิสามารถวัดความสามารถทไี มอ่ าจวัดได้โดยวิธอี ืน เชน่ การวาดภาพ ขนั ที 1 กําหนดจุดมงุ่ หมายของการประเมนิ การปฏิบตั ิ - ผเู้ รยี นจําเปนต้องบูรณาการสงิ ใหมๆ่ ได้ลงมอื ปฏิบตั ิภาระงานทซี บั ซอ้ น ขนั ที 2 กําหนดรายการทักษะ ความสามารถ ความรูแ้ ละ การประยุกต์ใช้ - การประเมนิ สง่ ผลใหก้ ารจัดการเรยี นการสอนได้ดกี ว่าการทดสอบเพยี งอยา่ งเดยี ว ขนั ที 3 ออกแบบงานหรอื ภาระงานใหผ้ เู้ รยี นได้ปฏิบตั ิ - การใชป้ ระเมนิ การปฏิบตั ิเปนการขยายวิธกี ารวัดและประเมนิ ผลของผเู้ รยี นทหี ลากหลาย ขนั ที 4 พฒั นาเกณฑ์การประเมนิ แต่ละงานโดยใช้ Rubrics เปนการใหค้ ะแนน ขนั ที 5 เลือกวิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู และเครอื งมอื ใช้ การตรวจผลงาน จุดอ่อน ขนั ที 6 จัดทําใบงานชแี จงอยา่ งชดั เจนถกู ต้อง -การประเมนิ ใหม้ ตี วามเชอื มนั และคงเสน้ คงวาค่อนขา้ งยาก ขนั ที 7 วางแผนและดําเนินลดความคลาดเคลือนในการใหค้ ะแนนหรอื ประเมนิ - การประเมนิ มกั มขี อ้ จํากัดหลายอยา่ ง เปนการยากในการสรุปอ้างอิง และค่อนขา้ งใชเ้ วลา คณุ ภาพผเู้ รยี น ยาวนานยากในการปฏิบตั ิงานใหส้ มบูรณ์ และจํากัดความต้องการพนื ที วัสดุ อุปกรณ์ราคาแพง ทใี ชจ้ ําลองสถานการณ์ใหเ้ หมอื นชวี ิตจรงิ

ลักษณะสาํ คัญ แนวคิด -การประเมนิ แบบองค์รวม และใชท้ ักษะการคิดขนั สงู การประยุกต์ใชค้ วามรู้ 1. การประเมนิ แบบองค์รวม ทังด้านพทุ ธพสิ ยั ทักษะพสิ ยั และจิตพสิ ยั - ใหผ้ เู้ รยี นประเมนิ งานตนเอง เพราะจะสามารถพฒั นาการเรยี นรูใ้ นอนาคตอยา่ งเหมาะสม -ประเมนิ ตามสภาพจรงิ ควบค่กู ับการจัดการเรยี นการสอน ผา่ นการลงมอื ปฏิบตั ิและมคี วามหมายต่อผเู้ รยี น 2. ผเู้ รยี นได้ตอบสนองเชน่ การแก้ปญหา ทักษะทางสงั คม และเจตคติ ความหมาย 3. ผลการประเมนิ สงิ ทผี เู้ รยี นได้เรยี นรูม้ คี วามถกู ต้องแมน่ ยาํ กระบวนการวัดและประเมนิ ศกั ยภาพของผเู้ รยี นแบบองค์รวมทัง 4. การสง่ เสรมิ สนับสนุน โดยเรา้ ผเู้ รยี นเปนสาํ คัญ 5. การใชว้ ิธกี ารและเครอื งมอื ทหี ลากหลาย ด้าน พทุ ธิพสิ ยั ทักษะพสิ ยั และจิตพสิ ยั ผา่ นการลงมอื ปฏิบตั ิ ขอ้ แตกต่างการประเมนิ ปฏิบตั ิและสภาพจรงิ การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในชนั เรยี น การประเมนิ ปฏิบตั ิจะมงุ่ การตอบสนองต่อผเู้ รยี นแต่การประเมนิ ตาม สภาพจรงิ ใหค้ วามสนใจบรบิ ทสงิ แวดล้อมทเี กยี วขอ้ งกับการตอบสนอง แนวทางการประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในการจัดการเรยี นการสอน วิธกี ารเครอื งมอื ทใี ชใ้ นการวัดและประเมนิ ผล - ออกแบบหน่วยการเรยี นรูอ้ ยา่ งมคี วามหมาย -การสงั เกตตามสภาพจรงิ - ใชว้ ิธกี ารประเมนิ ทเี หมาะสมอยา่ งหลากหลายเน้นการมสี ว่ นรว่ ม - การสมั ภาษณ์ - ผเู้ รยี นรบั รูแ้ ละยอมรบั ในเกณฑ์การประเมนิ - การสอบถาม การทดสอบ - ต้องมกี ารทดลองการใชร้ ูบรกิ สท์ ผี สู้ อนและผเู้ รยี นรว่ มกันสรา้ งขนึ -การตรวจผลงานหรอื ชนิ งาน - ผเู้ รยี นมที างเลือกในการสรา้ งชนิ งาน - กานใชบ้ นั ทึกจากผทู้ เี กยี วขอ้ ง - การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับผเู้ รยี นเปนสงิ สาํ คัญ เพอื พฒั นาตนเอง - การใชแ้ ฟมสะสมผลงาน

ความหมาย เปนชุดเกณฑ์มาตรฐานทอี อกแบบสอดคล้องกับเปาหมายการเรยี น ผสู้ อนควรสรา้ ง rubrics ใชเ้ อง มขี นั ตอนดังนี รูท้ ังในสว่ นผลการปฏิบตั ิหรอื ผลผลิต โดยมเี กณฑ์แยกแยะและอธิบายคณุ ภาพ 1) กําหนดงานทตี ้องประเมนิ 2) กําหนดประเภท rubrics ทใี ชป้ ระเมนิ งาน การประเมนิ ได้อยา่ งชดั เจน จากระดับปรบั ปรุงจนถึงระดับทตี ้องดเี ยยี ม 3) กําหนดเกณฑ์หรอื ประเด็นทจี ะประเมนิ 4) กําหนดจํานวนระดับคณุ ภาพ Rubrics มี 3 องค์ประกอบ คือเกณฑ์การประเมนิ ระดับความสามารถ และการบรรยายคณุ ภาพของแต่ละระดับ 5) เขยี นบรรยายคณุ ภาพในแต่ละระดับ 6) ทดลองและฝกใช้ rubrics 7) จัดทําเปนเครอื งมอื การใหค้ ะแนนทสี มบูรณ์ การใชร้ บู กิ สใ์ นการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การแบง่ ประเภทรูบรกิ ส์ 1. Holistic rubrics และ Analytic ถกู สรา้ งขนึ ในการใหค้ ะแนนปฏิบตั ิงานของผเู้ รยี นในภาพรวม 1. General rubrics และ task specific rubrics หรอื รูบรกิ สแ์ บบ จากนันนํามาตัดสนิ คณุ ภาพออกมาเปนคะแนนเดยี ว เชน่ 3 ดี 2 พอใช้ 1 ปรบั ปรุง ทัวไป สรา้ งขนึ โดยใชเ้ กณฑ์ประเมนิ ทกี ว้างๆ ใชใ้ นการประเมนิ งานที อยูใ่ นกล่มุ เดยี วกันหรอื คล้ายๆกัน เหมาะใชใ้ นกรณที ตี ้องการเน้น ความรู้ ทักษะหรอื กระบวนการสาํ คัญทจี ําเปน 2. Analytic สรา้ งขนึ ใหค้ ะแนนปฏิบตั ิงานหรอื ผลผลิตแยกแยะเปนประเด็นทจี ะประเมนิ ใน 2. Task specific rubrics รูบกิ สเ์ ฉพาะงานประเมนิ เฉพาะงานใดงานหนึงที ชว่ ย 3-6ระดับ ผปู้ ระเมนิ แยกแยะประเด็นทจี ะประเมนิ ตัดสนิ คณุ ภาพทกี ําหนดไว้ จากนัน ได้รบั มอบหมายใหผ้ เู้ รยี นได้ปฏิบตั ิ เหมาะกับใชใ้ นกรณเี น้นประเมนิ ด้านความรู้ เอาคะแนนทไี ด้ไปคณู นาหนัก แล้วหาคะแนนรวมทังหมด นําไปเทยี บกับเกณฑ์ตัดสนิ

หมายถึง ประเมนิ ผลการเรยี นรูซ้ งึ จัดทําโดยการรวบรวมผลงานทเี กยี วขอ้ งกับการเรยี นการ ประเภทแฟมสะสมผลงาน สอน ในการรวบรวมผลงานนัน ผเู้ รยี นต้องมสี ว่ นรว่ มในการเลือกรายการผลงาน เกณฑ์การคัด 1. Working portfolio เปนแฟมสะสมผลงานทสี ามารถดําเนินแก้ไขได้ระหว่างปฏิบตั ิงาน เลือกผลงาน รวมถึงเกณฑ์ตัดสนิ คณุ ภาพ เปนการประเมนิ ควบค่กู ับการเรยี นการสอน แสดงให้ เพอื ปรบั ปรุงใหด้ ขี นึ ถึงความพยายาม ความสามารถด้านการเขยี นปญญา และความก้าวหน้าในการเรยี นรู้ 2. Display or show portfolio เปนแฟมสะสมผลงานทใี หผ้ เู้ รยี นได้คัดเลือกผลงาน ในการ จัดแสดง 3. Assessment portfolio เปนแฟมสะสมผลงานทโี ดนคัดเลือกในการนําไปจัดนิทรรศการ การประเมนิ โดยใชแ้ ฟมสะสมผลงาน ขนั ตอน หลักการ 1. ขนั เตรยี มการประเมนิ โดยใชแ้ ฟมสะสมผลงาน ขนั นหี วั ใจสาํ คัญอยูท่ ี 1. เปนการทํางานรว่ มกันระหว่างผเู้ รยี นกับผสู้ อน 2. เปนการรวบรวมงานตลอดชว่ งระยะเวลาหนึง การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ 3. ดําเนินรวบรวมอยา่ งมจี ุดมงุ่ หมาย เพอื แสดงใหเ้ หน็ หลักฐานผลสมั ฤทธิทางการเรยี น และความ 2. ขนั จัดทําแฟมสะสมผลงาน สรา้ ง ประเมนิ ปรบั ปรุง เก็บรวบรวม คัดเลือก ก้าวหน้าของการเรยี นรู้ สะท้อน จัดระบบแฟมสะสมผลงาน ประเมนิ การเรยี นรูด้ ้วยตนเอง แลก 4. มกี ารวางแผนล่วงหน้าอยา่ งเปนระบบ ผเู้ รยี นต้องรวบรวมและคัดเลือกผลงานด้วยตัวเองภายใต้คํา เปลยี น ปรบั ปรุงผลงาน แนะนําของผสู้ อน 3. ขนั ประเมนิ แฟมสะสมผลงานทสี มบูรณ์ 5. ผเู้ รยี นต้องมสี ว่ นรว่ มในการ คัดเลือกรายการผวงาน กําหนดเกณฑ์คัดเลือกผลงาน เกณฑลฺ ์ตัดสนิ 4. ขนั ประชาสมั พนั ธ์ใชใ้ นการจัดนิทรรศการการแสดง คณุ ภาพ 6. ผเู้ รยี นประเมนิ ตนเองและผลงาน 7. การจัดทําแฟมสะสมผลงานเปนการแสดงใหเ้ หน็ ถึงความก้าวหน้าในการปฏิบตั ิงาน 8. ผเู้ รยี นต้องเปนผมู้ สี ว่ นรว่ มทังในกระบวนการเรยี นรูแ้ ละ การบวนการประเมนิ ผลการเรยี นรู้

สะท้อนความรสู้ กึ วิชาการวัดและประเมนิ การศกึ ษาเปนวิชาทมี เี นือหาเยอะ ความคิดแรกทไี ด้เขา้ เรยี นวิชานคี ิดว่า วิชานตี ้องยากแน่ ๆ เลย และ ทําใหผ้ มต้องตังใจเรยี น และมสี มาธิในการเรยี น และนังหน้าตลอดเพอื จะได้เขา้ ใจเนือหาทเี รยี นเพมิ มากขนึ หลักจากทไี ด้เรยี น ไปสกั พกั วิชานกี ็ไมย่ ากอยา่ งทคี ิด เปนวิชาทเี รยี นสนุก ทําใหม้ คี วามรูต้ ิดตัว อาจารย์ ดร.สาํ ราญ กําจัดภัย เปนอาจารยท์ เี ปน กันเองมาก สอนก็สนุก มเี สยี งหวั เราะทกุ คาบทไี ด้เขา้ เรยี น อาจจะมบี างคาบทอี าจารยจ์ ะดจุ ะว่าบา้ ง ทอี าจารยด์ กุ ็เพราะว่า อาจารยอ์ ยากใหศ้ ษิ ยต์ ังใจเรยี น และอยากใหท้ ํางานใหม้ นั เรยี บรอ้ ย ท้ายคาบอาจารยจ์ ะมสี อบเพอื ทบทวนความรูท้ ไี ด้เรยี นมา ซงึ เปนวิธที ดี มี าก ทที ําใหเ้ ราเหน็ ว่าตัวเองตังใจเรยี นมากน้อยแค่ไหน หรอื ว่าเราเขา้ ใจเนือในบทนันหรอื ไม่ สดุ ท้ายนผี มขอขอบคณุ อาจารยเ์ ปนอยา่ งสงู ทไี ด้ใหค้ วามรูแ้ ก่ศษิ ยค์ นนี ซงึ เนือหาทอี าจารยไ์ ด้ใหม้ าจะ เปนสงิ สาํ คัญในการจัดการเรยี นการสอน กระผมจะนําความรูท้ อี าจารยม์ อบใหไ้ ปใช้ และพฒั นาตนเองในอนาคตใหเ้ กิด ประโยชน์สงู สดุ ครบั นายอภิสทิ ธิ เครอื บุดดี (นักศกึ ษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร)์





Thank you!


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook