วิจยั ในชน้ั เรียน เร่อื ง “การปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมการเรยี นให้มวี นิ ยั และความรับผดิ ชอบ ในการเรียนวิชาพฤตกิ รรมนักท่องเทย่ี ว ของระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4\" โดย นางสาวศริ กิ าญจน์ อ่ินใจ สาขางานการโรงแรม โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ภาคเรยี นท่ี 2 ประจาปีการศกึ ษา 2563
กติ ติกรรมประกาศ การจัดทาวิจัยฉบับนี้ได้รับความร่วมมือและ ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากอาจารย์ท่ีปรึกษา และ คณะ ครูอาจารย์ผู้สอนในระดับ ช้ัน มัธยามศึกษาปีท่ี 4 ทุกท่าน ขอขอบคุณเจ้าของเอกสาร บทความ ทฤษฎี และงานวิจัยตา่ ง ๆ คน้ คว้าเอกสาร อา้ งอิง พร้อมท้ัง นกั เรยี นทใี่ หก้ าร สนบั สนุนในการจดั ทาวจิ ัย นางสาวศิรกิ าญจน์ อ่ินใจ
สารบญั 1 2 บทที่ 1 ความเปน็ มาและความสาคัญ 2 ความสาคญั ของการศึกษา 2 วัตถุประสงค์ 2 สมมตุ ิฐานการวจิ ยั ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 3 นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 8 14 บทท่ี 2 เอกสารและทฤษฎที ่เี กย่ี วขอ้ ง 15 จติ วทิ ยาการศึกษา เจตคติ (Attitude) 16 ทฤษฎีแรงจงู ใจ 17 ทฤษฎีการเรียนร้แู บบวางเงื่อนไข แบบแบบการกระทาของสกินเนอร์ 17 17 บทท่ี 3 วธิ กี ารดาเนินการศึกษาค้นควา้ 17 ขั้นตอนการดาเนนิ การวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 18 เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวจิ ัย การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 23 การวเิ คราะหข์ ้อมลู 23 23 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู 23 การวเิ คราะห์ข้อมลู 23 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 25 บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ความมงุ่ หมาย ประชากร/กล่มุ ตวั อย่าง เคร่ืองท่ีใช้ในการศึกษาค้นควา้ วธิ ีการดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู สรุปผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ขอ้ เสนอแนะ บรรณานกุ รม
บทคดั ย่อ งานวิจัยในชั้นเรียน ฉบับนี้ มี จุดมุ่งหมายเพื่อ เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้เป็นผู้มีวินัย และความรับผดิ ชอบต่อหน้าท่ีและการเรียนดีขึ้น ในการเรียนวิชา พฤติกรรมนักท่องเท่ียว กรณีศึกษานักเรียน ช้นั ม.4 โดยมกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากการสังเกต การ สัมภาษณ์ ขอ้ มลู ด้านการเรียนของแต่ละวิชา และการ ตอบแบบสอบถามจากนัก ศึกษา การใช้แรงจูงใจเสริมแรง โดยให้คาชมเชยแก่นักเรียน รวมทั้งดูแลด้านการ เรียนให้มีความรับผิดชอบ สนใจเรียน และติดตามจาก ผู้ปกครอง คุณครูที่เข้าสอนแต่ละวิชา ทาให้นักเรียนมี ความกระตือรือร้นต่อการมาเรยี นและการเรยี นมากข้นึ มคี วามเอาใจใส่ต่อการเรียน รับผิดชอบและสนใจเรียน มากข้ึน ทาให้บรรยากาศการเรียนภายในห้องเรียนที่เอื้อ ต่อการเรียนรู้ มีความต้ังใจเรียนมากข้ึน มีความ รับผิดชอบต่อหน้าท่ี ไม่ขาดเรียนหรือมาสาย ท างานท่ีได้รับ มอบหมายและส่งงานตรงกาหนดเวลา รู้จัก ช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความเต็มใจ
บทที่ 1 ความเปน็ มาและความสาคญั ปัจจุบันสงั คมทมี่ ีการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้านทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง จึง จาเป็นต้องอาศัย องค์ประกอบต่าง ๆ มาเก้ือหนุนกันซึ่งต้องมีการพัฒนาโดยต้องคานึงถึงทรัพยากรที่มี คุณภาพ และส่ิงท่ีสาคัญที่สุดคือ ทรัพยากรบุคคลท่ีมีคุณภาพ โดยจะต้องมีคุณสมบัติด้านสมรรถภาพทาง ร่างกายและ จิตใจที่ดี มีสติปัญญา มีความรู้ความสามารถ มีความอดทน ขยันขันแข็ง ไม่ย่อท้อต่อความ ยากลาบาก กล้า เผชิญปัญหาและอุปสรรคด้วยความมุ่งมั่น ถ้ามนุษย์ทุกคนมีคุณสมบัติ ดังกล่าวก็จะเป็นผู้มี วินัยในตนเอง ซึง่ จะ เปน็ วฒั นธรรมทที่ กุ คนในสังคมต้องปฏิบตั ิ เพราะจะทาให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข วินัยจึงเป็นคุณธรรม ทค่ี วรสรา้ งและปลกู ฝังให้ทกุ คนใช้เป็นแนวทาง สาหรับบังคับพฤติกรรมของตนเอง ทาให้ บรรลุตามจุดหมายของ ชีวิตและประสบความสาเร็จในชีวิต เพราะฉะน้ันครูควรสร้างสรรค์วินัยให้เกิดแก่ นักเรียนเมื่อนักเรียน มีวินัย มี ความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนจะทาให้สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนให้ เป็นไปในทางที่ดีงาม จึงควรมีการ ปลูกฝังให้ยึดถือและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าหากในสังคมไม่มีการปลูกฝัง และ พฒั นาเดก็ ให้ มีวินยั และมี คุณภาพแลว้ การพฒั นาสงั คมและประเทศกจ็ ะเป็นไปอยา่ งไม่มีประสิทธิภาพจึง ควรตอ้ ง ปลูกฝังวนิ ยั ในตนเองให้ เป็นพน้ื ฐาน ในทสี่ ุดกจ็ ะสามารถพัฒนาประเทศ ชาติให้มีความ ก้าวหน้ามาก ยิ่งข้ึนดังนั้น การศึกษาจึงเป็นสิ่งที่ สาคัญและมีความจาเป็นอย่างมากในการที่จะ พัฒนาให้มนุษย์มี ประสิทธภิ าพและศกั ยภาพสงู สุด จากการเป็นอาจารย์ท่ีปรึกษาของ นักศึกษาระดับชั้น ม.4 สาขาการท่องเท่ียว สาขางานการโรงแรม ซ่ึงมีหน้าท่ีดูแล นักเรียนด้านพฤติกรรมและการเรียนของนักเรียนท้ังภายในและภายนอกห้องเรียน พบว่า พฤติกรรมการเรียน ของนักเรียนบางคนในห้องเรียนไม่สนใจเรียน ขาดความรับผิดชอบ และระเบียบวินัย จึง ทาให้บรรยากาศการ เรียนรูไ้ มเ่ ออื้ ตอ่ การเรียนการสอน และมพี ฤตกิ รรมที่ไม่พึงประสงค์จึงทาให้เกิด ปัญหาใน การเรียนรู้จะส่งผลต่อ นักเรียนบางคนท่ีมีผลการเรียนค่อนข้างต่า จึงต้องใช้กระบวนการวิจัยมาแก้ปัญหาโดย การนาทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ทฤษฎีแรงจูงใจ และทฤษฎี การวางเง่ือนไข มาใช้กับนักเรียน เพ่ือเป็นการพัฒนาและ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการ เรียนและส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้เต็มศักยภาพและ ความสามารถของตนเอง ซึ่งจะส่งผล ให้นักเรียนมีสมรรถนะวิชาชีพ มีวินัย ความรับผิดชอบในหน้าที่ของ ตนเอง มีบรรยากาศการเรียนรู้ท่ีเหมาะสม เป็นการปลูกฝังระเบียบวินัย การรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อ่ืน ทา ให้สามารถพัฒนานกั เรยี นให้ เกดิ การเรยี นรู้ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและมีผลการเรียนดขี ้นึ
ความสาคัญของการศึกษา การศึกษาวิจัยในครั้งนที้ าใหท้ ราบถึงด้านพฤตกิ รรมการเรยี น เมื่อนักเรียนมีการปรับเปล่ียนพฤติกรรม ให้เป็นผู้ที่มีวินัยในตนเองและความรับผิดชอบ จะทาให้นักเรียนสนใจเรียนและมีความขยันอดทน มีแรงจูงใจ ทาให้มผี ลการเรียนดีขึ้น ซง่ึ จะเปน็ ประโยชน์ต่อครูผู้สอน และครูทุกท่านท่ีจะนามาเสริมสร้าง พัฒนา นักเรียน ให้มคี ณุ คา่ มีคุณประโยชน์ต่อครอบครวั สถานศกึ ษา สังคมและประเทศชาติตอ่ ไป วตั ถุประสงค์ เพื่อเป็นการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนให้เป็นผู้มีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่และการ เรียน ดขี ึน้ ของนักเรยี นช้ัน ม.4 สาขาการโรงแรม ปกี ารศกึ ษา 2563 สมมุตฐิ านการวจิ ัย การปรับเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนให้มีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของนักเรียน ทาให้ สามารถ พฒั นาศกั ยภาพด้านพฤตกิ รรมและการเรียนใหด้ ีข้ึน ขอบเขตของการศึกษาคน้ ควา้ 1. ประชากร ในการศกึ ษาคน้ ควา้ เปน็ นกั เรียน ชน้ั ม.4 สาขาการโรงแรม ปกี ารศึกษา 2563 จานวน 18 คน 2. ตัวแปรทศ่ี ึกษา 2.1 ตัวแปรอิสระ คือ พฤติกรรมด้าน วินัยและความรับผิดชอบต่อ ตนเองได้แก่ วินัยในตนเอง ความ รบั ผดิ ชอบ แรงจงู ใจในการเรียน 2.2 ตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมด้านความมีวินัยในตนเอง นิยามศัพท์เฉพาะ ความมีวินัยในตนเอง หมายถงึ การประพฤตปิ ฏบิ ัติตามกฎระเบียบและไม่ทาผิดต่อกฎระเบียบใน การเป็นนักเรียน ความรับผิดชอบ หมายถึง ความมุ่งมั่นของนักเรียนที่จะงานท่ีได้รับมอบหมายให้สาเร็จลุล่วงด้วยดี และตั้งใจเรียนอย่างเต็ม ความสามารถ แรงจูงใจในการเรยี น หมายถึง การแสดงพฤตกิ รรมเมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า เช่น คาชมเชย การ ให้ รางวลั ฯลฯ แล้วสามารถประพฤตติ นไดบ้ รรลเุ ปาู หมายโดยการเรยี นรขู้ องแต่ละคน
บทที่ 2 เอกสารและทฤษฎที ี่เก่ียวข้อง ทฤษฎีทเี่ ก่ยี วข้องในการจัดทางานวิจัย มีดังน้ี จติ วิทยาการศกึ ษา เจตคติ (Attitude) ทฤษฎีแรงจูงใจ ทฤษฎีการเรยี นรู้แบบวางเง่ือนไข แบบแบบการกระทาของสกินเนอร์ จิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาการศึกษา มีบทบาทสาคัญในการจัดการศึกษา การสร้างหลักสูตรและ การเรียนการสอน โดยคานึงถึงความแตกต่างของบุคคล นักศึกษาและครู จาเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานทาง จิตวิทยาการศึกษาเพ่ือจะ ได้เข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนและกระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนถึงปัญหาต่างๆ เก่ียวกับการเรียนการ ความสาคัญของการศึกษาจิตวิทยาการศึกษา ความสาคัญของวัตถุประสงค์ของ การศึกษาและบทเรียน นักจิตวิทยาการศึกษาได้เน้นความสาคัญ ของความชัดเจนของการระบุวัตถุประสงค์ ของการศึกษาบทเรียนตลอดจนถึงหน่วยการเรียน เน่ืองจาก วัตถุประสงค์จะเป็นตัวกาหนดการจัดการเรียน การสอนทฤษฎพี ัฒนาการและทฤษฎีบุคลิกภาพ เป็นเรื่องที่ นักการศึกษาและครูจะต้องมีความรู้เพราะจะช่วย ใหเ้ ขา้ ใจเอกลักษณ์ของผู้เรียนในวัยต่าง ๆ โดยเฉพาะวัย อนุบาล วัยเด็ก และวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยท่ีกาลังศึกษาใน โรงเรียน ความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่ม นอกจากมี ความเข้าใจพัฒนาการของเด็กวัยต่าง ๆ แล้ว นัก การศกึ ษาและครูจะต้องเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และกลุ่มทางด้านระดับเชาวน์ปัญญา ความคิด สร้างสรรค์ เพศ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งนักจิตวิทยา ได้คิดวิธีการวิจัยท่ีจะช่วยช้ีให้เห็นว่า ความ แตกต่างระหว่างบคุ คลเป็นตัวแปรทส่ี าคัญในการเลือกวิธสี อนและใน การสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม ทฤษฎีการ เรียนรู้นักจิตวิทยาที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้ นอกจากจะสนใจว่า ทฤษฎีการเรียนรู้จะช่วยนักเรียนให้ เรียนรู้และจดจาอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรแล้ว ยังสนใจองค์ประกอบ เก่ียวกับตัวของผู้เรียน เช่น แรงจงู ใจว่ามคี วามสมั พนั ธ์กับการเรียนร้อู ย่างไร ความรเู้ หล่าน้กี ็มีความสาคญั ตอ่ การเรียนการสอน ทฤษฎีการ สอนและเทคโนโลยีทางการศึกษานัก จิตวิทยาการศึกษาได้เป็นผู้นาในการบุกเบิก ตั้งทฤษฎีการสอน ซึ่งมี ความสาคัญและมีประโยชน์เท่าเทียมกับทฤษฎีการเรียนรู้และพัฒนาการในการช่วยนัก การศึกษาและครู เก่ียวกับการเรียนการสอน สาหรับเทคโนโลยีในการสอนท่ีจะช่วยครูได้มากก็คือ คอมพิวเตอร์ ช่วยการสอน หลกั การสอนและวิธีสอนนักจิตวิทยาการศกึ ษาได้เสนอหลกั การสอนและวิธีการสอนตามทฤษฎี ทางจิตวิทยาท่ี แต่ละท่านยึดถือ เช่น หลักการสอนและวิธีสอนตามทัศนะนักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม และมนุษย นิยม หลักการวัดผลและประเมินผลการศึกษา ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเร่ืองน้ีจะช่วยให้นักการศึกษา และครู ทราบว่า การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพหรือไม่ หรือผู้เรียนได้ สัมฤทธิผลตามวัตถุประสงค์เฉพาะของแต่ละ
วิชาหรือหน่วยเรียนหรือไม่ เพราะถ้าผู้เรียนมีสัมฤทธิผลสูงก็จะเป็น ผลสะท้อนว่าโปรแกรมการศึกษามี ประสิทธิภาพและ การสร้างบรรยากาศของห้องเรียนเพื่อเอ้ือการเรียนรู้และ ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของ นกั เรียนความสาคัญของจิตวิทยาการศึกษาต่ออาชีพครูมีความสาคัญในเรอ่ื ง ตอ่ ไปนี้ 1. ช่วยให้ครูรู้จักลักษณะนิสัยของนักเรียนที่ครูต้องสอนโดยทราบหลักพัฒนาการท้ังทางร่างกาย สตปิ ญั ญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเปน็ สว่ นรวม 2. ช่วยให้ครูมีความเข่าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประ การของนักเรียน เช่น อัตมโนทัศน์ ว่า เกิดข้ึนได้อย่างไร และเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการท่ีช่วยนักเรียนให้มีอัตมโนทัศน์ที่ดีและถูกต้องได้อย่างไร 3. ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคลเพ่ือจะได้ช่วยนักเรียนเป็นรายบุคคลให้ พัฒนาตามศกั ยภาพของแต่ละบุคคล 4. ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก้วัยและขั้นพัฒนาการของนักเรียน เพื่อจงู ใจให้นกั เรียนมคี วามสนใจและมคี วามท่ีอยากจะเรียนรู้ 5. ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ท่ีมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนเช่นแรงจูงใจอัตมโนทัศน์ และการตั้งความคาดหวังของครทู ่ีมตี ่อนักเรียน 6. ช่วยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน เพ่ือท าให้การสอนมีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้ นกั เรียนทุกคนเรียนตามศกั ยภาพของแต่ละบุคคล โดยคานงึ ถงึ หัวขอ้ ต่อไปนี้ 6.1 ช่วยครูเลือกวัตถุประสงค์ของบทเรียนโดยคานึงถึงลักษณะนิสัยและความ แตกต่าง ระหวา่ งบุคคลของนักเรียนท่ีจะต้องสอนและสามารถที่จะเขียนวัตถุประสงค์ให้นักเรียนเข้าใจว่าสิ่งคาดหวังให้ นกั เรียนรมู้ ี อะไรบา้ ง โดยถือว่าวัตถุประสงค์ของบทเรียนคือสิ่งท่ีจะช่วยให้นักเรียนทราบ เม่ือจบบทเรียนแล้ว นักเรยี น สามารถทาอะไรได้บ้าง 6.2 ช่วยครูในการเลือกหลักการสอนและวิธีสอนที่เหมาะสม โดยคานึงลักษณะนิสัยของ นักเรียน และวชิ าที่สอน และกระบวนการเรยี นรู้ของนักเรียน 6.3 ช่วยครูในการประเมินไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาครูได้สอนจนจบบทเรียนเท่านั้นแต่ใช้ ประเมิน ความพรอ้ มของนกั เรียนกอ่ นสอน ในระหว่างที่ทาการสอนเพ่อื ทราบว่านักเรียนมีความก้าวหน้าหรือมี ปญั หาใน การเรยี นรู้อะไรบ้าง 7. ช่วยครใู ห้ทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนรู้ที่นัก ได้พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี เช่น การเรียนจาก การสังเกตหรือการเลยี นแบบ
8. ช่วยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งพฤติกรรมของครูที่มีการสอน อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพวา่ มอี ะไรบ้าง เช่น การใช้คาถาม การใหแ้ รงเสรมิ และการทาตนเป็นตน้ แบบ 9. ชว่ ยครูใหท้ ราบว่านกั เรยี นท่ีมผี ลการเรียนดีไม่ได้เป็นเพราะระดับเชาวน์ปัญญาเพียงอย่างเดียว แต่ มีองค์ประกอบอ่ืน ๆ เช่น แรงจูงใจ ทัศนคติหรืออัตมโนทัศน์ของนักเรียนและความคาดหวังของครูที่มีต่อ นกั เรยี น 10. ช่วยครูในการปกครองชั้นและการสร้างบรรยากาศของห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้และ เสรมิ สรา้ งบคุ ลิกภาพของนักเรยี น ครูและนักเรียนมีความรักและไว้วางใจซ่ึงกันและกนั นกั เรียน ต่างก็ช่วยเหลือ กนั และกนั ทาให้หอ้ งเรยี นเป็นสถานทีท่ ท่ี ุกคนมคี วามสุขและนักเรยี นรักโรงเรยี น อยากมาโรงเรียน เน่ืองจากการศึกษามีบทบาทสาคัญในการช่วยให้เยาวชนพัฒนาการทั้งทางด้านเชาวน์ปัญญา และ ทางบุคลิกภาพ เพื่อช่วยให้เยาวชนมีความสาเร็จในชีวิต ทุกประเทศจึงหาทางส่งเสริมการศึกษา ให้มีคุณภาพ มี มาตรฐานควา มเป็นเลิศความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาการศึกษาจึงสาคัญในการช่วยท้ังครูและนักศึกษาผู้มีความ รับผิดชอบในการปรบั ปรงุ หลกั สตู รและการเรียนการสอน พัฒนาการจติ วทิ ยาการศึกษา จติ วิทยา เป็นศาสตร์ทม่ี คี นสนใจมาต้ังแต่สมยั กรีกโบราณกอ่ นคริสต์กาล มนี กั ปรชั ญาช่ือ พลาโต (Plato 427 – 347 ก่อนคริสต์กาล) อริสโตเติล (Aristotle 384 – 322 ก่อนคริสต์กาล) ได้กล่าวถึงธรรมชาติ และพฤติกรรม ของมนุษย์ในเชิง ปรัชญามากกว่าแนวคิดทางวิทยา ศาสตร์ การศึกษาในยุคน้ันเป็นแบบเก้าอี้โต๊ะ กลมหรือ เรยี กว่า Arm Chair Method เรยี กจติ วทิ ยาในยุคนน้ั ว่า จิตวทิ ยายุคเกา่ เพราะนักจิตวิทยาน่ังศึกษาอยู่ กับโต๊ะ ทางาน โดยใช้ความคิดเห็นของตนเองเพียงอย่างเดียวไม่มีการทดลอง ไม่มีการวิเคราะห์ใด ๆ ท้ังสิ้น ต่อมา อรสิ โตเติล ได้สนใจจิตวิทยาไดท้ าการศึกษาและ ได้เขยี นตาราเลม่ แรกของโลกเป็นตาราท่ีว่าด้วยเรื่อง วิญญาณ ชอื่ De Anima แปลวา่ ชวี ิต เขากล่าวว่า วิญญาณเป็นต้นเหตุให้คนต้องการเรียนจิตวิทยา คนใน สมัยโบราณ จึงศึกษาจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ โดยมีความเช่ือว่าวิญญาณจะสิงอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ขณะมีชีวิต อยู่ เมอ่ื คนส้ินชวี ติ กห็ มายถึงร่างกายปราศจากวิญญาณและวิญญาณ อกจากร่างล่องลอยไปชั่ว ระยะหนึ่งแล้ว อาจจะกลบั สูร่ า่ งกายคืนอกี ได้ และเม่อื นน้ั คน ๆ น้ันก็จะฟ้ืนคืนชีพข้ึนมาอีกชาวกรีกจึงมีการคิดค้น วิธีการปูอง กันศพไม่ให้เน่าเป่ือยท่ีเรียกว่า มัมมี่ เพื่อคอยการกลับมาของวิญญาณ ต่อมาประมาณศตวรรษที่ 11 - 12 ได้ เกิดลัทธิความจริง (Realism) เป็นลัทธิท่ีเช่ือสภาพความเป็น จริงของสิ่งต่าง ๆ และลัทธิความคิดรวบยอด (Conceptualism) ทก่ี ลา่ วถึงความคดิ ท่ีเกดิ หลังจากไดว้ เิ คราะห์ พจิ ารณาส่ิงต่าง ๆ ถ่ีถ้วนแล้วจากลัทธิทั้งสอง นี้เองทาให้ผู้คนมีความคิดมากขึ้นมีการคิด วิเคราะห์ ไตร่ตรอง จึงเป็นเหตุให้ผู้คนเร่ิมหันมาสนใจในทาง วิทยาศาสตร์ และจึงเร่ิมมาสนใจในเรื่องจิตวิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์ มากขึ้นในขณะเดียวกันก็ยังสนใจศึกษา เร่อื งจติ มากขนึ้ ดว้ ย รวมท้งั ให้ความสนใจศึกษาเก่ียวกับเรื่องจิตสานึก (Conscious) อันได้แก่ การมีสมาธิ การ
มีสตสิ ัมปชญั ญะ และเชอื่ วา่ จะเปน็ มนษุ ยไ์ ดจ้ ะต้องประกอบไปด้วย ร่างกายกับจิตใจ จึงมีคาพูดติดปากว่า “A Sound mind is in a sound body” จิตที่ผ่องใสอยู่ใน ร่างกายที่สมบูรณ์ ความสนใจเรื่องจิตจึงมีมากขึ้น ตามลาดับ นอกจากนี้ยังเช่ือว่า จิต แบ่งสามารถเป็นส่วนๆ ได้แก่ ความคิด (Idea) จินตนาการ (Imagine) ความจา (Memory) การรับรู้ (Concept) ส่วนท่ีส าคัญที่สุด เรียกว่า Faculty of will เป็นส่วนหน่ึงของจิตท่ี สามารถส่ังการเคล่ือนไหวต่าง ๆ ของร่างกายต่อมา Norman L. Mumm มีความสนใจเร่ืองจิต เข า กล่าวว่า จิตวิทยา คือ การศึกษาเรื่องจิตในปี ค .ศ. 1590 คาว่า Psychology จึงเป็นที่รู้จักและสนใจของคนทั่วไป จอห์นลอค (John Locke ค.ศ. 1632 - 1704) ได้ชื่อว่าเป็น บิดาจิตวิทยาแผนใหม่ เขาเชื่อว่า ความรู้สึกตัว ( Conscious ) และสิ่งแวดล้อมเป็นตัวที่มีอิทธิพลต่อจิต วิธีการ ศึกษาทางจิตวิทยา การศึกษาทางจิตวิทยาใช้ หลาย ๆ วิธีการมาผสมผสานและทาการ วิเคราะห์บนสมมุติฐาน นักจิตวิทยาจะใช้วิธีการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เช่น การตรวจสอบตนเอง การสังเกต การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี การสัมภาษณ์ การทดสอบ ดังจะอธิบาย เรียงตามลาดบั ต่อไปน้ี 1. การตรวจสอบตนเอง (Introspection) หมายถึง วิธีการให้บุคคลสารวจ ตรวจสอบตนเองด้วยการ ย้อนทบทวนการกระทาและความรู้สึกนึกคิดของตนเองในอดีต ที่ผ่านมา แล้วบอกความรู้สึกออกมา โดยการ อธิบายถึงสาเหตุและผลของการกระทาในเรื่องต่าง ๆ เช่น ต้องการทราบว่าทาไมเด็กนักเรียนคนหนึ่งจึงชอบ พูดปดเสมอ ๆ ก็ให้เล่าเหตุหรือเหตุการณ์ในอดีต ท่ีเป็นสาเหตุให้มีพฤติกรรมเช่นนั้นก็จะทาให้ทราบที่มาของ พฤตกิ รรมและไดแ้ นวทางในการที่จะช่วยเหลือแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวได้ การตรวจสอบตนเองจะได้รับข้อมูล ตรงตามความเป็นจริงและเปน็ ประโยชน์ เพราะผู้รายงานที่ มี ประสบการณ์และอยู่ในเหตุการณ์น้ันจริง ๆ แต่ หากผู้รายงานจดจาเหตุการณ์ได้แม่นยา และมีความจริงใจใน การรายงานอย่างซ่ือสัตย์ไม่ปิดบังและบิดเบือน ความจริง แต่หากผู้รายงานจาเหตุการณ์หรือเรื่องราวไม่ได้ หรือไม่ต้องการรายงานข้อมูลท่ีแท้ จริงให้ทราบก็ จะทาให้การตคี วาม หมายของเรือ่ งราวตา่ ง ๆ หรือเหตกุ ารณ์ ผิดพลาดไม่ตรงตามข้อเทจ็ จริง 2. การสังเกต (Observation) หมายถึง การเฝ้าดูพฤติกรรมในสถานการณ์ท่ีเป็นจริง อย่างมี จดุ มงุ่ หมาย โดยไม่ใหผ้ ู้ถกู สังเกตร้ตู ัว การสงั เกตแบ่งเปน็ 2 ลกั ษณะคอื 2.1 การสังเกตอย่างมีแบบแผน ( Formal Observation ) หมายถึง การสังเกตที่มีการ เตรียมการ ล่วงหน้า มีการวางแผน มีกาหนดเวลา สถานการณ์ สถานที่ พฤติกรรมและบุคคลท่ีจะสังเกต ไว้ เรียบร้อย เม่ือถึงเวลาท่ีนักจิตวิทยาวางแผน ก็จะเริ่มทาการสังเกตพฤติกรรมตามที่กาหนดและผู้สังเกต พฤติกรรมจะจด พฤตกิ รรมทุกอยา่ งในชว่ งเวลานั้นอย่างตรงไปตรงมา 2.2 การสังเกตอย่างไม่มีแบบแผน ( Informal Observation ) หมายถึง การสังเกตโดยไม่ ต้อง มีการเตรียมการล่วงหน้าหรือวางแผนล่วงหน้า แต่สังเกตตามความสะดวกของผู้สังเกตคือจะสังเกต ช่วงเวลาใดก็ ได้แลว้ ทาการจดบนั ทึกพฤตกิ รรมท่ีตนเหน็ อย่างตรงไปตรงมา การสังเกตช่วยให้ได้ข้อมูลละเอียด
ชัดเจน และตรงไปตรงมา เช่น การสังเกต อารมณ์ ความรู้สึก ของบุคคลต่อสถานการณ์ต่าง ๆ จะทาให้เห็น พฤติกรรมได้ชดั เจนกว่าการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการอื่น ๆ แต่การ สังเกตท่ีดีมีคุณภาพมีส่วนประกอบหลายอย่าง เชน่ ผู้สังเกตจะต้องมีใจเปน็ กลางไม่อคติหรอื ลาเอยี งอย่างหน่ึง อย่างใด และสังเกตได้ทั่วถึง ครอบคลุม สังเกต หลาย ๆ สถานการณ์หลาย ๆ หรือหลายๆ พฤติกรรม และใช้ เวลาในการสังเกต ตลอดจนการจดบันทึกการ สังเกตอย่างตรงไปตรงมา และแยกการบันทึกพฤติกรรมจากการ ตีความไม่ปะปนกัน ก็จะทาให้การสังเกตได้ ขอ้ มลู ตรงตามความเป็นจรงิ และนามาใช้ประโยชน์ตามจดุ มุง่ หมาย 3. การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี (Case Study) หมายถึง การศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ที่สาคัญ ของ บุคคล แต่ต้องใช้เวลาศึกษาติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์พิจารณาตีความ เพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรม หรือลักษณะพิเศษท่ีผู้ศึกษาต้องการทราบ ทั้งนี้เพ่ือจะได้หาทาง ช่วยเหลอื แก้ไข ปรับปรุง ตลอดจนสง่ เสรมิ พฤติกรรมให้เปน็ ไปในทาง สรา้ งสรรค์ท่ีสาคัญของบุคคล แต่ต้องใช้ เวลาศกึ ษา ตดิ ตอ่ กนั เป็นระยะหนึง่ แลว้ รวบรวมขอ้ มลู มาวิเคราะห์พิจารณา ตีความเพ่ือให้เข้าใจถึงสาเหตุของ พฤตกิ รรม หรือลักษณะพเิ ศษท่ผี ูศ้ กึ ษาตอ้ งการทราบ ท้ังนี้ เพ่อื จะได้หาทางชว่ ยเหลือแก้ไข ปรับปรุง ตลอดจน สง่ เสริม พฤติกรรมให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ 4. การสัมภาษณ์ (Interview) หมายถึง การสนทนากันระหว่างบุคคลต้ังแต่สองคนขึ้นไปโดยมี จดุ มุง่ หมาย ซ่ึงการสัมภาษณ์ก็มีหลายจุดมุ่งหมาย เช่น การสัมภาษณ์เพื่อความคุ้นเคย สัมภาษณ์เพื่อคัดเลือก บุคคลเข้าทางาน สัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อ ตลอดจนสัมภาษณ์เพื่อการแนะแนวและการให้ คาปรึกษา เป็นต้นแต่ท้ังการสัมภาษณ์ก็เพ่ือให้ได้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพ่ือใช้ในการตัดสินใจ การ สัมภาษณ์ที่ดี จาเป็นต้องมกี ารเตรียมการลว่ งหนา้ วางแผน กาหนดสถานท่ี เวลาและเตรียม หัวข้อหรือคาถาม ในการสัมภาษณ์ และนอกจากน้ันในขณะสัมภาษณ์ผู้สัมภาษณ์ควรจะใช้เทคนิคอื่น ๆ ประกอบด้วยก็ยิ่ง จะ ไดผ้ ลดี เชน่ การสังเกต การฟัง การใช้คาถาม การพูด การสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่าง ผู้ให้สัมภาษณ์และผู้ สมั ภาษณก์ จ็ ะช่วยใหก้ ารสมั ภาษณ์ไดด้ าเนนิ ไปดว้ ยดี 5. การทดสอบ (Testing) หมายถึง การใช้เครื่องมือท่ี มีเกณฑ์ในการวัดลักษณะของ พฤติกรรมใด พฤติกรรมหนึ่งหรือหลาย ๆ พฤติกรรม โดยให้ผู้รับการทดสอบเป็นผู้ตอบสนองต่อแบบทดสอบซึ่งอาจเป็น แบบทดสอบภาษาและแบบปฏิบัติการหรือลงมือทาท้ังนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลนั้นตามจุดมุ่งหมายท่ีผู้ ทดสอบวางไวแ้ บบทดสอบที่นามาใชใ้ นการทดสอบหาข้อมลู ได้แก่ แบบทดสอบบุคลิกภาพ แบบทดสอบความ สนใจ เป็นต้น การทดสอบก็มีสิ่งท่ีควรคานึงถึงเพื่อผลของข้อมูลท่ีได้รับซึ่งแบบทดสอบท่ีนามาใช้ควรเป็น แบบทดสอบท่ีเช่ือถอื ไดเ้ ปน็ มาตรฐานตลอดจนการแปรผลไดอ้ ย่างถูกต้อง เป็นตน้ 6. การทดสอบ (Experiment) หมายถึง วิธีการรวบรวมข้อมูลที่เป็นระบบ มีขั้นตอนและเป็นวิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงมีลาดับขั้นตอนดังน้ี ต้ังปัญหา ตั้งสมมุติฐาน การรวบรวมข้อมูล การทดสอบสมมุติฐาน
การแปลความหมายและรายงานผล ตลอดจนการนพผลท่ีได้ไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือส่งเสริมต่อไป การ ทดลอง จึงเป็นการจัดสภาพการณ์ข้ึนมาเพ่ือดูผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนเพื่อศึกษาเปรียบเทียบกลุ่มหรือ สถานการณ์ คอื 1. กลุ่มทดลอง (Experiment Group) คือ กลุ่มที่ได้รับการจัดสภาพการณ์ทดลองเพื่อศึกษาผลท่ี ปรากฏจากสภาพนน้ั เชน่ การสอนดว้ ยเทคนคิ ระดมพลงั สมองจะทาให้กลุม่ เกิดความคดิ สรา้ งสรรคห์ รอื ไม่ 2. กลมุ่ ควบคมุ (Control Group) คอื กลมุ่ ท่ีไมไ่ ด้รับการจัดสภาพการณ์ใด ๆ ทุกอย่างถูกควบคุม ให้ คงภาพเดิม ใช้เพ่ือเปรียบเทียบกับกลุ่มทดลอง สิ่งที่ผู้ทดลองต้องการศึกษาเรียกว่า ตัวแปร ซึ่งมีตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรตน้ (Independent Variable) และตัวแปรตาม ( Dependent Variable ) เจตคติ (Attitude) ความหมายของเจตคติ เจตคติ หมายถึงอะไร ขัตติยา กรรณสูต (2516:2) ให้ความหมายไว้ คือ ความรู้สึกที่คนเรามี ต่อส่ิง หนึ่งส่ิงใดหรือหลายสิ่งในลักษณะที่เป็นอัตวิสัย (Subjective) อันเป็นพื้นฐานเบื้องต้น หรือการแสดงออกท่ี เรยี กว่า พฤติกรรม สุชา จันทร์เอม และ สุรางค์ จันทร์เอม (2520:104) ให้ความหมายเจตคติ คือความรู้สึก หรือท่าที ของบุคคลที่มีต่อบุคคล วัตถุส่ิงของ หรือสถานการณ์ต่างๆ ความรู้สึก หรือท่าทีจะเป็นไปในทานองท่ีพึงพอใจ หรือไมพ่ อใจ เหน็ ดว้ ยหรอื ไม่เห็นด้วยกไ็ ด้ สงวนศรี วิรัชชัย (2527:61) ให้ความหมายเจตคติ คือสภาพความคิด ความเข้าใจและความรู้สึกเชิง ประเมินท่ีมีต่อส่ิงต่างๆ(วัตถุ สถานการณ์ ความคิด ผู้คน ฯลฯ) ซึ่งทาให้บุคคลมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรม ตอ่ ส่ิงนนั้ ในลักษณะเฉพาะตวั ตามทิศทางของทัศนคติที่มีอยู่ ชม ภมู ิภาค (2516:64) ให้ความหมายเจตคติ คือวิถีทางท่ีบุคคลเกิดความรู้สึกต่อบางส่ิงบางอย่าง คา จากัดความเช่นนี้มิใช่คาจากัดความเชิงวิชาการมากนักแต่หากเราจะพิจารณาโดยละเอียดแล้วเราก็พอจะ มองเหน็ ความหมายของมันลึกซง้ึ ชัดเจนพอดู เม่อื พดู ว่าคือความรู้สึกต่อสิ่งน้ัน ก็หมายความว่าเจตคติน้ันมีวัตถุ วัตถุท่ีเจคติจะมุ่งตรงต่อน้ันจะเป็นอะไรก็ได้อาจจะเป็นบุคคล สิ่งของ สถานการณ์ นโยบายหรืออ่ืน ๆ อาจจะ เป็นได้ทั้งนามธรรมและรูปธรรม ดังน้ัน วัตถุแห่งเจตคติน้ันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ท่ีคนรับรู้หรือคิดถึงความรู้สึก เช่นนี้อาจจะเป็นในด้านการจูงใจหรืออารมณ์ และเช่นเดียวกันแรงจูงใจแบบอื่นๆคือดูได้จากพฤติกรรม ตวั อย่างเชน่ เจคติต่อศาสนาหากเป็นเจตคติท่ีดีเราจะเกิดความเคารพในวัดเราจะเกิดความรู้สึกว่าศาสนาหรือ วัด นั้นจะเป็นส่ิงจรรโลงความสงบสุข เรายินดีบริจาคทาบุญร่วมกับวัดเราจะพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นความ พร้อมท่ี จะถูกกระตุ้นด้วยวัตถุ การกระทาต่างๆของคนนั้นมักถูกกาหนดด้วยเจตคติท่ีจะตัดสินใจว่าจะบริจาค
เงนิ แกว่ ดั สกั เท่าใดน้นั ย่อมมีปจั จัยต่างๆเขา้ เก่ียวขอ้ ง เชน่ ชอบสมภาร รายไดต้ นเองดีขน้ึ เห็นความสาคัญของ วัด เห็นว่า ส่งิ ทจี่ ะต้องบรู ณะมาก “เจตคติ” คือ สภาพความรู้สึกทางด้านจิตใจท่ีเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ของบุคคลอัน เป็นผลทาให้เกิดมีท่าทีหรือมีความคิด เห็นรู้สึกต่อส่ิงใดสิ่งหน่ึงในลักษณะท่ีชอบหรือไม่ชอบ เห็นหรือไม่เห็น ดว้ ย เจตคตมิ ี ๒ ประเภทคอื เจตคติท่ัวไป เจตคติเฉพาะอยา่ ง COLLINS (1970:68) ให้ความหมายเจตคติ คือการที่บุคคลตัดสินในส่ิงต่างๆว่าดี –ไม่ดี เห็นด้วย-ไม่ เห็นด้วย ยอมรบั ได้-ยอมรับไม่ได้ ROKEACH (1970:10) ให้ความหมายเจตคติ คือการผสมผสานหรือจัดระเบียบของความเชื่อที่มีต่อ สิ่งหน่ึงสิ่งใดหรือสถานการณ์หน่ึงสถานการณ์ใด ผลรวมของความ เช่ือนี้จะเป็นตัวกาหนดแนวทางของบุคคล ใน การที่จะมีปฏิกรยิ าตอบสนองในลักษณะทช่ี อบหรือไม่ชอบ BELKIN และ HKYDELL (1979:13) ให้ความหมายเจตคติ คือ แนวโน้มที่บุคคลจะตอบสนอง ในทาง ทีเ่ ปน็ ความพอใจ ไมพ่ อใจ ต่อผ้คู น เหตุการณ์ และส่ิงต่างๆอย่างสม่าเสมอและคงที่ ดังนั้นอาจสรุปความหมาย ของเจตคติ คอื ความรสู้ ึกของบุคคลท่ีมีต่อส่ิงใด ๆ ซึง่ แสดงออกมาเป็น พฤติกรรมในลักษณะชอบ ไม่ชอบ อาจ เหน็ ดว้ ย ไม่เหน็ ดว้ ย พอใจ ไมพ่ อใจ ต่อสิ่งใด ๆ ในลักษณะเฉพาะ ตัว ตามทิศทางของทัศนคติท่ีมีอยู่และทาให้ จะเปน็ ตัวกาหนดแนวทางของบคุ คลในการทจี่ ะมีปฏกิ ริยาตอบสนอง องค์ประกอบของเจตคติ องคป์ ระกอบของเจตคติทีส่ าคัญ 3 ประการ คือ 1. การรู้ (COGNITION) ประกอบด้วยความเชื่อของบุคคลท่ีมีต่อเปู้าหมาย เจตคติ เช่น ทศั นคติตอ่ ลทั ธคิ อมมิวนิสต์ ส่งิ สาคัญขององคป์ ระกอบนี้ ก็คือ จะประกอบด้วยความเชื่อที่ได้ประ เมินค่าแล้ว ว่าน่าเช่ือถือ หรือไม่น่าเชื่อถือ ดีหรือไม่ดี และยังรวมไปถึง ความเช่ือในใจว่าควรจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไร ต่อเปู้าหมาย ทัศนคติจึงจะเหมาะสมท่ีสุด ดังน้ันการรู้และแนวโน้มพฤติกรรมจึงมีความเก่ียวข้องและสัมพันธ์ อยา่ งใกล้ชิด 2. ความรู้สกึ (FEELING) หมายถึง อารมณ์ที่มีต่อเป้าหมาย เจตคติ น้ัน เป้าหมายจะถูกมอง ด้วย อารมณ์ชอบหรือไม่ชอบ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ส่วนประกอบด้านอารมณ์ ความรู้สึกนี้เองที่ทาให้บุคคลเกิด ความดื้อ ดึงยึดมั่น ซึ่งอาจกระตุ้นให้มีปฎิกริยาตอบโต้ได้หากมีส่ิงที่ขัดกับความรู้สึกมากระทบ 3. แนวโน้ม พฤติกรรม(ACTION TENDENCY) หมายถึง ความพร้อมที่จะมีพฤติกรรมท่ี สอดคล้อง กับเจตคติ ถ้าบุคคลมี เจตคติที่ดีต่อเป้าหมายเขาจะมีความพร้อมท่ีจะมีพฤติกรรมช่วยเหลือหรือสนับสนุน เป้าหมายน้ัน ถ้าบุคคลมี เจตคติในทางลบต่อเป้าหมาย เขาก็จะมีความพร้อมที่จะมีพฤติกรรมทาลาย หรือทาร้าย เป้าหมายนั้นเช่นกัน
การเกิดเจตคติ และเจตคติเกิดจากอะไร เจตคติเกิดจากการเรียนรู้ของบุคคล ไม่ใช่เป็นสิ่งมีติดตัวมาแต่กาเนิด หากแต่วา่ จะชอบหรอื ไม่ชอบ สง่ิ ใดต้องภายหลงั เม่ือตนเองไดม้ ีประสบการณ์ในสง่ิ นนั้ ๆ แลว้ ดงั นน้ั จงึ พอสรปุ ได้ว่า เจตคตเิ กิดขึ้นจากเรื่อง ตา่ งๆ ดังต่อไปนี้ 1. การรวบรวมความคดิ อนั เกดิ จากประสบการณห์ ลาย ๆ อย่าง 2. เกดิ จากความรสู้ ึกท่รี อยพิมพใ์ จ 3. เกิดจากการเห็นตามคนอื่น ชม ภูมิภาค (2516:66-67) ได้อธิบายเร่ืองการเกิดเจตคติว่า เกดิ จากการเรียนรู้และโดยมากก็เป็น การเรยี นรทู้ างสังคม(social learning)ดงั น้ันปัจจัยท่ีทาให้เกิดเจตคติจึงมี หลายประการเช่น 1. ประสบการณ์เฉพาะ เม่ือคนเราได้รับประสบการณ์ต่อส่ิงใดส่ิงหนึ่งอาจจะมีลักษณะใน รปู แบบทผี่ ู้ ได้รับรู้สึกว่าได้รางวัลหรือถูกลงโทษ ประสบการณ์ ท่ีผู้รู้สึกเกิดความพึงพอใจย่อมจะทาให้เกิดเจต คตทิ ี่ดีต่อสิง่ น้ันแต่ถ้าเปน็ ประสบการณ์ท่ไี ม่เป็นท่พี ึงพอใจก็ย่อมจะเกดิ เจตคติที่ไมด่ ี 2. การสอน การสอนนั้นอาจจะเป็นทั้งแบบที่เป็นแบบแผนหรือไม่เป็นแบบแผนก็ได้ซึ่งเรา ได้รับจาก คนอื่น องค์การทีท่ าหน้าทส่ี อนเรามีมากมายอาทิเช่น บ้าน วัด โรงเรียน สื่อมวลชนต่าง ๆ เรามักจะ ไดร้ ับเจตคติ ที่สงั คมมอี ยู่และนามาขยายตามประสบการณ์ของเรา การสอนท่ีไม่เป็นแบบแผนน้ันส่วนใหญ่เริ่ม จาก ครอบครัว ต้ังแต่เด็ก ๆ มาแล้ว พ่อแม่พี่น้องมักจะบอกเราว่าสิ่งนั้นไม่ดีสิ่งน้ีไม่ดีหรือใครควรทาอะไรมีคว ามสาคัญอย่างไร การสอนส่วนมากเปน็ แบบยดั ทะนานและมักได้ผลดเี สยี ด้วยในรปู แบบการปลูกฝงั เจตคติ 3. ตัวอย่าง (Model) เจตคติบางอย่างเกิดข้ึนจากการเลียนแบบในสถานการณ์ต่าง ๆ เราเห็นคนอื่น ประพฤติ เราเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมคนอนื่ ออกมาเป็นรูปของเจตคติถา้ เรายอมรบั นับถือหรือเคารพคนๆนั้นเรา กม็ ักยอมรับความคิดของเขาตามท่ีเราเข้าใจ เช่น เด็กชายแดงเห็นบิดาดูรายการกีฬาทางโทรทัศน์ประจาเขาก็ จะแปลความหมายว่า กีฬาน้ันเป็นเรื่องน่าสนใจและจะต้องดูหรือถ้าเขาเห็นพ่อแม่ระมัดระวังต่อชุดรับแขกใน บา้ น มากกวา่ ของท่ีอยู่ในสนามหญ้าหลังบ้านเขาก็จะเกิดความรู้สึกว่าของในบ้านต้องระวังรักษาเป็นพิเศษ ซ่ึง การ เรยี นร้เู ชน่ นีพ้ อ่ ไมไ่ ม่จาเป็นต้องพูดว่าอะไรเลย เด็กจะเฝ้าสังเกตการณ์ปฏิบัติของพ่อแม่ต่อบุคคลอื่นอย่าง ถถ่ี ้วน จะเรียนรวู้ า่ ใครควรคบใครควรนบั ถอื ใครไมค่ วรนับถอื 4. ปัจจัยท่ีเกี่ยวกับสถาบัน ปัจจัยทางสถาบันมีอยู่เป็นอันมากท่ีมีส่วนสร้างสนับสนุนเจตคติของเรา ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติตนในวัด ในโบสถ์ การแต่งกายของคนในสถานการณ์ทางสังคมต่าง ๆ เป็นสิ่งให้แนว เจตคติของคนเราเป็นอันมาก สภาวะท่ีมีผลต่อการก่อเกิดของเจตคติน้ันมีหลายอย่าง อาทิเช่น ประการแรก ขึน้ อยู่กับการท่ีเราคิด ว่าเราเป็นพวกเดียวกัน (identification) เด็กท่ียอมรับว่าตนเองเป็นพวกเดียวกับพ่อแม่ ย่อมจะรับเจตคติของพ่อแม่ ง่ายข้ึน หรือท่ีโรงเรียนหากเด็กถือว่าครูเป็นพวกเดียวกับตนเด็กย่อมจะรับความ
เช่ือถือหรือเจตคติของครู ประการที่สอง ข้ึนอยู่กับว่าเจตคติน้ันคนอื่นๆเป็นจานวนมากเช่ืออย่างนั้นหรือคิด อย่างนัน้ (uniformity) การที่เราจะมีเจตคติเข้ากลมเกลียวเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันได้นั้นอาจจะมีสาเหตุอื่นอีก เช่นโอกาสท่ี จะได้รับเจตคติแตกต่างไปนั้นไม่มีประการหนึ่งอีกประการหนึ่งหากไม่เห็นด้วยกับส่วนใหญ่เร าเกิดความรู้สึกว่า ส่วนใหญ่ปฏิเสธเรา นอกจากน้ีประการที่สามการที่เรามีเจตคติตรงกับคนอื่นทาให้เราพูด ติดต่อกับคนอื่นเข้าใจ เม่ือเราเจริญเติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่นั้นแน่ที่สุดที่เราจะพบความแตกต่างของเจตคติ มากมาย ในบ้านน้ันนับว่า เป็นแหล่งเกิดเจตคติตรงกันที่สุด แต่พอมีเพ่ือนฝูงเราจะเห็นว่าเจตคติของเพ่ือนฝูง และของพอ่ แม่ของเขาแตกต่าง กันบ้าง ในโรงเรียนโดยเฉพาะอย่างย่ิงในระดับการศึกษาชั้นสูงเราจะพบความ แตกต่างของเจตคติมากมาย ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเจตคติแรกๆที่เราได้รับน้ัน ค่อนข้างจะคงทนถาวร เจตคติ น้ัน จะสามารถ นาไปใช้กับ สถานการณ์ใหม่ท่ีคล้ายกัน เช่น คนที่มีพ่อดุดันเข้มงวดเขาจะเกิดความมุ่งร้ายต่อ พอ่ อาจจะคดิ วา่ ผ้บู งั คบั บัญชา น้ันดุดันเข้มงวดและเกิดความรู้สึกมุ่งร้ายต่อผู้บังคับบัญชาก็ได้ หรือคนงานที่ไม่ ชอบหัวหน้างานอาจจะนาความ ไม่ชอบน้ันไปใช้ต่อบริษัทหรือเกลียดบริษัทไปด้วย ลักษณะของเจตคติ ทิตยา สุวรรรณชฎ (2520:602-603) กลา่ วถงึ ลักษณะสาคญั ของเจตคติ 4 ประการ คอื 1. เจตคติ เป็นสภาวะก่อนท่ีพฤติกรรมโต้ตอบ (PREDISPOSITION TO RESPOND) ต่อเหตุการณ์ หรือสงิ่ ใดสิง่ หน่งึ โดยเฉพาะหรือจะเรียกวา่ สภาวะพร้อมที่จะมีพฤติกรรมจรงิ 2. เจตคติ จะมคี วามคงตวั อยูใ่ นชว่ งระยะเวลา (PERSISTENCE OVERTIME) แต่มิได้หมายความว่าจะ ไม่มีการเปล่ียนแปลง 3. เจตคติ เป็นตัวแปรหน่ึงนาไปสคู่ วามสอดคล้องระหวา่ งพฤติกรรม ความรสู้ ึกนกึ คิดไม่ว่าจะเป็น การ แสดงออกโดยวาจา หรือการแสดงความรูส้ ึก ตลอดจนการทจี่ ะต้องเผชญิ หรอื หลีกเลยี่ งต่อสิง่ ใดสิ่งหน่งึ 4. เจตคติ มีคุณสมบัติของแรงจูงใจ ในอันท่ีจะทาให้บุคคลประเมินผล หรือเลือกส่ิงใดส่ิงหนึ่ง ซึ่ง หมายความต่อไปถึงการกาหนดทิศทางของพฤติกรรมจริงด้วย เจตคตินับว่าเป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญในการท างานอย่างหน่ึง นอกจากความพร้อมและการจูงใจ บุคคลที่มีเจตคติท่ีดีต่อการท างานจะช่วยให้ทางานได้ผล ทั้งน้ีเพราะเจตคติเป็นต้นกาเนิดของความคิดและการ แสดงการกระทาออกมาน่ันเอง กล่าวโดยสรุป เจตคติ เป็นลักษณะทางจิตของบุคคลท่ีเป็นแรงขับแรงจูงใจของบุคคล แสดง พฤติกรรมที่จะแส ดงออกไปในทาง ตอ่ ตา้ นหรอื สนับสนุน ต่อสง่ิ นน้ั หรือสถานการณน์ ั้น ถา้ ทราบทัศนคติของ บุคคลใดที่สามารถทานายพฤติกรรม ของบุคคลนัน้ ได้ โดยปกตคิ นเรามักแสดงพฤติกรรมในทิศทางที่สอดคล้อง กับทัศนคติที่มีอยู่ อย่างไรก็ดีเจตคติ เม่ือเกิดข้ึนแล้วอาจจะมีลักษณะที่ค่อนข้างถาวรและคงทน ความรังเกียจท่ีเรียนรู้ ในวัยเด็กอาจจะคงอยู่ต่อไป จนชว่ั ชีวติ เจตคตทิ างการเมือง ศาสนาและอ่นื ๆมักจะมคี วามคงทนเป็นอันมาก สาเหตุท่ีทาให้เจตคติบางอย่าง มีความคงทนอาจมีสาเหตดุ ังตอ่ ไปน้ี
1. เน่ืองจากเจตคตินั้นเป็นแนวทางปรับตัวได้อย่างพอเพียงคือ ตราบใดท่ีสถานการณ์น้ันยังสามารถ จะใช้เจตคติเช่นนั้นในการปรับตัวอยู่เจตคติน้ัน ก็จะยังคงไม่เปล่ียนแต่เนื่องจากไม่สามารถที่จะใช้ได้เนื่องจาก สถานการณ์ได้เปล่ียนแปลงไปแล้วเจตคติน้ันก็มักจะเปล่ียนแปลงไป เช่น ในสหรัฐอเมริกาคนส่วนใหญ่มักจะ คดั คา้ นการช่วยเหลือของรัฐบาลอย่างรุนแรง แต่พอเกิดเศรษฐกจิ ตกต่าอย่างรุนแรงก็อาจจะรับความช่วยเหลือ ของรฐั บาลมากขน้ึ 2. เหตุท่ีเจตคติไม่เปล่ียนแปลง่ายๆก็เพราะว่าผู้มีเตคติน้ันจะไม่ยอมรับรู้สิ่งยกเว้นใด ๆ เหตุการณ์ เช่นนี้เรียกว่า Selective perception เช่น คนท่ีเกลียดยิว เกิดความคิดว่าพวกยิวนี้ขี้เหนียวเอารัดเอาเปรียบ ต่อมา มียิวมาอยู่บ้านใกล้ ๆ ทั้ง ๆ ท่ียิวคนนั้นแสนจะดีเป็นกันเองให้ความช่วยเหลือเราดีเจตคติของเรามีอยู่ เดิมจะไม่ ยอมรับรูค้ วามดีของยวิ เชน่ น้นั ดงั นนั้ เจตคตจิ ึงไม่เปลย่ี น 3. สาเหตอุ กี อยา่ งหน่ึงคอื ความภกั ดีตอ่ หมกู่ ลมุ่ ท่เี ราเปน็ สมาชิกคนเราไม่อยากได้ช่ือว่าทรยศต่อ พวก ตัวอยา่ งเช่น หญงิ สาวถกู อบรมมาในครอบครวั ซง่ึ เครง่ ไม่ยอมให้เล่นการพนนั สบู บหุ ร่ีเพราะการกระท เช่นน้ัน ครอบครัวถือว่าเป็นการกระทามิใช่วิสัยสตรีที่ดีที่จะพึงกระทาต่อมาแม้ว่าจะมีโอกาสท่ีจะกระทาได้แต่ไม่ ท า เพราะเห็นว่าขัดต่อเจตคติของพอ่ แม่ที่เคยสัง่ สอนไว้ 4. ความตอ้ งการปอู งกนั ตนเอง บคุ คลท่ไี ม่ยอมเปลี่ยนเจตคติทีเ่ ขามีอยูเ่ ดมิ นัน้ อาจเน่ืองจากเหตุผล ว่า หากเขาเปลี่ยนแปลงแล้วจะทาให้คนอ่ืนเห็นว่าเขาอ่อนแอ เช่น คนขายของเสนอวิธีการขายใหญ่ให้หัวหน้า หัวหนา้ เห็นวา่ ดีเหมือนกันแตไ่ ม่ยอมรบั เพราะเหน็ วา่ เป็นเรอ่ื งทีท่ าให้คนอนื่ เหน็ หวั หนา้ ไม่มคี วามสามารถ 5. การได้รับการสนับสนุนจากสังคมนั้นคือการท่ีเราเช่ืออย่างนั้นมีเจตคติอยู่อย่างน้ันเรายังได้รับการ สนับสนนุ กบั คนทมี่ คี วามเช่ืออยา่ งเดยี วกับเราอยู่ หน้าท่แี ละประโยชนข์ องเจตคติ Katz (อา้ งในนพมาศ 2534:130) มองว่าเจตคตมิ ปี ระโยชน์และหนา้ ที่ คอื 1. เปน็ ประโยชน์โดยการเป็นเครือ่ งมอื ปรบั ตวั และเป็นประโยชนใ์ นการใชเ้ พ่อื ทาการตา่ ง ๆ 2. ท าประโยชนโ์ ดยการใช้ปูองกัน สภาวะจิตใจ หรือปกปูองสภาวะจิตของบุคคล (EGODEFENSIVE FUNCTION) เพราะความคิด หรือความเช่ือบางอย่างสามารถท าให้ผู้เช่ือ หรือคิดสบายใจ ส่วนจะผิดจะถูก เป็น อกี เรื่องหน่งึ 3. เจตคติทาหน้าท่ีแสดงค่านิยม ให้คนเห็นหรือรับรู้ (VALUE EXPRESSIVE FUNCTION) 4. มี ประโยชนห์ รอื ให้คณุ ประโยชน์ทางความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ผคู้ นและสิง่ ต่างๆ
5. ช่วยให้บุคคลมีหลักการและกฎเกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรมหรือช่วยพัฒนาค่านิยมให้กับบุคคล การท่ีบุคคลมีทัศนคติท่ีดีต่อบุคคล สถานการณ์ต่าง ๆ ในสังคมจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้บุคคลสามารถประเมิน และ ตัดสนิ ไดว้ ่าควรจะเลือกประพฤติอยา่ งไรจงึ จะเหมาะสมและดงี าม ชม ภูมิภาค (2516:65) หน้าที่ของเจตคติ เจตคติทาหน้าท่ีเก่ียวกับการรับรู้อยู่มาก เจตคติมีส่วน กาหนดการมองเหน็ ของคน นอกจากนย้ี ังทาหนา้ ที่อ่ืน ๆ อกี เชน่ 1. เตรยี มบคุ คลเพือ่ ใหพ้ รอ้ มต่อการปฏิบัตกิ าร 2. ช่วยให้บุคคลไดค้ าดคะเนลว่ งหนา้ วา่ อะไรจะเกิดขน้ึ 3. ทาให้บคุ คลไดร้ บั ความสาเร็จตามหลักชยั ทว่ี างไว้ การเปลี่ยนแปลงเจตคติ สุชา จันเอม และสุรางค์ จันเอม (2520:110-111) กล่าวว่า ทัศนคติของบุคคลสามารถเปล่ียนแปลง ได้เน่อื งมาจาก 1) การชักชวน (PERSUASION) ทัศนคติจะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงใหม่ได้หลังจากที่ได้รับ คาแนะนาบอกเล่า หรือได้รบั ความรเู้ พิ่มพูนข้นึ 2) การเปลยี่ นแปลงกลมุ่ (GROUP CHANGE) ช่วยเปลยี่ นทัศนคตขิ องบุคคลได้ 3) การโฆษณาชวนเชอ่ื (PROPAGANDA) เปน็ การชกั ชวนให้บุคคลหันมาสนใจหรือรับรู้โดยการ สร้าง สิ่งแปลกๆใหม่ๆขึน้ สง่ิ ทมี่ ีอทิ ธิพลตอ่ เจตคติ คือ 1. บิดา มารดา ของเด็ก 2. ระเบียบแบบแผน วฒั นธรรมของสังคม 3. การศกึ ษาเล่าเรียน 4. ส่ิงแวดลอ้ มในสังคม 5. การพักผ่อนหย่อนใจที่แต่ละคนใช้ประจาตัว การแก้ไขเจตคติหรือวิธีสร้างเจตคติ เจตคติ เป็นเร่อื งทแ่ี ก้ไขไดอ้ ยากถ้า จาเปน็ จะต้องชว่ ยแก้ไขเปล่ียนเจตคตขิ องคนอาจใชว้ ธิ เี หลา่ น้นั คอื 1. การคอ่ ย ๆ ช้นื ลงใหเ้ ขา้ ใจ 2. หาสิ่งเร้าและส่งิ จงู ใจอยา่ งเข้มข้นมาย่ัวยุ 3. คบหาสมาคมกบั เพอ่ื นดดี ี
4. ให้อ่านหนังสอื ดีมีประโยชน์ 5. ให้ลองทาจนเหน็ ชอบแล้วกลับตัวดีเอง ชม ภูมิภาค (2516:65) ได้อธิบายว่าเจตคติเปลี่ยนแปลงได้ ปัจจัยที่จะช่วยให้เจคติเปลี่ยนแปลงได้มี หลายประการเช่น 1. ความกดดันของกลุ่ม(Group pressure) หากกลุ่มจะสามารถให้รางวัล หรือลงโทษได้ย่อมจะมีแรง กดดันมากในการที่จะกดดันทิศทางเจตคติของเราส่ิงย่ัวยุท่ีเป็นรางวัลน้ัน ได้แก่ ความเป็นผู้มีคนรู้จักมากการ เล่ือนตาแหน่งการงาน สัญลักษณ์ของการยอมรับนับถือเป็นต้น ส่วนสิ่งย่ัวยุท่ีเป็นการลงโทษก็เช่น การเสีย เพ่อื น ฝงู เสียชอื่ เสยี ง เสียตาแหน่ง เป็นต้น ย่ิงเรามีความผิดปกติไปจากกลุ่มเท่าใดแรงบีบบังคับของหมู่มีมาก เท่าใด หรือย่ิงหมู่กลุ่มน้ัน ย่ิงเราต้องการเป็นสมาชิกของหมู่ใด แรงบีบบังคับของหมู่ย่อมมีมากเท่านั้นหรือย่ิง หม่กู ลุ่ม ต้องการเรามากเท่าใดกลมุ่ ก็ยิ่งตอ้ งการใหเ้ ราปฏิบัติตามมาตรฐานของกลุ่มเท่านั้น กลุ่มท่ีมีเกียรติศักดิ์ หรือ ศักด์ิศรีต่าในหมู่อาจจะกระทาผิดแปลกไปได้บ้าง แต่ยิ่งมีตาแหน่งสูงหรือศักด์ิศรีสูงแล้วกระทาผิด มาตรฐาน เพียงนิดเดียวแรงกดดันของหมู่จะเกดิ ข้นึ ทนั ทเี พือ่ ให้ปฏิบัติอยู่ในแนว นอกจากนี้แรงกดดันของกลุ่ม จะมีมากก็คือ การที่ไม่มีมาตรฐานอ่ืนท่ีจะปฏิบัติหรือมีน้อยทางที่จะ เลือกหรือเราไม่มีความรู้มากมายนักใน เรื่องนั้น บุคคลมักจะเปล่ียนความคิดเห็นหรือเจตคติหากกลุ่มของเขาท่ี ยึดอยู่เปลี่ยนแปลงไปตัวอย่างเช่น กรรมกร แรกๆอาจไม่สนใจกันรวมเป็นสมาคมแต่ต่อมาหากรู้ว่าคนอื่น ๆ ใน กลุ่มรับฟังความคิดเห็นน้ัน เขาก็ อาจเปลี่ยนความคิดยิ่งกลุ่มมีความเป็นเอกภาพเท่าใดแรงกดดันของกลุ่มย่ิงมี ผลเท่าน้ันเร่ืองอานาจของความ กดดนั ของกล่มุ อนั มีผลต่อการเปล่ียนแปลงน้ันอาจจะเปน็ ไปได้ 4 กรณคี ือ 1.1 เราอาจปฏิเสธบรรทัดฐานของกลุ่มและยึดมั่นในเจตคติของเราและเรา อาจจะก้าวร้าว ยิ่งขน้ึ หากเราเชอ่ื ว่ากลุม่ ไมม่ ีผลบบี บังคบั เรามากนักหรอื เรามีความภักดตี อ่ กล่มุ อืน่ มากกวา่ 1.2 เราอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงต่อเจตคติของเราแต่เราปฏิบัติตามกลุ่มเพราะเหตุผลภายนอก อยา่ ง อื่นโดยถอื วา่ เป็นสว่ นตัวและเราไม่เหน็ ดว้ ยแตส่ ว่ นรวมทาเช่นนน้ั กต็ อ้ งปฏบิ ตั ิตาม 1.3 เราอาจยอมรับบรรทัดฐานของกลุ่มเพียงผิวเผิน ภายในส่วนลึกของจิตใจเราไม่ยอม เปล่ียนแต่ พอเราออกไปอยกู่ ล่มุ อน่ื เราจะไดเ้ ห็นวา่ เราเปล่ยี นแปลงเป็นอยา่ งอนื่ 1.4 เราอาจจะนาเอาบางส่วนของบรรทัดฐานของกลุ่มมาผนวกกับความเช่ือของเราและ ปฏิเสธ บางสว่ น 2. ประสบการณ์ท่ีน่าพึงพอใจหรือไม่น่าพึงพอใจ เราอาจเปลี่ยนแปลงเจตคติไปได้เม่ือได้รับ ประสบการณท์ นี่ า่ พอใจหรอื ไมน่ า่ พอใจ เช่น นายแดงเขา้ ทางานบริษัทหน่ึงเพราะเขาเชื่อว่าจะมีความก้าวหน้า แต่พบว่า หัวหน้าของเขาเป็นคนขี้อิจฉาเม่ือเขาเกิดเสนอความคิดเห็นดีๆเพื่อปฏิบัติหัวหน้าอาจจะเห็นว่าการ
เสนอแนะของเขาเช่นนั้นทาให้ฐานะของเขาสั่นคลอนและนอกจากน้ันยังทราบดีว่าเพ่ือนร่วมงานของเขาไป ฟู อง แกห่ ัวหนา้ งานบอ่ ยๆเขาจงึ อาจเปลี่ยนเจตคติไปอีกแบบหนึ่งคือมองไม่เห็นความก้าวหน้าในการท างานกับ บริษัท น้ี เช่นนเี้ ป็นตน้ 3. อิทธิพลของกลมุ่ บุคคลทีม่ ชี อ่ื เสยี ง บุคคลทมี่ ีช่ือเสียงในความหมายนี้อาจจะเป็นเพื่อนซ่ึงเรานับถือ ความคิดของเขาหรืออาจจะเป็นผู้เชียวชาญทางด้านความพิเศษต่างๆ ตัวอย่างท่ีเห็นได้ชัดในเร่ืองนี้ก็คือ การ โฆษณา ซ่ึงมักจะใช้คนมีช่ือเสียงไปยุ่งเก่ียว เช่น ดาราภาพยนตร์ชื่อดังคนน้ันใช้สบู่ยี่ห้อนั้น ๆ เป็นต้น เจตคติ เป็นความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อส่ิงต่าง ๆ อันเป็นผลเน่ืองมาจากการเรียนรู้ ประสบการณ์ และ เป็นตัวกระตุ้น ให้บุคคลแสดงพฤติกรรมหรือแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น ๆ ไปในทิศทางหน่ึงอาจเป็นไป ในทาง สนับสนุนหรอื คัดค้านกไ็ ด้ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับขบวนการการอบรมให้การเรียนรู้ระเบียบวิธีของสังคมซึ่งเจตคติน่ี จะ แสดงออกหรอื ปรากฏให้เหน็ ชดั ในกรณีทส่ี ิ่งเร้านนั้ เปน็ สิง่ เรา้ ทางสังคม องค์ประกอบของเจตคติ องคป์ ระกอบของเจตคติมี 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1. ด้านความคิด ( Cognitive Component) หมายถึง การรับรู้และวินิจฉัยข้อมูลต่าง ๆ ท่ีได้รับ แสดง ออกมาในแนวคดิ ที่วา่ อะไรถูก อะไรผิด 2. ดา้ นความรสู้ ึก ( Affective Component) หมายถึง ลกั ษณะทางอารมณ์ของบุคคลท่ีสอดคล้องกับ ความคดิ เช่น ถา้ บุคคลมีความคิดในทางท่ีไม่ดีต่อสิ่งใด ก็จะมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อส่ิงน้ันด้วย จึงแสดงออกมาใน รูปของความรู้สกึ ไม่ชอบหรือไม่พอใจ 3. ด้านพฤติกรรม ( Behavior Component) หมายถึง ความพร้อมที่จะกระทาซึ่งเป็นผลมาจาก ความคิด และความรู้สึกและจะออกมาในรูปของการยอมรับหรือปฏิเสธ การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ทฤษฎี แรงจูงใจ ความหมายและองค์ประกอบของแรงจูงใจ ( Motivation) แรงจูงใจ หมายถึง สภาวะท่ีอินทรีย์ถูก กระตุน้ ให้แสดงพฤตกิ รรมเพื่อไปยังจุดมุ่งหมายดังนั้น แรงจูงใจจึงเป็นความปรารถนา ที่บุคคลมีความต้องการ ที่จะบรรลุเป้าหมาย โดยการเรียนรขู้ องแต่ละคนนัน่ เอง เมอ่ื บุคคลได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าต่างๆ และบุคคล จะเกิดความต้องการ (Needs) และถ้าความต้องการของ บุคคลไม่ได้รับการตอบสนอง บุคคลจะเกิด ความเครียด (stress) เม่ือบุคคลสะสมความเครียดไว้มาก ๆ บุคคลจะ ขาดความสุขในการดาเนินชีวิต การ สะสมความเครียด ความวิตกกังวลมาก ๆ จะทาให้บุคคลเกิดแรงขับ (drive) ที่จะกระทากิจกรรมบางอย่าง หรือแสดงพฤติกรรมบางอย่างให้ลดความเครียดน้ันลงมากระบวนการที่เกิดขึ้น ภายในน้ีเอง ซึ่งจะทาการ กระตุ้นใหบ้ คุ คลไปสกู่ ารกระทาบางอย่างท่ีไปสู่เป้าหมาย กระบวนการเชน่ นเี้ รียกวา่ แรงจูงใจ ( Motivation )
องคป์ ระกอบในการเกิดแรงจูงใจ มี 4 ขัน้ ตอน คือ 1. ข้ันความตอ้ งการ (needs stage) ออความต้องการเป็นสภาวะขาดสมดุลที่เกิดได้เม่ือบุคคลขาดส่ิง ท่ี จะทาให้ส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกายทาหน้าที่ไปตามปกติ ส่ิงที่อาจจะเป็นสิ่งที่จาเป็นต่อการดาเนินชีวิตจึงท ให้ เกดิ แรงขับและเกิดแรงกระตุ้น เช่น ความหิว เม่ือบุคคลหิวบุคคลก็ต้องพยายามหาอาหาร คนท่ีลดน้าหนัก โดย การใช้ยาลดความอ้วน ยาจะไปกดประสาทไม่ให้หิวแต่พอหลังจากไม่ใช้ยาลดน้าหนัก จะเห็นว่าคนท่ีลด น้าหนัก โดยใช้ยาจะกินอาหารชดเชยมากข้ึนและอาจจะกลับมาอ้วนใหม่อีก หรือเด็กเล็กท่ีไม่กินนมตอนปุวย แต่พอให้ ป่วยเด็กจะเร่ิมกินนมมากขึ้นเพื่อชดเชยตอนที่ป่วย ความกระหายก็เป็นความต้องการอีกอย่างที่เมื่อ เกิดแลว้ บุคคลต้องหาวธิ ีการเพอื่ ใหห้ ายกระหาย ความต้องการทางเพศและความต้องการการพักผ่อนก็จัดเป็น ความ ต้องการข้ันพ้ืนฐานในการดารงชีวิต และไม่มีใครในโลกนี้ท่ีพยายามฝืนเพื่อไม่ให้ตนเองหลับ มนุษย์ทุก คนต้องการ การพกั ผอ่ นดว้ ยกนั ท้งั ส้ิน 2. ขั้นแรงขับ (drive stage) หรือภาวะท่ีบุคคลถูกกระตุ้นให้เกิดแรงขับ เม่ือบุคคลเกิดแรงขับแล้ว บคุ คล จะน่งิ อย่เู ฉย ๆ ไมไ่ ด้บคุ คลอาจจะรสู้ กึ ไมม่ ีความสุข กระวนกระวายใจ ดังนั้นบุคคลจะคิดค้นหาวิธีการที่ ทาให้ ตนเองร้สู ึกวา่ ได้รบั การตอบสนองจากความหิว ความกระหายความต้องการทั้งปวงที่เกิดข้ึน เพ่ือผลักดัน ให้ไปสู่ จดุ หมายปลายทาง ตามท่บี คุ คลต้องการ เชน่ เมื่อเราวิ่งเหนื่อย ๆ อากาศก็ร้อนจัดทาให้เราเหนื่อยและ คอแหง้ อยากกินนาา สิง่ ที่เราต้องการบาบัดความกระหายในช่วงเวลานั้นคือน้า บุคคลจะพยายามทุกวิธีทางที่ จะหานา้ มา ดม่ื 3. ข้ันพฤติกรรม (behavior stage) เป็นขั้นท่ีเกิดแรงขับอย่างมากที่ทาให้บุคคลเดินไปหาน้าดื่ม โดย การ เดินเขา้ ไปในรา้ นสะดวกซ้ือแล้วเปดิ ขวดดม่ื แล้วจึงเดนิ มาจา่ ยสตางค์หรือถ้าทนต่อความกระหายน้าได้ก็รีบ เดิน อย่างรวดเร็วไปจา่ ยสตางค์แล้วยกน้าดมื่ รวดเดยี วหมดขวด ชื่นใจ ความกระหายกบ็ รรเทาลง 4. ข้ันลดแรงขับ ( drive reduction stage ) เป็นขั้นสุดท้ายท่ีอินทรีย์ได้รับการตอบสนองคือ ได้ดื่ม น้าเป็น ขั้นที่บุคคลเกิดความพึงพอใจ ความต้องการต่างๆ ก็จะลดลง ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข แบบ แบบการกระทาของสกินเนอร์ สกินเนอร์ (B.F. Skinner) เกิดในมลรัฐเพนซิลวาเนีย ในปี ค .ศ. 1904 มี บทบาทสาคัญในการน าบทเรียน สาเร็จรูปและเครื่องมือมาใช้ บางคนเรียกว่า ทฤษฎีเสริมแรง การเสริมแรง เป็นการช่วยตอบสนอง ส่ิงเร้าให้เรา กฏขึ้นซ้ าอยู่เสมอจนทาให้เกิดความเคยชินส่ิงเร้าเดิม การตอบสนอง เช่นเดิม ก็ตามมาคือ เกิดเป็นการเรียนรู้ การทดลองของสกินเนอร์ ได้ทดลองกับหนูขาว โดยมีข้ันการทดลอง ดงั นี้
ขัน้ ที่ 1 กอ่ นการเรยี นรู้ ---> กดคาน (CR) ---> อาหาร (UCS) ---> กนิ (UCR) ข้ันท่ี 2 หลังการเรยี นรู้ (S1) ---> (R1) ---> S2 ---> R2 คาน(CS) กดคาน(CR) อาหาร(UCS) กิน(UCR) การประยุกตใ์ ชใ้ นการสอน 1. การตัง้ จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 2. การใช้ตัวเสริมแรง ไดแ้ ก่ ย้ิมแยม้ การชมเชยจากครู คะแนน 3. การใช้บทเรียนส าเร็จรปู
บทที่ 3 วิธกี ารดาเนนิ การศึกษาค้นควา้ การศึกษาวิจัยคร้ังน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียน ให้เป็นผู้มีวินัย และ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่และการเรียนดีข้ึนของ นักเรียน ชั้น ม.4 สาขาการโรงแรม ปีการศึกษา 2563 ได้ ดาเนินการตามข้ันตอนดังน้ี 1. ขั้นตอนการดาเนินการวิจัย 2. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 3. เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 4. การเก็บรวบรวมข้อมลู 5. การวิเคราะห์ขอ้ มูล 1. ขัน้ ตอนการดาเนนิ การวิจยั ผ้วู ิจยั ไดก้ าหนดขัน้ ตอนในการวจิ ัยไวด้ ังนี้ 1. ศึกษาหลักการทฤษฏีจิตวิทยาการศึกษา เจตคติ (Attitude) ทฤษฎีแรงจูงใจ ทฤษฎีการเรียนรู้ แบบวางเง่ือนไข แบบแบบการกระทาของสกินเนอร์ ลักษณะด้านวินัยในห้องเรียน ความ ขยนั อดทนและความ รบั ผดิ ชอบ 2. กาหนดกรอบความคิดในการวิจัยเพื่อทาการศึกษา ความมีวินัยในตนเองความ รับผดิ ชอบ ของ นักเรยี น ชัน้ ม.4 สาขาการโรงแรม ปกี ารศึกษา 2563 3. กาหนดวัตถุประสงค์ 4. กาหนดกลุ่มประชากร ใน การวิจัยครั้งน้ี ได้กาหนดกลุ่มประชากร คือ นักเรียน ชนั้ ม.4 สาขาการโรงแรม ปกี ารศึกษา 2563 จานวน 18 คน 5. สร้างเคร่ืองมือการวิจัย โดยผู้วิจัยศึกษาจากหลักการ ทฤษฎี แนวคิด วัตถุประสงค์ เพ่ือ จ าแนกว่า ควรสร้างเคร่ืองมือวัดด้านใด บ้างให้เหมาะสมกับสภาพของ นักเรียน ช้ัน ม.4 สาขาการโรงแรม ปีการศึกษา 2563 จานวน 18 คน ท่นี ามาทาการวจิ ยั ในคร้งั น้ี 6. การเก็บรวบรวมข้อมลู ผู้วจิ ยั ไดด้ าเนินการเกบ็ ขอ้ มลู ดวั ยตัวเองโดยการสังเกต ให้ นกั ศึกษา กลุ่มตวั อย่างได้ตอบแบบสอบถาม
7. การสรุปผลการวิจัยและนาเสนอผลการวิจัย โดยนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูล และเขียน สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ประชากร / กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษา ครัง้ น้ีเป็นนกั เรยี น ช้นั ม.4 สาขาการโรงแรม ปกี ารศึกษา 2563 จานวน 18 คน 3. เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการศึกษาค้นคว้า ในการทาวิจยั คร้ังน้ี เครอื่ งมือทใี่ ชเ้ ป็นแบบสังเกต แบบสอบถาม ทผ่ี ้วู จิ ัยสร้างขึน้ เอง 4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผ้วู ิจยั ได้ใชก้ ารสังเกตและนาเครื่องมือท่ีสร้างขึ้น ให้นักเรียน ชั้น ม.4 สาขา การโรงแรม ปกี ารศกึ ษา 2563 จานวน 18 คน ไดต้ อบแบบสอบถามและเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยตนเอง 5. การวิเคราะหข์ ้อมลู ผวู้ จิ ยั ใช้คา่ รอ้ ยละในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู การศึกษาวิจัยการปรับเปล่ียนพฤติกรรมการเรียนให้เป็นผู้มีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าท่ีและ การเรยี นดขี นึ้ ของ นกั เรยี น ช้ัน ม.4 สาขาการโรงแรม ปีการศึกษา 2563 จานวน 18 คนปรากฏว่าได้รับความ ร่วมมือจาก นักเรียนเป็นอย่างดี จึงทาให้นักเรียนมีการปรับเปล่ียนพฤติกรรม สามารถ ตอบสนองต่อตัว นักเรียนเอง ทาให้ นักเรียนมีพฤตกิ รรมการเรยี นท่ีดีขึน้ มีวินัยในตนเองและ มคี วามรบั ผดิ ชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับ มอบหมายและการ เรยี นดีข้ึน ผูว้ ิจยั ไดด้ าเนินการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ตามลาดบั ขนั้ ตอนดังน้ี 1. การวเิ คราะห์ข้อมูล 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ในการศึกษา วิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยได้ การดาเนินติดตาม ข้อมูลด้วยตวั เองโดย การสงั เกต สมั ภาษณ์ ให้ นักเรียนตอบแบบสอบถามและมีการติดตามดูแลพฤติกรรมและ การเรียนของนักเรียนอย่างใกล้ชิด ดังนี้ ผู้วิจัยได้ดาเนินการศึกษาและสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน ชั้น ม.4 สาขาการโรงแรม ปีการศึกษา 2563 จานวน 18 คน โดยการสังเกตพฤติกรรมและการเรียนของนักเรียนใน ช่ัวโมง Home-room ขณะท่ีทาการสอน และสอบถามจาก ครูแต่ละวิชาท่ีทาการสอน ซึ่งพบว่ามีนักเรียนที่มี ปัญหาด้านพฤติกรรมการเรียน ขาดวินัยและความรับผิดชอบ เช่น มาสาย ไม่สนใจเรียน ไม่ส่งงานตาม กาหนดเวลา บางครั้งไม่มาเรียน มีการจดบันทึกและติดตามนักเรียน เป็นรายกรณี โดยการว่ากล่าวตักเตือน และมีการบนั ทกึ เปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร และมีการให้นักเรยี นตอบ แบบสอบถาม สรุปได้ดังน้ี จากแบบสอบถามนักเรียนเกี่ยวกับความมีวินัยและรับผิดชอบในห้องเรียน (คร้ังที่ 1) สรุปได้ ดังน้ี นักเรยี นมักนางานวชิ าอืน่ มาท า ขณะทก่ี าลังเรยี นวชิ าหน่งึ นกั เรยี นที่ทาเปน็ ประจามากที่สุด คิดเป็น รอ้ ยละ 76.74 นักเรียนพูดคุยและเลน่ เพื่อนในขณะท่ีครูสอน นักเรียนท่ีทาเปน็ ประจามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 69.77 นักเรียนส่งงานและการบ้านตรงเวลาท่ีครูกาหนด นักเรียนที่ทา เป็นประจามากท่ีสุดคิดเป็นร้อยละ 72.09 นักเรียนนอนหลับในห้องเรียนขณะชั่วโมงเรียน นักเรียนท่ีทาเป็นประจา มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 58.14 นักเรียนไม่ทาการบ้านและลอกการบ้านเพ่ือน นักเรียนที่ทาเป็นประจา มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 74.41 นักเรียนทาผิดจะพยายามแก้ไขโดยไม่ท้อแท้ นักเรียนที่ทาบางครั้ง มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 44.19 นักเรียนมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ งานที่ได้รบั มอบหมาย นกั เรยี นทที่ าเป็นประจาและทาเป็น บางครั้ง มาก ที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.51
นักเรียนมาเรียนตรงเวลาและต้ังใจเรียน นักเรียนท่ีทาบางครั้ง มากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 51.16 นักเรียนรู้จักวางแผนและเตรียมพร้อมที่จะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย นักเรียนที่ทาบางคร้ัง มากที่สุด คดิ เป็นรอ้ ยละ 46.51 นักเรียนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการอ่านหนังสือ นักเรียนท่ีทาบางครั้ง มากที่สุด คิดเป็นร้อย ละ 46.57 หลังจากท่ีผู้วิจัยได้ทาการสังเกตพฤติกรรมของ นักศึกษาและได้ใช้แบบสอบถามเก่ียวกับความมีวินัย ความรับผิดชอบและความสนใจการเรียน โดยให้นักเรียน ช้ัน ม.4 สาขาการโรงแรม ปีการศึกษา 2563 จานวน 18 คน ตอบแบบสอบถามด้วยความจริงแล้วน ามาสรุปโดยใช้ค่าร้อยละในการวิเคราะห์ผลการวิจัย (จากแบบ สรุปผลการตอบแบบสอบถาม ) และประกอบกับ ผลการเรียนของภาคเรียนท่ี 1 ทาให้ผู้วิจัยได้ทา การสังเกต นักศึกษา ที่มี พฤติกรรมใน ลักษณะดังกล่าว และมีผลการเรียนค่อนข้างต่าา ซ่ึงผู้วิจัยจะทาการวิ จัยเพื่อเป็น ปรับเปลี่ยนด้านพฤติกรรมให้นักเรียนในห้องเรียนมีวินัยและความรับผิดชอบ ต้ังใจเรียน จึงได้ ดาเนินการโดยให้ แต่ละคนรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ และร่วมกัน สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ภายในห้องเรียน ใหเ้ อ้ือตอ่ การเรยี น การสอน โดยการวางเงอื่ นไขกนั ภายในหอ้ งเรยี น สรา้ งแรงจงู ใจ และสร้างความตระหนักให้ นกั เรยี นเหน็ ถงึ ผล ของการไมม่ ีวนิ ัย ขาดความรบั ผิดชอบ และไมต่ ัง้ ใจเรียน โดยไดด้ าเนินการ ดงั น้ี ๏ ใหน้ ักเรียนแตล่ ะคนเขียนคามนั่ สญั ญา ๏ ขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง ร่วมกันดูแลพฤติกรรมและการเรียนของนักเรียน ให้ผู้ปกครองแจ้ง พฤติกรรมของนักเรียนขณะอยู่บ้าน เมื่อนักเรียนขาดเรียนหรือมาสายให้ครูทราบและครูก็มีการติดตาม นกั เรยี น รว่ มกัน ๏ ขอความร่วมมือจากครูที่ทาการสอนทุกท่านให้ข้อมูลด้านพฤติกรรมของนักเรียนขณะเรียน ในแต่ ละวิชา ๏ ขอความรว่ มมอื กับเพ่อื นภายในหอ้ งเรยี น โดยการจัดเป็นกลุ่ม 7 กล่มุ กลุ่มละ 4 คน รวมเป็นทั้งส้ิน จานวน 28 คน โดยครูจะคัดเลือกนักเรียนที่มีความ รับผิดชอบ ตั้งใจเรียนและมีผลการเรียนค่อนข้างดี เป็น หัวหน้ากลุ่มเพ่ือเป็นพ่ีเลี้ยงภายในกลุ่ม และให้นักเรียนท่ี เหลือเข้ารวมกลุ่มกันเองตามความสมัครใจให้ครบ จานวนตามที่กาหนด หลังจากนั้นให้แต่ละกลุ่มเขียนคาม่ัน สัญญาร่วมกัน และร่วมกันวางแผนการศึกษาต่อ ระดบั มหาวิทยาลัย ซงึ่ นักเรียนท่ีได้รับการแต่งต้ังให้เป็นหัวหน้า กลุ่มจะดาเนินการแต่งตั้งกรรมการแต่ละด้าน ร่วมกันดแู ลภายในกลมุ่ เชน่ ดูแลเกยี่ วกับพฤตกิ รรม การขาดเรยี น มาสาย การเรียนฯลฯ นักเรียนจะ เข้ากลุ่ม รว่ มกนั ท างานและเป็นพี่เล้ยี งคอยให้คาปรึกษา ชว่ ยเหลือกรณี ไม่ เขา้ ใจบทเรียน อา่ นหนังสอื และทางานแต่ ละวิชาได้สาเร็จ ผู้วิจัยได้ ติดตาม ดูแลและสังเกตนักเรียน เป็นระยะ ๆ และใน กรณีท่ีนักเรียนมีปัญหา ไม่ว่า
จะเป็น ปญั หาด้านพฤตกิ รรมและการเรียน หวั หน้ากลุม่ แต่ละกลุ่มจะรายงาน ครูและร่วมกันแก้ปัญหา ทั้งด้าน การมา เรียน ถ้ามีนักเรียนขาดเรียน ภายในกลุ่ม จะแจ้งให้ครูทราบและ มีการติดตามให้มาเรียนและช้ีให้ นักเรียนเห็น ความสาคัญของการเรียนต้องมีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี ทาให้บรรยากาศการเรียนรู้ ภายในห้องเรียนดี ข้ึน รู้จักเสียสละ มีความสามัคคีและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภายในห้องเรียนมีการจัด กิจกรรม ต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น ร่วมกันทาความสะอาดห้องเรียนนอกเหนือจากเวรทาความสะอาดประจาวันแล้ ว แข่งขันกีฬาภายใน ห้องเรียนนอกจากน้ีมีการ จัดให้นักเรียน เข้าร่วมกิจกรรมรักการอ่านการรู้จักการออม โดยในแต่ละ สัปดาห์จะมี การให้นักเรียนนาเงินท่ีเหลือมาฝากเงินกับธนาคารโรงเรียน ท้ังนี้ เพ่ือเป็นฝึกให้ นักเรียนมีความรับผิดชอบ และ รู้จักประหยัดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผู้วิจัยได้สังเกตพบว่า พฤตกิ รรมของนกั เรยี นภายในห้องหลังจากมกี ารแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มย่อย ๆ แล้ว ให้เพื่อนคอยเป็นพ่ีเล้ียงแนะนา เพือ่ นไมว่ ่าจะเปน็ ด้านพฤตกิ รรมและการเรยี น ทาให้ มีบรรยากาศทเ่ี อื้อต่อการ เรียนการสอนมากขึ้น เม่ือนหา นักเรียนมาร่วมกันทากิจ กรรมของโรงเรียน พบว่านักเรียนมีความกระตือรือร้นใน การเข้าร่วมกิจกรรม และ เอาใจใส่ตอ่ การเรียนมากขน้ึ ขณะเขา้ แถวกม็ ีความเป็นระเบียบและมีวินยั มากข้นึ ตามลาดับ เม่ือแต่ละวิชาท า การสอบกจ็ ะพบว่า นกั เรียนจะเขา้ กล่มุ ร่วมกันอา่ นหนงั สอื และมีการซักถามบทเรียนที่ไม่เข้าใจ เพ่ือนท่ีเข้าใจก็ จะอธิบายให้กับเพ่ือน ท่ีไม่เข้าใจบทเรียนทาให้ได้ คะแนนดีข้ึน ครูก็ให้คาชมเชยและให้กาลังใจนักเรียน เพ่ือท่ีจะไ ด้มีกาลังใจ ทาต่อไป รู้จักหน้าท่ีและมีความรับ ผิดชอบมากขึ้น ทาให้นักเรียนเห็นความสาคัญของ ตัวเอง สนใจเรียนมากข้ึน มีการ ซักถามเก่ียวกับบทเรียนกับ ครูให้อธิบายให้เข้าใจ โดยดูจากพฤติกรรม การ เรยี น การส่งงานตรงกาหนดเวลา และได้รับคาชมเชยจากครูแต่ละวิชาท่ีทาการสอน โดยภาพร่วมของนักเรียน ในห้อง ปฏบิ ตั ิตามกฎระเบียบของ โรงเรยี น ตัง้ ใจเรียน ชว่ ยเหลือซึง่ กันและกนั มากขนึ้ มีน้าใจ รู้จักเสียสล ะ มี การปรับเปล่ียนพฤติกรรม การมา เรียนให้มาทันเรียน หลังจากผู้วิจัยเห็นการ ปรับเปล่ียนพฤติกรรมให้ นักเรียนเป็นผู้มีวินัย มีความรับผิดชอบต่อการเรียน และมีบรรยากาศภายในห้องเรียน ดีข้ึน ครูก็มีการพูดคุย และรว่ มกนั ประเมนิ ผลการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของ แต่ละคน โดย การสัมภาษณ์และ ให้นักเรียน แต่ละคน ตอบแบบสอบถามชุดเดิมอีกคร้ัง แล้วน ามาสรุป เปรียบเทียบกับการตอบแบบสอบถามคร้ังแรก พบว่า นักเรียนมีความรัก สามัคคีในหมู่คณะ มีความรับผิดชอบ มาเรียนเป็นประจา ต้ังใจเรียนและทางานที่ได้รับ มอบหมาย มีผลการเรยี นดขี นึ้ ทาให้เกดิ ความภาคภมู ใิ จใน ตนเอง ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู จากผลการวิเคราะห์ ข้อมูลจากการสังเกต การสัมภาษณ์ ข้อมูลด้านการเรียนของแต่ละวิชา การตอบ แบบสอบถามจากนักเรียน และจาก การใชแ้ รงจงู ใจ เสรมิ แรงโดยให้คาชมเชยแก่นักเรียน รวมท้ังดูแลด้านการ เรียนให้มีความรับผิดชอบ สนใจเรียน และติด ตามจาก ผู้ปกครอง คุณครูท่ีเข้าสอนแต่ละวิชา ปรากฏว่า นักเรียน ช้ัน ม.4 สาขาการ โรงแรม ปีการศึกษา 2563 จานวน 18 คน มีความเอาใจใส่ต่อการเรียน รับผิดชอบและ สนใจเรียน มากขึ้น โดย สังเกตจาก บรรยากาศการเรียนภายในห้องเรียนท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ ทาให้นักเรียนมีความ กระตือรือร้น ตอ่ การมาเรียนและการเรียน มีความต้ังใจเรียน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ขาดเรียนหรือมาสาย ทางานท่ี
ได้รับมอบหมายและส่งงานตรงกาหนดเวลา รู้จกั ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ด้วยความเต็มใจ ยังส่งผลทาให้ผลการ เรียนมีวินัย ความรับผิดชอบและความสนใจการเรียนของนักเรียน โดย สรุปจากผลการเปรียบเทียบ จากการ ตอบแบบสอบถาม ดังนี้ ข้อ รายการ ทาเป็นประจา ทาเป็นบางคร้ัง ไม่เคยทา 53.49 1 นักเรียนมักนางานวิชาอื่นมาท า ขณะท่ีกาลัง 9.30 37.21 39.54 เรยี นวชิ าหนงึ่ 65.12 2 นกั เรยี นพดู คยุ และเล่นเพือ่ นในขณะท่ีครูสอน 13.95 46.51 65.35 88.37 3 นักเรียนส่งงานและการบ้านตรงเวลาที่ครู 4.65 30.23 0.00 0.00 กาหนด 0.00 4 นักเรียนนอนหลับในหอ้ งเรียนขณะช่ัวโมงเรยี น 0.00 4.65 0.00 5 นักเรียนไม่ทาการบ้านและลอกการบ้านเพื่อน 0.00 11.63 0.00 6 นักเรยี นทาผดิ จะพยายามแก้ไขโดยไม่ท้อแท้ 90.69 9.31 7 นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ 93.03 6.97 มอบหมาย 8 นกั เรียนมาเรียนตรงเวลาและต้ังใจเรียน 90.70 9.30 9 นักเรียนรู้จักวางแผนและเตรียมพร้อมท่ีจะ 76.74 23.26 ศึกษาต่อใน มหาวิทยาลัย 10 นักเรียนใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการ 79.06 20.94 20.94 อา่ นหนงั สอื 0.00
จากแบบสอบถามนักเรียนเกย่ี วกบั ความมีวินยั และรบั ผิดชอบในห้องเรยี น ครง้ั ที่ 2 พบวา่ นักเรียน ช้ัน ม.4 สาขาการโรงแรม ปีการศึกษา 2563 จานวน 18 คน มีความกระตือร้ือร้น เอาใจใส่ต่อการเรยี น และมีวินยั และความ รบั ผิดชอบมากขึ้น โดยสรุปได้ ดงั นี้ นักเรยี นมกั นางานวิชาอ่นื มาทาขณะที่กาลังเรียนวิชาหนึ่งนักเรียนไม่เคยทา มากท่ีสุด คิดเป็น ร้อยละ 53.49 นกั เรียนพดู คยุ และเลน่ เพอื่ นในขณะท่ีครสู อนนักเรยี นทท่ี าเปน็ บางครั้งมากทส่ี ุดคิดเปน็ ร้อยละ 46.51 นักเรียนสง่ งานและการบ้านตรงเวลาที่ครูกาหนด นักเรียนที่ไม่เคยทามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 65.12 นักเรียนนอนหลับในห้องเรียนขณะช่ัวโมงเรียน นักเรียนท่ีไม่เคยทา มากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 95.35 นกั เรยี นไมท่ าการบ้านและลอกการบ้านเพ่ือน นักเรียนทไี่ ม่เคยทามากทส่ี ุด คดิ เปน็ รอ้ ยละ 88.37 นักเรียนทาผิดจะพยายามแก้ไขโดยไม่ท้อแท้ นักเรียนท่ีทาเป็นประจามากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 90.69 นักเรียนมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับมอบหมาย นักเรียนท่ีทา เป็นประจา มากท่ีสุดคิดเป็นร้อ ยละ 93.02 นักเรียนมาเรียนตรงเวลาและตั้งใจเรียน นักเรียนที่ทาเป็นประจา มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 90.70 นักเรียนรู้จักวางแผนและเตรียมพร้อมท่ีจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย นักเรียนท่ีทา เป็นประจา มาก ทีส่ ดุ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 76.74 นักเรียนใช้เวลาว่างให้เป็นประ โยชน์โดยการอ่านหนังสือ นักเรียนท่ีทาเป็นประจา มากท่ีสุด คิดเป็น ร้อยละ 79.06
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ ความมุง่ หมาย เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้เป็นผู้มีวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่และการ เรียนดีขึ้นของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 2 สาขาการท่องเท่ียว สาขางานการท่องเท่ียว วิทยาลยั การอาชีพจอมทอง ปีการศึกษา 2562 ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ประชากร / กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีเป็น นักเรียน ช้ัน ม.4 สาขาการโรงแรม ปีการศึกษา 2563 จานวน 18 คน เครอ่ื งมือทีใ่ ช้ในการศกึ ษาคน้ ควา้ เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ การสังเกต และการสัมภาษณ์ การพูดคุย การใช้คาม่ันสัญญา และทฤษฎเี สรมิ แรง วิธกี ารดาเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ในการทาวจิ ัยคร้งั นี้ เครื่องมือทใี่ ช้เปน็ แบบสงั เกต แบบสอบถาม ทผ่ี วู้ จิ ัยสรา้ งขน้ึ เอง การวิเคราะหข์ อ้ มลู ผู้วจิ ยั ใช้คา่ รอ้ ยละในการวเิ คราะห์ข้อมูล สรปุ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล จากผลการวิเคราะห์ข้อ มูลจากการสังเกต ข้อมูลด้านการเรียนของแต่ละวิชา และ การตอบ แบบสอบถามจากนักเรียน การใช้แรงจูงใจเสริมแรงโดยให้คาชมเชยแก่นักเรียน รวมทั้งดูแลด้านการเรียนให้มี ความรับผดิ ชอบ สนใจเรียน และติดตามจากผู้ปกครอง คุณครูท่ีเข้าสอนแต่ละวิชา ซึ่งนักเรียนให้ความร่วมมือ เปน็ อย่างดี ทาใหน้ ักเรยี นมคี วามกระตือรือร้นต่อการมาเรียนและการเรียนมากขึ้น ในการทาวิจัยคร้ังน้ีปรากฏ วา่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 2 สาขาการท่องเท่ียว สาขางานการท่องเที่ยว วิทยาลัยการ อาชีพจอมทอง ปีการศึกษา 2562 มคี วามเอาใจใส่ต่อการเรียน รับผิดชอบและ สนใจเรียนมากขึ้น โดยสังเกต จากบรรยากาศการเรยี นภายในห้องเรียนท่ี เอื้อต่อการเรียนรู้ มีความตั้งใจเรียน มากขึ้น มีความรับผิดชอบต่อ หนา้ ท่ี ไมข่ าดเรียนหรือมาสาย ท างานท่ีไดร้ บั มอบหมายและสง่ งานตรง กาหนดเวลา รู้จักช่วยเหลือซ่ึงกันและ กนั ด้วยความเตม็ ใจ โดยดจู ากการสงั เกต การสัมภาษณ์ ผลการเรยี นและ สรปุ ผลการเปรียบเทียบจากการตอบ แบบสอบถามเกย่ี วกับความมีวนิ ัย ความรบั ผิดชอบและความสนใจการ เรยี นของนกั เรยี น ดังนี้
จากแบบสอบถามนักเรียนเก่ียวกับความมีวินัยและรับผิดชอบในห้องเรียน เมื่อนาผลสรุปของการ ตอบแบบสอบถามคร้งั ที่ 1 และคร้ังท่ี 2 พบว่านักเรียน ชั้น ม.4 สาขาการโรงแรม ปีการศึกษา 2563 จานวน 18 คน มคี วามกระตอื ร้ือร้น เอาใจใส่ ตอ่ การเรยี น และมีวนิ ัยและความรับผดิ ชอบมากข้ึน จากตารางพบว่า ใน การตอบแบบสอบถามครั้งท่ี 2 นักเรียนมีพฤติกรรมดังกล่าวมากกว่าครั้งท่ี 1 หากพิจารณาในภาพรวมจะเห็น ได้ว่าดีข้นึ อยา่ งเห็นไดช้ ัด คอื นักเรียนไมน่ างานวชิ าอ่นื มาท าขณะที่กาลังเรียนวิชาหน่ึง ไม่คุยและเล่นเพ่ือนใน ขณะที่ครูสอน ส่งงานและ การบ้านตรงเวลาท่ีครกู าหนด ไม่นอนหลับในห้องเรยี นขณะชั่วโมงเรียน ทาการบ้าน และไมล่ อกการบา้ นเพ่อื น ท าผิดจะพยายามแกไ้ ขโดยไมท่ อ้ แท้ มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ งานท่ีได้รับมอบหมาย มา เรียนตรงเวลาและตั้งใจ เรียน รู้จักวางแผนและเตรียมพร้อมท่ีจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย และใช้เวลาว่างให้ เป็นประโยชน์โดยการอ่าน หนังสือ ทาให้นักเรียนสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนให้เป็นผู้มีวินัยและ ความรบั ผดิ ชอบต่อหนา้ ทแี่ ละ การเรียน ส่งผลให้การเรียนดีข้ึน และเป็นผู้ท่ีมีความสาเร็จในชีวิตตามจุดหมาย ท่ตี ้ังไว้ ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการตดิ ตามอยา่ งใกล้ชดิ และตอ่ เนอ่ื ง ควรมกี ารติดตามอย่างตอ่ เน่อื ง 2. ครู ผู้ปกครอง นักเรียนและผู้ท่ีเกี่ยวข้อง ควรร่วมมือกันแก้ไขและสะท้อนปัญหา ต่าง ๆ ของ นกั เรยี น ท าใหน้ กั เรียนมีการปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมและการเรียน
บรรณานกุ รม โยธนิ คนั สนยทุ ธ และคณะ . จิตวทิ ยา. กรุงเทพมหานคร: ศูนย์สง่ เสริมวชิ าการ, 381 หน้า. 2533. จีราภา เต็งไตรรัตน์ และคณะ . จิตวิทยาทั่วไป .พิมพ์คร้ังที่ 4.กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , 364 หนา้ . 2533. ฉนั ทนา ภาคบงกช และคณะ.การส ารวจคณุ ลกั ษณะทางวินยั ท่ีพงึ ประสงคใ์ นสังคมไทย . กรุงเทพมหานคร: สถาบนั วจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. 2539 จุมพล หนมิ พานชิ และคณะ . จิตวทิ ยาท่วั ไป. กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั รามค าแหง.
Search
Read the Text Version
- 1 - 31
Pages: