1 ใบความรู้ ความเปน็ พลเมอื งไทยในระบอบประชาธปิ ไตย ปจั จุบันนีป้ ระเทศไทยต้องประสบปัญหาต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเปน็ ปัญหาทางเศรษฐกจิ สังคมและการเมอื ง โดยเฉพาะอย่างย่ิงปญั หาความแตกแยกทางความคดิ ของคนในสงั คม ซ่ึงนับวันจะทวีความรุนแรงมากย่ิงข้ึน และมี แนวโน้มจะขยายตัวออกไปในวงกว้าง หากผู้ที่เกี่ยวข้องและทุกภาคส่วนในสังคมยังไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติเพ่ือ สร้างความเป็นธรรมให้เกดิ แก่คนสว่ นใหญ่ในสังคมทางออกของประเทศไทยในการแก้ปญั หาตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขึ้นในสังคม จึงเป็นเร่ืองของประชาชนทุกคนในประเทศทีจ่ ะตอ้ งรว่ มกนั สรา้ งความเป็นพลเมอื งในระบอบประชาธิปไตยให้เกิดข้ึน อย่างแท้จริงในสังคมไทย เพื่อเป็นพลังในการขับเคล่ือนประเทศไปสู่วิถีประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน โดยในส่วนของ ประชาชนเองต้องก้าวขา้ มสคู่ วามเปน็ พลเมืองท่ีมจี ติ สานึกความเปน็ พลเมือง รจู้ ักเคารพสิทธิเสรภี าพและความเสมอ ภาค มีความยินดปี ฏิบัติหน้าทพ่ี ลเมืองด้วยความเต็มใจ และรับผดิ ชอบตอ่ ส่วนรวม สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมท่ียึดหลักความเท่าเทียมกันของบุคคลในสังคม ท้ังน้ีผู้ที่อาศัยอยู่ในสังคม ประชาธิปไตยหรือพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยจึง ควรมีการปฏิบัตติ นที่สอดคล้องและสัมพนั ธ์กับการปกครองใน ระบอบประชาธปิ ไตย ความหมายของคาว่า“สิทธิ” “เสรีภาพ”“บทบาท” และ“หนา้ ท่ี” คาวา่ “สทิ ธิ” และ“เสรภี าพ” เป็นคาท่มี กั อยู่ควบค่กู ันโดยรฐั ธรรมนญู ทกุ ฉบบั ท่ีผ่านมาได้กาหนดเรือ่ งสิทธิ เสรภี าพของชนชาวไทยไว้อยา่ งชัดเจน ทง้ั น้ี คาวา่ “สิทธิ”มีคาคกู่ ันอยู่คือ“หน้าท่ี”ไม่ว่าเรอื่ งใด ๆ ก็ตาม เมือ่ มี“สทิ ธิ” กย็ อ่ มมี“หน้าท่ี”คกู่ ันเสมอ เมอื่ เราเกดิ มาเปน็ คนไทยมสี ิทธติ ามทรี่ ัฐธรรมนญู ไทยกาหนด เราก็ย่อมมหี น้าทีท่ ่ีจะต้อง ปฏบิ ัตใิ นฐานะเปน็ คนไทยด้วยเชน่ กนั ดังน้ัน เพือ่ ใหเ้ กิดความเข้าใจท่ีถูกตอ้ งและเห็นความสาคญั ของการปฏบิ ตั ิตน เป็นพลเมืองดใี นระบอบประชาธปิ ไตย เราจึงควรมาทาความเขา้ ใจความหมายทแี่ ท้จริงของคาทเ่ี กยี่ วขอ้ งเหลา่ นก้ี ัน เสียก่อนในเบือ้ งต้น “สิทธิ” คือ ประโยชน์หรืออานาจของบุคคลทก่ี ฎหมายรบั รองและคุม้ ครองมิให้มีการละเมดิ รวมทั้งบังคับ การให้เป็นไปตามสิทธใิ นกรณที ี่มีการละเมิดดว้ ย เช่น สิทธิในครอบครัว สทิ ธิความเป็นอยูส่ ่วนตัว สิทธิในเกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในการเลอื กอาชีพ ถิ่นท่ีอยูก่ ารเดินทาง สิทธิในทรัพย์สิน เป็นต้น พจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ อธบิ ายความหมาย “สิทธิ” ไว้วา่ “อานาจที่จะกระทาการใด ๆ ได้อย่างอิสระโดยได้รับการรับรองจาก กฎหมาย”“เสรีภาพ”เป็นคาท่ีถูกใช้เคียงคู่กับคาว่า“สิทธิ”เสมอว่า “สิทธิเสรีภาพ” จนเข้าใจว่ามคี วามหมายอย่าง เดยี วกัน ทั้งทแ่ี ทจ้ ริงแลว้ คาว่า“เสรีภาพ”หมายถึง อานาจตดั สนิ ใจด้วยตนเองของมนุษย์ท่ีจะเลือกดาเนินพฤติกรรม ของตนเอง โดยไม่มบี ุคคลอืน่ ใดอา้ งหรือ ใช้อานาจแทรกแซงเก่ียวข้องกับการตัดสินใจนนั้ และเป็นการตัดสนิ ใจด้วย ตนเองท่ีจะกระทาหรอื ไมก่ ระทาการส่ิงหน่งึ สิ่งใดอนั ไม่เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย แต่การท่ีมนษุ ยด์ ารงชวี ติ อยู่ในสงั คม แลว้ แต่ละคนจะตัดสินใจกระทาการหรือไมก่ ระทาการสิ่งใดนอกเหนือ นอกจากต้องปฏบิ ัตติ ามกฎหมายแลว้ ยอ่ มต้อง คานงึ ถงึ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของสงั คมขนบธรรมเนียม และวฒั นธรรม คาว่า“หน้าที่”ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ หมายถึง กิจที่จะต้องทาด้วยความ รบั ผดิ ชอบ แต่เม่ือนาคาว่า“หน้าที่”รวมกับคาว่า“ชนชาวไทย”เป็น“หน้าท่ีของชนชาวไทย”ดังที่ปรากฏในหมวด ๔ ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบนั
2 คณิน บญุ สุวรรณ ได้ใหค้ วามหมายไว้ในหนังสือปทานุกรมศพั ท์รัฐสภาและการเมืองไทย(ฉบับสมบูรณ์)วา่ คือ ภาระและความรับผิดชอบที่รฐั ธรรมนูญกาหนดบงั คับใหบ้ คุ คลซ่งึ เป็นชนชาวไทยตอ้ งปฏบิ ัติ หรอื กระทาใหเ้ ป็นไปตาม รฐั ธรรมนูญหรอื กฎหมาย เม่ือรัฐธรรมนูญกาหนดว่าการกระทาใดเป็นหน้าที่ของพลเมืองแล้ว ถ้าหากผู้ใดไม่ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัตถิ ือว่าเป็นการฝา่ ฝืนกฎหมายและจะถกู ลงโทษ อย่างไรกต็ าม หน้าที่ของชนชาวไทย ถือวา่ เป็น ภาระและความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทยทกุ คนท่ีต้องยึดถือปฏิบตั ินนั่ เองสิทธแิ ละหนา้ ทีจ่ งึ เปน็ ส่ิงคู่กนั เมือ่ มี สิทธิก็ต้องมีหน้าที่ประชาชนของทุกประเทศมีท้ังสิทธิและหน้าที่ แต่จะมีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับกฎหมายของ ประเทศน้นั ๆ และแน่นอนวา่ ประเทศท่ปี กครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ประชาชนย่อมมีสิทธิมากกวา่ การปกครอง ในระบอบอนื่ เพราะมสี ิทธทิ ี่สาคัญท่สี ดุ คือ สิทธใิ นการปกครองตนเอง ดังนั้นจงึ สามารถสรปุ ความหมายของคาว่า“สทิ ธิ” “เสรีภาพ”“บทบาท” และ“หน้าที่”ไดด้ ังน้ีคอื 1. สทิ ธิ หมายถงึ อานาจหรอื ผลประโยชน์ของบุคคลที่กฎหมาย ให้ความคุ้มครอง เชน่ สิทธิเลือกตัง้ กฎหมาย กาหนดใหบ้ ุคคลทมี่ อี ายุ18ปบี ริบรู ณม์ คี ณุ สมบัตถิ ูกต้องตามกฎหมายมีสทิ ธเิ ลือกสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร 2. เสรีภาพ หมายถึง ความมีอิสระในการกระทาของบุคคลท่ีอย่ใู นขอบเขตของกฎหมาย เช่น เสรีภาพในการ พูด การเขียน เปน็ ต้น 3. บทบาท หมายถงึ การปฏิบัติตามสทิ ธิ หน้าทอ่ี ันเนอ่ื งมาจากสถานภาพของบคุ คล เนือ่ งจากบคุ คลมหี ลาย สถานภาพในคนคนเดียว ฉะนนั้ บทบาทของบุคคลจึงต้องปฏิบตั ไิ ปตามสถานภาพในสถานการณ์ตามสถานภาพน้นั ๆ 4. หน้าที่ หมายถงึ ภาระรับผดิ ชอบของบุคคลท่ีจะตอ้ งปฏิบัตเิ ช่น หน้าที่ของบิดาทีม่ ตี ่อบุตร เปน็ ต้น การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพ่อื ประชาชน หาก ประชาชนซงึ่ เปน็ เจ้าของประเทศที่มคี วามแตกตา่ งหลากหลายภายใตห้ ลักสทิ ธิ เสรีภาพและหลักความเสมอภาค ขาด ความเป็นพลเมือง ซ่งึ จะต้องมี “สานกึ พลเมอื ง”อยู่ในจติ ใจ การพฒั นาประชาธปิ ไตยโดยแท้จริงก็จะไม่ประสบ ความสาเร็จได้ ดังน้นั เพ่อื ให้ประชาชนมีความตระหนกั และเขา้ ใจบทบาทของตนเองในฐานะพลเมอื งของประเทศ อยา่ งถกู ต้อง พจนานกุ รมไทย ฉบบั อ.เปลอื้ ง ณ นคร ให้ความหมายของคาวา่ “ราษฎร”หมายถึง ชาวเมือง ไม่ใชเ่ จ้า เปน็ สามัญชนทว่ั ไปทอ่ี าศัยอยูใ่ นรัฐ ให้นยั เชงิ “ผู้ถกู ปกครอง” “ประชาชน”หมายถงึ คนของประเทศ บคุ คลท่ถี อื สัญชาตแิ ละได้รับสิทธิเสรภี าพและการค้มุ ครองตาม กฎหมายรัฐธรรมนูญให้ความหมายนยั เชิง “การมสี ิทธิ” ส่วน“พลเมอื ง”แปลตามตวั อักษรภาษาไทย หมายถงึ กาลงั ของเมือง หรือกาลงั ของประเทศ คาว่า“พลเมือง”หากพิจารณาตามศัพทภ์ าษาอังกฤษมาจากคาวา่ “citizen”มรี ากศัพทม์ าจากภาษาลาตินวา่ “civitas”หมายถงึ คนท่ีรวมกลมุ่ กนั อยใู่ นเมืองหรือในชมุ ชน พฒั นาการและการขยายตัวของความเปน็ พลเมือง เก่ียวเน่อื งเชอ่ื มโยงกับความเติบโตของเมืองและการถอื กาเนดิ ของรัฐชาติ ดงั นั้น พลเมือง คอื คนท่ีอาศัยอยู่ในรัฐ ทา หนา้ ท่เี ปน็ “กาลงั สาคัญ”ของรัฐในด้านตา่ งๆ ให้นัยเชงิ “การมีสานึกในสิทธิ หน้าท่แี ละความรบั ผิดชอบ”ท้ังต่อตนเอง ครอบครัว และรฐั และพลเมืองทดี่ ีทกุ คนตอ้ งมคี วามรบั ผิดชอบต่อสว่ นรวมรว่ มกันการที่คนในสงั คมมคี วามคลุมเครือ ในตาแหน่งแหง่ ทขี่ องตนในฐานะ“คนในรฐั ” ส่งผลใหข้ าด“สานึกของความเปน็ พลเมือง”ขาดความตระหนักวา่ ตนเองเป็นกาลงั สาคญั ในการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศชาติ ดงั น้ัน เม่อื เข้าใจความหมายท่ีแทจ้ รงิ ของคาว่า“พลเมือง”
3 พอสงั เขปแลว้ ก็เชือ่ ไดแ้ นว่ ่าการแสดงออกซ่งึ ความเป็นพลเมืองดีของคนในสังคมจะดาเนินไปอย่างถกู ทานองคลอง ธรรม และสอดคล้องกบั หลักการพื้นฐานแหง่ การปกครองระบอบประชาธิปไตยความเป็นพลเมืองดใี นระบอบ ประชาธิปไตย ประกอบดว้ ยคุณลักษณะดังตอ่ ไปน้ี 1.มีอิสรภาพและพึ่งตนเองได้ การที่ประชาชนเป็นเจ้าของอานาจสูงสุดในประเทศ ประชาชนจึงมีฐานะเปน็ เจ้าของประเทศ เป็นเจา้ ของชวี ิตและมีสทิ ธแิ ละเสรภี าพในประเทศของตนเอง ทานองเดยี วกับเจา้ ของบ้านมีสทิ ธิ เสรีภาพในบา้ นของตน จงึ ทาใหเ้ กิดหลกั สิทธเิ สรีภาพ และทาใหป้ ระชาชนมีอสิ รภาพซ่ึงนาใหเ้ กดิ ภาวะ“ความเปน็ พลเมอื ง”ทเ่ี ปน็ อิสระ พ่งึ ตนเองและสามารถรบั ผิดชอบตนเองได้ 2.ความเห็นของคนเทา่ เทียมกนั ประชาชนทกุ คนในฐานะทีเ่ ป็นเจา้ ของประเทศ มี“ความเป็นพลเมอื ง”ลว้ น แตเ่ ทา่ เทียมกันจงึ ต้องเคารพหลกั ความเสมอภาค และจะต้องเห็นคนเทา่ เทยี มกนั 3.การยอมรบั ความแตกตา่ ง การทีป่ ระชาชนเปน็ เจ้าของประเทศ มเี สรภี าพ ประชาชนจึงต้องมีความ แตกตา่ งและย่อมจะต้องยอมรับความหลากหลายของประชาชนด้วยกนั เอง และเพ่ือมิให้ความแตกตา่ งนามาซง่ึ ความ แตกแยกในสงั คม“พลเมือง”ในระบอบประชาธปิ ไตยจึงต้องยอมรบั และเคารพความแตกต่างของกันและกนั เพ่อื ให้ สามารถอย่รู ว่ มกันได้ 4. การเคารพสทิ ธผิ ู้อ่นื ในระบอบประชาธปิ ไตยน้ันทกุ คนเป็นเจา้ ของประเทศ ทกุ คนจึงมสี ทิ ธิ แตถ่ า้ ทกุ คน ใช้สทิ ธโิ ดยคานงึ ถึงแต่ประโยชนข์ องตนเองหรือเอาแต่ความคิดของตนเองเป็นทตี่ ัง้ โดยไม่คานึงถึงสทิ ธิผอู้ น่ื หรือไม่ สนใจว่าจะเกดิ ความเดือดร้อนแก่ผู้ใด ประชาธิปไตยก็จะกลายเป็นอนาธิปไตย เพราะทุกคนเอาแตส่ ทิ ธขิ องตนเองเป็น ใหญ่ ทา้ ยท่สี ดุ ประเทศชาตยิ อ่ มจะไปไม่รอด สทิ ธใิ นระบอบประชาธปิ ไตยจงึ จาเป็นต้องมีขอบเขต ไมล่ ะเมิดสทิ ธิผอู้ ื่น “ความเป็นพลเมือง”จึงเคารพสิทธิผู้อื่นและจะต้องไมใ่ ชส้ ทิ ธเิ สรภี าพของตนไปละเมดิ สทิ ธิของผูอ้ ืน่ 5. ความรับผิดชอบต่อสงั คม นอกจากจะตอ้ งเคารพสิทธิเสรภี าพและรับผิดชอบต่อผอู้ ่ืนแล้ว “ความเปน็ พลเมอื ง”ในระบอบประชาธปิ ไตยยังจะต้องใช้สิทธิและเสรภี าพของตนโดยรบั ผดิ ชอบต่อสังคมด้วย เนอื่ งจากสังคม หรอื ประเทศชาติจะดขี ้ึนหรือแย่ลงก็ดว้ ยการกระทาของคนในสงั คม“ความเปน็ พลเมอื ง”จงึ เป็นสานึกของความเป็น เจ้าของประเทศและเปน็ เจา้ ของสังคม“พลเมอื ง”จงึ ไม่ใช่คนทใ่ี ช้สิทธเิ สรีภาพตามอาเภอใจแล้วทาให้สงั คมเส่อื มลงไป หากเปน็ ผ้ทู ใี่ ชส้ ทิ ธเิ สรภี าพโดยรบั ผิดชอบต่อสงั คมและส่วนรวม โดยมีส่วนร่วมในการแกป้ ัญหาและชว่ ยกนั ทาใหส้ ังคม ดขี ึ้นกว่าท่ีผา่ นมา 6. ความเขา้ ใจระบอบประชาธิปไตยและมีสว่ นร่วม การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพอื่ ประชาชนจะประสบความสาเร็จได้ต่อเมือ่ มปี ระชาชนในรัฐมี “ความเปน็ พลเมือง”ที่เข้าใจหลกั การพนื้ ฐานของการ ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยตามสมควร ท้งั ในเรือ่ งหลกั ประชาธิปไตยหรือการปกครองโดยประชาชนและหลักนิติ รัฐหรอื การปกครองโดยกฎหมาย เขา้ ใจเร่อื งการเลอื กต้ังและการมสี ่วนรว่ มทางการเมืองของพลเมอื ง ติดตามความ เปน็ ไปและมสี ว่ นร่วมในเรื่องการบ้านการเมอื งทง้ั ระดบั ชาตแิ ละระดบั ท้องถิ่นและแสดงกิจกรรมทางการเมืองระบอบ ประชาธิปไตยตามครรลองประชาธปิ ไตย
4 ใบความรู้ที่ 1 เรอ่ื งลูกเสอื กบั การพัฒนาความเป็นพลเมอื งดี การลูกเสือเป็นขบวนการทางการศึกษาสาหรับเด็กและเยาวชนท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างบุคลิกภาพ และ พฒั นาการทางสังคมให้กบั เด็กและเยาวชนเพ่ือใหเ้ ป็นพลเมืองดีของประเทศ โดยใช้วิธีการของลูกเสือทย่ี ึดมนั่ ในกฎ และคาปฏิญาณ ซ่งึ ลูกเสือกบั การพัฒนาความเปน็ พลเมอื งดีเกีย่ วกับความหมายของพลเมอื งดี ความเปน็ พลเมอื งดใี น ทัศนะของการลูกเสอื และแนวทางการพัฒนาการลูกเสอื ไทยเพ่อื สง่ เสริมความเป็นพลเมอื งดี ดงั นี้ ความหมายของพลเมืองดี พลเมอื งดี หมายถึง ผู้ปฏิบัตหิ น้าท่ีตามกฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของชาติ คาสัง่ สอน ของพ่อแม่ ครู อาจารย์ มีความสามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซ่ึงกันและกัน รู้จักรับผิดชอบช่ัวดีตามหลักจริยธรรม และ หลักธรรมของศาสนา มีความรอบรู้ มสี ตปิ ัญญาขยนั ขันแข็ง สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติไดค้ รบถ้วนทั้งภารกิจท่ีตอ้ งทาและภารกิจทีค่ วรทาภารกิจทต่ี ้องทา หมายถึง สิ่งทค่ี นส่วนใหญ่เห็นว่า เป็นหน้าท่ีท่ีต้องกระทาหรือห้ามกระทาถ้าทาก็จะก่อให้เกิดผลดี เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว หรือสั งคม ส่วนรวม แล้วแต่กรณี ถ้าไม่ทาหรอื ไม่ละเว้นการกระทาตามท่กี าหนดจะได้รับผลเสียโดยตรง คือไดร้ ับโทษ หรือถูก บังคับ เช่น ปรับ จาคุก หรือประหารชีวิต เป็นต้น โดยทั่วไปส่ิงที่ระบุภารกิจท่ีต้องทา ได้แก่ กฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบต่าง ๆ เป็นต้น ภารกิจที่ควรทา หมายถึง สิง่ ท่ีคนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ควรทา หรือควรละเว้นการ กระทาถ้าไมท่ าหรือละเว้นการกระทา จะได้รบั ผลเสียโดยทางอ้อม เชน่ ได้รับการดูหมิ่นเหยยี ดหยาม หรือไม่คบค้า สมาคมด้วย ถ้าทาจะได้รับการยกย่อง สรรเสริญจากคนในสังคม โดยทั่วไปสิ่งที่ระบุกจิ ที่ควรทา ได้แก่ วัฒนธรรม ประเพณี เป็นต้น ความเป็นพลเมืองดใี นทัศนะของการลูกเสือ กิจกรรมลูกเสือ เป็นการจัดมวลประสบการณ์ท่ีมีประโยชน์ และท้าทายความสามารถ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคล พัฒนาศักยภาพของตนเอง และสรา้ งลักษณะนิสัยไม่เห็นแก่ตัวและพร้อมท่ีจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อให้มี อาชีพและให้ “บริการ” แกบ่ คุ คลและสงั คมสามารถดาเนินชวี ิตของตนเอง เป็นผมู้ คี วามรับผดิ ชอบตามหนา้ ทขี่ องตน และดารงชีวิตในสังคมได้อยา่ งมีความสขุ กิจกรรมลูกเสือ เป็นกิจกรรมท่ีมงุ่ พัฒนาบุคคลทั้งทางกาย สติปญั ญาศีลธรรม จติ ใจ เพื่อใหเ้ ปน็ พลเมอื งดี รจู้ กั หน้าทรี่ ับผดิ ชอบ และบาเพญ็ ประโยชนต์ อ่ ชุมชน สังคม และประเทศชาติในทัศนะของการลูกเสือ คาว่า “พลเมืองดี” คือ บคุ คลท่ีมีเกียรติ เช่อื ถือได้มรี ะเบยี บวนิ ัย สามารถบังคบั ใจตนเอง สามารถพงึ่ ตนเองและสามารถท่จี ะช่วยเหลอื ชุมชนและบาเพญ็ ประโยชนต์ อ่ ผ้อู ื่น ทั้งนี้ ต้อง คานงึ ถึงสภาวะแวดล้อม สถานภาพของตนเองและขีดความสามารถของตนเอง เพื่อป้องกันหรอื ไมก่ ่อใหเ้ กิดความ เดือดร้อนแกต่ นเองและครอบครัว การพฒั นาตนเองให้เป็นพลเมืองดใี นทัศนะของการลูกเสอื มดี งั น้ี 1) มคี วามจงรักภกั ดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ 2) มเี กยี รติเชื่อถอื ได้ 3) มรี ะเบยี บวนิ ัย สามารถบังคบั ใจตนเองได้ 4) สามารถพึ่งตนเองได้ 5) เต็มใจและสามารถช่วยเหลือชุมชน และบาเพญ็ ประโยชนต์ ่อผอู้ นื่ ไดท้ ุกเมือ่
5 ใบความรู้ท่ี 2 การลูกเสือโลก การลกู เสือโลก การลูกเสือเกิดข้ึนในประเทศอังกฤษเป็นแห่งแรกในโลก เมื่อ พ.ศ.2451 โดยพลโท ลอร์ด เบเดน เพาเวลล์ (Lord Baden Powell) หรอื B-P มูลเหตจุ ูงใจที่ต้ังกองลูกเสือข้นึ มาก็คอื ท่านไปรับราชการทหารโดยไปรักษาเมือง มาฟฟิคงิ (Mafiking) อันเป็นเมืองข้นึ ของอังกฤษในสหภาพแอฟริกาใต้ ขณะนน้ั เกดิ สงครามขน้ึ กับพวกบวั ร์ (Boer) ในการผจญศกึ ใหญ่คราวนั้น ท่านได้ฝึกเด็กขน้ึ หน่วยหน่ึง เพ่ือช่วยราชการสงคราม เช่น เป็นผู้ส่ือข่าว สอดแนม รกั ษาความสงบเรียบรอ้ ยภายใน รับใช้ในการงานต่างๆ เชน่ ทาครัวเป็นต้น ปรากฎวา่ ได้ผลดีมาก เพราะเด็กท่ไี ดร้ ับ การฝึกเหล่านน้ั สามารถปฎบิ ัตหิ น้าทีท่ ่ีใชร้ บั มอบหมายได้ อยา่ งเข้มแข็งว่องไว ไดผ้ ลดีไม่แพ้ผูใ้ หญแ่ ละบางอยา่ งกลับ ทาได้ดกี ว่าผู้ใหญ่เสียอกี เม่ือท่านกลบั จากราชการสงครามเมืองมาฟฟิคิงแล้ว ท่านไดร้ ่างโครงการอบรมเด็กขึ้น มี หลกั การคล้ายลูกเสือในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2450 ท่านได้ทดลองตัง้ Boy Scout ข้ึนเป็นกองแรกที่ เกาะบราวน์ ซี ไอแลนด์ (Brown Sea Island )โดยเกลยี้ กล่อมเดก็ ท่ีเทีย่ วเตร่อยู่ในทีต่ า่ งๆ มาอบรมแลว้ ท่านได้คอยคุมการฝึกตาม โครงการด้วยตนเอง และไดผ้ ลดีสมความมุ่งหมายทุกประการจึงทาใหเ้ กดิ ความบันดาลใจ ในอนั ที่จะขยายกิจการให้ กว้างขวางออกไปในวันข้างหน้า พอถึงปี พ.ศ. 2455 รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศรับรองฐานะของลูกเสืออังกฤษเป็น ทางการพร้อมกับออก กฎหมายคมุ้ ครองให้ด้วย จากนั้นการลูกเสืออังกฤษก็เจริญแพร่หายออกไปเป็นลาดบั มา คติ พจน์ทท่ี ่านลอร์ดบาเดนเพาเวลลไ์ ดใ้ ห้ไว้แก่ลกู เสอื กค็ ือ BE PREPARED (จงเตรยี มพรอ้ ม) การลกู เสือไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ทวปี ยโุ รป ระหว่างท่ีทรงศกึ ษาอย่นู ้ัน ได้ทรงทราบเร่ืองการสู้รบเพอื่ รักษาเมอื งมาฟคิ ิง (Mafeking) ของ ลอร์ดเบเดน โพเอลล์ (Lord Baden Powell) ซึ่งได้ต้ังกองทหารเดก็ เป็นหน่วยสอดแนมชว่ ยรบในการรบกับพวกบัวร์ (Boar) จน ประสบผลสาเร็จ และได้ต้ังกองลูกเสือข้นึ เป็นคร้งั แรกของโลก ทปี่ ระเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2450 เมอื่ พระองคเ์ สด็จนิ วัตสิ ปู่ ระเทศไทย กไ็ ดท้ รงจัดตงั้ กองเสือป่า (Wild Tiger Corps) ขึ้น เม่ือวนั ที่ 6 พฤษภาคม 2454 มจี ุดม่งุ หมายเพื่อ ฝึกหัดให้ข้าราชการและพลเรือนได้เรียนรู้วิชาทหาร เพ่ือเป็นคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง รู้จักระเบียบวินัย มีความ จงรกั ภกั ดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ ตอ่ จากน้นั อีก 2 เดอื น ก็ได้พระราชทานกาเนิดลกู เสอื ไทยขึ้น เมือ่ วนั ที่ 1 กรกฎาคม 2454 ดว้ ยทรงมีพระราชปรารภว่า เม่ือฝึกผูใ้ หญ่เปน็ เสือป่า เพอื่ เตรยี มพรอ้ มในการชว่ ยเหลือ ชาตบิ ้านเมืองแล้ว เหน็ ควรทีจ่ ะมกี ารฝึกเด็กชายปฐมวัยใหม้ คี วามรู้ทางเสือปา่ ด้วย เมื่อเติบโตขึน้ จะไดร้ จู้ ักหน้าทแ่ี ละ ประพฤติตนใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ ชาติบ้านเมอื ง จากน้ัน ทรงตัง้ กองลูกเสือกองแรกขนึ้ ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรยี นวชิราวุธ ในปัจจุบัน) และจัดตั้ง กองลูกเสือตามโรงเรียน ต่าง ๆ ให้กาหนดข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสอื ขนึ้ รวมทัง้ พระราชทาน คาขวญั ให้ลกู เสือ ว่า “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์ ” ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นลูกเสือไทยคนแรก คือ นายชัพท์ บุนนาค ซ่ึงต่อมา ได้รับ พระราชทานบรรดาศกั ดเ์ิ ป็น “นายลขิ ิตสารสนอง” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ วั พระบิดาแห่งการลกู เสือไทย ทุกวันท่ี 1 กรกฎาคมของทุกปี ถือเป็น วนั สาคญั ของชาวลูกเสือไทยท่ัวประเทศ เพราะตรงกับวนั คล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ วันนี้ ขอชวนชาว ลูกเสือ-เนตรนารที ั้งหลาย มารู้จักประวัติความเป็นมาของวันสถาปนาลกู เสือแห่งชาติ รวมท้งั มารู้จักต้นกาเนิดของ
6 ลูกเสือโลกกันดีกว่าค่ะ ลูกเสือโลก ถอื กาเนิดขนึ้ ต้ังแต่เมื่อใดท่านลอร์ดบาเดน เพาเวลล์ ( บ.ี พ.ี ) เป็นผู้ก่อตงั้ กิจการ ลกู เสือคร้ังแรกท่ปี ระเทศอังกฤษ เมอ่ื ปี พ.ศ.2450 โดยมีจุดประสงค์เพ่ือเตรียมคนไว้เปน็ ทหาร และฝึกให้คนบาเพ็ญ ประโยชน์เพ่ือสังคม หลังจากนนั้ กิจการลกู เสอื ก็เริ่มแพร่ขยายเข้าไปในประเทศยุโรปที่ไม่มีพระราชบัญญัตเิ กณฑ์ ทหาร กระทั่งแพร่ขยายเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ตงั้ กองลูกเสือข้ึนเป็นประเทศที่ 2 เม่อื กิจการลูกเสือ แพร่หลายข้ึน ในปี พ.ศ.2451 ท่านลอร์ด บาเดน เพาเวลล์ จึงได้แต่งหนังสือฝึกอบรมลูกเสือข้ึน เพอ่ื ใช้ประโยชนใ์ น การเรียนการสอน โดยหนังสือเล่มดังกล่าวมีชื่อว่า ”Scouting For Boys” และคาว่า ”Scout” ซึ่งใช้เรียกแทน ” ลูกเสอื ”
7 ใบความรูท้ ี่ 3 ลกู เสอื กศน.กับจติ อาสา และการบริการ กิจกรรมจิตอาสา และการใหบรกิ ารของลกู เสือ กศน. จากอดีตจนถึงปัจจุบันประชาชนคนไทยมีการทางานจิตอาสาอย่างหลากหลาย รูปแบบ โดยไมหวัง ผลตอบแทน เน้นแรงบันดาลใจใหคนทุกเพศทกุ วัยคิดท่ีจะทาความดี เพ่ือสงั คม ดังน้ัน ลูกเสือ กศน. ก็สามารถที่จะ คดิ กจิ กรรมจติ อาสาและการให้บริการได้เชน กนั ดังตัวอยา่ งตอไปน้ี 1) จติ อาสารักสะอาด เชน่ ทาความสะอาดวดั /สถานศึกษา โดยการกวาดใบไมแ้ หง แยกขยะ ฯลฯ 2) จิตอาสารกั ษโลก เช่น ชว่ ยเหลือสุนัขจรจัด เรี่ยไรเงินชวยสตั วเรรอน ปลูกปา สรงฝาย ฯลฯ 3) จิตอาสากอสราง เชน่ ซ่อม/สราง/ทาสี หองเรยี น สร้างศนู ย์การเรยี นรูภายใน ชมุ ชน ฯลฯ 4) จิตอาสาเปนพี่เลยี้ ง เช่น เล้ียงอาหารผู้ปปว่ ย เล่านทิ านใหเดก็ กาพรา้ อ่านหนังสือ ใหค้ นตาบอด ฯลฯ 5) จิตอาสาบรกิ าร เชน่ ลูกเสอื จราจร อาสาพาคนข้ามถนน อาสาบริการนา้ ด่มื และอาหาร ฯลฯ ตามคตขิ องลูกเสอื พลเมืองดี คือ บคุ คลท่มี เี กียรตเิ ชอื่ ถอื ได้ มีระเบียบวนิ ัย สามารถบังคับใจตนเอง สามารถพงึ่ ตนเอง ทง้ั เต็มใจและสามารถทจ่ี ะชว่ ยเหลือชุมชนและ บาเพญ็ ประโยชนตอ่ ผ้อู ื่น หลกั ของการใหบ้ ริการ (1) เปนกิจกรรมท่จี าเปนเห็นความจาเปนที่ตองใหบรกิ าร คือ ตองดวู าจะเปน แคไหน สาหรับเร่ืองน้นั ท่ีจะ ตองไดรบั การบรหิ าร (2) ใหบรกิ ารดวยความสมัครใจ เตม็ ใจท่ีจะใหบริการ (3) ให้บริการอยางมปี ระสทิ ธิภาพ คอื มที กั ษะในการบริการ เชน การปฐมพยาบาล เทคนคิ ในการชวยชีวิต ฯลฯ (4) ใหบ้ ริการแกผทู ต่ี องการรับบรกิ าร เชน คนที่กาลงั จมนา้ จะไดคนชวย การพัฒนาชุมชนใหบรกิ ารแกผทู ี่ ถูกทอดท้งิ เชน คนชรา คนปวย และผไู มสามารถชวยตนเองได (5) บรกิ ารดวยความองอาจ ตง้ั ใจทางานใหเสร็จดวยความม่ันใจ ดวยความ รบั ผดิ ชอบโดยใช้ความรูทม่ี ีอย่ใู ห้ เกดิ ประโยชนอยางแทจรงิ อุทศิ เวลาใหแกงานอยางจริงจัง ในขณะนั้นรูจักแบงเวลา แบงลกั ษณะงาน มีความมมุ านะ ในการทางานใหเปนผลสาเร็จ ตามเปาหมายท่ีกาหนดไวใหจงไดยอมจะไดรบั ความสาเร็จเรียบรอยในการทางาน จะ ทาใหเรา รูสึกภูมใิ จ งานบริการ ท่ีลูกเสือวิสามญั แตล่ ะคนหรือกองลกู เสอื วิสามญั จะทาได้นั้น มีหลายประการ เชน่ 1) โครงการใช้ผกั ตบชวาทาป๋ยุ หมกั โครงการน้เี ปป็นโครงการทีย่ งิ นกสองตวั ในเวลาเดยี วกัน คือ เปน็ การ จากัดผกั ตบชวา และเปน็ การทาปุ๋ยหมัก เพื่อใช้ประโยชนในการ ปลูกพืชผักต่าง ๆ ให้ได้ผลดียงิ่ ข้นึ โครงการนีเ้ สียค่า ใช้จ่ายสอดคลองกับนโยบายของรฐั และอยู่ในวสิ ยั ทก่ี องลูกเสือวิสามญั จะทาไดอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 2) โครงการให้บริการแกชมุ ชน เชน่ โครงการให้ความปลอดภัยใน การจราจร หางานให้คนพิการทาจัดทา สนามเด็กเล่น สาหรบั เดก็ ยากจน พิการ โครงการบรกิ าร แก่ผู้ประสบอุบัติเหตดุ ้วยการพยายามศกึ ษาหาความรูใน
8 เร่ืองการปฐมพยาบาล เพื่อจะไดช่วยเหลือผ้ปู ระสบอบุ ัตเิ หตุอยา่ งมสี มรรถภาพ การดบั เพลิง ด้วยการเขารบั การอบรม วชิ าบรรเทา สาธารณภยั ฯลฯ 3) โครงการพัฒนาชุมชน โดยทาการสารวจความตอ้ งการของท้องถ่ินแลว วางแผนและลงมอื ปฏบิ ตั ิตาม โครงการนั้น 4) โครงการให้บริการแกกจิ กรรมลูกเสอื เช่น ปฏิบัติตามหน้าทที่ ไ่ี ดรับ มอบหมายทาหนา้ ที่กรรมการของกอง ทาหน้าทพ่ี ่เี ลยี้ งชว่ ยดูแลคหู าลกู เสอื วิสามัญ และช่วยเหลือ ในการฝึกอบรมลกู เสือประเภทอ่นื ๆ ในวิชาท่ตี นถนัด เช่น การผูกเงอ่ื นเชอื ก การปฐมพยาบาล แผนที่ เขม็ ทิศ ระเบยี บแถว เป็นตน้
9 ใบความรูท้ ี่ 4 การเดินทางไกล อยคู่ า่ ยพักแรม และชวี ติ ชาวค่าย การเดินทางไกล 1.1 ความหมายของการเดนิ ทางไกล การเดนิ ทางไกล หมายถึง การเดนิ ทางของลกู เสอื จากกองหรือกล่มุ ลูกเสือเพ่อื ไปทากจิ กรรมทใ่ี ดที่หนงึ่ โดยมี ผู้กากับและนายหมู่ลูกเสือเป็นผกู้ าหนดรว่ มกนั เพื่อนาลูกเสอื ไปฝึกทักษะวิชาการลูกเสือเพิ่มเติม ให้รู้จักการใช้ชีวิต กลางแจ้งและสมั ผัสกับธรรมชาติอยา่ งใกล้ชดิ โดยลกู เสือได้ใช้ความสามารถของตนเอง การเดินทางไกลของลูกเสือ สามารถเดนิ ทางดว้ ยเท้า เรือ หรือจักรยานสองล้อ รวมถึงรถยนต์อกี ดว้ ย 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของการเดินทางไกล มีดงั น้ี 1) เพ่ือฝึกความอดทนความมรี ะเบยี บวินยั และเสริมสร้างสุขภาพอนามยั ใหแ้ กล่ กู เสอื 2) เพอื่ ใหล้ กู เสือมีเจตนารมณ์ และเจตคติท่ีดรี จู้ ักชว่ ยตนเองและรู้จักทางานร่วมกบั ผ้อู ื่น 3) เพอ่ื ใหม้ โี อกาสปฏบิ ตั ติ ามคตพิ จนข์ องลูกเสือและมีโอกาสบริการต่อชมุ ชนท่ไี ปอยคู่ ่ายพักแรม 4) เพอ่ื เปน็ การฝึกและปฏิบัติตามกฎของลกู เสือ 1.3 หลักการของการเดินทางไกล การเดินทางไกล ใชร้ ะบบหมู่ เพือ่ ฝึกความอดทน ความสามคั คี ความมีระเบยี บวินยั การช่วยเหลอื ซ่ึงกันและ กันรู้จักการระมดั ระวงั ตัวจากอุบัติเหตขุ ณะเดินทาง และการเตรยี มตัวในการเดนิ ทางใหไ้ ด้ใชช้ ีวิตกลางแจ้ง 1.4 การบรรจุเครื่องหลังสาหรับการเดนิ ทางไกล เป็นกิจกรรมหน่ึงของลูกเสือ ซ่ึงลูกเสือจะต้องมีการเตรียมการเรื่องเคร่ืองหลังให้พร้อมเหมาะสมกับเดิน ทางไกลไปแรมคืน ซึ่งอุปกรณ์ที่จะจัดเตรียม คือ อุปกรณ์เฉพาะบุคคลหรืออุปกรณ์ประจาตัวท่ีจาเป็นจะต้อง เตรียมพร้อมกอ่ นกาหนดเดินทางควรมีน้าหนกั ไม่มากนักมดี ังนี้ 1) เคร่ืองแต่งกาย ได้แก่ เครื่องแบบลูกเสือและเคร่ืองหมายประกอบเคร่ืองแบบคือ หมวก ผ้าผูกคอ เส้ือ กางเกงหรือกระโปรง เข็มขัด ถงุ เทา้ รองเท้าหรอื ชุดลาลอง หรอื ชดุ สุภาพชุดกฬี า ชดุ นอน 2) เครื่องใช้ประจาตัว ได้แก่ สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผา้ เช็ดตัว ผ้าขาวม้า ผ้าถุงไฟฉาย ขันนา้ รองเท้าแตะ จาน ชาม ช้อน ยากนั ยุง ยาขดั โลหะ เชือก หรือยาง สาหรับผกู หรือรัดอุปกรณ์เลก็ ๆ น้อย ๆ ถงุ พลาสตกิ สาหรบั ใส่ เสือ้ ผ้าท่ีใช้แลว้ หรอื เปียกชน้ื 3) ยาประจาตัว หรอื อุปกรณป์ ฐมพยาบาล 4) อุปกรณ์ประกอบการเรยี นรู้ และการจดบันทกึ กิจกรรม เช่น สมุด ปากกา ดินสอ แผนท่ี เขม็ ทศิ 5) อปุ กรณ์ที่จาเป็นตามฤดกู าล เชน่ เสื้อกันฝน เสือ้ กันหนาว 6) อุปกรณเ์ คร่ืองนอน เชน่ ผ้าห่ม ถงุ นอน 7) อปุ กรณ์ท่ปี ระจากายลกู เสอื เชน่ ไม้งา่ ม กระตกิ น้า เชอื กลูกเสือ ชวี ิตชาวคา่ ย ชวี ิตชาวค่าย เป็นกิจกรรมสรา้ งนิสัย การบาเพ็ญประโยชน์ รจู้ ักการปรบั ตัวเข้าหากัน และการอย่รู ่วมกัน อยา่ งมีความสุข โดยการฝกึ ปฏิบัติตนดว้ ยการทางานรว่ มกันเป็นหมรู่ ู้จกั ยอมรบั ในบทบาทหนา้ ทีซ่ ่ึงกันและกนั ฝกึ การ เป็นผู้นา ผู้ตาม ฝึกใหร้ ้จู กั ช่วยเหลอื ตนเองเมอ่ื มีเหตุการณ์คบั ขัน ร้จู กั การดารงชีพกลางแจง้ โดยไม่น่งิ เฉย เชอ่ื ฟงั กฎ กติกาอยใู่ นระเบยี บอย่างเครง่ ครัด สรา้ งเสริมคณุ ธรรม สรา้ งความมีวินยั
10 ชวี ติ ชาวค่าย ประกอบดว้ ย 1. เครื่องมือ เครอ่ื งใช้ ที่จาเป็นสาหรับชวี ติ ชาวคา่ ย เครื่องมอื เครื่องใช้ สาหรับการอยคู่ ่ายพกั แรม มีหลากหลายประเภทแยกตามลกั ษณะของการใช้งาน แบง่ ออกเป็น ของมีคม ได้แก่ มีด ขวาน เลื่อย เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้สาหรบั ขุดไดแ้ ก่ จอบ เสยี ม พลวั่ พล่ัวสนาม และเคร่อื งมอื ท่ใี ชส้ าหรบั ตอก ไดแ้ ก่ คอ้ น โดยแยกเก็บตามประเภท และลักษณะการใช้งาน เพอ่ื ความสะดวกในการหยบิ ใช้งาน และความเปน็ ระเบยี บเรียบร้อย 2. การสรา้ งครวั ชาวค่าย การสรา้ งครัว เปน็ การกาหนดพื้นทส่ี าหรบั ใช้ในการประกอบอาหารตลอดระยะเวลาในการอยคู่ ่ายพกั แรม มี องค์ประกอบในการสรา้ งครัว ดงั น้ี ทท่ี าครัว ควรมีเขตทาครัวโดยเฉพาะ โดยเลือกพนื้ ท่ที ีจ่ ะเป็นเหตใุ หเ้ สยี หายแกพ่ น้ื ท่ีน้อยทสี่ ุด ถ้ามหี ญ้า ขึ้นอยตู่ อ้ งแซะหญา้ ออก (ให้ติดดินประมาณ 10 ซม.) แล้วจงึ คอ่ ยต้ังเตาไฟ ส่วนหญ้าท่แี ซะออกน้ันจะต้องหมนั่ รดนา้ ไว้ เม่ือการอย่คู า่ ยพกั แรมไดส้ น้ิ สุดลงแล้วกใ็ หป้ ลกู หญ้าไว้ทเี่ ดิม แล้วรดน้าเพ่อื ให้คืนสู่สภาพเดมิ ในการจัดทาเครื่องใช้ นัน้ อะไรควรจดั ทากอ่ น อะไรควรจัดทาภายหลงั ถือหลักว่าอันไหนสาคญั ท่สี ุดก็ให้จดั ทาก่อน แล้วจึงค่อยๆ จดั ทาส่งิ ท่ี มคี วามสาคญั รองลงมาตามลาดบั ตอ่ ไปนี้ คือ คาแนะนาในการสรา้ งเคร่อื งใช้ต่างๆ เตาไฟ มีหลายแบบ เช่น แบบขดุ เป็นราง แบบใช้อิฐ หรือกอ้ นหินวางเป็นสามเสา้ แบบเตายนื เป็นแบบสะดวก ในการทาครวั กอ่ นต้งั เตาไฟควรทาความสะอาดบริเวณนั้น อยา่ ให้มเี ชื้อไฟหรือสิง่ ทีต่ ดิ ไฟง่ายอย่ใู กล้ ๆ กองฟืน ลักษณะของฟนื ที่นามาใชค้ วรเปน็ ไม้แห้ง เพือ่ งา่ ยตอ่ การก่อไฟ ควรกองใหเ้ ปน็ ระเบยี บ อยู่ไมห่ า่ ง จากเตาไฟ ถ้าฝนตกจะต้องมีหลังคาคลมุ ดิน สาหรับเตายืนอาจเอาฟืนไว้ใต้เตากไ็ ด้ เครือ่ งใชต้ ่าง ๆ หม้อ กระทะ แก้วน้า มดี เขยี ง ฯลฯ ท่เี ก็บมีด ท่ีเก็บกระบอกน้า เก็บจาน ทเ่ี ก็บถังนา้ ที่เก็บ อาหาร จะตอ้ งจัดทาขึน้ ที่หุงต้มและรบั ประทานอาหาร ควรมีหลังคามงุ กันแดดกันฝน อาจใช้โต๊ะอาหารและมา้ นั่งควรจดั ทาขน้ึ ตาม แบบงา่ ย ๆ หลุมเปียก ขุดหลุมขนาดใหญใ่ หล้ กึ พอสมควร ท่ปี ากหลมุ ใช้กง่ิ ไม้ ใบไมส้ านเปน็ แผงปดิ แล้วเอาหญา้ โรย ขา้ งบน หลมุ น้าสาหรับเทน้าตา่ ง ๆทไี่ ม่ใช้แล้ว เช่น นา้ ปนไขมนั ซึ่งสง่ิ เหลา่ น้ีเมอ่ื เทลงไปไขมันและสิ่งต่าง ๆ จะติดอยู่ ทห่ี ญา้ มแี ต่น้าแท้ ๆ ไหลลงไปในหลุม แผงท่ปี ากหลุมจะต้องนาไปเผา และเปลย่ี นใหม่วนั ละครั้งเป็นอย่างน้อย หลุมแหง้ ขดุ เป็นอกี หลมุ หน่ึง เมื่อทงิ้ เศษอาหารแล้ว จะตอ้ งเอาดินกลบ ถ้าเปน็ กระป๋อง ก่อนท้ิงต้องทุบให้ แบนและเผาไฟ ในกรณีทคี่ า่ ยน้ันมีถงั สาหรับเผาขยะหรือเศษอาหารโดยเฉพาะอยูแ่ ล้ว กใ็ หน้ าขยะและเศษอาหารไป เผา ณ ท่กี าหนดไว้
11 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เรอ่ื งความสาคญั และความจาเปน็ ในการพฒั นาอาชีพ ปจั จยั หลักของการพฒั นาอาชีพ สิ่งสาคัญของการเร่มิ ต้นประกอบอาชพี อิสระ จะตอ้ งพจิ ารณาวา่ จะ ประกอบอาชพี อสิ ระอะไร โอกาสและความสาเรจ็ มีมากน้อยเพยี งไร และ จะตอ้ ง เตรียมตวั อยา่ งไรจึงจะทาใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ดงั นั้น จึงตอ้ งคานงึ ถงึ ปจั จยั หลกั ของการประกอบอาชพี ได้แก่ 1. ทุน คอื สง่ิ ท่จี าเป็นปัจจัยพ้ืนฐานของการประกอบอาชพี ใหม่ โดย จะต้องวางแผนและแนวทางการดาเนนิ ธุรกจิ ไว้ล่วงหนา้ เพ่ือที่จะทราบว่าตอ้ ง ใช้เงนิ ทนุ ประมาณเทา่ ไร บางอาชพี ใช้ เงนิ ทุนน้อยปัญหาย่อมมีนอ้ ย แตถ่ า้ เป็นอาชพี ที่ต้องใช้เงินทนุ มากจะต้องพจิ ารณาว่ามที ุนเพยี งพอหรือไมซ่ ึ่งอาจ เป็น ปญั หาใหญ่ ถ้าไมพ่ อจะหาแหล่งเงนิ ทุนจากที่ใด อาจจะไดจ้ ากเงินเก็บออม หรอื จากการกู้ยมื จากธนาคาร หรอื สถาบัน การเงนิ อื่น ๆ อยา่ งไรก็ตาม ในระยะแรกไม่ควรลงทนุ จนหมดเงินเกบ็ ออมหรือลงทุนมากเกินไป 2. ความรู้ หากไม่มีความรู้เพยี งพอ ต้องศกึ ษาขวนขวายหาความรู้เพ่มิ เติม อาจจะฝกึ อบรมจากสถาบนั ที่ให้ ความรู้ดา้ นอาชีพ หรือ ทางานเป็นลูกจ้างคน อ่ืน ๆ หรือทดลองปฏบิ ัติด้วยตนเองเพอื่ ให้มคี วามรู้ ความชานาญ และมี ประสบการณ์ในการประกอบอาชพี น้ัน ๆ 3. การจดั การ เป็นเร่ืองของเทคนิคและวิธีการ จงึ ตอ้ งรูจ้ กั การวางแผนการทางานในเรื่องของตัวบุคคลท่จี ะรว่ ม คดิ รว่ มทาและรว่ มทนุ ตลอดจนเครื่องมือ เคร่ืองใช้และกระบวนการทางาน 4. การตลาด เป็นปัจจัยท่ีสาคัญมากทสี่ ดุ ปัจจยั หน่งึ เพราะหากสนิ ค้าและบริการที่ผลิตขนึ้ ไม่เปน็ ที่นิยมและไม่ สามารถสรา้ งความพอใจให้แก่ผ้บู ริโภค ไดก้ ถ็ อื ว่ากระบวนการท้ังระบบไม่ประสบผลสาเร็จ ดังนน้ั การวางแผน การตลาด ซงึ่ ปจั จุบันมกี ารแขง่ ขันสงู จงึ ควรได้รบั ความสนใจในการพฒั นา รวมทัง้ ตอ้ งรแู้ ละเขา้ ใจในเทคนิคการผลิต การบรรจแุ ละการหีบห่อ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ เพอ่ื ใหส้ นิ ค้าและบริการของเราเป็นทน่ี ิยมของลกู ค้า กลุม่ เป้าหมาย ต่อไป ข้อแนะนาในการเลือกอาชีพ ก่อนตดั สินใจเลอื กประกอบอาชีพใด ๆ ก็ตาม ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ซ่งึ มขี ้อแนะนา ดังนี้ ประการแรก ควรเลือกอาชพี ท่ีชอบหรือคิดวา่ ถนดั สารวจตวั เองวา่ สนใจ อาชพี อะไร ชอบหรอื ถนัดดา้ นไหน มี ความสามารถอะไรบ้าง ที่สาคัญคอื ตอ้ ง การหรอื อยากจะประกอบอาชีพอะไร จึงจะเหมาะสมกับตวั เองและครอบครวั กล่าวคอื พจิ ารณาลกั ษณะงานอาชพี พจิ ารณาตวั เอง พร้อมทงั้ บุคคลในครอบครวั ประกอบกนั ไปด้วย ประการท่สี อง จะตอ้ งพัฒนาความสามารถของตัวเอง คอื ต้องศึกษารายละเอียดของอาชพี ที่จะเลอื กไปประกอบ ถา้ ความรู้ความเข้าใจยงั มีนอ้ ย มไี มเ่ พียงพอกต็ ้องทาการศึกษา ฝึกอบรม ฝึกปฏบิ ัติเพิม่ เติมจากบคุ คล หรอื หน่วยงาน ต่าง ๆ ใหม้ ีพนื้ ฐานความรคู้ วามเขา้ ใจในการเร่ิมประกอบอาชพี ท่ถี กู ต้อง เพื่อจะได้เรียนรู้จากประสบการณจ์ รงิ ของผมู้ ี ประสบการณ์มากอ่ น จกั ได้เพิ่มโอกาสความสาเร็จสมหวงั ในการไปประกอบอาชีพนั้น ๆ
12 ประการท่ีสาม พิจารณาองค์ประกอบอื่นทเี่ ก่ียวข้อง เช่น ทาเลท่ตี งั้ ของอาชีพที่จะทาไมว่ า่ จะเป็นการผลิต การ จาหนา่ ย หรอื การใหบ้ รกิ ารก็ตาม สภาพ แวดล้อมผูร้ ่วมงาน พน้ื ฐานในการเร่ิมทาธรุ กิจ เงินทุน โดยเฉพาะเงินทุนต้อง พิจารณาว่ามเี พยี งพอหรือไมถ่ า้ ไม่พอจะหาแหล่งเงนิ ทนุ จากที่ใด คุณธรรม คอื หลักความจรงิ หลักการปฏบิ ัติ 1. จรยิ ธรรมมี 2 ความหมาย คอื 1.1. ความประพฤติดีงาม เพ่ือประโยชน์สุขแก่ตนและสงั คม ซึ่งมพี นื้ ฐานมาจากหลกั ศลี ธรรมทางศาสนา ค่านิยมทางวัฒนธรรม ประเพณี หลกั กฎหมาย จรรยาบรรณวิชาชีพ 1.2. การรู้จกั ไตร่ตรองว่าอะไรควร ไม่ควรทา 2. จรรยา (etiquette) หมายถงึ ความประพฤติ กิรยิ าทค่ี วรประพฤตซิ ง่ึ สงั คมแตล่ ะสังคม กาหนดขึ้นสอดคล้องกับ วฒั นธรรม ในแตล่ ะวชิ าชีพก็อาจกาหนดบุคลกิ ภาพ กริ ยิ า วาจาท่ีบุคคลในวิชาชีพพึงประพฤติ ปฏิบตั ิ เช่น ครู แพทย์ พยาบาล ย่อมเปน็ ผู้ท่ีพงึ สารวมในกริ ิยา วาจา ทา่ ทางที่แสดงออก 3. จรรยาบรรณวิชาชีพ (professional code of ethics) หมายถงึ ประมวลความประพฤตทิ ผี่ ้ปู ระกอบอาชพี การงาน แต่ละอยา่ งกาหนดข้ึน เพ่อื รกั ษาและสง่ เสรมิ เกยี รติคุณ ชอ่ื เสียงและฐานะของสมาชิก ทาให้ได้รบั ความ เชอ่ื ถือจากสงั คม อาจเขียนเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรหรือไม่ก็ได้ เชน่ จรรยาบรรณของแพทย์ ก็คือ ประมวลความ ประพฤตทิ ี่วงการแพทยก์ าหนดข้ึน เพือ่ เปน็ แนวทางสาหรับผูเ้ ป็นแพทย์ยึดถอื ปฏบิ ตั ิ 4. ศลี ธรรม (moral) คาวา่ ศีลธรรมถ้าพจิ ารณาจากรากศพั ทภ์ าษาละตนิ Moralis หมายถงึ หลักความประพฤตทิ ่ีดี สาหรับบุคคลพงึ ปฏิบัติ ภาษาไทย ศีลธรรมเปน็ ศพั ท์พระพทุ ธศาสนา หมายถึง ความประพฤติทดี่ ที ีช่ อบหรือ ธรรม ในระดบั ศีล 5. คุณธรรม (virtue) หมายถึงสภาพคุณงานความดที างความประพฤตแิ ละจติ ใจ เชน่ ความเปน็ ผไู้ ม่กลา่ วเท็จโดย หวังประโยชนส์ ว่ นตน เปน็ คณุ ธรรมประการหนึ่ง อาจกล่าวได้วา่ คุณธรรมคอื จริยธรรมแต่ละข้อที่นามาปฏบิ ัตจิ นเปน็ นสิ ยั เชน่ เปน็ คนซือ่ สัตย์ เสยี สละ อดทน มีความรับผดิ ชอบ ฯลฯ 6. มโนธรรม (conscience) หมายถึงความรสู้ กึ ผดิ ชอบชวั่ ดี ความรสู้ กึ ว่าอะไรควรทาไมค่ วรทา นกั จรยิ ศาสตร์เชอ่ื วา่ มนุษยท์ กุ คนมมี โนธรรม เนื่องจากบางขณะเราจะเกิดความร้สู ึกขดั แยง้ ในใจระหว่างความรู้สกึ ตอ้ งการสิ่งหนงึ่ และรู้ ว่าควรทาอีกส่ิงหนง่ึ เชน่ ตอ้ งการไปดภู าพยนต์กับเพ่ือน แตก่ ร็ ู้วา่ ควรอยเู่ ป็นเพื่อน คุณแมซ่ งึ่ ไม่ค่อยสบาย 7. มารยาท มรรยาท กิรยิ า วาจา ทีส่ ังคมกาหนดและยอมรับวา่ เรยี บรอ้ ย เช่น สงั คมไทยใหเ้ กียรติเคารพ ผู้ใหญ่ ผนู้ อ้ ยยอ่ มสารวมกิรยิ าเมือ่ อย่ตู อ่ หนา้ ผใู้ หญ่ การระมดั ระวงั คาพดู โดยใชใ้ หเ้ หมาะกับบคุ คลตามกาลเทศะ ทฤษฎตี ้นไม้จรยิ ธรรมสาหรับคนไทย เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยาทฤษฎแี รกของนักศึกษาไทยท่สี ร้างขึ้น บุคคลผู้รวบรวมเขียนเป็น ทฤษฎี คือ ศาสตราจารย์ ดร.ดวงเดอื น พนั ธุมนาวนิ กรอบแนวคิดที่เป็นจุดเด่นของทฤษฎีน้ีมีความว่า ลกั ษณะ พ้ืนฐานและองคป์ ระกอบทางจติ ใจซง่ึ จะนาไปสพู่ ฤติกรรมทีพ่ ึงปรารถนา เพ่อื ส่งเสรมิ ให้บคุ คลเป็นคนดแี ละ คน เกง่ ซงึ่ ไดท้ าการศกึ ษาวจิ ยั ถงึ สาเหตุพฤตกิ รรมของคนดแี ละคนเก่ง โดยไดท้ าการประมวลผลการวิจัยที่เก่ียวข้องกบั การศึกษา สาเหตุของพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ของคนไทยทั้งเด็กและผูใ้ หญ่ อายตุ ้งั แต่ 6-60 ปี วา่ พฤตกิ รรมเหลา่ น้ัน มี
13 สาเหตทุ างจิตใจอะไรบา้ ง และได้นามาประยุกต์เป็นทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมสาหรบั คนไทยขึ้น โดยแบ่งต้นไมจ้ ริยธรรม ออกเปน็ 3 สว่ น ดงั น้ี 1.ส่วนท่ีหนง่ึ ได้แก่ ดอกและผลไม้บนตน้ ท่แี สดงถงึ พฤติกรรมการทาดีละเวน้ ชว่ั และพฤติกรรมการทางาน อยา่ งขยนั ขันแข็งเพอ่ื สว่ นรวม ซึง่ ล้วนแตเ่ ป็นพฤติกรรมของพลเมืองดี พฤตกิ รรมทเ่ี อือ้ เฟ้อื ตอ่ การพฒั นาประเทศ 2.ส่วนที่สอง ได้แก่ ส่วนลาต้นของต้นไม้ แสดงถึงพฤติกรรมการทางานอาชีพอย่างขยันขันแข็ง ซ่ึง ประกอบดว้ ยจิตลักษณะ 5 ด้าน คือ 2.1 เหตผุ ลเชงิ จริยธรรม 2.2 มุ่งอนาคตและการควบคุมตนเอง 2.3 ความเชือ่ อานาจในตน 2.4 แรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธิ์ 2.5 ทศั นคติ คุณธรรมและคา่ นิยม 3.ส่วนท่ีสาม ได้แก่ รากของต้นไม้ ที่แสดงถึงพฤติกรรมการทางานอาชีพอย่างขยันขันแข็งซึ่งประกอบด้วยจิต ลกั ษณะ 3 ดา้ น คือ 3.1 สติปัญญา 3.2 ประสบการณ์ทางสงั คม 3.3 สขุ ภาพจติ
14 ใบความรู้ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 การพัฒนาอาชพี ในชุมชน สงั คม ประเทศ และภูมภิ าค 5 ทวีป จากการเปล่ยี นแปลงในบรบิ ทโลกทั้งในสว่ นการรวมกล่มุ ทางการเงนิ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยอี ย่าง รวดเร็ว การเปลย่ี นแปลงของธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมของผู้บริโภค การรวมกลุ่มทาง เศรษฐกิจ และประการสาคญั คือ การเปล่ียนแปลงโครงสร้างประชากรทางสังคม ดังนั้น อาชีพในปจั จุบันจะตอ้ งมกี าร พัฒนาวิธกี ารและศักยภาพในการแขง่ ขนั ได้ในระดบั โลก ซง่ึ จะตอ้ งคานงึ ถึงบรบิ ทภูมภิ าคหลกั ของโลก หรือ “รู้ ศกั ยภาพเขา” หมายถึง ทวีปเอเชีย ทวปี อเมรกิ า ทวปี ยุโรป ทวีปออสเตเลยี ทวปี แอฟริกาและจะต้อง “รศู้ กั ยภาพ เรา” หมายถึง ร้ศู กั ยภาพหลักของพน้ื ที่ประเทศไทย คือศักยภาพของทรพั ยากรธรรมชาติในแตล่ ะพน้ื ที่ ศักยภาพของ ศลิ ปะ วัฒนธรรม ประเพณี และวถิ ีชีวติ ของแต่ละพืน้ ท่ี และศักยภาพของทรพั ยากรมนุษยใ์ นแต่ละพน้ื ที่ ดงั น้ันเพ่ือให้ การประกอบอาชพี สอดคลอ้ งกบั ศกั ยภาพหลกั ของพน้ื ทีแ่ ละสามารถแข่งขันในเวทีโลก จึงได้กาหนดกลุ่มอาชพี ใหม่ 5 กลุ่มอาชพี คอื กล่มุ อาชพี ใหมด่ า้ นการเกษตร กลุ่มอาชพี ใหม่ ดา้ นพาณิชยกรรม กลมุ่ อาชพี ใหม่ด้านอตุ สาหกรรม กลมุ่ อาชีพใหม่ดา้ นความคิดสรา้ งสรรค์ และกลุม่ อาชีพใหม่ดา้ นบรหิ ารจัดการและบรกิ าร 1. กลมุ่ อาชพี ใหมด่ า้ นการเกษตร คอื การพัฒนาอาชีพในด้านการเกษตรเก่ยี วกับการปลูกพืชเลย้ี งสัตว์ การ ประมง โดยนาองค์ความรู้ใหม่ เทคโนโลย/ี นวตั กรรม มาพฒั นาใหส้ อดคลอ้ งกับศักยภาพหลกั ของพน้ื ท่ี คือศักยภาพ ของทรพั ยากรธรรมชาตใิ นแต่ละพ้ืนท่ี ตามลักษณะภมู ิอากาศ ศักยภาพของภมู ปิ ระเทศและทาเลท่ีต้ังของแต่ละพ้นื ท่ี ศักยภาพของศิลปะ วฒั นธรรม ประเพณี และวถิ ขี องแตล่ ะพ้ืนทแี่ ละศกั ยภาพของทรัพยากรมนษุ ยใ์ นแตล่ ะพ้ืนที่ อาชีพใหม่ดา้ นการเกษตร เช่น เกษตรอนิ ทรยี ์ เกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎใี หม่วนเกษตร ธุรกจิ การเกษตร เป็นต้น 2. กล่มุ อาชีพใหม่ด้านพาณชิ ยกรรม คอื การพัฒนาหรือขยายขอบข่ายอาชพี ด้านพาณิชยกรรมเชน่ ผู้ ให้บรกิ ารจาหน่ายสนิ คา้ ทั้งแบบคา้ ปลีกและค้าสง่ ใหแ้ กผ่ ้บู รโิ ภคทั้งมหี นา้ รา้ นเป็นสถานท่จี ัดจาหนา่ ย เช่นหา้ งรา้ น ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอรส์ โตร์ รา้ นสะดวกซ้ือ และการขายท่ไี ม่มหี น้ารา้ น เช่น การขายผ่านสอ่ื อิเล็กทรอนิกส์ 3. กลุ่มอาชีพใหม่ด้านอุตสาหกรรม คือการพัฒนาอาชพี ท่อี าศยั องค์ความรู้ เทคโนโลย/ี นวัตกรรม อาชพี เกย่ี วกบั งานช่าง ซง่ึ ไดแ้ ก่ช่างไฟฟา้ ช่างไม้ ชา่ งยนต์ ชา่ งประปา ช่างปนู และช่างเช่ือมให้สอดคล้องกับความตอ้ งการ ของตลาดในประเทศและต่างประเทศและศกั ยภาพหลกั ของพืน้ ท่ี เช่น ผผู้ ลติ ชิ้นส่วนอิเลคทรอนกิ สเ์ ครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ หรอื อปุ กรณ์อิเลคทรอนกิ ส์โดยทั่วไป เชน่ IC PCB ผ้ปู ระกอบรถยนต์และยานยนตป์ ระเภทต่าง ๆ ผผู้ ลติ ตวั แทน จาหนา่ ยหรอื ผปู้ ระกอบชนิ้ ส่วนหรืออะไหล่รถยนต์ ผูใ้ ห้บริการซ่อมบารุงรถยนต์ ผู้จัดจาหน่ายและศูนยจ์ าหน่าย รถยนต์ทง้ั มือหน่ึงมอื สอง ผ้ผู ลติ และจาหนา่ ยเคร่อื งจักรและเครอ่ื งมอื ทุกชนดิ เช่น เครื่องจักรกลหนัก เคร่อื งจกั รกล เบา ผลิตอปุ กรณห์ รือสว่ นประกอบพื้นฐานของเครื่องใชไ้ ฟฟ้าตา่ ง ๆ เชน่ สายไฟ หลอดไฟ ฉนวนไฟฟ้า มอร์เตอร์ตา่ ง ๆ การผลติ อลมู เิ น่ียม ผลิตและตวั แทนจาหน่ายผลิตภณั ฑ์เหลก็ สเตนเลส ผผู้ ลติ จาหนา่ ยวัสดุก่อสร้าง วัสดตุ กแต่ง สขุ ภัณฑ์ การกอ่ สร้าง อาคาร หรือ ที่อย่อู าศัย 4. กลุ่มอาชีพใหม่ดา้ นความคิดสรา้ งสรรค์ ทา่ มกลางกระแสการแข่งขันของโลกธุรกิจที่ไรพ้ รมแดนและการ พฒั นาอยา่ งก้าวกระโดดของเทคโนโลยกี ารส่ือสารและการคมนาคม การแลกเปลี่ยนสินคา้ จากทีห่ นึ่งไปยงั อกี สถานที่ ทอ่ี ยู่ห่างไกลนัน้ เป็นเรื่องง่ายในปัจจุบันเมือ่ ขอ้ จากัดของการข้ามพรมแดนมิใชอ่ ปุ สรรคทางการคา้ ต่อไป จึงทาให้
15 ผูบ้ ริโภคหรือผู้ซอื้ มีสิทธเิ ลือกสนิ คา้ ใหมไ่ ด้อย่างเสรที ้งั ในด้านคณุ ภาพและราคา ซึ่งการเรียนรู้และพัฒนาสนิ ค้าและ บริการตา่ ง ๆ ท่มี ีอยู่ในตลาดอย่แู ลว้ ในยุคโลกไร้พรมแดนกระทาไดง้ า่ ย ประเทศทม่ี ตี น้ ทุนการผลิตต่า เช่น ประเทศ จีน อินเดีย เวียดนาม และประเทศในกลมุ่ ยุโรปตะวันออก จะมีความไดเ้ ปรยี บในการแข่งขนั ดา้ นราคา ดว้ ยเหตุน้ี ประเทศผนู้ าทางเศรษฐกิจหลายประเทศจงึ หันมาส่งเสริมการดาเนินนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรคเ์ พ่ือพัฒนาสินคา้ และบริการใหม่ ๆ และหลีกเล่ยี งการผลิตสินคา้ ที่ต้องต่อสู้ดา้ นราคา โดยหลักการของเศรษฐกิจสร้างสรรค์คอื แนวคิด หรอื แนวปฏิบตั ทิ ส่ี รา้ ง/เพ่ิมมลู คา่ ของสนิ คา้ และบรกิ ารได้โดยไมต่ อ้ งใชท้ รพั ยากรมากนัก แตใ่ ช้ความคดิ สตปิ ัญญา และความสรา้ งสรรคใ์ ห้มากข้ึน 5. กลุ่มอาชพี ใหม่ด้านบริหารจัดการและบรกิ าร เช่น ธุรกจิ บรกิ ารท่องเท่ียว ธรุ กจิ บริการสุขภาพ ธรุ กจิ บริการโลจิสตกิ ส์ ธุรกิจภาพยนต์ ธรุ กิจการจัดประชมุ และแสดงนทิ รรศการ บรกิ ารท่ปี รกึ ษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ท่ี ปรึกษาทางธรุ กิจงานอาชพี ใหม่ทง้ั 5 กลมุ่ ในอนาคตจะมกี ารเตบิ โตทางธุรกิจมากข้ึน จึงมีความต้องการเจ้าหนา้ ที่ บุคคล พนักงาน เพ่อื ควบคมุ และปฏบิ ตั ิงานท่มี คี วามรู้ ความสามารถ และทกั ษะฝีมือเป็นจานวนมาก
16 ใบความรู้ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เรอ่ื ง การอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม หมายถงึ การใชท้ รพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมอยา่ ง ฉลาด โดยใช้ใหน้ ้อย เพอื่ ให้เกิดประโยชน์สงู สดุ โดยคานึงถึงระยะเวลาในการใชใ้ ห้ยาวนาน และกอ่ ให้เกดิ ผลเสียหาย ตอ่ สง่ิ แวดล้อมน้อยท่สี ุด รวมท้ังตอ้ งมีการกระจายการใชท้ รัพยากรธรรมชาตอิ ยา่ งทัว่ ถึง อย่างไรก็ตาม ในสภาพ ปจั จบุ นั ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มมคี วามเสอื่ มโทรมมากข้ึน ดงั นั้นการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมจึงมีความหมายรวมไปถงึ การพฒั นาคณุ ภาพสงิ่ แวดล้อมดว้ ย การอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมสามารถกระทาไดห้ ลายวิธี ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม ดงั น้ี 1. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมโดยทางตรง ซงึ่ ปฏบิ ัตไิ ดใ้ นระดับบุคคล องค์กร และ ระดับประเทศ ที่สาคัญ คอื 1) การใช้อยา่ งประหยดั คอื การใช้เท่าทีม่ ีความจาเปน็ เพื่อใหม้ ีทรัพยากรไวใ้ ชไ้ ดน้ านและเกิด ประโยชนอ์ ย่างคมุ้ คา่ มากที่สดุ 2) การนากลบั มาใชซ้ ้าอีก ส่ิงของบางอยา่ งเม่ือมีการใช้แลว้ ครง้ั หนงึ่ สามารถที่จะนามาใชซ้ า้ ได้อีก เชน่ ถุงพลาสติก กระดาษ เป็นตน้ หรือสามารถท่ีจะนามาใช้ไดใ้ หม่โดยผา่ นกระบวนการต่างๆ เช่น การนากระดาษท่ี ใชแ้ ล้วไปผ่านกระบวนการต่างๆ เพอื่ ทาเปน็ กระดาษแข็ง เปน็ ต้น ซง่ึ เป็นการลดปริมาณการใช้ทรพั ยากรและการ ทาลายสิ่งแวดลอ้ มได้ 3) การบูรณซ่อมแซม สงิ่ ของบางอย่างเมอื่ ใชเ้ ปน็ เวลานานอาจเกิดการชารุดได้ เพราะฉะน้ันถา้ มี การบูรณะซอ่ มแซม ทาให้สามารถยดื อายุการใชง้ านตอ่ ไปได้อกี 4) การบาบัดและการฟื้นฟู เป็นวิธกี ารที่จะชว่ ยลดความเสื่อมโทรมของทรพั ยากรดว้ ยการบาบดั กอ่ น เชน่ การบาบัดน้าเสียจากบา้ นเรือนหรือโรงงานอตุ สาหกรรม เปน็ ต้น กอ่ นทจ่ี ะปล่อยลงสแู่ หลง่ นา้ สาธารณะ สว่ นการฟื้นฟเู ปน็ การร้อื ฟื้นธรรมชาติให้กลบั สสู่ ภาพเดิม เชน่ การปลกู ปา่ ชายเลน เพ่อื ฟ้ืนฟูความ สมดุลของปา่ ชายเลนให้กลบั มาอุดมสมบูรณ์ เป็นต้น 5) การใช้สิง่ อน่ื ทดแทน เปน็ วธิ ีการท่จี ะชว่ ยใหม้ ีการใชท้ รัพยากรธรรมชาตินอ้ ยลงและไม่ทาลาย สิ่งแวดลอ้ ม เชน่ การใช้ถงุ ผา้ แทนถุงพลาสตกิ การใช้ใบตองแทนโฟม การใชพ้ ลังงานแสงแดดแทนแร่เช้อื เพลงิ การใช้ ปยุ๋ ชีวภาพแทนปยุ๋ เคมี เปน็ ต้น 6) การเฝ้าระวงั ดูแลและป้องกัน เปน็ วิธีการทจ่ี ะไมใ่ ห้ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมถูก ทาลาย เชน่ การเฝา้ ระวังการทิง้ ขยะ ส่ิงปฏกิ ูลลงแมน่ า้ คูคลอง การจัดทาแนวป้องกันไฟป่า เปน็ ตน้ 2. การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยทางอ้อม สามารถทาไดห้ ลายวิธี ดังน้ี 1) การพัฒนาคณุ ภาพประชาชน โดนสนับสนนุ การศกึ ษาดา้ นการอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อมท่ถี ูกต้องตามหลักวชิ า ซึ่งสามารถทาไดท้ กุ ระดับอายุ ท้งั ในระบบโรงเรยี นและสถาบนั การศกึ ษาต่างๆ และนอกระบบโรงเรียนผ่านส่อื สารมวลชนต่างๆ เพ่ือใหป้ ระชาชนเกดิ ความตระหนักถงึ ความสาคัญและความจาเปน็ ในการอนุรักษ์ เกิดความรักความหวงแหน และให้ความรว่ มมอื อยา่ งจริงจัง
17 2) การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจัดต้ังกลมุ่ ชมุ ชน ชมรม สมาคม เพอ่ื การอนรุ ักษ์ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มตา่ งๆ ตลอดจนการใหค้ วามรว่ มมือทง้ั ทางด้านพลงั กาย พลงั ใจ พลังความคิด ดว้ ย จติ สานึกในความมีคุณค่าของสิง่ แวดล้อมและทรพั ยากรทีม่ ตี อ่ ตัวเรา เชน่ กลุ่มชมรมอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละ ส่งิ แวดล้อมของนกั เรียน นักศกึ ษา ในโรงเรียนและสถาบนั การศึกษาตา่ งๆ มลู นธิ คิ ้มุ ครองสัตวป์ ่าและพรรณพชื แห่ง ประเทศไทย มลู นิธสิ บื นาคะเสถยี ร มูลนิธิโลกสเี ขยี ว เป็นต้น 3) ส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นไดม้ สี ว่ นรว่ มในการอนุรกั ษ์ ช่วยกันดแู ลรกั ษาให้คงสภาพเดมิ ไมใ่ ห้เกดิ ความเส่ือมโทรม เพ่อื ประโยชนใ์ นการดารงชวี ิตในท้องถ่นิ ของตน การประสานงานเพอ่ื สรา้ งความรูค้ วาม เขา้ ใจ และความตระหนกั ระหว่างหนว่ ยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นกับประชาชน ให้มีบทบาทหนา้ ท่ใี น การปกปอ้ ง ค้มุ ครอง ฟ้ืนฟูการใช้ทรัพยากรอย่างคมุ้ คา่ และเกิดประโยชนส์ งู สดุ 4) สง่ เสริมการศกึ ษาวิจยั ค้นหาวิธีการและพฒั นาเทคโนโลยี มาใช้ในการจดั การกบั ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มใหเ้ กิดประโยชน์สูงสดุ เช่น การใช้ความร้ทู างเทคโนโลยีสารสนเทศมาจัดการ วางแผนพัฒนา การพฒั นาอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใชใ้ หม้ กี ารประหยัดพลังงานมากขึ้น การค้นคว้าวจิ ยั วธิ กี ารจัดการ การปรบั ปรงุ พัฒนาสิง่ แวดล้อมให้มีประสทิ ธภิ าพและย่ังยนื เป็นต้น 5) การกาหนดนโยบายและวางแนวทางของรัฐบาล ในการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาสิ่งแวดลอ้ มท้ังใน ระยะสันและระยะยาว เพ่อื เป็นหลกั การใหห้ น่วยงานและเจา้ หน้าท่ีของรัฐท่ีเกย่ี วข้องยดึ ถือและนาไปปฏิบัติ รวมทั้ง การเผยแพรข่ ่าวสารด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ทั้งทางตรงและทางออ้ ม
18 ใบความรู้ เรื่องท่ี 1 ความหมาย และความสาคัญ ของการเรียนรูด้ ้วยตนเอง ในปัจจบุ ันโลกมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร้ตู ่าง ๆ ไดเ้ พ่ิมขึ้นเปน็ อนั มาก การเรียนรูจ้ ากสถาบันการศึกษาไมอ่ าจทาให้บุคคลศึกษาความรู้ได้ครบทง้ั หมด การไขวค่ วา้ หา ความรู้ดว้ ยตนเอง จงึ เปน็ อกี วธิ ีหน่งึ ที่จะสนองความตอ้ งการของบุคคลได้ เพราะเมอื่ ใดกต็ ามทบ่ี คุ คลมีใจ รักท่ีจะศึกษา ค้นควา้ สิ่งที่ตนต้องการจะรู้ บคุ คลน้ันก็จะดาเนนิ การศกึ ษาเรยี นรอู้ ย่างต่อเน่ืองโดยไม่มี ใครตอ้ งบอก ประกอบกบั ระบบการศกึ ษาและปรัชญาการศึกษาเพ่อื เตรยี มคนใหส้ ามารถเรียนรู้ได้ตลอด ชวี ิต แสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง ใฝ่หาความรู้ รู้แหลง่ ทรัพยากรการเรยี น รวู้ ธิ กี ารหาความรู้ มี ความสามารถในการคิดเป็น ทาเป็น แก้ปญั หาเป็น มีนิสัยในการทางานและการดารงชีวติ และมสี ่วนรว่ ม ในการปกครองประเทศ การเรยี นรู้ด้วยตนเอง สามารถช่วยให้ผเู้ รยี นพัฒนาและเพ่มิ ศกั ยภาพของตนเองโดยการค้นพบความสามารถและสิง่ ท่ี มคี ณุ ค่าในตนเองท่ีเคยมองขา้ มไป (“...it is possible to help learners expand their potential by discovered thatwhich is yet untapped…”) (Brockett & Hiemstra, 1991) ความหมาย และความสาคัญของการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง การเรียนรเู้ ปน็ เรื่องของทุกคน ศักดศ์ิ รขี องผเู้ รยี นจะมีไดเ้ มอ่ื มโี อกาสในการเลอื กเรียนในเรื่องท่ี หลากหลายและมีความหมายแก่ตนเอง การเรยี นรู้มอี งค์ประกอบ 2 ดา้ น คอื องคป์ ระกอบภายนอก ไดแ้ ก่ สภาพแวดลอ้ ม โรงเรยี น สถานศกึ ษา สง่ิ อานวยความสะดวก และครู องค์ประกอบภายใน ไดแ้ ก่ การ คิดเป็น พึง่ ตนเองได้ มีอิสรภาพ ใฝร่ ู้ ใฝ่สรา้ งสรรค์ มคี วามคิดเชงิ เหตผุ ล มีจิตสานึกในการเรยี นรู้ มีเจตคติ เชิงบวกตอ่ การเรียนรู้ การเรียนรทู้ ่ีเกิดขน้ึ มไิ ด้เกิดขึน้ จากการฟังคาบรรยายหรอื ทาตามท่คี รูผู้สอนบอก แต่ อาจเกดิ ขึ้นได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ตอ่ ไปนี้ 1. การเรยี นรู้โดยบงั เอญิ การเรยี นรแู้ บบน้ีเกดิ ขน้ึ โดยบงั เอิญ มไิ ดเ้ กดิ จากความตั้งใจ 2. การเรียนรู้ด้วยตนเอง เปน็ การเรียนรดู้ ว้ ยความตงั้ ใจของผู้เรยี น ซึ่งมคี วามปรารถนาจะรใู้ นเร่ืองนั้น ผูเ้ รียนจึงคิด หาวิธกี ารเรียนด้วยวธิ ีการต่างๆ หลังจากนั้นจะมีการประเมินผลการเรยี นรู้ด้วยตนเองจะเป็นรูปแบบการเรียนรู้ทที่ วี ความสาคัญในโลกยคุ โลกาภวิ ัฒน์ บคุ คลซ่ึงสามารถปรับตนเองให้ตามทันความก้าวหน้าของโลกโดยใช้ส่อื อุปกรณ์ยคุ ใหม่ได้ จะทาให้เปน็ คนที่มีคณุ คา่ และประสบความสาเร็จได้อยา่ งดี การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองคืออะไร เม่อื กล่าวถงึ การเรียนดว้ ยตนเอง แล้วบคุ คลโดยทวั่ ไปมักจะเขา้ ใจว่าเปน็ การเรียนท่ีผเู้ รียนทาการศกึ ษา ค้นคว้าด้วยตนเองตามลาพงั โดยไมต่ ้องพ่ึงพาผู้สอน แตแ่ ทท้ ่จี ริงแล้วการเรยี นด้วยตนเองที่ตอ้ งการใหเ้ กิดข้ึนในตัว ผู้เรยี นน้ัน เป็นกระบวนการเรยี นรทู้ ี่ผู้เรียนริเรมิ่ การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ตามความสนใจ ความตอ้ งการ และความ ถนัด มเี ปา้ หมาย รจู้ ักแสวงหาแหลง่ ทรัพยากรของการเรยี นรู้ เลือกวธิ กี ารเรยี นรู้ จนถึงการประเมิน ความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเอง โดยจะดาเนินการด้วยตนเองหรอื ร่วมมอื ชว่ ยเหลือกบั ผู้อนื่ หรือไม่ก็ได้ ซง่ึ ผู้เรยี นจะต้องมคี วามรับผิดชอบและเป็นผูค้ วบคมุ การเรียนของตนเองทั้งนี้การเรียนด้วยตนเองนัน้ มแี นวคิด
19 พื้นฐานมาจากแนวคดิ ทฤษฎกี ล่มุ มนุษยนิยมท่มี คี วามเชอื่ ในเร่ืองความเป็นอิสระและความเป็นตัวของตวั เองของ มนษุ ย์วา่ มนษุ ย์ทกุ คนเกิดมาพรอ้ มกับความดี มคี วามเป็นอสิ ระ เป็นตัวของตวั เอง สามารถหาทางเลอื กของตนเอง มี ศักยภาพและสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อยา่ งไม่มขี ีดจากดั รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อ่นื ซ่ึง การเรยี นดว้ ยตนเองกอ่ ใหเ้ กิดผลในทางบวกตอ่ การเรียน โดยจะสง่ ผลให้ผเู้ รยี นมคี วามเชือ่ ม่ันในตนเอง มแี รงจงู ใจใน การเรียนมากข้ึน มี ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น และมีการใช้วธิ กี ารเรียนทห่ี ลากหลาย การเรยี นด้วยตนเองจงึ เป็นมาตรฐานการศึกษาท่ี ควรส่งเสริมใหเ้ กดิ ข้นึ ในตัวผูเ้ รยี น ทุกคน เพราะเม่อื ใดกต็ ามทีผ่ เู้ รยี นมีใจรักทจี่ ะศึกษา ค้นคว้าจากความต้องการของ ตนเอง ผู้เรียนก็จะมกี ารศึกษาค้นควา้ อยา่ งต่อเนื่องต่อไปโดยไม่ต้องมใี ครบอกหรือ“การเรียนรเู้ ปน็ เพื่อนท่ีดที ส่ี ุดของ มนษุ ย์”(LEARNING makes a man fit company for himself) ... (Young)... การเรียนดว้ ยตนเองมีอยู่ 2 ลกั ษณะคือ 1.ลกั ษณะทเี่ ป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีมจี่ ุดเน้นให้ผเู้ รยี นเป็นศูนย์กลางในการเรยี นโดยเป็นผู้รับผดิ ชอบและควบคมุ การ เรียนของตนเองโดยการวางแผน สามารถถา่ ยโอนการเรยี นรู้และทกั ษะท่ไี ด้จากสถานการณห์ นึง่ ไปยงั อีก สถานการณ์ หนง่ึ ได้ ใน 2. ลักษณะทางบุคลิกภาพท่มี ีอย่ใู นตวั ผทู้ เ่ี รียนด้วยตนเองทุกคนซง่ึ มีอยู่ในระดับทีไ่ มเ่ ทา่ กนั ในแตล่ ะสถานการณ์การ เรยี น โดยเป็นลกั ษณะท่ีสามารถพัฒนาใหส้ งู ขึ้นได้และจะพัฒนาไดส้ ูงสุดเม่ือมีการจดั สภาพการจัดการเรยี นรทู้ ี่เออื้ กัน การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองมคี วามสาคญั อยา่ งไร การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นแนวทางการเรียนรหู้ น่งึ ท่ีสอดคล้องกับการ เปลยี่ นแปลงของสภาพปจั จุบัน เพอ่ื ทตี่ นเองสามารถท่ีดารงชีวิตอยใู่ นสงั คมทีม่ กี ารเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ได้อย่างมคี วามสุข ดังน้นั การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองมคี วามสาคญั ดงั นี้ 1. บุคคลทเ่ี รียนรดู้ ้วยการริเร่ิมของตนเองจะเรยี นได้มากกว่า ดกี ว่า มคี วามตั้งใจ มีจุดมงุ่ หมายและมี แรงจูงใจสงู กวา่ สามารถนาประโยชน์จากการเรยี นรู้ไปใชไ้ ด้ดีกวา่ และยาวนานกว่าคนทเ่ี รียนโดยเป็นเพยี ง ผู้รับ หรือรอการถ่ายทอดจากครู 2. การเรียนรู้ดว้ ยตนเองสอดคล้องกับพฒั นาการทางจิตวทิ ยา และกระบวนการทางธรรมชาติ ทาให้ บคุ คลมที ิศทางของการบรรลวุ ุฒิภาวะจากลกั ษณะหน่ึงไปสอู่ ีกลกั ษณะหน่งึ คอื เมื่อตอนเด็ก ๆ เปน็ ธรรมชาติที่จะตอ้ งพึง่ พงิ ผอู้ ่ืน ตอ้ งการผปู้ กครองปกป้องเล้ยี งดู และตัดสินใจแทนให้ เมือ่ เตบิ โตมพี ัฒนาการ ขึน้ เรอ่ื ยๆ พฒั นาตนเองไปสคู่ วามเป็นอสิ ระ ไม่ต้องพึ่งพงิ ผูป้ กครอง ครู และผอู้ ืน่ การพัฒนาเป็นไปใน สภาพท่ีเพ่ิมความเปน็ ตวั ของตัวเอง 3. การเรยี นรู้ด้วยตนเองทาใหผ้ ้เู รียนมคี วามรบั ผิดชอบ ซ่ึงเป็นลกั ษณะท่ีสอดคลอ้ งกบั พัฒนาการ ใหม่ ๆ ทางการศกึ ษา เชน่ หลักสตู ร ห้องเรียนแบบเปิด ศูนยบ์ ริการวิชาการ การศึกษาอย่างอสิ ระมหาวทิ ยาลัยเปิด ลว้ นเน้นให้ผู้เรียนรับผิดชอบการเรียนรเู้ อง 4. การเรยี นรู้ด้วยตนเองทาให้มนุษยอ์ ยู่รอด การมีความเปลย่ี นแปลงใหม่ ๆ เกดิ ขึ้นเสมอ ทาให้มี ความจาเป็นที่จะต้องศกึ ษาเรยี นรู้ การเรียนรู้ด้วยตนเองจึงเป็นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต
20 การเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองมีลักษณะอยา่ งไร การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง สามารถจาแนกออกเป็น 2 ลกั ษณะสาคญั ดังน้ี 1. ลกั ษณะทเี่ ป็นบุคลกิ คุณลักษณะส่วนบุคคลของผ้เู รยี นในการเรียนดว้ ยตนเอง จัดเป็น องคป์ ระกอบภายในที่จะทาให้ผู้เรียนมแี รงจูงใจอยากเรียนต่อไป โดยผู้เรยี นทม่ี ี คุณลักษณะในการเรยี นด้วย ตนเองจะมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ ความคิดและการกระทาเกีย่ วกับการเรยี น รวมท้งั รบั ผดิ ชอบในการบรหิ าร จดั การตนเอง ซ่งึ มโี อกาสเกดิ ข้ึนได้สงู สดุ เม่อื มกี ารจัดสภาพการเรยี นรู้ท่ีสง่ เสริมกัน 2. ลกั ษณะที่เป็นการจัดการเรียนรูใ้ หผ้ เู้ รียนไดเ้ รยี นด้วยตนเอง ประกอบด้วย ข้ันตอนการวาง แผนการเรียน การปฏิบัตติ ามแผน และการประเมินผลการเรยี น จัดเป็นองค์ประกอบ ภายนอกท่สี ง่ ผลต่อ การเรยี นด้วยตนเองของผูเ้ รยี น ซง่ึ การจดั การเรยี นรูแ้ บบนี้ผู้เรยี นจะไดป้ ระโยชนจ์ ากการเรยี นมากท่ีสดุ Knowles (1975) เสนอให้ใช้สญั ญาการเรียน (Learning contracts) เปน็ การมอบหมายภาระงานให้แก่ผเู้ รียน ว่าจะตอ้ งทาอะไรบา้ งเพือ่ ใหไ้ ด้รับความร้ตู ามเป้าประสงค์และผเู้ รยี นจะปฏิบัตติ ามเงอ่ื นไขนั้น องค์ประกอบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีดังนี้ 1. การวิเคราะห์ความต้องการของตนเองจะเรมิ่ จากให้ผู้เรยี นแต่ละคนบอกความตอ้ งการและความสนใจของ ตนในการเรียนกับเพอ่ื นอกี คน ทาหนา้ ทเี่ ป็นท่ปี รึกษา แนะนา และเพื่อนอกี คนทาหน้าที่จดบันทึก และใหก้ ระทา เชน่ น้หี มุนเวียน ท้งั 3 คน แสดงบทบาทครบทัง้ 3 ดา้ น คอื ผู้เสนอความต้องการ ผู้ใหค้ าปรึกษา และผูค้ อยจดบนั ทึก การสังเกตการณ์ เพ่อื ประโยชนใ์ นการเรยี นรว่ มกันและช่วยเหลอื ซ่ึงกนั และกนั ในทุกๆ ด้าน 2. การกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรยี น โดยเริ่มจากบทบาทของผเู้ รียนเป็นสาคญั ผเู้ รียนควรศึกษา จดุ มุ่งหมายของวิชา แลว้ เขยี นจุดมงุ่ หมายในการเรยี นของตนใหช้ ดั เจน เน้นพฤติกรรมท่ีคาดหวงั วัดได้ มคี วาม แตกต่างของจุดมงุ่ หมายในแต่ละระดบั 3. การวางแผนการเรียน ให้ผเู้ รียนกาหนดแนวทางการเรียนตามวัตถปุ ระสงคท์ ี่ระบไุ ว้จัดเน้อื หาให้เหมาะสม กับสภาพความต้องการและความสนใจของตน ระบกุ ารจัดการเรียนรใู้ ห้เหมาะสมกับตนเองมากทสี่ ุด 4. การแสวงหาแหล่งวิทยาการทั้งที่เป็นวสั ดแุ ละบุคคล 4.1 แหล่งวิทยาการทีเ่ ปน็ ประโยชน์ในการศึกษาค้นควา้ เชน่ หอ้ งสมุด พพิ ธิ ภณั ฑ์ เปน็ ต้น 4.2 ทกั ษะตา่ ง ๆ ท่มี สี ่วนชว่ ยในการแสวงแหลง่ วทิ ยาการไดอ้ ยา่ งสะดวกรวดเร็ว เชน่ ทกั ษะการตง้ั คาถาม ทกั ษะการอ่าน เปน็ ต้น 5. การประเมินผล ควรประเมินผลการเรียนด้วยตนเองตามที่กาหนดจุดมุง่ หมายของการเรียนไว้ และให้ สอดคล้องกบั วัตถุประสงคเ์ กี่ยวกับความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ ทศั นคติ คา่ นยิ ม มีขัน้ ตอนในการประเมิน คอื 5.1 กาหนดเป้าหมาย วตั ถุประสงค์ให้ชัดเจน 5.2 ดาเนินการใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์ซง่ึ เป็นสิง่ สาคัญ 5.3 รวบรวมหลกั ฐานจากผลการประเมินเพื่อตัดสินใจซึง่ ต้องตัง้ อยู่บนพืน้ ฐานของขอ้ มลู ทส่ี มบรู ณแ์ ละ เชื่อถอื ได้ 5.4 เปรียบเทียบขอ้ มูลกอ่ นเรยี นกับหลังเรยี นเพื่อดูว่าผเู้ รยี นมีความก้าวหนา้ เพยี งใด 5.5 ใชแ้ หลง่ ข้อมูลจากครูและผ้เู รยี นเปน็ หลกั ในการประเมิน
21 กระบวนการของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง กระบวนการของการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง ความรบั ผิดชอบในการเรียนรูด้ ้วยตนเองของผ้เู รยี น เปน็ สง่ิ สาคญั ที่ จะนาผเู้ รียนไปสกู่ ารเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง เพราะความรับผิดชอบในการเรยี นรู้ด้วยตนเองนั้น หมายถงึ การทผ่ี เู้ รียน ควบคุมเนื้อหา กระบวนการ องค์ประกอบของสภาพแวดลอ้ มในการเรียนรขู้ องตนเอง ได้แกก่ ารวางแผนการเรยี นของ ตนเอง โดยอาศัยแหลง่ ทรพั ยากรทางความรตู้ ่างๆ ทจี่ ะช่วยนาแผนสกู่ ารปฏบิ ัติ แต่ภายใตค้ วามรบั ผิดชอบของผ้เู รยี น ผู้เรียนร้ดู ว้ ยตนเองต้องเตรยี มการวางแผนการเรยี นร้ขู องตน และเลือกสง่ิ ทีจ่ ะเรยี นจากทางเลอื กท่ีกาหนดไว้ รวมทงั้ วางโครงสรา้ งของแผนการเรียนรู้ของตนอกี ด้วย ในการวางแผนการเรยี นรู้ ผเู้ รียนตอ้ งสามารถปฏิบัติงานที่กาหนด วนิ ิจฉัยความชว่ ยเหลอื ทต่ี อ้ งการ และทาให้ได้ความช่วยเหลือน้ัน สามารถเลือกแหล่งความรู้ วเิ คราะห์ และวางแผน การการเรยี นทง้ั หมด รวมทั้งประเมนิ ความกา้ วหนา้ ในการเรยี นของตนกระบวนการในการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง เป็น วธิ ีการทีผ่ เู้ รียนต้องจดั กระบวนการเรียนรูด้ ้วยตนเอง โดยดาเนินการ ดังนี้ 1. การวนิ ิจฉัยความตอ้ งการในการเรยี น 2. การกาหนดจดุ มุ่งหมายในการเรยี น 3. การออกแบบแผนการเรยี น 4. การดาเนินการเรยี นรจู้ ากแหลง่ วทิ ยาการ 5. การประเมินผล
22 ใบความรเู้ ร่ืองที่ 2 การทาสัญญาการเรียนรู้ กระบวนการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ประกอบด้วยขนั้ ตอน วนิ จิ ฉัยความตอ้ งการในการเรียนรขู้ องผูเ้ รยี น กาหนดจดุ มงุ่ หมายในการเรียน วางแผนการเรียนโดยใชส้ ัญญาการเรยี น เขียนโครงการเรียนรู้ ดาเนินการเรียนรู้ และ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้น้นั ผูเ้ รียนจะไดป้ ระโยชน์จากการเรยี นมากทสี่ ุด “สญั ญาการเรยี น (Learning Contract)” เป็นการมอบหมายภาระงานให้กบั ผูเ้ รียนวา่ จะต้องทาอะไรบ้าง เพ่อื ใหไ้ ด้รับความรูต้ ามเป้าประสงค์ และผ้เู รียนจะ ปฏิบตั ิตามเงื่อนไขนั้น สัญญาการเรยี น (Learning Contract) คาวา่ สญั ญา โดยทัว่ ไปหมายถงึ ขอ้ ตกลงระหว่างบุคคล 2 ฝา่ ย หรือหลายฝ่ายว่าจะทาการหรอื งดเวน้ กระทาการอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ความจริงน้ันในระบบการจัดการเรยี นรกู้ ม็ ีการทาสัญญากนั ระหวา่ งครกู บั ผเู้ รียน แต่สว่ นมากไม่ไดเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษรว่า ถา้ ผู้เรียนทาได้อย่างนั้นแล้ว ผูเ้ รียนจะได้รบั อะไรบ้างตามขอ้ ตกลง สัญญาการเรียน จะเป็นเครื่องมือทีช่ ว่ ยให้ผ้เู รียนสามารถกาหนดแนวการเรียนของตัวเองได้ดียง่ิ ขึ้น ทาให้ประสบผลสาเร็จตามจดุ มุ่งหมายและเป็นเครอ่ื งยนื ยันท่ีเป็นรปู ธรรม ท่านคงแปลกใจทไี่ ด้ยินคาวา่ “สญั ญา” เพราะคาน้เี ป็นคาท่ีคุ้นหกู ันดอี ยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าทา่ นเคยได้ยินคาวา่ “สญั ญาการเรยี น” หรอื ยงั คาวา่ สญั ญาการเรยี นมี ผ้เู รม่ิ ใช้เป็นคนแรกคือ Dr. M.S. Knowles ศาสตราจารย์ สอนวิชาการศึกษาผู้ใหญ่ มหาวิทยาลัย North Carolina State ในสหรฐั อเมริกา 24 คาวา่ สัญญา แปลตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลวา่ “ขอ้ ตกลงกัน” ดังนั้น สัญญาการเรียน กค็ อื ขอ้ ตกลงท่ีผู้เรียนได้ทาไว้กบั ครวู า่ เขาจะปฏบิ ตั อิ ยา่ งไรบ้างในกระบวนการเรยี นรู้เพ่อื ให้บรรลุ จุดมงุ่ หมายของหลกั สูตรนั่นเอง สัญญาการเรยี นเป็นรูปแบบของการเรยี นร้ทู ี่แสดงหลักฐานของการเรยี นรู้โดยใชแ้ ฟม้ สะสมผลงาน หรอื Portfolio 1. แนวคิด การจัดการเรยี นรูใ้ นระบบ เปน็ การเรยี นรทู้ ี่ครูเป็นผกู้ าหนดรปู แบบ เนื้อหา กิจกรรมเป็นส่วนใหญผ่ ู้เรยี น เปน็ แตเ่ พยี งผปู้ ฏิบัติตาม ไม่ไดม้ ีโอกาสในการมีส่วนรว่ มในการวางแผนการเรยี น นักการศึกษาทั้งในตะวนั ตกและ แอฟรกิ า มองเหน็ ว่าระบบการศกึ ษาแบบน้เี ป็นระบบการศกึ ษาของพวกจักรพรรดินิยมหรือเป็นการศึกษาของพวกชน ช้นั สูงบ้าง เปน็ ระบบการศึกษาของผู้ถูกกดข่บี า้ ง สรุปแลว้ ก็คือระบบการศกึ ษาแบบนีไ้ ม่ได้ฝึกคนให้เป็นตวั ของตัวเอง ไมไ่ ดฝ้ กึ ใหค้ นรจู้ ักพึง่ ตนเอง จงึ มผี พู้ ยายามทีจ่ ะเปล่ยี นแนวคดิ ทางการศึกษาใหม่ อย่างเชน่ ระบบการศึกษาทีเ่ น้นการ ฝกึ ใหค้ นได้รู้จักพงึ่ ตนเองในประเทศแทนซาเนยี การศกึ ษาท่ีให้คนคิดเป็นในประเทศไทยเราเหลา่ นี้เปน็ ตน้ รปู แบบของ การศกึ ษาในอนาคต ควรจะมงุ่ ไปสตู่ ัวผเู้ รยี นมากกว่าตัวผู้สอน เพราะว่าในโลกปัจจบุ ันวิทยาการใหม่ ๆ ได้ เจริญกา้ วหน้าไปอย่างรวดเรว็ มหี ลายสิ่งหลายอยา่ งท่มี นุษยจ์ ะตอ้ งเรียนรู้ ถ้าจะให้แตม่ าคอยบอกกันคงทาไมไ่ ด้ ดงั น้ัน ในการเรียนจะต้องมกี ารฝึกฝนให้คิดใหร้ ้จู กั การหาวธิ ีการท่ีไดศ้ ึกษาส่งิ ท่ีคนตอ้ งการ กล่าวง่าย ๆ กค็ ือ ผู้เรียนท่ีได้รบั การศกึ ษาแบบทเี่ รียกว่าเรียนร้เู พ่อื การเรียนในอนาคต
23 2. ทาไมจะต้องมีการทาสญั ญาการเรียน ผลจากการวิจัยเก่ยี วกับการเรยี นรขู้ องผใู้ หญ่ พบวา่ ผู้ใหญจ่ ะเรยี นได้ดี ทีส่ ุดก็ต่อเมือ่ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ไม่ใชก่ ารบอกหรือการสอนแบบที่เป็นโรงเรียน และผลจากการวจิ ัยทางดา้ น จติ วิทยายังพบอีกว่าผูใ้ หญ่มลี ักษณะท่เี ด่นชัดในเร่ืองความต้องการท่จี ะทาอะไรดว้ ยตนเองโดยไม่ต้องมกี ารสอนหรือ การช้แี นะมากนกั อย่างไรก็ดีเม่ือพูดถึงระบบการศกึ ษาก็ยอ่ มจะตอ้ งมีการกล่าวถึงคณุ ภาพของบุคคลท่เี ขา้ มาอยู่ใน ระบบการศึกษา จงึ มีความจาเป็นท่จี ะต้องกาหนดกฎเกณฑ์ขน้ึ มาเพอ่ื เป็นมาตรฐาน ดงั นั้นถึงแม้จะใหผ้ เู้ รยี นเรียนรู้ ดว้ ยตนเองก็ตามก็จาเป็นจะต้องสรา้ งมาตรการขน้ึ มาเพ่ือการควบคุมคณุ ภาพของผูเ้ รียนเพ่ือใหม้ ีมาตรฐานตามทส่ี ังคม ยอมรบั เหตุนสี้ ญั ญาการเรยี นจงึ เข้ามามบี ทบาทในการเรยี นการสอนเป็นการวางแผนการเรยี นท่เี ปน็ ระบบ ขอ้ ดี ของสญั ญา-การเรยี น คอื เป็นการประสานความคดิ ท่ีว่าการเรยี นรู้ ควรให้ผเู้ รียนกาหนดและการศึกษาจะต้องมีเกณฑ์ มาตรฐานเขา้ ดว้ ยกนั เพราะในสญั ญาการเรยี นจะบ่งระบุว่าผู้เรยี นตอ้ งการเรียนเรือ่ งอะไรและจะวดั วา่ ไดบ้ รรลตุ าม ความมงุ่ หมายแล้วนั้นหรือไมอ่ ย่างไร มีหลกั ฐานการเรียนรู้อะไรบ้างท่บี ง่ บอกว่าผู้เรยี นมีผลการเรียนรู้อยา่ งไร 3. การเขยี นสญั ญาการเรียน การเรียนรู้ด้วยตนเอง ซ่งึ เริ่มจากการจดั ทาสัญญาการเรียนจะมีลาดบั การดาเนนิ การ ดงั น้ี ขน้ั ท่ี 1 แจกหลกั สตู รใหก้ บั ผู้เรียนในหลกั สูตรจะตอ้ งระบุ จุดประสงค์ของรายวชิ านี้ รายชอ่ื หนงั สืออ้างองิ หรอื หนงั สือสาหรับท่ีจะศึกษาค้นควา้ หน่วยการเรยี นยอ่ ย พรอ้ มรายช่ือหนังสอื อ้างอิง ครอู ธิบาย และทาความเขา้ ใจกับผเู้ รยี นในเรอ่ื งหลกั สูตร จดุ ม่งุ หมายและหนว่ ยการเรียนยอ่ ย
24 ใบความรู้เรื่องที่ 3 แฟ้มสะสมงาน การประเมินผลการเรียนโดยใช้แฟ้มสะสมงาน การจดั ทาแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) เป็นวธิ กี ารสาคญั ท่ีนามาใช้ในการวดั ผลและประเมินผลการเรยี นร้ทู ่ใี ห้ผู้เรียน เรียนรดู้ ว้ ยตนเองโดยการจัดทาแฟ้มสะสมงานทมี่ คี วามเช่อื พน้ื ฐานทสี่ าคญั มาจากการใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้จากสภาพจริง (Authentic Learning) ซ่งึ มสี าระสาคัญทีพ่ อสรุปได้ดังนี้ 1. ความเชื่อพื้นฐานของการเรียนรตู้ ามสภาพจริง (Authentic Learning) 1.1 ความเช่อื เกย่ี วกบั การจัดการศกึ ษา มนษุ ย์มสี ญั ชาตญาณที่จะเรยี นรู้ มีความสามารถและมคี วามกระหายทีจ่ ะเรยี นรู้ ภายใตบ้ รรยากาศของสภาพแวดลอ้ มทเี่ ออ้ื อานวยและการสนับสนนุ จะทาใหม้ นุษย์สามารถทจี่ ะ รเิ รม่ิ และเกดิ การเรียนรู้ของตนเองได้ มนุษยส์ ามารถท่ีจะสรา้ งองคค์ วามรู้จากการปฏิสมั พนั ธก์ ับคนอนื่ และจากสื่อทม่ี ี ความหมายตอ่ ชีวติ มนษุ ย์มีพัฒนาการดา้ นร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสงั คม และด้านสตปิ ัญญาแตกตา่ งกนั 1.2 ความเช่ือเก่ยี วกบั การเรียนรู้ การเรยี นรู้จะเร่ิมจากสง่ิ ท่ีเป็นรปู ธรรมไปสนู่ ามธรรมโดยผา่ นกระบวนการการสารวจตนเอง การเสรมิ สร้าง บรรยากาศของการเรยี นร้แู ละการสร้างบริบทของสังคมให้ผเู้ รยี นได้ปฏิสมั พันธก์ ับผู้เรยี นอ่ืน การเรียนรู้มีองคป์ ระกอบทางด้านปญั ญาหลายดา้ นทง้ั ในดา้ นภาษา คานวณ พน้ื ท่ดี นตรี การเคลื่อนไหว ความสัมพันธ์ระหวา่ งบุคคลและอื่น ๆ การแสวงหาความรจู้ ะมีประสิทธภิ าพมากยงิ่ ข้นึ ถ้าอย่ใู นบริบทท่มี ีความหมายตอ่ ชวี ติ การแสวงหาความรเู้ ปน็ กระบวนการท่ีเกิดขึ้นตลอดชวี ิต 1.3 ความเชอื่ เก่ยี วกบั การสอน การสอนจะตอ้ งยึดผเู้ รียนเป็นศูนยก์ ลาง การสอนจะเปน็ ท้ังรายบุคคลและรายกลุ่ม การสอนจะยอมรบั วัฒนธรรมท่แี ตกตา่ งกันและวิธกี ารเรยี นร้ทู ี่เปน็ เอกลกั ษณ์ของผูเ้ รยี นแต่ละคน การสอนกับการประเมินเปน็ กระบวนการต่อเนอ่ื งและเกี่ยวขอ้ งซง่ึ กันและกัน การสอนจะตอ้ งตอบสนองตอ่ การขยายความรูท้ ่ีไมม่ ที ่สี น้ิ สดุ ของหลักสูตรสาขาต่าง ๆ 1.4 ความเชื่อเก่ียวกับการประเมนิ การประเมินแบบนาคะแนนของผ้เู รียนจานวนมากมาเปรยี บเทยี บกัน มคี ุณค่าน้อยต่อการพฒั นาศกั ยภาพ ของผเู้ รียน การประเมินตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) ไมใ่ ช่สิง่ สะทอ้ นความสามารถทมี่ ีอยู่ในตัวผู้เรยี น แต่ จะสะทอ้ นถงึ การปฏสิ มั พันธ์ระหวา่ งบุคคลกับสิง่ แวดลอ้ มและความสามารถทแี่ สดงออกมา การประเมินตามสภาพจรงิ จะให้ข้อมลู และขา่ วสารทีเ่ ท่ยี งตรงเก่ยี วกบั ผเู้ รยี นและกระบวนการทางการศึกษา
25 2. ความหมายของการประเมนิ ตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) การประเมินตามสภาพจรงิ เปน็ กระบวนการของการสงั เกตการณบ์ ันทกึ การจดั ทาเอกสารท่เี กย่ี วกับงานหรือภารกจิ ที่ผู้เรยี นไดท้ า รวมทง้ั แสดงวิธกี ารวา่ ได้ทาอยา่ งไร เพื่อใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู พนื้ ฐานเกย่ี วกับการตัดสนิ ใจทางการศึกษาของ ผ้เู รยี นนั้น การประเมนิ ตามสภาพจรงิ มคี วามแตกตา่ งจากการประเมินโครงการตรงทีก่ ารประเมินแบบนไี้ ด้ให้ ความสาคัญกบั ผู้เรยี นมากกวา่ การใหค้ วามสาคญั กับผลอนั ที่จะเกิดข้ึนจากการดคู ะแนนของกลุ่มผเู้ รียนและแตกต่าง จากการทดสอบเนื่องจากเป็นการวัดผลการปฏบิ ตั ิจริง (Authentic Assessment) การประเมินตามสภาพจริงจะได้ ข้อมูลสารสนเทศเชิงคุณภาพอยา่ งตอ่ เนื่องทส่ี ามารถนามาใช้ในการแนะแนวการเรียนสาหรับผู้เรยี นแต่ละคนได้เป็น อยา่ งดี 3. ลักษณะทสี่ าคัญของการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) 4. การประเมนิ ผลการเรียนโดยใช้แฟม้ สะสมงาน แฟ้มสะสมงาน เปน็ วิธีการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ตามสภาพจรงิ ซงึ่ เป็นวิธกี ารท่ีครไู ดน้ าวิธีการมาจากศลิ ปิน (artist) มาใช้ในทางการศกึ ษาเพือ่ การประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียน แฟม้ สะสมงานไมใ่ ชแ่ นวคิดใหม่ เปน็ เร่อื งท่มี มี านานแลว้ ใชโ้ ดยกลุ่มเขียนภาพ ศิลปิน สถาปนิกนักแสดง และ นกั ออกแบบ โดยแฟ้มสะสมงานได้ถกู นามาใช้ในทางการศึกษาในการเรียนการสอนทางดา้ นภาษา คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และวิชาอ่นื ๆ ทง้ั น้แี ฟม้ สะสมงานเป็นวธิ กี ารที่สะทอ้ นถึงวธิ กี ารประเมินผลการเรยี นรู้ตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) ซงึ่ เปน็ กระบวนการของการรวบรวมหลกั ฐานท่ีแสดงให้เหน็ ว่าผเู้ รยี นสามารถทาอะไรได้ บ้างและเป็นกระบวนการของการแปลความจากหลักฐานทไี่ ดแ้ ละมกี ารตัดสนิ ใจหรอื ใหค้ ุณค่าการประเมินผลตาม สภาพจริงเปน็ กระบวนการทใ่ี ชเ้ พื่ออธบิ ายถึงภาระงานท่ีแท้จริงหรอื real task ทผี่ เู้ รยี นจะตอ้ งปฏิบัตหิ รอื สร้าง ความรู้ ไม่ใช่สรา้ งแตเ่ พียงขอ้ มูลสารสนเทศ การประเมินโดยใชแ้ ฟ้มสะสมงานเปน็ วิธีการของ 5. ลกั ษณะของแฟม้ สะสมงาน นกั การศึกษาบางทา่ นไดก้ ลา่ วว่าแฟม้ สะสมงานมลี กั ษณะเหมือนกับจานผสมสี ซ่ึงจะเห็นไดว้ า่ จานผสมสเี ป็นสว่ นที่ รวมเรื่องสีตา่ ง ๆ ท้งั นแี้ ฟ้มสะสมงานเปน็ สิง่ ที่รวมการประเมินแบบต่าง ๆ เพื่อการวาดภาพใหเ้ หน็ วา่ ผูเ้ รยี นเป็น อย่างไร แฟม้ สะสมงานไมใ่ ชถ่ งั บรรจุสิง่ ของ (Container) ทเี่ ปน็ ที่รวมของส่ิงตา่ ง ๆ ท่จี ะเอาอะไรมากองรวมไว้หรือ เอามาใส่ไว้ในที่เดียวกัน แต่แฟม้ สะสมงานเป็นการรวบรวมหลักฐานที่มีระบบและมกี ารจัดการโดยครแู ละผู้เรียนเพ่อื การตรวจสอบความก้าวหนา้ หรือการเรยี นรู้ดา้ นความรู้ ทักษะและเจตคตใิ นเร่ืองเฉพาะวิชาใดวชิ าหน่ึง 6. จดุ มุ่งหมายของการประเมนิ โดยใชแ้ ฟ้มสะสม ชว่ ยให้ครไู ดร้ วบรวมงานทส่ี ะท้อนถึงความสาคัญของนกั เรยี นใน วัตถุประสงค์ใหญข่ องการเรียนรู้ กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนสามารถจดั การเรียนรู้ของตนเอง เกิดความเข้าใจอยา่ งแจ่มแจง้ ใน ความกา้ วหน้าของผูเ้ รียน เขา้ ใจตนเองมากย่ิงข้นึ ทราบการเปลย่ี นแปลงและความก้าวหน้า ตลอดชว่ งระหวา่ งการ เรยี นรู้ ตระหนักถึงประวัตกิ ารเรียนรูข้ องตนเอง และเกิดความสัมพันธ์ระหว่างการสอนกับการประเมิน 7. กระบวนการของการจัดทาแฟ้มสะสมงาน แฟ้มสะสมงานจะมีลกั ษณะทีส่ าคญั 2 ประการคือ - เปน็ เหมือนสงิ่ ท่ีรวบรวมหลกั ฐานท่ีแสดงความรู้และทกั ษะของผู้เรียน - เปน็ ภาพท่แี สดงพฒั นาการของผู้เรียนในการเรียนรู้ ตลอดช่วงเวลาของการเรียน
26 8. รูปแบบ (Model) ของการทาแฟ้มสะสมงาน สามารถดาเนินการ สาหรับผูเ้ ริม่ ทาไมม่ ปี ระสบการณ์มากอ่ นควรใช้ 3 ขนั้ ตอน ข้ันท่ี 1 การรวบรวมผลงาน ขัน้ ท่ี 2 การคัดเลอื กผลงาน ขน้ั ที่ 3 การสะทอ้ นความคิด ความรู้สกึ ในผลงาน 9. การวางแผนทาแฟม้ สะสมงาน การวางแผนและการกาหนดจดุ ม่งุ หมาย คาถามหลกั ทจี่ ะตอ้ งทาใหช้ ัดเจน ทาไมจะต้องให้ผู้เรียนรวบรวมผลงาน ทาแฟม้ สะสมงานเพื่ออะไร จุดมุ่งหมายท่แี ท้จริงของการทาแฟม้ สะสมงาน คืออะไร การใช้ แฟ้มสะสมงานในการประเมินมี ข้อดี ขอ้ เสยี อย่างไร 10. การเก็บรวบรวมช้ินงานและการจัดแฟ้มสะสมงาน ความหมายของแฟม้ สะสมงานคอื การรวบรวมผลงานของผเู้ รียนอยา่ งมีวัตถุประสงค์เพือ่ การแสดงใหเ้ หน็ ความ พยายาม ความกา้ วหน้าและความสาเร็จของผู้เรียนในเรอื่ งใดเรอ่ื งหนึง่ วธิ ีการเก็บรวบรวม สามารถจดั ใหอ้ ยู่ในรูปแบบของสิง่ ต่อไปน้แี ฟม้ งาน สมุดบนั ทึก ตูเ้ กบ็ เอกสาร กลอ่ ง อลั บัม้ แผน่ ดิสก์ วธิ ีการดาเนินการเพอื่ การรวบรวม จัดทาไดโ้ ดยวธิ กี าร ดังนี้รวบรวมผลงานทุกชนิ้ ท่ีจดั ทาเป็นแฟม้ สะสมงานคัดเรือ่ ง ผลงานเพ่ือใช้ในแฟม้ สะสมงานสะทอ้ นความคดิ ในผลงานท่ีคดั เรอ่ื งไว้
27 ใบความรูเ้ ร่ืองท่ี 4 ทกั ษะพื้นฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทกั ษะการแกป้ ัญหา และเทคนิคการเรียนรู้ด้วยตนเอง คาถามธรรมดา ๆ ทเ่ี ราเคยไดย้ นิ ได้ฟังกันอยู่บอ่ ย ๆ ก็คือ ทาอยา่ งไรเราจึงจะสามารถฟงั อยา่ งรู้เรือ่ งและคิดไดอ้ ยา่ ง ปราดเปร่ือง อา่ นไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ตลอดจนเขยี นได้อยา่ งมืออาชีพ ทงั้ น้ี ก็เพราะเราเข้าใจกันดีวา่ ทัง้ หมดนีเ้ ปน็ ทักษะ พืน้ ฐาน (basic skills) ทีส่ าคญั และเปน็ ความสามารถ (competencies) ทีจ่ าเปน็ สาหรบั การดารงชีวติ ทงั้ ในโลกแห่ง การทางาน และในโลกแห่งการเรียนรู้ การฟงั เปน็ การรับรู้ความหมายจากเสยี งทีไ่ ดย้ นิ เป็นการรบั สารทางหูการได้ยินเปน็ การเริ่มตน้ ของการฟังและเป็น เพียงการกระทบกันของเสยี งกับประสาทตามปกติ จึงเปน็ การใช้ความสามารถทางรา่ งกายโดยตรง สว่ นการฟังเป็น กระบวนการทางานของสมองอกี หลายขน้ั ตอนต่อเน่ืองจากการไดย้ นิ เป็นความสามารถท่ีจะได้รบั รูส้ ิ่งทีไ่ ด้ยิน ตคี วามและจับความสงิ่ ท่ีรับรู้น้ันเขา้ ใจและจดจาไว้ ซงึ่ เป็นความสามารถทางสตปิ ัญญา การพดู เป็นพฤตกิ รรมการส่ือสารท่ใี ช้กนั แพร่หลายทวั่ ไป ผพู้ ดู สามารถใช้ทัง้ วจนะภาษา และ อวจั นะภาษาในการสง่ สารตดิ ต่อไปยงั ผฟู้ ังได้ชดั เจนและรวดเร็วการพูด หมายถึง การส่อื ความหมายของมนุษย์โดยการใช้เสียง และกริ ยิ า ทา่ ทางเป็นเคร่ืองถา่ ยทอดความรู้ความคิด และความรสู้ ึกจากผพู้ ดู ไปสู่ผฟู้ งั การอา่ น เปน็ พฤตกิ รรมการรบั สารทสี่ าคญั ไม่ยิ่งหยอ่ นไปกวา่ การฟัง ปจั จุบันมีผรู้ ู้นักวิชาการและนักเขียนนาเสนอ ความรู้ ข้อมูล ขา่ วสารและงานสรา้ งสรรค์ ตีพมิ พ์ ในหนังสอื และสิง่ พิมพอ์ ่ืน ๆ มากนอกจากนแี้ ลว้ ข่าวสารสาคัญ ๆ หลังจากนาเสนอดว้ ยการพูด หรอื อ่านให้ฟงั ผา่ นสอื่ ตา่ ง ๆ สว่ นใหญจ่ ะตีพมิ พ์รกั ษาไวเ้ ป็นหลักฐานแก่ผ้อู า่ นในช้ันหลงั ๆความสามารถในการอา่ นจงึ สาคญั และจาเป็นย่งิ ตอ่ การเป็นพลเมอื งทีม่ คี ุณภาพในสังคมปัจจบุ นั การเขยี น เปน็ การถา่ ยทอดความรู้สกึ นึกคิดและความต้องการของบคุ คลออกมาเปน็ สญั ลักษณ์ คือตัวอักษร เพื่อสอ่ื ความหมายให้ผ้อู ืน่ เข้าใจจากความขา้ งต้น ทาใหม้ องเห็นความหมายของการเขียนวา่ มีความจาเปน็ อยา่ งยิ่งตอ่ การ สอ่ื สารในชีวิตประจาวนั เชน่ นักเรียน ใช้การเขยี นบันทึกความรู้ ทาแบบฝึกหดั และตอบข้อสอบบุคคลทัว่ ไป ใชก้ าร เขยี นจดหมาย ทาสญั ญา พินยั กรรมและคา้ ประกัน เปน็ ต้น พอ่ คา้ ใชก้ ารเขียนเพอื่ โฆษณาสนิ คา้ ทาบญั ชี ใบสั่งของ ทาใบเสร็จรบั เงิน แพทย์ ใชบ้ นั ทึกประวตั ิคนไข้เขียนใบสงั่ ยาและอื่นๆ เป็นต้น
28 ใบความรทู้ ี่ 5 ความหมาย ความสาคัญ ประเภทของแหล่งเรียนรู้ ความรู้หรือข้อมลู สารสนเทศเกิดขนึ้ และพฒั นาอยา่ งต่อเน่ืองตลอดเวลา และมกี ารเผยแพรถ่ ึงกนั โดยใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศภายในไมก่ ีว่ ินาที ทาใหม้ นุษย์ตอ้ งเรียนรู้กบั ส่งิ ที่เปล่ียนแปลงใหมๆ่ เพื่อใหส้ ามารถรู้เทา่ ทัน เหตกุ ารณ์ และนามาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ การดารงชีวิตไดอ้ ยา่ งมีความสุขความรู้หรือข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ดงั กล่าวมอี ย่ใู นแหล่งเรียนร้ลู อ้ มรอบตวั เรา ดงั น้ันการเรียนรู้ท่เี กิดข้ึนภายในห้องเรียนยอ่ มเปน็ การไมเ่ พยี งพอใน ความรทู้ ไ่ี ด้รบั ความหมายของแหลง่ เรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรู้ หมายถึง บรเิ วณ ศนู ยร์ วม บอ่ เกดิ แห่ง หรอื ท่ี ทม่ี ีสาระเน้อื หาเป็นข้อมูลความรู้ ความสาคัญของแหล่งเรียนรู้ แหลง่ เรยี นรู้มบี ทบาทสาคญั ในการพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของประชาชน ดงั น้ี 1. เป็นแหลง่ ทม่ี ขี ้อมูล/ ความรู้ ตามวัตถุประสงค์ของแหลง่ เรียนรู้นัน้ เชน่ สวนสตั วใ์ หค้ วามรเู้ รอ่ื งสัตว์ พิพิธภัณฑใ์ ห้ความรเู้ ร่อื งโบราณวัตถุสมัยตา่ ง ๆ 2. เป็นสื่อการเรยี นรสู้ มัยใหม่ทค่ี วามรูก้ อ่ ใหเ้ กิดทกั ษะ และช่วยการเรียนร้สู ะดวกรวดเร็วเช่น อินเทอรเ์ น็ต 3. เป็นแหล่งชว่ ยเสริมการเรยี นรูข้ องการศึกษาประเภทตา่ ง ๆ ทง้ั การศึกษาในระบบการศกึ ษานอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศยั 4. เป็นแหลง่ การเรียนรูต้ ลอดชวี ิตที่มนุษยเ์ ขา้ ไปหาความรู้ไดด้ ว้ ยตนเองตามความสนใจและความสามารถ 5. เปน็ แหลง่ ทม่ี นุษยส์ ามารถเขา้ ไปปฏิบตั ิไดจ้ ริง เช่น การประดิษฐ์เคร่อื งใช้ต่าง ๆ การซอ่ มเครอื่ งยนต์ เปน็ ต้น ช่วยกระตุ้นใหเ้ กดิ ความสนใจ ความใฝร่ ู้ 6. เปน็ แหลง่ ท่ีมนษุ ย์สามารถเข้าไปเรยี นรู้เกีย่ วกับวิทยาการใหม่ ๆ ยงั ไม่มีของจรงิ ใหเ้ หน็ หรือไมส่ ามารถ เขา้ ไปดูจากของจริงไดโ้ ดยเรยี นรู้ การดภู าพยนตร์ วีดทิ ัศน์ หรอื สื่ออ่ืน ๆ 7. เปน็ แหลง่ ส่งเสรมิ ความสมั พันธ์อนั ดรี ะหวา่ งคนในท้องถนิ่ ให้เกิดความตระหนกั และเหน็ คณุ คา่ ของแหลง่ เรยี นรู้ 8. เป็นสง่ิ ท่ชี ่วยเปล่ียนแปลงทศั นคติ คา่ นยิ มให้เกดิ การยอมรบั สิง่ ใหม่ แนวคิดใหม่ เกิดจินตนาการ และ ความคดิ สร้างสรรค์กบั ผู้เรียน 9. เป็นการประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายและเพิ่มรายไดใ้ ห้แหลง่ เรียนรขู้ องชุมชน ประเภทของแหลง่ เรียนรู้ แหลง่ เรียนรู้มีการแบง่ แยกตามลักษณะได้ 6 ประเภท ดงั นี้ 1. แหลง่ เรยี นรปู้ ระเภทบคุ คล ไดแ้ ก่ บคุ คลทมี่ ีความรู้ ความสามารถดา้ นต่าง ๆที่สามารถถ่ายทอดความรู้ ด้วยรูปแบบวธิ ตี ่าง ๆ หรือบุคคลที่ไดร้ ับแต่งตง้ั เป็นภูมิปญั ญา 2. แหล่งเรียนรปู้ ระเภทธรรมชาติ ไดแ้ ก่ สงิ่ ต่าง ๆ ทเี่ กิดขน้ึ โดยธรรมชาติ และให้ประโยชน์ต่อมนุษย์ เชน่ ดนิ น้า อากาศ พืช สัตว์ ต้นไม้ แร่ธาตุ ทรัพยากรธรรมชาตเิ หลา่ นี้อาจถูกจัดใหเ้ ป็นอุทยาน วนอทุ ยาน เขตรกั ษาพันุธ์ สตั ว์ป่า สวนพฤกษศาสตร์ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ เป็นต้น
29 3. แหล่งเรียนรปู้ ระเภทวสั ดุและสถานที่ ได้แก่ อาคาร สิ่งก่อสรา้ ง วสั ดุ อปุ กรณแ์ ละสงิ่ ตา่ ง ๆ ท่ีประชาชน สามารถศกึ ษาหาความรู้ใหไ้ ด้มาซึง่ คาตอบ หรือสง่ิ ท่ีตอ้ งการจากการเห็นไดย้ ิน สมั ผสั เช่น ห้องสมุด ศาสนสถาน ศูนย์ การเรียน พพิ ิธภณั ฑ์ สถานประกอบการ ตลาดนิทรรศการ สถานทท่ี างประวัติศาสตร์ ชมุ ชนแหง่ การเรียนรูต้ ่าง ๆ 4. แหล่งเรยี นรู้ประเภทส่ือ ไดแ้ ก่ สิง่ ท่ีทาหน้าทีเ่ ป็นสอ่ื กลางในการถ่ายทอดเนอื้ หาความรสู้ ารสนเทศ ให้ ถึงกนั โดยผา่ นประสาทสัมผัส ไดแ้ ก่ หู ตา จมกู ลิ้น กาย และใจ แหล่งเรียนรปู้ ระเภทนี้ ทาให้กระบวนการเรยี นรู้ เป็นไปได้อย่างรวดเรว็ มปี ระสทิ ธภิ าพสูง ท้ังส่ืออเิ ล็กทรอนกิ สส์ อ่ื สง่ิ พมิ พ์ สื่อโสตทัศน 5. แหล่งเรยี นรู้ประเภทเทคนคิ สงิ่ ประดิษฐ์คดิ ค้น ไดแ้ ก่ ส่งิ ท่แี สดงถงึ ความกา้ วหน้าทางนวัตกรรม เทคโนโลยีดา้ นตา่ ง ๆ ทไี่ ดม้ กี ารประดษิ ฐ์คดิ คน้ หรือพัฒนาปรบั ปรุงข้นึ มาใหม้ นุษย์ไดเ้ รียนรถู้ งึ ความก้าวหน้า เกิด จินตนาการ แรงบันดาลใจ 6. แหล่งเรยี นรปู้ ระเภทกิจกรรม ได้แก่ การปฏบิ ัติการดา้ นประเพณีวฒั นธรรม ตลอดจนการปฏบิ ตั ิการ ความเคลอื่ นไหวเพอ่ื แก้ปญั หา และปรับปรุงพัฒนาสภาพต่าง ๆ ในทอ้ งถ่ิน การทม่ี นุษย์เข้าไปมีสว่ นรว่ มในกจิ กรรม ต่าง ๆ รวบรวมสรรพวิชาการต่าง ๆ ทเี่ กดิ ขึ้นจากทว่ั โลกมาจดั ระบบ และให้บริการแก่กลุ่มเปา้ หมายศึกษาค้นคว้า อยา่ งต่อเนอื่ งตลอดชีวิต การใช้แหลง่ เรียนรู้ผ่านเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ มารูจ้ ักอินเทอร์เนต็ กนั เถอะ 1. อนิ เทอรเ์ นต็ (Internet) คืออะไร 1ถา้ จะถามว่าอินเทอร์เน็ต (Internet) คืออะไร ก็คงจะตอบได้ไม่ชดั เจน คงตอบได้กว้างๆ วา่ คอื 1) ระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ (Computer Network) ขนาดใหญซ่ ่ึงเกดิ จากนาเอาคอมพิวเตอร์และ เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์จากท่วั โลกมาเช่อื มตอ่ กันเปน็ เครือข่ายเดียวกันโดยใช้ขอ้ ตกลงในการสอ่ื สารระหวา่ ง คอมพิวเตอรใ์ นเครอื ขา่ ยหรอื ใชภ้ าษาสือ่ สารหลัก (Protocol) เดยี วกนั คอื TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) 2) เป็นแหล่งขอ้ มูลขนาดใหญ่ใช้เปน็ เครอ่ื งมอื ในการค้นหาข้อมลู ท่ีต้องการไดเ้ กือบทกุ ประเภท เป็นเครื่องมอื ส่อื สารของคนทกุ ชาติทกุ ภาษาทั่วโลก และ 3) เปน็ เสอื่ (Media) เผยแพร่ข้อมลู ได้หลายประเภท เช่น สื่อสงิ่ พมิ พ์, ส่ือ โทรทัศน์ สอ่ื วทิ ยุ สือ่ โทรศพั ท์ เปน็ ต้น
30 ใบความรูท้ ่ี 6 ปฐมบทของการคดิ เปน็ “คิดเป็น คืออะไร ใครรู้บ้าง มที ศิ ทางมาจากไหน ใครเคยเห็น จะเรยี นรา่ ทาอยา่ งไรให้ “คดิ เป็น” ไม่ล้อเล่นใครตอบได้ขอบใจเอย” ความเชือ่ พนื้ ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ ทุกวันนี้นอกจากเด็กและเยาวชนทีค่ รา่ เครง่ เรยี นหนังสืออยใู่ นโรงเรียนกนั มากมายทั่วประเทศแล้ว กย็ ังมเี ยาวชนและผู้ใหญจ่ านวนไมน่ ้อยท่ีสนใจใฝร่ ใู้ ฝ่เรียนต่างกใ็ ช้เวลาวา่ งจากการทางาน หรือวันหยุดไป เรียนร้เู พม่ิ เตมิ ท้งั วิชาสามญั วิชาอาชีพ หรือการฝกึ ทกั ษะการเรียนรู้ต่าง ๆ จากสอื่ และเทคโนโลยที ่แี พร่หลายมากมาย ที่เรียกว่า การศกึ ษาผู้ใหญ่ การศกึ ษานอกโรงเรยี น การศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศัยผูเ้ รยี นเหลา่ น้ี บางคนเป็นเยาวชนท่ียังเรียนไม่จบมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ตอ้ งออกมาทางานเพราะครอบครัวยากจน มีพีน่ ้องหลาย คน บางคนไมไ่ ด้เรียนหนงั สอื แต่ทางานเป็นเจา้ ของกิจการใหญ่โต บางคนจบปริญญาแลว้ ก็ยังมาเรียนอกี บางคนอายุ มากแลว้ กย็ งั สนใจมาฝกึ วชิ าชีพและวิชาทสี่ นใจ เช่น รอ้ งเพลง ดนตรี หมอดูพระเครือ่ ง เป็นต้น และมจี านวนไมน่ ้อยท่ี เรียนรู้ การทาร้านอาหาร การทารา้ นขายทอง หรือการทาการเกษตรปลูกส้มโอตามท่ีพอ่ แม่ ปู่ ยา่ ตา ยาย ทามาหา กนิ มาหลายชั่วอายุคน
31 ใบความร้ทู ่ี1 เร่อื ง จานวนเต็ม จานวนเต็ม คือจานวนทส่ี ามารถเขียนได้โดยปราศจากองค์ประกอบทางเศษสว่ นหรือทศนิยม ตวั อยา่ งเช่น 21, 4, −2048 เหล่าน้ีคือจานวนเตม็ แต่ 9.75, 512, √2 เหลา่ นีไ้ ม่ใชจ่ านวนเตม็ เซตของจานวนเต็มเป็นเซตยอ่ ยของจานวนจรงิ และประกอบด้วยจานวนธรรมชาติ (1, 2, 3, ...) ศูนย์ (0) และตวั ผกผันการบวกของจานวนธรรมชาติ (−1, −2, −3, ...) เซตของจานวนเต็มทั้งหมดมกั แสดงด้วย Z ตวั หนา (หรือ ตัวหนาบนกระดานดา, ℤ U+2124) มาจากคาในภาษาเยอรมันวา่ Zahlen [ˈtsaːlən] แปลว่าจานวน[1] จานวนเต็ม (พร้อมดว้ ยการดาเนินการการบวก) กอ่ รา่ งเป็นกรุปเลก็ ทสี่ ุดอันประกอบดว้ ยโมนอยด์เชิงการบวก ของจานวนธรรมชาติ จานวนเตม็ ก่อให้เกดิ เซตอนันตน์ บั ได้เช่นเดียวกับจานวนธรรมชาติ ส่ิงเหลา่ นี้ ในทฤษฎจี านวนเชิงพีชคณติ ทาใหเ้ ขา้ ใจไดโ้ ดยสามัญวา่ จานวนเตม็ ซง่ึ ฝงั ตัวอยู่ในฟลี ด์ของจานวนตรรกยะ หมายถึง จานวนเตม็ ตรรกยะ เพือ่ แยกแยะออกจากจานวนเต็มเชงิ พชี คณิตทไ่ี ด้นิยามไวก้ ว้างกวา่ จานวนเตม็ ชนดิ ของจานวนเตม็ มี 3 ชนดิ คือ 1. จานวนเต็มบวก หรือ จานวนนบั หรอื จานวนธรรมชาติ ได้แก่ 1, 2, 3, 4, 5,…. 2. จานวนเต็มศูนย์ ไดแ้ ก่ 0 3. จานวนเต็มลบ ไดแ้ ก่ -1, -2, -3, -4, -5,…… จานวนเต็ม จึงแบ่งได้เป็น จานวนเตม็ บวก จานวนเตม็ ศูนย์ จานวนเต็มลบ ได้แก่ …, – 5, – 4, -3, -2, -1, 0 , 1 , 2 , 3 , 4 , 5 ,….. ซ่งึ สามารถแสดงบนเส้นจานวนได้ดังนี้ จานวนบนเส้นจานวน จานวนที่อยซู่ ้ายมือจะมีคา่ น้อยกวา่ จานวนทอี่ ยูท่ างขวามือ ดงั จะไดว้ า่ ….< -5 < – 4 < -3 < -2 < -1 < 0 < 1 < 2 < 3 < 4 < 5….. คา่ สัมบูรณ์ คา่ สมบรู ณ์คือระยะทางจาก 0 ถงึ a บนเสน้ จานวน ใชส้ ญั ลักษณ์ | | แทน คา่ สมั บรู ณ์ของจานวนเต็ม a คือระยะทางจาก 0 ถงึ a บนเส้นจานวน | a | อ่านว่าคา่ สัมบูรณ์ของ a จากรปู จะเห็นไดว้ า่ | 4 | = 4 , | -4 | = 4 , | 0 | = 0 จานวนเต็ม a ใดๆ | a | = | – a | เรียก a ว่าจานวนตรงข้ามของ -a และเรยี ก -a จานวนตรงขา้ มของ a สมบตั บิ างประการของจานวนเตม็ บวก 1. สมบัตกิ ารสลับทส่ี าหรับการบวก สาหรับจานวนเต็มบวก a และ b ใด ๆ จะไดว้ า่ a + b = b + a 2. สมบตั ิการสลบั ท่ีสาหรับการคณู สาหรบั จานวนเตม็ บวก a และ b ใด ๆ จะได้วา่ a • b = b • a
32 3. สมบัตกิ ารเปลย่ี นกลุ่มสาหรบั การบวก สาหรับจานวนเตม็ บวก a , b และ c ใด ๆ จะได้วา่ (a + b) + c = a + (b + c) 4. สมบัตกิ ารเปล่ยี นกลุ่มสาหรับการคณู สาหรบั จานวนเตม็ บวก a , b และ c ใด ๆ จะได้วา่ (a • b) • c = a • (b • c) 5. สมบัติการแจกแจง สาหรบั จานวนเตม็ บวก a , b และ c ใด ๆ จะไดว้ ่า a • (b + c) = (a • b) + (a • c) 6. สมบัตขิ องหน่งึ สาหรับจานวนเตม็ บวก a ใด ๆ จะได้วา่ 1 x a = a = a x 1 7. สมบตั ขิ องศนู ย์สาหรบั จานวนเต็มบวก a ใด ๆ จะไดว้ า่ a + 0 = a = 0 + a a x 0 = 0 = 0 x a แต่ จะไม่มีความหมาย การบวก – ลบจานวนเตม็ 1. ผลบวกระหวา่ งจานวนเตม็ บวก 2 จานวน หรอื จานวนเตม็ ลบ 2 จานวน จะมคี ่าเท่ากับค่าบวกหรอื ค่าลบ ของผลบวกค่าสมั บูรณต์ ามลาดับ 2. ผลบวกระหวา่ งจานวนเตม็ บวกกบั จานวนเต็มลบ คือ ผลตา่ งระหว่างค่าสมั บรู ณ์ท้งั สองโดยใชค้ ่าสมั บูรณม์ ากกวา่ เปน็ ตัวตัง้ แลว้ ใส่เครอื่ งหมายตามตวั มากกว่า ตวั อย่างเชน่ : 5+4=9 5 + (–4) = 1 (–5) + 4 = –1 (–5) + (–4) = –9 5 – 4 = 5 + (–4) = 1 5 – (–4) = 5 + 4 = 9 (–5) – 4 = (–5) + (–4) = –9 (–5) – (–4) = (–5) + 4 = –1 การคูณจานวนเตม็ สรปุ การคณู ระหว่างจานวนเตม็ สองจานวน อาศัยเรอื่ งผลคูณของค่าสัมบูรณ์ของจานวนท้ังสอง โดยมเี ครอ่ื งหมาย ดังนี้ (+) x (+) = + (+) x (–) = – (–) x (+) = – (–) x (–) = +
33 ใบความรทู้ ี่ 2 หนว่ ยของการวัดความยาว การวัดชว่ ยให้นักเรียนมองเห็นการนาคณติ ศาสตรไ์ ปใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวัน การหาความยาว และความสูงของสิง่ ต่าง ๆ สามารถทาได้ โดยการใชว้ ธิ กี ารวดั ระบบความยาวของไทย ระบบความยาวของไทย 12 นิว้ เท่ากับ 1 คบื 12 นิว้ เท่ากับ 1 ฟตุ 2 คืบ เท่ากับ 1 ศอก 3 ฟุต เท่ากับ 1 หลา 4 ศอก เทา่ กบั 1 วา 1,760 หลา เท่ากบั 1 ไมล์ 20 วา เทา่ กบั 1 เสน้ หรอื 5,280 ฟตุ เท่ากับ 1 ไมล์ 400 เสน้ เทา่ กับ ควา1มยาโวยมชานต์ รฐานระบบเมตริก 10 มลิ ลิเมตร เทา่ กับ 1 เซนตเิ มตร 10 เซนตเิ มตรเทา่ กับ 1 เดซิเมตร 10 เดซเิ มตร เทา่ กับ 1 เมตร 10 เมตร เท่ากบั 1 เดคาเมตร 10 เดคาเมตรเทา่ กบั 1 เฮกโตเมตร 10 เฮกโตเมตร เทา่ กบั 1 กิโลเมตร ความยาวมาตรฐานระบบเมตริก 10 มลิ ลิเมตร เทา่ กับ 1 เซนติเมตร 100 เซนติเมตร เทา่ กับ 1 เมตร 1,000 เมตร เท่ากับ 1 กิโลเมตร หรอื 100,000 เซนติเมตร เทา่ กบั 1 กิโลเมตร
34 ใบความรู้ที่ 3 ปริซมึ นยิ าม ทรงสามมติ ิทม่ี ีฐานทง้ั สองเป็นรูปเหลยี่ มที่เท่ากันทกุ ประการและฐานทง้ั คอู่ ยใู่ นระนาบทข่ี นานกัน เรยี กว่า ปรซิ มึ พื้นท่ผี วิ พ้นื ทีผ่ ิวข้าง พื้นที่ผวิ ข้าง + 2(พน้ื ท่ีฐาน) ความยาวรอบฐาน X ความสูง 5 10 5 10 5 5 พื้นท่ผี ิว = พ.ท.ผวิ ขา้ ง + 2(พ.ท.ฐาน) พ.ท.ผวิ ขา้ ง = ความยาวรอบฐานXความสูง =(ความยาวรอบฐานXความสูง)+2(พ.ท.ฐาน) = (5+5+5+5) X 10 = (2X10) + 2( 5X5 ) = 20 X 10 = 200 + 50 = 200 ตารงเซนติเมตร = 250 ตารางเซนตเิ มตร
35 ใบความรทู้ ี่ 4 ปรซิ มึ นยิ าม ทรงสามมติ ิทม่ี ีฐานทง้ั สองเปน็ รูปเหลย่ี มที่เทา่ กันทุกประการและฐานทั้งคู่อย่ใู นระนาบท่ขี นาน กนั เรียกวา่ ปริซมึ ปรซิ มึ รปู สามเหล่ยี ม ปริซมึ รปู สีเ่ หลีย่ มผืนผา ปรซิ มึ รปู หา้ เหลยี่ ม ปรมิ าตรของปริซึม พ้นื ท่ฐี าน x ความสงู จงหาปริมาตรของปริซึม จงหาปรมิ าตรของปริซมึ รปู สเ่ี หล่ียมจตั ุรสั ที่ มีฐานยาวดา้ นละ 5 เวนตเิ มตร ความสงู 4 ซม. 27 เซนตเิ มตร 10 ซม. 5 ซม. 27 ซม. 4 ซม. 5 ซม. ปริมาตรของปริซมึ = พืน้ ท่ฐี าน X ความสูง ปรมิ าตรของปรซิ ึม = พน้ื ทฐี่ าน X ความสงู = ( 4 x 4 ) x 10 = ( 5 x 5 ) x 27 = 160 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร = 25 x 27 = 675 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร
36 ใบความรู้ที่ 5 เร่ือง กราฟของค่อู นั ดบั 1. ระบบแกนพกิ ัดฉาก y จตภุ าคท่ี 2 4 จตภุ าคที่ 1 3 2 1 -5 -4 -3 -2 -1 0 1 2 345 x -1 -2 จตภุ าคที่ 3 -3 จตภุ าคที่ 4 -4 เส้นจานวนในแนวนอน เรียกวา่ แกนนอน หรือแกน x บนแกน x จดุ ที่อยทู่ างขวาของจดุ ท่ีแทนศูนย์(0) จะแทนจานวนทีม่ ีค่าเป็นบวก และมคี า่ เพม่ิ ขึน้ จุดทอี่ ยู่ ทางซ้ายของจดุ ทีแ่ ทนศนู ย์(0) จะแทนจานวนท่มี ีคา่ เป็นลบ และมคี า่ ลดลง เส้นจานวนในแนวตัง้ เรียกว่าแกนตั้ง หรือแกน y บนแกน y จากจุดทแี่ ทนศูนย์(0) จานวนทแ่ี ทนด้วยจดุ ท่อี ยูด่ า้ นบน จะมีคา่ มากกวา่ จานวนท่ีแทนดว้ ยจดุ ท่ี อยดู่ ้านลา่ ง จากรปู แกน x ตัดกับแกน y ทาให้แบ่งระนาบออกเปน็ 4 สว่ น แตล่ ะสว่ นเรยี กว่า จตภุ าค จตุภาคท่1ี x มคี ่าเปน็ จานวนท่ีมคี ่าเป็นบวก y มีคา่ เป็นจานวนท่มี ีคา่ เปน็ บวก จตุภาคที่2 x มคี า่ เปน็ จานวนทม่ี คี า่ เป็นลบ y มคี า่ เปน็ จานวนท่ีมีค่าเป็นบวก จตภุ าคท3ี่ x มีค่าเป็นจานวนทมี่ คี า่ เป็นลบ y มีค่าเป็นจานวนทมี่ ีคา่ เป็นลบ จตุภาคท่4ี x มคี า่ เป็นจานวนท่มี คี า่ เป็นบวก y มคี า่ เป็นจานวนที่มีค่าเปน็ ลบ โดยทจี่ านวนที่แทนดว้ ยจุดบนแกนทั้งสองมีไม่จากัด จงึ เขยี นปลายเส้นเป็นลูกศร 2. การเขยี นกราฟของคู่อันดบั คอู่ นั ดบั แต่ละคู่แทนได้ด้วยจดุ บนระนาบ เรียกจดุ น้วี ่า กราฟของคู่อันดบั เช่นกราฟของคู่อนั ดับ (4, 3) เป็นจุดทีไ่ ด้จากการลากเส้นตรงใหต้ งั้ ฉากกับแกน x ท่ี x = 4 และลากต้ังฉากกบั แกน y ท่ี y = 3 ดงั รูป
37 คูอ่ นั ดับหนึง่ คู่จะมกี ราฟเป็นจุดเพียงจดุ เดยี วเท่านนั้ บนระนาบ และเชน่ เดยี วกันจุดแต่ละจดุ ท่อี ยบู่ นระนาบก็จะ แทนคอู่ ันดับเพียงคูเ่ ดียวเท่าน้ัน สมาชกิ ตัวท่ีหน่งึ ของคู่อันดับแทนจานวนท่ีอยูบ่ นแกนx และสมาชิกตวั ที่สองของคู่ อนั ดบั แทนจานวนท่ีอยู่บนแกน y 11111111111111111111111111111111111111111111111
38 ใบความรู้ท่ี 6 เร่ือง การอ่านและแปลความหมายจากราฟ ตัวอยา่ งท่ี 1 เมอื่ เวลา 6.00 น. บขี ี่รถจกั รยานยนต์ด้วยอตั ราเรว็ 40 กโิ ลเมตรตอ่ ชัว่ โมง จากจังหวดั สกลนครไปยังจังหวัด อดุ รธานี ซง่ึ อยู่หา่ งกัน 150 กโิ ลเมตร พร้อมๆกับเอฟ ปัน่ จักรยานจากจงั หวัดอุดรธานี ไปยงั จังหวดั สกลนคร ดว้ ย อตั ราเรว็ 25 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง พอเวลา 7.00 น. เจขบั รถยนตจ์ ากจังหวัดสกลนครไปยงั จังหวัดอดุ รธานี ด้วย อัตราเรว็ 100 กโิ ลเมตรต่อช่วั โมง ถา้ บีหยดุ พกั ระหว่าง 7.00 น. ถงึ 8.00 น. แล้วออกเดินทางต่อดว้ ยอัตราเร็วเท่า เดิม กราฟแสดงเวลากับระยะทางที่ใช้ในการขับรถของ บี เอฟและเจ ระยะทาง (กิโลเมตร) จ.อดุ รธ1า5น0ี เจ บี 100 50 จ.สกลนคร 7.00 8.00 9.00 10.00 เอฟ 6.00 เวลา(นาฬิกา) ใหน้ ักเรียนพิจารณาคาถามต่อไปน้ี 1. ใหอ้ ธิบายลักษณะการเดินทางของทง้ั สามคน 2. เจขบั รถยนต์ไปทันบีที่ใด 3. บีและเอฟสวนทางกันเวลาเท่าไร 4. เจและเอฟสวนทางกันเวลาเท่าไร
39 คาตอบของคาถามขา้ งตน้ เป็นดังน้ี 1) จากกราฟแสดงการเดินทางของ บี เอฟและเจ จากเมือง ก ไปยงั เมอื ง ข การเดินทางของบี เร่มิ เวลา 6.00 น. ออกจากจดุ เริ่มต้นที่ จ.สกลนคร เวลา 7.00 น. เดินทางได้ระยะทาง 40 กิโลเมตร จึงหยดุ พักจนถึงเวลา 8.00 น. เวลา 8.00 น. เดินทางต่อ การเดินทางของเอฟ เริ่มเวลา 6.00 น. ออกจากจดุ เร่ิมต้นท่ี จ.อุดรธานี เวลา 7.00 น. เดินทางได้ระยะทาง 25 กิโลเมตร เดนิ ทางตอ่ ไมห่ ยุดพกั การเดินทางของเจ เริ่มเวลา 7.00 น. ออกจากจุดเรม่ิ ต้นท่ี จ.สกลนคร เวลา 8.00 น. เดินทางได้ระยะทาง 100 กิโลเมตร เดนิ ทางต่อไมห่ ยดุ พกั 2) เจขับรถยนตไ์ ปทนั บีทีใ่ ด ตอบ ห่างจากจ.สกลนคร 40 กิโลเมตร 3) บีและเอฟสวนทางกันเวลาเทา่ ไร ตอบ เวลา 8.45 น. 4) เจและเอฟสวนทางกนั เวลาเท่าไร ตอบ 8.00 น. ตวั อยา่ งท่ี 2 แสงเดนิ ทางในอากาศไดเ้ ร็วกว่าเสยี ง เราจงึ เห็นฟ้าแลบก่อนเสียงฟา้ ผ่าเสมอ หากสถานเกิดเหตุฟา้ ผา่ อย่หู า่ ง จากตัวเราทุกๆ 1 กิโลเมตรจะได้ยินเสียงฟา้ ผา่ หลังฟา้ แลบไปแลว้ 3 วินาที ให้ x แทนเวลาเป็นวินาทที ี่ได้ยินเสียงฟ้าผา่ หลงั จากเห็นฟ้าแลบ y แทนระยะทางเปน็ กิโลเมตรทีส่ ถานที่เกดิ ฟา้ ผา่ อย่หู ่างจากผูส้ งั เกต x 3 6 9 12 15 18 y12 3 4 5 6
40 กราฟแสดงระยะทางท่ีสถานท่ีเกิดเหตอุ ยู่ห่างจากผู้สังเกต เม่ือไดย้ นิ เสยี งฟา้ ผ่า หลงั จากเห็นฟา้ แลบในเวลาตา่ งๆ กนั ระยะทาง/ กม. เวลา/ วินาที ในการเขยี นกราฟของความสมั พันธ์เชิงเส้น กรณที ่ีกราฟมลี กั ษณะเป็นจุด เพอ่ื ดแู นวโน้มของความสมั พนั ธ์ เรานิยมตอ่ จุดน้ันให้เป็นส่วนหน่ึงของเสน้ ตรง 333333333333333333333333333333333
41 ใบความรทู้ ่ี 7 สถิติ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ขอ้ มลู ขอ้ มูล หมายถงึ ข้อความจริงท่ีอาจเป็นตวั เลขหรือข้อความกไ็ ด้ ประเภทของข้อมลู จาแนกตามวธิ กี ารเก็บรวบรวม แบ่งเปน็ 2 ประเภทใหญ่ๆ คอื 1. ข้อมูลปฐมภูมิ (primary data) ข้อมลู ทผ่ี ใู้ ช้ต้องเกบ็ รวบรวมจากผใู้ ห้ขอ้ มลู หรอื แหลง่ ทีม่ าของ ข้อมูลโดยตรง ซง่ึ อาจทาได้โดยการสมั ภาษณ์ วัด นบั หรือสงั เกตจากแหล่งขอ้ มลู โดยตรง โดยที่ ข้อมูลเหลา่ น้ีไมเ่ คยมผี ใู้ ดเก็บรวบรวมไว้ก่อน การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลประเภทนี้ทาได้ 2 วธิ ี คอื การสามะโน (census) และการสารวจจากกลมุ่ ตวั อยา่ ง (sample survey) 2. ขอ้ มลู ทุติยภูมิ (secondary data) ข้อมูลทผี่ ใู้ ชไ้ มต่ อ้ งเกบ็ รวบรวมจากผู้ใหข้ อ้ มูลหรือแหล่งที่มา ของข้อมูลโดยตรง แตไ่ ด้จากขอ้ มลู ทผี่ ้อู ื่นรวบรวมไว้แลว้ ซ่งึ อาจเปน็ การเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการ บริหารหน่วยงานนั้นๆ หรือเกบ็ ไว้ใช้ในการวเิ คราะหว์ ิจัยเพ่ือแกป้ ญั หาดา้ นตา่ งๆของหน่วยงานหรอื สงั คมโดยสว่ นรวม แหลง่ ที่มาของข้อมูลทุติยภูมทิ ่สี าคญั คอื 2.1 รายงานตา่ งๆของหนว่ ยราชการและองคก์ ารของรฐั บาล 2.2 รายงานและบทความจากหนงั สือ หรือรายงานจากหน่วยงานเอกชน ลกั ษณะของขอ้ มลู ขอ้ มลู ทีน่ ามาใชใ้ นการวางแผนแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คอื ข้อมลู เชงิ ปริมาณ (quantitative data) และขอ้ มูลเชิงคุณภาพ (qualitative data) วธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมูล จะตอ้ งกระทาอยา่ งมหี ลักเกณฑ์ และเหมาะสม เพ่อื ท่ีจะได้ข้อมลู ท่ีดี นา่ เชื่อถอื ทง้ั นตี้ อ้ งอาศยั การวางแผนลว่ งหน้าอย่างรอบคอบ โดยทัว่ ๆไป อาจแบ่งวธิ ีเก็บรวบรวมข้อมลู ออกได้เปน็ 4 วิธี ตามลักษณะของวิธีการท่ีปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี 1. วธิ เี กบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากทะเบยี นประวัติ 2. วธิ เี กบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากการสารวจ 3. วธิ เี กบ็ รวบรวมข้อมูลจากการทดลอง 4. วิธีเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากการสงั เกต
42 ใบความร้ทู ี่ 8 สถติ ิ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล (Collection of data) การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ข้นั ตอนนร้ี วมถงึ การวางแผน เตรยี มการ ตลอดไปจนถงึ การเกบ็ รวบรวม ข้อมลู ซ่ึงตอ้ งอาศยั ความรู้ทางวชิ าการพอสมควร เพ่ือศกึ ษาภูมิหลงั ของขอ้ มลู ความตอ้ งการของข้อมูลในแงข่ องการ นาไปใชป้ ระโยชน์ วิธกี ารท่ีจะทาให้ไดม้ าซงึ่ ขอ้ มูลท่ีจะเป็นขอ้ เทจ็ จรงิ เพ่อื นาไปสขู่ น้ั ของการวเิ คราะห์ และจะต้อง วางแผนเกย่ี วกับการจดั ระบบขอ้ มูลน้ัน วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมข้อมลู อาจทาได้ 2 วธิ ี ดงั น้ี 1) การศกึ ษารวบรวมจากเอกสาร คอื รวบรวมขอ้ มลู จากเอกสารตา่ งๆ ท่มี ีการบันทึกไวแ้ ลว้ เช่น จานวน นกั ศกึ ษาของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสีมา ปกี ารศกึ ษา 2542 - 2547 เราจะเก็บรวบรวมขอ้ มูล ดว้ ยตนเองไม่ได้ เพราะเหตกุ ารณผ์ ่านไปแลว้ จะต้องขอดูจากเอกสารของทางมหาวิทยาลัย การ รวบรวมโดยวธิ นี เ้ี ป็นการทุ่นเวลา แรงงาน และรายจ่าย ดงั นนั้ กอ่ นท่ีจะทาการสารวจเรื่องใดๆก็ตาม ควรจะศกึ ษาจากเอกสารต่างๆกอ่ นวา่ มผี ทู้ าไว้แล้วหรอื ยัง เพื่อหลกี เลย่ี งการทาซา้ ซ่ึงจะเป็นการ เสียเวลา แรงงาน และคา่ ใช้จา่ ย โดยไม่จาเป็นแหลง่ ทมี่ าของข้อมูลโดยวิธนี เ้ี รียกวา่ แหล่งทตุ ิยภูมิ (Secondary source) 2) การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ดว้ ยตนเอง แหล่งทีม่ าของขอ้ มูลแบบนเี้ รียกวา่ แหลง่ ปฐมภมู ิ (primary data) การรวบรวมขอ้ มลู ด้วยตนเอง อาจทาได้ 4 วิธีคอื 2.1 การแจงนับ หมายถึง การสง่ พนักงานหรอื เจา้ หนา้ ท่อี อกไปสารวจจากแหล่งขอ้ มลู ท่เี ราต้องการ ทราบโดยตรง เช่น การสารวจสามะโนครัวของประเทศ เป็นตน้ 2.2 การลงทะเบยี น หมายถึง การทใ่ี ห้บุคคลนาขอ้ มูลหรือขอ้ ความไปแจง้ ยังสถานที่ทกี่ าหนดไว้ การ ลงทะเบียนนเี้ ป็นวธิ กี ารของหน่วยงานของรัฐที่จะไดข้ อ้ มูลจากประชาชน เชน่ การแจ้งเกิด การ ตาย การสมรส การยา้ ยคนเข้าออกจากทะเบยี นบ้าน หัวหนา้ ครอบครัวต้องนาไปแจ้งยงั ท่ีว่าการ อาเภอ หรอื เทศบาล เปน็ ตน้ วธิ นี ้ีจะได้ผลดีเมอื่ มีกฎหมายบังคับ 2.3 การส่งแบบสอบถามหรอื การสัมภาษณ์ เปน็ วิธีการท่ใี ชก้ นั สว่ นมากในการสารวจและการวิจยั ตา่ งๆ โดยผู้สารวจ หรือผูว้ จิ ัยจดั ส่งแบบสอบถามไปใหบ้ ุคคลทีเ่ ราต้องการขอ้ มูลกรอกแลว้ สง่ คนื มายงั ผ้สู ารวจ หรอื ใช้วิธสี ่งเจา้ หน้าที่ออกไปสมั ภาษณ์ 2.4 การทดลอง การรวบรวมขอ้ มูลวิธนี ี้ต้องจัดเตรยี มเคร่ืองมอื ปฏบิ ตั กิ ารสภาพแวดล้อมอันมีผลถงึ ค่า ของขอ้ มูล เวลาท่ีทาการทดลอง ตลอดจนปจั จยั ต่างๆทตี่ อ้ งควบคมุ
43 การทดลองสุ่ม ใบความรู้ท่ี 9 ความน่าจะเปน็ (Probability) เหตกุ ารณ์ (E) แซมเปิลสเปซ (S) - ( Sample Space) การทดลองสุ่ม หมายถึง การทดลองทที่ ราบผลลพั ธว์ ่าจะเป็นอะไรได้บ้าง แตไ่ มส่ ามารถทานายผลที่จะเกิดขึ้นได้ว่าจะเปน็ อะไรในบรรดาผลลัพธท์ ่อี าจ เป็นไปไดเ้ หล่านัน้ ผลทั้งหมดทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ (แซมเปลิ สเปซ) หมายถึง สมาชิกทุกตวั ทเ่ี ป็น ไปไดท้ ้งั หมด จากการทดลองสมุ่ เหตุการณ์ ( Event ) หมายถึง ส่ิงทีเ่ ราสนใจจากการทดลองสุม่ หรือ สิ่งทีเ่ ราสนใจในแซมเปิลสเปซ
44 ใบความรู้ท่ี 10 การทดลองสุม่ เหตุการณ์ (E) เหตกุ ารณท์ ่ีแนน่ อน เหตุการณ์ที่เปน็ ไปไม่ได้ เหตุการณท์ ผี่ ลในเหตุการณ์เหมือนผลทง้ั หมดท่ี เหตุการณท์ ไ่ี ม่มีผลในเหตุการณ์จะเกิดขึน้ จากการ ทดลองสมุ่ ใหน้ ักเรยี นศึกษาตัวอย่าง โยนเหรียญบาท 1 เหรียญและโยนเหรียญห้าบาท 1 เหรียญพร้อมกนั เขียนผลทัง้ หมดที่อาจเกิดขึ้นจากการโยนเหรยี ญทงั้ สองพรอ้ มกันโดยใหส้ มาชิกตัวหนึ่งของคู่อนั ดับแทนผลท่ี เกดิ ขึน้ จากการโยนเหรียญบาทและคู่อันดับตวั ทส่ี องแทนผลที่อาจจะเกิดขึ้นจากการโยนเหรียญห้าบาท จะได้ผล ท้ังหมดดังน้ี ( หวั ,ก้อย ) , ( หวั ,หัว ) , ( กอ้ ย,หัว ) , ( กอ้ ย,กอ้ ย ) เราสนใจผลทีจ่ ะเกิด ก้อย อยา่ งนอ้ ย 1 เหรียญก็จะได้ผล คือ ( หวั ,ก้อย ) , ( ก้อย,หวั ) , ( ก้อย,ก้อย ) เราเรียกผลทเี่ ราสนใจจากการทดลองสมุ่ ว่า \" เหตกุ ารณ์ \" ซ่งึ ใช้สัญลักษณ์ E ดงั นั้น E = { ( หัว,ก้อย) , (กอ้ ย,หวั ) , (ก้อย,ก้อย) } ในการทอดลูกเตา๋ ลูกเดียวหนึ่งครงั้ ถ้าผลลพั ธท์ ส่ี นใจคือจานวนแต้มที่ได้หารดว้ ย 3 ลงตัว ผลจากการทดลองทง้ั หมด คือ 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 เราเรียกว่า แซมเปิลสเปซ (Sample Space) ซ่ึงใช้ แทนด้วยสญั ลักษณ์ S ดงั น้ัน S = 1,2,3,4,5,6 ถา้ เหตุการณท์ ่ไี ดแ้ ตม้ หารดว้ ย 3 ลงตัวจะได้ E = 3,6
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: