~ 51 ใบความรู้ เรอ่ื ง สร้างสรรค์งานศลิ ปะและความงามตามธรรมชาติ ทัศนศิลป์สากล ความหมายของศลิ ปะและทศั นศิลป์ ศิลปะ หมายถึง ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ท่ีแสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่างๆให้ปรากฏซึ่ง ความสุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนิยม และทักษะของ บคุ คลแตล่ ะคนนอกจากนี้ยังมนี ักปราชญ์ นักการศึกษา ท่านผู้รู้ ได้ให้ความหมายของศิลปะแตกตา่ งกันออกไป เช่นการเลียนแบบธรรมชาติ การแสดงออของบุคลิกภาพทางอารมณ์ของมนุษย์ และศิลปะคือ การสื่อสาร อย่างหนึ่งระหว่างมนุษย์ การระบายความปรารถนาในใจของศิลปินออกมา การแสดงออกของผลงานด้าน ตา่ งๆทสี่ รา้ งสรรค์ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งศลิ ปะกับมนุษย์ การสร้างสรรค์ทางศิลปะเป็นกิจกรรมพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์ การสร้างสรรค์ศิลปะของมนุษย์ เชื่อว่าเกิดขึ้นมาต้ังแต่สมัยโบราณตง้ั แต่ยุคหินหรอื ประมาณ 5000,000 - 4,000 ปีล่วงมาแล้ว นับตั้งแต่มนุษย์ อาศัยอยู่ในถ้า เพิงผา ด้ารงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่าเป็นอาหาร โดยมากศิลปะจะเป็นภาพวาด ซ่ึง ปรากฏตามผนังถ้าต่างๆ เช่น ภาพวัวไบซัน ท่ีถ้าอัลตาริมา ในประเทศสเปน ภาพสัตว์ชนิดต่างๆที่ถ้าลาสล์โก ในประเทศฝร่ังเศส ส้าหรับประเทศไทยท่ีพบเห็น เช่นผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ภาชนะเครอ่ื งป้ันดินเผา ที่ บ้านเชียง จังหวดั อุดรธานี ประเภทของงานทศั นศลิ ป์ สามารถแบ่งออกเปน็ 4 ประเภท คือ 1. จติ รกรรม 2. ประติมากรรม 3. สถาปัตยกรรม 4. ภาพพมิ พ์ จิตรกรรม จิตรกรรม เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอ่ืน เพื่อให้เกิดภาพ 2 มติ ิ ไม่มีความลึกหรอื นูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหน่ึงของทัศนศิลป์ ผู้ท้างานจิตรกรรม มัก เรยี กวา่ จิตรกร ประติมากรรม เป็นผลงานศิลปะท่ีแสดงออกดว้ ยการสร้างรูปทรง 3 มิติ มีปริมาตร มีน้าหนักและกิน เนื้อท่ีในอากาศ โดยการใช้วัสดุชนิดต่าง ๆ วัสดุท่ีใช้สร้างสรรค์งานประติมากรรม จะเป็นตัวก้าหนด วิธีการ สรา้ งผลงาน ความงามของงานประตมิ ากรรม เกดิ จากการแสงและเงา ที่ เกิดขึ้นในผลงานการสรา้ งงาน ประติมากรรมทา้ ได้ 4 วธิ ี คือ 1. การปั้น (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุ ทีเหนียว อ่อนตัว และยึดจับตัว กันได้ดี วัสดทุ ี่นิยมน้ามาใชป้ ัน้ ได้แก่ ดินเหนียว ดินน้ามนั ปูน แปง้ ขีผ้ ึ้ง กระดาษ หรอื ขีเ้ ลื่อยผสมกาว เปน็ ต้น 2. การแกะสลัก (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่ แข็ง เปราะ โดยอาศัย เครื่องมือ วสั ดทุ ่นี ยิ มน้ามาแกะ ไดแ้ ก่ ไม้ หนิ กระจก แก้ว ปนู ปลาสเตอร์ เป็นตน้
~ 52 3. การหล่อ (Molding) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่หลอมตัวได้และกลับแข็ง ตัวได้ โดย อาศัยแม่พิมพ์ ซึ่งสามารถท้าให้เกิดผลงานที่เหมือนกันทุกประการต้ังแต่ 2 ช้ิน ข้ึนไป วัสดุที่นิยมน้ามาใช้หล่อ ไดแ้ ก่ โลหะ ปนู แปง้ แก้ว ข้ีผ้ึง ดิน เรซ่ิน พลาสติก ฯลฯ เช่น รา้ มะนา (ชิต เหรียญประชา) 4. การประกอบข้นึ รูป (Construction) เป็นการสรา้ งรูปทรง 3 มิติ โดยน้าวัสดตุ ่าง ๆ มา ประกอบ เข้าด้วยกัน และยึดติดกันด้วยวัสดุต่าง ๆ การเลือกวิธีการสร้างสรรค์งานประติมากรรม ข้ึนอยู่กับวัสดุที่ ต้องการใช้ ประติมากรรม ไม่ว่าจะสร้างข้ึนโดยวิธีใด จะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ แบบนูนต้่า แบบนูนสูง และแบบ ลอยตัว ผสู้ รา้ งสรรคง์ านประตมิ ากรรม เรียกวา่ ประตมิ ากร ประเภทของงานประติมากรรม 1. ประติมากรรมแบบนูนต่า (Bas Relief) เป็นรูปที่เป็นนูนขึ้นมาจากพื้นหรือมีพ้ืนหลัง รองรับ มองเห็นได้ชัดเจนเพียงด้านเดียว คือด้านหน้า มีความสูงจากพื้นไม่ถึงคร่ึงหนึ่งของรูป จริง ได้แก่รูปนูนแบบ เหรียญ รูปนูนท่ใี ช้ประดบั ตกแตง่ ภาชนะ หรอื ประดับตกแต่งอาคารทาง สถาปตั ยกรรม โบสถ์ วหิ ารต่างๆ พระ เคร่อื งบางชนดิ 2. ประติมากรรมแบบนูนสูง ( High Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ในลักษณะเช่นเดียวกับแบบ นูนต่้า แต่มีความสูงจากพ้ืนต้ังแต่ครึ่งหนึ่งของรูปจริงขึ้นไป ท้าให้เห็นลวดลายท่ีลึก ชัดเจน และ และเหมือนจริง มากกว่าแบบนนู ต้า่ และใชง้ านแบบเดียวกับแบบนูนต่้า 3. ประติมากรรมแบบลอยตัว (Round Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ท่ีมองเห็นได้รอบด้านหรือ ต้ังแต่ 4 ด้านข้ึนไป ได้แก่ ภาชนะต่าง ๆ รูปเคารพต่าง ๆ พระพุทธรูป เทวรูป รูปตามคตินิยม รูปบุคคลส้าคัญ รูปสัตว์ ฯลฯ สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง การออกแบบก่อสร้างส่ิงต่าง ๆ ทั้งส่ิงก่อสร้างท่ีคนทั่วไป อยู่อาศัยได้ เช่นสถูป เจดีย์ อนุสาวรีย์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการก้าหนดผังบริเวณต่าง ๆ เพื่อให้เกิด ความสวยงามและเป็นประโยชน์แก่การ ใช้สอยตามต้องการ งานสถาปัตยกรรมเป็นแหล่งรวมของงานศิลปะ ทางกายภาพเกือบทกุ ชนดิ และมักมีรปู แบบแสดงเอกลักษณข์ อง สงั คมนั้น ๆ ในชว่ งเวลาน้ัน ๆ เราแบ่งลักษณ์ งานของสถาปตั ยกรรมออกได้เป็น ๓ แขนง ดงั นี้คือ 1. สถาปตั ยกรรมออกแบบก่อสรา้ ง เชน่ การออกแบบสรา้ งตกึ อาคาร บา้ นเรอื น เปน็ ต้น 2. ภมู สิ ถาปตั ย์ เช่น การออกแบบวางผัง จดั บริเวณ วางผังปลูกต้นไม้ จัดสวน เปน็ ต้น
~ 53 ใบความรู้ เรอ่ื ง ธรรมชาติกับทศั นศลิ ป์ ธรรมชาตกิ บั ทศั นศิลป์ มนุษยเ์ ปน็ ส่วนหน่งึ ของธรรมชาติ ธรรมชาติ สามารถบอกถึงประสบการณ์ และส่ิงต่างๆที่ผ่านมาในอดีตได้ ซึ่งถือว่า “ธรรมชาติ” เป็น “คร”ู ของมนษุ ย์ เมื่อมนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ มนุษย์ก็จะพิจารณาสิ่งต่าง ๆ จากธรรมชาติท่ีตนมีส่วนร่วมอยู่ แล้ว นา้ มาดัดแปลงแกไ้ ขใหมโ่ ดยพยายามทา้ ตามวัสดุนั้นๆ และเลือกหาวิธีการอันเหมาะสมตามทักษะความช้านาญ ที่ตนมอี ยู่ เพอื่ สร้างเป็นผลงานของตนข้ึน ดังน้นั ธรรมชาตจิ ึงมคี วามหมายอยา่ งยิ่งส้าหรบั มนุษย์ ความคดิ สรา้ งสรรค์ การตกแตง่ รา่ งกาย และที่อยู่อาศัย มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ตามแต่ประสบการณ์มากน้อยของแต่ละบุคคล การ ออกแบบเปน็ ส่วนหนึ่งของความคดิ สรา้ งสรรค์ทางศิลปะของมนุษย์ 1. ออกแบบตกแต่งที่อยู่อาศัย เปน็ การออกแบบทุกอย่างภายในและบรเิ วณรอบบ้านให้สวยงาม สะดวกแกก่ ารใชส้ อย โดยใช้วัสดุทม่ี อี ยหู่ รอื จดั หามาโดยใช้หลักองค์ประกอบศิลป์ 2. ออกแบบให้กับร่างกาย เป็นการออกแบบร่างกายและส่ิงตกแต่งร่างการให้สวยงาม เหมาะสม และถูกใจ เช่นการออกแบบทรงผม เสือ้ ผ้า เครื่องประดบั การใช้เครอื่ งส้าอาง โดยอาศยั หลักการ ทางศิลปะและความคดิ สร้างสรรค์ 3. ออกแบบสานักงาน หอ้ งทา้ งาน โต๊ะเก้าอ้ี แจกัน ในสถานทท่ี ้างานอาจไดร้ ับการออกแบบและ สรา้ งสรรค์ให้น่าท้างานและสะดวกในการใช้สอย สถาปัตยกรรม หมายถึง การออกแบบก่อสร้างอาคาร สถานท่ีต่าง ๆ เพ่ือสนองความต้องการของ มนุษย์ด้านท่ีอยู่อาศัย และการอยู่ร่วมกันเพื่อประกอบกิจกรรมด้านสาธารณะ ดังนั้นงานสถาปัตยกรรมจึง แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ อาคารบ้านเรือน ซึ่งเป็นท่ีอยู่อาศัย และอาคารสาธารณะ เช่น สนามกีฬา หอประชมุ สถานีรถไฟ วดั โบสถ์ วิหาร เจดยี ์ สถปู พรี ะมิด เปน็ ต้น การออกแบบผลิตภัณฑ์ หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับรูปร่างลักษณะภายนอกของ ผลิตภณั ฑ์ที่แตกต่างไปจากเดมิ
~ 54 ใบความรู้ เร่อื ง คณุ ค่าของดนตรกี บั การดารงชีวติ ดนตรสี ากล ดนตรีเกิดขึ้นมาในโลกพร้อมๆกับมนุษย์เราน่ันเอง ในยุคแรกๆมนุษย์อาศัยอยู่ในป่าดง ในถ้า ใน โพรงไม้ แต่ก็รู้จักการร้องร้าท้าเพลงตามธรรมชาติ เช่นรู้จักปรบมือ เคาะหิน เคาะไม้ เป่าปาก เป่าเขา และเปล่งเสียงร้องตามเร่ือง การร้องร้าท้าเพลงไปเพ่ืออ้อนวอนพระเจ้าเพ่ือช่วยให้ตนพ้นภัย บันดาล ความสุขความอุดมสมบูรณ์ต่างๆให้แก่ตน หรือเป็นการบูชาแสดงความขอบคุณพระเจ้าท่ีบันดาลให้ตนมี ความสขุ ความสบาย ในระยะแรก ดนตรีมีเพียงเสยี งเดยี วและแนวเดียวเท่าน้ันเรียกวา่ Melody ไมม่ ีการประสานเสียง จนถึงศตวรรษที่ 12 มนุษย์เราเร่ิมรู้จักการใช้เสียงต่างๆมาประสานกันอย่างง่ายๆ เกิดเป็นดนตรีหลายเสียง ข้ึนมา ยุคตา่ งๆของดนตรี นกั ปราชญท์ างดนตรีได้แบ่งดนตรีออกเปน็ ยคุ ต่างๆดงั นี้ 1. Polyphonic Perio ( ค.ศ. 1200-1650 ) ยุคนี้เป็นยุคแรก วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนมีแบบฉบับ และหลกั วิชการดนตรีขนึ้ วงดนตรีอาชีพตามโบสถ์ ตามบ้านเจา้ นาย และมโี รงเรียนสอนดนตรี 2. Baroque Period ( ค.ศ. 1650-1750 ) ยุคน้ีวิชาดนตรีได้เป็นปึกแผ่น มีแบบแผนการเจริญด้าน นาฏดุรยิ างค์ มมี ากขึ้น มีโรงเรียนสอนเก่ียวกบั อุปรากร (โอเปร่า) เกดิ ข้ึน มนี ักดนตรีเอกของโลก 2 ท่าน คอื J.S. Bach และ G.H. Handen 3. Classical Period ( ค.ศ. 1750-1820 ) ยุคนเ้ี ป็นยุคท่ีดนตรีเรมิ่ เข้าสยู่ ุคใหม่ มีความรุ่งเรืองมากขึ้น มนี ักดนตรเี อก 3 ท่านคือ Haydn Gluck และMozart 4. Romantic Period ( ค.ศ. 1820-1900 ) ยุคน้ีมีการใช้เสียงดนตรีที่เน้นถึงอารมณ์อย่างเด่นชัดเป็น ยคุ ทีด่ นตรีเจริญถึงขีดสุดเรยี กวา่ ยคุ ทองของดนตรี นกั ดนตรเี ช่น Beetoven และคนอืน่ อีกมากมาย 5. Modern Period ( ค.ศ. 1900-ปัจจุบัน ) เป็นยุคที่ดนตรีเปล่ียนแปลงไปมาก ดนตรีประเภทแจ๊ส (Jazz) กลับมามีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละชาติ ศาสนา โดยเฉพาะทางดนตรตี ะวันตก นบั ว่ามคี วามสมั พันธใ์ กล้ชดิ กับศาสนา ดนตรีสากลประเภทต่างๆ เพลงประเภทต่างๆ แบง่ ตามลกั ษณะของวงดนตรสี ากลได้ 6 ประเภท ดงั นี้ 1. เพลงที่บรรเลงโดยวงออรเ์ คสตรา้ ( Orchestra ) มดี งั นี้ - ซิมโฟนี่ (Symphony) หมายถึงการบรรเลงเพลงโซนาตา ( Sonata) ท้ังวง ค้าว่า Sonata หมายถึง เพลงเดี่ยวของเคร่ืองดนตรีชนิดต่างๆ เช่นเพลงของไวโอลิน เรียกว่า Violin Sonata เคร่ือง ดนตรีชนิดอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน การน้าเอาเพลง โซนาตาของเคร่ืองดนตรีหลายๆชนิดมาบรรเลงพร้อมกัน เรียกว่า ซิมโฟน่ี
~ 55 - คอนเซอร์โต ( Concerto) คือเพลงผสมระหว่างโซนาตากับซิมโฟนี่ แทนท่ีจะมีเพลงเด่ียวแต่ อยา่ งเดยี ว เครอ่ื งดนตรที ่ีแสดงการเดี่ยวนน้ั สว่ นมากใชไ้ วโอลินหรือเปียโน - เพลงทบ่ี รรเลงโดยวงแชมเบอร์มวิ สิค ( Chamber Music ) เป็นเพลงสนั้ ๆ ต้องการแสดง ลวดลายของการบรรเลงและการประสานเสียง ใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย คือไวโอลิน วิโอลา และเชลโล 1. โอราทอริโอ (Oratorio) และแคนตาตา (Cantata) เป็นเพลงส้าหรับศาสนาใช้ร้องในโบสถ์ จดั เป็นโอเปรา แบบหนึง่ แตเ่ ป็นเร่ืองเกี่ยวกับศาสนา 2. โอเปรา (Opera) หมายถึง เพลงท่ีใช้ประกอบการแสดงละครที่มีการร้องโต้ตอบกันตลอดเรื่อง เพลงประเภทนใ้ี ช้ในวงดนตรวี งใหญบ่ รรเลงประกอบ 3. เพลงท่ีขับร้องโดยทั่วไป ได้แก่ เพลงที่ร้องเด่ียว ร้องหมู่หรือร้องประสานเสียงในวงออร์เคสตรา วงคอมโบ (Combo) หรือชาโดว์ (Shadow ) ซ่ึงนิยมฟังกันทั้งจากแผ่นเสียงและจากวงดนตรีท่ีบรรเลงกัน อย่โู ดยทัว่ ไป ประเภทของเคร่ืองดนตรีสากล เคร่ืองดนตรีสากลมีมากมายหลายประเภท แบ่งตามหลักในการท้าเสียงหรือวิธีการบรรเลง เปน็ 5 ประเภท ดังนี้ 1. เครอ่ื งสาย เครื่องดนตรีประเภทน้ี ท้าให้เกิดเสียงโดยการท้าให้สายส่ันสะเทือนสายที่ใช้เป็นสายโลหะหรือสาย เอน็ เคร่อื งดนตรปี ระเภทเครอ่ื งสาย แบ่งตามวธิ ีการเลน่ เปน็ 2 จา้ พวก คือ 1) เคร่ืองดีด ไดแ้ ก่ กีตาร์ แบนโจ ฮารป์ 2) เคร่อื งสี ไดแ้ ก่ ไวโอลิน วโิ อลา 2. เครอ่ื งเป่าลมไม้ เคร่ืองดนตรีประเภทนแ้ี บ่งตามวิธที ้าใหเ้ กิดเสยี งเป็น 2 ประเภท คอื 1) จ้าพวกเป่าลมผา่ นช่องลม ไดแ้ ก่ เรคอรเ์ ดอร์ ปคิ โคโล ฟลูต 2) จ้าพวกเปา่ ลมผา่ นล้ิน ไดแ้ ก่ คลารเิ น็ต แซกโซโฟน 3. เครื่องเป่าโลหะ เคร่ืองดนตรีประเภทน้ี ท้าให้เกิดเสียงโดยการเป่าลมให้ผ่านริมฝีปากไปปะทะกับช่องท่ีเป่า ไดแ้ ก่ ทรมั เปต็ ทรอมโบน เป็นต้น 4. เคร่อื งดนตรปี ระเภทคยี บ์ อรด์ เครื่องดนตรีประเภทนี้เล่นโดยใช้นิ้วกดลงบนลิ้มนิ้วของเครื่องดนตรี ได้แก่ เปียโน เม โลเดียน คีย์บอร์ดไฟฟ้า อิเล็กโทน 5. เคร่อื งดนตรปี ระเภทเครือ่ งตี แบ่งเป็น 2 กลุม่ คือ 5.1) เครื่องตีท่ที ้าทา้ นอง ไดแ้ ก่ ไซโลไฟน เบลไลรา ระฆงั ราว 5.2) เครือ่ งตที ี่ทา้ จังหวะ ไดแ้ ก่ ทิมปานี กลองใหญ่ กลองแตรก็ ทอมบา กลองชุด ฉาบ กรบั ลูกแซก
~ 56 ใบความรู้ เร่ือง ดนตรสี ากลประเภทตา่ งๆ ประวตั ิ ภูมิปัญญาทางดนตรีสากล องค์ประกอบของดนตรสี ากล ดนตรีไม่ว่าจะเป็นของชาติใด ภาษาใด ลว้ นมีพื้นฐานมาจากส่วนต่างๆ เหล่าน้ที ั้งสิ้น ความแตกต่างใน รายละเอียดของแต่ละส่วนแต่ละวัฒนธรรมน้ัน เป็นสิ่งที่เกิดข้ึนจริง แต่การท่ีจะแตกต่างกันอย่างไรนั้น กรอบ วฒั นธรรมของแต่ละสังคมจะเป็นปัจจัยท่ีก้าหนดในตรงตามรสนิยมของแต่ละวัฒนธรรมจนเป็นผลให้สามารถ แยกแยะดนตรขี องชาตหิ นงึ่ แตกต่างจากดนตรีของอกี ชาตหิ น่งึ อย่างไร องคป์ ระกอบของดนตรีสากล ประกอบด้วย 1. เสียง (Tone) คีตกวีผู้สร้างสรรค์ดนตรี เป็นผู้ใช้เสียงในการสร้างสรรค์ผลิตงานศิลปะเพ่ือรับใช้สังคม ผู้สร้างสรรค์ ดนตรีสามารถสร้างเสียงท่ีหลากหลายโดยอาศัยวิธีการผลิตเสียงเป็นปัจจัยก้าหนด เช่น การดีด การสี การตี การเป่า เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศท่ีเป็นไปอย่างสม้่าเสมอ ส่วนเสียงอึกทึกหรือเสียงรบกวน (Noise) เกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่ไม่สม้่าเสมอ ลักษณะความแตกต่างของเสียงขึ้นอยู่กบคุณสมบัติ สา้ คญั 4 ประการ คือ ระดบั เสยี ง ความยาวของเสยี ง ความเข้มของเสยี ง และคุณภาพของเสยี ง 2. พ้นื ฐานจงั หวะ (Element of Time) จงั หวะเป็นศิลปะของการจดั ระเบียบเสียง ท่ีเกี่ยวข้องกับความชา้ เร็ว ความหนกั เบาและความส้ัน-ยาว องค์ประกอบเหล่าน้ี หากน้ามาร้อยเรียง ปะติดปะต่อเข้าด้วยกันตามหลักวิชาการเชิงดนตรีแล้ว สามารถที่จะ สร้างสรรค์ให้เกิดลีลาจังหวะอันหลากหลาย ในเชิงจิตวิทยา อิทธิพลของจังหวะที่มีผลต่อผู้ฟังจะปรากฏพบใน ลกั ษณะของการตอบสนองเชิงกายภาพ เชน่ ฟงั เพลงแลว้ แสดงอาการกระดิกน้วิ ปรบมอื รว่ มไปด้วย 3. ทานอง (Melody) ท้านองเป็นการจัดระเบียบของเสียงที่เกี่ยวข้องกับความสูง-ต้่า ความส้ัน-ยาว และความดัง-เบา คุณสมบัติเหล่านี้เมื่อน้ามาปฏิบัติอย่างต่อเน่ืองบนพ้ืนฐานของความช้า-เร็ว จะเป็นองค์ประกอบของดนตรีที่ ผ้ฟู ังสามารถทา้ ความเข้าใจไดง้ ่ายท่ีสดุ ในเชิงจิตวิทยา ท้านองจะกระตุ้นผู้ฟังในส่วนของสติปัญญา ท้านองจะมีส่วนส้าคัญในการสร้างความ ประทับใจ จดจา้ และแยกแยะความแตกต่างระหวา่ งเพลงหนึง่ กบั อีกเพลงหนงึ่ 4. พืน้ ผวิ ของเสยี ง (Texture) “พื้นผิว” เป็นค้าท่ีใช้อยู่ทั่วไปในวิชาการด้านวิจิตรศิลป์ หมายถึง ลักษณะพ้ืนผิวของส่ิงต่างๆ เช่น พื้นผวิ ของวัสดทุ มี่ ีลกั ษณะขรขุ ระ หรือเกล้ยี งเกลา ซงึ่ อาจจะทา้ จากวัสดทุ ต่ี า่ งกนั 5. สสี นั ของเสยี ง (Tone Color) “สีสันของเสียง” หมายถึง คุณลักษณะของเสียงที่ก้าเนิดจากแหล่งเสียงที่แตกต่างกัน แหล่งก้าเนิด เสยี งดังกลา่ ว เป็นได้ทั้งท่ีเป็นเสียงรอ้ งของมนุษย์และเคร่ืองดนตรีชนิดตา่ งๆ ความแตกต่างของเสียงร้องมนุษย์
~ 57 ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรือระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานของการแตกต่าง ทางดา้ นสรีระ เช่น หลอดเสยี งและกลอ่ งเสยี ง เปน็ ตน้ 6. คีตลักษณ์ (Forms) คีตลกั ษณห์ รือรปู แบบของเพลง เปรียบเสมอื นกรอบท่หี ลอมรวมเอาจังหวะ ท้านอง พืน้ ผิว และสีสนั ของเสียงใหเ้ คลื่อนท่ีไปในทิศทางเดียวกนั เพลงทม่ี ีขนาดส้ัน-ยาว วนกลับไปมา ลว้ นเปน็ สาระส้าคัญของคตี ลกั ษณ์ทั้งสิ้น ดนตรมี ธี รรมชาตทิ ี่แตกต่างไปจากศิลปะแขนงอ่นื ๆ ซึ่งพอจะสรุปไดด้ ังนี้ 1. ดนตรีเป็นส่ือทางอารมณ์ท่ีสัมผัสได้ด้วยหู กล่าวคือ หูนับเป็นอวัยวะส้าคัญท่ีท้าให้คนเราสามารถ สมั ผสั กบั ดนตรีได้ ผทู้ ี่หหู นวกย่อมไม่สามารถทราบไดว้ า่ เสียงดนตรีนัน้ เปน็ อย่างไร 2. ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม กล่าวคือ กลุ่มชนต่าง ๆ จะมีวัฒนธรรมของตนเอง และ วัฒนธรรมน้เี องท่ีทา้ ใหค้ นในกลุ่มชนนัน้ มคี วามพอใจและซาบซ้ึงในดนตรลี กั ษณะหนงึ่ ซึ่งอาจแตกต่างไปจากคน ในอีกวัฒนธรรมหน่ึง ตัวอย่างเช่น คนไทยเราซึ่งเคยชินกับดนตรีไทยและดนตรีสากล เมื่อไปฟังดนตรีพ้ืนเมือง ของอินเดียก็อาจไม่รู้สึกซาบซ้ึงแต่อย่างใด แม้จะมีคนอินเดียคอยบอกเราว่าดนตรีของเขาไพเราะเพราะพร้ิง มากกต็ าม เป็นตน้ 3. ดนตรีเป็นเร่ืองของสุนทรียศาสตร์ว่าด้วยความไพเราะ ความไพเราะของดนตรีเป็นเร่ืองท่ีทุกคน สามารถซาบซ้งึ ได้และเกดิ ขน้ึ เมอื่ ใดกไ็ ด้ กบั ทกุ คน ทุกระดบั ทกุ ชนช้ัน ตามประสบการณ์ของแต่ละบคุ คล 4. ดนตรีเป็นเรื่องของการแสดงออกทางอารมณ์ เสียงดนตรีจะออกมาอย่างไรน้ันขึ้นอยู่กับเจ้าของ อารมณ์ท่ีจะช่วยถ่ายทอดออกมาเป็นเสียง ดังนั้นเสียงของดนตรีอาจกล่าวได้ว่าอยู่ท่ีอารมณ์ของผู้ประพันธ์ เพลงที่จะใส่อารมณ์ลงไปในเพลงตามทีตนต้องการ ผู้บรรเลงเพลงก็ถ่ายทอดอารมณ์จากบทประพันธ์ลงบน เครื่องดนตรี ผลที่กระทบต่อผู้ที่ฟังก็คือ เสียงดนตรีท่ีประกอบขึ้นด้วยอารมณ์ของผู้ประพันธ์ผสมกับ ความสามารถของนกั ดนตรีทจี่ ะถา่ ยทอดได้ถงึ อารมณห์ รอมคี วามไพเราะมากน้อยเพียงใด 5. ดนตรีเป็นท้ังระบบวิชาความรู้และศิลปะในขณะเดียวกัน กล่าวคือ ความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้น เป็น เร่อื งเกี่ยวกบั เสียงและการจัดระบบเสยี งใหเ้ ปน็ ท่วงทา้ นองและจงั หวะ ซงึ่ คนเราย่อมจะศึกษาเรียนรู้ “ความรู้ท่ี เกี่ยวกับดนตรี” นี้ก็ได้ โดยการท่อง จ้า อ่าน ฟัง รวมทั้งการลอกเลียนจากคนอ่ืนหรือการคิดหาเหตุผลเอาเอง ได้ แต่ผู้ที่ได้เรียนรู้จะมี “ความรู้เกี่ยวกับดนตรี” ก็อาจไม่สามารถเข้าถึงความไพเราะหรือซาบซ้ึงในดนตรีได้ เสมอไป เพราะการเข้าถึงดนตรีเป็นเร่ืองของศิลปะ เพียงแต่ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้นจะสามารถเข้าถึง ความไพเราะของดนตรีได้งา่ ยขน้ึ
~ 58 ประวัตภิ มู ปิ ัญญาทางดนตรสี ากล ดนตรีสากลมีการพัฒนามายาวนาน และเกือบทั้งหมดเป็นการพัฒนาจากฝั่งทวีปยุโรป จะมีการ พัฒนาในยุคหลงั ๆทีด่ นตรสี ากลมีการพัฒนาสงู ในฝ่งั ทวีปอเมรกิ าเหนอื ดนตรสี ากล สามารถแบง่ การพฒั นาออกเป็นช่วงยุคดังน้ี 1. ดนตรีคลาสสิกยุโรปยุคกลาง (Medieval European Music พ.ศ. 1019 - พ.ศ. 1943) ดนตรีคลาสสิกยุโรปยุคกลาง หรือ ดนตรียุคกลาง เป็นดนตรีท่ีถือว่าเป็นจุดก้าเนิดของดนตรีคลาสสิก เร่ิมต้น เม่ือประมาณปี พ.ศ. 1019 (ค.ศ. 476) ซ่ึงเป็นปีล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ดนตรีในยุคน้ีมีจุดประสงค์หลัก เพื่อประกอบพธิ กี รรมทเี่ ก่ยี วข้องกับศาสนา และคาดกันวา่ มีต้นกา้ เนดิ มาจากดนตรใี นยคุ กรกี โบราณ 2. ดนตรียุคเรเนสซองส์ (Renaissance Music พ.ศ. 1943 - พ.ศ. 2143) นับเร่ิมการนับเม่ือ ประมาณปี พ.ศ. 1943 (ค.ศ. 1400) เม่ือเร่ิมมีการเปล่ียนแปลงศิลปะ และฟนื้ ฟูศิลปะโบราณยุคโรมันและกรีก แตด่ นตรียงั คงเน้นหนกั ไปทางศาสนา เพยี งแต่เร่มิ มีการใชเ้ ครอ่ื งดนตรีที่หลากหลายข้นึ 3. ดนตรียุคบาโรค (Baroque Music พ.ศ. 2143 - พ.ศ. 2293) ยุคน้ีเร่ิมขึ้นเมื่อมีการก้าเนิด อุปรากรในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2143 (ค.ศ. 1600) และ ส้ินสุดลงเม่ือ โยฮันน์ เซบาสเทียน บาค เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2293 (ค.ศ. 1750) แต่บางครั้งก็นับว่าส้ินสุดลงในปี พ.ศ. 2273 (ค.ศ. 1730) เร่ิมมีการ เล่นดนตรีเพ่ือการฟังมากขึ้นในหมู่ชนชั้นสูง นิยมการเล่นเคร่ืองดนตรีประเภทออร์แกนมากข้ึน แต่ก็ยังคง เน้นหนกั ไปทางศาสนา นกั ดนตรที ่มี ชี ่ือเสียงในยุคนี้ เช่น บาค ววิ ัลดิ เปน็ ต้น 4. ดนตรียุคคลาสสิค (Classical Period Music พ.ศ. 2293 - พ.ศ. 2363) เป็นยุคท่ีมีการ เปลี่ยนแปลงมากท่ีสุด มีกฏเกณฑ์ แบบแผน รูปแบบและหลักในการเล่นดนตรีอย่างชัดเจน ศุนย์กลางของ ดนตรียุคน้ีคือประเทศออสเตรีย โดยเฉพาะที่กรุงเวียนนา และเมืองมานไฮม์(Mannheim) นักดนตรีท่ีมี ช่ือเสยี งในยุคนี้ เชน่ โมซารท์ เปน็ ตน้ 5. ดนตรียุคโรแมนติค (Romantic Music พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2443) เป็นยุคท่ีมีเริ่มมีการแทรก ของอารมณ์ในเพลง มีการเปลี่ยนอารมณ์ ความดังความเบา และจังหวะ ซ่ึงต่างจากยุคก่อนๆซ่ึงยังไม่มีการใส่ อารมณใ์ นทา้ นอง นกั ดนตรที ม่ี ชี ือ่ เสียงในยุคนี้ เช่น เบโธเฟน ชเู บิรต์ โชแปง ไชคอฟสกี เป็นต้น 6. ดนตรียุคศตวรรษท่ี 20 (20th Century Calssical Music พ.ศ. 2443 - พ.ศ. 2543) นัก ดนตรีเริ่มแสวงหาแนวดนตรีที่ไม่ขึ้นกับแนวดนตรีในยุคก่อนๆ จังหวะในแต่ละห้องเริ่มแปลกไปกว่าเดิม ไม่มี โนต้ ส้าคญั เกดิ ข้นึ (Atonal) ระยะหา่ งระหว่างเสียงกับเสยี งเรม่ิ ลดน้อยลง ไรท้ ่วงท้านองเพลง นกั ดนตรีบางกลุ่ม หันไปยึดดนตรีแนวเดิม ซ่ึงเรียกว่า แบบนีโอคลาสสิก (Neoclassic) นักดนตรีท่ีมีช่ือเสียงในยุคน้ี เช่น อิกอร์ เฟโตโรวิช สตราวินสกีเปน็ ต้น 7. ดนตรยี คุ ปัจจบุ ัน (ช่วงทศวรรษหลังของคริสต์ศตวรรษท่ี 20 - ปัจจบุ นั ) ยคุ ของดนตรีปอ็ ป (pop music) - ยคุ 50 เพลงร็อกแอนดโ์ รลล์ไดร้ ับความนยิ ม มศี ิลปนิ ทีไ่ ด้รบั ความนิยมอย่างเอลวสิ เพรสลีย์ - ยุค 60 เปน็ ยคุ ของทีนไอดอลอยา่ งวง เดอะ บีทเทลิ ส์, เดอะ บชี บอยส์, คลิฟ ริชารด์ , โรลลิง่ สโตน , แซนดี ชอว์ เป็นตน้
~ 59 - ยุค 70 เป็นยุคของดนตรีดิสโก้ มีศิลปินอย่าง แอบบ้า, บีจีส์ และยังมีดนตรีประเภทคันทรีที่ได้รับ ความนิยมอย่าง เดอะ อเี กิลส์ หรือดนตรีป็อปที่ได้รับอิทธิพลจากร็อกอย่าง เดอะ คารเ์ พ็นเทอร์ส, ร็อด สจ๊วต, แครี ไซม่อน, แฌร์ เปน็ ต้น - ยุค 80 มีศิลปนิ ป็อปทีไ่ ด้รับความนิยมอย่าง ไมเคลิ แจ็คสัน, มาดอนน่า, ทิฟฟานี, เจเน็ท แจ็คสัน, ฟิล คอลลินส์, แวม ลักษณะดนตรจี ะมีการใส่ดนตรีสังเคราะห์เข้าไป เพลงในยุคน้ีส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเต้นร้า และยังมีอิทธิพลถงึ ทางดา้ นแฟชน่ั ด้วย - ยุค 90 เริ่มได้อิทธิพลจากเพลงแนวอาร์แอนด์บี เช่น มารายห์ แครี, เดสทินี ไชลด์, บอยซ์ ทู เม็น, เอ็น โวค, ทีแอลซี ในยุคน้ียังมีวงบอยแบนด์ท่ีได้รับความนิยมอย่าง นิว คิดส์ ออน เดอะบล็อก, เทค แดท, แบ็คสตรที บอยส์ - ยุค 2000 มีศิลปินท่ีประสบความส้าเร็จอย่าง บริทย์นี สเปียร์, คริสติน่า อากีเลร่า, บียอนเซ่, แบล็ค อายด์ พีส์, จัสติน ทิมเบอร์เลค ส่วนเทรนป็อปอ่ืนเช่นแนว ป็อป-พังค์ อย่างวง ซิมเปิ้ล แพลน, เอฟริล ลาวีน รวมถึงการเกิดรายการสุดฮิต อเมริกัน ไอดอลท่ีสร้างศิลปินอย่าง เคลล่ี คลาร์กสัน และ เคลย์ ไอเคน แนวเพลงป็ อปและอาร์แอนด์บีเริ่มรวมกัน มีลักษณะเพลงป็อปท่ีเพ่ิมความเป็นอาร์แอนด์บีมากขึ้นอย่าง เนลลี เฟอร์ตาโด, ริฮานนา, จัสตนิ ทมิ เบอร์เลค เปน็ ตน้
~ 60 ใบงาน เร่อื ง ดนตรีสากลประเภทต่างๆ ประวัติ ภูมิปญั ญาทางดนตรสี ากล คาสงั่ ใหผ้ ู้เรียนจัดท้ารายงาน เร่อื งดนตรสี ากลประเภทตา่ งๆ และประวตั ภิ ูมปิ ญั ญาทางดนตรีสากล โดยก้าหนดกรอบโครงรา่ งรายงาน ดงั นี้ 1. สว่ นประกอบของรายงาน 1.1 ปก 1.2 ค้านา้ 1.3 สารบญั 1.4 เน้ือ เรื่องดนตรีสากลประเภทต่างๆ และประวัติภูมิปัญญาทางดนตรีสากล พร้อม ภาพประกอบ 1.5 ข้อคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะ 1.6 เอกสารอ้างองิ 2. จดั ส่งรายงานส่งตามทกี่ า้ หนด
~ 61 ใบความรู้ เรือ่ ง นาฏศลิ ป์ สุนทรยี ะทางนาฏศิลป์ ประวัตนิ าฏศลิ ป์ไทย นาฏศิลป์ เปน็ ศลิ ปะแหง่ การละคร ฟ้อนร้า และดนตรี อนั มีคณุ สมบตั ติ ามคัมภีร์นาฏะหรือนาฏ ยะ ก้าหนดวา่ ต้องประกอบไปด้วย ศิลปะ 3 ประการ คอื การฟ้อนรา้ การดนตรี และการขับ ร้อง รวมเข้าดว้ ยกัน ซึ่งทัง้ 3 สงิ่ น้เี ปน็ อปุ นิสยั ของคนมาแตด่ ึกดา้ บรรพ์ นาฏศลิ ปไ์ ทยมีทีม่ าและเกิดข้ึนจาก สาเหตตุ ามแนวคิดตา่ ง ๆ เชน่ เกดิ จากความรสู้ ึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ไมว่ า่ จะอารมณ์แหง่ ความสุข หรอื ความทกุ ข์แล้วสะทอ้ นออกมาเปน็ ทา่ ทาง แบบธรรมชาตแิ ละประดิษฐ์ข้นึ เปน็ ท่าทางลีลาการ ฟอ้ นร้า หรือเกิดจากลทั ธิความเชอื่ ในการนบั ถือสง่ิ ศักดิ์สิทธิ์ เทพเจา้ โดยแสดงความเคารพบชู าด้วยการ เต้นรา้ ขับรอ้ ง ฟอ้ นร้าใหเ้ กิดความพึงพอใจ เปน็ ต้น ประเภทของนาฎศิลป์ไทย นาฎศลิ ป์ คือ การรา่ ยรา้ ทม่ี นุษย์ได้ปรุงแต่งจากลีลาตามธรรมชาตใิ หส้ วยสดงดงาม โดยมี ดนตรีเป็นองค์ประกอบในการร่ายร้า นาฎศลิ ป์ของไทย แบง่ ออกตามลักษณะของรูปแบบการแสดงเป็นประเภทใหญ่ ๆ 4 ประเภท คือ 1. โขน เป็นการแสดงนาฎศิลป์ช้นั สงู ของไทยท่ีมีเอกลกั ษณ์ คือ ผแู้ สดงจะตอ้ งสวมหวั ที่ เรียกวา่ หวั โขน และใชล้ ีลาท่าทางการแสดงดว้ ยการเต้นไปตามบทการแสดงทีเ่ ปน็ แบบแผน นิยมจดั แสดง เฉพาะพิธีส้าคญั ได้แก่ งานพระราชพธิ ตี า่ ง ๆ 2. ละคร เปน็ ศลิ ปะการร่ายรา้ ที่เล่นเปน็ เรอ่ื งราว มีพฒั นาการมาจากการเล่านิทาน ละครมี เอกลกั ษณใ์ นการแสดงและการดา้ เนนิ เร่อื งดว้ ยกระบวนลีลาทา่ ร้า เขา้ บทร้อง ทา้ นองเพลงและเพลงหน้า พาทย์ทบี่ รรเลงด้วยวงปีพ่ าทย์มแี บบแผนการเล่นทเ่ี ปน็ ทั้งของชาวบา้ นและของหลวงทีเ่ รียกว่า ละครโนรา ชาตรี ละครนอก ละครใน เรอื่ งที่นยิ มน้ามาแสดงคอื พระสธุ น สังข์ทอง คาวี อเิ หนา อณุ รุท นิยมเล่น ในงานพธิ ีส้าคญั และงานพระราชพธิ ีของพระมหากษตั ริย์ 3. ระ และ ระบา เปน็ ศลิ ปะแห่งการร่ายรา้ ประกอบเพลงดนตรแี ละบทขับร้อง โดยไม่เลน่ เปน็ เร่ืองราว ในท่นี ้หี มายถึงรา้ และระบา้ ท่ีมลี กั ษณะเปน็ การแสดงแบบมาตรฐาน ซ่งึ มคี วามหมายท่ีจะอธิบายได้ พอสงั เขป ดังน้ี 3.1 รา หมายถึง ศลิ ปะแห่งการรายร้าท่ีมีผู้แสดง ตง้ั แต่ 1-2 คน เช่น การรา้ เดี่ยว การรา้ คู่ การร้าอาวธุ เป็นต้น 3.2 ระบา หมายถงึ ศิลปะแหง่ การร่ายรา้ ท่ีมีผู้เลน่ ตังแต่ 2 คนข้นึ ไป มลี ักษณะการแต่งการ คล้ายคลึงกนั กระบวนทา่ รายรา้ คล้าคลึงกนั ไมเ่ ล่นเป็นเร่ืองราว 4. การแสดงพนื้ เมอื ง เปน็ ศิลปะแห่งการรา่ ยรา้ ท่ีมีท้ังรา้ ระบา้ หรอื การละเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ กลุม่ ชนตามวัฒนธรรมในแตล่ ะภูมิภาค ซึง่ สามารถแบง่ ออกเปน็ ภมู ภิ าคได้ 4 ภาค ดังนี้ 4.1 การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ เป็นศิลปะการร้า และการละเลน่ หรือทนี่ ิยมเรียกกันทว่ั ไป
~ 62 วา่ “ฟอ้ น” การฟ้อนเปน็ วัฒนธรรมของชาวลา้ นนา และกลมุ่ ชนเผา่ ตา่ ง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาว ยอง ชาวเขนิ เป็นต้น 4.2 การแสดงพื้นเมอื งภาคกลาง เป็นศลิ ปะการรา่ ยรา้ และการละเล่นของชนชาวพ้ืนบ้านภาค กลาง ซ่ึงส่วนใหญ่มอี าชพี เกี่ยวกับเกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคล้องกับวถิ ีชวี ิตและเพ่ือความ บันเทิงสนกุ สนาน เปน็ การพักผ่อนหยอ่ นใจจากการท้างาน หรอื เมอื่ เสรจ็ จากเทศการฤดเู กบ็ เก็บเก่ียว 4.3 การแสดงพ้ืนเมืองภาคอสี าน เป็นศลิ ปะการรา้ และการเล่นของชาวพ้ืนบ้านภาคอสี าน หรือ ภาคตะวนออกเฉยี งเหนอื ของไทย แบ่งได้เปน็ 2 กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ ๆ คือ กลุม่ อสี านเหนือ มีวัฒนธรรม ไทยลาวซ่งึ มักเรียกการละเลน่ ว่า “เซิ้ง ฟอ้ น และหมอล้า” เชน่ เซงิ้ บงั ไฟ เซงิ้ สวิง ฟอ้ นภูไท ล้ากลอน เกี้ยว ล้าเต้ย ซง่ึ ใชเ้ ครอ่ื งดนตรพี ้ืนบา้ นประกอบ 4.4 การแสดงพ้ืนเมอื งภาคใต้ เปน็ ศิลปะการรา้ และการละเลน่ ของชาวพ้ืนบา้ นภาคใตอ้ าจแบง่ ตามกลุม่ วัฒนธรรมไ 2 กลุ่มคือ วฒั นธรรมไทยพุทธ ไดแ้ ก่ การแสดงโนรา หนงั ตะลงุ เพลงบอก เพลง นา และวฒั นธรรมไทยมสุ ลิม ได้แก่ รองเง็ง ซา้ แปง มะโย่ง (การแสดงละคร) ลิเกฮูลู (คล้ายลิเกภาค กลาง) และซิละ มีเครื่องดนตรปี ระกอบที่สา้ คัญ เชน่ กลองโนรา กลองโพน กลองปืด โทน ทับ กรับ พวง โหมง่ ป่ีกาหลอ ป่ไี หน ร้ามะนา ไวโอลนิ อคั คอร์เดยี น ภายหลงั ได้มรี ะบ้าทป่ี รับปรงุ จากกิจกรรมใน วถิ ีชีวติ ศิลปาต่างๆ เข่น ระบา้ ร่อนแต่ การดี ยาง ปาเตต๊ะ เปน็ ต้น กลับดา้ นบน 1.ดนตรีท่ใี ชป้ ระกอบการแสดงนาฎศลิ ปไ์ ทย ประกอบด้วย 1.1 ดนตรปี ระกอบการแสดงโขน-ละคร วงดนตรที ่ใี ช้ประกอบการแสดงโขนและละครของไทย คือ วงปีพ่ าทย์ ซึง่ มขี นาดของวงเปน็ แบบ วงประเภทใดนัน้ ข้ึนอยกู่ ับลักษณะของการแสดงนนั้ ๆ ด้วย เช่น การแสดงโขนน่ังราวใช้วงป่ีพาทย์ เครือ่ ง หา้ 2 วง การแสดงละครในอาจใชว้ งป่พี าทยเ์ คร่ืองคู่ หรือการแสดงละครดึกด้าบรรพ์ต้องใชว้ งปี่ พาทยด์ ึกด้าบรรพ์ เป็นตน้ 1.2 ดนตรีประกอบการแสดงร้าและระบ้ามาตรฐาน การแสดงรา้ และระบา้ ทเี่ ป็นชดุ การแสดงทเ่ี รียกว่า รา้ มาตรฐานและระบา้ มาตรฐานนั้น เครื่อง ดนตรีทใี่ ช้ประกอบการแสดง จะใชว้ งปพ่ี าทยบ์ รรเลง อามีการน้าเคร่ืองดนตรีบางชนดิ เข้ามาประกอบตาม ลักษณะควมจา้ เปน็ ของการแสดง เช่น ระบ้ากฤดาภินหิ าร อาจน้าเครอ่ื งดนตรี ขิมหรือซอ ดว้ ง มา้ ล่อ กลองต้อก และกลองแตว๋ มาบรรเลงในช่วงทา้ ยของการร้าทีเ่ ปน็ เพลงเชิดจีนกไ็ ด้ 1.3 ดนตรปี ระกอบการแสดงพ้ืนเมือง ดนตรที ่ใี ชป้ ระกอบการแสดงพืน้ เมืองภาคตา่ งๆ ของไทยจะเปน็ วง ดนตรีพน้ื บา้ น ซงึ่ นับเปน็ เอกลักษณ์ที่มคี ุณคา่ ของแต่ละภูมิภาค 2. เพลงไทยสาหรับประกอบการแสดงนาฎศิลป์ไทย 2.1 เพลงไทยประกอบการแสดงโขน ละคร รา้ และระบา้ มาตรฐาน เพลงไทยท่ใี ชบ้ รรเลงและขบั ร้องประกอบการแสดงนาฎศลิ ป์ไทย โขน ละคร ร้า และระบา้ ที่เปน็ มาตรฐานนัน้ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทดงั นี้ 1. เพลงหนา้ พาทย์ ไดแ้ ก่ เพลงท่ีใชบ้ รรเลงหรือขบั ร้องประกอบอากัปกริ ยิ าของตวั
~ 63 โขน ละคร เชน่ การเดนิ ทาง ยกทพั สู้รบั แปลงกาย และเพลงหน้าพาทยท์ ่ีใช้ในการร้าและ ระบ้า เช่น รวั โคมเวยี น ชา้ นาญ ตระบองกัน เป็นต้น 2. เพลงขบั ร้องรับส่ง คอื เพลงไทยทน่ี า้ มาบรรจุไว้ในบทโขน-ละคร อาจนา้ มาจากเพลงตับ เพลง เถา หรือเพลงเกรด็ เพื่อบรรเลงขบั ร้องประกอบการร้าบทหรือใชบ้ ทของตวั โขน ละคร หรอื เปน็ บทขับ้องใน เพลงสา้ หรับการรา้ และระบ้า เช่น เพลงชา้ ปี่ เพลงขึ้นพลับพลา เพลงนกกระจอกทอง เพลงลมพดั ชาย เขา เพลงเวสสุกรรม เพลงแขกตะเขิง่ เพลงแขกเจา้ เซ็น เป็นต้น 2.2 เพลงไทยประกอบการแสดงพ้ืนเมือง เพลงไทยท่ีใชป้ ระกอบการแสดงน้าศิลป์พ้ืนเมือง เปน็ บทเพลง พืน้ บ้านท่ใี ช้บรรเลงแลละขับร้องประกอบการแสดงนาฎศิลป์พื้นเมือง สุนทรียภาพทางดนตรี – นาฏศลิ ป์ สนุ ทรยี ภาพทางความงามของนาฎศิลปน์ น้ั ประกอบดว้ ยคณุ ลักษณะท่ดี ี 5 ประการคือ ตัวละครสวยงาม ท่า รา้ สวยงาม ขบั รอ้ งเพราะ ดนตรที ใ่ี ชใ้ นการบรรเลงประกอบการแสดงเพราะ บทกลอนเพราะ และรูปแบบสื่อ ความหมายโดยเฉพาะท่าทางทีเ่ ลียนแบบธรรมชาติ เม่อื มนุษย์ตอ้ งการสือ่ ความหมายให้เข้าใจ ที่เรียกวา่ \"ภาษา ทา่ \" เช่น กวักมือเข้า หมายถึง เรียกให้มาหา โบกมือออก เรยี กวา่ ใหอ้ อกไป เปน็ ต้น ทา่ ทางที่เลียนแบบธรรมชาติน้อี าจ จาแนกออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1. ท่าทางท่ีใช้แทนค้าพดู เช่น ปฏเิ สธ เรียก ไป มา ฯลฯ 2. ท่าแสดงกริ ิยาอาการหรืออิรยิ าบถ เชน่ ยืน เดิน นั่ง นอน ฯลฯ 3. ทา่ ท่แี สดงอารมณ์ภายใน เช่น รกั โกรธ ดใี จ เสียใจ ฯลฯ ในการรา่ ยรา้ ทา่ ต่างๆดังท่กี ลา่ วมาน้ี ไดน้ ้ามาประกอบบทร้อง เพลงและดนตรี เพอื่ ตอ้ งการใหเ้ กิดความ สวยงามและสงา่ งามของ ลีลา ท่าร้า โดยอาศยั ความงาม ทางศิลปะเข้าช่วย วธิ ีการใช้ท่าทางประกอบบทรอ้ ง บทพาทย์ และเพลงประกอบดนตรีนที้ างนาฎศลิ ป์ เรยี กวา่ การตีบทหรอื การร้าบท หรือจะเรยี กว่า \"ภาษา นาฎศลิ ป\"์ กไ็ ด้ สุนทรยี ภาพของการแสดงนาฏศิลป์ สนุ ทรยี ภาพ หมายถงึ ความงามในธรรมชาติ หรอื ในงานศลิ ปะท่ีแตล่ ะคนสามารถเข้าใจและรู้สกึ ได้ ดงั น้ัน สุนทรียภาพของการแสดงนาฏศลิ ปจ์ ึงเป็นความเขา้ ใจและรู้สกึ ถงึ ความงามของการแสดงนาฏศิลปน์ ั้น ๆ การศกึ ษาด้านสุนทรียภาพของการแสดงนาฏศิลป์ไทยเป็นการศกึ ษาและพิจารณาความงามหรือสนุทรี ยะ มี 3 ด้าน คอื 1. สุนทรยี ะทางวรรณกรรม เปน็ สนุ ทรยี ะดา้ นความงามทางตัวอักษร หรืองานประพันธ์ ได้แก่ ประเภทรอ้ ยกรอง เช่น การแตง่ ค้าประพันธ์ สุนทรยี ะประเภทร้อยกรองนจ้ี ะมีศิลปะในการใชถ้ อ้ ยคา้ ที่ กอ่ ให้เกิดการโน้มน้าวความรู้สึกในแงข่ องคตสิ อนใจตา่ ง ๆ เชน่ สภุ าษติ คา้ พงั เพย 2. สนุ ทรียะทางดนตรี – ขบั ร้อง เปน็ สนุ ทรยี ะดา้ นการรบั ฟัง และขบั ร้อง เชน่ ขบั รอ้ ง เพลง ประกอบการแสดงนาฏศิลป์ 3. สุนทรยี ะทางดา้ นท่าร้าสุนทรยี ะทงั้ 3 ดา้ น ของการแสดงจงึ มคี วามสา้ คัญตอ่ การแสดง
~ 64 เชน่ ผูแ้ สดง การฟอ้ นรา้ จะมีลลี าท่ีอ่อนช้อย สวยงามจะต้องอาศัยผูบ้ รรเลงดนตรี ผขู้ ับร้องประกอบในการ แสดง และมผี ูช้ มผฟู้ ังจงึ ท้าใหเ้ กิดสุนทรยี ภาพทางท่าร้าได้อยา่ งกลมกลนื ต่อเน่ือง และสอดคลอ้ งกนั ได้ดี จน เกิดเปน็ ความงามทางนาฏศิลป์ทท่ี ้าให้ผู้ชมเกิดความรู้สกึ เข้าใจและซาบซ้งึ ได้ สนุ ทรียภาพทางดนตรี – นาฏศิลป์ สุนทรียภาพทางความงามของนาฏศลิ ปน์ น้ั ประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะที่ดี 5 ประการคอื ตัวละครสวยงาม ท่ารา้ สวยงาม ขับร้องเพราะ ดนตรีทีใ่ ชใ้ นการบรรเลงประกอบการแสดงเพราะ บทกลอนเพราะ และรปู แบบสื่อ ความหมายโดยเฉพาะท่าทางทเ่ี ลียนแบบธรรมชาติ เมอ่ื มนุษยต์ อ้ งการสื่อความหมายใหเ้ ข้าใจ ที่เรยี กวา่ \"ภาษา ทา่ \" เชน่ กวกั มือเขา้ หมายถงึ เรียกใหม้ าหา โบกมือออก เรียกว่า ให้ออกไป เป็นต้น ทา่ ทางทเ่ี ลียนแบบ ธรรมชาตินอ้ี าจ จา้ แนกออกเป็น 3 ประเภท คอื 1. ท่าทางที่ใช้แทนคา้ พูด เชน่ ปฏเิ สธ เรียก ไป มา ฯลฯ 2. ทา่ แสดงกริ ยิ าอาการหรอื อิรยิ าบถ เช่น ยนื เดนิ น่ัง นอน ฯลฯ 3. ทา่ ที่แสดงอารมณภ์ ายใน เช่น รกั โกรธ ดีใจ เสยี ใจ ฯลฯ
~ 65 ใบความรู้ เรือ่ ง นาฏศิลป์ สุนทรยี ะทางนาฏศลิ ป์ นาฏศลิ ป์ประเทศสาธารณรฐั สังคมนิยมแห่งสหภาพพมา่ ประวัตินาฏศิลปพ์ ม่าท่ีมีหลกั ฐานแนน่ อน ภายหลงั พ.ศ. 2310 คอื หลงั จากกรุงศรีอยุธยาแตก ครง้ั ที่ 2 พมา่ ไดร้ ับอทิ ธิพลนาฏศลิ ป์ไปจากไทย ก่อนหน้าน้ี นาฏศิลปข์ องพม่าเปน็ ของพ้นื เมืองมากกว่าทีจ่ ะ ได้รบั อิทธพิ ลมาจากภายนอกประเทศ เหมอื นกบั ประเทศอ่ืนๆ นาฏศลิ ป์พมา่ เริ่มต้นจากพิธที างศาสนา ต่อมา เมื่อพม่ามีการตดิ ต่อกับอินเดียและจนี ท่ารา่ ยรา้ ของ 2 ชาตดิ ังกลา่ ว ก็จะมีอิทธิพลแทรกซึมในนาฏศลิ ป์ พนื้ เมืองของพมา่ แตท่ า่ รา่ ยร้าของเดิมมีความเป็นเอกลกั ษณ์ของพมา่ จรงิ ๆ นาฏศิลปก์ ารละครในประเทศพมา่ มลี ักษณะพเิ ศษ คือ ในแตล่ ะยุคสมัยลักษณะนาฏศลิ ป์และการ ละคร จะแตกต่างกันออกไปตามอทิ ธิพลภายนอกทไี่ ดร้ ับ ซึ่งแบง่ ได้เป็น 3 ยคุ คือ 1. ยุคกอ่ นรบั นับถือพระพทุ ธศาสนา เปน็ ยคุ ของการนับถอื ผี การฟ้อนรา้ เปน็ ไปในการทรงเจา้ เข้าผี บูชาผีและบรรพบุรุษที่ตายไปแลว้ ต่อมาก็ มีการฟ้อนรา้ ในงานพธิ ตี ่างๆ เช่น โกนจกุ 2. ยุคนับถอื ศาสนาพทุ ธ พม่ารบั นบั ถอื ศาสนาพทุ ธหลังปี พ.ศ. 1559 ในสมัยนกี้ ารฟ้อนร้าเพื่อบูชาผีกย็ งั มีอยู่ และการฟอ้ นร้า กลายเป็นสว่ นหนงึ่ ของการบูชาในพทุ ธศาสนาดว้ ย หลังปี พ.ศ. 1800 เกดิ มกี ารละครแบบหน่ึง เรยี กว่า \"นพิ ทั ขิ่น\" เปน็ ละครเร่ แสดงเรือ่ ง พทุ ธประวตั ิ เพอื่ เผยแพรค่ วามรู้ในพุทธศาสนา เพ่ือให้ชาวบ้านเข้าใจเรือ่ งราวได้ง่าย ตอ่ มาเพ่ือให้ความสนกุ สนานจึงได้เพ่ิม บทตลกให้มากข้ึน บทตลกน้ีไมม่ ีเขยี นไว้ ผแู้ สดงตอ้ งหามุขแทรกเอาเอง ตวั ตลกนั้นมีทงั้ หญิงและชาย มักจะ เป็นสาวใช้ คนใช้ คนสนิทของตัวเอก ต่อมาบทของเทวทตั ต์ก็กลายเป็นบทตลกไปดว้ ย ละครนพิ ัทขิ่น มกั จะแสดงเรอ่ื งพทุ ธประวตั ิ ตอนตรสั รู้ เพราะไม่นยิ มแสดงบทบาทของพระพุทธเจ้า หรือ พระสาวกองคส์ ้าคัญ ต่อมาพมา่ ไดร้ ับอทิ ธพิ ลของอินเดียโดยผ่านทางเขมร ละครนทิ ัทขิน่ จึงแสดงเรื่องอน่ื ๆ เชน่ รามายณะ เทพ นิยายตา่ งๆ และเหตกุ ารณ์ในราชส้านัก 3. ยคุ อทิ ธพิ ลละครไทย หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาแกพ่ ม่าในปี พ.ศ. 2310 ชาวไทยกถ็ ูกกวาดต้อนไปเปน็ จา้ นวนมาก พวกละคร และดนตรี ถูกนา้ ไปไวใ้ นราชสา้ นัก เกิดความนิยมละครแบบไทยขึ้น จึงถือเป็นเคร่ืองประดับราชส้านัก นิยมให้ เดก็ พมา่ หัดละครไทย ละครแบบพมา่ ในยุคน้ีเรียกวา่ \"โยธยาสัตคยี\" หรอื ละครแบบโยธยา ท่ารา้ ดนตรี และ เรื่องทแ่ี สดงรวมทัง้ ภาษาทใ่ี ช้กเ็ ปน็ ของไทย มกี ารแสดงอยู่ 2 เรอ่ื ง คอื รามเกยี รติ์ เลน่ แบบโขน และอเิ หนา เลน่ แบบละครใน ในปี พ.ศ. 2328 เมียวดี ขา้ ราชการพม่า ได้คดิ ละครแบบใหมข่ ้นึ ชื่อเร่ือง \"อนี อง\" ซ่ึงมีลักษณะใกล้เคียง กับอิเหนามาก มีส่ิงที่แปลกออกไปคือตัวละคร ตวั ละครของเรอื่ งนี้ มลี ักษณะเปน็ มนุษยธ์ รรมดาสามัญที่มี กเิ ลส มคี วามดคี วามช่ัว ละครเรื่องนเี้ ป็นแรงบนั ดาลใจให้เกิดละครในแนวน้ีอีกหลายเร่ือง
~ 66 ตอ่ มา ละครในราชสา้ นกั เส่อื มความนยิ มลง เมอ่ื กลายเป็นของชาวบา้ นก็ค่อยๆ เส่อื มลง แต่ละครแบบ นิพัทข่ินกลับเฟ่ืองฟูข้ึน แต่ก็ลดมาตรฐานลงจนกลายเปน็ จา้ อวด เม่อื ประเทศพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแลว้ ในปี พ.ศ. 2428 ละครหลวงและละครพื้นเมืองซบ เซา ตอ่ มามีการละครท่นี ้าแบบอยา่ งมาจากองั กฤษเข้าแทนที่ ถึงสมัย ปจั จบุ นั นลี้ ะครของเกา่ คูบ่ ้านคู่เมอื ง ของพมา่ จึงหาชมไดย้ าก นาฏศิลปก์ ัมพชู า นาฏศลิ ปก์ มั พูชามีหลักฐานปรากฏตั้งแตส่ มัยกอ่ นพระนคร (ค.ศ. ๕๔๐-๘๐๐) แล้ว เชน่ รูปปั้นดิน เหนยี วสมัยนครบรุ ี (Angkorborei) เปน็ รปู บุคคลรา่ ยร้า และจารกึ ที่กล่าวถงึ \"คนร้า\" เปน็ ภาษาเขมร ในจารึก สมัยพระนคร (ค.ศ. ๘๒๕-ราวครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๔) พบค้าสนั สกฤต \"ภาณิ\" ซง่ึ หมายถงึ การแสดงเล่าเรื่อง และหากดภู าพสลกั จา้ นวนมากในปราสาทหินท้ังหลายแหล่ขอม ไมต่ ้องสงสัยเลยวา่ ในอาณาจกั รขอมมีการ รา่ ยรา้ การแสดง เป็นเร่อื งปรกตธิ รรมดาส้าหรบั การบนั เทงิ ในราชสา้ นกั และประชาชน ในจารกึ ท่ีกลา่ วถงึ ข้าพระที่ประจา้ ศาสนสถานนัน้ มกั มี \"คนรา้ \" ประจ้าอยูด่ ้วย นาฏศลิ ป์กมั พูชา โบราณน่าจะได้รับอทิ ธิพลอินเดียเปน็ พ้นื นาฏศลิ ปก์ ัมพชู านา่ จะสบื ต่อและพฒั นามาจนรุ่งโรจนไ์ ม่แพ้ศลิ ปวิทยาการด้านอืน่ ๆ ในสมัย พระนคร และนา่ จะมีอทิ ธพิ ลไม่น้อยตอ่ อยธุ ยาหลงั จากท่ีมีการตีเมืองพระนครแตกและกวาดตอ้ นผู้คนมาสู่กรุง ศรีอยธุ ยา จ้านวนหนงึ่ ในผ้คู นเหลา่ นั้นน่าจะมนี กั ร้าอยดู่ ้วย หลกั ฐานทางภาษาอยา่ งหนงึ่ ก็คอื ไทยรบั ค้า \"ร้า\" ในภาษาเขมรมาแทนที่ค้า \"ฟอ้ น\" ที่เดมิ ใชใ้ น ภาษาไทย และไทยกร็ บั เอามาผสมผสานกบั สงิ่ ทม่ี ีอยู่เดิมและพัฒนานาฏศลิ ปส์ ืบเน่ืองต่อจากนน้ั และสร้าง เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตนขน้ึ มา และเม่อื มาถึงสมยั ต้นกรงุ รตั นโกสินทรไ์ ทยกส็ ่งคืนศิลปวทิ ยาการดา้ นนก้ี ลับสู่ ประเทศราชกัมพชู า และกัมพูชาก็รบั เอามาประยุกต์ปรบั เปลี่ยนใหเ้ ขา้ กับตัวเองและสบื ต่อมาจนถึงปจั จุบนั สมเดจ็ พระมหากษัตริยานีกสุ ุมะนารีรัตน์ พระราชมารดาของเจ้าสหี นุ พระนางทรงท้านบุ า้ รงุ การ ละครเขมรให้ร่งุ เรอื ง พระนางจึงทรงเปน็ พระมารดาแห่งนาฏศลิ ปก์ ัมพูชากว็ ่าได้ ระบา้ อัปสราเกิดข้นึ ดว้ ย คณุ ูปการของพระนาง โดยนางอปั สราตัวเอกองคแ์ รกคือเจ้าหญิงบุพผาเทวี พระราชธดิ าในเจ้าสหี นุ นครวดั เปน็ อุดมคตแิ ห่งชาตกิ ัมพูชา นางอัปสราในนครวดั กเ็ ปน็ อุดมคติแห่งสตรีเขมร ดงั นั้นการชุบ ชวี ติ นางอัปสราออกมาเปน็ ระบา้ ระดบั ชาตินั้นมีความหมายในเชิงชาติพนั ธุ์นยิ ม เพือ่ ให้เข้าถึงสญั ลักษณ์สูงสดุ แห่งสตรแี ขมร์ ระบา้ อปั สรามีชอ่ื เสียงขน้ึ มาดว้ ยการองิ บนความย่ิงใหญข่ องนครวัด และระบา้ อัปสรากจ็ ้าลอง ภาพสลักทแี่ น่นงิ่ ไรค้ วามเคลือ่ นไหวในนครวัดใหห้ ลุดออกมามีชวี ติ
~ 67 นาฏศิลป์ประเทศสาธารณรฐั เกาหลี นาฏศลิ ปเ์ กาหลีเร่มิ มีการเปลย่ี นแปลงในราวศตวรรษที่ 3 นาฏศลิ ปเ์ กาหลใี นสมยั โบราณใชแ้ สดงในพธิ ีทาง ศาสนา เพื่อบวงสรวงเทพยดาอารกั ษ์ จดั แสดงปีละ 2 ครั้ง คอื ในเดอื นพฤษภาคมซง่ึ เปน็ ฤดูหวา่ น และใน เดือนตลุ าคมฤดูเก็บเก่ยี ว วิวัฒนาการของนาฏศิลป์เกาหลีกท็ า้ นองเดียวกับของชาติอ่ืน มักจะเรมิ่ และดดั แปลงใหเ้ ป็นระบา้ ปลุกใจใน สงคราม เพ่ือให้กา้ ลงั ใจแก่นักรบ หรือไม่กเ็ ปน็ พิธีทางพุทธศาสนา หรอื เปน็ การร้องร้าท้าเพลงในหมชู่ นชั้น กรรมาชีพ หรือแสดงเป็นหมู่ นาฏศิลป์ในราชสา้ นกั กม็ ีมาแตโ่ บราณกาลเช่นเดยี วกนั นาฏศิลป์เกาหลสี มบูรณต์ ามแบบฉบับทางการละครที่สุดและเป็นพิธีรีตอง ไดแ้ ก่ ละครสวม หน้ากาก นาฏศลิ ป์เกาหลสี มยั ใหม่ พฒั นามาจากนาฏศิลป์ท่ีใชใ้ นพธิ เี ลย้ี งต้อนรบั อาคันตุกะชน้ั ผดู้ แี ละมง่ั ค่ัง นาฏศิลปเ์ กาหลี มีลลี าอันงดงามออ่ นช้อยอยู่ท่ีการเคลื่อนไหวไหล่และเอวเป็นสว่ นส้าคญั ตามหลกั ทฤษฎี นาฎศลิ ป์เกาหลี มี 2 แบบ คอื 1. แบบแสดงออกซง่ึ ความร่นื เริง ความโอบอ้อมอารี และความอ่อนไหวของอารมณ์ 2. แบบพธิ ีการ ดดั แปลงมาจากวัฒนธรรมและประเพณีทางพุทธศาสนา จุดเด่นของนาฏศลิ ปเ์ กาหลี มลี กั ษณะคล้ายนาฏศลิ ป์สเปน คอื ผแู้ สดงเคลือ่ นไหวท้ังสว่ นบนและส่วนล่าง ของร่างกาย เป็นการผสมผสานระหวา่ งนาฏศิลป์ตะวนั ตกและนาฏศลิ ป์ตะวนั ออกเขา้ ด้วยกัน ซงึ่ นาฏศลิ ปต์ ะวนั ตก เนน้ หนักในการใช้ขาและร่างกายส่วนลา่ ง แต่นาฏศิลป์ตะวันออกจะใชส้ ว่ นไหล่ แขน และมือ โรงเรียนนาฏศลิ ปเ์ กาหลสี มยั ปัจจบุ นั จะแบ่งออกได้เปน็ 2 ประเภท คอื 1. โรงเรียนนาฏศิลป์แผนโบราณ ซึ่งไมย่ อมรับอิทธิพลอื่นใดนอกจากจะรักษาแบบฉบับเดิมไว้ 2. โรงเรียนนาฏศลิ ป์สมัยใหม่ จะรบั เอาแบบอย่างของนาฏศลิ ปต์ ะวันตกเข้ามารวมดว้ ย ซ่ึงได้รับความนิยม มากกวา่ แบบโบราณ เปน็ ทีย่ อมรบั ว่า ยอดนยิ มของนาฏศิลป์เกาหลีนนั้ ไดแ้ ก่ นาฏศิลปข์ องพระแสดงการตอ่ ตา้ นศาสนา ผู้ แสดงจะสวมเสื้อคลมุ ของพระ ลลี าการรา่ ยรา้ นน้ั งามน่าดูมาก แสดงออกซึ่งความต้องการของมนุษย์ นาฏศิลป์เกาหลีทค่ี วรรู้จกั ไดแ้ ก่ 1. ละครสวมหน้ากาก เนื้อเรื่องมักคล้ายคลึงกนั ลลี าการแสดงนัน้ น้าเอานาฏศลิ ปแ์ บบต่างๆ มาปะตดิ ปะต่อ กัน 2. ระบ้าแมม่ ดก็เปน็ นาฏศลิ ป์อกี แบบหนึ่ง และการร้องร้าทา้ เพลงประเภทลกู ทุ่งนน้ั ก็มีชีวิตชีวาอยา่ งยงิ่ 3. ระบา้ บวงสรวงในพธิ ีและระบ้าประกอบดนตรที ี่ใช้ในพิธีเล้ียงตอ้ นรับในราชส้านกั ซึ่งประกอบดว้ ย บรรยากาศอันงดงามตระการตานา่ ชมมาก
~ 68 นาฏศิลปอ์ ินโดนีเซีย ศลิ ปะการแสดงของอนิ โดนีเซยี ในภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ หากมองเรื่องของนาฏศลิ ปแ์ ละศลิ ปะการแสดงแลว้ อินโดนเี ซยี เปน็ ประเทศหนึ่งท่ีมวี ัฒนธรรมทางการแสดงอนั เกา่ แกแ่ ละมลี กั ษณะโดดเดน่ เป็นเอกลักษณ์ของตนโดยมี พื้นฐานของวฒั นธรรมมสุ ลิมและฮนิ ดูปรากฏอยเู่ ด่นชัดในศิลปะการแสดงของอินโดนีเซยี ศลิ ปะการแสดงทเ่ี ปน็ เอกลักษณเ์ ดน่ ชัดของอนิ โดนเี ซยี และยังคงเป็นศิลปะประจ้าชาตทิ ี่เก่าแกท่ ่สี ดุ ก็คือ ศลิ ปะการเชิดหนังหรือเชิด หุ่นภาษาชวาเรยี กวา่ “วายัง” (Wayang)หรอื เรยี กเต็มชอ่ื ว่า”วายัง ปูรว์ า”( Wayang Purwa) “วายัง”แปลว่า “เงา” สว่ น”ปรู ์วา”แปลว่า”ความเก่าแก่”รวมกนั จงึ หมายถึงความเก่าแกแ่ ห่งศลิ ปะการเชิดตวั หนุ่ ทท่ี า้ จากหนงั ใหเ้ กิดเป็นภาพเงาบนจอผ้า ในปัจจบุ นั คา้ ว่าวายงั มคี วามหมายท่วั ไปว่า”การแสดง” 1.ความเปน็ มาของวายงั นักวิชาการมคี วามเห็นแตกต่างกนั 3แนวทางคือ กลุม่ แรก ยนื ยนั ว่าวายังเป็นศิลปะการแสดงของทอ้ งถ่ินชวามาแตโ่ บราณ มกี ้าเนดิ บนเกาะชวา เนือ่ งมาจากประเพณีของคนท้องถ่นิ ซ่งึ นบั ถือสิง่ ศักดส์ ิทธ์แิ ละบชู าบรรพบรุ ุษนัน่ เอง หลักฐานท่ีใชส้ นบั สนุนของ กลุ่มนีม้ หี ลายประการ กลา่ วคือ ภาษาและค้าศัพทเ์ ฉพาะทางเทคนิคการแสดงเป็นภาษาชวาโบราณ ประเพณี การชมละครวายงั ทเ่ี กา่ แก่ยงั คงเหน็ ปฏบิ ตั ิกนั อยทู่ ่ัวไป กล่าวคอื บรเิ วณทนี่ ่งั ของผูช้ มฝ่ายชายอยู่คนละด้าน ของฝา่ ยหญิง ผู้ชมฝ่ายชายนยิ มน่งั ดา้ นเดยี วกบั ผู้เชิดหนงั เพราะเป็นด้านท่ีชมการแสดงไดส้ นุกกวา่ ด้านท่ีเห็น เงา ฝา่ ยหญิงถกู ก้าหนดที่น่ังให้อย่ดู า้ นตรงข้ามกับผู้ชายเหตุผลอกี ประการหนึง่ คอื วายงั เป็นการแสดงท่ีแปลก แตกตา่ งและโดดเดน่ จากการแสดงอน่ื ๆ ทง้ั หมดในเอเชยี จึงน่าจะเชื่อได้ว่าศิลปะการแสดงวายังเป็นสมบตั ทิ าง วัฒนธรรมของอินโดนีเซยี อย่างแท้จริง กล่มุ ทีส่ อง เชอ่ื วา่ ศลิ ปะการเชิดหนงั นี้ได้รับอทิ ธิพลมาจากอินเดีย เพราะอินเดียมกี ารแสดงเชดิ หนัง และเชดิ หุ่นมาตงั้ แต่สมัยโบราณ วฒั นธรรมอินเดยี เจรญิ และเก่าแก่กว่าชวา ประวัตศิ าสตร์ยุคโบราณของชวา ไดเ้ หน็ การแผ่ขยายอารยธรรมอนิ เดยี เปน็ ระยะเวลาหลายรอ้ ยปี ด้วยเหตนุ ี้ ชวาจงึ น่าทีจ่ ะเป็นฝ่ายรบั การแสดง วายงั จากอินเดยี นอกจากนตี้ ัวละครตลกในวายังของชวาที่ชือ่ ซมี าร์ ( Semar) มลี ักษณะท่ีละม้ายคล้ายคลึงกับตวั ตลกอินเดยี ทป่ี รากฏในละครสนั สกฤตอันโด่งดังของอินเดยี สมัย คริสตศ์ ตวรรษที่3-8 กลุ่มท่ีสาม สนับสนุนความคดิ ท่วี ่า การเชิดหนงั และหนุ่ ชนิดตา่ งๆน่าที่มาจากประเทศจีนเพราะชน ชาติจนี รูจ้ กั ศิลปะประเภทน้มี านานกวา่ 2000ปแี ลว้ โดยมหี ลักฐานบันทกึ เรื่องราวใน121 ปีกอ่ นคริสต์ศักราชว่า จักรพรรดิองค์หนงึ่ ในราชวงค์ฮ่นั ทรงโปรดให้ท้าพิธเี ขา้ ทรงเรียกวิญญาณนางสนมคนโปรดของพระองค์ การท้า พิธเี ชน่ นีอ้ าศยั เทคนิคการเชิดหนงั นน่ั เอง แมไ้ ม่มีข้อยตุ ทิ ่ีแนช่ ดั วา่ จรงิ ๆแล้ววายังของชวามาจากไหน และได้รบั อทิ ธิพลจากจนี หรอื อนิ เดียวหรือไมก่ ็ตาม แต่สิง่ ท่นี ่าจะสันนิษฐานได้ก็คือ ในสงั คมแบบชาวเกาะซง่ึ นับถอื สงิ่ ศักดิ์สทิ ธใ์ิ นธรรมชาติ และมปี ระเพณีบูชา บรรพบรุ ษุ เชน่ เดยี วกับสังคมโบราณในประเทศเอเชยี ทัง้ หลายการแสดงเชดิ หนงั และเชดิ หนุ่ กระบอกเป็นศิลปะ ทเ่ี กิดขึ้นโดยธรรมชาติอยู่แลว้ ในส่งิ แวดลอ้ มของสังคมดังกล่าวความสัมพันธข์ องวายังกนั พธิ ีกรรมทางศาสนา
~ 69 ยอ่ มแยกกันไม่ออก เงาต่างๆทเ่ี กดิ ข้นึ เปรียบเสมือนดวงวิญญาณของบรรพบุรษุ ท่ีศลิ ปินผเู้ ชดิ บันดาลให้เกิดข้นึ คนโบราณนิยมประกอบพธิ เี รียกวิญญาณบรรพบรุ ษุ ในงานมงคลตา่ งๆ เช่น งานแตง่ งาน เพอื่ นให้วิญญาณของ บรรพบรุ ุษไดม้ ารบั รเู้ ปน็ สักขีพยานการแสดงวายังจงึ เป็นศิลปะการแสดงท่มี วี ามขลังและศักดิส์ ทิ ธ์ิดจุ พธิ ีกรรม ทางศาสนา การทา้ พธิ นี ีเ้ ป็นที่ยอมรับในสงั คม การเชดิ หนังวายังจึงถูกน้ามาใชโ้ ดยบคุ คลส้าคญั ซ่ึงทา้ ตนเปน็ ส่ือกลางรับจ้างอัญเชญิ วิญญาณ รวมทั้งการแสดงเรื่องราวท่ีเกย่ี วกบั ปรัชญาและศลี ธรรมอกี ด้วย มผี ู้สันนษิ ฐาน วา่ ค้าวา่ “วายงั ” มีววิ ัฒนาการมาจากคา้ เกา่ ของชวา คือ “วาหโ์ ย” ซ่งึ แปลวา่ การปรากฏใหเ้ หน็ ซึง่ การดลใจ ทางวญิ ญาณ ต่อเม่ืออารยธรรมฮินดูเขา้ มาสเู่ กาะชวาแลว้ นน้ั วายงั จงึ ได้พัฒนาเป็นศิลปะการแสดงทแี่ ท้จรงิ ไดร้ บั การ ปรบั ปรุงจนเปน็ ศลิ ปะช้นั สงู มบี นั ทึกในหลักฐานทางประวัตศิ าสตรว์ ่าในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 11 วายัง ปรู ์วาเป็น การแสดงที่แพรห่ ลายมากโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในราชวงั ต่างๆ บนเกาะชวา นอกจากน้ี วานวรรณกรรมราชสา้ นกั สมัยครสิ ต์ศตวรรษท่ี 11 และ 12 ไดบ้ ันทึกเกย่ี วกับละครวายังวา่ เปน็ ศิลปะการแสดงท่จี ับใจและสรา้ งความ สะเทอื นอารมณไ์ ดอ้ ย่างดเี ย่ยี ม กษตั ริย์หลายพระองค์ทรงอุปถัมภค์ ณะละครวายงั บางพระองคโ์ ปรดใหส้ ร้าง ตัวหุ่นขน้ึ ใหมท่ ้งั ชดุ เพื่อเกบ็ รักษาเปน็ สมบัติของตระกลู วงศศ์ ิลปินผเู้ ชิดห่นุ และพากย์บทบรรยายและบทเจรจา ได้รับการดูแลอปุ ถัมภอ์ ยา่ งดใี นฐานะศิลปนิ เอกประจา้ ราชสา้ นกั กษัตริย์บางพระองคท์ รงสนพระทัยในศลิ ปะ และเทคนิคการแสดงของผเู้ ชิดหนังถึงขนาดฝกึ และออกแสดงดว้ ยพระองค์เอง แม้ว่าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 ชาวมสุ ลิมเขา้ มาปกครองเกาะชวาแล้วกต็ าม แต่ความนยิ มละครวายังมิได้เสื่อมลง เพยี งแตย่ า้ ย ศูนย์กลางความเจริญไปพร้อมกบั การเปลยี่ นที่ตั้งของเมืองหลวงของผปู้ กครองมสุ ลมิ และจนกระท่ังทกุ วนั น้ี ละครวายงั ไดร้ บการยกย่องวา่ เปน็ ศิลปะส้าคัญประจ้าชาติของอินโดนีเซียที่เกา่ แก่ทส่ี ุด 2.ชดิ ของวายัง การแสดงเชดิ ห่นุ เงาหรือวายงั ปรู ว์ าฉบับดัง้ เดิมใช้ห่นุ เชดิ ที่ท้าด้วยหนังสัตว์ จึงเรยี กอีกชื่อว่า “วา ยงั กลู ติ ” (Wayang Gulit) ซง่ึ หมายถึง การเชดิ หนงั เพราะกูลติ แปลว่าหนงั สัตว์ วายัง กูลิตนเี้ ปน็ ศิลปะการแสดงท่งี ดงามและวิจิตรกว่าการแสดงชนิดอน่ื ทง้ั หมด การแสดงนรี้ วมศิลปะหลายด้านไว้ด้วยกนั อาทิ ด้านการประพันธบ์ ทละคร การดนตรี นาฎกรรม ศิลปกรรม ทงั้ ยังสะท้อนความลกึ ซ้ึงในเชิงประวัตศิ าสตร์ การศกึ ษา ปรัชญาศาสนาความลกึ ลับและสัญลกั ษญใ์ นการตคี วามหมาย องคป์ ระกอบสาคญั ของการแสดงวายงั กูลติ มีดงั นี้ ตัวหนงั หรอื ตวั ห่นุ ท่ใี ช้เชิดส่วนใหญแ่ ลว้ ตัวหนังวายัง กูลิต ท้าจากหนังควาย ตัวหนงั ทม่ี ีคุณภาพดีทีส่ ดุ ตอ้ งท้า จากหนังลกู ควาย เพราะสะอาดปราศจากไขมนั จะท้าให้สที ่ีทาตดิ ทนดี วธิ ีการทา้ ตวั หนังน้นั จะต้องนา้ หนังลกู ควายมาเจยี น แล้วฉลเุ ปน็ รูปรา่ งและลวดลาย ใบหนา้ ของตวั หนงั หนด้านข้าง ลา้ ตัวหัน ลักษณะเฉยี ง สว่ นเท้าหนั ดา้ นขา้ งทิศทางเดยี วกันกบั ใบหน้าของตวั หนงั ตวหนงั มีความสูงประมาณ
~ 70 ใบความรู้ เร่อื ง ละครที่ไดร้ บั วฒั นธรรมตะวันตก ในสมัยรชั กาลที่ ๕ วัฒนธรรมทางนาฏศิลป์ของตะวนั ตกไดแ้ พรห่ ลายเข้ามาในประเทศไทย ทา้ ใหเ้ กดิ ละครแบบตา่ งๆ ขึน้ เช่น ละครดกึ ดา้ บรรพ์ ท่กี ลา่ วมาแล้ว แต่ละครดึกดา้ บรรพ์ ยังคงใช้ท่า ร้าของไทยเปน็ หลัก ยงั ถือไดว้ ่าเปน็ นาฏศลิ ปข์ องไทยอย่างสมบูรณ์ ส่วนละครทนี่ า้ แบบของตะวันตก มาใชจ้ รงิ ๆ ก็คือ ละครทไี่ มใ่ ช้ทา่ ร้าเลย ใช้แต่กริ ยิ าท่าทางของคนธรรมดาสามญั ทีเ่ ราปฏิบตั ิกนั อยู่ เทา่ นน้ั เชน่ ละครร้อง ละครพูด ละครพดู สลบั ลา้ และละครสังคตี ละครร้อง ละครรอ้ ง เป็นแบบละครที่พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ์ทรงปรบั ปรุง ข้ึน เป็นละครที่แสดงบนเวที เปลี่ยนฉากไปตามเนื้อเรือ่ ง ด้าเนินเรอ่ื งด้วยการร้องเท่าน้ัน ถ้อยค้าทรี่ ้อง มีทัง้ บอกชือ่ ตวั ละคร บอกกิริยา อารมณ์ของตวั ละคร และเปน็ ค้าพูดของตวั ละคร วธิ ีแสดง ในตอนแรกผ้แู สดงเป็นผหู้ ญงิ ล้วน แต่สมยั หลงั ๆ มา ใหม้ ผี ชู้ ายเป็นตัวตลกได้ การ แสดงบทบาทใช้ทา่ ของคนธรรมดาสามญั ไม่มีการร้า การรอ้ ง ถา้ เป็นบทบอกช่อื ตัวละคร บอกกิริยา หรอื อารมณข์ องตวั ละคร ต้นเสยี งกับลกู คู่เป็นผ้รู ้อง ถา้ บทน้ันเป็นค้าพูดของตัวละคร ผูแ้ สดงตวั นน้ั จะตอ้ งร้องเอง แต่การร้องของตัวละครน้ี ตัวละครจะร้องเฉพาะท่ีเป็นถ้อยคา้ เทา่ นัน้ ส่วนการเอ้ือนที่ เปน็ ทา้ นองติดตอ่ นน้ั ลูกคจู่ ะต้องร้องแทรกเข้ามาให้ การเจรจา เป็นการเจรจาทวนบท คอื พดู เปน็ ใจความเดียวกับบทที่ร้องไปแลว้ โดยมาก แต่ก็มเี จรจาบทอ่ืนๆ บ้าง จะเปน็ การเจรจา อย่างไรกต็ าม ผู้แสดงจะตอ้ งพดู ดว้ ยปฏภิ าณปัญญาของตนเอง ดนตรี ใช้วงป่พี าทย์ไม้นวม บรรเลงประกอบบาง กรณี บางทีกม็ หี นา้ พาทยบ์ ้าง เชน่ โอด เพลงฉง่ิ กบั บรรเลงเวลาปดิ ฉาก และจะต้องมเี ครื่องดนตรี อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ บรรเลงคลอเวลารอ้ งทุกๆ เพลงท่ีเคยใช้ บางทีก็ใช้ไวโอลิน บางทีก็ใช้ออร์แกน หรอื ซออู้ เรอื่ งที่แสดง เปน็ เรือ่ งชีวิตของธรรมดาสามัญชนอย่างนวนิยาย เช่น เรอ่ื งตุ๊กตายอดรัก ขวด แก้วเจียระไน เครอื ฟา้ ของประเสรฐิ อกั ษร (พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระนราธปิ ประพันธพ์ งศ)์ เปน็ ตน้ ละครพูด ในสมัยรชั กาลที่ ๕ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟา้ มหาวชริ าวุธสยามมกฎุ ราชกมุ าร (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ ัว) ทรงส้าเร็จการศึกษาจากยุโรป เสด็จกลบั มาประทับ ณ พระราชวงั สราญรมย์ ไดท้ รงนา้ เอาแบบการแสดงละครของยโุ รปมาแปลงใหเ้ ป็นการแสดงของไทย อย่างหนึ่ง ละครแบบนเ้ี รียกวา่ ละครพดู ละครพดู เปน็ ละครทแ่ี สดงบนเวที เปลยี่ นฉากเป็นสถานท่ี ตามเน้อื เรื่อง การแต่งตวั แต่งตามสภาพเปน็ จรงิ ของเรื่องการด้าเนนิ เร่อื ง ดา้ เนนิ ด้วยค้าพูด และการ ปฏบิ ตั ขิ องตวั ละครการพดู ใช้คา้ พูดอย่างธรรมดาสามัญชน แตอ่ าจเนน้ ในอารมณ์บางอยา่ งใหเ้ ด่นขน้ึ เพอื่ ใหผ้ ูช้ มเข้าใจชัดเจน กิรยิ าทา่ ทาง ใช้กริ ิยาท่าทางอย่างสามญั ชน เร่อื งที่แสดง เปน็ เรอ่ื งชีวิตของ ธรรมดาสามญั ชนอยา่ งนวนิยาย เชน่ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี ๖ เรื่อง หัวใจนกั รบ ชิงนาง เหน็ แก่ ลกู เป็นตน้ ดนตรี ใชว้ งปพ่ี าทย์ไม้นวมบรรเลงเวลาปิดฉากเทา่ น้นั เจา้ อยหู่ ัว พระผู้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดจานวนมาก
~ 71 ละครพูดสลับคา เมอื่ พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั เสดจ็ เถลงิ ถวัลยราชสมบตั ิเปน็ พระมหากษตั ริย์ รชั กาลท่ี ๖ แห่งพระราชวงศ์จักรี พระองค์กย็ งั ทรงโปรดการแสดงละครพูดอยู่ เมื่อทรงวา่ งพระราช กิจ ก็ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพดู เรือ่ งตา่ งๆ และยงั ทรงววิ ฒั นาการละครพดู ใหเ้ ปลยี่ นแปรออกไป อีก พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั ได้ทรงพระราชนพิ นธ์บทรอ้ งขนึ้ ให้ร้องแทรกในการ แสดงละครพูดบางตอน โดยไม่ตดั บทพูดใดๆ ในละครของเดิมออกเลย ในคร้ังแรกทรงเรียกวา่ \"ละคร พูดแกมลา\" ภายหลงั จึงเรยี กว่า \"ละครพูดสลับลา\" ใจความของบทรอ้ งไม่มคี วามสา้ คัญในการ ดา้ เนินเรือ่ งเลย หากตดั บทร้องออกก็คงเป็นละครพูดอยา่ งสมบูรณก์ ารแสดงละครพูดสลับลา้ ทกุ อยา่ ง สถานท่ี ค้าพูด ท่าทาง และการแต่งตวั ตลอดจนลักษณะของเรื่องทีแ่ สดง เหมอื นละครพดู ทัง้ สิ้น เว้นแต่บางตอน ตวั ละครจะต้องร้องเพลงไทยแทรกเข้ามา และแล้วกแ็ สดงเป็นละครพูดไป ตามเดิม เชน่ การแสดงละครพดู สลบั ลา้ เรื่อง ปลอ่ ยแก่ ของนายบวั วเิ ศษกลุ บทร้องพระราชนพิ นธ์ใน รัชกาลท่ี ๖ดนตรี ใชว้ งป่ีพาทยไ์ มน้ วม บรรเลงนา้ และคลอเวลาร้อง กบั เวลาปดิ ฉาก ละครสังคตี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หวั ได้ทรงปรับปรงุ ละครข้นึ อีกแบบหนงึ่ มีท้งั รอ้ งเพลง และพดู ท้งั บทร้องและบทพูดมีความสา้ คญั ในการด้าเนนิ เรื่องดว้ ยกัน จะตดั อยา่ งหนงึ่ อย่างใดออก ไมไ่ ด้ เนือ้ เร่ืองจะขาดตอนไป ละครแบบน้ี ทรงเรยี กว่า \"ละครสังคีต\"วธิ ีแสดง ฉาก กิริยาทา่ ทาง การ พูด และร้อง เหมอื นกบั ละครพูดสลับล้า แต่ในการร้องอาจตอ้ งใส่อารมณ์มากกว่าละครพดู สลบั ล้า และเพลงดนตรีอาจมเี พลงหนา้ พาทย์ เช่น พญาเดนิ รวั แทรกดว้ ย ดนตรี ใชว้ งป่พี าทย์ไมน้ วม บรรเลงน้า และคลอเวลารอ้ ง กับบรรเลงเพลงหนา้ พาทย์ (ถ้ามี) และเวลาปิดฉาก เรอ่ื งที่ แสดง เช่น พระราชนิพนธเ์ รื่องมิกาโด ว่ังต่ี วิวาหพระสมุทร และหนามยอกเอาหนามบง่ ละครแบบท่ี พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อย่หู วั ทรงน้ามาและปรับปรุงเหล่าน้ี สมัยกอ่ นผแู้ สดงเปน็ ผชู้ าย ทั้งส้ิน ภายหลังจึงเปลย่ี นเปน็ ชายจรงิ หญิงแท้ จะเห็นไดว้ ่าค้าวา่ \"นาฏศิลป์\" ซง่ึ แตเ่ ดิม หมายถึงการแสดงต่างๆ ทป่ี ระกอบด้วยการร้า ไม่ ว่าจะเปน็ ระบ้าหรือละครแบบใดนนั้ ไดม้ ีความหมายแผ่กวา้ งออกไปอีก เมอ่ื วัฒนธรรมตะวนั ตกได้ แพร่เข้ามาในเมืองไทย อนั ท้าให้เกิดมลี ะครท่ีใชก้ ริ ยิ าทา่ ทางอยา่ งสามัญชน ซึง่ ไม่มกี ารร้าเลย ดงั นนั้ การแสดงละครร้อง ละครพดู ละครพดู สลับลา้ และละครสงั คีต ที่ไม่มีการรา้ แตเ่ ป็นละครอีก แบบหน่งึ กต็ ้องถือว่าเป็นนาฏศิลป์ดว้ ย ใบความร้ทู ่ี ๑ เรอ่ื งการออกเสียงภาษาอังกฤษ การจะพูดภาษาใดนน้ั ตอ้ งเริ่มตน้ ด้วยการออกเสียงใหถ้ กู ต้องกอ่ นแลว้ จึงหดั พูดเปน็ ประโยค เราเรียน ภาษาองั กฤษมาเปน็ เวลานานแตไ่ ม่ไดเ้ รยี นเพื่อการพูด เราเรยี นเก่ยี วกับการออกเสยี งก็เพยี งเพ่ือให้
~ 72 รู้จกั ภาษาอังกฤษและก็ได้เรียนกันมาโดยถูกตอ้ งเป็นบางสว่ นเทา่ นนั้ เราจะมาเริ่มตน้ การออกเสยี ง อักษร 26 ตวั ให้ถูกต้อง ดงั น้ี A, a ปกตเิ ราจะออกเสยี งว่า เอ การออกเสียงทีถ่ ูกต้อง ออกเสียงวา่ เอ+อิ เพือ่ ไมใ่ หย้ ุ่งยากต่อการ ออกเสยี งให้ท้าดงั นคี้ ือ เหยียดริมฝปี ากออกให้กวา้ ง ออกเสียง เอ แล้วเล่อื นขากรรไกรพร้อมกับลนิ้ สงู ขน้ึ เพ่ือออกเสียง อิ คา้ ใด ๆ ทม่ี อี ักษร a อยู่ด้วยแล้วอ่านออกเสียงอย่างท่ีกลา่ ว เช่นค้าว่า day, way, cake ออกเสยี ง เอ เทา่ น้ันฝร่ังกเ็ ขา้ ใจแต่ไมไ่ ดเ้ ปน็ เสียง ทีเ่ ขาออกเสียงกัน B, b ออกเสียง บี ออกเสยี งสระ อี โดยเหยยี ดริมฝปี ากออกกว้างกวา่ เสยี ง อี ของไทย C, c ออกเสยี ง ซี ออกเสยี งสระ อี โดยเหยียดริมฝีปากออกเชน่ กัน D, d ออกเสยี ง ดี ออกเสยี งสระ อี โดยเหยียดริมฝปี ากออกเช่นกนั E, e ออกเสียง อี ออกเสยี งสระ อี โดยเหยียดรมิ ฝปี ากออกเชน่ กัน F, f ออกเสยี งว่า เอฟ โดยตอนท้ายออกเสียง ฟ โดยใหไ้ ดย้ ินเสยี งลมเสยี ดสรี ะหวา่ งฟนั บนกับริม ฝปี ากลา่ ง ส่วนมากคนไทยจะไม่ออกเสียงพยญั ชนะทา้ ยค้า G, g เราออกเสยี งวา่ จี โดยออกเสียง จ แบบภาษาไทย ถา้ หากจะออกเสยี งให้ถูกต้องแล้วต้อง ดดั แปลงจากเสยี ง จ ภาษาไทยใหเ้ ปน็ เสยี งทฝ่ี รง่ั เขาออกกันดังนีค้ ือ ให้ห่อรมิ ฝีปากเขา้ มาเล็กน้อยและ ทา้ รมิ ฝีปากใหย้ น่ื ออกไปขา้ งหนา้ เลก็ นอ้ ยแลว้ ออกเสยี ง จ ให้แรงกว่าการออกเสียง จ ของไทยแล้วจึง ออกเสียง อี โดยเหยยี ดริมฝีปากออก H, h ปกตเิ ราออกเสยี งว่า เอช ออกเสียง a ดงั ที่กล่าวไปแลว้ คือ เอ+อิ แลว้ ออกเสียง ช เสยี งตอนท้าย ต้องออกเสยี ง ช ให้ชดั เจนแตต่ อ้ งดดั แปลงเสยี ง ช แบบไทย ๆ เป็นเสียง ch ของฝรง่ั คือท้า เช่นเดียวกนั กบั ลกั ษณะการออกเสียง g โดยห่อรมิ ฝปี ากนิดหน่อยและทา้ รมิ ฝีปากใหย้ นื่ ออกไป ขา้ งหนา้ เล็กน้อยแลว้ จึงออกเสียง ช ออกมาให้ค่อนขา้ งแรง เพือ่ ให้ง่ายต่อการออกเสยี งให้ท้าอยา่ ง ออกเสยี ง a แบบทก่ี ลา่ วไปแลว้ และหอ่ ปากเขา้ มาเล็กนอ้ ยและใหย้ ่นื ออกไปเล็กน้องแล้วออกเสยี ง ช แรง ๆ มบี างคนออกเสียงวา่ เฮช จะว่าผิดก็ไม่เชิงเพราะชาว Irish ซึง่ พูดภาษาอังกฤษเหมือนกันออก เสียงแบบนนั้ เพยี งแตไ่ ม่เป็นท่ีนยิ มของคนทั่วไป I, i ปกตเิ ราจะออกเสยี งว่า ไอ ต้องแก้ไขโดยออกเสียงว่า อาย แบบออกเสียง eye คา้ ตา่ ง ๆ ท่เี ราเคย ออกเสยี งวา่ ไอ ให้เปลยี่ นเป็นออกเสยี ง อาย แทน บางคร้งั เสยี ง อาย น้กี ็ส้ันจนฟังแลว้ เหมือนเสียง ไอ เสยี งจะสัน้ หรือยาวเอาไวเ้ รยี นกนั ทหี ลงั ซึ่งขน้ึ กับพยญั ชนะทีต่ ามมา ถ้าออกเสียง I โดด ๆ ก็เปน็ เสียง อาย ไมส่ ั้น ความจริงแล้ว เสียง ไอ ของฝร่ังไมม่ ี มีแตเ่ สียง อาย ยาวหรือส้ัน ตวั อยา่ งการออกเสียงนี้ได้แก่ bicycle, side,
~ 73 direct เสยี ง อายจะสัน้ ในค้าทีม่ เี สียงพยัญชนะเสียงหนักตามเชน่ คา้ ว่า bite, kite, light, life พยญั ชนะเสียงหนักมีอะไรบา้ งแล้วจะกลา่ วในภายหลงั J, j ออกเสียงว่า เจ+อิ การออกเสียงตัว จ ใหอ้ อกเสยี งแบบท่กี ลา่ วตอนออกเสียง จ ของตวั g ( อยา่ ลมื เหยียดรมิ ฝปี ากออกทันทีเมอื่ ออกเสียง จ เสรจ็ เพื่อออกเสยี ง เอ และ อิ ตามมา) K, k ออกเสียงว่า เค+อิ เสยี ง ค ของฝรง่ั ไมเ่ หมอื น ค ของไทย ออกเสยี ง ค ของฝรั่งโดยยกโคนลิน้ ขนึ้ ไปใหย้ นั กบั เพดาน ปลายล้นิ อยู่ตา้่ จะแนใ่ จว่าโคนลิน้ ยันเพดานแลว้ โดยทดลองยกโคนล้ินขึ้นไปแล้ว พยายามอดั ลมขึ้นมา ถา้ ลมออกทางปากไม่ได้ก็แสดงวา่ โคนลนิ้ ยนั เพดานแล้ว เมอ่ื ลมโดนอัดขน้ึ มาแลว้ ใหล้ ดล้นิ ลงแล้วออก เสียง ค ก็จะเปน็ เสยี ง k ของฝร่ัง ( ขณะออกเสียงริมฝปี ากเหยยี ดออกตลอดเวลา ) L, l ปกติออกเสยี งกันว่า แอล ให้เปลยี่ นเป็นออกเสียง เอล โดยริมฝีปากเหยยี ดออกมากกวา่ เอ ของ ไทยซ่งึ ทา้ ให้ฟังแล้วคล้ายเสยี งสระ แอ M, m ออกเสียงวา่ เอ็ม ตอนทา้ ยที่ออกเสียง ม ให้เมม้ ริมฝีปากใหแ้ น่น N, n ออกเสยี งวา่ เอ็น ตอนท้ายท่ีออกเสยี ง น ให้กดปลายล้นิ เข้ากับแนวปุ่มเหงอื กหลังฟันบนใหแ้ น่น O, o ออกเสียงกันว่า โอ เสียงน้ีชาวองั กฤษออกอยา่ งหน่ึง ชาวอเมรกิ นั ออกอีกอยา่ งหนึง่ ชาวองั กฤษ จะออกเสียงเป็นสระประสมโดยออกเสียง เออ+อุ อา้ ปากเลก็ น้อย อย่าเกรง็ รมิ ฝปี ากและลิน้ แลว้ ออก เสยี ง เออ หอ่ รมิ ฝปี ากและให้ริมฝปี ากย่นื ออกไปแล้วออกเสยี ง อุ สว่ นอเมรกิ นั จะออกเสียง โอ+อุ โดย หอ่ รมิ ฝปี ากและใหร้ ิมฝีปากยื่นออกแลว้ ออกเสยี ง โอ ต่อด้วยเสยี ง อุ โดยทส่ี ่วนหลังของลิ้นเล่ือนข้นึ เล็กนอ้ ย อย่าออกเสียง โอ เฉย ๆ P, p ออกเสียงวา่ พี เม้มริมฝีปากให้แน่นแล้วอัดลมขึ้นมาก่อนแล้วจึงเปิดปาก Q, q ออกเสยี งว่า ควิ ตัว ค ออกเสยี งใหเ้ หมือนกบั ท่ีออกเสียงตัว ค ของ k R, r ออกเสียง อา ถา้ เปน็ r ที่ประกอบเปน็ คา้ ให้มว้ นปลายลนิ้ ไปทางด้านหลัง อยา่ ใหป้ ลายลิน้ ตดิ เพดาน ลิน้ จะไมร่ วั เหมือน ร ของภาษาไทย S, s ออกเสียงว่า เอส ใหม้ เี สียงลมพน่ ออกตอนทา้ ยดว้ ย T, t ออกเสียงวา่ ที พน่ ลมออกเสยี ง ท ให้แรงกว่า ท ของไทย U, u ออกเสียงวา่ ยู V, v ออกเสียงว่า วี แต่ ว ของไทยไมใ่ ชเ่ สยี ง V ของฝรั่งให้ออกเสียงโดยนา้ รมิ ฝีปากล่างเข้าไปใตฟ้ นั บนแลว้ เปลง่ เสียงให้เสียงก้องออกจากล้าคอ
~ 74 W, w ใหอ้ อกสียงวา่ ดับ๊ เบิลยู โดยออกเสยี งหนักที่ ด๊บั และออกเสียงเบาและเรว็ ท่ี เบลิ ยู อยา่ ออก เสยี ง ยู ยาวและหนกั เหมือนทอ่ี อกเสียงกัน พยางคแ์ รกออกเสียงหนักและเสยี งจะสงู และยาวกวา่ สอง พยางคต์ ่อไป X , x ออกเสียงว่า เอคซ ตอนท้ายให้มีเสียงลมเสยี ดสีระหวา่ งลิ้นกบั เพดานชว่ งฟันบนดว้ ย Y, y ออกเสยี งวา่ วาย Z, z ออกเสยี งว่า เซด แบบชาวองั กฤษ ชาวอเมริกันออกเสียงวา่ ซี เสยี งน้ีไมม่ ใี นภาษาไทย ตอ้ งออก เสียงโดยให้ก้องจากลา้ คอเป็นเสียงบึง่ จากล้าคอ เอามือแตะท่คี อหอยแล้วออกเสียง ถ้ารสู้ ึกว่าที่กลอ่ ง เสยี งสนั่ กใ็ ชไ้ ด้ ภาษาอังกฤษใช้อักษรละตินเปน็ อักษรหลักในการเขียน และการสะกดคา้ หลายคา้ จะไม่ตรงกับการ อ่านออกเสียง ซ่ึงท้าใหภ้ าษาองั กฤษเปน็ ภาษาทย่ี ากภาษาหนงึ่ ในการเรียน ใบความรู้ที่ ๒ เรอ่ื งการพูดสนทนาทางโทรศพั ท์ การรูจ้ กั ประโยคต่างๆท่ใี ช้ในการสนทนาโตต้ อบหรือติดต่อสื่อสารทางโทรศัพทเ์ ปน็ ทกั ษะ เบ้ืองตน้ ทส่ี ้าคญั สา้ หรบั การน้าไปประยุกต์ใชใ้ นการประกอบอาชพี และการด้าเนินชีวิตประจา้ วัน ตวั อย่างประโยคทใ่ี ช้ในการสนทนาในสถานการณ์ต่างๆ เชน่ Introductions เริ่มการสนทนาทางโทรศัพทด์ ้วยการแนะน้าตวั เอง เชน่ \"Hello, this is Louis Barker. ถ้าผู้ทีโ่ ทรเข้ามาไม่ไดแ้ นะน้าตัวเขา เราสามารถใช้ประโยคค้าถามว่า
~ 75 \"May I ask who's calling, please?\" Asking for someone / Making a request ประโยคทีใ่ ชใ้ นการถามหาคนทึ่ต้องการพูดด้วย เชน่ \"May I speak to Alax Johnson, please?\" หรือถา้ มีเบอร์ต่อแต่ไมท่ ราบช่ือของเจา้ ของเบอร์น้ัน ควรพดู วา่ \"Could I have extension number 635?\" ถอื สายรอหรือโอนสาย \"Please hold\" เปน็ ภาษาทางโทรศัพท์ท่หี มายถงึ \"รอสกั ครู่\" ถา้ transferred (โอนสาย) ไปทเ่ี บอร์ ต่ออ่นื เรามกั จะไดย้ นิ การบอกกล่าววา่ \"Connecting your call...\" หรือ \"Please hold, I'll transfer you.\" แต่ถ้าตดิ ต่อทางธรุ กิจในช่วงเวลาทีย่ งุ่ ๆ เราอาจได้ยินเพยี งค้าบอกสน้ั ๆ ใหถ้ ือสายรอวา่ \"Hello, please hold!\" ก่อนทโ่ี อปะเรเตอรจ์ ะตดั ไปรับสายอ่นื ฝากขอ้ ความ ประโยคทีถ่ ามวา่ จะฝากข้อความไวห้ รือไม่ เช่น \"Would you like to leave a message?\" และประโยคท่ีใชบ้ อกวา่ จะฝากข้อความไว้ เชน่ \"May I leave a message?\" และถ้าตองการให้ติดต่อกลบั กอ็ าจฝากเบอร์โทรศัพท์ของเราไว้ ซ่ึงพูดวา่ call back number ขอให้อกี ฝ่ายพูดช้าลง ในกรณที ี่ฟังไม่เขา้ ใจหรอื ฟงั ไม่ทันสามารถบอกใหอ้ ีกฝ่ายพูดชา้ ลง โดยใช้ประโยค เช่น could you please speak slowly? หรอื อาจขอให้อกี ฝ่ายรู้วา่ เราไมเ่ กง่ ภาษาองั กฤษ อาจใช้คาวา่ \"My English isn't very strong, could you please speak slowly?\" สิ่งทส่ี ้าคัญในการพดู โทรศพั ท์คือการใชค้ ้าและน้าเสียงที่สภุ าพเรียบรอ้ ย เมื่อต้องการขอร้อง ให้ใครท้าอะไรให้ ควรใชค้ า้ ต่อไปนี้ในประโยคดว้ ย ไม่ว่าจะเปน็ 'Could you' และ 'Please' และอย่าลืมจบการสนทนาดว้ ยค้าว่า 'Thank you' และ 'Goodbye'! ตัวอย่างบทสนทนา การพดู โทรศัพท์ ( Talking on the phone ) Roi : Hello. This is 043-851249. Roi, speaking. May I help you ? สวสั ดีครบั ที่น่หี มายเลขศูนย์สีส่ ามแปดหา้ หน่งึ สองส่ีเก้า รอยพดู ครบั ให้ช่วยอะไร ครับ Tom : May I speak to Nida, please? Is she in ? ขอสายคุณนดิ าดว้ ยครบั ไม่ทราบว่าอยู่ไหม Roi : Yes, hold the line a moment, please. I’ll see if she’s in ครับ กรุณาถือสายรอสักครู่ ผมจะดกู ่อนวา่ เขาอยู่ไหม (ครูห่ นง่ึ ต่อมา รอยจึงพดู ต่อ)
~ 76 Oh, she is now talking to someone on another phone ออ้ เขากา้ ลงั พูดอย่อู ีกเครื่องหน่ึงครับ Would you like to tell her to call you back ? จะใหผ้ มบอกเขาโทรกลับไหมครับ Tom : No. Thank you. I’ll call again in a while ไมล่ ะครับ ขอบคุณ ผมจะโทรกลับเองอกี สักครู่ Roi : Would you wish to leave a message for her ? คณุ จะส่ังอะไรถึงหลอ่ นไหมครับ Who shall I say have call ? จะใหผ้ มเรยี นเขาวา่ ใครโทรฯ มาครับ Tom : Tell her that I’m Tom, her old friend. บอกเขาด้วยว่า ผมทอมเป็นเพื่อนเก่า Roi : I will. Bye. แล้วผมจะบอกใหน้ ะครบั สวสั ดีครับ
~ 77 การใช้พจนานุกรมในการอ่านภาษาอังกฤษ ส่วนมากเร่ืองท่ีนักศึกษาอ่านมักจะมีค้าท่ีนักศึกษาไม่เคย ร้จู ักมาก่อนเลยปะปนอยู่ด้วย ตามปรกตินักศึกษาไม่จ้าเป็นต้องเข้าใจค้าทุกๆ ค้าในย่อหน้าใดย่อหน้า หนึ่ง เพื่อท่ีจะเข้าใจสิ่งท่ีผู้เขียนเขียนในย่อหน้านั้นอย่างไรก็ตาม ค้าบางค้าท่ีส้าคัญมาก หากไม่ทราบ ความหมายของค้าน้ัน เม่ืออยู่ในเนื้อความแล้วนักศึกษาก็อาจพลาดใจความส้าคัญของเรื่องราวหรือ เข้าใจเรื่องราวน้ันผิดไป วิธีหนึ่งท่ีจะหาความหมายของค้าที่เข้าใจก็คือ ดูในพจนานุกรม เราเห็นว่า นักศึกษาจ้าเป็นต้องรู้วิธีใช้พจนานุกรมอย่างมีประสิทธิภาพ ดังน้ัน เพอื่ ช่วยให้นิสิตเสริมสร้างทักษะนี้ จึงมีภาคการใช้พจนานุกรมน้ีข้ึน ซึ่งจะสาธิตวิธีใช้พจนานุกรมฉบับ Oxford Advanced Learner’s Dictionary of Current English (OALDCE) เหตทุ ี่เลือกพจนานกุ รมเล่มนี้ ก็เพราะเป็นพจนานุกรมที่ จดั ท้าขึ้นสา้ หรับนักเรยี นต่างประเทศท่ีเรียนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ ระหว่างท่ีเรียนวิชาภาษาอังกฤษ พ้ืนฐานน้ี นักศึกษาจ้าเป็นต้องใช้ OALDCE และโปรดน้าพจนานุกรมฉบับดังกล่าวติดตัวมาด้วยเมื่อ เขา้ เรยี น Alphabetical Order: ตัวอักษรภาษาองั กฤษมี 26 ตวั โดยเรยี งกันตามลา้ ดบั อักษร (alphabetical order) คา้ ใน พจนานกุ รมจะเรียงกันตามล้าดบั ตัวอักษร ยกตัวอย่างเช่น bird ant rat fish eagle cat Alphabetical order ของค้าเหลา่ นค้ี อื ant bird cat eagle fish rat Quizzes Guide Words : ตอนบนสดุ ของพจนานุกรมแต่ละหนา้ จะมีคา้ 2 คา้ พมิ พ์อยคู่ ้าทงั้ สองน้ี เรยี กว่า Guide word ตวั Guide word ชว่ ยให้ท่านหาคา้ ศัพท์ในพจนานุกรมได้เรว็ ขน้ึ Headword a) ข้อมลู เกย่ี วกับ headword ประกอบด้วย
~ 78 1. การออกเสยี งของค้าน้ันๆ ( Pronunciation) 2.หน้าที่ทางไวยกรณ์หรือประเภทของคา้ (Part of Speech) 3. คา้ จา้ กัดความ (Meaning) อยา่ งน้อยท่สี ุดพจนานกุ รมส่วนมาก จะใหข้ ้อมลู ดังกลา่ วส้าหรับ headword แตล่ ะคา้ b) entry ทีใ่ ห้เป็นตวั อยา่ งน้ี มีข้อมลู อื่นรวมอยู่ดว้ ยคือ 1.วลีท่เี ปน็ สา้ นวน (Idiomatic Expression) 2. ค้าอ่นื ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั headword 3. ตวั อย่างการใชค้ ้า (Example) c) พจนานกุ รมฉบบั นีใ้ ชต้ ัวพิมพ์ (Type) ชนดิ ต่างๆ กันเพ่ือใหท้ า่ นหาขอ้ มูลต่างๆ ในแตล่ ะ entry ไดง้ า่ ยข้นึ ตัวพิมพเ์ หล่านีไ้ ด้แก่ 1. ตวั พิมพห์ นา (Bold Type) สา้ หรับ headword และค้าอ่ืนท่เี ก่ียวขอ้ ง ซึ่งมคี ้า จา้ กัดความ อย่ใู น entry 2. ตวั พมิ พ์ธรรมดา (Regular Type) ส้าหรับค้าจ้ากดั ความ (Meaning) 3. ตวั พิมพเ์ อนหนา (Bold Italic Type) ส้าหรบั วลีท่เี ปน็ ส้านวน 4. ตวั พิมพ์เอน (Italic Type) ส้าหรับตัวอย่างการใชค้ า้ Abbreviation (abbrs.) ตามพจนานกุ รม OALDCE ค้า abbriviation หมายถึง shortend form, esp. of a word โปรดสังเกตค้าesp. ในค้าจ้ากัดความ ค้านี้ย่อมาจาก especially abbriviation (abbrs.) คือ ค้า ยอ่ ที่ใช้ในพจนานกุ รมเพอื่ ประหยัดเนื้อท่ี Definition คอื การบอกความหมายของค้าท่ีเราตอ้ งการหา ถอื ว่าเป็นสว่ นทีส่ า้ คญั ปัญหามาก ท่ีสดุ ในการให้ค้าจ้ากัดความ
~ 79 ใบความรเู้ ร่อื ง คา วลี ประโยคการแสดงความร้สู ึกตา่ ง ๆ 1. การกล่าวแสดงความเห็นใจ สา้ นวนท่ใี ชก้ ลา่ วแสดงความเห็นใจในขา่ วรา้ ย เช่น เรือ่ งการตาย หรอื เรื่องไม่ดี ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้ - I’m very sorry to hear that…………………….. (อาม เวริ ซอริ ทู เฮยี แดท................................) ฉันเสียใจด้วยนะที่ไดย้ ินวา่ .................................. - I was very sorry to hear of ……………………. (ไอ วอซ เวริ ซอริ ทู เฮีย เอฟิ ) ฉนั เสียใจด้วยนะท่ีไดย้ ินว่า.................................. การตอบรับการแสดงความเหน็ ใจนั้นมักจะพูดว่า - Thank you for your concern (แธงคก์ ว่ิ ฟอร์ ยัวร์ คันเซิน) ขอบคุณส้าหรบั ความหว่ งใยของคุณ - Thank you . I appreciate it . (แธงค์กิว่ ไอ แอพพรีชเิ อท อิท) 2. การเหน็ ดว้ ย (Agreements) รูปประโยคท่ใี ช้แสดงการเหน็ ดว้ ยมีดังน้ี A : Do you agree with me? (ดู ยู อะกรี วิธ มี?) คณุ เหน็ ดว้ ยกับผมไหมครับ B: Yes, I do. (เยส, ไอ ด)ู เหน็ ดว้ ยครับ C: I agree with you. (ไอ อะกรี วิธ ย)ู ผมเห็นด้วยกบั คุณครับ O.K. That could be the best solution for us. (โอเค. แดท คูด บี เดอะ เบสท์ โซลูชัน ฟอร์ อซั ) ครบั นน่ั อาจจะเป็นทางแก้ปหั าทดี่ ีท่สี ุดสา้ หรับเรา 3. การไมเ่ ห็นดว้ ย (Disagreements) รปู ประโยคท่ใี ชแ้ สดงการไมเ่ หน็ ด้วยมดี ังน้ี Do you agree with me? (ดู ยู อะกรี วธิ ม?ี ) คณุ เหน็ ด้วยกับผมไหมครับ No, I don't. (โน, ไอ โดนท.์ )
~ 80 4. การกล่าวชมเชย เม่ือต้องการกล่าวชมเชย จะใช้สา้ นวนตอ่ ไปน้ี - I like your hair. (ไอ ไลท์ ยัวร์ แฮร์) ฉันชอบทรงผมของคุณ - I really like your hair. (ไอ เรยี วลิ่ ไลท์ ยวั ร์ แฮร์) ฉันชอบทรงผมของคุณจริง ๆ การตอบรับการกล่าวชมเชย อาจพูดได้ดงั น้ี - Thank you very much. (แธงค์กวิ่ เวริ มชั ) ขอบคุณมาก - It’s kind of you to say so. (อทิ ส คาย อ๊อฟ ยู ทู เซ โซ) ไม่มีค้าแปลตรง ๆ เหมือนกบั ขอบคุณแลว้ แตว่ า่ ชมเร่อื งอะไร
~ 81 ใบความร้เู ร่ือง คาศัพท์ทีเ่ กี่ยวข้องกบั การปรงุ อาหาร อาหาร (Food) คาศัพท์เกี่ยวกบั อาหาร (Food) มดี งั นี้ Breakfast อ่านวา่ เบรค เฟิซท แปลวา่ อาหารเชา้ Lunch อ่านว่า ลันซ แปลวา่ อาหารเทยี่ ง Dinnner อา่ นว่า ดินเนอร์ แปลวา่ อาหารค่้า Coffee อ่านว่า คอฟฟี แปลว่า กาแฟ Tea อ่านว่า ที แปลว่า น้าชา Milk อา่ นวา่ มิลค แปลวา่ น้านม Water อ่านวา่ วอเทอร์ แปลว่า น้า Cream อ่านว่า ครีม แปลว่า นมข้ม,ครีม Rice อ่านว่า ไรซ แปลว่า ข้าว Fried Egg อ่านว่า ไฟรด์ เอกส์ แปลวา่ ไขด่ าว Boiled Egg อ่านวา่ บอยลด์ เอกซ์ แปลวา่ ไขต่ ้ม Ouellette อ่านว่า ออม มะลทิ แปลวา่ ไข่เจียว Fish อ่านวา่ ฟชิ แปลวา่ ปลา Shrimp อ่านว่า ชรมิ พ แปลวา่ ก้งุ Prawn อ่านว่า พรอน แปลว่า กงุ้ Crab อา่ นวา่ แครบ แปลว่า ปทู ะเล Pork อา่ นวา่ พอรค์ แปลวา่ เนอ้ื หมู Ham อ่านวา่ แฮม แปลวา่ แฮม (ขาหมูเคม็ ) Beef อา่ นว่า บฟี แปลวา่ เนอ้ื วัว Chicken อา่ นว่า ชคิ เคนิ แปลว่า เนอื้ ไก่ Cornflakes อา่ นวา่ คอรน์ เฟลค แปลว่า เกลด็ ขา้ วโพด Soup อา่ นว่า ซพู แปลวา่ แกงจดื Fried Rice อ่านวา่ ไฟรด์ ไรซ แปลว่า ข้าวผัด Curry อ่านวา่ เคอร์ รี แปลวา่ แกง Ice Cream อา่ นว่า ไอซ ครีม แปลว่า ไอศกรมี Dessert อา่ นวา่ ดิเซริ ท์ แปลว่า ของหวาน Tarte อา่ นว่า ทาร์ท แปลวา่ ขนมทารท์
Cake อ่านว่า ~ 82 แปลว่า ขนมเคก้ Bread อ่านวา่ แปลว่า ขนมปงั Noodle อา่ นวา่ เคค แปลว่า กว๋ ยเต๋ียว เบรด นูด เดลิ
~ 83 ใบความร้กู ารเขียนประวตั ิ Resume สมัครงาน ใบสมัครงานที่ผู้สมัครต้องกรอกตอนที่ไปสมัครงานตามบริษัท ห้างร้านต่าง ๆ นั้น จะมี ลกั ษณะ ต่างๆกนั ในแต่ละแห่ง แต่โดยส่วนรวมแล้วมักจะมีลักษณะที่คลา้ ยคลึงกันแทบทุกแห่ง โดยมี รายละเอียดการกรอกดงั น้ี 1. หลักการเบ้ืองตน้ (How to complete an application form) 1.1 ทา้ ความเข้าใจกฎเกณฑข์ องใบสมัคร (Read clear what the procedures are) เชน่ ให้ เขียนหรือ พิมพห์ รอื ข้อความตอนใดท่ีต้องเขยี นด้วยอักษรตัวพิมพ์ 1.2 ตอบค้าถามในใบสมัครใหค้ รบถ้วน (Complete all questions) ข้อความใดทไ่ี ม่ต้องการกใ็ ห้ ท้า เคร่อื งหมายหรือใสข่ ้อความลงไป 1.3 กรอกใบสมัครให้ดูนา่ สนใจทส่ี ดุ (Make it clean, clear,accurate interesting, and well presented) หมายถงึ เขียนใหส้ ะอาดเรียบร้อยและเลือกเฉพาะประเด็นที่นา่ สนใจมากทส่ี ดุ 1.4 เตรยี มค้าถามท่ีอาจถูกถามจากการกรอก (Prepare to be questioned about what you filled in) เปน็ การเตรยี มค้าอธบิ ายวา่ สงิ่ ที่เรากรอกลงไปนั้น ถ้าต้องการค้าอธบิ ายเพมิ่ เติมจะ อธิบาย เพิม่ เตมิ ไดอ้ ยา่ งไร 1.5 กรอกใบสมัครใหเ้ สร็จโดยเรว็ และรบี สง่ ทนั ที (Complete and submit an application as soon as possible). 2. การกรอกประวัตสิ ่วนตัว (Personal Details) 2.1 การเขียนช่อื เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ทง้ั ชื่อ (Name) และนามสกลุ (Last Name / Surname) โดยใสค่ า้ นา้ หน้าชือ่ ด้วย เช่น Mr.,Mrs., Miss.,Ms., บางแห่งจะให้เขียนทัง้ ภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ ตวั อย่าง Name : Mr. SOMBAT RAKDI (English) NAME : นายสมบตั ิ รักดี (THAI) 2.2 การเขยี นที่อยู่ (Address) ควรเขียนให้ละเอียด การเขยี นชอื่ ทางภมู ศิ าสตร์(Geographical name) นัน้ สามารถเขยี นทบั ศพั ท์ได้เลย เช่น Soi (ซอย)13- Thanon (ถนน-แตค่ ้าวา่ ถนนสามารถใช้คา้ ว่า Road แทนไดเ้ พราะเป็นที่ยอมรบั กนั โดยทั่วไป) Amphoe / khet (อ้าเภอ / เขต) Changwat (จงั หวดั – จะเขยี นนา้ หน้าชอื่ หรอื ไม่
~ 84 ก็ได้ เพราะชือ่ จงั หวัดต่าง ๆ เปน็ ทร่ี จู้ กั กนั ดแี ลว้ ) และอยา่ ลืมใส่รหัสไปรษณยี ์ ตวั อย่าง Present Address 622/151 Soi Suan Luang, Charansanitwong Rd., Khet Bangkoknoi, Bangkok 10700 การเขยี นท่ีอยู่ในบางครง้ั จะมีชอ่ งส้าหรับกรอก 2 ช่องคอื (1) Home Address / Present Residence(ทีอ่ ย่บู า้ น) หรอื อาจใช้ Permanent Address – ทอ่ี ยถู่ าวร คอื ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน (2) Mailing Address หมายถึงท่ีอยทู่ ี่ต้องการให้ติดต่อทางไปรษณีย์ กรณที ี่สถานท่ีอย่เู ปน็ สถานทเี่ ดียวกนั ทั้งสองชอ่ ง ผูส้ มคั รไมจ่ ้าเปน็ ตอ้ งเขียนข้อความซ้ากนั ควร เขยี นวา่ As above หรอื Same as above หมายถึงทอ่ี ยู่เหมือนกบั สถานที่อยูข่ า้ งตน้ 2.3 สถานภาพทางการสมรส (Marital Status) และข้อมลู ส่วนตัวอื่น ๆ(Personal Data) ผูส้ มัครตอ้ งกาเครื่องหมาย / ลงหนา้ ชอ่ งทเี่ ว้นไว้ ตวั อย่าง - Single (โสด) - Married (แตง่ งานแล้ว) - Widowed (เปน็ หม้าย) - Married with no children (แต่งงานแล้วแตย่ ังไม่มบี ุตร) - Divorced (หยา่ ) Separated (แยกทางกัน) ในกรณที แี่ ต่งงานแล้ว จะต้องกรอก Marriage Cert. No ……………………………….. (หมายเลขใบทะเบียนสมรส) Issued at …………………………………………. (ออกใหท้ ่ีอ้าเภอ หรือเขต) Dated Issued ……………………………… (วัน เดือน ปที อี่ อกใบทะเบียนสมรส ) Spouse ………………………………………… (ช่อื คสู่ มรส) - Birthdate (วนั เดอื น ปเี กดิ ) เช่น May 1, 1970 - Birthplace / Nataive Place (สถานที่เกิด) ให้เขียนชื่อจังหวดั ที่เกิด เช่น Pattani - ID Card No. (เลขประจ้าตัวบัตรประชาชน) เชน่ 2 9099 00050 11 6 - Issued at (สถานที่ออกบัตร) เช่น Amphoe Panare, Pattani - Date Issued / Dated (วนั ที่ออกบัตร) เชน่ October 12, 1990 - Expiry date / Valid Until (วันท่บี ตั รหมดอายุ) เช่น October 11, 1996 - Religion (ศาสนา) เชน่ Buddhism / Islam / Catholic / Protestant - Taxpayer’s No. (หมายเลขประจ้าตัวผู้เสียภาษ)ี - Social Security No. (เลขประจา้ ตัวบัตรประกนั สังคม)
~ 85 2.4 สถานภาพทางการทหาร (Military Status) มี 3 สถานภาพคือ - Serving หมายถงึ การอย่ใู นระหว่างรับราชการทหาร เชน่ กา้ ลงั อยใู่ นภาวะเป็นทหารเกณฑ์ - Completed หมายถึง ผา่ นการเกณฑ์ทหารมาแลว้ โดยการเป็นทหารเกณฑ์ - Exempted หมายถงึ ไดร้ ับการยกเว้นโดยการเรียน ร.ด.จบหลักสตู ร หรอื จับฉลากได้ใบดา้ หรือ รา่ งกายไม่ได้ขนาด หรือกา้ ลงั เปน็ นักศกึ ษา ในบางคร้ังเราต้องบอกเหตุผลของการไดร้ บั การยกเวน้ ว่า เปน็ เพราะอะไร (With reason) สามารถบอกไดห้ ลายวธิ ี เช่น - Finished Reserved Officers’ Training Corps Course (R.O.T.C.) (สา้ เรจ็ หลักสตู รรักษา ดนิ แดน) หรือจะใช้ - Finished Military Service Training of Territorial Defence Course (สา้ เรจ็ หลกั สูตรรกั ษา ดนิ แดน - Reserved Status หรอื Reservist (ทหารกองหนนุ ) - Registered Status หรือ Registrant (ทหารกองเกนิ ) - Exempted through Military Drawing Ballot (ผ่านการเกณฑ์ทหาร เพราะจับฉลากได้ใบด้า) - Exempted by Being Undersize (เพราะรา่ งกายไมไ่ ด้ขนาด) by physical disability (เพราะจดุ บกพร่องของรา่ งกาย) by being a student (เพราะเป็นนกั ศกึ ษา)
Search