Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว

ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว

Description: ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์และสัตว

Search

Read the Text Version

1. การเจรญิ เติบโตของสตั ว์ท่ีมีโครงร่างแข็งหมุ้ นอกร่างกาย เช่น แมลง กุ้ง ปู มีการ เจริญเติบโตได้ยาก ดงั นั้นเมือ่ เจริญวยั จะตอ้ งมกี ารสลัดเปลือกเก่าทิง้ ไปทีเ่ รยี กว่า ลอก คราบ (Molting) เพือ่ ใหผ้ ิวร่างกายทีอ่ ่อนนม่ิ เตบิ โตได้แลว้ จึงสรา้ งโครงแข็งหรือเปลอื กมาหมุ้ ใหม่ และ ต่อไปก็จะเจรญิ ด้วยการลอกคราบอกี เปน็ เชน่ นี้เรอ่ื ย ๆ ไป ทาใหล้ กั ษณะเสน้ กราฟการเจรญิ เตบิ โต เป็นรูปขัน้ บันได ซ่งึ เส้นกราฟจะมลี ักษณะเพมิ่ ขึ้นอยา่ งฉบั พลนั เป็นระยะที่สงิ่ มชี ีวติ มีการลอกคราบ และเติบโตข้นึ สลบั กบั การเพม่ิ ข้นึ อยา่ งชา้ ๆ ในบางช่วง กราฟแสดงการเจรญิ เตบิ โตของมวนนา้ ส่วนหอยมโี ครงร่างแข็งหุม้ นอกร่างกายเหมือนกนั แต่ไมต่ ้องลอกคราบ มนั จะสร้างเปลอื ก เพม่ิ ขน้ึ เรือ่ ย ๆ ตวั มันท่อี ยู่ภายในก็จะขยายใหญต่ ามไปด้วย สาหรับแมลง การเจริญเติบโตของแมลงแบง่ ออกได้เป็น 2 พวก ดังน้ี ชนดิ การเจรญิ เติบโตของแมลง ลกั ษณะการเจริญเติบโต 1. ไมม่ ีเมตามอรโ์ ฟซสี (Ametamorphosis) - ไมม่ กี ารเปล่ยี นแปลงรปู รา่ งในการเจริญเติบโต คือ ไข่ (egg)  ตัวออ่ น (young) เหมอื นตัวเต็มวยั แต่เล็กกวา่ ตวั เต็มวยั (adult) ตวั อยา่ งแมลง เชน่ ตัวสองงา่ ม ตัวสามงา่ ม แมลงหาง ดดี วฏั จกั รชีวิตของแมลงสองงา่ ม - มกี ารเปลีย่ นแปลงรูปรา่ งเปน็ ขั้น ๆ ในระหวา่ งกาน เจรญิ เติบโต แมลงทเ่ี จริญเติบโตลกั ษณะน้ี ไดแ้ ก่ 2. มีเมตามอรโ์ ฟซสี (Metamorphosis) แมลงต่าง ๆ ท่นี อกเหนือจากขอ้ 1. 2.1 เมตามอร์โฟซีสแบบ - มีการเปลีย่ นแปลงรูปรา่ งครบ 4 ข้นั คือ สมบรู ณ์ (CompleteMetamophosis) ไข่ (egg)  ตัวออ่ น (larva)  ดกั แด้ (pupa) ตัวเตม็ วัย (adult) ตัวอย่างแมลง เชน่ ผึ้ง ดว้ ง แมลงวนั มด ต่อ แตน ไหม 51

ชนดิ การเจรญิ เตบิ โตของแมลง ลักษณะการเจรญิ เตบิ โต วฏั จักรชวี ติ ของดว้ ง วฏั จักรชีวติ ของแมลงวนั 2.2 เมตามอร์โฟซีสแบบไม่สมบรู ณ์ (Incomplete - มกี ารเปลย่ี นแปลงรูปร่างเพียง 3 ขน้ั คอื Metamorphosis) ไข่ (egg)  ตัวอ่อนในนา้ (naiad)  ตวั เตม็ วยั ตัวอยา่ งแมลง เช่น แมลงปอ ชีปะขาว จง้ิ โจน้ า้ (adult) 2.3 เมตามอร์โฟซสี แบบค่อยเป็นคอ่ ยไป(Gradual วฏั จกั รชีวติ ของแมลงปอ Metamorphosis) ตวั อย่างแมลง เชน่ แมลงสาป จงิ้ หรดี จักจ่ัน เรือด - มกี ารเปลี่ยนแปลงรูปร่างทีละนอ้ ย โดยมีการ มวนต่าง ๆ เปล่ียนแปลงรูปรา่ งเพียง 3 ขั้น คอื ไข่ (egg)  ตัวออ่ นบนบก (nymph)  ตวั เต็ม วัย (adult) วฏั จักรชีวิตของแมลงสาบ 52

2. การเจริญเติบโตของสัตว์ท่ีมโี ครงร่างแขง็ อยู่ภายในร่างกาย มีการเจรญิ เติบโต เช่นเดยี วกับคน โดยมเี ส้นกราฟของการเจรญิ เติบโตเปน็ รปู ตวั เอส (Growth Curve) เช่นเดยี วกนั แต่ ในสัตวค์ ร่งึ บกครง่ึ น้า เช่น กบ คางคก ในระหวา่ งการเจริญเตบิ โตจะมกี ารเปลี่ยนแปลงรูปรา่ ง นั้นกค็ ือ สัตวพ์ วกนจี้ ะมเี มตามอร์โฟซสี ซึง่ จะแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ช่วงชัดเจน คือ ชว่ งทด่ี ารงชวี ติ อยใู่ นน้า และช่วงท่ี ดารงชีวิตอยูบ่ นบกซึ่งมลี าดับขน้ั การเจริญเติบโต คือ ไข่  ลูกอ๊อด  ตัวเตม็ วยั 7.3 ความสัมพนั ธข์ องระบบตา่ ง ๆ ในรา่ งกายสตั ว์ ระบบตา่ ง ๆ ในรา่ งกายของสัตวม์ คี วามสัมพนั ธ์กันทง้ั ทางตรงและทางอ้อม ความสัมพันธข์ องระบบ เหลา่ นท้ี าให้สตั ว์สามารถดารงชวี ติ อยไู่ ด้ แม้วา่ จะอยใู่ นสภาพแวดลอ้ มทีแ่ ตกตา่ งกัน ตวั อยา่ งความสัมพันธข์ องระบบตา่ ง ๆ ในรางกายสตั ว์ ได้แก่ 1. การเคล่อื นท่ขี องสตั ว์ เปน็ สมบตั ทิ ี่สาคญั ท่ีทาให้สัตว์แตกตา่ งจากพชื โดยปรกติสัตว์จะ เคลอ่ื นที่เขา้ หาส่งิ ทีม่ ีประโยชนห์ รือสงิ่ ทีต่ ้องการในการดารงชีวติ เช่น อาหาร ทอ่ี ยู่อาศัยท่ีเหมาะสม การผสมพันธ์ หรอื การเลีย้ งดตู ัวออ่ น แต่จะเคลื่อนหนจี ากสิง่ ทไี่ มต่ อ้ งการหรือเปน็ อันตราย เชน่ ศัตรู หรือผ้ลู ่า การเคลื่อนท่ขี องสตั ว์ไม่วา่ วัตถปุ ระสงค์ใดกต็ าม ถา้ เป็นสัตว์ที่ไมม่ ีกระดกู สนั หลงั จะเคล่อื นที่ ได้ต้องอาศยั การทางานร่วมกันของกลา้ มเนอื้ และระบบประสาท สว่ นสตั วท์ ี่มีกระดูกสันหลงั จะเกดิ จากการทางานร่วมกนั ของระบบกล้ามเนือ้ ระบบโครงกระดูก และระบบประสาท 53

2. การเจรญิ เตบิ โตของสตั วต์ ั้งแตต่ วั ออ่ นจนเป็นตัวเต็มวัย จะตอ้ งอาศัยทกุ ระบบในร่างกาย และระบบต่าง ๆ เหลา่ นจี้ ะต้องทางานประสานสัมพันธก์ ัน จงึ จะทาให้การเจริญเตบิ โตของสัตวเ์ ป็นไป ตามปรกติ เชน่ - ระบบยอ่ ยอาหาร จะเป็นระบบทน่ี าสารอาหารตา่ ง ๆ เข้าสรู่ ่างกาย เพ่ือเป็นวัตถุดิบสาคญั ในการเจริญเติบโต - ระบบหายใจ นากา๊ ซทเ่ี ซลล์ตอ้ งการเขา้ สรู่ า่ งกายและกาจัดก๊าซทเ่ี ซลล์ไม่ต้องการออกนอก รา่ งกาย นอกจากนย้ี ังทาหน้าท่สี ร้างพลงั งานให้แก่เซลล์ ทาให้เซลลส์ ามารถนาไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ - ระบบหมุนเวยี นเลือด นาสารต่าง ๆ ท่มี ปี ระโยชน์ไปยงั เซลลท์ ั่วร่างกาย และนาสารท่เี ซลล์ ไม่ต้องการไปยังอวัยวะขบั ถา่ ยเพื่อกาจดั ออกนอกร่างกาย - ระบบขบั ถ่าย กาจดั ของเสยี ที่เซลล์ไม่ตอ้ งการออกนอกรา่ งกาย - ระบบโครงกระดกู ถา้ เป็นโครงร่างแขง็ ทีอ่ ยู่ภายนอกร่างกาย จะชว่ ยป้องกันอนั ตรายภายใน ไมใ่ ห้ไดร้ ับอันตราย แตถ่ า้ เป็นโครงร่างแข็งท่อี ยภู่ ายใน จะชว่ ยในการเคลอื่ นไหวหรอื เคล่ือนท่ี - ระบบประสาท ทาหนา้ ทค่ี วบคมุ กลไกลการทางานของทกุ ระบบในรา่ งกาย เมือ่ สตั ว์ เจรญิ เตบิ โตเปน็ ตัวเตม็ วัยกพ็ รอ้ มทสี่ ะสบื พันธเ์ุ พือ่ ที่จะเพ่ิมลกู หลาน ทาใหส้ ตั วแ์ ตล่ ะชนิดสามารถ ดารงเผ่าพันธ์ไุ วไ้ ด้ ประเภทพฤติกรรมของสัตว์ พฤติกรรมของสัตวเ์ ปน็ ผลจากการทางานร่วมกนั ระหว่างพันธกุ รรมและสภาพแวดลอ้ ม โดยที่ หนอ่ ยพนั ธกุ รรมจะควบคุมระดับการเจรญิ ของส่วนตา่ งๆ ของสตั ว์ เช่นระบบประสาท ฮอรโ์ มน กลา้ มเนือ้ และอื่นๆ ที่เป็นปัจจยั สาคัญก่อใหเ้ กดิ พฤติกรรมขณะท่ีสภาพแวดล้อมหรอื ประสบการณท์ ี่ สัตว์ได้รบั ในภายหลงั ทาใหพ้ ฤติกรรมเปลย่ี นแปลงไปได้มา กบา้ งน้อยบาง เป็นการยากที่จะตดั สนิ ว่า พันธุกรรมหรอื สภาพแวดลอ้ มมีอิทธิพลตอ่ พฤตกิ รรมมากกวา่ กนั อทิ ธพิ ลของพันธุกรรมจะเห็ นได้ ชัดเจนในสตั ว์ชน้ั ต่ามากกว่าสัตวช์ ้ันสงู ดว้ ยเหตุนนี้ กั วทิ ยาศาสตรท์ ่ีตอ้ งการจะศึกษาพนื้ ฐานทาง ธรรมชาติทแี่ ทจ้ ริงของพฤตกิ รรมจงึ นยิ มศึกษาในสัตวช์ นั้ ต่า โดยท่วั ไปแลว้ การแสดงพฤติกรรมของสัตวใ์ นธรรมชาติมกั เกิดขน้ึ เพือ่ ประโยชนใ์ นการอยรู่ อด ตลอดจนเพือ่ รกั ษาเผ่าพนั ธ์ขุ องตนเอง พฤตกิ รรมที่ถกู จดั ว่ามีแบบแผนทงี่ ่ายที่สุดและทาให้สัตวอ์ ยู่ รอดไดค้ อื การหลกี เลยี่ งที่จะถูกฆ่า ดงั นั้นพฤติกรรมทเ่ี กย่ี วข้องกบั การหลบหลกี หนีศตั รจู ึงแสดงออกได้ อย่างรวดเรว็ อยา่ งไรก็ดเี พือ่ งา่ ยแกก่ ารศึกษาและทาความเข้าใจในทีน่ จี้ ะแบ่งประเภทของพฤติกรรม ออกเปน็ 2 แบบคือ 1. พฤติกรรมทม่ี ีมาแต่กาเนดิ (inherited behavior) 2. พฤติกรรมการเรยี นรู้ (learned behavior) 1.พฤตกิ รรมทมี่ ีมาแต่กาเนิด (Inherited behavior ):: เปน็ พฤตกิ รรมแบบงา่ ยๆ เป็น ลกั ษณะเฉพาะทใี่ ชใ้ นการตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้าชนิดใดชนิดหน่งึ เช่น แสง เสยี ง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี หรอื เหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ เป็นช่วงเวลาทสี่ ม่า เสมอ เช่น กลางวัน กลางคืน นา้ ขึน้ น้าลง ตลอดจน การเปล่ยี นแปลงฤดกู าล ตอบสนองตอ่ การเคลือ่ นไหวเพื่อปรับตาแหน่งท่เี หมาะสม ความสามารถใน การแสดงพฤติกรรมไดม้ าจากพนั ธุกรรมเทา่ นั้น ไมจ่ าเปน็ ต้องเรยี นรูม้ าก่อน มแี บบแผนทแ่ี นน่ อน เฉพาะตวั ส่ิงมชี ีวติ ชนิดเดียวกนั จะแสดงลักษณะเหมือนกันหมด 54

สรุปลักษณะของพฤติกรรมท่มี แี ตก่ าเนิด ไดแ้ ก่ 1. เป็นพฤตกิ รรมง่ายๆทีต่ อบสนองตอ่ สงิ่ เร้าชนิดใดชนดิ หนึ่ง 2. การแสดงพฤตกิ รรมไดม้ าจากพันธุกรรมเทา่ น้ัน ไม่จาเป็นต้องเรียนรู้มาก่อน 3. มแี บบแผนท่แี น่นอนเฉพาะตัว สิ่งมชี วี ติ ชนดิ เดยี วกันจะแสดงลักษณะเหมอื นกนั หมด ชนิดของพฤติกรรมทมี่ ีมาแต่กาเนิด 1. รีเฟล็กซ์ (Reflex) 2. พฤติกรรมแบบรเี ฟล็กซต์ ่อเนอื่ ง (Chain of Reflexes) หรือ สัญชาตญาณ (Instinct) 3. ไคนีซสี (Kinesis) 4. แทกซีส (Taxis) รีเฟลก็ ซ์ (Reflex) พฤตกิ รรมแบบรเี ฟลกซ์ ( Reflex ) เปน็ พฤติกรรมทีส่ ว่ นใดสว่ นหนึง่ ของรา่ งกายตอบสนอง ตอ่ สงิ่ เร้าทม่ี ากระตุ้นอยา่ งรวดเรว็ ทันทที นั ใด พฤตกิ รรมแบบน้มี คี วามสาคญั เพราะชว่ ยใหส้ ิ่งมชี วี ิต รอดพ้นจากอันตรายได้ เชน่ - การกระพริบตาเมอื่ ผงเข้าตา - การยกเทา้ หนีทนั ทเี ม่ือเหยียบหนาม ของแหลม หรอื ของรอ้ น - การไอ การจาม เม่อื มสี ิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทางเดินหายใจ พฤติกรรมแบบรเี ฟลก็ ซต์ อ่ เนอ่ื ง (Chain of Reflexes) เปน็ พฤตกิ รรมท่ปี ระกอบดว้ ยพฤติกรรมยอ่ ยๆ หลายพฤตกิ รรมทเ่ี ปน็ ปฏกิ ริ ยิ ารีเฟล็กซ์ ซง่ึ เกิดข้นึ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งกนั แต่เดิมใช้คาวา่ สัญชาตญาณ ( Instinct ) แตใ่ นปัจจุบนั คาน้ีใช้กนั น้อยมาก ในทางพฤตกิ รรมเพราะมคี วามหมายกว้างเกินไป ซ่ึงอาจรวมไปถึงพฤตกิ รรมท่มี ีมาแต่กาเนดิ ทุกๆแบบ ด้วย สตั วพ์ วกแมลง สตั ว์เล้อื ยคลาน และสตั ว์ปีก จะมพี ฤติกรรมแบบเดน่ ชัด เช่น - การดูดนมของทารก - การสรา้ งรงั ของนกและแมลง - การชักใยของแมงมุม - การกนิ อาหารของสัตว์แตล่ ะชนดิ เชน่ การแทะมะพรา้ วของกระรอก - การเก้ียวพาราสขี องสตั ว์ตา่ งๆ - การฟกั ไข่และเลี้ยงลูกออ่ นของสตั ว์ - การจาศลี และการอพยพย้ายถิน่ ของสตั ว์ 55

พฤตกิ รรมแบบไคนีซิส ( Kinesis ) :: เปน็ พฤติกรรมท่ีตอบสนองตอ่ สิง่ เรา้ ด้วยการเคลอ่ื นทที่ ั้งตวั แบบมีทศิ ทางไมแ่ นน่ อน คอื มี ทิศทางทไ่ี ม่สัมพันธก์ บั ทิศทางของส่งิ เร้า พฤตกิ รรมแบบนีม้ ักพบในสัตว์ไม่มีกระดูกสนั หลังช้ันต่า และ พวกโพรติสต์ ซึ่งมีหนว่ ยรบั ความรสู้ กึ ท่มี ปี ระสิทธิภาพไมด่ ีพอ เชน่ - การเคลอ่ื นทอ่ี อกจากบริเวณท่ีอุณหภูมสิ งู ของพารามเี ซยี ม - การเคลอ่ื นท่ีหนีฟองแกส๊ CO2 ของพารามเี ซียม - การเคลือ่ นทข่ี องตวั กุง้ เตน้ เมื่ออยใู่ นความชนื้ ทแี่ ตกตา่ งกนั พฤติกรรมแบบแทกซิส ( Taxis ) :: เป็นพฤตกิ รรมการเคล่ือนท่ีเข้าหาหรอื หนีจากสิง่ เรา้ อยา่ งมีทศิ ทางที่แน่นอน พฤติกรรมแบบ นมี้ กั พบในส่งิ มีชีวิตท่ีมีหน่วยรับความรู้สกึ ทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพดพี อจะสามารถรับรู้และเปรยี บเทยี บส่ิงเร้า ได้ เชน่ - การเคล่ือนท่เี ข้าหาแสงสว่างของพลานาเรีย - การเคลอ่ื นทข่ี องหนอนแมลงวนั หนแี สง - การเคลอื่ นท่ขี องแมลงเม่าเข้าหาแสง - การเคลอ่ื นที่ของค้างคาวเขา้ หาแหล่งอาหารตามเสียงสะทอ้ น - การบนิ เข้าหาผลไม้สุกของแมลงหวี่ 2.พฤตกิ รรมทเี่ กดิ จากการเรยี นรู้ - เป็นพฤตกิ รรมทเ่ี กิดขึน้ ไมไ่ ด้ ถ้าไม่มีการเรยี นร้มู าก่อน เป็นพฤตกิ รรมทีซ่ ับซอ้ น สตั ว์จะมี พฤตกิ รรมเช่นน้ีได้ตอ้ งมีระบบประสาท สตั ว์ท่มี ีระบบประสาทดีจะเรยี นรไู้ ด้มาก ในสัตวป์ ระเภทดดู นม จะมพี ฤติกรรมแบบน้ีดีท่ีสุด - เป็นพฤติกรรมทเ่ี กิดขึน้ โดยอาศัยประสบการณใ์ นอดีต ซ่งึ เกิดในสตั ว์ท่ีมรี ะบบประสาท ส่วนกลาง สตั ว์พวกแรกสดุ ที่มีพฤตกิ รรมการเรียนรู้คอื หนอนตวั แบนในไฟลัมแพลธเิ ฮลมนิ ติส พฤตกิ รรมท่ีเกดิ จากการเรยี นรู้ สามารถแบง่ ออกได้หลายประการคือ พฤติกรรมการฝังใจ เกดิ ขน้ึ เฉพาะในวยั แรกเกิดและมีการตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้ ทไี่ ด้รับครง้ั แรกสดุ ในชีวติ เชน่ การเดนิ ตามวตั ถทุ ่สี ่งเสียงไดแ้ ละเคลอื่ นทไี่ ด้ของลกู ไก่ ลูกหา่ น ลกู หนู ลกู สุนัข วัว ควาย และลงิ เมอื่ ไดร้ ับสิ่งเร้าคร้ังแรกสุดในชวี ติ แล้ว อาจไม่ตอบสนองทนั ทแี ตอ่ าจตอบสนอง เม่ือถงึ ระยะเวลาทม่ี คี วามพร้อมของรา่ งกาย เชน่ การว่ายนา้ กลับมาว่างไขย่ งั แมน่ ้าเดิมท่ีมันเกิดของปลา แซมมอล โดยส่งิ เร้าทไ่ี ดร้ บั คร้งั แรก คอื กลิ่นของแม่นา้ หรือการบินกลบั มาว่างไข่ของแมลงหว่ีบนพืช ชนิดหนึง่ ทม่ี ันเกดิ โดยกลิ่นของพชื ชนิดนั้นๆ เปน็ สง่ิ เร้าพฤติกรรมการผสมพันธโุ์ ดยการเลือกคู่ผสม พนั ธุ์ทม่ี ันไดส้ ัมผสั ค้นุ เคยต้งั แต่เลก็ ๆ มากกว่านกสปชี สี ์เดยี วกัน พฤตกิ รรมการฝงั ใจ เปน็ พฤตกิ รรมทเี่ กดิ ข้ึนได้ ก็ตอ่ เมอ่ื ส่งิ เร้าน้นั ต้องกระตุ้นในช่วงเวลา จากัดของวัยแรกเกดิ ช่วั ระยะเวลาหนง่ึ เทา่ นัน้ ซ่งึ แรกว่าระยะวิกฤต ซึ่งเมอื่ พ้นระยะนีแ้ ล้วสัตว์จะไม่ แสดงพฤติกรรมนี้อีก แม้จะได้รับสิ่งเรา้ น้ีอกี กต็ าม เช่น ชว่ งระยะวิกฤตของการฝงั ใจตอ่ วัตถทุ ่ีเคลื่อนท่ี ไดข้ องลกู หา่ นหรือสตั ว์ปีกอนื่ ๆ ประมาณ 15 ช่ัวโมง หลังฟักออกจากไข่ ถ้าเกนิ ชว่ งเวลานไ้ี ปแล้ว โอกาสท่จี ะแสดงพฤติกรรมดังกล่าวจะลดน้อยลงไป 56

การฝังใจของลกู สตั ว์ท่ีคิดว่าคนคอื พ่อแม่ของตนจงึ เดนิ ตามพวกเขาตลอดเวลา พฤติกรรมความเคยชิน - เป็นการเรียนรทู้ ่ีงา่ ยท่สี ดุ คอื เปน็ อาการตอบสนองของสัตวท์ ีม่ ีต่อ ตัวกระตุ้น ซ่ึงไมม่ ีความหมายตอ่ การดารงชวี ติ ของมันเลย เช่น สุนขั จ้องมองเห่าเครือ่ งบินในครงั้ แรกที่ มันไดย้ ินเสียงเคร่ืองบินแตเ่ ม่ือมนั ไดย้ นิ ซ้าทุกๆวัน และไม่ไดเ้ กิดผลอะไรกบั ตัวมนั มันกเ็ ลกิ สนใจไป เอง พฤตกิ รรมการเรยี นรอู้ ยา่ งมีเงอื่ นไข -เปน็ การนาสิง่ กระตุ้นชนิดหนึง่ เขา้ ไปแทนท่ีสง่ิ กระตุ้น เดมิ ในการชักนาให้เกดิ การตอบสนองชนิดเดียวกันขน้ึ เช่น ทุกครงั้ ทส่ี ุนัขได้กลน่ิ หรือเห็นอาหารก็จะ น้าลายไหล การเรยี นรู้จะหายไปได้เม่อื หยดุ การใหร้ างวลั พฤตกิ รรมการเรียนรู้โดยการทดลองทาหรอื การลองผิดลองถกู สัตวจ์ ะแสดงพฤตกิ รรมท่ี ตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้าที่เป็นประโยชน์ตอ่ ตัวมันอีกครง้ั ถา้ มีโอกาสทาได้ และจะไม่พยายามแสดง พฤตกิ รรมทตี่ อบสนองต่อสิง่ เร้าทีไ่ ม่เป็นประโยชน์ต่อตัวมัน เช่น การให้ไส้เดือนเลือกเดินไปในกล่อง รูปตัว T ซงึ่ ขา้ งหนา้ โปร่งแสงแต่มีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ และอกี ข้างหนง่ึ มดื และอบั ชน้ื ในตอนแรก ไสเ้ ดอื นจะเลือกเดนิ ทางมดื เพียง 50% เม่อื ให้เดนิ ใหม่พบว่าเลอื กเดนิ ทางมดื เพิ่มขึ้นเป็น 90 % เป็น พฤตกิ รรมทไี่ ม่สามารถหาความสัมพันธ์ระหวา่ งสิง่ เรา้ ได้ ไม่มีแผนการเปน็ ขน้ั ตอนในการแกป้ ัญหา ไม่ สามารถคาดคะเนผลทจ่ี ะเกิดข้ึนได้ ลองทาดกู อ่ นซ่ึงถา้ เกดิ ผลดีก็จะทาตอ่ ไปถ้าเกิดผลเสยี ก็จะลดการ กระทา ดงั นน้ั แรกๆ เปอรเ์ ซน็ ตก์ ระทาถูกและผิดจะพอๆกนั แต่ในครงั้ หลังๆ เปอรเ์ ซ็นต์ กระทาถูก และผิดจะพอๆกัน แต่ในครงั้ หลังๆ เปอร์เซน็ ต์ถกู จะสงู ขึ้นเปอร์เซ็นต์ผดิ จะลดลง การทดลองทาหรือการลองผดิ ลองถูก พฤติกรรมการเรยี นรแู้ บบใชเ้ หตุผล ( Reasoning ) เปน็ พฤติกรรมที่แสดงออกโดยใช้สติปญั ญาในการแกป้ ัญหาต่างๆ โดยไมต่ อ้ งทดลองทา ซง่ึ เปน็ การใช้ประสบการณห์ ลายอยา่ งในอดีตมาชว่ ยในการแก้ปัญหาสถานการณ์ใหมใ่ นครั้งแรก เช่น - การทดลองของโคเลอร์ ( W. Kohler ) เกย่ี วกบั การแก้ปัญหาของลงิ ชมิ แพนซี - การใชเ้ หตผุ ลของคนในการแก้ปญั หาตา่ งๆ เป็นพฤติกรรมทเ่ี กิดขึ้นไดโ้ ดยอาศัยประสบการณ์หรือการเรยี นรขู้ องสัตว์ พฤติกรรมแบบส่วน นีส้ ่วนใหญ่พบในสัตว์ช้นั สงู ท่มี ีระบบประสาทที่เจริญดี แตใ่ นสัตว์ชั้นตา่ บางชนิดกส็ ามารถแสดง พฤตกิ รรมประเภทนไ้ี ด้ พฤติกรรมประเภทนีส้ ามารถแบ่งย่อยออกเปน็ แบบต่างๆได้ดังนี้ 57

พฤติกรรมการเรยี นรแู้ บบแฮบบิชเู อชัน ( Habituation ) เปน็ พฤติกรรมทีส่ ตั วห์ ยุด ตอบสนองต่อสง่ิ เร้าเดิม แม้จะยังไดร้ บั การกระต้นุ อยู่ เน่ืองจากสตั วเ์ รยี นรแู้ ลว้ ว่าสิ่งเรา้ น้นั ไม่มีผลต่อ การดาเนินชีวติ ของตัวเอง เชน่ - การท่นี กลดอัตราการบินหนหี ุน่ ไล่กา - การเลิกแหงนมองตามเสยี งเครอื่ งบินของสนุ ัขทอ่ี าศยั อย่แู ถวสนามบิน พฤติกรรมการเรยี นรูแ้ บบมเี งื่อนไข ( Conditioning ) เป็นพฤตกิ รรมการตอบสนองสงิ่ เรา้ ท่ี ไมแ่ ท้จรงิ ไดเ้ ชน่ เดยี วกับสงิ่ เร้าทแ่ี ทจ้ ริง เช่น - การทดลองของ อีวาน พาฟลอฟ ( Ivan Pavlov ) นักสรีรวทิ ยาชาวรสั เซยี เป็นการทดลอง วา่ สุนัขหล่ังนา้ ลายเม่อื ได้ยินเสียงกระดง่ิ (สง่ิ เร้าทีไ่ มแ่ ทจ้ ริง) 1. ก่อนการเรียนรู้ ให้อาหาร (สงิ่ เร้าท่ีแทจ้ ริง) สุนขั น้าลายไหล 2. ระหวา่ งการเรยี นรู้ ใหอ้ าหาร (สิ่งเรา้ ท่ีแทจ้ รงิ ) สุนขั น้าลายไหล พรอ้ มสนั่ กระด่ิง (สิง่ เร้าทีไ่ ม่ แท้จรงิ ) 3. หลังการเรียนรู้ ส่ันกระดิง่ (สิ่งเรา้ ที่ไม่แท้จริง) สนุ ัขน้าลายไหล - การฝกึ สัตว์เล้ียงทีบ่ า้ นให้แสนรู้ ฝกึ สัตวไ์ วใ้ ช้งาน ฝกึ สตั วแ์ สดงละคร ล้วนมีพ้ืนฐานมาจาก พฤติกรรมการเรยี นรู้แบบมเี งอื่ นไขทั้งสน้ิ พฤตกิ รรมทางสงั คมของสัตว์ (Social Behavior) พฤตกิ รรมทางสังคมของสตั ว์ (Social Behavior) มกี ารส่อื สารในหลายรูปแบบดงั น้ี 1.การส่อื สารด้วยทา่ ทาง ( Visual Signal ) เปน็ ทา่ ทางที่สตั วแ์ สดงออกมาอาจจะเปน็ แบบ งา่ ยๆ หรืออาจมหี ลายขั้นตอนท่ีสัมพันธก์ นั เชน่ - การแยกเขี้ยวของแมว - การเปล่ียนสีของปลากดั ขณะต่อสกู้ นั - สนุ ขั หางตกเม่ือต่อสแู้ พแ้ ละว่ิงหนี - นกยงู ตัวผู้ราแพนหางขณะเกีย้ วพาราสี นกยงู ตัวเมีย - การเตน้ ระบาของผงึ้ เพื่อบอกแหล่งและปริมาณของอาหาร ถ้าแหลง่ อาหารอยู่ใกล้ จะเตน้ เปน็ รปู วงกลม แตถ่ า้ แหลง่ อาหารอยูไ่ กล จะเต้นคลา้ ยรปู เลขแปด และมกี ารส่ายกน้ ไปมา ด้วย โดยถา้ สา่ ยก้นเร็ว แสดงวา่ ปรมิ าณอาหารมมี าก ภาพ นกยูงตัวผู้ราแพนเพ่อื หาคู่ 58

ภาพ การเก้ียวพาราสขี องงู ภาพ การเตน้ ระบาของผึง้ เพ่ือบอกแหลง่ และปริมาณของอาหาร 59

2. การส่ือสารดว้ ยเสียง ( Sound Signal) เสียงของสตั ว์ทเี่ ปล่งออกมาในแตล่ ะครัง้ จะ แสดงถงึ การตอบสนองส่งิ เรา้ ต่างๆ และสอ่ื ความหมายท่แี ตกตา่ งกนั เช่น - เสียงทท่ี าใหเ้ กิดการรวมกล่มุ เช่น เสียงของนกรอ้ ง ไก่ แกะ และกระรอก - เสยี งเรยี กคู่เพ่ือผสมพันธ์ เชน่ เสยี งร้องของกบและคางคก เสยี งขยับปีกของยุงตัวเมยี เพ่อื เรยี กยงุ ตัวผู้ - เสยี งเตือนภยั เชน่ เสียงรอ้ งของเปด็ นก และเสียงเห่าของสุนัข - เสียงแสดงความโกรธ เช่น เสียงร้องของแมว สนุ ัข และชา้ ง 3. การส่อื สารด้วยการสัมผสั ( Physical Contract ) เปน็ การสื่อสารโดยใชอ้ วยั วะส่วนใด สว่ นหนึ่งสัมผัสกบั สัตวพ์ วกเดียวกันหรอื ต่างพวกกัน เพื่อนกระตนุ้ ให้เกิดพฤตกิ รรมโต้ตอบกนั การ สมั ผัสเปน็ การสือ่ สารทส่ี าคัญอยา่ งหนง่ึ ของสัตว์ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในสตั วเ์ ล้ยี งลกู ด้วยนม การสัมผสั จะเปน็ การถ่ายทอดความรัก และมีสว่ นสาคญั ต่อการพฒั นาของลกู อ่อน ทาใหล้ กเกิดความรสู้ ึกอบอนุ่ และปลอดภยั ตัวอย่างสตั ว์ท่มี ีการสื่อสารดว้ ยวิธนี ้ี ได้แก่ - สนุ ัขเขา้ ไปเลยี ปากสนุ ัขตัวท่ีเหนอื กว่า เพือ่ บ่งบอกถึงความเป็นมิตรหรือออ่ นนอ้ มด้วย - ลิงชมิ แพนซียนื่ มอื ใหล้ ิงตัวท่ีมอี านาจเหนือกว่าจบั ในลกั ษณะหงายมือใหจ้ บั - ลูกนกนางนวลบางชนิดใชจ้ ะงอยปากจกิ ที่จะงอยปากของแมน่ กเพือ่ ขออาหาร 4. การสื่อสารด้วยสารเคมี ( Chemical Signal ) สัตวห์ ลายชนิดใชส้ ารเคมีท่ีเรยี กวา่ ฟโี ร โมน ( Pheromone ) ซึง่ เป็นสารเคมีท่ีสตั วส์ รา้ งข้นึ เมอ่ื หลัง่ ออกมาภายนอกรา่ งกายจะมีผลตอ่ สัตว์ อื่นทเ่ี ปน็ ชนิดเดยี วกัน ทาให้เกดิ พฤติกรรมต่างๆได้ เช่น - ดงึ ดดู เพศตรงขา้ ม เชน่ การท่ีผีเสอ้ื กลางคนื ตัวเมียหล่ังสารเคมอี อกมา เพื่อให้ดึงดูดผเี สือ้ กลางคนื ตัวผู้ท่ีอยหู่ ่างหลายกิโลเมตรใหบ้ นิ มาหาได้ หรือการท่ีชะมดหลั่งสารเคมีที่ดึงดูดเพศตรงขา้ ม ได้ - บอกอาณาเขต เช่น กวางบางชนดิ จะแตะสารเคมกี ับตน้ ไมเ้ พ่อื บอกอาณาเขต และการที่ เสอื ดาวหรอื สุนขั ถ่ายปสั สาวะไว้ในทตี่ า่ งๆ เพอ่ื บอกอาณาเขต - นาทาง เชน่ การหาอาหารของมด มดจะใชป้ ลายทอ้ งแตะที่พืน้ แล้วปลอ่ ยสารเคมอี อกมา เปน็ ระยะๆทาให้มดตวั อืน่ ๆ ตดิ ตามไปยังแหล่งอาหารได้ถกู 60

กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 15 จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. การเคลื่อนที่เข้าหาแสงสว่างของยูกลีนา จดั เปน็ พฤตกิ รรมแบบใด ตอบ................................................................................................................................................ 2. การฟักไขแ่ ละเลี้ยงลูกออ่ นของสัตว์ จัดเปน็ พฤติกรรมแบบใด ตอบ................................................................................................................................................ 3.การเคลอื่ นที่ของแมลงหวเี่ ขา้ หาผลลูกตาลสุก จัดเป็นพฤติกรรมแบบใด ตอบ................................................................................................................................................ 4. การนาช้างมาฝกึ เล่นละครสตั ว์ จดั เป็นพฤติกรรมแบบใด ตอบ................................................................................................................................................ 5. การที่แม่สนุ ขั เลียลกู สุนัข จดั เปน็ พฤตกิ รรมแบบใด ตอบ................................................................................................................................................ 6. ผีเสอื้ กลางคนื ตวั เมียส่งกลิน่ ดึงดูดผีเสอ้ื กลางคืนตวั ผ้ใู ห้เข้ามาหา จดั เป็นพฤตกิ รรมแบบใด ตอบ................................................................................................................................................ 7. ให้นักเรยี นสังเกตพฤติกรรมของสัตวเ์ ลี้ยงท่บี ้านหรอื สตั วท์ ี่นักเรยี นสนใจมากท่ีสุดมา 1 ชนิด แลว้ จดบนั ทกึ พฤตกิ รรมในการใชช้ วี ิตของสตั ว์ ตอบ................................................................................................................................................ ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... 61

แบบฝึกหดั เรื่อง ระบบร่างกายสัตว์ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ 3 รหสั วชิ า ว 22101 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 ครผู สู้ อน ครูเมลดา ยมจินดา ครูสภุ าพร สง่ สกลุ และครอู ภญิ ญา กวดแกว้ คดิ วเิ คราะห์ แลว้ ตอบคาถามต่อไปนใี้ ห้ถกู ต้อง 1.กาหนดอวัยวะในระบบย่อยอาหารของแมลงให้ดงั นี้ ปาก กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ทวารหนัก ลาไส้ คอหอย กระเพาะพักอาหาร 1.1 ทางเดินอาหารสว่ นตน้ ของแมลงมีอวัยวะใดบ้าง ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 1.2 ทางเดินอาหารส่วนทา้ ยของแมลงมีอวัยวะใดบา้ ง ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2.ทางเดนิ อาหารของปลาต่างจากสัตวป์ ระเภทแมลงอยา่ งไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3.สตั ว์ท่มี รี ะบบไหลเวียนเลอื ดแบบวงจรปิดเป็นสัตวป์ ระเภทใด จงเขียนแผนผงั แสดงระบบไหลเวยี น เลือด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 4.หวั ใจสัตว์ประเภทแมลง มีลักษณะอยา่ งไร อยบู่ รเิ วณใด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5.การแลกเปลี่ยนแกส๊ ของแมลงเกดิ ขนึ้ บรเิ วณใด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 6.เลือดในหลอดเลือดทผ่ี า่ นออกมาจากเหงอื กของปลามลี ักษณะอยา่ งไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 62

7.สัตวน์ า้ รบั ออกซิเจนไดอ้ ย่างไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 8.อวัยวะท่ีทาหน้าทคี่ ล้ายปอดของสตั วไ์ มม่ กี ระดูกสันหลังชนั้ สูงและชั้นตา่ เหมือนหรอื ตา่ งกนั อย่างไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 9.อวยั วะขับถา่ ยของหนอนตวั กลมท่ีมีปล้องอยใู่ นบริเวณใด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 10.อวัยวะขับถ่ายของแมลงเรยี กว่าอะไร และของเสียออกมาทางใด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 11.การสบื พนั ธข์ุ องไฮดราอาศยั เพศหรอื ไม่ อย่างไร ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 12.สตั ว์ที่ขยายพันธโ์ุ ดยการงอกใหมม่ อี ะไรบา้ ง ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 13.การสรา้ งรังของนกเป็นพฤติกรรมแบบใด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 14.การท่สี นุ ขั เห็นอาหารแล้วนา้ ลายไหลเป็นพฤตกิ รรมแบบใด ตอบ………………………………………………………………………………………………………………………………………. 63