Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ebook-24

ebook-24

Published by ju_sureerut, 2018-04-18 00:36:22

Description: ebook-24

Search

Read the Text Version

ปที ่ี 37 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มนี าคม 2559 ฉบบั อเิ ล็กทรอนิกส์ 24

ปที ่ี 37 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มีนาคม 2559 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 24 สารบัญบทความ3 ผลการศกึ ษาระบบกรดี แบบ 2 รอยกรีด และระบบกรดี แบบ รอยกรดี เดยี ว กบั ยางพนั ธ์ุ RRIM 600 เป็นระยะเวลา 15 ปีกรดี132 ประสทิ ธภิ าพและวิธกี ารใช้แม่ป๋ยุ ไนโตรเจนบางชนดิ และ กำ�มะถันผง ต่อการปอ้ งกันการติดเช้อื ราโรครากขาวของ ยางพาราในแปลงปลูกใหม่331 ตลาดยางพาราไทย38 การปลกู พืชในกระถางยางลอ้ รถยนตท์ ใี่ ข้แล้ว: ความกังวล ของผบู้ ริโภคต่อสารพษิ ท่มี ีอยูใ่ นตวั ยางล้อภาพปก : แปลงทดลองการกรีดยางแบบ 2 รอยกรีดบนเปลือกงอกใหม่ของยางพันธุ์ RRIM 600

บทบรรณาธิการ ท่ีผ่านมา การทดลองเก่ียวกับการเก็บเก่ียวน้�ำ คือ เปน็ วิธกี ารเปิดกรีดหนา้ ยาง ท้ังสองหน้ากรีด (หนา้ยาง มักเป็นการทดลองที่ไม่ได้ต้ังบนสมมุติฐานทาง กรดี A และ B) โดยหนา้ กรดี แรก เปิดกรีดท่ีรอยกรดี ตำ่�วิชาการอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่แล้วเป็นการศึกษา (80 ซม. จากพน้ื ดนิ ) หนา้ กรีดที่ 2 เปดิ กรีดทีร่ อยกรดี สงูเปรียบเทียบในเรื่องความห่างของช่วงเวลากรีด และ (150 ซม. จากพื้นดิน) ควบคุมระยะห่างระหว่างสองความยาวของรอยกรีด ตลอดจนการใช้หรือไม่ใช้สาร รอยกรดี 75-80 ซม. ท้งั นเ้ี พื่อให้แต่ละหนา้ กรดี มี “Out-เคมีเร่งน้�ำยาง ซ่ึงท้ังหมดเม่ือรวมเข้าด้วยกันเรียกว่า flow area” (พ้ืนท่ีของเปลือกท่ีให้น้�ำยางไหลออกมาในระบบกรีด ผลการศึกษาท่ีออกมาจึงได้ระบบกรีดแบบ ระหว่างการกรดี หน่ึงครง้ั ) แยกออกจากกัน และอยหู่ า่ งรอยกรีดเดียวที่ยังมีประสิทธิภาพไม่สูงสุด เช่น ระบบ กนั พอสมควร หรือเป็นการลดการแก่งแย่งระหวา่ งหนา้กรีดครึ่งล�ำต้น กรีดสองวันเว้นวัน, ระบบกรีดหนึ่งใน กรดี นนั่ เอง สว่ นการกรีด ใช้ระบบกรดี ครึง่ ล�ำตน้ วนั เวน้สามของล�ำต้น กรีดสองวันเว้นวัน และระบบกรีดครึ่ง วัน โดยสลับหน้ากรีด ทั้งน้ีเพ่ือท�ำให้เซลล์ท่อน้�ำยางในล�ำต้น วันเว้นวัน เหล่านี้เป็นต้น ยิ่งระบบกรีดที่ บริเวณรอบๆรอยกรีดมีระยะเวลาสร้างยางขึ้นมาเกษตรกรนยิ มปฏิบัติกนั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ทางภาคใต้ ทดแทนน้�ำยางท่ีถูกกรีดออกไปได้อย่างสมบรูณ์ (ปกติซ่ึงเป็นแหล่งปลูกยางมายาวนานกว่าร้อยปี ก็ต้ังบน ใช้เวลา 48-72 ชั่วโมง) ผลผลิตท่ีได้รับเม่ือเทียบกับสมมุติฐานทางสังคมมากกว่าทางวิชาการ ผลจึงออก ระบบกรีดอ่ืนๆก็เป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง เกษตรกรมาว่า เกษตรกรใช้ระบบกรดี ถเ่ี ป็นส่วนมาก เชน่ ระบบ ทั่วไปสามารถน�ำไปปฏิบัติได้ แต่ส่ิงส�ำคัญท่ีเกิดขึ้นกรีดหนงึ่ ในสามหรอื หนง่ึ ในสองของล�ำต้น โดยกรดี สาม ตลอดระยะเวลา 15 ปี ท่ีท�ำการทดลอง ก็คือได้เรียนรู้วันเว้นหน่ึงวัน และ/หรือกรีดติดต่อกันเกือบทุกวัน เม่ือ ว่า สมมุติฐานทางวิชาการต้ังไว้ เม่ือน�ำปฏิบัติหรือเป็นเช่นนี้อาจกล่าวได้ว่าการเก็บเกี่ยวน�้ำยางของบ้าน พิสูจน์แล้ว ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นไร ต้องหาเหตุผลเรายังได้รับผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ดังน้ัน การศึกษา ทางวิชาการมาอธิบายส่ิงต่างๆที่เกิดข้ึน สิ่งเหล่านี้จะค้นคว้าทดลองเก่ียวกับการเก็บเกี่ยวน�้ำยางเพื่อให้ได้ น�ำไปสู่การปรับปรุงการวางแผนการทดลองในครั้งต่อๆรับผลผลิตมากข้ึนจึงยังคงเป็นสิ่งส�ำคัญที่จะต้อง ไปด�ำเนินการตอ่ ไป แตท่ ัง้ นี้ทั้งนั้นต้องตั้งอยู่บนสมมุติฐาน ต่อเนื่องจากวารสารฉบับที่ผ่านมา (ตุลาคม-ทางวิชาการให้ชัดเจน ดังเช่นบทความผลการศึกษา ธันวาคม 2558) ซึ่งได้น�ำเสนอเรื่องราวเก่ียวกับเร่ืองระบบกรีดแบบ 2 รอยกรีด ซึ่งได้น�ำเสนอใน สถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนักของการระบาดของโรควารสารฉบับนี้ การทดลองดังกล่าวได้น�ำหลักการด้าน ร า ก ข า ว ใ น พ้ื น ท่ี ป ลู ก ย า ง ภ า ค ใ ต ้ ต อ น บ น ข อ งสรรี วทิ ยา และชีวเคมี มาใชส้ นับสนุนงานทดลอง กลา่ ว ประเทศไทย และพื้นท่ีปลูกยางในภาคอ่ืนๆของเจ้าของ สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย บรรณาธิการบริหาร นายพิเชฏฐ์ พร้อมมูลผู้อำ�นวยการสถาบันวิจัยยาง บรรณาธิการ ดร.นภาวรรณ เลขะวิพัฒน์ กองบรรณาธิการนายจุมพฏ สขุ เก้อื , นางปรีดิเ์ ปรม ทัศนกลุ , นางอารมณ์ โรจนส์ ุจติ ร, ดร.กฤษดา สังขส์ งิ ห์ ผจู้ ัดการสื่อส่ิงพิมพ์ นายไพรัตน์ ทรงพานิช ผู้จัดการส่ืออิเล็กทรอนิกส์ นายสมจิตต์ ศิขรินมาศ ผู้ช่วยผู้จัดการส่ืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ นายจักรพงศ์ อมรทรัพย์

ประเทศ ค�ำแนะน�ำเพ่อื ปอ้ งกนั การระบาดของโรคเทา่ ที่ นอกจากบทความทางวิชาการที่ได้จากการมีอยู่ก็คือ ก่อนปลูกยางต้องก�ำจัดตอไม้ รากไม้ออก ศึกษาทดลองจ�ำนวน 2 เร่ืองแล้ว วารสารยางพารายังจากแปลงให้มากที่สุด ไถพลิกดินตากแดดอย่างน้อย ได้จัดหาบทความท่ัวไปอีก 2 เร่ือง เร่ืองแรกเป็นเรื่องที่2-3 ครั้ง และในกรณีของแปลงยางเก่าท่ีเคยมีการ เกษตรกรควรรับรู้ เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงต่อตัวระบาดของโรครากมาก่อน ควรปลูกพืชไร่อายุสั้นก่อน เกษตรกร นั่นก็คือเรื่องของตลาดยางพารา ซึ่งจะเก่ียวปลกู ยาง 1-2 ปี อยา่ งไรก็ตาม การศกึ ษาทดลองเพอื่ หา โยงไปถึงราคายางที่เกษตรกรได้รับ อีกเรื่องหน่ึง เป็นวิธีป้องกันการติดเช้ือราโรครากขาวเพ่ิมเติมจากค�ำ เรื่องใกล้ตัว ส�ำหรับท่านท่ีน�ำล้อยางรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้แนะน�ำเท่าที่มีอยู่ยังนับว่าเป็นสิ่งจ�ำเป็นเมื่อเทียบกับ แล้วมาดัดแปลงเป็นกระถางปลูกพืชกินได้ เม่ือได้อ่านสถานการณ์การระบาดของโรครากขาวท่ีนับวันย่ิง บทความน้ีแล้วคงคลายกังวลเก่ียวกับกับสารพิษท่ีมีอยู่รุนแรงขึ้นเรือ่ ยๆ ซึง่ จากการทดลองครัง้ ล่าสดุ และไดน้ �ำ ในตัวยางลอ้เสนอในวารสารฉบับน้ีได้ให้ข้อสรุปว่า ในการปลูกยาง ฉบับหน้า (เมษายน-มิถุนายน 2559) จะมีในพื้นที่ที่เคยมีโรครากขาวระบาดมาก่อน การเตรียม บทความท่ีน่าสนใจ เพราะต้องรอถึง 4 ปี จงึ จะไดอ้ า่ นแปลงปลูกโดยก�ำจัดตอไม้ รากไม้ ร่วมกับการใช้ปุ๋ย นนั่ ก็คือเร่ือง ค�ำแนะน�ำพนั ธยุ์ าง ปี 2559 และเรอื่ งอ่นื ๆแอมโมเนียมซัลเฟต, ปุ๋ยยูเรีย และ/หรือก�ำมะถันผง ที่น่าสนใจอีกหลายเร่ือง ท่านผู้ใดท่ีไม่ได้รับวารสารผสมดินปลกู และใส่ซ�ำ้ 4 เดอื นต่อครั้ง จ�ำนวน 7 ครงั้ ยางพารา สามารถเข้าไปหาอ่านได้ในเว็บไซต์ของโดยโรยรอบโคนต้นในแนวรศั มที รงพมุ่ ท�ำใหป้ ระสบผล สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย (www.ส�ำเร็จในการป้องกันการติดเช้ือราโรครากขาวของต้น rubberthai.com)ยางในแปลงปลูกใหม่มากยิ่งข้ึน ผลของการศึกษาคร้ังน้ีคงจะออกเป็นค�ำแนะน�ำเพ่ือเผยแพร่ให้เกษตรน�ำไป นภาวรรณ เลขะวิพฒั น์ปฏิบัตเิ พม่ิ เติมจากค�ำแนะน�ำท่มี อี ยเู่ ดมิ ต่อไป บรรณาธกิ าร

3 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559ผลการศกึ ษาระบบกรีดแบบ 2 รอยกรีด และระบบกรีดแบบรอยกรดี เดียว กับยางพันธุ์RRIM 600 เป็นระยะเวลา 15 ปกี รีดพศิ มัย จันทุมา,1 สวา่ งรัตน์ สมนาค,1 Regis Lacote2 และ Eric Gohet31 ศนู ยว์ ิจัยยางฉะเชงิ เทรา สถาบนั วิจัยยาง การยางแหง่ ประเทศไทย2 CIRAD, UPR Tree Crop-Based Systems, HRPP, R&D Building 3rd floor, Kasetsart University3 CIRAD-Persyst Department, Research Unit Performance of Tree Crop-Base System TA B/34, Montpellier F-34000, France สภาวะราคายางตกต่�ำเป็นปัจจัยหน่ึงที่เร่งให้ กรีดยางในพื้นท่ีภาคใต้ 8 จังหวัด ของจิรากร (2542)เกษตรกรกรีดยางถี่ ท�ำให้อายุการให้ผลผลิตสั้นลงและ เกษตรกรนิยมใช้ระบบกรีดถี่เป็นส่วนมากคือ ระบบกรีดผลผลิตรวมตลอดอายุยางตำ่� กวา่ ท่ีควรจะเปน็ วงจรชีวติ หน่ึงในสามของล�ำต้น และกรีดหน่ึงในสองของล�ำต้นหรือวงรอบการปลูกสร้างสวนยางส้ันลงและผลผลิตไม้ โดยกรีดสามวันหยุดหน่ึงวัน มากถึงร้อยละ 54 กรีดยางได้น้อยลง สิ้นเปลืองทางเศรษฐกจิ เพราะต้องลงทนุ ติดต่อกันเกือบทุกวัน ร้อยละ 25 ในขณะที่ระบบกรีดท่ีปลูกสรา้ งสวนยางบ่อย ๆ สถาบันวิจัยยางแนะน�ำ กรีดวันเว้นวัน และกรีดสองวัน ระบบกรีดที่เกษตรกรใช้ส่วนมากเป็นระบบกรีดถี่ เว้นหนึ่งวัน มีเพียงร้อยละ 18 จากการทดลองพบว่าเช่น กรดี 4 วนั หยุด 1 วัน และกรดี 3 วนั หยดุ 1 วัน รว่ ม ผลเสียของการกรีดถ่ีเกินไป คือ รายได้ต่อวันต�่ำ ต้นยางกับรอยกรดี ส้นั (1/3 ของล�ำตน้ ) ท�ำให้ผลผลิตตอ่ ครง้ั กรดี แสดงอาการเปลือกแห้งมากถึง 26.7 เปอร์เซ็นต์ ท�ำให้หรือต่อวันน้อย (โชคชัย, 2541) การกรีดวันเว้นวัน ผลผลิตรวมต�่ำ เปลือกงอกใหม่บาง ผลผลิตลดลงถึง 28ผลผลิตสูงกว่าการกรีดสามวันเว้นวันและกรีดทุกวัน 20- เปอร์เซ็นต์ ความส้ินเปลืองเปลือกมาก อายุการกรีดของ35 เปอร์เซนต์ และการใช้ระบบกรีดถี่หรือระบบกรีด ต้นยางส้นั ลง ( โชคชัย, 2541)หักโหมกับสวนยางท่ีเร่ิมเปิดกรีดใหม่มีผลโดยตรงกับ เม่ือพิจารณาถึงหลักการกรีดยางเพื่อให้น้�ำยางคณุ ภาพไม้ยางภายหลังเมอื่ โคน่ ตน้ ยาง ท�ำให้รายได้จาก มากท่ีสดุ ท�ำความเสยี หายกบั ตน้ ยางนอ้ ยท่ีสุด กรดี ได้การขายไมย้ างลดลง (อารกั ษ,์ 2548) ในระยะเวลานานที่สุด (20-25 ปี) และส้ินเปลืองค่าใช้ เกษตรกรในเขตปลูกยางใหม่ ได้แก่ พื้นที่ภาค จ่ายน้อยท่ีสุด ดังน้ัน ทางศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทราตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ใช้ระบบกรีดตามค�ำ สถาบันวิจัยยาง และสถาบัน CIRAD ได้ร่วมวิจัยหาแนะน�ำของสถาบันวิจัยยาง โดยระบบกรีดยางท่ี ระบบกรีดที่สามารถเพ่ิมผลผลิตสูงข้ึนโดยเฉพาะในระยะเกษตรกรนิยมใช้ ไดแ้ ก่ ระบบกรีดครึ่งล�ำตน้ กรีดสองวนั แรกท่ีเปิดกรีดยาง โดยท่ีไม่ท�ำความเสียหายให้กับต้นเว้นวัน (S/2 d1 2d3) ระบบกรีดหนึ่งในสามของล�ำต้น ยาง มีการน�ำเอาหลกั วิชาการด้านสรรี วทิ ยา ชีวเคมี และกรีดสองวันเว้นวัน (S/3 d1 2d3) และระบบกรีดคร่ึง อ่นื ๆ มาใชส้ นับสนนุ ผลของงานวจิ ยั ระบบกรีดดงั กล่าวล�ำต้น วันเว้นวัน (S/2 d2) มีจ�ำนวนร้อยละ 44.4, 28.5 ไดแ้ ก่ ระบบกรดี 2 รอยกรีด กรีดสลบั หนา้ ต่างระดบั หรือและ 21.9 ตามล�ำดับ ขณะที่การส�ำรวจการใช้แรงงาน Double cut alternative system เรียกสั้นๆว่า Double

4 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559 แบง่ หนา้ กรีดออกเปน็ 3 หนา้ คอื หนา้ A, B และ C กรดี หน้ากรีด A จนหมดเปลือก (ใช้ระยะเวลา 5 ปี) แล้วcut ระบบกรีด 2 รอยกรีด เปน็ วิธีการเปดิ กรดี หนา้ ยาง เปลย่ี นไปกรีดหน้า B กรีดจนหมดเปลอื ก (ใชร้ ะยะเวลา 5ท้ังสองหน้ากรีด โดยหน้ากรีดแรก เปิดกรีดท่ีรอยกรีดต�่ำ ป)ี จากนน้ั เปลี่ยนไปกรีดเปลอื กเดิมที่เหลอื (หน้า C ) ใช้ระดบั ความสงู 80 ซม.จากพนื้ ดิน หน้ากรีดท่ี 2 เปิดกรีดท่ี เวลากรีดจนหมดเปลือก 5 ปี รวมระยะเวลาที่กรีดบนรอยกรดี สูง ระดบั 150 ซม. จากพ้ืนดนิ ควบคมุ ระยะห่าง เปลอื กเดิม 15 ปี (ภาพท่ี 1) ระบบนห้ี น้ากรีดมเี วลาพักระหว่าง 2 รอยกรีด 75-80 ซม. เพื่อลดการแก่งแย่ง เพ่อื สรา้ งนำ�้ ยางชดเชยนาน 48 ช่ัวโมงระหว่างหน้ากรีดยาง และท�ำให้ต้นยางมีเวลาพักในการ 3. ระบบครึง่ ล�ำต้น กรดี วันเว้น 2 วัน รว่ มกับการใช้สร้างน้�ำยาง ซ่ึงปกติต้นยางใช้เวลาในการสร้างน้�ำยาง สารเคมเี รง่ น�ำ้ ยางเอทธฟี อน ความเข้มข้น 2.5% จ�ำนวน48-72 ชวั่ โมง จึงท�ำใหผ้ ลผลติ สงู ขนึ้ (Jacob et al.,1988, 4 ครั้ง/ปี (S/2 d2 ET 2.5%, 4/y)1995; d' Auzac et al., 1997) โดยในชว่ ง 3 ปแี รกของการกรีดยาง การกรีดแบบ 2 รอยกรีด สามารถเพ่ิม เปิดกรีดท่ีระดับความสูง 1.30 เมตร จากพื้นดินผลผลติ สงู กวา่ ระบบกรีดปกติ 25-30 % และผลผลิครวม แบ่งหน้ากรีดออกเป็นสองหน้า คือ หน้า A และ B วิธี5 ปี สามารถเพมิ่ ผลผลติ ได้ 14 % และการกรดี ในช่วง 10 ปฏิบัติในการกรีด และระยะเวลาที่ใช้กรีดในแต่ละหน้าปี ซึ่งเปน็ การกรีดเปลอื กเดิม ระบบ 2 รอยกรดี สามารถ กรดี เป็นเช่นเดียวกับวธิ กี ารท่ี 1 (ภาพที่ 1) แต่หนา้ กรดี มีเพ่ิมผลผลติ ได้ 10 % เวลาพกั เพื่อสร้างนำ้� ยางชดเชยนาน 72 ช่ัวโมง 4. ระบบคร่งึ ล�ำตน้ กรดี วันเวน้ 2 วนั ร่วมกับการใช้ การเปรยี บเทียบระหว่างระบบกรดี สารเคมเี ร่งน�ำ้ ยางเอทธฟี อน ความเข้มขน้ 2.5% จ�ำนวน แบบรอยกรีดเดียว 6 ครง้ั /ปี (S/2 d2 ET 2.5%, 6/y) กบั ระบบกรดี แบบ 2 รอยกรดี วิธีปฏิบัติในการกรีด และระยะเวลาท่ีใช้กรีดใน แต่ละหน้ากรีด ตลอดจนระยะเวลาพักของหน้ากรีด ด�ำเนินการทดลองที่ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา เหมอื นกับวิธกี ารท่ี 3ระหว่างปี 2542-2558 กับยางพันธุ์ RRIM 600 โดย 5. ระบบครึ่งล�ำตน้ กรดี วันเวน้ 2 วนั รว่ มกบั การใช้วางแผนการทดลองแบบ Randomized complete สารเคมีเรง่ นำ�้ ยางเอทธฟี อน ความเข้มขน้ 2.5% จ�ำนวนblock (RCB) จ�ำนวน 4 ซ�ำ้ มี 6 วธิ กี าร ดังน้ี 8 คร้งั /ปี (S/2 d2 ET 2.5%, 8/y) 1. ระบบกรีดคร่ึงล�ำต้น กรีดวันเว้นวัน (S/2 d2)(ระบบกรีดท่ีสถาบนั วจิ ยั ยางแนะน�ำ) วิธีปฏิบัติในการกรีด และระยะเวลาที่ใช้กรีดใน เปิดกรีดท่ีระดับความสูง 1.50 เมตร จากพ้ืนดิน แต่ละหน้ากรีด ตลอดจนระยะเวลาพักของหน้ากรีดแบ่งหน้ากรีดออกเป็นสองหน้า คือ หน้า A และ B กรีด เหมอื นกบั วิธีที่ 3หน้ากรีด A จนหมดเปลือก (ใช้ระยะเวลา 5 ปี) แล้ว 6. ระบบกรีดแบบ 2 รอยกรดี (Double cut alter-เปล่ียนไปกรีดหน้าตรงข้าม หรือหน้า B กรีดจนหมด nate tapping system, DCA) กรีดครงึ่ ล�ำตน้ วันเว้นวันเปลือก (ใช้ระยะเวลา 5 ปี) จากน้ันย้อนกลับมากรีดบน กรดี สลับหน้ากนั ทุกครัง้ กรดี รว่ มกบั การใช้สารเคมเี รง่ น�ำ้เปลือกงอกใหม่ (หน้ากรีด A) เป็นระยะเวลา 5 ปี รวม ยางเอทธีฟอน ความเข้มข้น 2.5 % จ�ำนวน 4 คร้ังต่อปีระยะเวลาที่กรดี บนเปลือกเดมิ 10 ปี เปลอื กงอกใหม่ 5 ปี [2xS/2 d4 (t,t) ET 2.5% PA 0.7 (1) 2x4/y]ระบบน้ีหน้ากรีดมีเวลาพักเพื่อสร้างน�้ำยางชดเชยนาน48 ช่วั โมง (ภาพที่ 1) เปิดกรดี หน้ายางทง้ั 2 หน้ากรดี พร้อมกนั หนา้ กรีด 2. ระบบกรีด 1 ใน 3 ของล�ำตน้ กรีดวนั เวน้ วนั รว่ ม A เปดิ กรดี ทีร่ ะดับความสงู 0.80 เมตร จากพน้ื ดิน และกับการใช้สารเคมีเร่งน้�ำยางเอทธีฟอน ความเข้มข้น หน้ากรีด B เปดิ กรีดทีร่ ะดบั ความสงู 1.50 เมตร จากพ้ืน2.5% จ�ำนวน 4 คร้งั /ปี (S/3 d2 ET 2.5%, 4/y) (ระบบ ดิน การกรีดยางใช้ระบบกรีดคร่ึงล�ำต้น กรีดวันเว้นวันกรดี ที่สถาบันวิจัยยางแนะน�ำ) (หน้ากรีดยางมีเวลาพักเพื่อสร้างน้�ำยางชดเชยนาน 72 ชั่วโมง ขบวนการสร้างน�้ำยางเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์) ที่ เปิดกรีดที่ระดับความสูง 1.50 เมตร จากพ้ืนดิน

5 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559 เคมีเร่งนำ้� ยาง 2.5% จ�ำนวน 4 ครงั้ /ปี (S/3 d2 ET2.5% 4/y) (ตารางท่ี 1)หน้ากรีด A เม่ือกรีดหน้าล่างจนหมด (4 ปีกรีด) ปีที่ 5 ผลผลิตเฉลี่ยในช่วงเปลือกงอกใหม่ ปีกรีดที่ 11-เปล่ียนรอยกรีดขึ้นไปกรีดท่ีระดับ 1.50 เมตร กรีดลงมา 15 พบวา่ ระบบกรดี ครง่ึ ล�ำต้น กรดี วันเวน้ 2 วนั ร่วมกบัจนเปลือกเดมิ หมด (ใช้ระยะเวลา 6 ป)ี แล้วกรดี ตอ่ ลงบน การใช้สารเคมเี รง่ น�ำ้ ยาง 2.5% จ�ำนวน 4-8 ครั้ง/ปี (S/2เปลอื กงอกใหม่อกี 4 ปีกรีด จนหมดเปลือก แลว้ เปลีย่ น d3 ET 2.5% 4-8/y) ให้ผลผลิต 48.79-51.77 กรมั /ตน้ /ไปกรีดบนเปลอื กงอกใหมท่ ่รี ะดับ 1.50 เมตร อีก 1 ปี รวม ครั้งกรีด มากกว่าระบบกรีดปกติ กรีดคร่ึงล�ำต้น กรีดวันระยะเวลาที่กรดี บนเปลอื กเดมิ 10 ปี และเปลอื กงอกใหม่ เว้นวนั (S/2 d2) และระบบกรีดแบบ 2 รอยกรีด (DCA)อีก 5 ปี ส�ำหรับหน้ากรีด B เม่ือกรีดจนหมดเปลือกเดิม โดยแสดงความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยส�ำคัญ(10 ปีกรีด) ปีท่ี 11 เปลี่ยนรอยกรีดขึ้นไปกรีดท่ีระดับ (ตารางท่ี 1)1.50 เมตร แล้วกรีดตอ่ ลงบนเปลือกงอกใหม่อีก 5 ปีกรดี ผลผลติ เฉลีย่ ตลอดทั้ง 15 ปีกรดี พบวา่ ระบบกรดีรวมระยะเวลาทกี่ รีดบนเปลือกเดิม 10 ปี และเปลือกงอก ครึ่งล�ำต้น กรดี วันเว้น 2 วัน ร่วมกับการใช้สารเคมีเร่งน้�ำใหมอ่ ีก 5 ปี (ภาพท่ี 1) ยาง 2.5% จ�ำนวน 4-8 ครั้ง/ปี (S/2 d3 ET 2.5% 4-8/y) และระบบกรดี แบบ 2 รอยกรดี (DCA) ให้ผลผลติ 40.63- ผลผลติ เฉลย่ี ตอ่ ครง้ั กรีด 47.85 กรัม/ต้น/ครั้งกรีด มากกว่าระบบกรีดปกติ กรีด ครึ่งล�ำตน้ กรดี วันเวน้ วัน (S/2 d2) และระบบกรดี หนงึ่ ใน ในช่วง10 ปีกรีดแรก พบว่า ระบบกรีดครึ่งล�ำต้น สามของล�ำต้น กรีดวันเว้นวัน ร่วมกับการใช้สารเคมีเร่งกรดี วนั เว้น 2 วนั ร่วมกับการใช้สารเคมเี ร่งน�ำ้ ยาง 2.5% น�้ำยาง 2.5% จ�ำนวน 4 คร้ัง/ปี (S/3 d2 ET2.5% 4/y)จ�ำนวน 4-8 คร้งั /ปี (S/2 d3 ET 2.5% 4-8/y) ระบบกรีด โดยแสดงความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยยส�ำคัญปกติ กรีดครึ่งล�ำต้นกรีด วันเว้นวัน (S/2 d2) และระบบกรีดแบบ 2 รอยกรีด (DCA) ให้ผลผลิตสงู กว่าระบบกรีดหนึ่งในสามของล�ำต้น กรีดวันเว้นวัน ร่วมกับการใช้สารตารางท่ี 1 ผลผลิตเฉล่ีย (กรัม/ตน้ /ครั้งกรดี ) ในปกี รีดท่ี 1-15 ของยางพนั ธุ์ RRIM 600 ที่ศนู ยว์ ิจัยยางฉะเชงิ เทราa ระบบกรีด ปที ่ี 1-10 ปีที่ 11-15 ปที ี่ 1-15 S/2 d2 37.74 ab S/3 d2 ET 2.5% 4/y 32.17 b 35.88 c 37.17 bc S/2 d3 ET 2.5% 4/y 45.58 a 41.47 abc 34.99 c S/2 d3 ET 2.5% 6/y 43.31 a 51.00 a 47.23 a S/2 d3 ET 2.5% 8/y 46.14 a 48.79 ab 44.97 ab DCA 41.34 ab 51.77 a 47.85 a F-test 0.05 38.99 bc 40.63 abc CV (%) 14.7 0.05 0.05 14.3 14.2หมายเหต:ุ - คา่ เฉล่ยี ในคอลมั น์เดียวกันท่ีตามดว้ ยอกั ษรเหมือนกนั ไมแ่ ตกต่างกันทางสถติ ทรี่ ะดบั ความเชือ่ มนั่ 95%โดยวิธี Duncan’Multiple Range Test (DMRT) - คา่ F-test = 0.05 หมายถงึ แตกต่างกนั ทางสถติ ทิ ี่ระดับความเขือ่ มนั่ 95%

6 ฉบับอเิ ล็กทรอนิกส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559 200 200 B A CB A B A B Aความสูงจาก ืพ้นดิน (ซม.) 150 61 11 6 1 15 150 ความสูงจากพื้นดนิ (ซม.) 130 72 12 7 2 26 130 83 13 8 3 61 3 7 100 94 14 9 4 72 4 8 100 80 10 5 15 10 5 83 5 9 80 94 6 10 50 10 5 1 50 7 2 8 3 9 4 10 0 S/2 d2 S/3 d2 S/2 d3 DCA 0 เปลือกเดิม 200 200 150 B A C B A B A B A 150 ความสูงจากพื้นดนิ (ซม.)ความสูงจาก ืพ้น ิดน (ซม.) 11 15 130 11 12 130 100 12 11 13 100 80 13 80 12 14 15 13 11 12 50 14 14 13 50 15 15 14 0 S/2 d2 S/3 d2 S/2 d3 DCA 0 เปลือกงอกใหม่ภาพท่ี 1 แผนผงั หน้ากรีดยางในแตล่ ะปีกรีดของระบบกรดี ต่างๆ ในช่วง 15 ปกี รดี (ตวั เลขบนหน้ากรีดหมายถึงปีกรดี ที่)

7 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559(ตารางที่ 1) มากกว่าระบบกรีดปกตกิ รีดคร่ึงล�ำต้นกรดี วันเว้นวนั (S/2 d2) 9% และโดยภาพรวมของการใช้ระบบกรีดตลอด ผลผลติ ตอ่ ต้นตอ่ ปี 15 ปกี รีด ระบบกรีดแบบ 2 รอยกรีด (DCA) ใหผ้ ลผลิต มากกว่าระบบกรีดปกติ กรีดครึ่งล�ำต้น กรีดวันเว้นวัน ในช่วงปีกรีดที่ 1-10 ระบบกรีดแบบ 2 รอยกรีด (S/2 d2) 9% (ตารางที่ 2)(DCA) และระบบกรดี ปกติ กรีดคร่ึงล�ำตน้ กรดี วนั เวน้ วัน(S/2 d2) ให้ผลผลติ 4.88 และ 4.46 กโิ ลกรมั /ต้น/ปี ตาม องค์ประกอบทางชวี เคมขี องนำ้� ยางล�ำดับ มากกว่าระบบกรีดอ่ืนอย่างมีนัยยส�ำคัญเนื่องจากระบบกรีดดังกล่าวมีจ�ำนวนวันกรีดเฉลี่ย 118 ปีกรีดท่ี 11-15 พบว่า ปริมาณน้�ำตาลซูโครสวัน ในขณะที่ระบบกรดี ครึ่งล�ำตน้ กรดี วันเว้น 2 วนั รว่ ม (5.17-6.50 มิลลิโมล/ลิตร) และค่าอนินทรีย์ฟอสฟอรัสกับการใช้สารเคมีเร่งน้�ำยาง 2.5% จ�ำนวน 4-8 ครั้ง/ปี (21.91-27.23 มิลลิโมล/ลิตร) ของระบบกรีดต่างๆ ไม่(S/2 d3 ET 2.5% 4-8/y) มจี �ำนวนวันกรีดเฉลีย่ 78 วัน/ปี แสดงความแตกต่างทางด้านสถิติ (ตารางที่ 3) แต่ค่าถึงแม้ว่าระบบกรีดหนึ่งในสามของล�ำต้น กรีดวันเว้นวัน ไธออล (Thiols, RHS) ของระบบกรีดแบบ 2 รอยกรีดร่วมกับการใช้สารเคมีเร่งน�้ำยาง 2.5% จ�ำนวน 4 คร้ัง/ปี (DCA) และระบบกรีดคร่ึงล�ำตน้ กรีดวันเวน้ 2 วัน ร่วมกบั(S/3 d2 ET2.5% 4/y) จะมจี �ำนวนวนั กรดี 118 วนั เทา่ กนั การใชส้ ารเคมีเรง่ น้�ำยาง 2.5% จ�ำนวน 4-6 คร้งั /ปี (S/2แต่เนื่องจากมีรอยกรีดสั้นกว่าจึงท�ำให้ผลผลิตต่�ำกว่าวิธี d3 ET 2.5% 4-6/y) มีค่าไธออล 0.27-0.29 มิลลิโมล/การอนื่ (ตารางท่ี 2) ลิตร มากกว่าระบบกรีดอนื่ อย่างมนี ยั ส�ำคัญ ผลผลิตต่อต้นในช่วงปีกรีดที่ 11-15 ระบบกรีดต่างๆ ให้ผลผลิตไม่แสดงความแตกต่างทางสถิติ แต่ระบบกรีดแบบ 2 รอยกรีด (DCA) มีแนวโน้มให้ผลผลิต ตารางท่ี 2 ผลผลิตเฉล่ีย (กิโลกรัม/ตน้ /ป)ี ในปกี รีดที่ 1-15 ของยางพันธุ์ RRIM 600 ท่ศี นู ยว์ ิจัยยางฉะเชิงเทราระบบกรีด จำ�นวนวนั กรีด (วนั ) ปที ่ี 1-10 ปที ี่ 11-15 ปที ี่ 1-15S/2 d2 113 4.46 ab 3.69 4.20S/3 d2 ET 2.5% 4/y 113 3.80 b 4.26 3.95S/2 d3 ET 2.5% 4/y 78 3.71 b 3.63 3.68S/2 d3 ET 2.5% 6/y 78 3.52 b 3.44 3.49S/2 d3 ET 2.5% 8/y 78 3.75 b 3.66 3.72DCA 113 4.88 a 4.01 4.59F-test 0.05 ns nsCV (%) 14.4 14.0 13.8หมายเหตุ: - ค่าเฉลย่ี ในคอลมั นเ์ ดยี วกันที่ตามดว้ ยอักษรเหมอื นกัน ไมแ่ ตกต่างกันทางสถิตท่ีระดบั ความเชื่อมัน่ 95%โดยวิธี Duncan’Multiple Range Test (DMRT) - ค่า F-test = 0.05 หมายถงึ แตกตา่ งกันทางสถติ ทิ ีร่ ะดับความเข่อื มั่น 95%, ns หมายถงึ ไม่แตกตา่ งกันในทางสถิต ิ

8 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559ตารางท่ี 3 ค่าองค์ประกอบทางชีวเคมีของนำ้ �ยาง ปกี รดี ท่ี 11-15 ของยางพนั ธุ์ RRIM 600 ทีศ่ นู ยว์ จิ ยั ยางฉะเชงิ เทรา ระบบกรดี ปริมาณของแขง็ ซโู ครส อนนิ ทรีย์ ไธออลS/2 d2 ทั้งหมด (%) (มลิ ลิโมล/ลิตร) ฟอสฟอรสั (มลิ ลิโมล/ลิตร)S/3 d2 ET 2.5% 4/y (มิลลโิ มล/ลิตร)S/2 d3 ET 2.5% 4/y 0.25 bS/2 d3 ET 2.5% 6/y 47.52 b 5.81 26.90 0.25 bS/2 d3 ET 2.5% 8/y 48.71 b 5.17 21.91 0.27 abDCA 50.10 a 5.87 22.57 0.28 aF-test 51.73 a 5.79 27.23 0.24 bCV (%) 52.13 a 5.99 25.79 0.29 a 47.27 b 6.50 27.23 0.05 0.01 ns ns 8.20 2.77 12.28 12.01 หมายเหตุ: - ค่าเฉล่ยี ในคอลมั น์เดยี วกนั ท่ตี ามด้วยอักษรเหมือนกัน ไม่แตกตา่ งกนั ทางสถติ ิท่ีระดบั ความเชือ่ มนั่ 99 เปอร์เซนต์(คา่ ปรมิ าณของแข็งท้ังหมด) และท่รี ะดบั ความเช่อื มนั่ 95 เปอร์เซนต์ (ค่าไธออล) โดยวิธี Duncan’s Multiple Range Test (DMRT) - คา่ F-test = 0.01 หมายถงึ แตกตา่ งกันในทางสถิติที่ระดบั ความเชื่อมั่น 99%, 0.05 หมายถงึ แตกต่างกนั ในทางสถิติท่ีระดบั ความเชอ่ื ม่ัน 95 %, ns หมายถงึ ไมแ่ ตกต่างกันทางสถิติ อตั ราการเพิม่ ขึ้นของขนาดลำ� ต้น จ�ำนวนต้นแสดงอาการเปลือกแห้ง 19-24% ข้อสังเกต การแสดงอาการเปลือกแห้ง การแสดงอาการเปลือกแห้งของระบบกรีดแบบ 2 รอย และความส้นิ เปล้อื งเปลอื ก กรีด (DCA) ระบบกรีดปกติ กรดี คร่งึ ล�ำต้น กรีดวันเวน้ วนั (S/2 d2) เน่ืองจากรอยกรีดอยู่บนเปลือกใหม่ และ อัตราการเพ่ิมของขนาดเส้นรอบล�ำต้น หลังจาก ส�ำหรับระบบกรีดหนึ่งในสามของล�ำต้น กรีดวันเว้นวัน15 ปีกรีด พบวา่ ทุกระบบกรดี มขี นาดเสน้ รอบล�ำตน้ เพิ่ม ร่วมกับการใช้สารเคมีเร่งน�้ำยาง 2.5% จ�ำนวน 4 ครั้ง/ปีขึ้น 1.18-1.53 ซม./ปี ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (S/3 d2 ET2.5% 4/y) ถึงแม้จะยังคงกรีดเปลือกเดิมแต่(ตารางที่ 4) บริเวณที่กรีดอยู่บนหน้ากรีดท่ี 3 (หรือหน้า C) จึงได้รับ การแสดงอาการเปลือกแห้งของต้นยางหลังจาก ผลกระทบจากภาวะ Island bark คือ ไม่มีเปลือกรอบๆกรีด 14 ปี ทกุ ระบบกรดี แสดงอาการเปลือกแห้ง 12-20 หน้ากรีด มีโอกาสที่ต้นยางแสดงอาการเปลือกแห้งมากเปอรเ์ ซนต์ ในขณะที่ 15 ปีกรดี พบว่า ระบบกรดี แบบ 2 อย่างไรก็ตาม จ�ำนวนต้นแสดงอาการเปลือกแห้งจะรอยกรีด (DCA) ระบบกรีดปกติ กรีดคร่ึงล�ำต้นกรีด วัน เปลี่ยนแปลงตลอดทุกปี ข้ึนอยู่กับหน้ากรีด เปลือกและเว้นวัน (S/2 d2) และระบบกรีด หน่ึงในสามของล�ำต้น รอยกรีด พบว่ามีท้ังแสดงอาการเปลือกแห้งช่ัวคราวและกรีดวันเว้นวัน ร่วมกับการใช้สารเคมีเร่งน�้ำยาง 2.5% เปน็ แบบถาวรจ�ำนวน 4 ครั้ง/ปี (S/3 d2 ET2.5% 4/y) มีจ�ำนวนต้น ความส้นิ เปลอื งเปลอื ก ระบบกรดี แบบ 2 รอยกรดีแสดงอาการเปลือกแห้ง 33-34% ไม่แสดงความแตก (DCA) ท�ำให้ส้ินเปลืองเปลือก 25.6 ซม. มากกว่าระบบต่างกันทางสถิติ แต่มีจ�ำนวนมากกว่า ระบบกรีด คร่ึง กรีดปกติ กรีดครึง่ ล�ำตน้ กรีดวนั เวน้ วัน (S/2 d2) 24% ซ่งึล�ำตน้ กรีดวันเวน้ 2 วนั รว่ มกับการใช้สารเคมเี รง่ นำ้� ยาง การกรีดแบบ 2 รอยกรีด คือ การกรีดแบบกรีดวันเว้น 32.5% จ�ำนวน 4-8 ครง้ั /ปี (S/2 d3 ET 2.5% 4-8/y) โดยมี

9 ฉบับอิเลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559 (Chantuma et al., 2011) ผลงานที่ผ่านมา ระบบกรีด แบบสองรอยกรีดสามารถเพิ่มพื้นที่การสร้างน้�ำยางวนั (d4) นั่นเอง จงึ ท�ำให้สิ้นเปลืองเปลอื กมากกว่ากรีดวนั (latex regeneration area) (Chantuma et al., 2007)เว้นวัน (d2) ระบบกรีดกรีดวันเวน้ สองวัน (d3) ส้ินเปลือง ผลการทดลอง 15 ปี พบว่า ระบบกรีด DCA เพ่มิ ผลผลติเปลือก 16.7-16.9 ซม./ปี น้อยทสี่ ดุ (ตารางท่ี 4) 9% มากกวา่ ระบบกรดี ปกติกรดี ครงึ่ ล�ำต้น กรีดวันเว้นวนั (S/2 d2) วิจารณ์และสรปุ ผล ระบบกรีดแบบ 2 รอยกรดี (DCA) ระบบกรดี ปกติ กรีดคร่ึงล�ำต้น กรีดวันเว้นวัน (S/2 d2) และระบบกรีด เกษตรกรในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นเจ้าของ หนึ่งในสามของล�ำต้น กรีดวันเว้นวัน ร่วมกับการใช้สารสวนยางขนาดเลก็ มีพน้ื ที่กรดี ยางน้อยกวา่ 10 ไร่ จงึ พบ เคมเี ร่งน�้ำยาง 2.5% จ�ำนวน 4 ครงั้ /ปี (S/3 d2 ET2.5%ว่ามกี ารใชร้ ะบบกรีดถ่ี เน่ืองจากไมม่ แี ปลงยางอืน่ ใหก้ รดี 4/y) มจี �ำนวนตน้ แสดงอาการเปลอื กแห้ง 33-34%หมุนเวียนได้ จึงเป็นปัจจัยหน่ึงที่ท�ำให้ได้ผลผลิตต�่ำ ปกี รดี ที่ 1-10 ระบบกรีด S/3 d2 ET 2.5% 4/y ให้เพราะมีช่วงเวลาในการสร้างน�้ำยางชดเชยการกรีดสั้น ผลผลิตน้อยกว่าระบบกรีดปกติ กรีดคร่ึงล�ำต้น กรีดวันปกติช่วงเวลาในการสร้างน�้ำยางชดเชยจะสมบูรณ์ เว้นวัน (S/2 d2) 15% แต่ในปีกรีดที่ 11-15 ระบบกรีดภายใน 48-72 ชั่วโมง หลังจากกรีดยาง (Jacob et S/3 d2 ET 2.5% 4/y ให้ผลผลิตมากกว่าระบบกรดี ปกติal.,1988, 1995; d' Auzac et al., 1997) การใช้ระบบ เน่ืองจากกรีดยางบนหน้ากรีดท่ี 3 ที่เป็นเปลือกเดิม ในกรีดถ่ี เช่น กรีด 2 วันเว้นวัน (2d3) กรีด 3 วันเว้นวัน ขณะที่ระบบกรดี อื่น กรีดบนเปลือกงอกใหม่(3d4) หรือกรีดทุกวันที่ฝนไม่ตก (d1) ท�ำให้ได้ผลผลิต ระบบกรีดคร่งึ ล�ำต้น กรดี วันเว้น 2 วนั ร่วมกบั การต่อพื้นที่สูง (กิโลกรัม/ไร่/ปี) เนื่องจากมีจ�ำนวนวันกรีด ใช้สารเคมเี รง่ น�ำ้ ยาง 2.5% จ�ำนวน 4-8 คร้ัง/ปี (S/2 d3มากน่ันเอง แต่ให้ผลผลิตต่อวันค่อนข้างต่�ำ ความสิ้น ET 2.5% 4-8/y) มจี �ำนวนวันกรีด 78 วนั /ปี จึงเป็นสาเหตุเปลืองเปลือกสูง ท�ำให้กรีดได้ไม่ก่ีปีต้องโค่นยางปลูก ที่ผลผลิตรวมต่อปีต�่ำกว่าระบบกรีดกรีดวันเว้นวัน (d2)ใหม่ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ท�ำให้ต้นทุนการผลิตยางค่อนข้าง ดังน้ัน จึงควรหาวิธีการเพิ่มจ�ำนวนวันกรีด โดยกรีดสงู ชดเชยในวนั กรดี ท่ีมีฝนตก ควรจะเพิม่ จ�ำนวนวนั กรีดเป็น วัตถุประสงค์ของระบบกรีดแบบ 2 รอยกรีด 85-95 วนั /ปี(DCA) กรีด 2 รอยกรีด แต่อยู่คนละหน้ากรีด กรีดสลับกันในแตล่ ะครง้ั กรดี ท�ำใหม้ ีขบวนการสรา้ งนำ�้ ยางชดเชยเกิดขึ้นสมบูรณ์ ท�ำให้ผลผลิตในแต่ละครั้งกรีดเพิ่มข้ึนตารางที่ 4 อตั ราการเพม่ิ ขนาดลำ�ตน้ การแสดงอาการเปลือกแหง้ (TPD) และความสิน้ เปลอื งเปลือก หลังจาก 15 ปกี รดี ของยางพันธ์ุ RRIM 600 ทศี่ ูนยว์ ิจยั ยางฉะเชงิ เทรา ระบบกรดี การเพม่ิ ขนาด TPD (%) TPD (%) ความสิน้ เปลืองS/2 d2 ลำ�ตน้ (ซม./ปี) ปีกรดี ท่ี 14 ปีกรดี ที่ 15 เปลือก (ซม./ปี)S/3 d2 ET 2.5% 4/y S/2 d3 ET 2.5% 4/y 1.44 16 34 20.6S/2 d3 ET 2.5% 6/y 1.53 20 33 21.2S/2 d3 ET 2.5% 8/y 1.37 17 23 16.7DCA 1.24 12 19 16.9 1.35 18 24 16.9 1.18 20 33 25.6

10 ฉบบั อิเล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 Chantuma, P., R. Lacote, A. Leconte and E. Gohet. 2011. An innovative tapping system, the เอกสารอ้างองิ double cut alternative, to improve the yield of Hevea brasiliensis in Thai rubber plantations.จิรากร โกศยั เสว,ี 2542. การส�ำรวจการใชแ้ รงงานกรดี J. Field Crops Research : 416-422. ยาง. การประชุมวิชากายางพารา ปี 2542. D’ Auzac, J., J. L. Jacob, J. C. Prevot, A. Clement,โชคชัย เอนกชัย, 2541. การวิจัยและพัฒนาการกรีด R. Gallois, H. Chrestin, R. Lacote, V. Pujade- ยาง. เร่ืองเสนอที่ประชุมคณะกรรมการวิชาการ Renaud and E. Gohet. 1997. The regulation of และนักวิชาการสถาบันวิจัยยาง ระหว่างวันที่ 7 cis-polyisoprene production (natural rubber) เมษายน 2541 ณ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการ from Hevea Brasiliensis. In: Pandalai, S.G. เกษตร.(เอกสารโรเนียว). (ed.) Recent Research Developments in Plantอารักษ์ จันทุมา, พิชิต สพโชค, พิศมัย จันทมุ า, ศจีรตั น์ Physiology. vol. 1, pp. 273–332. แรมล,ี นภาวรรณ เลขะววิ ฒั น์ และ รัชนี รตั นวงศ.์ Jacob, J. L., E. Serres, J. C. Prevot, R. Lacrotte, A. 2548. การวจิ ัยและพฒั นาระบบการกรดี ยาง และ Vidal, J. M. Eschbach and J. d’Auzac. 1988. สรีรที่เหมาะสมกับการเพ่ิมผลผลิตยาง. ใน: Development of Heva latex diagnosis. รายงานผลการวิจัยเร่ืองเต็ม ประจ�ำปี 2548. Agritrop 12, 97–115. สถาบนั วิจยั ยาง กรมวชิ าการเกษตร. หนา้ 62-74. Jacob, J. L., J. C. Prevot, R. Lacrotte and J. M.Chantuma, P., S. Thanisawanyangkura, P. Kasem- Eschbach.1995. Le diagnostic latex. Planta sap, P. Thaler and E. Gohet. 2007. Increase in tions, Reccherche, Developpement 2(2): 34- carbohydrate status in the wood and bark 37. tissues of Hevea Brasiliensis by double-cut alternative tapping system. Kasetsart J. Nat. Sci. 41: 442–450.



12 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559ประสทิ ธิภาพและวธิ กี ารใชแ้ มป่ ยุ๋ ไนโตรเจนบางชนดิ และกำ�มะถันผง ตอ่ การป้องกนัการตดิ เชอ้ื ราโรครากขาวของยางพาราในแปลงปลกู ใหม่อารมณ์ โรจนส์ จุ ติ ร1 และ สมคิด ดำ�นอ้ ย21 ศูนยว์ จิ ัยยางสรุ าษฎร์ธานี สถาบันวจิ ัยยาง การยางแห่งประเทศไทย2 ศนู ย์วจิ ัยและพฒั นาการเกษตรกระบ่ี ส�ำ นักวจิ ยั และพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 7 กรมวชิ าการเกษตร โรครากของยางพาราที่ส�ำคัญในประเทศไทย มี 3 ได้ส�ำรวจสวนยางในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนท่ีเป็นโรครากชนิดคือ โรครากขาว โรครากน้�ำตาล และโรครากแดง จ�ำนวน 3,340 แปลง เน้อื ทีป่ ลูกประมาณ 56,296 ไร่ มีสาเหตุของโรครากท้ัง 3 ชนิดน้ีเป็นเชื้อราชั้นสูงจ�ำพวก พื้นที่เสียหายจากโรครากท้ังหมด 1,978 ไร่ โดยมีสวนเห็ด พบท�ำความเสียหายในพื้นท่ีปลูกยางทั่วไปในพื้นท่ี ยางเป็นโรครากขาวมากถึง 3,168 แปลง หรือจ�ำนวนรอ้ ยภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างย่ิงโรครากขาว ละ 94.8 คิดเปน็ พ้นื ทเี่ สยี หาย 1,929 ไร่ หรือร้อยละ 3.43สาเหตุจากเช้ือรา Rigidoporus microporus (Sw.) ของพ้ืนท่ีที่พบโรครากท้ังหมด หรือเฉล่ียเสียหายจากโรคOvereem ซึ่งยังพบแพร่ระบาดและท�ำให้เกิดความเสีย รากขาวแปลงละ 0.66 ไร่ หากคิดความเสียหายจากโรคหายทางเศรษฐกิจในพ้ืนที่ท่ีปลูกยางในเขตร้อน ฝนตก รากขาวทั้งภูมิภาคจากฐานข้อมูลที่ส�ำรวจโดยวิธีการสุ่มชุก (tropical regions) ทั้งในทวีปเอเชีย และแอฟริกา ตรวจในปี 2550 คาดว่ามีประมาณ 31,413 ไร่ คิดเป็นได้แก่ประเทศอนิ โดนเี ซีย มาเลเซยี ศรลี ังกา ไทย ไอโวรี- พ้ืนท่ีร้อยละ 0.57 ของพื้นที่ปลูกยางในภาคใต้ตอนบนโคสท์ กานา ไนจีเรยี กาบอง เปน็ ต้น โรครากขาวสามารถ สูญเสียรายได้จากผลผลิตน้�ำยางประมาณ 890 ล้านพบต้นยางเป็นโรคได้ตั้งแต่ 1-2 ปีแรกปลูก ตลอดจนถึง บาทต่อปี และคาดว่าจะท�ำให้เกษตรกรและประเทศสูญยางก่อนโค่น ต้นที่เป็นโรคจะยืนต้นตายและเป็นแหล่ง เสียรายได้จากภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นเป็นปีละมากกว่า 1,000เชื้อแพร่กระจายแก่ต้นยางข้างเคียงทั้งในแถวและ ลา้ นบาท นอกจากสญู เสียผลผลติ นำ้� ยางแลว้ โรครากยงัระหวา่ งแถวตอ่ ไป ท�ำให้จ�ำนวนต้นยางและผลผลิตต่อไร่ ท�ำใหส้ ญู เสยี ตน้ ยางไปแลว้ ประมาณ 2,551,860 ต้น คดิลดลง มีผลท�ำให้สูญเสียรายได้ทั้งจากผลผลิตน้�ำยาง เป็นรายได้ท่ีควรจะได้รับเม่ือโค่นไม่ต่�ำกว่า 2,500 ล้านและต้นยาง นอกจากนี้ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพ่ิมเติมใน บาทการควบคมุ และปอ้ งกันโรคอกี ดว้ ย ปญั หาหลกั ของการระบาดโรค และความล้มเหลว โรครากขาวในประเทศไทยมีแนวโน้มแพร่ขยาย ในการป้องกันก�ำจัดโรค คือการปล่อยปละในการปฏิบัติและระบาดมากข้ึน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ปลูกยาง ตามค�ำแนะน�ำในมาตรการการควบคุมโรคราก ซึ่งวิธีเดิมซึ่งมีการปลูกยางแทนรอบใหม่เพ่ิม ซ่ึงหากปล่อยไว้ การป้องกันควบคุมโรครากในแปลงยางค่อนข้างยุ่งยากจะท�ำให้เกิดความสูญเสียมากข้ึนตามระยะเวลาที่เพ่ิม และค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จึงไม่ได้รับความเอาใจใส่จากขน้ึ ในระหว่างปี 2551-2553 อารมณ์ และคณะ (2554 ข) เกษตรกรเทา่ ทคี่ วร เร่มิ ต้งั แต่ การเตรียมแปลงปลกู โดย

13 ฉบับอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 ตน้ ทีเ่ ปน็ โรค ตน้ ตาย และพื้นทีว่ ่างจ�ำนวน 1,138 ต้น คดิ เป็นพื้นที่เสียหายร้อยละ 45.5 ดินปลูกมีลักษณะเนื้อดินการท�ำความสะอาดแปลงด้วยการขุดเอาตอไม้และเก็บ เป็นดินเหนยี ว (clay)เศษรากไม้ เผาหรอื เอาออกจากแปลงให้มากท่สี ุดซึง่ ตอ้ ง แปลงทดลองท่ี จ. สุราษฎร์ธานี เดิมเป็นแปลงใช้เคร่ืองจักรกลและแรงงานมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิง ปลกู ยางพันธุ์ RRIM 600 และ BPM 24 อายุเมื่อโคน่ 18แปลงยางเก่าทีม่ ีประวตั เิ ป็นโรครากมาก่อน การก�ำจัดตอ ปี มีบรเิ วณทีเ่ ปน็ โรครากขาวขนาดใหญ่ ประมาณ 1.5 ไร่ไม้และเศษรากไม้อาจไม่เพียงพอ ต้องไถพลิกดินเพ่ือ 1 แห่ง และมีบริเวณที่เป็นโรคน้อยกว่า 10-15 ต้นตากแดดหลายครั้ง และจ�ำเป็นต้องปลูกพืชไร่ล้มลุกก่อน กระจายอยู่ท่ัวไป รวมตน้ ท่เี ป็นโรค ตน้ ตาย และพื้นทวี่ า่ งอย่างน้อย 1-2 ปี โดยไม่ปลูกยางพารา เป็นการก�ำจัด จ�ำนวน 599 ต้น คดิ เปน็ พน้ื ที่เสยี หายรอ้ ยละ 37 ดนิ ปลูกและตัดวงจรชีวิตของเชื้อราที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในแปลง มีลักษณะเน้ือดินเป็นดินร่วนปนทราย (sandy loam)ปลูก ท�ำให้เสียเวลาในการปลูกสร้างสวนยาง เกษตรกร เม่ือพิจารณาระดับความอุดมสมบูรณ์จากค่าวิเคราะห์จึงไม่ปฏิบัติ ดังน้ัน จึงต้องด�ำเนินการหาวิธีการป้องกัน ดิน ตามมาตรฐานของกองส�ำรวจดิน (2553) พบว่า มีการติดเชื้อราโรครากที่สะดวก ไม่ยุ่งยากในการปฏิบัติ ปริมาณอินทรียวัตถุต�่ำ เฉล่ีย 1.25% มีระดับความเป็นและมีประสิทธิภาพ จากการศึกษาที่ผ่านมา (อารมณ์ กรด (pH) รุนแรง เฉลี่ย 4.5 มีปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นและคณะ, 2552 และ อารมณ์ และคณะ, 2554 ก) ประโยชน์ต่�ำ เฉลี่ย 5.62 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และมีพบว่าปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0- ปริมาณโพแทสเซียมท่ีเป็นประโยชน์ต่�ำ เฉล่ีย 39.40+24S) และก�ำมะถนั มปี ระสทิ ธิภาพในการปอ้ งกันการ มิลลิกรัม/กิโลกรัม เม่ือพิจารณาความเหมาะสมส�ำหรับติดเช้ือราโรครากขาวของต้นยางได้ แต่ปุ๋ยยูเรีย ปุ๋ย ยางพารา (นุชนารถ, 2554) แล้วปรากฏว่าดินมีอินทรีย-แอมโมเนียมซัลเฟต และก�ำมะถัน ในระยะยาวอาจมี วัตถุระดับความเหมาะสมปานกลาง ความเป็นกรดด่างผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นยางท่ีปลูกใหม่ ดัง ระดับเหมาะสม แต่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมที่เป็นนั้นการศึกษานี้จึงเป็นการศึกษาพัฒนาการใช้ปุ๋ย ประโยชน์ระดบั ตำ่�ไนโตรเจนในช่วงปลูกใหม่ในแปลงปลูกที่มีประวัติเป็นโรครากขาวอย่างรุนแรงมาก่อน โดยเป็นการน�ำผลการ วิธีการทดลองศึ ก ษ า จ า ก ร ะ ดั บ ห ้ อ ง ป ฏิ บั ติ ก า ร แ ล ะ เ รื อ น ท ด ล อ ง(อารมณ์ และคณะ, 2552) และผลการศกึ ษาจากแปลง วางแผนการทดลองแบบ Randomized com-ปลูก (อารมณ์ และคณะ, 2554 ก) มาปรบั ใชใ้ นแปลง plete block (RCB) มี 3 ซ้�ำ 8 กรรมวิธี โดยกรรมวธิ ีท่ี 1-7ปลกู ใหม่ใน จ.กระบี่ และ จ. สุราษฎร์ธานี ทมี่ กี ารระบาด การเตรียมแปลงปลูกโดยตัดโค่นต้นยางและปล่อยตอไว้โรครากขาวอยู่แล้ว เพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่ดี ง่ายต่อการ ในแปลงยาง ส่วนกรรมวิธีที่ 8 เตรียมแปลงปลูกโดยตัดปฏิบัติ ประหยัดและมีประสิทธิภาพ เกษตรกรสามารถ โค่นต้นยาง ขุดตอเดิมออก ไถพลิกหน้าดินในช่วงหน้าน�ำไปใช้เพ่ือป้องกันการเกิดโรครากของยางพาราที่ปลูก แล้ง จ�ำนวน 3 ครง้ั แต่ละครั้งหา่ งกนั 10 วัน และเก็บเศษแทนได้สะดวกต้ังแต่เรม่ิ ปลูกตอ่ ไป รากยางออกจากแปลงปลูก ทุกกรรมวิธี ปลูกแทนด้วย ยางพนั ธ์ุ RRIT 251 ดังน้ี ข้อมลู แปลงทดลอง กรรมวิธีท่ี 1 ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0- 0+24S) อัตรา 200 กรัมต่อต้นต่อคร้ัง ใส่ครั้งแรกตอน ท�ำการศึกษาในแปลงทดลอง 2 แปลง คือ ที่ ปลูกต้นยาง โดยน�ำดินที่ขุดได้จากหลุมปลูกมาผสมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบ่ี อ. เมือง จ. กระบี่ ปุ๋ยและคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วกลบลงในหลุมพร้อมและที่ศูนย์วิจัยยางสุราษฎร์ธานี อ. ท่าชนะ จ. สุราษฏร์ ปลูก ใส่ซ�้ำในอัตราเดิมหลังปลูกทุก 4 เดือน จ�ำนวน 7ธานี ด�ำเนินการทดลองระหว่างปี 2554-2558 คร้ัง โดยโรยรอบล�ำต้นในแนวรัศมีทรงพุ่มแล้วเอาดิน แปลงทดลองที่ จ. กระบ่ี เดิมเป็นแปลงยางพันธุ์ กลบBPM 24 อายุเม่อื โคน่ 18 ปี เป็นโรครากขาวรุนแรง มตี ้นยางตายและเป็นโรครากขาวบริเวณกว้างหลายแห่ง รวม

14 ฉบบั อิเลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559 แต่น้อยกว่ากรรมวิธีที่ 7 ซึ่งมีต้นยางติดเช้ือมากที่สุด ร้อยละ 24.9 อยา่ งมีนัยส�ำคญั ยง่ิ ทางสถติ ิ โดยกรรมวิธที ่ี กรรมวิธที ่ี 2 ใสป่ ยุ๋ แอมโมเนียมซัลเฟต อตั รา 300 2 ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 300 กรัม มีต้นยางติดกรัมต่อต้นต่อคร้ัง ใส่ครั้งแรกตอนปลูกต้นยางและหลัง เช้ือน้อยท่ีสุดร้อยละ 5.4 รองลงมาคือ กรรมวิธีท่ี 1 ปุ๋ยปลูกทกุ 4 เดือน จ�ำนวน 7 ครั้ง เช่นเดียวกบั กรรมวิธีที่ 1 แอมโมเนยี มซัลเฟต อัตรา 200 กรัม, กรรมวธิ ที ี่ 3 ยูเรีย กรรมวธิ ที ี่ 3 ปุ๋ยยเู รียอัตรา (46-0-0) 100 กรัมตอ่ อัตรา 200 กรัม, กรรมวิธีท่ี 4 ยูเรีย อัตรา 300 กรัม,ต้นต่อคร้ัง ใส่ครั้งแรกโดยน�ำดินท่ีขุดได้จากหลุมปลูกมา กรรมวิธีท่ี 5 ก�ำมะถันอัตรา 100 กรัม และกรรมวิธีที่ 6ผสมกับปุ๋ย คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกลบลงในหลุมปลูก ก�ำมะถัน อัตรา 200 กรัม มีต้นยางติดเชื้อร้อยละ 6.2,ท้ิงไว้ 15 วัน แล้วจึงปลูกต้นยาง ใส่ซ�้ำในอัตราเดิมหลัง 6.7, 7.6, 9.3 และ 13.8 ตามล�ำดับ ส่วนกรรมวิธที ี่ 8 มีตน้ปลูกทุก 4 เดอื น จ�ำนวน 7 ครั้ง โดยโรยรอบล�ำตน้ ในแนว ยางติดเช้ือร้อยละ 15.2 แต่ผลวิเคราะห์ทางสถิติพบว่ารศั มที รงพุม่ แลว้ เอาดนิ กลบ ไม่มคี วามแตกต่างอยา่ งมนี ยั ส�ำคัญกบั กรรมวิธีท่ี 7 และ กรรมวธิ ีท่ี 4 ปุ๋ยยูเรียอัตรา 200 กรมั ตอ่ ตน้ ต่อครง้ั กรรมวธิ ีอน่ื ๆ (ตารางท่ี 1)การใส่ปุ๋ยครั้งแรกและหลังปลูกทุก 4 เดือน จ�ำนวน 7 ผลของการใส่ปุ๋ยซ�้ำต่อเนื่องจนครบ 7 คร้ัง ตรวจครั้ง เชน่ เดยี วกบั กรรมวธิ ีที่ 3 สอบเม่อื ตน้ ยางอายุ 2 ปี 6 เดือน พบวา่ มตี น้ ยางติดเชือ้ กรรมวิธีท่ี 5 ก�ำมะถันผง (Sulphur) อัตรา 100 และเปน็ โรคเพิ่มมากข้นึ โดยกรรมวธิ ที ่ี 2 มีต้นยางตดิ เชอ้ืกรัมต่อต้นต่อคร้ัง การใส่ปุ๋ยคร้ังแรกและหลังปลูกทุก 4 รวมตั้งแต่แรกปลูกน้อยท่ีสุดเพียงร้อยละ 7.7 เท่าน้ันเดือน จ�ำนวน 7 คร้ัง เช่นเดยี วกับกรรมวธิ ีที่ 3 ตามด้วยกรรมวธิ ที ่ี 4, 3 และกรรมวิธีท่ี 1 มตี ้นยางติดเช้ือ กรรมวธิ ที ี่ 6 ก�ำมะถันผง อัตรา 200 กรมั ตอ่ ตน้ ครั้ง ร้อยละ 8.0, 11.6 และ 11.9 ตามล�ำดับ ซึ่งไม่แตกต่างการใส่ปุ๋ยคร้ังแรกและหลังปลูกทุก 4 เดือน จ�ำนวน 7 อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติต่อกัน แต่มีความแตกต่างครัง้ เชน่ เดียวกบั กรรมวธิ ที ี่ 3 อย่างมีนัยส�ำคัญย่ิงทางสถิติกับกรรมวิธีท่ี 7 ซ่ึงมีต้นยาง กรรมวธิ ที ่ี 7 กรรมวธิ ีควบคุม (1) ปลูกยางโดยรอง ติดเชื้อรวมมากที่สุดถึงร้อยละ 31.6 ส่วนกรรมวิธีที่ 8ก้นหลุมด้วยปุ๋ยหินฟอสเฟต 170 กรัมต่อต้น และหลัง กรรมวิธีท่ี 5 และกรรมวิธีท่ี 6 มีต้นยางติดเช้ือร้อยละปลูกใส่ปุ๋ยบ�ำรุงอัตราตามค�ำแนะน�ำของสถาบันวิจัยยาง 20.1, 15.6 และ 18.3 ตามล�ำดับ พบว่ามีค่าวิเคราะห์ทุก 4 เดอื น ทางสถติ ิทไ่ี ม่แตกต่างกนั ท้งั กับกรรมวธิ ีท่ี 7, 4, 3 และ 1 กรรมวธิ ที ่ี 8 กรรมวิธีควบคุม (2) ปลกู ยางโดยรอง (ตารางที่ 1)ก้นหลุมด้วยปุ๋ยหินฟอสเฟต 170 กรัมต่อต้น และหลัง ผลของการใส่ป๋ยุ ซ้�ำต่อเนือ่ งจนครบ 7 ครัง้ และใส่ปลูกใส่ปุ๋ยบ�ำรุงอัตราตามค�ำแนะน�ำของสถาบันวิจัยยาง ปุ๋ยบ�ำรงุ ปกติ 1 คร้งั ตรวจสอบเมื่อตน้ ยางอายุ 3 ปี พบวา่ทกุ 4 เดือน ส่วนใหญ่ต้นยางติดเช้ือและแสดงอาการเพ่ิมมากข้ึน ทุกกรรมวิธีหลังจากใส่ปุ๋ยครบ 7 คร้ังตามกรรมวิธี โดยต้นยางในกรรมวิธีที่ 4 ติดเชื้อรวมน้อยท่ีสุด ร้อยละแล้วเปลี่ยนเป็นใส่ปุ๋ยสูตรและอัตราตามค�ำแนะน�ำของ 10.7 ตามด้วยกรรมวธิ ีท่ี 1, 2, 3, 5, 6 และ กรรมวิธีท่ี 8สถาบนั วจิ ยั ยาง ทุก 4 เดอื น ซ่ึงมีต้นยางติดเชื้อรวมไม่แตกต่างกันทางสถิติร้อยละ 11.1, 13.6, 16.9, 21.9, 23.6 และ 25.9 ตามล�ำดบั ส่วน กรรมวิธีท่ี 7 มตี น้ ยางตดิ เชือ้ มากทส่ี ดุ ร้อยละ 31.6 ซงึ่ ไม่ ประสทิ ธิภาพการควบคุมและปอ้ งกัน แตกต่างทางสถิติกับกรรมวิธีอื่น ยกเว้นกรรมวิธีที่ 4, 1 การตดิ เช้อื ราโรครากขาว และ 2 ท่ีมีความแตกต่างอย่างมีนัยส�ำคัญย่ิงทางสถิติ ของต้นยางปลกู ใหม่ (ตารางที่ 1) จากผลการทดลองจะเห็นว่า ในสภาพที่ปลูกแทนแปลงทดลองท่ี จ. กระบ่ี ยางเก่าท่ีเป็นโรครากขาวอย่างรุนแรงมาก่อนหากปลูก ผลของการใส่ปยุ๋ ตามการทดลอง 5 คร้ัง ในช่วง 2ปีแรก พบว่า ต้นยางในกรรมวิธีท่ีใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซลั เฟต ปุ๋ยยูเรีย และก�ำมะถัน ตามกรรมวิธีที่ 1-6 ตดิ เชอื้ราโรครากและแสดงอาการโรคไม่แตกต่างกันทางสถิติ

15 ฉบบั อิเล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 สามารถเป็นสารควบคุมโรครากขาวในแปลงที่มีเชื้อและ แหล่งเช้ือราได้ดีกว่าการท�ำความสะอาดแปลงก่อนปลูกยางโดยไม่มีการท�ำความสะอาดแปลงและปลูกโดยไม่มี ตามกรรมวิธีที่ 8 ซ่ึงเป็นวิธีการควบคุมโดยการก�ำจัดเชื้อวิธีการป้องกันและควบคุมโรคตามกรรมวิธีที่ 7 พบว่า และแหล่งเช้ือออกจากแปลง แม้ว่าผลการทดลองจะหลังปลกู 2 ปี ตน้ ยางปลูกใหมต่ ิดเชือ้ และเป็นโรคมากถงึ ไม่มคี วามแตกต่างทางสถติ ิกต็ าม (ตารางที่ 1)รอ้ ยละ 25 และจากนน้ั เพยี ง 6 เดอื น ตน้ ยางติดเช้ือเพ่มิ แปลงทดลองท่ี จ. สุราษฎรธ์ านีข้ึนถึงร้อยละ 32 ส่วนการท�ำความสะอาดแปลงกอ่ นปลูก ประสิทธิภาพของปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ยูเรียตามกรรมวิธีท่ี 8 ซ่ึงเป็นวิธีการควบคุมโดยการก�ำจัดเช้ือ และก�ำมะถัน ในการควบคุมป้องกันโรครากขาวของต้นและแหล่งเช้ือออกจากแปลง เมื่อเปรียบเทียบกับ ยางปลูกใหม่ในพ้ืนท่ีที่มีการระบาดของโรครากขาวพบกรรมวธิ ีท่ี 7 (ตารางท่ี 1) จะเห็นว่าหลังปลูก 2 ปี และ 2 ปี ว่าให้ผลในการควบคุมสอดคล้องกับแปลงทดลองท่ี6 เดอื น ตน้ ยางติดเชื้อน้อยกว่ากรรมวิธที ่ี 7 หรือสามารถ กระบ่ี ถึงแม้ว่าผลการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่ามีต้นติดลดตน้ ตดิ เชอ้ื และเปน็ โรคได้เพียงรอ้ ยละ 39.0 และ 36.4 เชื้อไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติก็ตาม จากเท่านั้น แต่การใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ยูเรีย และ ตารางท่ี 2 จะเหน็ ว่ากรรมวธิ ที ่ี 7 ต้นยางมตี ้นติดเชื้อและก�ำมะถัน ตามกรรมวิธที ี่ 1-6 หลงั ปลูก 2 ปี สามารถลด เป็นโรคมากกว่ากรรมวิธีอ่ืนทุกกรรมวิธี ถึงร้อยละ 9.4,ต้นยางติดเชื้อและเป็นโรคได้มากถึงร้อยละ 75.1, 78.3, 10.6 และ 13.9 หลงั การใส่ปยุ๋ ครบ 5, 6 และ 7 ครงั้ หรือ69.5, 73.1, 62.7 และ 44.6 ตามล�ำดับ และหลังปลกู 2 เม่อื ตรวจสอบการติดเชือ้ และเป็นโรคเมอื่ ยางอายุ 2 ปี, 2ปี 6 เดือนสามารถลดต้นยางติดเชื้อและเป็นโรคได้ถึงร้อยละ 62.3, 75.6, 63.3, 74.7, 51.6 และ 42.2 ตามล�ำดบั ดงั นัน้ ป๋ยุ แอมโมเนยี มซลั เฟต, ยเู รยี และก�ำมะถันตารางที่ 1 เปอรเ์ ซ็นต์ตน้ ยางท่ตี ดิ เชอื้ ราโรครากขาวหลงั ปลูก ณ แปลงทดลองที่ จ. กระบ่ีกรรมวธิ ี 4 เดอื น 1 ปี 3 เดือน 2 ปี 2 ปี 6 เดอื น 3 ปี1) 21-0-0+24S 200g 8.3 (58.8) 4.2 (17.2) a 6.2 (24.9) a 11.9 (37.7) a 11.1 (30.9) a 5.4 (22.1) a 5.4 (21.7) a 7.7 (24.4) a 13.6 (37.8) a2) 21-0-0+24S 300g 6.9 (48.4) 9.3 (38.1) a 7.6 (30.5) a 11.6 (36.7) a 16.9 (47.0) ab 4.0 (16.4) a 6.7 (26.9) a 8.0 (25.3) a 10.7 (29.7) a3) ยเู รีย 100g 5.3 (37.6) 6.7 (27.5) a 9.3 (37.3) a 15.6 (49.4) ab 21.9 (60.8) ab 6.4 (26.2) a 13.8 (55.4) a 18.3 (57.9) ab 23.6 (65.6) ab4) ยูเรยี 200g 6.2 (43.9) 24.4 (100) b 24.9 (100) b 31.6 (100) b 36.0 (100) b 14.3 (58.6) ab 15.2 (61.0) ab 20.1 (63.6) ab 25.9 (71.9) ab5) ก�ำมะถัน 100g 8.1 (57.0) 9.3 11.1 15.6 19.5 80.1 72.9 58.1 54.56) ก�ำมะถัน 200g 6.7 (47.2)7) ควบคมุ 1 14.2 (100)8) ควบคุม 2 9.4 (66.4)เฉลีย่ 8.2CV (%) 61.6หมายเหต:ุ -ไดร้ ับปุย๋ ตามการทดลองครั้งสุดทา้ ยเมอ่ื อายยุ าง 2.5 ปี จากนัน้ ใสป๋ยุ บ�ำรงุ ตามค�ำแนะน�ำเหมอื นกนั ทุกกรรมวธิ ี - ตวั เลขในวงเลบ็ หมายถงึ รอ้ ยละของต้นยางท่ีตดิ เช้อื เปรียบเทยี บกบั กรรมวธิ คี วบคมุ 1 (กรรมวิธที ่ี 7) - เปอร์เซ็นต์ต้นยางที่ติดเช้ือในคอลัมน์เดียวกันที่ตามด้วยอักษรเหมือนกันไม่แตกต่างกันทางสถิติ ที่ระดับความเช่ือม่ัน 95%โดยวิธี Duncan’s Multiple Range Test (DMRT) - 21-0-0+24S หมายถึง แอมโมเนียมซลั เฟต

16 ฉบบั อิเล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559 ในทุกกรรมวิธียกเว้นกรรมวิธีที่ 1 ท่ีมีต้นยางติดเช้ือเพิ่ม ขน้ึ แต่น้อยมากปี 6 เดอื น และ 2 ปี 8 เดอื น ตามล�ำดับ ในขณะทก่ี รรมวิธี จากผลการทดลองท้ัง 2 แปลงจะเห็นว่าให้ผลที่ 5 ก�ำมะถนั อัตรา 100 กรัม มตี ้นยางตดิ เชื้อและเปน็ โรค สอดคลอ้ งกัน ป๋ยุ แอมโมเนยี มซัลเฟต ยูเรยี และก�ำมะถนัน้อยที่สุดร้อยละ 1.1, 2.8 และ 3.9 ซ่ึงเมื่อเปรียบเทียบ มีประสิทธิภาพเป็นสารป้องกันและควบคุมโรครากขาวกบั กรรมวธิ ที ี่ 7 แลว้ พบวา่ สามารถลดต้นยางติดเช้อื และ ได้ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม เม่อื ต้นยางมีอายมุ ากขน้ึ ระบบรากเป็นโรคได้ถึงร้อยละ 88.3, 73.6 และ 71.9 ตามล�ำดับ จะแผ่ขยายออกมากขึ้น หากไม่มีการก�ำจัดตอและรากที่และตามดว้ ยกรรมวธิ ีที่ 6 ก�ำมะถนั อตั รา 200 กรมั มีตน้ ฝังอยู่ในดินปลูก จะท�ำให้รากยางมีโอกาสท่ีจะสัมผัสกับยางติดเช้ือและเป็นโรคร้อย 2.8, 2.8 และ 3.9 หรือ รากไม้ เศษไม้ และตอไม้เดิมที่เป็นโรคท่ีฝังอยู่ในดินสามารถลดลดต้นยางติดเชื้อและเป็นโรคได้ถึงร้อยละ ท�ำให้มีโอกาสติดเชื้อมากข้ึน อาจท�ำให้ต้นยางเป็นโรค70.2, 73.6, และ 71.9 ตามล�ำดับ ส่วนกรรมวธิ อี นื่ ๆพบ มากข้ึนอย่างรวดเร็วในภายหลัง ดังน้ัน การจัดการว่า มีแนวโน้มติดเช้ือและเป็นโรคน้อยกว่ากรรมวิธที่ 7 ป้องกันโรครากโดยการผสมผสานการก�ำจัดเชื้อและเช่นกันโดยกรรมวธิ ที ี่ 8, 1, 2, 3 และ 4 เม่ือใสป่ ยุ๋ ครบ 7 แหล่งเช้ือออกจากแปลง ร่วมกับการใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมครงั้ หรือเมอื่ อายุ 2 ปี 8 เดอื น พบว่ามตี น้ ยางตดิ เช้ือรอ้ ย ซัลเฟต, ยเู รีย และ/หรือ ก�ำมะถนั ตามอตั ราและวิธกี ารนี้ละ 5.0, 5.6, 7.8, 9.4 และ 7.2 สามารถลดต้นยางตดิ เชื้อ ในช่วงแรก และรว่ มดว้ ยสารเคมรี ักษาตน้ ทีต่ ิดเชือ้ คาดและเป็นโรคไดร้ อ้ ยละ 44, 59.7, 43.9, 32.4 และ 48.2 ว่าจะท�ำให้การปลูกสร้างสวนยางประสบความส�ำเร็จตามล�ำดับ การทดลองน้ีได้ใช้สารเคมีเพื่อป้องกันและ อย่างสูงโดยไม่เป็นปัญหาในแปลงปลูกในระยะยาวต่อรักษาต้นท่ีเป็นโรคหลังเสร็จส้ินตามแผนการทดลองแล้ว ไปร่วมด้วยผลของการใช้สารเคมี 1 ครั้ง จากการประเมินเม่ือยางอายุ 3 ปี พบวา่ ต้นยางท่ตี ิดเชื้อและเปน็ โรคลดลงตารางที่ 2 เปอรเ์ ซ็นตต์ ้นยางทตี่ ดิ เชอ้ื ราโรครากขาวหลังปลกู ณ แปลงทดลองท่ี จ. สรุ าษฎร์ธานีกรรมวธิ ี 1 ปี 1 ปี 8 เดือน 2 ปี 2 ปี 6 เดือน 2 ปี 8 เดือน 3 ปี1) 21-0-0+24S 200g 3.9 3.33.3(7(37.33.)3) 5.50.0(5(35.32.)2) 6.76.(763(6.23).2) 5.6 (40.3) 6.1 (57.5)2) 21-0-0+24S 300g 0.6 0.06.6(1(31.33.)3) 8.83.3(8(8.83.)3) 7.87.(873(7.63).6) 7.8 (56.1) 7.2 (67.9)3) ยเู รีย 100g 3.3 2.28.8(6(26.22.)2) 7.72.2(7(67.66.)6) 8.98.(984(8.04).0) 9.4 (67.6) 6.1 (57.5)4) ยูเรยี 200g 1.1 2.22.2(4(84.89.)9) 4.44.4(4(64.68.)8) 6.16.(157(5.67).6) 7.2 (51.8) 3.9 (36.8)5) ก�ำมะถนั 100g 0.6 0.06.6(1(31.33.)3) 1.11.1(1(1.17.)7) 2.82.(826(2.46).4) 3.9 (28.1) 3.3 (31.1)6) ก�ำมะถัน 200g 0.6 3.33.3(7(37.33.)3) 2.28.8(2(92.98.)8) 2.82.(826(2.46).4) 3.9 (28.1) 3.9 (36.8)7) ควบคุม 1 0.6 4.45.5(1(010)0) 9.94.4(1(010)0) 101.60.(610(100)0) 13.9 (100) 10.6 (100)8) ควบคุม 2 2.8 3.39.9(8(68.67.)7) 4.44.4(4(64.68.)8) 6.16.(157(5.57).5) 5.0 (36.0) 3.9 (36.8)เฉล่ยี 1.6 2.62.6 5.4 5.4 6.5 6.5 7.17.1 5.65.6หมายเหต:ุ - ค่าเฉล่ยี เปอรเ์ ซ็นต์ต้นยางทีต่ ดิ เชือ้ ระหวา่ งกรรมวธิ ไี ม่มคี วามแตกต่างกันทางสถติ ิ ทร่ี ะดับความเชื่อมัน่ 95% - ตัวเลขในวงเลบ็ หมายถงึ ร้อยละของต้นยางทตี่ ิดเชอื้ เปรยี บเทยี บกบั กรรมวิธคี วบคุม 1 (กรรมวธิ ที ี่ 7) - เปอร์เซน็ ตต์ ้นยางท่ตี ิดเชื้อเมอื่ อายุ 3 ปี เป็นผลจากการใชส้ ารเคมใี นการรกั ษาต้นยางทแ่ี สดงอาการหลงั ตรวจสอบครง้ั สุดทา้ ยเมื่อยางอายุ 2 ปี 8 เดือน

17 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนิกส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 เดือน ในแปลงทดลอง จ.กระบี่ มีขนาดเส้นรอบล�ำต้นที่ ความสูง 170 ซม.ทั้งแปลงเฉลีย่ 11.48 ซม. โดยกรรมวิธี การย่อยสลายของตอยางเดมิ ท่ี 7 ต้นยางมีการเจริญเติบโตดีที่สุด มีขนาดล�ำต้นเฉล่ีย 12.74 ซม.รองลงมาเป็นกรรมวิธีที่ 6, 5 และ กรรมวิธีท่ี 8 ส�ำหรับตอไม้ที่ปล่อยไว้ในแปลง พบว่าในปีแรก มีขนาดเส้นรอบล�ำต้นเฉลี่ย 12.05, 11.65 และ 11.51ถึง 2 ปี ตอไม้ท่ีปล่อยท้ิงไว้ในแปลงมีดอกเห็ดโรคราก ซม. ตามล�ำดับ ส่วนแปลงทดลอง จ.สรุ าษฎร์ธานี พบวา่ขาวออกในช่วงท่ีมีความชื้นสูงกระจายอยู่ท่ัวไป โดยใน ต้นยางมีขนาดเส้นรอบล�ำต้นท่ีความสูง 170 ซม. ท้ังช่วงปีที่ 3 มีตอไม้บางส่วนถูกย่อยสลายไปบ้างแล้ว แต่ แปลงเฉลี่ย 19.48 ซม. โดยกรรมวิธีที่ 6 ต้นยางมีการยังมีบางส่วนก็ยังย่อยสลายไม่หมด และบางตอยังคงมี เจริญเติบโตดีที่สุดมีขนาดล�ำต้นเฉลี่ย 20.55 ซม.รองลงดอกเห็ดเชื้อราโรครากขาวเจริญอยู่ แสดงว่าตอไม้น้ันมี มาเป็นกรรมวิธีท่ี 7, 5 และ 8 มขี นาดเส้นรอบล�ำต้นเฉลยี่เชื้อราโรครากทีมีชีวิตอยู่ ซึ่งเม่ือต้นยางเจริญเติบโตมาก 20.36, 19.64 และ 19.52 ซม. ตามล�ำดับ ซ่ึงการเจริญขึ้นรากยางสามารถแผ่ขยายได้กว้างขึ้นและเจริญออก เติบโตของต้นยางหลังการเปลี่ยนมาใส่ปุ๋ยตามค�ำนอกบริเวณที่ใส่ปุ๋ยทดลองจึงมีโอกาสติดเช้ือจากตอไม้ แนะน�ำปกติแลว้ ก็ใหผ้ ลในท�ำนองเดียวกนัเหล่านี้ และในขณะเดียวกันรากยางมีการสัมผัสกัน ดังนั้น การใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ยูเรีย โดยที่ระหว่างต้นยาง จึงพบโรคลุกลามสู่ต้นข้างเคียง แต่ ไมไ่ ดเ้ ตมิ ธาตุอาหาร ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม และอย่างไรก็ตาม จากการสังเกตรากไม้ขนาดเล็กและเศษ การใส่ก�ำมะถันซ่ึงไม่มีทั้ง ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และรากไม้ท่ีเป็นโรคและมีเช้ือราโรครากขาวเจริญปกคลุมที่ โพแทสเซียม กบั ต้นยางแรกปลกู จนถงึ 3 ปี แสดงใหเ้ ห็นอยู่ในบริเวณหลุมปลูกยางในระยะแรก พบว่าเมื่อมีการ ว่าไม่มีผลกระทบต่อการเจริญของต้นยาง แม้ว่าจะใส่ปุย๋ แอมโมเนียมซัลเฟต ปุ๋ยยเู รยี หรือก�ำมะถนั ในระยะ เปลยี่ นมาใสป่ ุ๋ยตามค�ำแนะน�ำปกตแิ ล้วกต็ ามแรก จะพบวา่ เชื้อราโรครากบริเวณผิวรากลดหายไป และพบเชื้อรา Trichoderma spp. เจริญปกคลุมแทนที่ การเปล่ียนแปลงระดับกรด-ด่างของดินแสดงให้เห็นว่าปุ๋ยเหล่าน้ีนอกจากมีผลทางตรงที่ ธาตอุ าหารในดนิ และใบยางสามารถฆ่าเชื้อราท่ีบริเวณผิวรากและในเนื้อไม้ของรากขนาดเล็กได้แล้วยังมีผลทางอ้อมท�ำให้เชื้อจุลินทรีย์ใน จากผลการวิเคราะห์ดิน สามารถสรุปการดินบางชนิดเจริญเติบโตได้ดีสามารถเจริญแข่งขันและ เปลี่ยนแปลงระดับกรด-ด่างของดิน อินทรียวัตถุ และช่วยย่อยสลายรากไม้เล็กๆเหล่านี้ให้ย่อยสลายเร็วขึ้น ปริมาณธาตอุ าหารท่ีเป็นประโยชนใ์ นดนิ (ตารางท่ี 5-8)(Peries and Liyanage, 1983) สามารถลดเช้อื ราบริเวณ และปริมาณธาตุอาหารหลัก และธาตุอาหารรองในใบผวิ รากได้ (ตารางที่ 9 และ 10) เปรยี บเทียบกบั กรรมวิธีที่ 7 ซึ่งปลกู และใส่ปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำ ถึงแม้ว่าดินแปลงทดลองจะ ผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของตน้ ยาง เป็นชนิดดินแตกต่างกัน แต่จะเห็นว่าการใส่ปุ๋ยทดลอง ท�ำให้การเปล่ียนแปลงของระดับกรด-ด่าง, อินทรียวัตถุ ท�ำการเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตของต้นยาง และปริมาณธาตุอาหารท่ีเป็นประโยชน์สอดคล้องกันตลอดการทดลองเพื่อศึกษาผลกระทบของปุ๋ยที่ทดลอง ดังน้ีคือ 1) ทุกกรรมวิธีท�ำให้ดินเป็นกรดเพ่ิมข้ึนมากกว่าตอ่ การเจรญิ เติบโตของต้นยาง จากตารางท่ี 3 และ 4 จะ กรรมวธิ ีการใสป่ ุย๋ ตามค�ำแนะน�ำ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการเห็นว่าต้นยางในทุกกรรมวิธีมีขนาดล�ำต้นไม่แตกต่างกัน ใส่ ก�ำมะถนั ท�ำให้ดินมรี ะดับ pH ตำ�่ กว่าทกุ กรรมวธิ ี โดยทางสถิติและไม่แตกต่างกับการใส่ปุ๋ยบ�ำรุงตามค�ำ แปลงทดลองสุราษฎร์ธานีพบว่า ก�ำมะถันอัตรา 200แนะน�ำในกรรมวิธที ่ี 7 และ 8 ทั้ง 2 แปลงทดลองถึงแมว้ ่า กรมั ท�ำให้ดนิ เป็นกรดรนุ แรงระดับ pH นอ้ ยกวา่ 4 ตลอดการเจริญเติบโตในแปลงทดลองท่ี จ. กระบี่จะน้อยกว่า การทดลอง ซ่ึงแตกต่างกับกรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยตามค�ำแปลงทดลองที่ จ. สรุ าษฎร์ธานีกต็ าม ทัง้ นอ้ี าจเปน็ ผลอนั แนะน�ำตามกรรมวิธที ี่ 7 และ 8 อย่างมีนัยส�ำคญั ยงิ่ ทางเนื่องมาจากการปฏิบัติดูแลท่ีแตกต่างกัน โดยผลการใส่ปุ๋ยตามการทดลองจ�ำนวน 7 ครั้ง ต้นยางอายุ 2 ปี 6

18 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนิกส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 ตารางที่ 3 ขนาดเสน้ รอบลำ�ตน้ (ซม.) ของตน้ ยาง ณ แปลงทดลองท่ี จ. กระบี่กรรมวิธี ทคี่ วามสูง 10 ซม. จากพน้ื ดนิ ทีค่ วามสูง 170 ซม. จากพืน้ ดิน 8 เดอื น 1 ปี 3 เดือน 1 ปี 8 เดอื น 2 ปี 2 ปี 8 เดือน 3 ปี1) 21-0-0+24S 200g 3.04 5.67 7.87 8.38 10.95 13.902) 21-0-0+24S 300g 2.90 5.76 8.63 8.39 11.27 13.883) ยเู รยี 100g 3.15 5.65 7.82 8.56 10.85 13.544) ยูเรยี 200g 3.24 5.58 7.97 8.70 10.84 13.565) ก�ำมะถนั 100g 2.85 5.73 8.44 8.81 11.65 14.556) ก�ำมะถนั 200g 3.09 5.96 8.31 9.27 12.05 15.157) ควบคุม 1 3.01 5.88 8.63 8.89 12.74 15.798) ควบคุม 2 2.49 5.97 8.08 8.93 11.51 14.40เฉลี่ย 2.97 5.78 8.22 8.74 11.48 14.35CV (%) 12.7 12.9 14.1 15.0 13.8หมายเหตุ: ค่าเฉล่ียขนาดรอบล�ำตน้ ระหว่างกรรมวิธี ไมม่ ีความแตกตา่ งกันทางสถติ ิท่ีระดับความเชื่อมั่น 95%สถิติ แต่อย่างไรก็ตาม การใส่ปุ๋ยซ�้ำหลายคร้ังมีแนวโน้ม ปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำ และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นหลังใส่ปุ๋ยท�ำให้ระดับ pH ลดลงในทุกกรรมวิธี 2) ทุกกรรมวิธี ซำ้� 6 ครั้ง โดยมปี รมิ าณท่ีไม่แตกต่างทางสถิตกิ ับกรรมวธิ ีปริมาณอินทรียวัตถุในดินไม่แตกต่างกันโดยเพ่ิมมากขึ้น ใส่ปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในก�ำมะถันเมื่อใส่ซ้�ำ ยกเว้นก�ำมะถันอัตรา 200 กรัมท่ีท�ำให้ดินมี และยูเรีย มีแนวโน้มท�ำให้ดินมีแมกนีเซียมเพิ่มข้ึนปรมิ าณอนิ ทรียวตั ถมุ ากกว่ากรรมวิธอี นื่ อยา่ งมนี ัยส�ำคญั มากกว่ากรรมวิธที ใ่ี สป่ ุย๋ ตามค�ำแนะน�ำโดยเฉพาะอย่างย่ิงในแปลงทดลอง จ.สุราษฎร์ธานีมี เม่ือพิจารณาผลการวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารปรมิ าณมากกว่าในกรรมวธิ ีท่ี 7 และ 8 อย่างมีนยั ส�ำคัญ ในใบ (ตารางที่ 9 และ 10) จะเห็นว่าต้นยางในทุกย่ิงทางสถิติ 3) ทุกกรรมวิธี ดินมีปริมาณฟอสฟอรัสและ กรรมวิธีสามารถตอบสนองโดยการดูดใช้ธาตุอาหารโพแทสเซียมท่ีมีประโยชน์น้อยกว่ากรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยตาม ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม และค�ำแนะน�ำตามกรรมวิธีท่ี 7 และ 8 ยกเว้นก�ำมะถันท่ีมี แมกนเี ซยี มไม่แตกตา่ งกบั กรรมวธิ ที ใ่ี สป่ ุ๋ยตามค�ำแนะน�ำแ น ว โ น ้ ม ท�ำ ใ ห ้ มี ฟ อ ส ฟ อ รั ส แ ล ะ โ พ แ ท ส เ ซี ย ม ท่ี มี และไม่มีผลกระทบต่อเนื่องเมื่อเปล่ียนมาใช้ปุ๋ยตามค�ำประโยชน์เพ่ิมข้ึน และมีปริมาณท่ีไม่แตกต่างกับกรรมวิธี แนะน�ำซึ่งสอดคล้องกันทั้ง 2 แปลง แม้ว่าไม่มีการเติมท่ีใส่ปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำ 4) ทุกกรรมวิธีมีปริมาณ ธาตุอาหารท้ังไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียมแคลเซียมไม่แตกต่างอย่างมีนัยส�ำคัญกับกรรมวิธีที่ใส่ กต็ ามปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อใส่ซ�้ำหลาย ซึ่งจะเห็นว่าการเปล่ียนแปลงของอินทรียวัตถุครงั้ พบว่า ก�ำมะถันท�ำให้ดินมแี คลเซยี มเพิม่ ขึน้ ในขณะท่ี ระดับความเป็นกรดด่าง ปริมาณธาตุอาหารท่ีเป็นกรรมวิธีอ่ืนมีแนวโน้มลดลง 5) การใส่ปุ๋ยในช่วงแรกพบ ประโยชน์และปริมาณธาตุอาหารในใบท่ีพบว่าไม่มีว่าดินในทุกกรรมวิธีมีแมกนีเซียมน้อยกว่ากรรมวิธีที่ใส่ ความแตกต่างทางสถิติมีความสอดคล้องกับการเจริญ

19 ฉบับอเิ ล็กทรอนิกส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559ตารางที่ 4 ขนาดเส้นรอบลำ�ต้น (ซม.) ของต้นยาง ณ แปลงทดลองท่ี จ. สรุ าษฎรธ์ านีกรรมวิธี ท่คี วามสงู 10 ซม. จากพ้นื ดิน ท่ีความสูง 170 ซม. จากพนื้ ดนิ 7 เดือน 1 ปี 1 ปี 6 เดอื น 2 ปี 2 ปี 6 เดอื น 3 ปี1) 21-0-0+24S 200g 3.83 ab 7.55 ab 14.93 ab 13.66 19.22 23.292) 21-0-0+24S 300g 3.80 ab 7.00 ab 13.73 b 13.35 18.69 22.833) ยูเรีย 100g 3.47 abc 6.93 ab 14.02 b 13.09 18.83 23.014) ยูเรีย 200g 3.35 bc 7.17 ab 14.37 b 13.28 19.02 23.445) ก�ำมะถนั 100g 3.53 ab 7.37 ab 14.91 ab 13.97 19.64 23.756) ก�ำมะถนั 200g 4.00 a 8.03 ab 14.71 ab 14.63 20.55 24.777) ควบคมุ 1 3.47 abc 8.11 a 16.22 a 14.68 20.36 24.758) ควบคุม 2 2.93 c 6.84 b 14.77 ab 13.63 19.52 23.80เฉลี่ย 2.97 7.37 14.71 13.79 19.48 23.70CV (%) 9.0 8.5 5.6 6.0 5.4 4.7หมายเหตุ: - คา่ เฉลย่ี ขนาดรอบล�ำต้นในคอลัมน์เดียวกันทีต่ ามด้วยอัก ษรเหมือนกัน ไม่แตกต่างกันทางสถิตท่ีระดับความเชื่อมนั่ 95%โดยวิธี Duncan’Multiple Range Test (DMRT) เติบโตที่พบว่าทุกกรรมวิธีไม่มีความแตกต่างกันกับ ก�ำมะถัน มีศักยภาพทั้งการเป็นสารควบคุมโรครากขาวกรรมวธิ ีท่ีใส่ปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำ เนื่องจากดนิ ท่ีเปน็ กรดจะ ช่วงปลูกในพื้นท่ีที่มีการระบาดของโรค และในขณะช่วยท�ำให้ธาตุอาหารในดินหลายชนิดละลายได้มากข้ึน เดียวกันก็สามารถทดแทนการใช้ปุ๋ยได้โดยไม่จ�ำเป็นต้องโดยเฉพาะอย่างย่ิงก�ำมะถันที่ท�ำให้ดินเป็นกรดมากกว่า ใส่ปุ๋ยบ�ำรุงซ�้ำซ้อน จึงเป็นวิธีการควบคุมโรครากขาวที่กรรมวิธีอ่ืน ซ่ึงจะเห็นได้ว่าท�ำให้ดินมีฟอสฟอรัสและ สะดวกในการปฏิบัติ และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโพแทสเซียมท่ีมีประโยชน์ มีอินทรียวัตถุในดินมากกว่า โรครากขาวแล้วยังท�ำให้ลดค่าใช้จ่ายด้านปุ๋ยบ�ำรุงอีกกรรมวิธีอ่ืน ซ่ึงกรดก�ำมะถันที่เกิดจากการออกซิไดซ์ ทางหน่ึง แต่อย่างไรก็ตามการใส่ปุ๋ยเหล่าน้ีต่อเน่ืองเม่ือก�ำมะถันผงจะช่วยท�ำให้ธาตุในดินหลายชนิดละลายได้ ยางอายุมากข้ึนโดยไม่มีธาตุอาหารหลักอาจจะมีผลมากขึ้น ได้แก่ ธาตุฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม กระทบต่อการเจริญเติบโต จึงควรใช้วิธีการควบคุมโรคแมงกานีส อะลูมิเนียม และแมกนีเซียม ซึ่งพืชสามารถ ในช่วงแรกปลูกถึง 3 ปี จากน้ันควรควบคุมโดยการผสมดูดไปใช้ประโยชน์ได้มากข้ึน (ศุภมาศ, 2559) ซ่ึง ผสานกบั วิธีการอื่นตอ่ ไปสอดคล้องกับผลการทดลองนี้ที่พบว่า ต้นยางในทุกกรรมวิธีสามารถเจริญเติบโตได้ไม่แตกต่างกับกรรมวิธีที่ สรุปผลการทดลองและการนำ� ไปใช้ใส่ปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก�ำมะถันมีการ ประโยชน์เจริญเติบโตดีใกล้เคียงกับกรรมวิธีที่ใส่ปุ๋ยตามค�ำแนะน�ำมากทสี่ ดุ สรปุ ผลการทดลอง ดังนั้น ในช่วงยางอายุแรกปลูกถึง 3 ปี การใส่ปุ๋ย 1. ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ( 21-0-0+24S) อัตราชนิดใดชนิดหน่ึง เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต ยูเรีย และ 200 และ 300 กรมั /ต้น/ครัง้ , ปุย๋ ยเู รีย(46-0-0) อัตรา 100 และ 200 กรัม/ตน้ /คร้งั และก�ำมะถนั ผง(80%WP) อตั รา

20 ฉบบั อเิ ล็กทรอนิกส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559ตารางที่ 5 ระดบั pH ของดนิ บรเิ วณรอบต้นยาง หลังการใสป่ ยุ๋ ณ แปลงทดลองท่ี จ. กระบี่กรรมวธิ ี ครงั้ ที่ 2 ครัง้ ท่ี 3 ครง้ั ที่ 4 ครง้ั ที่ 5 3.431) 21-0-0+24S 200g 4.30 4.48 4.11 3.122) 21-0-0+24S 300g 4.09 4.14 4.09 3.603) ยเู รีย 100g 4.45 4.58 4.19 3.214) ยเู รีย 200g 4.05 4.26 3.94 3.215) ก�ำมะถัน 100g 4.06 4.36 3.54 2.796) ก�ำมะถัน 200g 3.73 3.49 3.62 3.477) ควบคุม 1 4.65 4.82 4.37 4.158) ควบคมุ 2 4.74 4.79 4.51 3.37เฉลีย่ 4.26 4.36 4.05 20.3CV.(%) 20.7 18.3 22.8หมายเหต:ุ ค่าเฉล่ียระดับ pH ของดินระหวา่ งกรรมวิธี ไมม่ ีความแตกตา่ งกันทางสถิติทร่ี ะดบั ความเช่ือม่ัน 95%ตารางที่ 6 ระดบั pH ของดนิ บรเิ วณรอบต้นยาง หลังการใส่ปยุ๋ ณ แปลงทดลองที่ จ. สุราษฎร์ธานีกรรมวิธี 1 2 ครง้ั ท่ี 6 ปยุ๋ แนะนำ� 34 7 1 คร้งั1) 21-0-0+24S 200g 4.45 bc 4.23 a 4.45 bc 4.21 ab 4.24 b 3.88 bc 3.932) 21-0-0+24S 300g 4.34 bc 4.24 ab 4.83 a 4.32 ab 4.28 b 3.76 bc 3.893) ยเู รยี 100g 4.48 bc 4.27 ab 4.31 c 4.50 b 4.47 ab 3.88 bc 3.924) ยเู รีย 200g 4.35 bc 4.62 a 4.43 bc 4.70 ab 4.65 ab 4.13 ab 4.115) ก�ำมะถัน 100g 4.71 ab 3.74 bc 3.41 d 3.81 c 4.53 ab 3.48 de 3.986) ก�ำมะถัน 200g 4.10 c 3.20 c 2.86 e 3.76 c 3.96 c 3.35 e 3.847) ควบคมุ 1 4.55 bc 4.57 a 4.77 ab 4.75 ab 4.71 ab 4.03 abc 4.188) ควบคุม 2 5.12 a 4.45 a 4.79 ab 5.26 a 4.87 a 4.33 a 4.17เฉล่ยี 4.51 4.16 4.23 4.41 4.47 3.85 4.00CV (%) 6.0 8.2 11.34 7.5 3.5 4.6 5.5หมายเหตุ: - ระดับ pH ในคอลมั น์เดยี วกันท่ีตามด้วยอกั ษรเหมอื นกนั ไมแ่ ตกตา่ งกนั ทางสถิติ ที่ระดับความเชื่อมนั่ 95% โดยวธิ ีDuncan’s Multiple Range (DMRT) - ระดบั pH หลังการใสป่ ยุ๋ แนะน�ำ 1 ครง้ั ระหว่างกรรมวธิ ี ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั ในทางสถิติทร่ี ะดับความเชอ่ื ม่ัน 95 %

21 ฉบับอิเล็กทรอนิกส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559ภาพที่ 1 กรรมวิธีท่ี 1-7 ตัดโค่นต้นยางเก่าออก ปล่อยตอทิ้งไว้ในแปลง ภาพท่ี 2 หลังปลูก 3 ปี ตอยางเก่าท่ียังไม่ผุ ยังเป็นแหล่งเช้ือราโรครากทดลองและปลูกยางในแถวยางเดิม ในภาพแสดงการใส่ปุ๋ยทดลองโดย ในภาพแสดงต้นยางใกล้เคียงตอเก่าในกรรมวิธีที่ใส่ก�ำมะถัน สามารถโรยรอบล�ำต้นในแนวรศั มีทรงพ่มุ เจรญิ เติบโตไดโ้ ดยยงั ไม่ตดิ เชือ้ โรครากภาพท่ี 3 ลักษณะอาการพุ่มใบของตน้ ยางที่ติดเช้อื และเปน็ โรครากขาว ภาพท่ี 4 ลกั ษณะโคนต้นยางอายุ 3 ปี ท่ตี ดิ เช์้อและเปน็ โรค และดอกเหด็ ของเช้อื ราโรครากขาว

22 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559ภาพท่ี 5 สภาพแปลงทดลองในกรรมวิธีท่ี 7 (ควบคมุ 1) เม่อื ต้นยางอายุ 3 ปี ที่ จ. สุราษฏร์ธานีภาพท่ี 6 สภาพแปลงในกรรมวธิ ที ี่ 6 (กำ� มะถนั อตั รา 200 กรมั ต่อตน้ ) เม่อื ต้นยางอายุ 4 ปี ที่ จ. สรุ าษฏร์ธานี

23 ฉบับอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559ตารางที่ 7 คา่ วิเคราะหด์ ินหลังการใส่ปยุ๋ 3 และ 6 ครงั้ (ต้นยางมีอายุ 1 และ 2 ปี) ณ แปลงทดลองท่ี จ. กระบ่ี กรรมวิธี อินทรียวัตถุ (%) ฟอสฟอรสั (มก./กก.) โพแทสเซียม (มก./กก.)1) 21-0-0+24S 200g 3 ครัง้ 6 คร้ัง 3 ครง้ั 6 ครงั้ 3 ครัง้ 6 คร้ัง2) 21-0-0+24S 300g 3.38 3.07 ab 3.67 b 3.12 b 2.70 b 58.0 c3) ยเู รยี 100g 3.50 2.36 b 4.41 b 3.62 b 34.3 b 49.3 c4) ยูเรยี 200g 3.17 2.88 ab 2.03 b 2.29 b 34.7 b 42.7 c5) ก�ำมะถัน 100g 2.94 2.61 ab 2.49 b 1.85 b 30.7 b 53.3 c6) ก�ำมะถนั 200g 3.60 3.06 ab 4.48 b 4.52 b 37.3 b 39.33 c7) ควบคุม 1 3.52 3.34 a 4.09 b 4.22 b 31.0 b 38.67 c8) ควบคุม 2 3.19 2.98 ab 8.49 a 16.21 a 91.0 a 128.0 bเฉล่ีย 2.91 2.58 ab 9.53 a 21.02 a 90.0 a 183.3 aCV(%) 3.27 2.86 4.74 7.89 47.0 74.08 20.0 16.2 31.2 50.7 18.6 32.7หมายเหต:ุ - ตัวเลขในคอลมั นเ์ ดยี วกนั ทีต่ ามดว้ ยอกั ษรเหมอื นกนั ไม่แตกตา่ งกนั ทางสถิติ ทร่ี ะดบั ความเชอื่ มัน่ 95%โดยวธิ ี Duncan’s Multiple Range (DMRT)100 และ 200 กรัม/ต้น/คร้ัง ผสมดินปลูก และใส่ซ้�ำ 4 กรัม/ตน้ /ครง้ั ป๋ยุ ยูเรยี อัตรา 100-200 กรัม/ต้น/ครั้ง และเดือนต่อครั้ง โดยโรยรอบโคนต้นในแนวรัศมีทรงพุ่มใบ ก�ำมะถันผง อัตรา 100-200 กรัม/ต้น/ครั้ง ผสมดินปลูกยางพบว่า แปลงทดลอง จ.กระบ่ี สามารถปอ้ งกันการติด และใส่ซ้�ำ 4 เดอื นต่อครั้ง โดยโรยรอบโคนตน้ ในแนวรศั มีเชื้อและเป็นโรคของต้นยางปลูกใหม่ ซ่ึงแตกต่างอย่างมี ทรงพุ่มใบยางในช่วงแรกปลูกถึง 2.5 ปี ไม่มีผลต่อการนัยส�ำคัญย่ิงทางสถิติกับกรรมวิธีที่ปลูกและใส่ปุ๋ยบ�ำรุง เจริญเติบโตของต้นยางเมื่อเทียบกับการใส่ปุ๋ยตามค�ำตามค�ำแนะน�ำของสถาบันวิจัยยาง โดยในช่วง 2 ปี 6 แนะน�ำ และให้ผลการเจริญเติบโตในท�ำนองเดียวกันท้ังเดอื น หลงั ปลกู ผลการทดลองท่ี จ.กระบ่ี พบว่าสามารถ 2 แปลงทดลอง แม้ว่าดินปลูกจะต่างกันระหว่างดินร่วนลดการตดิ เชือ้ ราโรครากขาวของยางพาราได้ 62.3, 75.6, ปนทรายและดินเหนยี ว63.3, 74.7, 50.6 และ 42.2 ตามล�ำดับ 4. การใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 200-300 2. การเตรียมแปลงปลูกยางเก่าที่มีประวัติเป็นโรค กรัม/ต้น/คร้ัง, ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 100-200 กรัม/ต้น/ครั้งร า ก ข า ว ม า ก ่ อ น โ ด ย ก า ร ก�ำ จั ด ต อ ไ ม ้ ร า ก ไ ม ้ เ ดิ ม และก�ำมะถันผงอัตรา 100-200 กรัม/ต้น/ครั้ง ผสมดินสามารถลดการติดเชื้อราโรครากขาวของต้นยางปลูก ปลูก และใส่ซ้�ำ 4 เดือนต่อครั้ง โดยโรยรอบโคนต้นในใหม่ได้ระดับหน่ึง โดยผลการทดลองจากแปลง จ.กระบี่ แนวรัศมีทรงพุ่มใบยาง ท�ำให้ระดับ pH ของดินบริเวณพบว่าภายใน 2 และ 2.5 ปี สามารถลดต้นยางติดเชื้อ รอบโคนต้นยางลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก�ำมะถันผงและเป็นโรคได้ร้อยละ 39.0 และ 36.4 ส่วนแปลง อัตรา 200 กรัม/ต้น/คร้ัง ท�ำให้ระดับ pH ดินลดลงถึงจ.สุราษฎร์ธานีสามารถลดต้นยางติดเชื้อและเป็นโรคได้ ระดบั 2.9 และ 2.8 เม่ือใส่ซำ�้ 3 และ 5 ครง้ั ในแปลงรอ้ ยละ 53.2 และ 42.5 ทดลอง จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.กระบ่ี ตามล�ำดับ พบว่า 3. การใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 200-300 ไม่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของต้นยาง และการ

ตารางที่ 8 ค่าวเิ คราะหด์ ินหลงั การใส่ปยุ๋ 3 คร้งั และ 6 ครงั้ (ยกรรมวิธี อินทรยี วัตถุ (%) ฟอสฟอรัส (มก./กก.) โพ 3 3 ครง้ั 6 ครั้ง 3 ครง้ั 6 ครั้ง1) 21-0-0+24S 200g 1.65 ab 2.07 ab 16.04 c 14.93 b 652) 21-0-0+24S 300g 1.64 ab 1.89 b 15.45 c 15.00 b 543) ยูเรยี 100g 1.54 ab 1.78 b 21.59 c 20.04 b 804) ยเู รยี 200g 1.37 b 1.57 b 26.85 c 24.04 b 115) ก�ำมะถนั 100g 1.59 ab 1.81 b 23.63 c 30.39 ab 386) ก�ำมะถัน 200g 2.08 a 2.69 a 18.47 c 41.39 ab 577) ควบคุม 1 1.53 ab 1.83 b 72.89 b 55.96 ab 118) ควบคมุ 2 1.60 ab 1.63 b 93.40 a 67.88 a 14เฉลี่ย 1.63 1.91 35.65 33.70 83CV(%) 20.6 19.2 53.1 64.9 32หมายเหตุ: ตัวเลขในคอลัมนเ์ ดยี วกันท่ีตามด้วยอกั ษรเหมอื นกนั ไมแ่ ตกตา่ งกันทางสถิติ ที่ระดับความเชอื่ ม่ัน

ยางมอี ายุ 1 และ 2 ป)ี ณ แปลงทดลองที่ จ. สุราษฏร์ธานีพแทสเซียม (มก./กก.) แคลเซียม (มก./กก.) แมกนีเซียม (มก./กก.)3 คร้งั 6 ครัง้ 3 ครั้ง 6 ครั้ง 3 คร้งั 6 ครั้ง5.33 bc 64.33 c 62.33 b 59.5 b 10.33 bcd 17.67 ab4.33 c 51.00 c 51.00 b 48.33 b 9.33 bcd 12.67 b0.33 bc 74.67 bc 68.33 b 57.00 b 13.00 bcd 15.67 ab10.67 ab 84.33 abc 59.50 b 53.00 b 21.00 ab 23.67 ab8.00 c 79.67 abc 34.00 c 69.67 b 5.00 d 21.00 b7.00 c 85.33 abc 51.00 b 79.00 b 6.33 cd 26.67 ab16.33 ab 130.67 ab 85.00 b 61.33 b 18.33 bc 20.33 ab48.00 a 136.67 a 188.00 a 131.33 a 31.67 a 30.00 a3.31 88.33 74.90 69.90 14.38 20.962.4 35.8 48.5 43. 4 4 6.7 35.3น 95% โดยวิธี Duncan’s Multiple Range (DMRT)

ตารางท่ี 9 คา่ วิเคราะหใ์ บหลังการใสป่ ุย๋ 3, 6 และ 7 ครั้ง แ กรรมวธิ ี 3 คร้ัง ไนโตรเจน (%) 7 คร้งั +1 3 คร้งั1) 21-0-0+24S 200g 2.6059 6 ครงั้ 2.2380 0.15822) 21-0-0+24S 300g 2.5688 2.4243 0.14993) ยูเรยี 100g 2.4292 2.1476 b 2.2180 0.13744) ยเู รยี 200g 2.5903 2.4617 a 2.1043 0.14135) ก�ำมะถัน 100g 2.4287 2.3866 ab 2.3142 0.15776) ก�ำมะถัน 200g 2.4965 2.4860 a 2.2796 0.15607) ควบคุม 1 2.5660 2.973 ab 2.2775 0.14148) ควบคมุ 2 2.5149 2.3974 ab 2.3507 0.1592เฉล่ยี 2.5250 2.3633 ab 2.2758 0.1501CV (%) 8.5 2.3766 ab 7.4 12.3 2.3646 6.7 หมายเหตุ: - ตวั เลขในคอลัมนเ์ ดียวกนั ที่ตามด้วยอักษรเหมือนกนั ไมแ่ ตกตา่ งกนั ทางสถติ ิ ท่รี ะดับความเชอ่ื ม - 7 ครั้ง + 1 หมายถงึ ตามด้วยปยุ๋ บ�ำรุง 1 คร้ัง

และปยุ๋ บำ�รงุ 1 ครงั้ ณ แปลงทดลองที่ จ. กระบี่ฟอสฟอรสั (มก./กก.) โพแทสเซยี ม (มก./กก.) 6 ครง้ั 7 ครัง้ +1 3 คร้ัง 6 ครง้ั 7 ครง้ั +10.1361 c 0.1472 0.8883 0.5598 b 0.66100.1387 c 0.1483 0.9850 0.6851 ab 0.80490.1553 bc 0.1369 0.9689 0.6748 ab 0.69330.1565 bc 0.1353 1.0826 0.6155 ab 0.78370.1511 bc 0.1452 1.0182 0.6206 ab 0.82270.1630 bc 0.1490 0.9922 0.6142 ab 0.82270.1747 ab 0.1531 0.9143 0.7714 a 0.77690.1906 ab 0.1556 1.0828 0.7172 ab 0.80380.1582 0.1463 0.9915 0.6573 0.77118.9 10.2 11.6 12.2 10.5มน่ั 95% โดยวิธี Duncan’s Multiple Range (DMRT)

26 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559ตารางท่ี 9 (ต่อ) ค่าวเิ คราะหใ์ บหลังการใส่ปยุ๋ 3, 6 และ 7 ครงั้ และปยุ๋ บำ�รุง 1 ครง้ั ณ แปลงทดลองที่ จ. กระบ่ี กรรมวธิ ี แคลเซียม (มก./กก.) แมกนเี ซียม (มก./กก.)1) 21-0-0+24S 200g2) 21-0-0+24S 300g 3 ครัง้ 6 ครง้ั 7 คร้ัง+1 3 ครงั้ 6 ครง้ั 7 คร้ัง+13) ยเู รยี 100g4) ยูเรีย 200g 0.7979 0.8442 0.9342 0.0984 0.1538 0.15565) ก�ำมะถัน 100g 0.7282 0.7507 0.8800 0.0817 0.0961 0.13166) ก�ำมะถัน 200g 0.7725 0.7170 0.9817 0.0924 0.0680 0.17607) ควบคุม 1 0.7262 0.7805 0.9285 0.0755 0.1543 0.11738) ควบคมุ 2 0.7975 0.8793 0.8438 0.0922 0.3968 0.1429เฉลี่ย 0.7906 0.9983 0.8058 0.1014 0.1737 0.3393CV(%) 0.7664 0.6490 0.9029 0.0575 0.0816 0.1539 0.8275 0.9509 1.0191 0.0863 0.1406 0.1332 0.7759 0.8212 0.9120 0.0857 0.1581 0.1687 11.4 23.8 17.1 123.5 81.1 70.0หมายเหต:ุ คา่ เฉลี่ยปรมิ าณแคลเซียมและแมกนีเซียมระหวา่ งกรรมวิธี ไมม่ ีความแตกต่างกันทางสถิติที่ระดบั ความเช่อื มน่ั 95%ดูดใช้ธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองจากดิน และ 2.การใช้ปุ๋ยยูเรีย และก�ำมะถันในช่วงปลูก ควรเม่ือกลับมาใส่ปุ๋ยบ�ำรุงตามค�ำแนะน�ำในภายหลังแล้ว ผสมดินปลูกและใส่ไว้ในหลุมก่อนปลูกประมาณ 15 วันต้นยางสามารถตอบสนองโดยการดูดใช้ธาตุอาหาร เพื่อลดความเป็นพิษท่ีเกิดจากปฏิกิริยาของปุ๋ยกับไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม และ ความช้ืนในดิน ส่วนปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตสามารถผสมแคลเซยี มไดไ้ มแ่ ตกตา่ งกบั กรรมวธิ ที ใ่ี สป่ ยุ๋ ตามค�ำแนะน�ำ ดนิ และปลูกได้พรอ้ มกนัซ่ึงผลการวิเคราะห์ใบพบว่า ทุกกรรมวิธีมีปริมาณธาตุอาหารเหล่าน้ีไมม่ คี วามแตกต่างกันทางสถติ ิ ค�ำขอบคณุคำ� แนะน�ำและการน�ำไปใชป้ ระโยชน์ 1. การเตรียมแปลงปลูกโดยการก�ำจัดตอไม้ ราก ผู้วิจัยขอขอบคุณ สถาบันวิจัยยาง ที่สนับสนุนเงินไม้เดมิ ร่วมกับการใช้ปุ๋ยแอมโมเนยี มซลั เฟต อัตรา 200- ทุนการวิจัย ขอขอบคุณ คุณอรพิณ หนูทอง ผู้อ�ำนวย300 กรัม/ต้น/ครั้ง, ปุ๋ยยูเรีย(46-0-0) อัตรา 100-200 การกลุ่มพัฒนาการตรวจสอบพืชและปัจจัยการผลิตกรัม/ตน้ /คร้ัง และ/หรือก�ำมะถันผง อตั รา 100-200 กรัม/ ส�ำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตท่ี 7 พร้อมด้วยตน้ /ครง้ั ผสมดินปลกู และใส่ซ�้ำ 4 เดือนต่อครัง้ โดยโรย ข้าราชการและพนักงานทุกท่านที่กรุณาวิเคราะห์ดินและรอบโคนต้นในแนวรัศมีทรงพุ่มใบยาง คาดว่าท�ำให้ ใบยางให้งานวิจัยนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สุดท้ายนี้ ขอประสบผลส�ำเร็จในการป้องกันการติดเช้ือราโรครากขาว ขอบคุณพนักงานราชการงบค้นคว้าวิจัย 5% พนักงานของต้นยางปลูกใหมใ่ นแปลงทีเ่ คยเป็นโรครากมากยิง่ ขนึ้ จ้างเหมาทกุ คนทีช่ ว่ ยปฏิบัติงานวิจยั และเกบ็ ข้อมูลท�ำให้ งานวจิ ัยส�ำเรจ็ สมบูรณต์ ามเป้าหมาย

ตารางที่ 10 คา่ วเิ คราะหใ์ บหลงั การใส่ปยุ๋ 3, 6 และ 7 ครัง้ แล กรรมวิธี 3 ครง้ั ไนโตรเจน (%) 7 ครัง้ +1 ฟ1) 21-0-0+24S 200g 2.4482 6 ครงั้ 2.4804 3 คร้ัง2) 21-0-0+24S 300g 2.5806 2.48143) ยเู รีย 100g 2.4164 2.2860 2.4314 0.1287 d4) ยเู รีย 200g 2.5723 2.1774 2.3654 0.1278 d5) ก�ำมะถนั 100g 2.5965 2.1664 2.3313 0.1486 bc6) ก�ำมะถัน 200g 2.4456 2.0073 2.5097 0.1397 cd7) ควบคุม 1 2.6720 2.1755 2.4815 0.1692 ab8) ควบคุม 2 2.6700 2.1769 2.5470 0.1537 bcเฉลยี่ 2.5502 2.2498 2.4535 0.1855 aCV (%) 5.8 2.4548 8.5 0.1783 a 2.2118 0.1539 6.1 7.4หมายเหตุ: - ตวั เลขในคอลัมน์เดียวกนั ทต่ี ามดว้ ยอักษรเหมือนกนั ไม่แตกต่างกันทางสถิติ ท่รี ะดบั ความเชื่อมนั่ - 7 ครงั้ + 1 หมายถงึ ตามดว้ ยปยุ๋ บ�ำรุง 1 ครงั้

ละปยุ๋ บำ�รุง 1 ครงั้ ณ แปลงทดลองท่ี จ. สรุ าษฎร์ธานีฟอสฟอรัส (มก./กก.) โพแทสเซยี ม (มก./กก.)6 คร้ัง 7 ครงั้ +1 3 ครงั้ 6 คร้งั 7 ครงั้ +10.1580 ab 0.1913 ab 0.7817 dc 0.8845 0.57440.1449 cd 0.1763 ab 0.7518 d 0.9133 0.5472cd 0.1326 d 0.1802 ab 0.8510 bc 0.9226 0.6174d 0.1275 d 0.1716 b 0.7484 d 0.9145 0.6220b 0.1508 bcd 0.1826 ab 0.8863 b 1.0218 0.5799c 0.1484 cd 0.2040 a 0.8960 b 1.0476 0.56910.1741ab 0.1981 ab 1.0291 a 1.0001 0.60090.1858 a 0.2008 a 0.9932 a 1.0174 0.65900.1527 0.1881 0.8672 0.9652 0.59628.4 7.8 5.6 11.6 10.4น 95% โดยวธิ ี Duncan’s Multiple Range (DMRT)

28 ฉบับอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 ตารางที่ 10 (ต่อ) ค่าวเิ คราะหใ์ บหลงั การใส่ปุย๋ 3, 6 และ 7 ครัง้ และปยุ๋ บำ�รุง 1 ครัง้ ณ แปลงทดลองที่ จ. สรุ าษฎร์ธานีกรรมวิธี แคลเซียม (มก./กก.) แมกนีเซียม (มก./กก.) 3 ครง้ั 6 ครั้ง 7 ครงั้ +1 3 ครงั้ 6 คร้ัง 7 ครงั้ +11) 21-0-0+24S 200g 0.6251 b 0.6829 0.7108 0.0846 0.1924 0.2279 ab2) 21-0-0+24S 300g 0.5830 b 0.5930 0.7292 0.0717 0.0548 0.2166 b3) ยูเรยี 100g 0.6746 ab 0.7654 0.6889 0.1414 0.0644 0.1945 b4) ยูเรีย 200g 0.6309 b 0.6597 0.9002 0.0817 0.0479 0.2028 b5) ก�ำมะถัน 100g 0.7602 a 0.6861 0.7732 0.1213 0.0720 0.2406ab6) ก�ำมะถนั 200g 0.5987 b 0.6156 0.8283 0.3482 0.0800 0.2383 ab7) ควบคมุ 1 0.6655 ab 0.7413 0.8052 0.0616 0.0786 0.2325 ab8) ควบคุม 2 0.7773 a 0.7246 0.9427 0.0655 0.0845 0.2826 aเฉลี่ย 0.6644 0.6836 0.7973 0.1220 0.0843 0.2295CV(%) 9.8 16.5 18.4 137.0 107.0 15.9หมายเหตุ: - ตัวเลขในคอลมั นเ์ ดยี วกนั ทีต่ ามดว้ ยอกั ษรเหมอื นกนั ไมแ่ ตกต่างกนั ทางสถติ ิ ทรี่ ะดับความเชอื่ มัน่ 95%โดยวิธี Duncan’s Multiple Range (DMRT) - 7 ครง้ั + 1 หมายถงึ ตามด้วยปุ๋ยบ�ำรุง 1 ครั้ง เอกสารอ้างองิ ของยางพารา. ใน: เอกสารการประชุมวิชาการ ยางพาราแห่งชาติ 5-6 มิถุนายน 2552. อิมแพคกองส�ำรวจดิน. 2523. http : //www.farmkaset.org/ เมอื งทองธานี จ.นนทบรุ .ี หน้า 202-212. contents/default.aspx?content=00861. อารมณ์ โรจน์สุจิตร, สายใจ สุชาติกูล, บุญปิยะธิดานุชนารถ กงั พสิ ดาร. 2542. การประเมนิ ระดบั ธาตอุ าหาร แคล่วคล่อง, สมคิด ด�ำน้อย, ปราโมทย์ ค�ำพุทธ พืชเพ่ือแนะน�ำการใช้ปุ๋ยกับยางพารา. เอกสาร และ ชศู ักดิ์ สมมาตร. 2554 ก. ศักยภาพของแม่ วิชาการที่ 1/2542 สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการ ปุ๋ยบางชนิดต่อการยับยั้งและป้องกันการเกิดโรค เกษตร. 116 หนา้ . รากขาวของยางพาราสาเหตุจากเชื้อรา Rigido-ศุภมาศ พนิชศักดิ์พัฒนา. 2559. จุลชีววิทยาของ porus microporus ในยางปลกู ใหม.่ ใน : รายงาน อินทรีย์สาร. จุลชีววิทยาของดินเพ่ือผลิตผล ผลการวิจัยเรอ่ื งเตม็ ประจ�ำปี 2553. สถาบันวิจยั - ทางการเกษตร. ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะ ยาง กรมวชิ าการเกษตร. หน้า 282-292. เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 335 อารมณ์ โรจน์สุจิตร, อุไร จันทรประทิน, พเยาว์ หน้า. รม่ รืน่ สุขารมย์, นรสิ า จันทรเ์ รอื ง, สโรชา กรีธาพล,อารมณ์ โรจนส์ จุ ติ ร, สายใจ สุชาตกิ ูล, วสันณ์ เพชรรตั น์ วนั เพญ็ พฤกษวิวัฒน์, สุเมธ พฤกษวรุณ, และ เสมอใจ ช่ืนจิตร. 2552. ลักษณะทาง วลัยพร ศศิประภา, ปราโมทย์ ค�ำพุทธ และ ประภา สรีรวิทยาและแนวทางควบคุมเช้ือราโรครากขาว

29 ฉบับอิเลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 Peries, O. S., and N. I. S. Liyanage. 1983. The use of sulphur for the control of white root disease พงษ์อุทธา. 2554 ข. ประเมินความสูญเสียทาง caused by Rigidoporus lignosus. Journal เศรษฐกิจของยางพาราสาเหตุจากโรครากขาวใน Rubber Research Institute of Sri Lanka 61: พื้นท่ีปลูกยางของประเทศไทย. ใน: รายงานผล 35-40. การวิจัยเร่ืองเต็ม ประจ�ำปี 2553. สถาบนั วิจัยยาง กรมวชิ าการเกษตร. หน้า 248-267.

โมระคเรรง็ ารา้กยขใานวสวนยาง \"กำ�จดั แหล่งอาหาร ปรับลดเชือ้ รา ยบั ย้งั รักษา ใส่ใจพัฒนา สวนยางพน้ ภัย\" ดว้ ยความปรารถนาดจี าก สถาบันวจิ ยั ยาง การยางแหง่ ประเทศไทย

31 ฉบบั อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559ตลาดยางพาราไทยอธวิ ณี ์ แดงกนิษฐ1์ และ อรอุมา ประเสรฐิ 21 กลมุ่ วจิ ัยเศรษฐกจิ สถาบันวิจยั ยาง การยางแหง่ ประเทศไทย2 สำ�นกั งานตลาดกลางยางพารานครศรีธรรมราช ปัจจุบันเกษตรกรมีรูปแบบการจ�ำหน่ายผลผลิต ยางก้อนถ้วยมารวบรวมในตลาดเพื่อคัดแยกชั้นและชั่งยางที่หลากหลายมากขึ้นทั้งในรูปน�้ำยางสด ยางก้อน น�้ำหนัก รอผู้ซ้ือมาตรวจสอบคุณภาพและประมูลราคาถ้วย ยางแผ่นดิบ หรือยางแผ่นรมควันชนิดไม่อัดก้อน แข่งกนั ในกรณีนผ้ี ู้ซื้อยังเป็นผกู้ �ำหนดราคาซื้อผลผลิตดังนั้น การวางแผนทางการตลาด รูปแบบการจ�ำหน่าย 2. ตลาดประมลู แบบ Paper Rubber Market โดยและข้อมูลข่าวสารท่ีเกี่ยวข้องกับราคายางจึงเป็นปัจจัย รวบรวมผลผลิตยางจากจุดรวมยางของแต่ละสถาบันส�ำคัญที่เกษตรกรควรรับทราบและสามารถน�ำมาปรับใช้ เกษตรกร และต้องได้รับการรับประกันคุณภาพในระดับให้ทันต่อสถานการณ์ ส�ำหรับตลาดยางพาราใน หนึ่ง แล้วจึงให้ผู้ซ้ือ ทั้งผู้ประกอบการรายเล็กและรายประเทศไทยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะคือ ตลาด ใหญ่ ใหร้ าคาประมูลผ่านทางระบบการสื่อสารท้องถ่ิน ตลาดกลางยางพารา และตลาดสินค้าเกษตร 3. ตลาดตกลงราคา เป็นตลาดส�ำหรับการขายลว่ งหน้า ซ่ึงแต่ละลักษณะสามารถอธบิ ายไดด้ งั น้ี ผลผลิตน้�ำยางสด โดยท�ำการตกลงราคาไว้ก่อนอย่าง นอ้ ยหน่งึ วนั แล้วจึงรวบรวมยางจากเกษตรกร ตลาดท้องถนิ่ 4. ตลาดข้อตกลงยาง (Forward Market) เป็นรูป แบบตลาดซ้ือขายล่วงหน้า ก�ำหนดราคาโดยการตกลง เป็นตลาดท่ีอยู่ใกล้แหล่งผลิตของเกษตรกร การ ราคาล่วงหน้าก่อนการส่งมอบ ผู้ผลิตเป็นฝ่ายเสนอราคาซ้ือขายจะเป็นการตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายแต่ละราย แล้วให้ผู้ซื้อต่อรอง(ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์,ไม่มีกฎระเบียบท่ีแน่นอน ไม่มีมาตรฐานคุณภาพยางท่ี 2555)ชัดเจน ผู้ซื้อจะเป็นผู้ประเมินคุณภาพยาง และเป็นผู้ ปัจจุบันตลาดประมูลท้องถิ่นได้พัฒนารูปแบบการก�ำหนดราคา การจ่ายเงินจะจ่ายเป็นเงินสด ตลาดท้อง ประมูลเป็นการประมูลทางอิเลคทรอนิกส์ โดยตลาดจะถ่ินจะประกอบด้วยพ่อค้าหลายระดับ ตั้งแต่ระดับ ก�ำหนดราคากลางซึ่งโดยส่วนมากจะอ้างอิงจากราคาหมูบ่ า้ น ต�ำบล อ�ำเภอ จงั หวัด และโรงงานแปรรปู ยาง ซึง่ ตลาดกลางยางพารา และให้ผู้ซ้ือเสนอราคาเพิ่มข้ึนจากโรงงานแปรรูปยางจะรับซ้ือยางจากพ่อค้ารายใหญ่ ราคากลางเท่าน้ัน ตลาดท้องถิ่นมีข้อดีคือ มีความสะดวกในการขนส่งเพราะอยู่ใกล้แหล่งผลิต และเกษตรกรได้รับเงิน ตลาดกลางยางพาราทันที นอกจากนั้นยังมีตลาดประมูลท้องถ่ินในความดูแลของส�ำนักงานกองทุนสงเคราะห์การท�ำสวนยาง ซ่ึงมีรูป เป็นตลาดท่ีมีการซื้อขายแล้วส่งมอบจริง โดยมีแบบตลาดแตกต่างตามชนิดของผลผลิตยาง แบ่งเป็น 4 การยางแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดูแล มีวัตถุประสงค์ในประเภทคอื การจัดตั้งตลาดเพ่ือสร้างราคาท่ีเป็นแหล่งอ้างอิงราคา 1. ตลาดประมูลท่ัวไป เป็นตลาดประมูลยางท่ี ของประเทศ และส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาคุณภาพเกษตรกรน�ำผลผลิตยางที่ส่วนใหญ่เป็นยางแผ่นดิบและ ยางให้ได้มาตรฐานท่ีเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ การ

32 ฉบบั อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 ด�ำเนินงานมีกฎระเบียบขั้นตอน และกระบวนการตาม ยางแผ่นรมควันตามมาตรฐาน Green Book ซ่ึงเป็น ธุรกิจท่ีทุกฝ่ายยอมรับ ช่วยลดปัญหาการตลาด และ มาตรฐานสากลในการซ้ือขายยางแผ่นรมควัน และใช้วิธี¢ÒÂÃàÊÙ»¹áºÍº·¡Ñ§é สไสÒÃดรถÃÒ้แ้าา«¤งกบ×Íéอ่Òันย�¢áำเนาÅกÒงาษÂÐแจ»ตผµตรÃ่น่อÅกÔÁดรรÒอิบÒ´งย³ใแ¢านลง·ŒÍกทะµèÕµาย่ีทร͌า¡�ขำง§กÅาแา¡ย§ผรÒย่นÊซÃา้ือร§‹งม«ขใÁคÍé×าหยวÍ¢้แันผºกÒช่า่¨Âเนนก¼ÃิดษตÔ§ไҋลตม¹าร่อดกÃัดรกÐกแลº้อลาºนะงÍÔ¹àเกธµสรานรÍรมอปÃเซนรàอ้ื ¹ะียสมมµçะูกลทาผอ้ รน่าใถนชงึ้บทคราวิกงาารมระตตบล้อบางกดอาแินรตเทต่อี่แอยท่ารจ้ ง์เรนใงิด็ตขอจโงึงดผทยซู้�ำ้ือไใหมส้ร่มง่าีคผคล่าา¡Åŧҧ«Í×éÀ¢ÒÂÒÂ㹨กสปÐงลัจà1ข»าจลุง4บ¹š ายันÅ,ามตÑ¡ÇงีใพลÉห¹Ñ าา้³บดรรâากÐิก´¢สลาÂุราÍราง¼§ษ6ย¢ŒÙ¡าฎตÒÒงรลพÂÃ์ธาา¨¨าดรนºÑÐาคäี,น¤ือ´คตÙʋ ŒÃตรล­ÑศลºÑ าราàด­ีธ§ดกรกÔ¹Òรลลมà¤าÁารงҋงา×èÍยÂยชÃาา,ÒงÒง§ตพพ¤àลาาÁÒารรµดÍè×าาÃʧ§‹ ¡ใเเÁมปหѹÍ่ือ็น้เกเºแทษรÂียËงตบÒจÅร§กูงก§Ñใับµรจท¨กÒใี่นาÒหÁร�¡้เำน¤กย¹�ษาำسย¹éÑงตามÀ¼รงากÒไ¢ŒÙขปร¾ามÒข¤ยÂีกาไÃยา¨ดรใº§Ö้รพนับµ¹ตัฒผÒลÒí นลÁาÂาตด¨Òคอท§ุณÒíบ้อ¹ÁแงภถทÇÒา่ินนÊพ¹ททก§‹ã่ัว่ีเาÁพไ¹รป่ิมผÍÊลขจºÑ­้ึนิตึง ­³Ò¹¼«ŒÙ ×Íé ¨ÐªÒí ÃหÐนàอ§งÔ¹คา¤ยҋ ,ÂตÒล§าดàÁกลÍè× าäง´ยŒÃางѺพÁารÍาºบÂุรีรÒมั §ย์ แáลÅะÐตÊลÔ¹éาดÊก´ØลาÊง­Ñ ­ยÒาàงÁ×èÍในäข´ณŒÃѺะทÁ่ีผÍู้ซºื้อÂไÒด§้รัáบÅคÐวªาíÒมÃสÐะàด§วÔ¹ก¤ใÃนกºาµรÒจÁัด¨หาíҹǹã¹ÊÑ­ÅÒ´¨Ð·Òí ˹ภยŒÒาา·งคÕãèพต¹าะร¡วาันÒยอÃะอลÃกาѺเฉÃคียรÍงอเ§หบ¤นค³ØือลุมÀรพูปÒ้ืนแ¾ทบÂ่ีปบÒลต§ูกลµยาาดÒงสÁใานÁมภาÒารµคถÃใแตบ°้แ่งÒลไ¹ดะ้ GครrวุeณบeภรnาวพมBทยี่ตาo้องoงสกkาารมาแรลถะรสวาบมราวรมถใยชา้รงาไคดา้ใตนลปารดิมกาลณางแเปล็นะ¡ºÑ ´áÙ Åãˌ¤เًÊปÑ­น็ 2­ปÒร·ะเÑé§ภÊทÍค§ือ½Ò† »¯ºÔ µÑ ÔµÒÁÊ­Ñ ­ÒáÅÐ໚¹¼´ÙŒ Òíรàา¹คÔ¹าอ¸้าØÃง¡อÃิงกÃาÁร·ซื้อÒ§ขา¡ยÒยÃาàง§ใ¹Ô นระดับท้องถิ่น ระดับŴТÂ͌ҵ§á¡¼Å‹¹§ÃÊแ เปÁผ§‹ ็น¤่นÁตÇดลÍ1ิบѹาº. ตดแª¨ลซล¹Ãาื้อะดÔ´§ÔขยซาÍàาอื้»ย´Ñ ขงส¹š าแ¡่งยµผ͌มว่¹Åอนนั บรตÒËจม´่อÃรวค·ิ×Íงนั วทÊÕèÂัน(ุกÒPÒชวÁh§ันนyÅÒทิsดÃiÙ¡�cไำ¶กaม¢lา¾่عอSร²Ñัดpสกo¢¹�tำ้อÍหÒMน§µรaับʋÍrโยk¶ดÂeาtยÒÍง)º´¹Ñ áÅàMป ¡รÐaÉะ¢rเkµทÂeศ2ÃÒt.)¡แตป¡ลÃลัจะÒ·ารจÃดÕè¼ะุบขãดҋันอ้Ëับ¹มตโºŒ ÁีลใกÃหกลÒ้บ¡ÔงµสรÒÃง่ิกÃมา°àอร¾Òบ¹ณ×Íè จÃริงGตÍล(§PMาÃhดyPºÑ กs¡ลicาÒaÊงÃlย¶F¼าÒoÅงrºพwÔµ¹Ñ าaÂรrÇdาÒÔ¨§ÂÑ á·ҧ‹ §ST เกษตรกร สถาบันเกษตรกรน�ำยางเข้าตลาด และมีการ นครศรีธรรมราช เป็นการซ้ือขายยางแผ่นรมควันช้ัน 3 คัดแยกยางตามช้ันคุณภาพ มีมาตรฐานคุณภาพยางที่ ชนิดไม่อัดก้อนล่วงหน้าแล้วส่งมอบจริงระยะ 14 วัน ซ่ึง ชัดเจน ยางแผ่นดิบตามมาตรฐานสถาบันวิจัยยาง และ จะสอดคล้องกับรอบการผลิตยางแผ่นรมควันของÊÔ¹¤ŒÒà¡ÉµÃŋǧ˹Ҍภาพที่ 1 รปู แบบการซือ้ ขายตลาดขอ้ ตกลงสง่ มอบจริง ณ ตลาดกลางยางพารานครศรีธรรมราช µÅÒ´Ê¹Ô ¤ŒÒà¡ÉµÃÅNj §Ë¹ÒŒ ·ÊÕè Òí ¤­Ñ ã¹»¨˜ ¨Øº¹Ñ 䴌ᡋ µÅҴŋǧ˹ŒÒÊÔ§¤â»Ã µÅÒ´ÅNj §Ë¹ÒŒ

33 ฉบับอเิ ล็กทรอนิกส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 ตน้ ทุนในการเก็บรักษา และการขายลว่ งหนา้ เพ่อื ปอ้ งกนั ความเสยี่ งจากความผนั ผวนของราคาเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ท�ำให้เกษตรกรลดความเส่ียงท่ีอาจขาดทุนจากความผันผวนของราคายาง ปัจจัยท่ีมีผลต่อราคายางและเน่ืองจากเกษตรกรตัดสินใจขายบนพ้ืนฐานของการ การพยากรณ์ราคายางทราบตน้ ทุนการผลติ ที่แน่นอน รูปแบบการซื้อขายตลาดข้อตกลงส่งมอบจริง ผู้ ในปี 2558 ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตซ้ือผู้ขายเสนอท้ังราคาและปริมาณท่ีต้องการซื้อขายผ่าน ยางพาราธรรมชาติ 4.473 ล้านตัน มีการใช้ในประเทศระบบอินเตอร์เน็ต การตกลงซ้ือขายจะเป็นลักษณะของ 0.600 ล้านตัน และเป็นการส่งออกในรูปวัตถุดิบ 3.749การจับคู่สัญญาเม่อื ราคาตรงกัน หลงั จากนน้ั ผู้ขายจงึ น�ำ ล้านตัน จึงท�ำให้ราคายางข้ึนอยู่กับกลไกตลาดโลกยางมาส่งมอบ ณ ตลาดกลางภายใน 14 วัน โดยผูข้ ายจะ ถึงแม้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางได้รับเงินค่ายางเมื่อส่งมอบยางตามคุณภาพครบตาม อันดับ 1 ของโลกก็ตาม โดยราคายางจะข้ึนอยู่กับจ�ำนวนในสญั ญา ทางด้านผู้ซอ้ื จะช�ำระเงนิ ค่ายางเมื่อได้ พฤติกรรมในการขายยางของผู้ส่งออกยางซึ่งจะมีรับมอบยาง และสิ้นสุดสัญญาเมื่อได้รับมอบยางและ ลักษณะการท�ำสญั ญาเป็น 3 ประเภทคอื การท�ำสญั ญาช�ำระเงินครบตามจ�ำนวนในสัญญา โดยตลาดจะท�ำ แบบ Spot เป็นการซื้อขายที่ผู้ส่งออกมีปริมาณยางอยู่หน้าท่ีในการรับรองคุณภาพยางตามมาตรฐาน Green แล้ว เม่ือตกลงราคาซื้อขายจะสามารถส่งมอบยางได้Book การก�ำกับดูแลให้คู่สัญญาท้ังสองฝ่ายปฏิบัติตาม ทันที การท�ำสัญญาแบบ Short Term เป็นการซื้อขายสัญญาและเป็นผู้ด�ำเนินธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งตลาดข้อ ยางลว่ งหน้าโดยส่วนมากจะเป็นระยะ 1 ถงึ 3 เดือน และตกลงส่งมอบจริงเป็นตลาดที่สามารถพัฒนาต่อยอดและ การท�ำสัญญาแบบ Long Term เป็นการท�ำสัญญาล่วงขยายการให้บริการเพื่อรองรับการผลิตยางแท่ง STR 20 หน้าระยะยาวเป็นปี โดยจะเป็นการก�ำหนดปริมาณการและยางแผ่นรมควันชนิดอัดก้อนหรือยางลูกขุนของ ส่งมอบในแต่ละช่วง และตกลงราคา ณ วันส่งมอบโดยสถาบันเกษตรกรท่ีผ่านมาตรฐาน GMP การยางแห่ง ส่วนมากจะใช้ราคาเฉลี่ยรายเดือนของตลาดล่วงหน้าประเทศไทย สงิ คโปร์ การก�ำหนดราคารับซื้อของผู้ส่งออกแต่ละวัน ตลาดสนิ ค้าเกษตรลว่ งหน้า นอกจากก�ำหนดจากการส่งมอบยางตามสัญญา ต้นทุน ในการด�ำเนินการแล้ว ผู้ส่งออกยังใช้แนวโน้มราคายาง ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าท่ีส�ำคัญในปัจจุบัน ในตลาดซ้ือขายล่วงหน้า ท้ังตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์ได้แก่ ตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์, ตลาดล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้, ตลาดล่วงหน้าเซ่ียงไฮ้ และตลาดล่วงหน้าโตเกียว ส่วนตลาดล่วงหน้าโตเกียว และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยยังไม่มีผลแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้ปรับเปล่ียนเป็น บริษัท ต่อราคายางมากนัก เน่ืองจากมีปริมาณการท�ำสัญญาตลาดสัญญาซ้ือขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จ�ำกัด นอ้ ยมหาชน (TFEX) มีรูปแบบการซ้ือขายล่วงหน้าระยะ 6 ส�ำหรับปัจจัยท่ีใช้ในการคาดการณ์ราคายางรายเดือน ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นลักษณะการซื้อขายสัญญา วันนั้น จากงานวิจัยการพยากรณ์ราคายางแผ่นรมควันมากกว่าการส่งมอบจริง ลูกค้าของตลาดสินค้าเกษตร ชั้น 3 ชนิดไม่อัดก้อน พบว่า การเปลี่ยนแปลงอัตราของล่วงหน้าจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ผู้ประกันความเสี่ยง อัตราแลกเปลี่ยน (บาท/ดอลลาร์สหรัฐ) มีผลต่อการ(Hedger) และนักเกง็ ก�ำไร (Speculator) ซง่ึ เป็นผเู้ ขา้ มา เปล่ียนแปลงราคายางแผ่นรมควันช้ัน 3 มากท่ีสุดซ้ือขายต๋ัวสัญญาเพ่ือต้องการก�ำไรจากส่วนต่างของ เน่ืองจากการซ้ือขายยางพาราในตลาดโลกน้ัน ส่วนใหญ่ราคาซ้ือและราคาขายเท่าน้ัน ส่วนลูกค้าที่เป็นผู้ประกัน จะซ้อื ขายและช�ำระเงินกันดว้ ยเงนิ สกุลหลักของโลก โดยความเสี่ยง จะเข้ามาด�ำเนินกิจกรรมในตลาดสินค้า เฉพาะดอลลาร์สหรัฐ ดังน้ัน การเปล่ียนแปลงของอัตราเกษตรล่วงหนา้ 2 ลักษณะคอื การซอื้ ลว่ งหนา้ โดยลูกค้ากลุ่มน้ีมีความต้องการยางจริงในอนาคต แต่ต้องการลด

¼ŒÊÙ ‹§ÍÍ¡Âѧ㪌á¹Ç⹌ÁÃÒ¤ÒÂÒ§ã¹µÅÒ´«é×Í¢ÒÂÅNj §Ë¹ÒŒ ·Ñé§µÅÒ´ÅNj §Ë¹ÒŒ ÊÔ§¤â»ÃµÅҴŋǧ˹ŒÒà«èÂÕ §äΌµÅҴŋǧ˹Ҍ âµà¡ÕÂÇʋǹµÅÒ´ÊÔ¹¤ŒÒà¡ÉµÃÅNj §Ë¹ÒŒ áˋ§»ÃÐà·Èä·Â处 äÁ‹Á¼Õ ŵ‹ÍÃÒ¤ÒÂÒ§ÁÒ¡¹Ñ¡à¹Íè× §¨Ò¡ÁÕ»ÃÁÔ Ò³¡Ò÷íÒÊÑ­­Ò¹ŒÍ 34 ฉบบั อิเล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 ภาพที่ 2 ราคายางแผ่นรมควนั ช้ัน 3 ระหว่าง มนี าคม 2558 ถึง มีนาคม 2559 [ทม่ี า: ส�ำนกั งานตลาดกลางยางพารานครศรธี รรมราช, ตลาดล่วงหนา้ TOCOM (www.tocom.or.pj), ตลาดล่วงหหน้าเซี่ยงไฮ้ (www.shfe.cn), ตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์ (www.sgx.com) และตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ประเทศไทÊยíÒ(ËwÃwºÑw».a˜¨fe¨t.oÂÑ r·.thèÕã)ª] ㌠¹¡ÒäҴ¡ÒóÃÒ¤ÒÂÒ§ÃÒÂÇѹ¹Ñ¹é ¨Ò¡§Ò¹Ç¨Ô Ñ¡ÒþÂҡóÏ Ò¤ÒÂҧἋ¹ÃÁ¤Ç¹Ñ ª¹éÑ3 ª¹Ô´äÁ‹Í´Ñ ¡ŒÍ¹ ¾ºÇҋ ¡ÒÃà»ÅÂÕè ¹á»Å§ÍµÑ ÃÒ¢Í§ÍµÑ ÃÒáÅ¡à»ÅèÕ¹ (ºÒ·/´ÍÅÅÒÏÊËÃѰ)ôÊÁÒѧ¼ÕNj ¤¹Å¹ÒéѹµãÂË¡‹ÍÒÒ­¡§ลหแกสÃÒ¨าิลงนง‹¨àÃรคมÒ»ก้าÐàซ¡«โÅทเ»าป้อืปµéÍ× ÅÕÂèค่ีมขล¢รŹืÂèÕีผอา์ีย่ÒÒ¹áลซยÂน´»รตáึ่งยáÅÅา»ยเÅ่อาปNjคŧ่องรЧ็ª¢นาา§ผมíÒËคยÍÃา่ตสç¹นาÒาล่งФยÍงตผҌàา§ÑµาÒจลลด«Â¹ÔงาÃกาลมè§ÖÒ¡กดÒร่ว§µา¹ÑáะตลงáÅกÅท´ว่ล¼หท¡Òบnjง¹‹านà´ี่สหต»ดÃ้าÅุดนÅ่อàÁลท§Ç‹า้รÂèÕค¤่ี่เÔ¹ว§แาก¹ือÇงÊคËห่าหรѹา¹¡่งÂแานยªนØÅҌ‹Íคกé¹Ñา·้ี้าËÁา่ทมงÁÕèÅตÊพ่ีีอส3ซ¼Õ¡Ñล‹§ตัาุด่ึงÅ¢า¼รรตÁµดÍาาÅเลÒน§ดล‹Íส¡¡าâื่Ãว้อ่วว่÷ÅดยงนÒงÐÊèÕ¡ห¤ลจ·ขรØ´นÒาº่ออวâÂกµ้างงง´àÒ¹‹Í§Ã×èÍàÁ©Ò§Ò ขเโค¤¾¨ศ¡จองÒÒÒ·รนชÐÂง¡ษ´ÕÊèนะสÒ¡Íฐ´Øล§กั์ÒใÅก¾ซอลÃน¤Åิจึ่Òตง«งปÃโÍ×ถÒทéÍ×วั ลÃัจÒÃืลอ¢นุ ก´ÊจÒงไÒต¤ŒÇุอบดÂË่อโÒÂยÂด้Ãันวภµ่าÒ่°ÑยาาÃÅง§จเเวตปฉ;Òาะ§´พอ่Ò็นกเÃÅศเÅาปสนÒร§ะ‹Çััญญอื่ãษเÁ§ศ¹งฐญหÒËรµ¤กโา¹ษาดÅิจÍ×ทҌณฐยโÒÊากล´งบÔ§Gิจกâด¤่งÅจD้าบâีน¡Pน»อ¹Ãกแไกé¹Ñ าตลถรระึงชมสคะาหวลสราอัฐม1ตฯ/มัว2่ันทข5อ5่ียใจ9งัง«Ö§è ໹š µกÅาÒร´สÅ่งNjม§อËบ¹จҌร·ิงมàÕè ¡า‹Òกáก¡‹·วา่ÕèÊตØ´ลาà¹ดèÍ×ล§่ว¨งหÒ¡น¡า้ ÒอÃ่นื «Íé× แ¢ลÒะÂใÂนÒก§า¼ร‹Òซ¹้อื µÅÒ´ขÅอ‹Çงจ§นี Ëข¹ยŒÒาáยËต§‹ ¹ัวéÕ ร้อยละ 6.7 ซึง่ เป็นอัตราการขยายตวั ต�่ำÁÕ굄 ÃÒÊขNj า¹ย¢ไมÍ่§ต¡้อÒงÃผÊ่า‹§นÁเงÍินºส¨กÃุลÔ§ทÁ้Òอ¡ง¡ถÇ่ิน‹ÒµโดÅยÒ´ในÅก‹Çา§รËซ¹ื้อҌ ขÍา×è¹ยยáÅางÐ㹡ÒสÃุด«×Íéต¢้ังÒแÂตä่ไÁตµ‹ ม͌ า§ส¼Ò‹2¹/2à§5Ô¹58Ê¡แØÅล·ะŒÍ§G¶Dè¹Ô P สหรัฐฯ ไตรมาสâ´Â㹡ผÒÃ่าน«Íé×ต¢ลÒาÂดÂนÒ้ี §ส¼่ว‹Òน¹ใหµญÅÒจ่ ´ะ¹ทéÕ �ÊำกNj า¹รซã้อืËข­า‹¨ยÐย·าíÒง¡ÒRÃS«SéÍ× ¢3ÒÂแÂลÒะ§ RS4/2S5538 ขáÅยาÐยTตSัวรRอ้ 2ย 01.4ÃลÍด§ลÅง§จÁาÒก¤ไÍ×ตรมาสท่ีผา่ นมา ซึง่ÃÒ¤ÒÂÒ§TSµRÅÒ2´0ŋÇร§อËงล¹งŒÒมà«าÂÕè ค§ือäÎรŒ าà¹คÍè×าย§¨างÒต¡»ลÃาÐดà·ลÈ่ว¨งห¹Õ นà้า»เ¹šซ»ี่ยÃงÐไàฮ·้ È·Õºè ขÃยâÔ าÀย¤ตÂัÒว§รÁ้อÒย¡ลà»ะ¹š 2Í.¹Ñ0´อºÑ ีกËท¹้ัè§Öงม¢ีÍก§าâรÅค¡าดการณ์ว่า GDPáÅÐ໚¹»อเนÃันÐ่ือàดง·ัจบÈา·หกÕäè น·ปึ่งÂรขะÊอเ‹§ทงÍศโÍลจ¡ีนกÂÒเแ§ป¾ล็นÒะปÃเรÒปะä็»นเทÁปศÒรท¡ะ·ี่บเèÕÊรทิโØ´ศภทค´ี่ไย§Ñ ท¹างย¹Ñé มสา¡่งกÒอÃเปอà»็นกÅÕè¹áจไ»ตาÅรกม§กา¢าสÍรช§1ะÃ/2ลÒ5¤อ5Òต9ÂัวÒขเ§ศอãรง¹ษสµหฐÅกรัฐิจÒฯ´โลÅจก‹Çะดข§ังยËกา¹ลยŒÒ่าตà«ววั èÂÕเพส§่งยีäผÎงลรŒ ้อใยหล้กะาร0ใ.ช7้ ยางพาราไปมากท่ีสุด ดังน้ัน การเปลี่ยนแปลงของราคา ยางของโลกลดลง อีกท้ังปริมาณยางโลกท่ีเพิ่มสูงขึ้น ก่อ ยางในตลาดล่วงหน้าเซยี่ งไฮ้ จงึ มีผลตอ่ การเปลี่ยนแปลง ให้เกิดปริมาณผลผลิตส่วนเกิน ซึ่งปริมาณผลผลิตส่วน ของราคายางแผ่นรมควันในประเทศไทยเช่นกัน ส�ำหรับ เกินนี้ ท�ำให้สต็อกยางโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยในปี 2558 การเปล่ียนแปลงของราคาตลาดล่วงหน้าโตเกียว มีผล สต็อกยางโลกอยู่ท่ีระดับ 3,159,000 ตัน จากปัจจัย ต่อราคายางน้อยท่ีสุด เนื่องจากในการซ้ือขายยางผ่าน กดดนั ดงั กล่าวจงึ สง่ ผลใหร้ าคายางปรบั ตวั ลดลง ตลาดแห่งน้ี ส่วนใหญ่ไม่ได้ส่งมอบจริง เป็นลักษณะเก็ง การติดตามสถานการณ์ราคายางจึงมีปัจจัยหลาย ก�ำไร ส�ำหรบั ปจั จยั อ่ืนๆ ทม่ี ีผลต่อราคายาง ได้แก่ ราคา ตัวท่ีจะต้องติดตามความเคล่ือนไหวโดยสม�่ำเสมอ เพื่อ น�้ำมันดิบ เน่ืองจากน�้ำมันเป็นปัจจัยที่ส�ำคัญมากท่ีมักจะ ใช้เป็นเคร่ืองมือในการวิเคราะห์ทิศทางราคายาง โดยใน ขึ้นลงควบคู่ไปกับราคายาง ถ้าราคาน�้ำมันมีการปรับตัว ระยะสัน้ (1 เดอื น) ปจั จัยท่คี วรติดตามอยา่ งสม่�ำเสมอคอื สูงข้ึน กระทบต้นทุนยางสังเคราะห์ซ่ึงเป็นผลิตภัณฑ์ท่ีได้ ดัชนีผจู้ ดั การฝา่ ยจดั ซ้อื (Purchasing Managers Index มาจากน้�ำมันมีการปรับตัวสูงข้ึนด้วย จึงส่งผลบวกต่อ : PMI) ของประเทศผู้ใชย้ าง เน่อื งจากดัชนี PMI เปน็ ตัวช้ี ราคายางธรรมชาติท่ีเป็นสินค้าทดแทน และดัชนีดาวน์ วัดแนวโน้มการเตบิ โตของเศรษฐกิจของประเทศและเป็น

¢Í§ÊËÃÑ°Ï ¨Ð¢ÂÒµÑÇà¾Õ§ÌÍÂÅÐ 0.7 ¨Ò¡¡ÒêÐÅ͵ÇÑ àÈÃɰ¡¨Ô âÅ¡´§Ñ ¡Åҋ Ç Ê§‹ ¼Åãˌ¡ÒÃãªÂŒ Ò§¢Í§âšŴŧ Í¡Õ ·Ñ§é »ÃÔÁÒ³ÂÒ§âÅ¡·èàÕ ¾ÔÁè ʧ٠¢é¹Ö ¡Í‹ ãËàŒ ¡Ô´»ÃÁÔ Ò³¼Å¼ÅÔµÊ‹Ç¹à¡¹Ô «§Öè »ÃÁÔ Ò³¼Å¼ÅԵʋǹà¡Ô¹¹Õé ·Òí ãˌʵÍç ¡ÂÒ§âÅ¡»ÃºÑ µÇÑ Ê§Ù ¢Öé¹ â´Âã¹»‚ 2558 ʵçÍ¡ÂÒ§âšͷً ÕÃè дѺ 3,159,000 µ¹Ñ35¨Ò¡»¨˜ ¨ÂÑ ¡´´¹Ñ ´§Ñ ¡Åҋ Ǩ§Ö ฉÊบบั‹§อ¼เิ Åล็กãทËรÌอนÒิก¤สÒ์ Â2Ò4§ม»กÃรºÑ าคµมÇÑ -มÅนี ´าÅคม§ 2559ภาพท่ี 3 ราคายางโลก, ปรมิ าณการใชย้ างโลก, การผลติ และสต๊อกยางโลก (ทมี่ า: งานวจิ ัยแบบจ�ำลองสัญญาเตือนภัยลว่ งหนา้ ราคายาง และ IRSG) ¡ÒõԴµÒÁʶҹ¡ÒóÃÒ¤ÒÂÒ§¨Ö§Á»Õ ˜¨¨ÑÂËÅÒµÑÇ·Õè¨ÐµÍŒ §µÔ´µÒÁ¤ÇÒÁà¤ÅÍ×è ¹äËÇâ´ÂÊÁÒèí àÊÁÍ à¾×èÍ㪌໹š à¤ÃÍ×è §ÁÍ× ã¹¡ÒÃÇÔà¤ÃÒÐˏ·ÔÈ·Ò§ÃÒ¤ÒÂÒ§ â´Âã¹ÃÐÂÐÊѹé (1 à´Í× ¹) »˜¨¨ÂÑ ·¤èÕ Çõ´Ô µÒÁÍ‹ҧÊÁÒíè àÊÁͤÍ× ´ªÑ ¹¼Õ ŒÙ¨Ñ´¡Òý†Ò¨Ѵ«Íé× (Purchasing Managers Index : PMI) ¢Í§»ÃÐà·È¼ãŒÙ ªÂŒ Ò§ à¹è×ͧ¨Ò¡´Ñª¹Õ PMI ໚¹µÇÑ ªÇÕé ´Ñ á¹Ç⹌Á¡ÒÃàµºÔ âµ¢Í§àÈÃɰ¡Ô¨¢Í§»ÃÐà·ÈáÅÐ໚¹´Ñª¹ÕªéÕ¹Òí GDP »ÃÁÔ Ò³¼Å¼ÅµÔ ÂÒ§ »ÃÁÔ Ò³ÊµçÍ¡ÂÒ§ â´Â»ÃÁÔ Ò³¼Å¼ÅµÔ ÂÒ§·àèÕ ¾ÔÁè ¢é¹Ö Á¼Õ ŵ‹ÍÃÒ¤ÒÂÒ§ÁÒ¡·ÊÕè Ø´ ÊíÒËÃѺ¢ŒÍÁÅÙ ¢Ò‹ ÇÊÒôҌ ¹ÃÒ¤ÒÂÒ§ ¡ÒÃÇÔà¤ÃÒÐˏʶҹ¡Òó ¡ÒäҴ¡ÒóÃÒ¤ÒÂÒ§ÃÒÂÇ¹Ñ ÃÒÂÊÑ»´Òˏ ÃÇÁ¶Ö§º·ÇÔà¤ÃÒÐˏʶҹ¡ÒóᏠÅÐʶԵÔÃÒ¤ÒÂҧŒ͹ËÅѧ ÊÒÁÒö´¢Ù ͌ ÁÙÅà¾èÁÔ àµÔÁ䴌·ÈèÕ ¹Ù ÂǏ àÔ ¤ÃÒÐËà ÈÃɰ¡Ô¨ÂÒ§¾ÒÃÒ (www.rubberthaiforward.com)ภาพที่ 4 ราคายางโลก กบั ดชั นี PMI ญ่ีปนุ่ และจนี (ท่มี า: งานวจิ ยั แบบจ�ำลองสญั ญาเตือนภัยราคายางโลก, NBS of China และ Market Economic)ดทโดัช่ีส2âย´นุดปÂีช–Íสรี้นิÒม�3�ำ¨ำหา¹Gณร»íÒับD‚·¤ผข¼ÕèPÒíล้อ¶Ò‹ ผ¹Òมป´ลÁÁูลร§Ñ ิต¾ิมÒข¹×é¹ยา่าÑé¹à°ณ¡าวÒÉงสã¹ผทµ¹าล·ี่เêรพÒผNjด¡§ล่ิมç้าàิตȨ·ขนÃè¡Õ§Öยึ้นรÉÒµาามðงคŒÍีผà¡§า¾ลÔ¨ÁยÔèÁปตÁÕ¡า¢ร่ÒอÒงิมÖ¹é »Ãร¢าÃก»าณÍѺÃาค§ãรºÑสา»ªวµยตÌãิเÑÇาค็อ¹ÁÔ ãงรก¡ÒËมา³ÒยŒ·ะÃาา¡Ñ¹ห·กงÒµÒí์Ã͋ÍãÒʪªÂŒหแหÀ¾Õ ÒÒผรล§Çือ่นÒา¹Ð§กกร»ÍŒ¾มาห˜¨ÂÒรคล¨¡ÃรวºØÇาÒวัน¤¹Ñย‹Òม¡×ÍทกยÒั้งลÃา¨ใุ่มงàÐน¾¼แเÔèÁรปÅผูป¢Ôµ็น่นนÖé¹Íสผ¢้�ำÐถึ่งäยÍแÃา§าหบ»ง(้งันWÃยเÔÁหกาhÒรษ³aงือtกต¼ย้อรÅtากนoง¼รเถÅคpเ้วพµÔ รrยฟÂ่ือoÒผdย§จuลา´ึงcิตงѧคeเแà?วปªผร)¹‹็นเ่นลãยด¹ือาิบªกง‹Ç§สถ¨าмนÅกµÔารÍณ‹Ò์ §กäาÃรค(Hาดoกwารtณoร์ pาคroาdยuาcงeร?าย) วáนัÅÐร¨าÐย¼ÅสµÔัปàด¾าÍ×è หã์¤Ã (กTาoรผwลhิตoหmรือtเลoือpกrจo�ำdหuนc่าeย?ใ)นรูปแบบใดให้ตรงกับความรวàม¹×èÍถ§ึง¨บÒท¡ว¡ิเÒคÃร¨าíÒะËห¹์ส‹ÒÂถÊา¹Ôน¤กҌาÂรÒณ§¢์แÍล§ะàส¡ÉถµิตÃิร¡าÃคÁาÕ¤ยÇางÒÁยË้อÅนÒ¡ËÅตÒ้อÂง·กѧé าãร¹ขÃอ»Ù ง¹ผíéÒู้ใÂชÒ้ย§างÂใÒน§พ¡ÍŒื้น¹ท¶่ี njโดÂยÂเลÒือ§áก¼ผ‹¹ล´ิตÔºหรือจ�ำหน่ายหลËัÃง×Í¡สÒาÃมÃÇาÁรถ¡ÅดÁ‹Ø ูขà»้อ¹š มÊูล¶เÒพº่ิ¹Ñมàเ¡ตÉิมµÃได¡Ã้ทà¾ี่ศÍ×è ูน¼ยÅÔµ์วàิเ»ค¹š รÂาÒะ§áห¼์ ‹¹ÃÁผ¤ลÇผ¹Ñ ลิตÂÒท§่ีเáส¼ีย‹¹ต¼้น§Öè ทáËุนŒ§กËารÃผ×ÍÂลÒิต§àต¤้Ãน¿ทุนการด�ำเนินการต�่ำเศ¨ร§Öษ¤ฐÇกÃจิ àยÅาÍ× ง¡พ¡าÒÃรา¼Å(wÔµwËÃwÍ× .ràuÅbÍ× b¡¨eÒírtËh¹a‹ÒifÂoãrw¹ÃaÙ»rdáº.cºoãm´ã)ˌµÃ§¡ºÑท¤่ีสÇุดÒÁคµือ͌ เ§ม¡่ือÒคÃ�¢ำนͧว¼ณٌãตªÂŒ้นÒท§ุนã¹ก¾าé×¹รผ·Õèลิต ต้นทุนการด�ำเนิน â´ÂàดÅ×Íังน¡¼้ันÅใµÔ นËชÃ่วÍ× ง¨ทíÒËี่ก¹ารҋ เÂพ¼ิ่มÅข¼้ึนÅขÔµอ·งèÕàÊปÕÂรµิมŒ¹าณ·Ø¹ก¡าÒรÃใ¼ชÅ้ยÔµางµŒ¹·กعา¡ÒรÃเม´ื่อíÒàน¹�¹Ôำไ¡ปÒเÃปµรÒíè ีย·บèÕÊเ´Ø ทีย¤บ×ÍàกÁับ×Íè ร¤าÒí ค¹าÇท³่ีจµะ¹Œ ข·า¹Ø ย¡ไÒดÃ้แ¼ลÅ้วµÔ ต้องน้อµยŒ¹ก·Ø¹ว่¡าÒกÃา´รÒíเàพ¹่ิมÔ¹ข¡้ึนÒÃขàอÁงÍè× ป¹Òíรäิม»าà»ณÃผÕÂลºàผ·ลÕÂิตº¡ยºÑาÃงÒด¤ังÒเ·ช¨èÕ่นÐใ¢นÒÂä´áŒสÅาnj มµาŒÍร§ถÊปÒรÁะÒมÃา¶ณ»ÃกÐÁ�ำไÒร³ใ¡นÒí กäÃาãรผ¹¡ลÒิตÃเ¼บÅ้ือÔµงàตº้น×Íé ไ§ดµ้¹Œ แäล´ะŒ เมื่อชว่ áงÅÐ2àÁ–èÍ× 3·ปíÒ¡ที Òี่ผÃ่า¼นÅมÔµาáÅเกŒÇษ¨Ðต¢รÒกÂร¼จÅึง¼ตÅ้อµÔงมãËกี áŒา¡รã‹ป¤รÃบั ต¢วัÒใÂห·้ทèÕäËนั ¹ ¢ÒทÂ�ãำก¹าÃรÒผ¤ลÒàิต·แ‹ÒลäÃว้ จ·ะèÁÕ ข¤Õ า‹Òย¸ผÃลÃผÁลà¹ติ ÂÕใหÁ้แ¡ÒกÃใ่ µคÅรÒข´า¹ยŒÍทÂไ่ี·หèÊÕ นØ´ ขายต่áอÅสзภíÒาãวËะŒÁปÕʋÇัจ¹จàุบËัÅนèÍ× Áโด¡ÒยÃอµาÅจÒ´นË�ำÃคÍ× �ÊำถNj า¹มµพҋ §้ืน¢ฐÍา§ÃนÒท¤าÒ·งèàÕ ¡ÉµในáรÃาคä´าŒÃเทѺ่า¡ไºÑ รÃÒท¤มี่ ÒคีÃา่ºÑ ธ«รÍ×é ร¢มÍเ§นâียÃม§ก§Òา¹รตá»ลÃาÃดÙ»นÂ้อÒย§ท¹ÍŒสี่ Âดุ ·ÊÕèแล´Ø ะเศรษฐกิจมาปรับใช้ในการท�ำอาชีพยางพาราคือ จะผลิต ท�ำให้มีส่วนเหลื่อมการตลาดหรือส่วนต่างของราคาที่อะไร (What to produce?) จะผลติ อย่างไร (How to pro- เกษตรกรได้รับกับราคารับซ้ือของโรงงานแปรรูปยางน้อยdเนu่ือcงeจ?)ากแกลาะรจจะ�ผำหลนิต่าเพยื่อสใินคคร้า(ยTาoงwขอhงoเmกษtoตรpกroรมduีคcวeาº?ม)ÃóÒท¹สี่ ¡Ø ุดÃÁ ¨ÃÇ ྪÃÃѵ¹. 2545. ËÅ¡Ñ ¡ÒõÅÒ´Ê¹Ô ¤ŒÒà¡ÉµÃ. ¤³Ð·ÃѾÂҡøÃÃÁªÒµÔ ÁËÒÇ·Ô ÂÒÅÂÑ Ê§¢ÅÒ¹¤ÃÔ¹·Ã ʧ¢ÅÒ. 342 ˹Ҍ . Ê¶ÒºÑ¹Ç¨Ô ÂÑ ÂÒ§. 2559. ʶԵÔÂÒ§»ÃÐà·Èä·Â. ¤¹Œ ËÒÁÒ¨Ò¡ ww.rubberthai.com/statistic/

36 ฉบบั อิเล็กทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559 ส�ำนักงานกองทุนสงเคราะห์การท�ำสวนยาง. 165 หน้า (www.rubber.co.th วันที่ 24 มิถุนายน บรรณานกุ รม 2557) อธิวีณ์ แดงกนิษฐ์, อัญญาณี มั่นคง, อรอุมา ประเสริฐ,จรวย เพชรรัตน์. 2545. หลักการตลาดสินค้าเกษตร. เอนก กุณาละสิริ และ สุวิทย์ รัตนพงศ์. 2556. คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลา- กลไกในการวิเคราะห์สถานการณ์ยางพารา และ นครนิ ทร์ สงขลา. 342 หน้า. ช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลเร่งด่วน. สถาบัน-สถาบันวิจัยยาง. 2559. สถิติยางประเทศไทย. สืบค้น วจิ ยั ยาง กรมวิชาการเกษตร. จาก www.rubberthai.com/statistic/stat_index. IRSG. 2016. Rubber Statical Bulletin. Vol. 70, No. htm วันที่ 18 มนี าคม 2559. 7-9 January-March 2016.ศนู ยว์ ิจัยเศรษฐศาสตร์ประยกุ ต์. 2555. แนวทางเบือ้ งต้น ในการเพิ่มบทบาทและศักยภาพการแปรรูปและ พัฒนาระบบตลาดยางพาราในระดับเกษตรกร.

ใชก้ รดซลั ฟวิ รกิ ในการทำ� ยางกอ้ นถว้ ย✘ซลั ฟิวริก ✔ฟอรม์ กิ1. โรงงานผผู้ ลิตยางล้อไม่รบั ซ้อื 1. เป็นทตี่ อ้ งการของโรงงาน2. ได้ยางคณุ ภาพตำ�่ 2. ไดย้ างคณุ ภาพดี3. ท�ำให้เคร่อื งจักรเสียหาย 3. ไม่ท�ำให้เครอื่ งจกั รเสยี หาย4. หนา้ กรดี ยางเสยี หาย 4. ไม่กระทบต่อหนา้ กรีดยาง5. อนั ตรายตอ่ สุขภาพ 5. ไม่กระทบต่อสขุ ภาพ6. สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดลอ้ ม 6. ไม่กระทบต่อส่งิ แวดล้อมสอบถามข้อมูลได้ที่สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทยโทร. 0-2579-1576 ต่อ 301, 0-2940-6653

38 ฉบบั อิเลก็ ทรอนิกส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559การปลกู พชื ในกระถางยางลอ้ รถยนตท์ ี่ใช้แลว้ :ความกงั วลของผู้บรโิ ภคต่อสารพิษทม่ี อี ยู่ในตัวยางลอ้พศิ มยั จนั ทมุ าศูนยว์ ิจัยยางฉะเชงิ เทรา สถาบันวิจยั ยาง การยางแหง่ ประเทศไทย ปัจจุบันนิยมปลูกพืชกินได้ เช่น ผัก พริก มะนาว อุตสาหกรรมยาง สถาบันวิจัยยาง ได้ให้ความเห็นว่าฯลฯ ในกระถางซึ่งได้มาจากวัสดุต่างๆ นับว่าเป็นทาง ขณะนี้ยังไม่มีรายงานเรื่องนี้ แต่ถ้าดูจากสารเคมีที่ใช้เลือกหนึ่งส�ำหรับคนท่ีมีพ้ืนที่จ�ำกัด หรือพื้นท่ีนั้นมีสภาพ ตวั ทนี่ ่าจะเปน็ พิษมีน้อยมาก ไม่น่าจะมีผลตอ่ การสะสมดินไม่เหมาะสมส�ำหรับการปลกู พืช ส�ำหรบั การใชว้ ัสดุ ในพืช อกี อยา่ งกระถางทเ่ี ป็นยางล้อไม่ใช่ภาชนะปิด การเปน็ กระถาง อาจเป็นพวก กระสอบ ถุงปุย๋ ภาชนะเกา่ ๆ สะสมยิ่งมีน้อยลง ในการผลิตยางล้อรถยนต์ มีการใช้เชน่ กะละมงั ตะกร้า หมอ้ ชาม หรอื แมน้ กระทัง่ ยางลอ้ สารเคมี ได้แก่ สารเคมีในกลุ่ม โพลิไซคลิก อโรมาติกรถยนต์เก่าท่ีใช้แล้ว ในประเด็นของยางล้อรถยนต์ที่น�ำ ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbon)มาใช้เป็นกระถาง นอกจากมีความทนทาน สามารถ ได้แก่ ฟีนันทรีน (Phenanthrene) ฟลูออรีน (Fluorine)ประดิษฐ์หรือออกแบบให้ความสวยงามแล้ว ยังเป็นการ และไพรีน (Pyrene) เป็นต้น สารเคมอี กี กลุ่มหนงึ่ เปน็ช่วยน�ำของแเก่าที่ไม่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ แทนท่ีจะ พวกโลหะหนัก (Heavy metals) ได้แก่ ทองแดง (cop-ปล่อยทง้ิ ไว้เปน็ ขยะทีไ่ รม้ ูลคา่ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคก็ per, Cu) แคดเมียม (cadmium, Cd) ตะกว่ั (lead, Pb)ยังมีความกังวลกับความปลอดภัยของอาหารและสาร และสังกะสี (Zinc, Zn) เป็นต้น แต่เม่ือผ่านขบวนการพิษบางอย่างท่ีอาจตกค้างในยางล้อที่น�ำมาใช้เป็น ผลิต มีการท�ำให้ยางคงรูป สารเหล่านี้จะเปลี่ยนรูปหรือกระถาง เช่น พวกโลหะหนกั หรอื สารฟแู รน ซง่ึ เป็นสาร โครงสร้างไป ท�ำให้มีอันตรายน้อยลงมาก และมีค่าต�่ำก่อมะเร็ง ถึงแม้ว่าจะมีค�ำแนะน�ำให้ใช้วิธีง่ายๆโดยใช้ กว่าเกณฑม์ าตรฐานทยี่ อมรับไดว้ ่าไมเ่ ปน็ อนั ตรายตอ่ คนพลาสติกคลุมด้านในของยางล้อ แล้วค่อยใส่ดินลงไป ประกอบกับการปลูกพืชในยางล้อรถยนต์ มีการเจาะรูเพ่อื ชว่ ยคลายความกังวลลงได้บา้ ง เพอ่ื ระบายน�้ำ จงึ ท�ำใหส้ ารพษิ ท่ีตกคา้ งมกี ารถ่ายเทออก ข้อสงสัยว่า การปลูกพืชกินได้ในกระถางยางล้อ ไปรถยนต์ พชื อาจจะดูดสารพษิ จากยางล้อเข้าไปสะสมใน อีกความคิดเห็นหน่ึงที่จะช่วยคลายความกังวลส่วนต่างๆของพืช ปัจจุบันยังไม่มีผลการวิเคราะห์ผล ของผู้บริโภคก็คือ ส�ำนักงานเลขานุการโครงการฉลากตกค้างโดยตรงในพืชท่ีปลูกในยางล้อรถยนต์ รวมทั้งใน เขียว สถาบันส่ิงแวดล้อมไทย ส�ำนักงานมาตรฐานดินและน้�ำ บทความน้ีจึงขอน�ำเสนอข้อมูลหลายๆ ด้าน ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มีข้อก�ำหนดฉลากเขียวส�ำหรับเพ่ือใช้ประกอบในการพิจารณาความเป็นพิษของยางล้อ ผลิตภณั ฑย์ างรถยนต์ (Tyre) “ฉลากเขยี ว” คอื ฉลากที่รถยนตห์ รอื ไม่ดังน้ี ให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีผลกระทบต่อส่ิง นางณพรัตน์ วิชิตชลชัย ผู้อ�ำนวยการกลุ่ม แวดล้อมน้อยกว่า เม่ือน�ำมาเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ท่ี

39 ฉบับอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 24 มกราคม-มนี าคม 2559ภาพท่ี 1 โครงการปลูกผักในกระถางยางล้อรถยนต์ (ภาพจาก นายกัมพล ไชยนันท์ ผู้อ�ำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 อ.เชียงแสน จ.เชยี งราย)

40 ฉบบั อเิ ล็กทรอนิกส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559ภาพท่ี 2 การปลกู ตน้ หอมในกระถางยางล้อรถยนต์ภาพที่ 3 การปลกู มะนาวในวงล้อยางรถยนตแ์ ทนการใช้ท่อบอ่ ซีเมนต์ (ภาพจาก http://www.dailynews.co.th/agriculture/30408

41 ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนิกส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559ภาพที่ 4 การนำ� ยางลอ้ รถยนต์ไปท�ำแนวปอ้ งกนั ตล่งิ หรือชายฝง่ั (ภาพจาก http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11873223/E11873223.html)ท�ำหน้าที่อย่างเดียวกัน ดังนั้น ในการผลิตยางล้อรถยนต์ โลหะอืน่ มนี ้อยมากจนตรวจไมพ่ บ (มาตรฐาน แคดเมยี มจงึ มีการควบคมุ มาตรฐานการผลติ ทุกขน้ั ตอน 2.0 ppm และตะก่วั 1.0 ppm) และในปลาก็พบนอ้ ยมาก นอกจากน้ี มีการศึกษาผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม และผลการวิเคราะห์เพ่ือเปรียบเทียบการละลายออกของการใช้ยางล้อรถยนต์เพ่ือท�ำแนวป้องกันการกัดเซาะ ของโลหะหนักจากยางรถยนต์ในห้องปฏิบัติการ พบว่าชายฝงั่ โดย รศ.อรวรรณ ศริ ริ ัตน์พิรินพ จากสถาบนั สภาพ มีเพียงสังกะสีละลายออกมา 0.000-0.005 ppm ซ่ึงแวดล้อม จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ได้รายงานความเปน็ ปริมาณสังกะสีที่ได้จากการวิเคราะห์มีปริมาณต�ำ่กว่าพิษต่อส่ิงแวดล้อม (สวล.) จากยางล้อรถยนต์ว่า ความ มาตรฐานของคุณภาพน้�ำปะปาท่ียอมให้มีสังกะสีได้เค็ม ความเป็นกรด-ด่าง คือ ปัจจัยท่ีมีผลต่อการ สงู สุด 3.0 ppmชะละลายที่เป็นองค์ประกอบทางเคมีของยางรถยนต์ ดังน้ัน การปลูกพืชกินได้ ไม่ว่าจะเป็น ผัก พริกเม่ือวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของพวกโลหะหนักใน มะนาว หรือพืชกินได้ชนิดอื่นๆในกระถางยางล้อรถยนต์น้ำ� ทะเลและตะกอนดิน พบ แคดเมียม 0.59-1.42 ppm จึงปลอดภัย เน่ืองจากการปลูกพืชโดยใส่วัสดุปลูกหรือ(มาตรฐาน <=5 ppm) ตะก่ัว 0.001-0.005 ppm ดินในกระถางไม่ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เค็ม และเป็น(มาตรฐาน <=8 ppm) ทองแดง 0.002-0.005 ppm กรด-ด่างสูง ในกรณขี อ้ สงสยั หากปลกู นานๆ หลายๆ ปี ที่(มาตรฐาน <=8.5 ppm) และสงั กะสี 0.012-0.016 ppm ยางลอ้ เร่ิมผกุ รอ่ น กลัววา่ สารเคมตี กค้างซึมออกมา และ(มาตรฐาน <=50 ppm) และจากการวิเคราะห์ปริมาณ มีผลกระทบมากขึน้ ซ่ึงขอ้ เท็จจรงิ นี้ คอื กระถางยางลอ้โละหนักท่ีอนุญาตให้มีในเน้ือหอยฝาเดียวที่เกาะบนยาง รถยนต์โดนแสงเฉพาะด้านนอก ดังนั้น การผุกร่อนด้านรถยนต์ มีปริมาณแคดเมียม 0.018-0.034 ppm และ ในกระถางย่อมน้อยกว่าด้านนอกท่ีโดนแสง และตัว

42 ฉบบั อเิ ล็กทรอนิกส์ 24 มกราคม-มีนาคม 2559 ยนื ยนั ผล ควรมีผลการวเิ คราะหส์ ารตกคา้ งในพชื และดนิ ปลูก ก่อนและหลังการปลูกพืชในกระถางยางล้อรถยนต์กระถางรถยนตไ์ ม่ไดส้ มั ผสั กบั พืชโดยตรง นอกจากนี้ ใน และวิเคราะห์ร่วมด้วย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการเก็บกรณีของสังกะสี หากปริมาณไม่มากพอจนเกิดอาการ ตัวอย่างพืช ดิน และน�้ำ ท่ีผ่านกระถางล้อรถยนต์ไปเป็นพิษ ถือว่าเป็นธาตุอาหารรองที่พืชจ�ำเป็นต้องใช้ใน วิเคราะห์สารตกค้างก็ตาม แต่เม่ือใช้ข้อเท็จจริงหรือผลการเจริญเติบโต จากข้อมูลเหล่าน้ีคงพอจะท�ำให้เชื่อถือ งานวิจัยมาสนับสนนุ กน็ ่าจะเบาใจไปไดส้ ่วนหนง่ึได้ว่าการปลูกพืชกินได้ในกระถางยางล้อรถยนต์ ไม่มีผลท�ำให้เกดิ การสะสมสารพิษในพชื อยา่ งไรกต็ าม เพื่อการ    


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook