44 ลกั ษณะรอบการตัดฟันไม้ แบง่ ยอ่ ยออกเป็ น 4 กลุ่ม ดงั นี กลุ่มที 1 : รอบการตดั ฟันสัน ไมโ้ ตเร็ว มูลค่าของเนือไมต้ าํ ไมม้ ีค่าทางเศรษฐกิจกลุ่มนีจะมีอตั ราการเติบโตค่อนขา้ งเร็ว และ อตั ราการเติบโตจะถึงจุดสูงสุดภายในระยะเวลาอนั สัน หลงั จากนนั ตน้ ไม้ จะมีอตั ราความเพิมพูนน้อยลง หากไม่ตดั มาใช้ประโยชน์ คุณภาพเนือไม้ จะลดตาํ ลง เนืองจากอาจเกิดการเขา้ ทาํ ลายของโร และแมลงไดง้ ่าย มูลค่า ของเนือไมค้ ่อนขา้ งตาํ เนืองจากส่วนใหญ่นาํ ไปใชใ้ นการอุตสาหกรรมเยอื กระดาษ ชินไมส้ ับ ไมเ้ พือพลงั งาน ไมแ้ บบสาํ หรับก่อสร้าง รวมทงั ไมท้ ีใช้ ในการก่อสร้างบา้ นเรือนและเครืองเรือนในระดบั ทอ้ งถิน ชนิดไมใ้ นกลุ่มนี ไดแ้ ก่ ยคู าลิปตสั กระถินเทพา กระถินณรงค์ เป็นตน้ กลุ่มที 2 : รอบการตดั ฟันยาว ไมโ้ ตปานกลาง มูลค่าของเนือไม้ คอ่ นขา้ งสูง ไมก้ ลุม่ นีมีอตั ราการเติบโตชา้ กวา่ กลุ่มที แต่สามารถเติบโตไดเ้ ป็ น ระยะเวลานาน มูลค่าของเนือไมจ้ ะเพิมมากขึนเมือตน้ ไมม้ ีขนาดใหญ่ขึน แต่อยา่ งไรก็ตาม มูลค่าของเนือไมก้ ็ไม่สูงมากนกั เนืองจากการใชป้ ระโยชน์ คอ่ นขา้ งจาํ กดั เนืองมาจากคุณสมบตั ขิ องเนือไมท้ ีไสกบตกแตง่ ยาก มกั ใชใ้ น อุตสาหกรรมไมแ้ ปรรูป การก่อสร้าง และเฟอร์นิเจอร์ ชนิดไม้ในกลุ่มนี ไดแ้ ก่ ประดู่ ยางนา กระบาก และสะตอ เป็นตน้ สาํ หรับการเติบโตและการ ประเมินมูลค่าจะใชไ้ มป้ ระดู่เป็นตวั แทนในการประเมินมูลค่าไมก้ ลุ่มที
45 กลุ่มที 3 : รอบตดั ฟันยาว ไมโ้ ตปานกลาง มูลค่าของเนือไมส้ ูง ไมก้ ลุ่มนีมีอตั ราการเติบโตใกล้เคียงกบั ไมก้ ลุ่มที แต่มูลค่าของ เนือไม้สูงกว่าไมก้ ลุ่มที 2 โดยเฉพาะอย่างยิงเมือไมม้ ีขนาดใหญ่ขึน มูลค่า ของเนือไมจ้ ะเพิมสูงขึนมากเนืองจากไมม้ ีความสวยงาม แข็งแรง ทนทาน เป็นทีตอ้ งการของตลาดทงั ภายในและภายนอกประเทศ ใชใ้ นอุตสาหกรรม ไมแ้ ปรรูป การก่อสร้าง และเฟอร์นิเจอร์คุณภาพชนั สูง ไมใ้ นกลุ่มนี ไดแ้ ก่ ไมส้ ัก ซึงใชเ้ ป็ นตวั อยา่ งในการประเมินมูลค่าของไมก้ ลุ่มนี กลุ่มที 4 : รอบตดั ฟันยาว ไมโ้ ตชา้ มูลคา่ ของเนือไมส้ ูงมาก ไมก้ ลุ่มนีมีอตั ราการเติบโตช้ามาก คนจึงไม่ค่อยนิยมปลูกกันมาก นกั แมว้ ่ามูลค่าของเนือไมจ้ ะสูงมากก็ตาม ลกั ษณะเนือไมม้ ีความสวยงาม มูลค่าเนือไมจ้ ะเพิมขึนสูงอยา่ งมากเมือไมม้ ีขนาดใหญ่ขึน สามารถนาํ ไปใช้ ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และเฟอร์นิเจอร์ชนั สูง รวมทงั เหมาะสําหรับการ ปลูกเพอื อนุรักษ์ เนืองจากมีอายยุ นื นาน ตวั อยา่ งไมก้ ลุ่มนีไดแ้ ก่ พะยงู ชิงชนั จนั ทร์หอม และมะค่าโมง เป็ นตน้ ในทีนีใช้ไมพ้ ะยูง เป็ นตวั แทนในการ ประเมินมูลคา่ ของไมก้ ลุ่มที 4 ลกั ษณะของชันเรือนไม้ แบ่งตามโครงสร้างของป่ าดิบชืนออกเป็น 4 ชนั เรือน 1. ชนั เหนือเรือน เป็ นชนั ไมท้ ีมีความสูงเป็ นพิเศษโผล่เหนือเรือน ยอดไม้อืนๆจะเจริญเติบโตอยู่ห่างๆกนั เช่น ชันของไม้สนสองใบหรือ สามใบ ในป่ าเต็งรังผสมสน เป็ นตน้ ไมใ้ นชนั นีมีความตอ้ งการแสงในการ
46 ดาํ รงชีวิตมาก ไมใ้ นชนั เรือนยอดนีบางชนิดใชเ้ ป็ นไมด้ ชั นีบ่งบอกชนิดป่ า ได้ 2. ชนั เรือนยอด เป็ นไมท้ ีประกอบเป็ นเรือนยอดชนั บนของระบบ นิเวศ มีเรือนยอดระดบั เดียวกนั และต่อเนืองกนั ไป อาจมีช่องวา่ ง เกิดขึนได้ ในบางตอน ความห่างของเรือนยอดของตน้ ไมห้ นึงไปยงั อีกตน้ หนึงขึนอยู่ กบั ชนิดนิเวศ ในป่ าดงดิบมกั ต่อเนืองกนั เกือบสนิท ส่วนในป่ าเต็งรังมีการ เวน้ ช่องวา่ งเป็นตอนๆ เป็นชนั ไมต้ อ้ งการรับแสงในการดาํ รงชีวติ ในปริมาณ ทีนอ้ ยลงมา 3. ชนั ใตเ้ รือน เป็ นไมท้ ีมีขีดจาํ กดั ความโตขนาดกลางตอ้ งการแสง น้อยกว่าไม้ชนิดทีอยู่ในชันบน ชันนีมกั จะมีการสอดแทรกอยู่ระหว่าง ช่องวา่ งของไมช้ นั บนและทาํ ใหเ้ รือนยอดป่ าแน่นทึบ 4. ชันล่างสุด หรือพืนป่ า เป็ นไม้ขนาดเล็ก มีความทนร่มเงาสูง บางครังขึนผสมกบั ไมพ้ ุม่ สูง ปรากฎอยู่ภายใตเ้ รือนยอดชนั บน ภายใตเ้ รือน ชนั ล่างสุด หรือพนื ป่ า จะประกอบดว้ ย 4.1 ชนั ยอดของไมพ้ ุ่มเตีย เป็ นชนั ของไมพ้ ุ่มเตีย มีความสูงไม่ เกิน 2 เมตร 4.2 ชันของหญา้ และพืชล้มลุก เป็ นชันทีประกอบด้วยต้นไม้ จาํ พวกหญา้ และพชื ลม้ ลุก 4.3 ชนั ผิวดิน เป็ นชนั ของมอสส์ ไลเคน หรือพืชขนาดเล็กทีแปะ ติดกบั ผวิ ดิน
47 4.4 ชนั ใตด้ ิน เป็ นชนั รากของพืชและสิงมีชีวติ ขนาดเล็กในดิน ซึ งแต่ละชันจะมีความหลากหลายทางชีวภาพทีแตกต่างกัน เนื องจา กปริ มา ณนําฝนหรื อแสงแดดที ได้รั บแตก ต่างกัน(สํานักอุทยาน แห่งชาติ, 2549) ภาพแสดงชันเรือนยอดของไม้ 4 ระดับ (ดัดแปลงขอ้ มูลจาก องค์การพิพิธภัณฑ์ วทิ ยาศาสตร์แห่งชาติ, 2562)
48 ไม้ผล ไมผ้ ล หมายถึง กลุ่มของพืชจาํ พวกไมย้ ืนตน้ หรือพืชลม้ ลุกทีให้ผล ผลิตเป็ นผล ฝัก หรือเมล็ด สําหรับรับประทานเป็ นอาหารวา่ งหรือของหวาน ไม่ใช่อาหารหลกั ในการสร้างสวนไมผ้ ลนนั จะตอ้ งเขา้ ใจถึงชนิดของตน้ ไม้ ผลเกียวกับรูปร่างลักษณะ และนิสัยของการเจริญเติบโตของต้นไม้นัน เนืองจากส่งผลถึงการวางแผนผงั สวน ซึงอาจจาํ แนกประเภทของไมผ้ ลตาม ลกั ษณะต่าง ๆ ดงั นี การจาํ แนกตามความต้องการอณุ หภูมิ หมายถึง อุณหภูมิทีเหมาะสม สําหรับการเจริญเติบโตของต้นไม้ ชนิดนนั ในทุกช่วงระยะของการเจริญเติบโต ตงั แต่เริมปลูก จนกระทงั ถึง ระยะการออกดอก การติดผล และการผลิตทีมีคุณภาพสูง แบ่งไมผ้ ลเหล่านี ไดเ้ ป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. ไมผ้ ลเขตร้อน ผลไมท้ ีผลิตได้ในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้ว เป็ นผลไม้จาํ พวกนีเกือบทงั หมด ได้แก่ ทุเรียน เงาะ มงั คุด ลางสาด มะม่วง เป็ นต้น ผลไมเ้ หล่านีมกั ตอ้ งการอุณหภูมิสูง สําหรับการเจริญเติบโตตลอดช่วงของรอบปี โดยมากมกั ปลูก กันในเขตเส้นศูนยส์ ูตรระหว่างเส้นรุ้งที 15 องศาเหนือ และ ใต้ สามารถจําแนกตามลักษณะความต้องการความชืน (อนุชา, 2550) ไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ
49 1.1 ไมผ้ ลร้อนชืน เช่น ทุเรียน เงาะ มงั คุด ลางสาด เป็ นตน้ ไมน้ ี ต้องการความชื นในอากาศตลอดช่วงการเจริ ญเติบ โตใน รอบปี สูงเสมอ หากความชืนตาํ หรือแห้งแลง้ ตน้ ไมอ้ าจจะ ไดร้ ับอนั ตราย และมกั ตายไดง้ ่าย 1.2 ไมผ้ ลร้อนแหง้ แลง้ คือ สามารถทนต่อความแลง้ ไดเ้ ป็ นอยา่ ง ดี เช่น สบั ปะรด มะม่วงหิมพานต์ และมะขาม เป็นตน้ ซึงไม้ ประเภทนีจะปลูกในพืนทีของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และเขตภาคกลางตอนล่าง เช่น จงั หวดั ราชบุรี เพรบุรี และ ประจวบคีรีขนั ธ์ เป็นตน้ 2. ไมผ้ ลกึงเขตร้อน ไมผ้ ลทีตอ้ งการอุณหภูมิสูงสําหรับช่วงการ เจริญทางใบ และตอ้ งการอุณหภูมิตาํ ช่วงระยะเวลาหนึงของ การเจริญเติบโต เพือช่วยใหเ้ กิดการพกั ตวั ก่อนการสร้างตาดอก หรือช่วยให้ผลมีคุณภาพดีขึน แต่ทงั นี อุณหภูมิจะตอ้ งไม่ลด ตาํ ลงมากถึงขนาดทีจะเป็ นอนั ตรายต่อตน้ ไมเ้ หล่านนั ได้ เช่น การเกิดนาํ คา้ งแข็ง หรือมีหิมะ ตน้ ไมผ้ ลเหล่านีมกั ปลูกกนั อยู่ ในระหวา่ งเส้นรุ้งที 20-35 องศา ทงั ซีกโลกเหนือ และใต้ หรือ อาจสามารถปลูกไปจนถึงระดบั เส้นรุ้งที 40 องศา ไดห้ ากไม่มี หิมะในบริเวณนัน ไม้ผลเหล่านี ได้แก่ ส้มต่าง ๆ องุ่น ลินจี ลาํ ไย และอาโวกาโด เป็นตน้
50 3. ไมผ้ ลเขตหนาว ไมผ้ ลชนิดนีปลูกตงั แตร่ ะดบั เส้นรุ้งที 35 องศา ขึนไป ส่วนใหญต่ อ้ งเป็ นไมท้ ีมีการผลดั ใบ เนืองจาก ตอ้ งผา่ น ช่วงทีมีอากาศหนาวจดั อุณหภูมติ าํ นีจะไปทาํ ลายการพกั ตวั ของ ตาดอกทีสร้างขึนมาก่อนหนา้ นี เมือพน้ ฤดูหนาวเขา้ สู่ฤดูใบไม้ ผลิ ดอกจะเริมบาน และผลิใบอ่อน มีการติดผล และอาศยั ช่วง อุณหภูมิทีสูงขึน ของระหว่างฤดูร้อนสําหรับการเจริญเติบโต ของผล บางชนิดอาจเก็บเกียวไดใ้ นช่วงฤดูร้อน และบางชนิด อาจอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหลังการเก็บเกียว ต้นไมเ้ หล่านี ไดแ้ ก่ แอปเปิ ล, แพร์ (สาลี), พีช (ทอ้ ), พลมั (พรุน) และ เชอรี เป็ นตน้ ในการแบ่งไมผ้ ลตามความต้องการอุณหภูมิ ไม่มีขอบเขตอย่าง ชดั เจนทีจาํ เพาะเจาะจง การทีจะผลิต หรือนาํ ไปปลูกขา้ มเขตกนั ได้ ตอ้ งมี เทคนิคและความรู้ทางวชิ าการทีเหมาะสมประกอบกนั เช่น องุ่น ซึงจดั เป็ น พืชเขตกึงร้อน แต่ประเทศไทยสามารถผลิตไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพสูงในเขตร้อน แทๆ้ ของภาคกลาง หรือการนาํ เอาตน้ ทอ้ มาปลูกในภาคเหนือของประเทศ ไทยในแถบทีมีภูเขาสูง ซึงมีอุณหภูมิตาํ เล็กนอ้ ย ซึงตน้ ทอ้ จดั อยู่ในพวกไม้ เขตหนาว ก็สามารถทีจะผลิตได้ เป็ นต้น หรืออาจจะกล่าวว่าพืชต่าง ๆ เหล่านีสามารถนาํ ไปปลูกขา้ มบริเวณกนั ไดใ้ นส่วนทีใกลเ้ คียงกนั เช่น จาก เขตร้อนไปยงั เขตกึงร้อนหรือจากเขตหนาวมายงั เขตกึงร้อน แต่การทีจะ
51 นาํ เอาไมผ้ ลทีอยใู่ นเขตหนาวมาปลูกในเขตร้อน หรือในทางกลบั กนั การฝื น ธรรมชาติอาจจะทาํ ใหไ้ มไ่ ดผ้ ลผลิตหรือผลผลิตลดลง การจําแนกตามอายกุ ารติดผล หมายถึง ช่วงระยะเวลาทีจะตอ้ งใช้ตงั แต่เริมปลูกจนกระทงั ออก ดอกติดผลเป็นครังแรก ส่วนใหญ่ใชแ้ บง่ แยกพนั ธุ์ของตน้ ไมผ้ ล ชนิดทีจะใช้ ปลูกโดยทวั ไป แบ่งไดเ้ ป็น 3 พนั ธุ์ ยกตวั อยา่ งในมะพร้าว ไดแ้ ก่ 1. พนั ธุ์เบา ไดแ้ ก่ มะพร้าวเตีย ใชเ้ วลาประมาณ 3 ปี 2. พนั ธุ์กลาง ไดแ้ ก่ หมูสี ใชเ้ วลา 4-5 ปี 3. พนั ธุ์หนัก ไดแ้ ก่ มะพร้าวใหม่ ใช้เวลามากกว่า 5 ปี เป็ น ตน้ การจําแนกตามฤดูกาลของการตดิ ผล ส่วนใหญ่ใช้เป็ นหลกั ในการแบ่งแยกพนั ธุ์ของไมผ้ ล ซึงหมายถึง ฤดูกาลของการเก็บเกียวก่อนหรือหลงั ของช่วงปี ปกติ ซึงโดยทวั ไปแบ่งได้ 3 พนั ธุ์ คือ 1. พนั ธุ์เบา เช่น ทุเรียนกระดุมทอง ลาํ ไยพนั ธุ์อีดอ 2. พนั ธุ์กลาง เช่น ลินจีพนั ธุ์ฮงฮวย 3. พนั ธุ์หนกั หรือ พนั ธุ์ล่า เช่น ทุเรียนพนั ธุ์อีหนกั ลาํ ไยพนั ธุ์ เบียวเขียว และลินจีพนั ธุ์โอวเฮียะ เป็นตน้
52 การจาํ แนกตามขนาดของทรงพ่มุ หมายถึง พืนทีทีตน้ ไมใ้ ช้สําหรับการเจริญเติบโต หรือขนาดของ ทรงพุ่มของไมผ้ ลชนิดนนั ๆ เมือเจริญเติบโตเต็มทีแลว้ จะมีขนาดเส้นผ่าน ศูนย์กลางเท่าไร ทงั นี หมายถึงต้นไม้ทีเจริญอยู่ในสภาพปกติโดยทีไม่มี อิทธิพลจากสิงอืนเขา้ มาเกียวขอ้ ง เช่น อิทธิพลของต้นตอ เป็ นตน้ อาจจะ แบง่ ตน้ ไมต้ ามขนาดของทรงพมุ่ ได้ 3 ชนิด คือ 1. ไมผ้ ลขนาดเล็ก ไมผ้ ลเหล่านีตอ้ งการความกวา้ งยาวของ ระยะปลูกตาํ กว่า 3 เมตร ลงมา เช่น กล้วย มะละกอ องุ่น นอ้ ยหน่า ทบั ทิม สับปะรด และสตรอเบอร์รี เป็นตน้ 2. ไมผ้ ลขนาดกลาง ขนาดของระยะปลูกทีเหมาะสมสาํ หรับ ไมผ้ ลพวกนีอยรู่ ะหวา่ ง 4-8 เมตร ไมผ้ ลพวกนี ไดแ้ ก่ ชมพู่ ฝรัง ส้ม ละมุด ลองกอง เป็นตน้ 3. ไมผ้ ลขนาดใหญ่ ขนาดของระยะปลูกทีเหมาะสมสําหรับ ไมผ้ ลพวกนีอยู่ระหว่าง 8-10 เมตร ไมผ้ ลพวกนี ได้แก่ ทุเรียน ลาํ ไย มะมว่ ง เงาะ ลินจี ขนุน เป็นตน้
53 การจาํ แนกตามการเจริญเตบิ โต จาํ แนกตามธรรมชาติของการเจริญเติบโตของตน้ ไมผ้ ลชนิดนนั ๆ แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ 1. ไมผ้ ลยืนตน้ หมายถึง ตน้ ไมผ้ ลทีมีส่วนของลาํ ตน้ หลกั ให้ เห็นเด่นชดั แบ่งไดเ้ ป็ น 2 ชนิด คือ 1.1 ไมผ้ ลผลดั ใบ หมายถึง ตลอดช่วงของการเจริญเติบโต ในรอบปี จะตอ้ งมีช่วงระยะเวลาหนึงทีตน้ ไมน้ นั มีการ สลัดใบ หรื อ เปลียนใบหมดทังต้น อาจโดยความ หนาวเยน็ หรือความแลง้ ก็ตาม ซึงส่วนใหญ่จะพบใน ไมผ้ ลเขตหนาว ส่วนไมผ้ ลเขตร้อน และเขตกึงร้อน มี การผลัดใบน้อยมาก ไม้ผลเขตร้อนทีมีการผลดั ใบ ไดแ้ ก่ น้อยหน่า ส่วนไมผ้ ลเขตกึงร้อน ไดแ้ ก่ พลบั เป็ นตน้ 1.2 ไมผ้ ลไม่ผลดั ใบ หรือ ไมท้ ีเขียวตลอดปี ส่วนใหญ่เป็น ไมผ้ ลในเขตร้อน และเขตกึงร้อน เช่น มะม่วง ทุเรียน ลาํ ไย ลินจี และส้ม เป็ นตน้ 2. ไมผ้ ลขนาดเล็ก หมายถึง ผลไมท้ ีมีส่วนของลาํ ตน้ มองเห็น ไม่เด่นชดั อาจมีรูปร่างเปลียนแปลงออกไป หรือมีของลาํ ตน้ สันมาก อยู่แค่ระดบั ดินก็ได้ ไม้ผลพวกนีแบ่งไดเ้ ป็ น 2 ชนิด คือ
54 2.1 ไ ม้ลํา ต้น เ ป็ น เ ถ า ไ ม้เ ถ า ที รู้ จัก กัน ดี คื อ องุ่ น ไมจ้ าํ พวกนีจาํ เป็ นตอ้ งมีสิงมาช่วยคาํ จุน หรือช่วยพยงุ ไม่ให้ตน้ ลม้ นอกจากนียงั มีตน้ ไมอ้ ีกชนิดหนึงคือ ลิน มงั กร หรือแพชชนั ฟรุท ซึงใช้ผลมาคนั นาํ และ พวก ราสพเ์ บอร์รี เป็ นตน้ 2.2 ไม้พุ่มต้นเล็ก จะมีลักษณะลําต้นสันมาก และ อยู่ระดับเดียวกับผิวดิน เช่น สตรอเบอร์ รี และ สบั ปะรด เป็นตน้ การจําแนกตามลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ เ ป็ น ก า รจํา แ น ก ไ ม้ผล โด ย อ า ศัย ระ บ บ ก า รเ รี ย ก ชื อ ข อ ง ลินเนียส (Linnaeus) โดยเรียกเป็ นชือทางวทิ ยาศาสตร์แบบสองชือ (binomial nomenclature) การจาํ แนกตามลกั ษณะทางพฤกศาสตร์นีจาํ เป็ นตอ้ งทราบ ความหมายของคําว่า พันธุ์ทางพืชสวน (horticultural variety) ซึงมีอยู่ 2ความหมาย คือ 1. พนั ธุ์ทางพืชสวน ทีขยายพนั ธุ์โดยใช้เมล็ด ส่วนมากเป็ น พันธุ์ทางพืชผัก หรื อ ไม้ดอก แต่ละเมล็ดทีเป็ นพันธุ์ เดียวกนั จะมีส่วนประกอบทางพนั ธุกรรมค่อนขา้ งสูงแต่ ไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ โดยยงั มบี างส่วนแตกตา่ งกนั 2. พนั ธุ์ทางไม้ผล จาํ เป็ นทีจะต้องมีความเหมือนกันของ ส่วนประกอบทางพนั ธุกรรมทุกอย่าง ซึงหากมีความ
55 ต่างกันเพียงเล็กน้อยถือว่าเป็ นอีกทางพนั ธุ์หนึง ทีมีชือ เรียกพันธุ์ทีมีลักษณะพนั ธุกรรมทีเหมือนกนั ทุกอย่าง เรี ยกว่า โคลน เช่น ทุเรี ยนพันธุ์ก้านยาว เมือมีการ ขยายพนั ธุ์จากตน้ โดยการติดตา หรือเพาะเลียงเนือเยือก็ ตาม ต้นทีขยายพนั ธุ์ยงั คงจัดเป็ นพันธุ์ก้านยาว แต่ใน ขณะเดียวกนั เมือนาํ เมล็ดมาปลูกจากผลทุเรียนก็จะได้ตน้ กลา้ พนั ธุ์ใหม่ หากตน้ ใหม่มีคุณภาพดี และมีการขยายพนั ธุ์ แบบไม่อาศยั เพศกจ็ ะจดั ไวเ้ ป็นอีกโคลนหรืออีกพนั ธุ์หนึง ในปัจจุบนั มีระบบการจดั การปลูกไมผ้ ลยนื ตน้ และระยะปลูกแบบ ประยุกต์เขา้ กบั สถานการณ์ปัจจุบนั เป็ นรูปแบบการเกษตรทีช่วยประหยดั การใชท้ รัพยากร เช่น ดิน (พืนทีเพาะปลูก) นาํ และป๋ ุย การใชพ้ นื ทีเพาะปลูก และแรงงาน สามารควบคุมปริมาณและคุณภาพการผลิตไดด้ ี มีผลผลิตเพิม มากขึน การทาํ สวนไมผ้ ลแบบเดิมเป็นการปลูกพืชแบบเชิงเดียว ให้ผลผลิต คราวละมาก ๆ และมีการปลูกโดยใช้ระยะปลูกห่าง ในปัจจุบนั มีการ เปลียนเป็ นการปลูกเป็ นแบบชิด ให้ผลผลิตมากขึนใช้พืนทีเท่าเดิม เพิม ปริมาณตน้ พชื ระยะปลูกไมผ้ ลมีความแตกต่างกนั ตามขนาดทรงพุ่มและความสูง ไมผ้ ลทีปลูกรอบบริเวณแปลงยางควรจะมรี ะยะห่างระหวา่ งตน้ 2 เมตร
56 การจาํ แนกตามขนาดทรงพ่มุ สามารถจาํ แนกไดด้ งั นี 1. ทรงพุ่มขนาดใหญ่ ระยะห่าง 8-12 เมตร เช่น ลาํ ไย ลินจี มะม่วง เป็นตน้ 2. ทรงพุ่มขนาดกลาง ระยะห่าง 4-8 เมตร เช่น ชมพู่ ฝรัง ส้ม ละมุด เป็ นตน้ 3. ทรงพุม่ ขนาดเล็ก ระยะห่าง 1-2 เมตร เช่น กลว้ ย มะละกอ นอ้ ยหน่า พืชผกั พืชผกั คือ พืชทีนาํ มาประกอบเป็ นอาหารในครัวเรือน อาจเป็น พืชยืนตน้ หรือลม้ ลุก การแบ่งพืชสามารถแบ่งตามส่วนของผกั ทีนาํ ไป ประกอบอาหารดังนี ผกั ทีใช้ใบและต้นเป็ นอาหาร ผกั ทีใช้ดอกเป็ น อาหาร ผกั ทีใชผ้ ลเป็นอาหาร ผกั ทีใชห้ วั หรือรากเป็ นอาหารเป็ นตน้ ส่วน ของพชื เหล่านีมกั จะมีนาํ เป็ นส่วนประกอบของนาํ ในระดบั สูง เป็ นแหล่ง ของวติ ามินและแร่ธาตุตา่ ง ๆ ทีมีประโยชน์และมีความจาํ เป็นตอ่ ร่างกาย การจาํ แนกประเภทของผกั สามารถแบ่งออกเป็ นประเภท ต่างๆ มีเกณฑอ์ ยหู่ ลายอยา่ งทีสามารถใชใ้ นการจาํ แนกประเภทของผกั ได้ เช่น จาํ แนกตามลกั ษณะพฤกษศาสตร์ จาํ แนกตามส่วนทีใชบ้ ริโภค และ จาํ แนกตามฤดูปลูกทีเหมาะสม และจาํ แนกตามความตอ้ งการ เป็นตน้
57 การจําแนกผกั ตามลักษณะทางพฤกษศาสตร์ การจาํ แนกประเภทนีเป็ นทีนิยมในแวดวงการศึกษา การวิจยั ต่างๆ และค่อนขา้ งจะเป็นเกณฑ์การจาํ แนกทีเป็ นสากล โดยอาศยั ความ เกียวขอ้ งใกลเ้ คียงกนั ของผกั มีการเจริญเติบโตในสภาพภูมิประเทศและ ภูมิอากาศคล้ายคลึง นอกจากนีผกั ประเภทเดียวกัน มักมีระบบการ เจริญเติบโต ทางราก ลาํ ตน้ และใบ ระบบการสืบพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ ดอก ผล และเมล็ด ทีคล้ายคลึงกัน และส่วนมากนิยมจาํ แนกผกั ตามลักษณะ พฤกษศาสตร์ในระดบั ตระกูล (family) ยกตวั อยา่ ง เช่น 1. ตระกูลกระหลาํ ไดแ้ ก่ กะหลาํ ดาว กะหลาํ ดอก กะหลาํ ปลี กวางตุง้ คะนา้ ผกั กาดขาวปลี ผกั กาดเขียวปลี ผกั กาดหัว บรอคคอลี 2. ตระกูลแตงได้แก่ แตงกวา แตงเทศ แตงโม ตําลึง บวบเหลียม บวบหอม นาํ เตา้ ฟักทอง มะระ 3. ตระกูลถัวได้แก่ กระถิน แค ชะอม ถัวแขก ถัวฝักยาว ถวั ลนั เตา มนั แกว โสน 4. ตระกูลมะเขือได้แก่ พริก พริกยกั ษ์ พริกหวาน มะเขือ มะเขือเทศ มะแวง้ 5. ตระะกูลพืชหัวได้แก่ กระเทียม หอมแดง หอมแบ่ง หอมหวั ใหญ่ 6. ตระกูลอืน ๆ ได้แก่ ข้าวโพดหวาน คืนฉ่ายเครืองเทศ ผกั กาดหอม ผกั ชี ผกั บุง้ จนี และสมุนไพร เป็นตน้
58 การจาํ แนกผกั ตามส่วนทีใช้บริโภค ส่วนทีใช้บริโภค ได้แก่ ใบ ลาํ ตน้ ราก ดอก ผล และเมล็ด การผลิตผกั เพือต้องการ ส่วนของใบ และลําตน้ จึงจาํ เป็ นต้องเพิม ปริมาณป๋ ุยทีธาตุไนโตรเจน ส่วนการผลิตผกั เพือบริโภคส่วนของดอก ผล เมล็ด และระบบราก ทีแข็งแรงต้องเพิมปริ มาณ ป๋ ุยทีให้ธาตุ ฟอสฟอรัส ส่วนความแข็งแรง และรสชาติหวานของผล ไดร้ ับจากป๋ ุยที ให้ธาตุโปแตสเซียมเป็ นส่วนใหญ่ นอกจากนี การปลูกผกั ทีตอ้ งการ ส่วนต่าง ๆ ในการบริโภค ยงั เกียวกับ การเขตกรรม เช่น ผกั ทีบริโภค ส่วนของระบบราก จะไมเ่ พาะกลา้ เพือทาํ การยา้ ยปลูก ส่วนทีใชบ้ ริโภค ของผกั จาํ แนกไดด้ งั นี 1. ราก รากพืชทีเรานํามาบ ริ โภคเป็ นผัก เช่น หัว แค รอท มันแ ก ว รา ก ก ระ ช าย มันเทศ มนั สาํ ปะหลงั แรดิช หวั บีท 2. ลาํ ตน้ ลาํ ตน้ ทีเรานาํ มาบริโภคเป็นผกั มีทงั ลาํ ตน้ ใต้ ดินและเหนือดิน ได้แก่ หน่อไม้ กะหลําปลี ผกั กาดหอมชนิดตน้ มนั ฝรัง เผอื ก เป็นตน้ 3. ใบ ใบพืชทีเรานาํ มาบริโภคเป็ นผกั มีมากมายหลาย ชนิด ได้แก่ ผกั กาด คะน้า กะหลาํ ปลี ผกั หวาน ผกั บุง้ ผกั กวางตุง้ ยอดชะอมยอดกระถิน สะระแหน่ โหรพา ใบซะพลู และอีกหลายๆ ชนิดในแต่ละภาค แต่ละทอ้ งถินกม็ ีแตกต่างกนั ไป
59 4. ดอก ดอกทีเรานาํ มาบริโภคเป็ นผกั ไดแ้ ก่ ดอกโสน ดอกกะหลาํ เป็นตน้ 5. ผล ผลทีนาํ มาบริโภคเป็ นผกั ก็มีหลายชนิดได้แก่ แตงกวา ถวั พู ถวั ฝักยาว ถวั แขกถวั ลนั เตา ฟัก บวบ แ ต ง โม อ่อน ก ระ เ จี ย บ ข้า วโ พ ด ฝั ก อ่อ น มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือเทศ แตงโม ฟักทอง พริก เป็ นตน้ จําแนกตามฤดูปลกู ทเี หมาะสม การใชเ้ กณฑฤ์ ดูปลูกทีเหมาะสมในการจาํ แนกผกั นนั จะขึนอยู่ กบั ฤดูกาล อนั มีผลเกียวเนืองจากลกั ษณะทางสภาพภูมิอากาศและภูมิ ประเทศของพืนทีนนั ๆ สําหรับประเทศไทยนนั อยใู่ นเขนร้อนชืนตลอด ปี มี 3 ฤดู ไดแ้ ก่ 1. ฤดูฝน เดือน มิถุนายน-กันยายน ผักฤดูฝน สามารถ เจริญเติบโตไดด้ ีในสภาพอุณหภูมิระหวา่ ง - องศาเซลเซียส และทน ฝนไดแ้ ก่ ผกั ตระกูลแตงทงั หมด ยกเวน้ แตงเทศ ผกั ตระกูลมะเขือ และ ถวั ฝักยาว ผกั กลุ่มนีสามารถเจริญเติบโตไดผ้ ลดีในทกุ ฤดู 2. ฤดูหนาว เดือน ตุลาคม-มกราคม ผกั ฤดูหนาว สามารถ เจริญเติบโต ได้ดีระหว่างอุณหภูมิ 18-28 องศาเซลเซียส ผักกลุ่มนี สามารถเจริญเติบโต และใหผ้ ลผลิตสูง ในฤดูหนาวหากตอ้ งการปลูกผกั ของฤดูร้อนและฤดูฝนควรเลือกปลูกพนั ธุ์ทีทนร้อนและฝน หรือพนั ธุ์เบา
60 สามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตสูงเช่นกนั หากเลือกใช้พนั ธุ์ทีไม่ เหมาะสม อาจทําให้ผลผลิตตํา หรื อเสี ยหายได้แก่ กระหลําดอก กะหลําปลี กระเทียม แครอท บรอคอลี ผกั กาดเขียวปลี ผกั กาดหัว ผกั กาดหอม มนั ฝรัง และหอมหวั ใหญ่ 3. ฤดูร้อน เดือน กุมภาพนั ธ์-พฤษภาคม ผกั ฤดูร้อน สามารถ เจริญเติบโตไดด้ ีในสภาพอุณหภูมิระหว่าง - องศาเซลเซียส การ ปลูกในประเทศไทยสามารถเจริญเติบโต ให้ผลผลิตสูงตลอดปี ได้แก่ กระเจียบเขียว ขา้ วโพดหวาน ผกั ตระกูลแตงทุกชนิด ผกั ตระกูลมะเขือ ทงั หมด ยกเวน้ พริกยกั ษ์ พริกหวาน สําหรับผกั ตระกูลถวั ยกเวน้ ถวั ลนั เตา เป็นตน้ (ฐานขอ้ มูลพืชผกั บทความเกษตร, 2551) โดยทวั ไปพืชผกั สามารถปลูกไดต้ ลอดปี แต่ในปัจจุบนั มีการ ปรับปรุงพนั ธุผ์ กั ใหส้ ามารถปลูกในแต่ละฤดู ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม สามารถ จาํ แนกผกั ทีเจริญเติบโต ไดอ้ ยา่ งปกติในสภาพอุณหภูมิ ต่าง ๆ ดงั นี . พืชผกั ทีชอบอากาศเย็น เป็ นกลุ่มผกั ทีเจริญเติบโตไดด้ ีที อุณหภูมิเฉลียของอากาศอยู่ที 16-18 องศาเซลเซียส พืชผกั กลุ่มนีจึง เหมาะทีจะปลูกในฤดูกาลหนาว หรือพนื ทีสูงทีมีอากาศเยน็ กวา่ พืนทีราบ ทุก ๆ ระดบั ความสูงจากระดบั นาํ ทะเล เมตร อุณหภูมิจะลดลง องศาเซลเซียส พืชผกั กลุ่มนีได้แก่ บร๊อคโคลี กะหลาํ ดอก กะหลาํ ดาว กะหลาํ ปลี กะหลาํ ปม ผกั กาดเขียวปลี ผกั กาดหอม แครอท หน่อไมฝ้ รัง คะนา้ กระเทียม คืนฉ่าย ผกั กาด หวั หอมหวั ใหญ่ ปวยเลง้ ถวั ลนั เตา เทอร์ นิพ อองดิฟ พาร์สเล่ย์ พาร์สนิป ชาด เซลอรี เฟนเนล มนั ฝรัง เป็ นตน้
61 2. พชื ผกั ทีตอ้ งการอากาศอบอุ่น เป็ นกลุ่มผกั ทีเจริญเติบโตได้ ดีทีอุณหภูมิเฉลียระหว่าง - องศาเซลเซียส พืชผกั ในกลุ่มนีได้แก่ แตงกวา แตงไทย มะเขือเทศ มะเขือยาว พริก พริกยกั ษ์ ฟักทอง มะระ บวบ นาํ เตา้ ฟักเขียว ถวั เขียว ขา้ วโพดฝักอ่อน เป็ นตน้ (ธรรมศกั ดิ, 2544) พืชสมุนไพร พืชสมุนไพร หมายถึง พืชทีใชท้ าํ เป็นยารักษาโรค โดยใชส้ ่วนตา่ ง ของพืชชนิดเดียว หรือหลายชนิดผสมกนั พืชสมุนไพรเป็ นกลุ่มพืชทีอยูใ่ น ความสนใจ และมีผูศ้ ึกษาทางดา้ นพฤกษศาสตร์พืนบา้ นมากทีสุด ยารักษา โรคปัจจุบนั หลายขนาน ทีผลิตเป็ นอุตสาหกรรม ไดม้ าจากการศึกษาวิจยั การใช้พืชสมุนไพรพืนบา้ นของกลุ่มชนพืนเมือง ตามป่ าเขา หรือในชนบท ทีไดร้ ับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ทีไดส้ ังเกตวา่ พืชใดนาํ มาใชบ้ าํ บดั โรคได้ มีสรรพคุณชดั เจน จากการเรียนรู้ดว้ ยประสบการณ์ และการทดลอง แบบพืนบา้ นทีไดท้ งั ขอ้ ดีและขอ้ เสียขึนอยกู่ บั ชนิดสมุนไพร พชื สมุนไพรที สามารถเติบโตภายใตร้ ่มเงาของยาง เมือยางอายุ 3 ปี ขึนไป เช่น ขิง ข่า ขมิน ผกั พนื บา้ น รวมถึงสมุนไพรบางชนิด โดยปลูกระหวา่ งแถว ห่างจากแถวยาง 1.5 เมตร (กรมวชิ าการเกษตร, 2562)
62 การจาํ แนกพชื สมุนไพร การจาํ แนกพืชสมุนไพรโดยใช้ลกั ษณะทีปรากฏให้เห็นตาม ลกั ษณะวสิ ัยของพืช (ก่องกานดา, 2541) สามารถแบง่ ได้ 7 ประเภท ดงั นี 1. ไมย้ นื ตน้ มีลาํ ตน้ หลกั เพียงลาํ ตน้ เดียว เนือไมแ้ ข็ง แตกกิง กา้ นบริเวณยอด มีอายุหลายปี ความสูงมากกว่า 5 เมตร ไดแ้ ก่ กระโดน กระทอ้ น กระถินไทย กา้ งปลาแดง ขนุน ขลู่ แคบา้ น เจตมูลเพลิงขาว ชุมเห็ดเทศ ชุมเห็ดไทย ชะอม ตะลิงปิ ง เตา่ ร้าง เทา้ ยายมอ่ ม นนทรี นมสวรรค์ เพกา 2. ไมพ้ ุม่ มีหลายลาํ ตน้ แต่ไมม่ ีลาํ ตน้ หลกั เนือไมแ้ ขง็ ขนาด เล็กหรือขนาดกลาง แตกกิงกา้ นใกลผ้ ิวดินไดแ้ ก่ มะนาว กะเพรา พญาปลอ้ งทอง พริกขีหนู กระถิน กระดีขึนตา เตยหอ 3. ไมล้ ม้ ลุก มีลาํ ตน้ อ่อนนุ่ม เนืองจากประกอบดว้ ยเนือเยอื ที เป็ นเนือไม้เพียงเล็กน้อย ลําต้นจะตายไปเมือหมดฤดู เจริญเติบโต ไดแ้ ก่ กระชาย กระวาน ข่า ฟ้าทะลายโจร วา่ นหางจระเข้ ขมินชนั ตะไคร้ แมงลกั 4. ไม้เถา ลาํ ต้นมีไดท้ งั ทีเป็ นเนืออ่อน และเนือแข็ง ลําต้น มกั จะเรียวเลือยพันกับไม้ หรือวตั ถุอืน เพือพยุงลาํ ตน้ ไดแ้ ก่ กะทกรก ขจร (สลิด) ขีกาขาว คดั เค้าเครือ ดีปลี แตงกวา แตงไทย แตงโม ถัวฝักยาว ถัวพู นําเต้า
63 บวบเหลียม บวั บก บวั สาย พริกไทย ฟัก ฟักขา้ ว ฟักทอง มะระขีนก 5. ผกั ไดแ้ ก่ กะเพรา กระสัง กุยช่าย ชะพลู พริกขีหนู ชะอม ผกั กระเฉด ผกั กูด ผกั แขยง ผกั คราด ผกั ชีฝรัง ผกั ชีลาว โสน ผกั บุ้ง ถัวพู ผกั ปราบ ผกั แพรว ผกั แว่น ผกั เสียน ผกั หนาม 6. หญา้ ไดแ้ ก่ ขอบชะนาง หญา้ งวงชา้ ง หญา้ ตีนนก หญา้ ใต้ ใบ หญา้ ดอกขาว โทงเทง กะเมง็ ขดั มอญ ขลู่ นาํ นมราชสีห์ หญา้ แหว้ หมู ผกั บุง้ ยาง กรดนาํ หญา้ หนวดแมว หญา้ หนา้ ดาํ หญา้ พนั งูแดง หญา้ แพรก หญา้ คา 7. ราก-เหงา้ ไดแ้ ก่ กระชาย กะทือ กระเทียม กระวาน กลอย ขมินชัน ขมินออ้ ย ข่า ขิง บุก พุทธรักษา ไพล มหากาฬ ว่านชักมดลูก ว่านนํา ว่านมหาเมฆ ว่านสากเหล็ก วา่ นสิงหโ์ มรา หอมแดง
64 ระบบวนเกษตร (Agroforestry) วนเกษตร หมายถึง กิจกรรมทีมีลกั ษณะผสมผสานระหวา่ ง พืชยืน ตน้ อายุยาว (Perennial crop), พืชเศรษฐกิจ (Economic crop) และอาจมีปศุ สัตว์ (Livestock) และปลา (Fish) อยูใ่ นระบบดว้ ย ดงั นนั กิจกรรมต่าง ๆ ใน ระบบ จะตอ้ งมีการผสมผสานกนั อยา่ งลงตวั อาจวดั เป็ นรายได้ อาหาร หรือ พลงั งาน พร้อมกบั มีผลกระทบต่อสิงแวดล้อมนอ้ ยทีสุด พนั ธุ์พืชในระบบ มกั จะเป็ นประเภทอเนกประสงค์ (Multipurpose tree species) เช่น ส่วนต่าง ๆ สามารถนํามาประกอบอาหาร หรือใช้เป็ นพลังงาน ไม้ใช้สอย หรือยา รักษาโรค นอกจากนนั ทรงพุม่ ยงั สามารถป้องกนั ลม (Windbreak) ระบบราก สามารถยดึ หนา้ ดินและเพิมความอุดมสมบูรณ์ของดิน วนเกษตรเป็ นศพั ท์ ใหม่ที ใช้เ รี ยกระ บบเกษตรที มีการป ฏิบัติใ นป ระเท ศไท ยม าช้าน านใน ลกั ษณะสวนไมผ้ ลผสมผสานกับไมใ้ ช้สอยหลังบ้าน ลกั ษณะเฉพาะของ ระบบวนเกษตรคือ มีการปลูกไมย้ นื ตน้ (Trees) ร่วมกบั พชื เศรษฐกิจ (Crops) หรือ ปศุสัตว์ (Liverstock) ผสมผสานกนั ประโยชน์ของวนเกษตรในการ เพาะปลูกจาํ เป็ นตอ้ งสนองพืนฐานของเกษตรกรหรือปัจจยั ได้แก่ พืช อาหาร ไมผ้ ล ยาสมุนไพร พลงั งาน ไมใ้ ชส้ อยสร้างบา้ นเรือน และไมย้ ืนตน้ ทีมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ และเลียงสัตว์เพือให้เกิดประโยชน์หลายอย่าง แบบต่อเนือง โดยคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ มไว้ ไม้ ยืนต้นในระบบวนเกษตร หมายถึง พืชไม้เนือแข็งมีชีวิตยืนนานหลายปี อาจเป็นไมย้ นื ตน้ ไมพ้ ุม่ ไมไ้ ผ่ หรือไมต้ ระกูลปาล์ม เช่น หมาก มะพร้าว
65 วนเกษตรมีลกั ษณะทีเรียบง่าย มีกิจกรรมไม่กีชนิด แต่บางระบบ ซบั ซอ้ น ประกอบดว้ ยหลากหลายกิจกรรมหรือสภาพแวดล้อมใกลเ้ คียงกบั ระบบป่ าธรรมชาติ ระบบวนเกษตรทาํ ให้เกิดสิงแวดล้อมในการผลิตที เหมาะสมเพือการผลิตทียงั ยืน เช่น ร่มเงา ช่วยอนุรักษน์ าํ ลดอตั ราการคาย ระเหยนาํ ลดอุณหภูมิของผิวหน้าดิน และช่วยทาํ ให้กิจกรรมของสิงมีชีวิต ขนาดเล็ก (microbial) ดาํ เนินได้ตามปกติ ตน้ ไมป้ กป้องพืชปลูกจากการ ทาํ ลายของลม และปกป้องดินจากการกดั กร่อนและทาํ ให้ผวิ ดินชุ่มชืน การ อนุรักษด์ ิน รากของตน้ ไมช้ ่วยลดการซึมลงของธาตุอาหารสู่ดินชนั ล่าง ลด การเกาะยดึ ของอนุภาคดิน ใบไมท้ ีร่วงทาํ ใหค้ ุณสมบตั ิทางกายภาพ เคมี และ ชีวภาพดีขึน ซึงทาํ ให้ดินสามารถดูดซับและอุม้ นาํ ไดด้ ีขึน การหมุนเวียน ของธาตุอาหาร โดยผ่านทางการตรึงไนโตรเจนของไมย้ นื ตน้ บางชนิด และ การดูดธาตุอาหารจากดินชนั ล่าง ทาํ ใหต้ น้ ไมม้ ีคุณสมบตั ิในการป้องกนั การ สูญเสียธาตุอาหารจากระบบ และทาํ ให้การใช้ประโยชน์จากธาตุอาหารมี ประสิทธิภาพมากขึน ระบบวนเกษตรสามารถเพมิ รายได้ ลดรายจา่ ย โดยการหมนุ เวียนใช้ ประโยชน์ธาตุอาหาร ดิน และนาํ ตน้ ไมล้ ดค่าใช้จ่ายจากการใชป้ ๋ ุยและนาํ นอกจากนันยงั อาจลดการใช้สารกําจดั ศตั รูพืชจากการเพิมจากการเพิม ปริมาณตวั หาํ ตวั เบียน เพือรักษาสมดุล เกิดความหลากหลายของผลิตผล ระบบวนเกษตรเป็ นการปลูกพืชแบบผสมมากกวา่ 2 ชนิด ทีให้ผลผลิตซึง ช่วยลดการพงึ พงิ ผลผลิตจากพชื ชนิดเดียว วนเกษตรประกอบดว้ ยพืชอายสุ ัน และพืชอายุยาว ซึงทาํ ใหก้ ารใชป้ ระโยชน์สูงสุดจากพืนที รวมทงั ให้ผลผลิต
66 ตลอดปี เป็ นการเกษตรแบบพึงตนเอง ลดการซือผลผลิตและปัจจยั จากการ ผลิตภายนอก ทาํ ใหล้ ดความเสียงจากการเปลียนแปลงของตลาดและราคา ผลผลิต การแบ่งกลุ่มวนเกษตร สามารถแบ่งไดเ้ ป็น กลุ่ม คือ 1. พืชเกษตร ไดแ้ ก่ ผกั พืนบา้ นทีเป็ นไมย้ นื ตน้ ผกั พืนบา้ นที เป็ นไมเ้ ถาว์ ผกั พืนบา้ นทีลม้ ลุกหรือเป็ นพืชขา้ มปี เห็ดที งอกขึนเองในป่ ายางตามฤดูกาลต่างๆ เห็ดทีงอกขึนเองใน ป่ ายางตามฤดูกาลต่างๆ ไม้ใช้สอย ไม้ประดับ ไม้ผล ทอ้ งถิน พชื สมุนไพร 2. สัตวเ์ กษตร ไดแ้ ก่ สตั วป์ ่ า และ สตั วเ์ ลียง สวนยางพารามีการปลูกเป็ นแถวเป็นแนว ตน้ ยางมีขนาดเล็กใหญไ่ ม่ สมาํ เสมอ เนืองจากมีการปลูกซ่อมแซม และมีบางส่วนทีตายไปก็จะทาํ ให้ เกิดพืนทีว่าง สวนยางทวั ไปจะมีต้นยางเหลือ ประมาณ 50-60 ตน้ ต่อไร่ ดงั นนั ถา้ มีการนาํ พืชทีสามารถใชส้ อยหรือบริโภคในครัวเรือนมาปลูกเสริม หรือมีการเลียงสตั วก์ ็จะทาํ ใหส้ วนยางมีลกั ษณะเป็ นวนเกษตร พชื และสตั วท์ ี สามารถดาํ รงชีวติ อยใู่ นสวนยางได้ ไดแ้ ก่ 1. ผกั พนื บา้ นทีเป็นไมย้ ืนตน้ : ซึงจะประกอบดว้ ยเกษตรกรทีมี การปลูกไวใ้ นสวนเดิม เช่น สะตอมะพร้าว ไผ่ตง ไผ่ป่ า ไผห่ นาม มะปริง มะมุด มะไฟ ลงั แข ลองกอง มงั คุด ขนุน ชะมวง ส้มแขก ส้มจีด เหมียง เป็ นตน้ และพืชท้องถินที
67 เจริญเติบโตเองจากการนาํ พาตามธรรมชาติ ซึงพืชบางชนิด ชาวสวนยางพาราเวน้ ไม่ตดั ฟันกาํ จดั ออกไป เนืองจากนาํ มา เป็ นพืชบริโภคเพือยงั ชีพได้ เช่น เหรียง เนียง เนียงนก นาง ฉก (นิยมเรียกในภาคใตว้ า่ เนา ตาวในภาคเหนือ) จิกนาํ จิก สวน เพกา กระโดน เลียบ ไฟสามกอง ทมั มงั เทพธาโร สมุย แชะ ประ เตย หมากหมก เตยพรุ สิเหรง เต่าร้าง สาคู เป็นตน้ 2. ผกั พืนบา้ นทีใช้เป็ นไมเ้ ถาว์ : เช่น ย่านนาง ตาํ ลึง พาโหม กระทกรก นําเตา้ ไฟ มะระขีนก มะเดือดิน ขลี ส้มเกรียบ จอกทอก (กระดอกอก) หวายพรุ หวายลิง เป็ นตน้ 3. ผักพืนบ้านทีล้มลุกหรือเป็ นพืชข้ามปี : เช่น บุก อุตพิษ บอนเต่า บอนส้ม ส้มกุง้ ผกั กูด ลาํ เทง็ (ผกั กูดแดง) ผกั หนาม ดาหลา กระวาน เร่ว กะทือ กระชาย เปราะ เป็ นตน้ 4. เห็ดทีงอกขึนเองในป่ ายางตามฤดูกาลต่าง ๆ : เช่น เห็ดเผาะ (เห็ดยาง) เห็ดหู หนู เห็ ดแครง เห็ดไข่ไก่ เห็ ดโคน (เห็ดปลวก) เห็ดตบั เต่า เป็ นตน้ 5. ไมใ้ ชส้ อย : เป็ นไมย้ นื ตน้ ทีชาวสวนยางพาราเวน้ ไวไ้ ม่โค่น ออกไป และจะนาํ ออกมาใชป้ ระโยชนเ์ มือถึงเวลาทีตอ้ งการ ใชป้ ระโยชน์เนือไมใ้ นภายหลงั เช่น กระทอ้ นบา้ น ทุเรียน บ้าน ตาํ เสา พะยอม ยางนา จาํ ปาป่ า ตะเคียน สะเดา ก่อ เป็ นตน้
68 6. ไม้ประดับ : พืชในสวนยางพาราบางชนิด ปัจจุบนั นิยม นาํ มาใชป้ ระดบั ตกแต่งภูมิทศั น์ เช่น บงั ศูนย์ หมากแดง จงั (ยรี ู) กระพอ้ เต่าร้าง เตย สิเหรง หางชา้ ง (เพชรหึง) ขา้ วห่อ นางสีดา พร้าวนกขมุ้ เอืองหมายนา เป็นตน้ 7. ผลไม้ท้องถิน : ผลไม้ท้องถินแบ่งเป็ น รายฤดูกาล เช่น สะตอ เหรียง เนียง เนียงนก ก่อ ประ ส้มแขก ละไม ลงั แข ทุเรียน เห็ด เป็ นตน้ รายเดือน เช่น กลว้ ย มะพร้าว หน่อไม้ ไผ่ตง หน่อไมไ้ ผห่ นาม หน่อไผ่ป่ า หมาก เพกา ขนุน เป็ น ตน้ รายสัปดาห์ เช่น ปลีกล้วย ขิงข่า ใบตอง ยอดมะกรูด ยอดชะมวง ผกั พืนบา้ นชนิดต่างๆ เป็ นตน้ รายวนั เช่น ไม้ กวาดก้านมะพร้าว ผลิตภัณฑ์จักสานต่าง ๆ จากลิเภา กา้ นมะพร้าว ไผ่ เป็นตน้ 8. ไม้สมุนไพร : ในป่ ายางพารามีพืชหลายชนิดทีสามารถ นํามาใช้ในการรักษาโรค เนืองจากมีสรรพคุณเป็ นยา สมุนไพร เช่น ชิงดอกเดียว ไหลเผอื ก หญา้ รีแพ หมากหมก โด่ไมร่ ู้ลม้ ฟ้าทะลายโจร มะแวง้ พร้าวนกขมุ้ หวั ร้อยรู เป็ น ตน้ 9. สัตว์ป่ า : เนืองจากในป่ ายางพารามีความหลากหลายทาง ชีวภาพมาก จึงสามารถเกือกูลให้สัตวป์ ่ าเขา้ มาอาศยั หลบภยั หรือทาํ รังวางไข่หลายประเภท เช่น ผึง อุง (ชนั โรง) มดแดง แย้ ตะกวด กระรอก กระถิก กระจง ไก่ป่ า นกต่างๆ เช่น นก
69 หวั ขวาน นกเปลา้ นกขมิน นกโพระดก นกฮูก เป็ นตน้ และ สัตวห์ นา้ ดินต่างๆ เช่น ไส้เดือน กิงกือ แมงสาปป่ า เป็ นตน้ ซึงสัตวเ์ หล่านีสร้างประโยชน์ทงั ทางตรงและทางออ้ ม เช่น ใช้เป็ นอาหาร ช่วยกาํ จดั ศตั รูพืช ช่วยผสมเกสรพืชผลทาง การเกษตร เป็ นตน้ 10. สัตวเ์ ลียง : ในสวนป่ ายางพาราในอดีตมกั มีสัตวเ์ ลียงร่วมอยู่ ดว้ ยหลายชนิด เช่น ววั บา้ น ไก่บา้ น แพะ แกะ หมูขีพร้า เป็น ตน้ โดยชาวสวนยางพาราอาจปล่อยให้หากินตามอิสระอยู่ ภายในสวน จึงเป็ นวธิ ีการหนึงทีช่วยกาํ จดั ศตั รูพชื และวชั พชื และสัตว์เลียงเหล่านีสามารถขายเป็ นรายไดเ้ สริมและช่วย สร้างภูมิคุม้ กนั ทางรายไดใ้ หก้ บั ครอบครัวอีกดว้ ย เอกสารอ้างองิ เกษตรอินทรียเ์ ออีซีฟาร์ม. 2559. เปลียนสวนยางมาเป็นสวน ผสมผสาน. AEC farm. Biothai. กรมป่ าไม.้ 2553. แหล่งผลิตไมส้ กั วดั จากตวั อยา่ งไมส้ ักทอง สวนป่ าแม่ เมาะ จ.ลาํ ปาง กรมป่ าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
70 กรมป่ าไม.้ 2560. รายงานฉบบั สมบูรณ์ โครงการวจิ ยั เทคนิคการเพิม ผลผลิตสาํ หรับการปลูกสร้างสวนป่ าไมส้ กั แผนงาน การจดั การ สวนป่ าสักอยา่ งยงั ยนื เพอื เกษตรกร. ส่วนวนวฒั นวจิ ยั สาํ นกั วจิ ยั และพฒั นาการป่ าไม้ กรมป่ าไม้ กรุงเทพฯ. กรมป่ าไม.้ . คู่มือการจดั สวนยางป่ าไมเ้ ศรษฐกิจอยา่ งยงั ยนื . สาํ นกั รับรองป่ าไม้ กรมป่ าไม.้ กรมป่ าไม.้ 2562. คู่มือสาํ หรับประชาชน การปลูกไมม้ ีคา่ ทางเศรษฐกิจ. คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ. กรมพฒั นาธุรกิจการคา้ . 2558. ไมย้ นื ตน้ ทีกาํ หนดตามบญั ชีทา้ ยกฎหมายวา่ ดว้ ยสวนป่ า 58 ชนิด. กระทรวงพาณิชย.์ กรมวชิ าการเกษตร. 2562. ทางเลือกการปลูกพืชแซมยาง พืชร่วมยาง และกิจกรรมเสริมรายไดข้ องชาวสวนยาง. สาํ นกั วจิ ยั และพฒั นาการเกษตรเขตที 8 จงั หวดั สงขลา กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ ่ า และพนั ธุ์พชื . 2545. การปลูกป่ า 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ ง. การจดั การความรู้ ส่วนประสานงานโครงการ พระราชดาํ ริ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม. กรมอุทยานแห่งชาติ. 2562. พรรณไมน้ านาชนิดของอนุสรณ์สถาน แห่งชาติ. 156 หนา้ . กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิงแวดลอ้ ม.
71 จไุ รรัตน์ แสงสวสั ดิ. 2561. การปลูกฝรัง. กองส่งเสริมพชื สวน กรม วชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. จาํ เริญ ยนื ยงสวสั ดิ. 2541. เอกสารประกอบการสอน บทที 12 การเกบ็ เกียว และการจดั การผลิตผล. คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์ วทิ ยาเขต หาดใหญ่. จรินทร์ การะนดั . 2536. โครงการวิทยาการเพิมผลผลิตยาง (Technology for yield improvement in rubber) รายงานผลการวจิ ยั สถาบนั วจิ ยั ยาง กรมวิชาการเกษตร ประจาํ ปี 2536. ฐานขอ้ มูลพืชผกั บทความเกษตร. 2551. การจาํ แนกประเภทของผกั . Vegetweb.com. ธรรมศกั ดิ ทองเกตุ. 2544. หลกั การปลูกพชื ผกั . ภาควชิ าพืชสวน คณะ เกษตร มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ และ วสนั ต์ เกตปราณี. 2537. ขอ้ สงั เกตเกียวกบั อายุ เส้นผา่ ศูนยก์ ลางเพียงอกและความหนาแน่นของไมส้ ักในสวนสกั ห้วยทาก จงั หวดั ลาํ ปาง บนั ทึกวจิ ยั เลขที 20. 13 หนา้ . คณะวน ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ. พนสั แพชนะ. 2546. การปลูกพืชสกลุ ระกาํ เป็นพชื ร่วมยางเพือเสริมรายได้ (Interplanting rubber with Salaca spp. an additional source of income). ศูนยว์ จิ ยั ยางสุราษฎร์ธานี.
72 เพญ็ นภา ทิพยส์ ุราษฎร์ และ สุชาติ เชิงทอง. 2558. การศึกษาสงั คมพืช สมุนไพร ในพนื ทีอุทยานแห่งชาติแก่งกรุง จงั หวดั สุราษฎร์ธานี. การประชุมหาดใหญว่ ชิ าการระดบั ชาติ ครังที 6. ณ มหาวทิ ยาลยั หาดใหญ่ วนั ที 26 มิถุนายน 2558. ภาควิชาชีววทิ ยาป่ าไม.้ 2562. ความรู้พนื ฐานเกียวกบั สงั คมพืช. คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ. รัชนี เกตุประทุม. 2556. ระยะปลูกและระบบการปลูกไมผ้ ลไมย้ นื ตน้ . วทิ ยาลยั เกษตรและเทคโนโลยใี นภาคกลาง สังกดั สาํ นกั งานคณะกรรมการอาชีวศึกษา. มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช นนทบรุ ี. วมิ ลฉตั ร สนั ตินรนนท.์ 2539. ปัญหาพิเศษเรือง การศึกษาลกั ษณะไมผ้ ล เขตหนาวและไมผ้ ลเขตกึงร้อนทีมีศกั ยภาพทีจะนาํ มาใชใ้ นการ ออกแบบภมู ิทศั น์. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขต กาํ แพงแสน. ศูนยป์ ฏิบตั ิการพชื เศรษฐกิจ. 2563. กระถินเทพา. กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ ่ า และพนั ธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิงแวดลอ้ ม. ศูนยว์ จิ ยั ป่ าไม.้ 2551. รายงานฉบบั สมบูรณ์ การใชป้ ระโยชนไ์ มโ้ ตเร็วเพือ เป็ นพลงั งานทดแทนในการผลิตกระแสไฟฟ้าและแก๊สหุงตม้ . ศูนยว์ จิ ยั ป่ าไม้ คณะวนศาสตร์ ร่วมกบั สถาบนั คน้ ควา้ และพฒั นา ผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
73 มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ สถานีพฒั นาทิดินร้อยเอด็ กรมพฒั นา ทิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ องคก์ ารบริหารส่วนตาํ บลอุดม ทรัพย์ อ. วงั นาํ เขียว จ. นครราชสีมา. ศูนยว์ จิ ยั และพฒั นาลาํ ไยแม่โจ.้ 2563. มิติใหม่: ลาํ ไยทรงเตียระยะชิด. มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ.้ www.longancenter.mju.ac.th. ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาห้วยฮ่องไคร้. 2552. เอกสารเผยแพร่ทางวชิ าการ ปี ที 1 ฉบบั ที 1 การปลูกและขยายพนั ธุ์ไมผ้ ล. กลุ่มงานศึกษาและ พฒั นาการปลูกพชื อ.ดอยสะเก็ต จ.เชียงใหม่. ศูนยว์ จิ ยั พชื สวนจนั ทบุรี. 2563. สวนทุเรียนระยะชิด นวตั กรรมสาํ หรับ สวนยคุ ใหม่. สถาบนั วจิ ยั พชื สวน กรมวิชาการเกษตร. www.doa.go.th/hrc/chantaburi. สถาบนั วิจยั ยาง. 2553. การกรีดยางและการใชส้ ารเคมีเร่งนาํ ยาง. กรม วชิ าการเกษตร กรุงเทพฯ. สถาบนั วจิ ยั ยาง. 2559. คาํ แนะนาํ พนั ธุย์ าง ปี 2559. การยางแห่ง ประเทศไทย กรุงเทพฯ. สาํ นกั วิจยั และพฒั นาการป่ าไม.้ . รูปแบบการปลูกไมป้ ่ าโดยระบบวน เกษตร (Patterns of forest tree planting in agroforestry systems) งานวจิ ยั การปลูกสร้างสวนป่ า กลุ่มงานวนวฒั นวจิ ยั สํานกั วจิ ยั และพฒั นาการป่ าไม้ กรมป่ าไม.้
74 สาํ นกั วจิ ยั การอนุรักษป์ ่ าไมแ้ ละพนั ธุ์พืช. 2557. ป่ าไมใ้ นประเทศไทย. กรมอุทยานแห่งชาติ สตั วป์ ่ า และพนั ธุ์พชื กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม กรุงเทพฯ. สาํ นกั งานคณะกรรมการพิเศษเพือประสานงานโครงการอนั เนืองมาจาก พระราชดาํ ริ (สาํ นกั ภปร.). 2523. ปลูก 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ ง (พ.ศ. 2523) โครงการทีเกิดจากศาสตร์พระราชา. มูลนิธิมนั พฒั นา. สาํ นกั อุทยานแห่งชาติ. 2549. คู่มืออุทยานแห่งชาติ เพอื การอบรมเยาวชน ลาํ ดบั ที 3 ป่ าไม.้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่ า และพนั ธุ์พชื . สาํ นกั งานพฒั นาการวิจยั การเกษตร. 2556. ลกั ษณะพฤกษศาสตร์ยางพารา. คลงั ขอ้ มูลสารสนเทศระดบั ภูมิภาค (ภาคใต)้ องคก์ ารมหาชน. สาํ นกั งานเศรษฐกิจการเกษตร. 2562. การพฒั นาและการใชส้ มุนไพร พนื บา้ น. ศูนยป์ ระสานงานโครงการอนั เนืองมาจากพระราชดาํ ริ ศูนยป์ ระเมนิ ผล สาํ นกั งานเศรษฐกิจการเกษตร. สมยศ ชูกาํ เนิด, สมพงศ์ คงสีพนั ธ,์ ไววทิ ย์ บูรณธรรม, นิลรตั น์ โชติมณี และ สุขมุ แกว้ กลบั . 2541. ศึกษาการเจริญเติบโตและผลผลิตหวาย บางพนั ธุ์ทีปลูกเป็นพืชร่วมในสวนยาง (Study on growth and yield of rattan as intercropping in rubber plantation). กลุ่มงานวจิ ยั และพฒั นาการผลิตยาง ศูนยว์ จิ ยั ยาง สงขลา สถาบนั วจิ ยั ยาง.
75 องคก์ ารพพิ ิธภณั ฑว์ ทิ ยาศาสตร์แห่งชาติ. 2562. รู้ไหมวา่ ป่ ากม็ รี ะดบั ชนั . กรมส่งเสริมคุณภาพสิงแวดลอ้ ม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิงแวดลอ้ ม. อดิศกั ดิ มาหะวรรณ. 2557. ไมย้ นื ตน้ . สวนพฤกษศาสตร์ ดาราวทิ ยาลยั . โครงการพฒั นาการเรียนการสอนโดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและ การสือสาร โรงเรียนดาราวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ อนุชา จนั ทรบูรณ์. 2550. เอกสารคาํ สอน วชิ าหลกั การไมผ้ ล (Principles of Pomology). มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา น่าน จงั หวดั น่าน. Centre for Agriculture and Bioscience International. 2020. Datasheet Hevea brasiliensis (Rubber). Invasive Species Compendium. Detailed coverage of invasive species threatening livelihoods and the environment worldwide. Langenberger, Gerhard., Georg Cadisch, Konrad Martin, Shi Min and Hermann Waibel. 2016. Rubber intercropping: a viable concept for the 21st century. Agroforest Syst. Springer. Rodrigo, V.H.L., C.M. Stirling, T.U.K. Silva and P.D. Pathirana. 2005. The growth and yield of rubber at maturity is improved by intercropping with banana during the early stage of rubber cultivation. Field Crop Research 91, 23-33 page.
ประวตั แิ ละผลงานผ้เู ขยี น
ประวตั แิ ละผลงานผ้เู ขียน ดร.วทิ ยา พรหมมี ตาํ แหน่งปัจจุบนั หวั หนา้ กองวจิ ยั และพฒั นาการผลิตยาง สถาบนั วิจยั ยาง การยางแห่งประเทศไทย เบอร์โทรศพั ทม์ ือถือ : 087-8264741 E-mail : [email protected] ประวตั ิการศึกษา ระดบั ปริญญา สาขาวชิ า สถาบนั ปี ทจี บ ประเทศ Biochemistry and ปริญญาเอก Molecular Biology China Agricultural 2552 สาธารณรฐั (Ph.D.) University ประชาชนจีน ปริญญาโท พชื ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลา (วท.ม.) นครินทร์ 2541 ไทย ปริญญาโท การบริหารจดั การ สถาบนั บณั ฑติ พฒั น (รป.ม.) ภาครัฐ บริหารศาสตร์ 2561 ไทย ปริญญาตรี (วท.บ.) พชื ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ 2538 ไทย ประกาศนียบตั ร ภาษาจีนกลาง Beijing Language 2548 สาธารณรฐั ระดบั ตน้ and Culture ประชาชนจีน University
รับทุนรัฐบาลไทย-จีน ศึกษาต่อระดบั ปริญญาเอกและเรียนภาษาจีนกลาง ระดับต้น (พ.ศ. - ) ณ. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ภายใตโ้ ครงการแลกเปลียนความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์และวชิ าการไทย-จีน โดย กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย และกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศ สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนจนี ประสบการณ์การทํางาน (งานวจิ ัยและพฒั นา) ศึกษาคน้ ควา้ วิจยั และพฒั นายางพาราดา้ นการผลิตยาง ไดแ้ ก่ การปรับปรุง พนั ธุ์ยาง เทคโนโลยชี ีวภาพยาง และการเขตกรรมยาง รางวัล/ผลงานวจิ ัย 1. รางวลั นักวจิ ัยดเี ด่น ดา้ นการปรับปรุงพนั ธุ์ยาง พนั ธุ์ฉะเชิงเทรา (ปี ) 2. รางวลั ชนะเลศิ ประเภทสิงประดษิ ฐ์ การประกวดนวตั กรรมการยางแห่งประเทศไทย ประจาํ ปี เรือง การขยายพนั ธุ์ยางแนวใหมล่ ดตน้ ทนุ ลดเวลา 3. รางวลั ชนะเลศิ ประเภทสิงประดษิ ฐ์ การประกวดนวตั กรรมการยางแห่งประเทศไทย ประจาํ ปี เรือง การผลิตต้นกล้ายางพนั ธุ์ RRIM600 ทีมีคุณภาพสูงโดยการ เพาะเลียงตน้ อ่อนในสภาพปลอดเชือ
Search