การบรรเลงถวายมือ พิธีไหว้ครูดุริยางคศิลป์ 2566 วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2566 เวลา 16.00 น. - 23.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช
คำนำ พิธีไหว้ครู เป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งที่มีการยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิตาต่อบูรพาจารย์ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ อบรม จรรยามารยาท ตลอดจนศิลปะวิทยากรในแขนงต่าง ๆ ให้กับลูกศิษย์ การไหว้ครูเป็นการปวารณาตน ของลูกศิษย์ที่พร้อมจะน้อมรับการอบรมสั่ งสอนและถ่ายทอดวิชาความรู้จากครู นอกจากนี้ พิธีไหว้ครู ยังเป็นพิธีการอย่างหนึ่งที่ศิลปินทุกศาสตร์ทุกแขนงถือเป็นพิธีกรรมสำคัญ โดยเฉพาะในวงการดนตรีไทย ถือว่าเป็นกิจกรรมเสริมสร้างความรัก ความเชื่อ และความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการระลึกถึง และแสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์ ทั้งในปัจจุบันและผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พิธีไหว้ครูของวิทยาลัย นาฏศิลปในสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ทุกแห่ง มีธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนกันอย่างหนึ่งหลังกิจกรรม การไหว้ครูดนตรีไทย คือ การจัดกิจกรรมการบรรเลงถวายมือ จุดประสงค์ของการบรรเลงถวายมือ คือ เพื่อบูชาครูทางด้านดุริยางคศิลป์รวมทั้งเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ได้ฝึกประสบการณ์ ด้านการบรรเลง และเสนอความสามารถเชิงทักษะต่อสาธารณชนต่อไป ภาควิชาดุริยางคศิ ลป์ วิทยาลัยนาฏศิ ลปนครศรีธรรมราช สถาบันบัณฑิตพัฒนศิ ลป์ กระทรวงวัฒนธรม
เวลา กำหนดการ การบรรเลงถวายมือ พิธีไหว้ครู ประจำปีการศึกษา 2566 22 มิถุนายน 2566 เวลา 16.00 น. - 23.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช กิจกรรม ลงทะเบียน 15.00 น. 15.30 น. การบรรเลงวงดนตรีสากล วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช พิธีเปิด 16.00 น. - ประธานในพิธี จุดธูปเทียนบูชาครู - ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช (นายศิวพงศ์ กั้งสกุล) กล่าววัตถุประสงค์การจัดกิจกรรม - ประธานในพิธี กล่าวเปิดกิจกรรมการบรรเลงถวายมือ พิธีไหว้ครูดุริยางคศิลป์ ประจำปี 2566 รวมทั้งให้โอวาทแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม กิจกรรมการบรรเลงถวายมือ 16.30 น. - การบรรเลงวงเครื่องสาย เพลงแขกบรเทศ เถา เป็นต้นไป - การบรรเลงวงเครื่องสาย เพลงถอนสมอ เถา - การบรรเลงวงเครื่องสาย เพลงแขกโอด สามชั้น - การบรรเลงวงเครื่องสาย เพลงแขกลพบุรี สามชั้น โดย วงศิษย์เก่าภาควิชาดุริยางคศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช - การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงแขกมอญบางช้าง เถา โดย โรงเรียนวัดน้ำรอบ อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช - การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้นวมผสมวงเครื่องสาย เพลงญี่ปุ่นฉะอ้อน สามชั้น - การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงแสนสุดสวาท สามชั้น โดย โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระศรีนครินทร์ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช - การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงเงี้ยวรำลึก เถา และ เพลงแขกต่อยหม้อ เถา - การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงช้างประสานงา เถา - การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงพันธุ์ฝรั่ง เถา และ เพลงทยอยเขมร สามชั้น - การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงโหมโรงเยี่ยมวิมาน, เพลงกล่อมนารี เถา, เพลงน้ำลอดใต้ทราย เถา และ เพลงจีนขิมเล็ก เถา โดย วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง - การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงพม่าห้าท่อน สามชั้น และ เพลงกราวเริงพล เถา - การบรรเลงวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เพลงใบ้คลั่ง เถา เสร็จสิ้นกิจกรรม 23.00 น. *** กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม***
วงมโหรี เพลงโหมโรงจอมสุรางค์ ออกสะบัดสะบิ้ง \"เพลงโหมโรงจอมสุรางค์\" เป็นเพลงที่มีสำเนียงแสดงความหมายไปในทางสนุกสนานร่าเริง มีจังหวะ ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเป็นส่วนมาก นัยว่านายตาบขุนเจริญ ดนตรีการ (เจริญ โรหิตะโยทิน) ซึ่ งเคยเป็นครูสอน ดนตรีอยู่ ณ สามัคยาจารย์สมาคม เป็นผู้แต่ง แต่เมื่อได้พิจารณาตามลำดับสำนวนทำนองของเพลงนี้ แล้ว นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ ยวชาญดนตรีไทยของกรมศิลปากรยังไม่สู้จะปลงใจดีนักว่า ขุนเจริญ เป็นผู้แต่ง เพราะสำนวนทำนองเพลงของแต่ละเพลงที่ ท่านแต่งเป็นไปในรูปแบบอย่างอื่ น รายชื่ อผู้บรรเลง ซอสามสาย 1. ผศ.กฤตษิพัฒน์ เอื้อจิตรเมศ ซอสามสาย 2. นายกฤษณุ ชูดี ซอด้วง 3. นางสาวนันทิกานต์ แสงคำ ซอด้วง 4. นางสาวสุภาภรณ์ สุวรรโณ ซออู้ 5. ว่าที่ร้อยตรีสรบัญชา หมื่นแสวง ซออู้ 6. นายณพสิษฐ์ มุขแม้นเหมือน จะเข้ 7. นางสาวรัชดา ขัตติสะ จะเข้ 8. นางสาวเปมิกา เข็มนาค ระนาดเอก 9. นายภัทรพงษ์ สิงห์แก้ว ระนาดทุ้ม 10. นายกณพ กิ้มเฉี้ยง ฆ้องวงใหญ่ 11. นายอรุษ อักษรนำ ฆ้องวงเล็ก 12. นายวรัชญ์ รอดภัย โทน-รำมะนา 13. นายธนาวุฒิ ชุมทอง ฉิ่ง 14. นางสุจิตตรา มินา
วงปี่ พาทย์เสภา เพลงโหมโรงแขกมอญ โหมโรงแขกมอญ จัดอยู่ในประเภทเพลงโหมโรงเสภา นิยมบรรเลงด้วยวงปี่ พาทย์ไม้แข็ง เป็นผลงาน การประพันธ์ของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เมื่อปี พ.ศ.2474 เป็นเพลงโหมโรงเสภาสำหรับ ประชันวงกันระหว่างลูกศิษย์ชั้นกลางของหลวงประดิษฐไพเราะ ทำนองที่ประพันธ์นี้ เป็นทำนองหลัก (สูงขึ้น อีก 3 เสียง) ปรับลีลาทำนองและเสียงกลมกล่อม สามารถใช้ทั่วทุกเสียงดนตรี และยังบ่นถึงสำเนียงต่างๆ ได้อย่างชัดเจน รายชื่ อผู้บรรเลง ปี่ ใน 1. นายอมรเทพ เอียดชะตา ระนาดเอก 2. นายเอกพจน์ ฉุนจุ้ย ระนาดทุ้ม 3. นายกณพ กิ้มเฉี้ยง ฆ้องวงใหญ่ 4. นายอรุษ อักษรนำ ฆ้องวงเล็ก 5. นายภัทรพงษ์ สิงห์แก้ว กลองสองหน้า 6. นายธนาวุฒิ ชุมทอง ฉิ่ง 7. นายอานนท์ ไกรแก้ว
วงเครื่องสาย เพลงแขกบรเทศ เถา เพลงนี้ โดยปกติเป็นเพลงสำหรับร้องและบรรเลงติดต่อกับเพลงเชิดจีนเฉพาะทำนองสามชั้น พระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก) ได้ประดิษฐ์ขึ้น ส่วนทำนองสองชั้น และชั้นเดียว มีอยู่ในเพลงสองไม้และ เพลงเร็ว ทำนองของเพลงหมายถึงการเผชิญภัยหรือฝ่าฟันต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ซึ่ งผ่านพ้นมาเร็ว บทร้องบทที่หนึ่ง เป็นบทในเรื่องขุนช้างขุนแผนติดต่อกับเพลงเชิดจีน บทร้องเพลงแขกบรเทศ เถา นี่ อะไรตกใจไปเปล่าเปล่า นิจจาเจ้าช่างไม่เชื่ อน้ำใจผัว โดดขึ้ นหลังม้าเถิดอย่ากลัว ประคองตัววันทองย่องเหยียบโกลน นางหวั่ นหวั่ นครั่นคร้ามไม่ขึ้ นได้ ขุนแผนกดสีหมอกไว้มิให้โผน ม้าดีฝีเท้าไม่ก้าวโจน นางกลัวตัวโอนเข้าแนบชิด สองมือกอดผัวให้ตัวแน่น ขุนแผนยิ้มหยอกศอกสะกิด เบือนหน้าว่าเข้ามาให้ชิด ขอจูบนิดหนึ่ งแล้วจะรีบไป (เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนที่ 18 ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยา) รายชื่ อผู้บรรเลง ซอด้วง 1. เด็กหญิงทักษพร ประภาส ซอด้วง 2. เด็กหญิงศุภิสรา สุทธิวรา ซอด้วง 3. เด็กหญิงกันต์ชนาพร ศิลปสมศักดิ์ จะเข้ 4. เด็กหญิงทรรศนีย์ คงวาริน ซออู้ 5. เด็กชายธนวัฒน์ ดำศรี ซออู้ 6. เด็กหญิงกุลสตรี จันทรัตน์ ซออู้ 7. เด็กหญิงวธูพิตรา คงพงศา โทน-รำมะนา 8. นายณพสิษฐ์ มุขแม้นเหมือน ฉิ่ง 9. นางสาวอมลวรรณ ภูมี กรับ 10. นางสาวฉัตรธรัตน์ ศรีจันทร์ ฉาบ 11. นางสาวนฤตย์ ไข่มุกข์ โหม่ง 12. นายอภินันท์ สินธู นักร้อง 13. เด็กหญิงธัญภรณ์ โมราศิลป์
ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง 1. นางสาวสุภาภรณ์ สุวรรโณ 2. นายณพสิษฐ์ มุขแม้นเหมือน 3. นางสาวธัญลักษณ์ รักษ์สังข์
วงเครื่องสาย เพลงถอนสมอ เถา เพลงถอนสมอ สองชั้น เป็นเพลงที่มีมาตั้งแต่สมัยครั้งกรุงศรีอยุธยา ซึ่ งอยู่ในเรื่องถอนสมอ แต่บางตำราก็รวมเข้าอยู่ในเรื่องบังใบ เรียกชื่อในครั้งนั้นว่า “ฝรั่งถอนสมอ” ภายหลังพระยาประสาน ดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ได้แต่งขึ้นเป็น 3 ชั้น ทั้งทางร้องและทางดนตรี ต่อมาเมื่อนิยมบรรเลง เพลงเถากันขึ้น จึงมีผู้ตัดทำนอง สองชั้น นั้นลงเป็นชั้นเดียวบรรเลงติดต่อกันครบเป็นเถา ซึ่ งมีความหมาย ไปในทางชี้ ชวนชมธรรมชาติในทางชลมารค บทร้องเพลงถอนสมอ เถา ลมดีพระก็ใช้ใบไป ภูวนัยอุ้มองค์ขนิษฐา ขึ้ นนั่ งยังท้ายเภตรา ชมหมู่มัจฉาในสายชล พิมทองล่องลอยแลคล่ำ วาฬผุดพ่นน้ำดังฝอยฝน ฉนากฉลามว่ายตามวน โลมาหน้าคนนนทรี ชี้ ชมศิลาปะการัง ที่ เขียวดังมรกตสดสี ที่ ลายคล้ายราชาวดี แดงเหลืองเลื่อมสีเหมือนโมรา (อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2) รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง ซอด้วง 1. นางสาววันวิสาข์ บุตรย่อง ซอด้วง 2. นางสาวศศิธร หลอดศิลป์ ซอด้วง 3. นางสาวญานิกา แซ่ลิ้ม ซอด้วง 4. นางสาวมณิชญา ชูดำ ซอด้วง 5. นางสาวพิยดา บำรุงศรี ซอด้วง 6. นายธีรศักดิ์ บุญแทน จะเข้ 7. นางสาวอรอุมา ทิศรอด จะเข้ 8. นายณฐกร สาราบรรณ์ จะเข้ 9. นางสาวกนิษฐา ชารัตน์ จะเข้ 10. นางสาวสุปรีดา รัตนบุรี ซออู้ 11. นางสาวอนุธิดา ยางแก้ว ซออู้ 12. นางสาวภรณ์วณี จันดี ซออู้ 13. นางสาวประภากรณ์ มะลิแก้ว ซออู้ 14. นางสาวอารียา ยอดเกลี้ยง ซออู้ 15. นางสาวสิริณัฐกรณ์ ภูมี กรับ 16. นางสาวเนตรดาว ศรีจันทร์
17. นางสาวธัญวรัตน์ ศรีสวัสดิ์ โทน-รำมะนา 18. นางสาวจุฑาทิพย์ จะเจน ฉิ่ง 19. นางสาวสาวิตรี รูปสวย ฉาบเล็ก 20. นางสาวอาทิตยา บุญมี ขับร้อง ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง 1. นายกฤษณุ ชูดี 2. นางสาวนันทิกานต์ แสงคำ 3. นางสาวรัชดา ขัตติสะ 4. นางสาวศศิธร เกื้อกูล
วงเครื่องสาย เพลงแขกโอด สามชั้น เพลงแขกโอดนี้ แต่โบราณมีเพียงทำนอง สองชั้น เป็นเพลงในประเภทโยน หน้าทับสองไม้ สำหรับร้องหรือบรรเลงประกอบกับบทที่แสดงความเศร้าโศก แต่ทำนองเพลงมีสำเนียงแขกปนอยู่ นิดหน่อย จึงเรียกว่า แขกโอด ส่วนทำนองสามชั้นที่ได้รับความนิยมบรรเลงอยู่ทั่ว ๆ ไป ครูช้อย สุนทรวาทิน เป็นผู้แต่ง โดยพยายามแทรกแซงสำเนียงแขกเข้าไว้อีกมากมาย ทำให้สมชื่อและน่าฟัง ยิ่งขึ้น ส่วนทำนองสองชั้นและชั้นเดียวที่บรรเลงติดต่อกันให้ครบเป็นเถา หลวงประดิษฐ์เพราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้ตัดและแต่งจากเค้าสามชั้นของครูช้อย สุนทรวาทิน ที่กล่าวมาแล้วเมื่อราว พ.ศ. 2480 นับว่าเพลงเถานี้ เป็นเพลงที่มีเชิงลูกเล่นพลิกแพลงน่าฟังตลอดทั้งเถา บทร้องเพลงแขกโอด กลับเสียใจอาลัยขุนช้างเล่า นิจจาเจ้าหลับกลิ้งอยู่ไกลหมอน จะเย็นฉ่ำน้ำค้างขจายจร ใครจะซ้อนผ้าห่มให้ผัวรัก เห็นม่านขาดกลาดขวางอยู่กลางห้อง สองมือตีอกเพียงอกหัก (เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 ตอน ขุนแผนพานางวันทองหนี) รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง 1. นางสาวอมลวรรณ ภูมี จะเข้ 2. นางสาวฉัตรธรัตน์ ศรีจันทร์ จะเข้ 3. นายอภินันท์ สินธู จะเข้ 4. นางสาวสิริณัฐกรณ์ ภูมี ซออู้ 5. นางสาวอารียา ยอดเกลี้ยง ซออู้ 6. นางสาวนฤตย์ ไข่มุกข์ ซอด้วง 7. นายธีรศักดิ์ บุญแทน ซอด้วง 8. นายโรจนะ แซ่เตื้อง ขิม 9. นางสาวเปมิกา เข็มนาค โทน-รำมะนา 10. นางสาวธัญวรัตม์ ศรีสวัสดิ์ ฉิ่ง 11. นางสาววันวิสาข์ บุตรย่อง กรับ 12. นางสาวอนุธิดา ยางแก้ว ฉาบเล็ก 13. นางสาวกนิษฐา ชารัตน์ โหม่ง 14. นางสาวศศิธร หลอดศิลป์ มาลากัส 15. นางสาวภรณ์วณี จันดี แทมมะริน 16. นายณฐกร สาราบรรณ์ ติ๊กต๊อก 17. เด็กหญิงวรัญญา ปลองคีรี ขับร้อง 18. เด็กหญิงกิ่งบุปผกาญจน์ กรรชนะกาญจน์ ขับร้อง 19. เด็กหญิงพัทรา ลัฐิกาวิบูลย์ ขับร้อง
ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง 1. ว่าที่ร้อยตรีสรบัญชา หมื่นแสวง 2. นางสุจิตตรา มินา 3. นางสาวนันทิกานต์ แสงคำ 4. นางสาวเปมิกา เข็มนาค 5. นางสาวฉัตรสุดา เขื่อนทอง
วงเครื่องสาย เพลงแขกลพบุรี สามชั้น เพลงแขกลพบุรีนี้ แต่โบราณมาทำนองดนตรีมีแต่เพียงอัตราสองชั้นและท่อนเดียว เป็นเพลง ที่รวมอยู่ในชุดเพลงสองไม้ ซึ่ งบรรเลงติดต่อในเพลงเรื่องแขกมอญและบางโอกาสก็แยกออกมาใช้เป็น เพลงร้องประกอบการแสดงโขนละคอนในอารมณ์โศกหรือเปลี่ยวเปล่าวังเวงใจ ภายหลังได้มีผู้เพิ่มเติม ทำนองดนตรีขึ้นอีกท่อนหนึ่งเป็นท่อน 2 หรือเที่ยวหลัง แต่ในทำนองร้องคงร้องเหมือนกันทั้งสองท่อน (หรือสองเที่ ยว) ต่อมาถึงสมัยที่นิยมร้องและบรรเลงเพลงอัตราสามชั้นกันมากขึ้น ก็ได้มีครูบาอาจารย์ทาง ดุริยางคศิลป์และคีตศิลป์ นำเพลงแขกลพบุรีนี้ มาแต่งขึ้นเป็นสองชั้นทั้ งทางร้องและทางดนตรีหลายท่าน ด้วยกัน และแต่ละท่านก็ดำเนินทำนองเพลงต่างกันออกไปตามความคิดและสติปัญญา ซึ่ งล้วนแต่ไพเราะ น่าฟังไปคนละแบบ เนื่องจากเพลงนี้ เป็นเพลงประเภทที่มีโยน ท่านผู้แต่งจึงมีทางที่พลิกแพลงออกไปได้ มากมาย เช่น การร้องสักวาก็ได้แทรกการร้องด้นสองไม้ ทำนองเพลงแขกภาษาแขกแทรกในบางตอน ส่วน ทางดนตรีก็สอดแทรกลูกล้อลูกขัด และวิธีการอื่น ๆ เข้ามาซึ่ งล้วนแต่ทำให้ไพเราะน่าฟังยิ่งขึ้น แต่ ทำนองดนตรีที่ใช้บรรเลงกันแพร่หลายจนปัจจุบันนี้ คือ ทางที่ครูช้อย สุนทรวาทิน ได้แต่งขึ้น ในราวสมัย ต้นรัชกาลที่ 5 ดังได้กล่าวมาแล้วว่าทำนองในอัตราสองชั้น ซึ่ งเป็นของเดิมนั้น เป็นเพลงที่แสดงถึงอารมณ์ อันโศกสลดหรือความวิเวกวังเวงใจแต่เมื่อได้มาแต่งขึ้นเป็นสามชั้นโดยเฉพาะทำนองของดนตรีซึ่ งสอด แทรกวิธีการต่าง ๆ ตลอดจนลูกล้อลูกขัด อันเป็นวิชาการอย่างหนึ่งของการแต่งเพลงประเภทสองไม้ที่มี โยน จึงทำให้สำเนียงที่แสดงอารมณ์โศกเศร้าและเปล่าเปลี่ยวเลือนลางไปจนแลไม่เห็นเลย ยิ่งกว่านั้นใน การแต่งเป็นสามชั้นขึ้นนี้ ยังนำเพลงโสนน้อย ซึ่ งเป็นเพลงชุดมโหรีโบราณมาติดต่อกับท่อน 2 (เที่ยวหลัง) ซึ่ งทำให้เพิ่มความไพเราะเพราะพริ้งขึ้นอีกเป็นอันมาก เมื่อ พ.ศ. 2482 นายมนตรี ตราโมท ได้นำเอาเพลงแขกลพบุรีอัตราสองชั้นของเดิมมาแต่ง เพิ่มเติมให้ดำเนินทำนองและมีลูกล้อลูกขัดเป็นแนวเดียวกับอัตราสามชั้น ของครูช้อย สุนทรวาทิน พร้อม ทั้งตัดแต่งทำนองชั้นเดียวขึ้นใหม่เพื่อบรรเลงติดต่อกันให้ครบเป็นเถา และดัดทำนองร้องตอนลงส่ง ให้ดนตรีรับ ให้มีทำนองเป็นแบบเดียวกันกับสามชั้น บทร้องเพลงแขกลพบุรี สามชั้ น ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแล้ว ทั้ งเกดแก้วพิกุลยี่ สุ่ นศรี จะโรยร้างห่างสิ้ นกลิ่นมาลี จำปีเอ๋ยสั กกี่ ปีจะมาพบ ที่ มีกลิ่นก็จะคลายหายหอม จะพลอยตรอมสูญสิ้ นกลิ่นตลบ ที่ มีดอกก็จะวายระคายครบ จะเหี่ ยวเฉาเซาซบสลบไป* (เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 ตอน ขุนแผนพานางวันทองหนี)
รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง 1. นางสาวเปมิกา เข็มนาค 2. นายชานนท์ แก้วประดิษฐ 3. นางสาวปัทมา แสนสำราญ 4. นายชวัลวิทย์ เกตุรัตน์ 5. ว่าที่ ร.ต.เกียรติศักดิ์ ไชยยศ 6. นายณพสิษฐ์ มุขแม้นเหมือน 7. นางสาวกนกกาญจน์ หมุกแก้ว 8. นางสาวกรกนก สมทรง 9. นายมนตรี จริงเสถียร 10. นายภูวนาถ ลาดทุ่ง 11. นางสาวจิรนันท์ เกิดกายพันธ์ 12. นางสาวอังคณา วิชัยดิษฐ 3. นางสาวทิตต์อรุณ พุ่มพวง 14. นางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน 15. นางเนตรฤทัย ซุ่นเส้ง 16. นายเกียรตินนท์ ทองรอด 17. นายจีระพงษ์ ทองจันทร์ 18. นายจิรวัฒน์ โสมแก้ว 19. นายรณชิต ฤทธิเดช 20. นางสาวจริยวดี นางนวล
วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง เพลงแขกมอญบางช้าง เถา โรงเรียนวัดน้ำรอบ อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช เพลงแขกมอญบางช้าง ครูผู้ใหญ่บางท่านเล่าว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 ครูหน่ายบ้านข้างวัดปากง่าม จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่ งเป็นครูผู้มีฝีมือและชื่อเสียงทางดนตรีในจังหวัดนั้น ได้สอนทำนองเพลงสองชั้น ให้ศิษย์ไว้ ชื่อเพลงบางช้างมีอยู่ 2 เพลง คือเพลงใบคลั่งบางช้างและเพลงแขกมอญบางช้าง ส่วนทำนอง เพลงแขกมอญบางช้าง สามชั้น นั้น พระประดิษฐไพเราะ (ครูมีแขก) นำทำนองมาแต่งขยายเป็นอัตรา สามชั้นจากนั้นมีนักดนตรีไทยไม่ทราบนามแต่งตัดในอัตราจังหวะชั้นเดียวครบเป็นเถา ต่อมานายมนตรี ตราโมท ได้แต่งตัดในอัตราชั้นเดียวอีกทางหนึ่ง ทางนี้ เป็นทางที่ได้รับความนิยมทั่วไปในวงการดนตรีไทย (ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์. สารานุกรมเพลงไทย (2542 : 63)) บทร้องเพลงแขกมอญบางช้าง เถา นิจจาเจ้าวันท้องน้องพี่ อา พี่ จำหน้าเนื้ อน้องได้ทุกแห่ง นิจจาใจช่างกระไรมาแปลกแปลง เอามือคลำแล้วยังแคลงอยู่คลับคล้าย เจ้าลืมนอนซ่อนพุ่มกระทุ่มต่ำ เด็ดใบบอนช้อนน้ำที่ ไร่ฝ้าย พี่ เคี้ ยวหมากเจ้าอยากพี่ ยังคาย แขนซ้ายคอดแล้วเพราะหนุนนอน เจ้ามาได้ผัวดีมีทรัพย์มาก มาลืมเลือนเพื่อนยากแต่เก่าก่อน หลงเชิงขุนช้างช่างชะอ้อน กอดท่อนซุงสักสำคัญคน ถ้ามันตื่ นขึ้ นเห็นพี่ จูบเจ้า ตายเปล่าคอพี่นี้ ขาดป่น สั่ นปลุกลุกจริงสิพี่จน ลุกขึ้ นได้ไล่ชนพี่ ตายจริง (เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยา) รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง 1. นายพัชรพล วงค์เรือง วนศ.นครศรีธรรมราช ปี่ ใน 2. ด.ญ.สุภาพร สงวนคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นักร้อง 3. ด.ช.กิตติธัช จูงศิริ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระนาดเอก 4. ด.ช.ณัฐกฤต ส่งเสมอ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระนาดทุ้ม 5.ด.ช.ศรศิลป์ ปัญญปูญ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ฆ้องวงใหญ่ 6. ด.ช.พิรจิงค์ เจริญกิจ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ฆ้องวงเล็ก 7. ด.ญ.ทาริกา ส่งเสมอ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ฉิ่ง 8. ด.ช.เฉลิมชัย ตลึงเพ็ชร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลองแขกตัวผู้ 9.ด.ญ.รุ่งนภา รำจวน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลองแขกตัวเมีย 10. ด.ญ.โสภิตา สีนะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กรับ 11. ด.ญ.ภัสสร์ชนกภรณ์ สุวรรณวิหค ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ฉาบเล็ก 12. ด.ช.พิสิษฐ์ จูงศิริ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โหม่ง
ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดน้ำรอบ 1. นายสันต์ติ เกราะแก้ว 2. นายณัฐดนัย โกมาลา 3. นายพงค์พัฒน์ กายพันธ์
วงปี่ พาทย์ไม้นวมผสมวงเครื่องสาย เพลงญี่ปุ่นฉะอ้อน สามชั้น เพลงญี่ปุ่นชะอ้อนอัตราสองชั้น ของเก่าประเภทหน้าทับสองไม้ มีท่อนเดียว เป็นเพลงที่ใช้ร้องในการ แสดงละครร้องหม่อมหลวงต่วนศรี วรวรรณ เป็นผู้แต่งขึ้นทั้งทางร้องและทางดนตรีเพื่อให้ละคร้องคณะ ปรีดาลัยในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ใช้ร้องในการแสดงมาตั้งแต่สมัยพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่ องจากทำนองเพลงมีความไพเราะจึงมีผู้นิยมมาร้องกันสื บต่อมา หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้นำเพลงมาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้น และตัดลงเป็น ชั้นเดียวครบเป็นเพลงเถา เมื่อ พ.ศ 2474 ต่อมา คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง ได้แต่งร้อง ใช้บทร้องจากละครเรื่องพระลอนรลักษณ์ พระนิพนธ์ ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ บทร้องเพลงญี่ปุ่นฉะอ้อน สามชั้ น โอ้เจ้าเสาวภาคย์ของพี่ เอ๋ย ไฉนเลยจะได้ชมสมสอง เเต่พรบค่ำค่ำครวญถึงนวลน้อง จนย่ำยามสองฆ้อมประโคม เเต่ข่าวคำร่ำลือเเล้วมิหนำ นี่ มาซ้ำฟังซอยอรูปโฉม เหมือนพระเมรุเป็นทับทรวงโทรม แสนโทมนัสนึกไม่นิทรา ให้เคลิ้มคลุ้มกลุ้มจิตผิดสังเกต ภูวเรศรัญจวนหวนหา อาลัยในสองวนิดา สุดเเสนเสน่หาอาวรณ์ (ละครเรื่องพระลอนรลักษณ์ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ) รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง 1. นางสาวจุฑาภรณ์ สันม่าแอ ระนาดเอก 2. นายโสตถิ์ ฉิมหาด ระนาดทุ้ม 3. นายโรจนะ แซ่เตื้อง ฆ้องวงใหญ่ 4. นายนนทภัทร ไชยคีนี ฆ้องวงเล็ก 5. นางสาวอรอุมา ทิศรอด จะเข้ 6. นางสาวญาณิกา แซ่ลิ้ม ซอด้วง 7. นางสาวประภากรณ์ มะลิแก้ว ซออู้ 8. นายติณณภพ นพการ ขลุ่ยเพียงออ 9. นายพัชรพล วงค์เรือง กลองแขก 10. นายนวัฒน์ มีพงษ์เภา กลองแขก 11. นางสาวอารียา ยอดเกลี้ยง ฉิ่ง 12. นางสาวพิยดา บำรุงศรี กรับ 13. นางสาวธัญวรัตน์ ศรีสวัสดิ์ ฉาบเล็ก 14. นางสาวปาริฉัตร พาลีกัณฑ์ นักร้อง ผู้ควบคุมการบรรเลง อาจารย์ที่ปรึกษาชั้นปริญญาตรีปีที่ 4
วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง เพลงแสนสุดสวาท สามชั้น โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช เพลงแสนสุดสวาทเป็นเพลงประเภทหน้าทับปรบไก่ มี 2 ท่อน ท่อนที่ 1 มี 6 จังหวะ ท่อนที่ 2 มี 4 จังหวะ หลวงเสนาะดุริยางค์ (ทองดี ทองพิรุฬห์) เป็นผู้แต่งถวายกรมหมื่นอนุพงษ์จักรพรรดิเมื่อ พ.ศ. 2451 ใช้ทำนองสองชั้นของเพลงเทพรัญจวนเป็นหลัก หากแต่นำทำนองท่อน 2 ตอนต้นเข้ามารวม เป็นท่อนต้นเสีย 2 จังหวะ ท่อน 2 จึงกลับหลังเป็นหน้า ทางดนตรีในอัตราสองชั้น คงใช้ของเดิม แต่ใน อัตราชั้นเดียว นายบุญยงค์ เกตุคง เป็นผู้ตัดจากอัตราสองชั้นเพลงนี้ ครบเป็นเพลงเถา เมื่อประมาณ พ.ศ. 2498 บทร้องเพลงแสนสุดสวาท สามชั้ น ขุนแผนรับขวัญอย่าเพลินจิต หาลืมคิดความหลังที่สั่ งไม่ แสนสงสารสุดสวาทเพียงขาดใจ นับแต่วันนี้ ไปจนวันตาย มิวันหนึ่ งก็วันหนึ่ งคงถึงห้อง ประสมสองเกษมสุขให้โศกหาย ชื่ นจิตแม่จงคิดเพทุบาย ถ่ายถอนตัวเสียเถิดให้เป็นไทย ว่าพลางทางถอดแหวนเพชร ประคองเช็ดน้ำตาอย่าร้องไห้ ชมแหวนแทนพลางสว่างใจ แล้วสอดใส่นิ้วน้อยให้นางดู กอดคอชะลอเคลื่อนออกจากห้อง สอดประคองอกประทับระทึกอยู่ ค่อยเขยื้อนยกแขนประคองชู เอ็นดูด้วยช่วยชี้ ที่วันทอง รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง 1. นายรัตนชัย ศักดิ์จาย ระนาดเอก 2. ด.ช.ณัฐวัฒน์ พรมชโน ระนาดทุ้ม 3. ด.ช.ธนวัฒน์ พรมชโน ฆ้องวงใหญ่ 4. นายไชยวัฒน์ พรมชโน ฆ้องวงเล็ก 5. นายสราญพงศ์ เต็มรัตน์ กลองแขกตัวผู้ 6. นายทรงพล พันธ์ดี กลองแขกตัวเมีย 7. นางสาวกนกวรรณ อมรชร ฉิ่ง 8. นายจิรวัฒน์ โสมแก้ว ฉาบ 9. นางสาวนิชาภัทร ศรีทอง กรับ 10. นางสาวมะลิษา ปะโพทะกัง ขับร้อง ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง ผู้อำนวยการโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ 1. นายอรุณ รอดสันติกุล 2. นายจิรวัฒน์ โสมแก้ว
วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง เพลงเงี้ยวรำลึก เถา และ เพลงแขกต่อยหม้อ เถา นายบุญยง เกตุคง สมัยที่รับราชการอยู่แผนกดนตรีไทยกรมประชาสัมพันธ์ได้นำทำนอง ของเพลงสุดท้ายในชุดฟ้อนเงี้ยวของภาคเหนือ ซึ่ งเป็นเพลงท่อนเดียวมาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้น และจัดลงเป็นชั้นเดียวครบเป็นเพลงเถาเมื่อ พ.ศ 2495 และได้ทำทางเปลี่ยนไว้ด้วย ส่วนหน้าทับอนุโลม ให้ใช้หน้าทับสองไม้ นายคงศักดิ์ คำสิริ หัวหน้าแผนกดนตรีไทยกรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้แต่งบทร้อง ให้มีความหมายเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ของไทย และนายจำเนียร ศรีไทยพันธุ์ เป็นผู้แต่งทางร้อง บทร้องเพลงเงี้ยวรำลึก เถา สรวมชีพอภิวาทบาทบงสุ์ พระผู้ทรงดำรงมาอาณาจักร ประเทศไทยให้ไทยได้พำนัก ร่มเย็นเกล้าจนประจักษ์ทั่วแดนไทย พระพจนาน่าชมสมเป็นเจ้า ระรื่นเร้าชื่ นอุรายามปราศรัย เสนาะโสตปราโมทย์สมานใจ ชวนจงรักต่อใต้ฝ่าธุลี ทรงกรุณาข้าบาทราชมุฑิต ปลูกน้ำจิตไทยนิยมสมราศี นิกรไทยไพร่ฟ้าประชาชี ได้พึ่ งพระบารมีโดยเพียงเพ็ญ พระทรงพระกรุณาด้วยปราโมทย์ เกื้อประโยชน์บำรุงสุขดับทุกข์เข็ญ ใครเดือดร้อนพระก็ผ่อนให้ร่มเย็น ไทยจึงเด่นด้วยพระบารมี ขอพระองค์เสด็จดำรงเศวตฉัตร สิริสวัสดิพัฒน์เพิ่มเฉลิมศรี เจริญพระชนม์พรรษากว่าร้อยปี สรรพภัยอย่ามีมาแผ้วพาน ใดพระองค์ปองประสงค์จงประสิทธิ์ เลิศพระฤทธิ์กฤษดาชาฉาน ผดุงแผ่นดินภิญโญมโหฬาร โสตถิ์สมมานมวลไทยหมายใจเอย (นายสมศักดิ์ คำศิริ : ประพันธ์) เพลงแขกต่อยหม้อ อัตราสองชั้นและชั้นเดียว ของเก่ามี 2 ท่อน อัตราสองชั้นบรรเลงเป็นเพลง สองไม้ และอัตราชั้นเดียวบรรเลงเป็นเพลงเร็วรวมอยู่ในเพลงเรื่องมอญแปลง ดำเนินทำนองเป็นพื้นๆ ต่อมามีผู้นำเอาทำนองเพลงแขกต่องหม้ออัตราสองชั้นไปใช้ร้องในการแสดงโขนละคร ในตอนที่ตัวละคร เริ่มจะเปลี่ยนอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น จะไป จะมา จะแปลงตัว เมื่อ พ.ศ.2472 นายมนตรี ตราโมท ได้นำทำนองเพลงแขกต่อยหม้อมาแต่งทางร้องและทาง ดนตรีขึ้นเป็นอัตราสามชั้น ทางดนตรีนั้นแต่งให้มีสำเนียงแขกรวมกับสองชั้นและชั้นเดียวของเดิมครบ เป็นเพลงเถา แต่เมื่อได้ทดลองร้องและบรรเลงดูแล้วเห็นว่าทำนองสองชั้นกับชั้นเดียวของเดิมซึ่ งเป็น สำเนียงพื้นเข้ากันไม่สนิทสนม จึงได้แก้ไขดัดแปลงแต่งทำนองอัตราสองชั้นและชั้นเดียวขึ้นใหม่ให้เป็น สำเนียงแขกเช่นเดียวกัน
บทร้องเพลงแขกต่อยหม้อ เถา ดำเนินพลางทางมองทุกช่องฉาก ล้วนแลหลากลวดลายระบายเขียน กนกแนมแกมมาศดาษเดียร ผนังเนียนทาสีมีลายทอง ติดกระจกเงางามอยู่ตามที่ มีมู่ลี่ บังไว้มิให้หมอง ไขวิสูตรสองบานพุดตานกรอง มีพู่ทองห้อยประจำล้วนคำพราย เพดานมาศประหลาดแพร้ว ระย้าแก้วแพรวเฉิดฉาย ฉลุลวดประกวดลาย โคมแขวนรายอยู่พรายตา (มนตรี ตราโมท แก้ไขจากเสภาเรื่องอะบูฮะซัน) รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง ปี่ ใน 1. นายจักรพล จบสัญจร ระนาดเอก 2. นายชญานนท์ ล่วงห้อย ระนาดทุ้ม 3. นายศิวฤทธิ์ พันธรังสี ฆ้องวงใหญ่ 4. นายไชยวัฒน์ พรมชโน ฆ้องวงเล็ก 5. นางสาวภัทราภรณ์ จันทร์แจ่มศรี ฉิ่ง 6. นายรัตนชัย ศักดิ์จาย กรับ 7. นายทักษดนย์ นะชู ฉาบเล็ก 8. นายสิรภพ พรมเทพ กลองแขก 9. นายทรงพล พันธ์ดี กลองแขก 10. นายสราญพงศ์ เต็มรัตน์ ขับร้อง 11. นางสาวทิพย์ตะวัน สุวรรณทิพย์ ขับร้อง 12. นางสาวลักษมีกานต์ พูลสวัสดิ์ ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง 1. นายกณพ กิ้มเฉี้ยง 2. นายธนาวุฒิ ขุนทอง 3. นางสาวธัญลักษณ์ รักษ์สังข์ 4. นางสาวศศิธร เกื้อกูล
วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง เพลงช้างประสานงา เถา เพลงช้างประสานงาเถาอัตราชั้นเดียว ของเก่าประเภทหน้าทับปรบไก่ มีท่อนเดียว 4 จังหวะ เป็นเพลงที่รวมไว้ในเพลงฉิ่งเรื่องช้างประสานงาน ส่วนอัตราสองชั้น ใช้ร้องในการแสดงโขนละครเป็นที่ แพร่หลาย ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมามีผู้แต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้น หลายทางด้วยกันทางที่นิยมแพร่หลายบรรเลงกันทั่วไปคือทางของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ที่นำเพลงช้างประสานงา สองชั้น มาแต่งทางเปลี่ยนแยกลีลาออกไปถึง 4 ท่อน เพื่อใช้บรรเลงรับร้อง ในตับเรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกพรหมมาศ และใน พ.ศ 2464 ได้แต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้นและตัดลง เป็นชั้นเดียวจากทางเปลี่ยนที่ทำไว้ครบเป็นเพลงเถา อีกทางหนึ่งที่นิยมกันคือทางของนายจิต เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ซึ่ งได้แต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ 2475 บทร้องเพลงช้างประสาน เถา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกู้ชาติกระทำยุทธหัตถี ขับคชาชะล่าไล่หมูไพรี ทิ้งโยธีทวยหาญชาญฉกรรจ์ พระทรงศักดิ์ชักคเชนทร์เบนเข้ารบ พัทธะกอล่อตลบเเล้วเหหัน สองช้างประสานงาสง่ายัน พลายทรงธรรม์แบกถนัดงัดกลางทรวง พระนเรศวรทรงสังเกตสบโอกาส ก็โถมฟาดฟันตะแบงพระแสงจ้วง เต็มพระหัตถ์ถนัดแรงเเล่งตัดทรวง อุปราชาร่วงพิราลัย (พันโท หลวงสราวุธวิชัย (สราวุธ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา)) รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง 1. นายอมรเทพ เอียดชะตา ปี่ 2. นายทักษดนย์ นะชู ระนาดเอก 3. นายภัทรพล กาธรรมณี ระนาดทุ้ม 4. นางสาวกุสุมา ลือชา ฆ้องวงใหญ่ 5. นายปภณ รอดภัย ฆ้องวงเล็ก 6. นายณัฐเศรษฐ ดำเนินผล กลองแขก 7. นายพัชรพฤกษ์ พิบูลย์ กลองแขก 8. นายอดุลยศักดิ์ นาคประสิทธิ์ ฉิ่ง 9. นายบรรเทา รอดภัย ฉาบเล็ก 10. ด.ช.พงศกร สุวรรณเสวตร์ ขับร้อง ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง 1. นายบรรเทา รอดภัย 2. นางสาวธัญลักษณ์ รักษ์สังข์ 3. นางสาวฉัตรสุดา เขื่อนทอง
วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง เพลงพันธุ์ฝรั่ง เถา และ เพลงทยอยเขมร สามชั้น เพลงพันธุ์ฝรั่งเถา เป็นเพลงที่แตกต่างจากเพลงเถาอื่นๆ คือ ไม่ใช่สามชั้น สองชั้น และชั้นเดียว แต่เป็นสองชั้นชั้นเดียว และอัตราซึ่ งตัดจากชั้นเดียวอีกชั้นหนึ่ง (มักเรียกกันว่า ครึ่งชั้น) เพลงนี้ เป็นเพลง ประเภทหน้าทับปรบไก่ มีท่อนเดียว 8 จังหวะ ต่อมานายบุญยงค์ เกตุคง ได้แต่งเที่ยวกลับไปเป็นทางเปลี่ยน ขึ้ นใหม่ทั้ งเถา บทร้องเพลงพันธุ์ฝรั่ง เถา ตะวันเที่ยงเสียงนกวิหคเหิน เมื่อพลอดเพลินจับพฤกษาสตาหมัน เพราะสำเนียงเสียงนกเบญจวรรณ นกอัญชันพูดชัดใครพัดมา นกขุนทองของใครที่เคยคุ้น จับอยู่บนต้นพิกุลเรียกคุณจ๋า นกขมิ้นเหลืองอ่อนเคยร่อนมา จำนรรจาจับสุมทุ่มต้นพุมเรียง นกโนรีที่ไหนหนอมาจ้อพลอด มาเกาะกอดกิ่งกาหลงร้องส่งเสียง ให้น้องนั่ งฟังเสนาะเพราะสำเนียง จะได้เรียงกล่อมขับให้หลับเลย (ท้วม ประสิทธิกุล) เพลงทยอยเขมร อัตราสองชั้น เป็นเพลงไทยที่มีมาแต่โบราณ บรรเลงรวมอยู่ในเพลงเรื่องทยอย บางโอกาสก็แยกออกมาใช้เป็นเพลงร้องประกอบการแสดงโขนละคอน เมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 ครูแตง (ปี่ ) ได้ขยายทำนองขึ้นเป็นสามชั้น แต่งเป็น 2 เที่ยว โดยเปลี่ยนทำนองไม่ให้ซ้ำกัน ซึ่ งได้รับความนิยมอย่าง กว้างขวาง ต่อมา พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร หรือครูมีแขก) คงพิจารณาเห็นว่าเพลงทยอยเขมร สามชั้น ของครูแตง เป็นเพลงไพเราะน่าฟังเพลงหนึ่งที่ควรสนับสนุน หากแต่เที่ยวหลังยังใกล้เคียงกับ ทำนองแรกมากไปหน่อย จึงแต่งเพลงทยอยเขมรสามชั้นเพิ่มขึ้นอีก 1 เที่ยวสำหรับบรรเลงเป็นเที่ยวกลับ และเพิ่มเติม เที่ยวแรกของครูแตงขึ้นอีกเล็กน้อยตรงลูกล้อที่ 2 การบรรเลงตามแบบนี้ ก็ได้รับความนิยม อย่างแพร่หลายในวงการดนตรีอีกแบบหนึ่ง การขับร้องนั้นใช้คำร้องจากเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่ 2 บทร้องเพลงทยอยเขมร สามชั้ น ครั้นออกมานอกนคเรศ พระทรงเดชรัญจวนหวนให้ เหลียวหลังตั้งตาดูเวียงชัย หฤทัยหวั่นหวั่นถึงกัลยา
รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง ปี่ 1. นายอมรเทพ เอียดชะตา ระนาดเอก 2. นายสิรภพ พรหมเทพ ระนาดทุ้ม 3. นางสาวเกวลิน กอผจญ ฆ้องวงใหญ่ 4. นายภูริณัฐ วัชนะ ฆ้องวงเล็ก 5. นายอธิชัย วงวอน กลองแขก 6. นายแทนทัย คงนวล กลองแขก 7. นายบุรทัช พันธ์ศักดิ์ ฉิ่ง 8. นางสาวอมราวดี คงนิล กรับ 9. นางสาวบุณยนุช กะลาสี ฉาบ 10. นางสาวจันทร์ทิมา ไกรสร ขับร้อง 11. นายอัครเดช เสนาภักดี ขับร้อง 12. นายธนิกท์ หมะเด็น ขับร้อง 13. นางสาวอรปรียา ศรีสุวรรณ ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง 1. นายเอกพจน์ ฉุนจุ้ย 2. นายธนาวุฒิ ขุนทอง 3. นางสาวฉัตรสุดา เขื่อนทอง
วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง เพลงโหมโรงเยี่ยมวิมาน, เพลงกล่อมนารี เถา, เพลงน้ำลอดใต้ทราย เถา และเพลงจีนขิมเล็ก เถา วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง เพลงโหมโรงเยี่ยมวิมาน เป็นเพลงที่ครูแตง (ปี่ ) เป็นผู้แต่งขึ้นจากเพลงปฐมดุสิตของเดิมและผสมกับ เพลงน้ำลอดใต้ทรายสองเพลงด้วยกันกลายเป็นเพลงโหมโรงเยี่ยมวิมานขึ้น ทางที่ใช้บรรเลงในครั้งนี้ จ่าสิบตรี วิชิต โห้ไทย (ปัจจุบัน พันโทวิชิต โห้ไทย ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย-โยธวาทิต) พ.ศ. 2555) เพลงกล่อมนารี อัตราชั้นเดียว เป็นเพลงเก่า อยู่ในเพลงเรื่องสีนวล ส่วนอัตราสองชั้นเป็นเพลง ประเภทหน้าทับปรบไก่ มีท่อนเดียว 4 จังหวะ นายมนตรี ตราโมท ได้มาจากนางเคลือบ (ไม่ทราบนามสกุล) ต้นเสียงหุ่นกระบอกของ มรว.เถาะ พยัคฆเสนา แล้วแต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้น และตัดลงเป็นชั้นเดียว ครบเป็นเพลงเถา เมื่อ พ.ศ.2474 บทร้องเพลงกล่อมนารี เถา พระแย้มยิ้มพริ้มเพราเย้าหยอก สัพยอกยียวนสรวลสม พักตร์เจ้าเศร้าสลดอดบรรทม พี่ จะกล่อมเอวกลมให้นิทรา สายสมรนอนเถิดพี่ จะกล่อม เจ้างามจริงพริ้งพร้อมดั่งเลขา นวลละอองผ่องพักตร์โสภา ดั่งจันทราทรงกลดหมดมลทิน งามเนตรดั่งเนตรมฤคมาศ งามขนงวงวาดดังคันศิลป์ อรรชรอ้อนแอ้นดังกินริน หวังถวิลไม่เว้นวายเอย (อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2) เพลงน้ำลอดใต้ทราย อัตราสองชั้น ของเก่าประเภทหน้าทับปรบไก่ มี 2 ท่อน ท่อนที่ 1 มี 3 จังหวะ ท่อนที่ 2 มี 4 จังหวะ ใช้ร้องในการแสดงละครใน พ.ศ.2480 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตร สุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเป็นเพลงเถา ยึดแนวเดิมไว้ให้เป็นเพลงเรียบๆ ตลอดทั้งเถา แทรกลูกล้อลูกขัดเล็กๆน้อยๆ เป็นบางตอน เพลงนี้ ทรงพระนิพนธ์ครั้งแรกเมื่อนายเทวา ประสิทธิ์ พาทยโกศล ไปเฝ้า ณ เมืองบันดุง แต่ทรงไว้ไม่ครบ เมื่อนายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล กลับมา ถึงกรุงเทพไม่นาน ก็ทรงกรุณาส่งโน้ตซึ่ งทรงพระนิพนธ์เป็นโน้ตสากล มีทั้งทางร้องและทางดนตรี ประทาน มาทางไปรษณีย์ ประมาณ พ.ศ.2520 นายบุญยงค์ เกตุคง ได้ทำเพลงน้ำลอดใต้ทราย เถา ขึ้นอีกทางหนึ่ง
บทร้องเพลงน้ำลอดใต้ทราย เถา ครั้นถึงจึงลงในท้องธาร ทรงสนานน้ำพุที่ เงื้ อมผา ย้อยหยัดดั่งสหัสธารา ไหลออกจากศิลาซ่าเย็น พร้อยพร้อยต้องกายดังสายฝน เมื่อไรนฤมลจะมาเห็น จะแสนสุขทุกวันไม่วายเร้น ลงเล่นชลธารสำราญใจ ไหนจะชมคณามัจฉาชาติ ล้วนประหลาดว่ายคล่ำในน้ำใส แล้วจะเก็บกรวดแก้วแววไว จะเที่ ยวไปประพาสหาดทรายทอง อันมิ่ งไม้ไทรโศกที่ ริมธาร ต้องแสงสุริย์ฉานสาดส่อง จะเก็บบุปผามาร้อยกรอง แล้วจะร้องลำนำสำราญ ชมพลางทางชวนอนุชา กับพี่ เลี้ ยงเสนาทวยหาญ ว่ายแวกเวียนวนชลธาร พลางชำระสระสนานกายา (อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2) เพลงจีนขิมเล็ก อัตราสองชั้นประเภทหน้าทับสองไม้ เป็นเพลงสำเนียงจีน สำหรับบรรเลงมโหรี มาแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ในยุคนั้นนิยมบรรเลงเพลงที่มีสำเนียงเป็นต่างภาษา บางเพลงนำเอาเพลง ของชาติอื่นมาใช้ บางเพลงก็แต่งขึ้นเองใช้สำเนียงทำนองของชาติอื่น มาเป็นแนวทาง ทุกๆเพลงมักจะมี ภาษาบอกสำเนียง เพลงเหล่านี้ เป็นอัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียวเท่านั้น สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การ บรรเลงมโหรีนิยมเพลงสั้ นๆ ต่อท้ายที่เรียกว่า\"ออกลูกบท\"และปรากฏตามตำรามโหรีว่าการร้องและ บรรเลงเพลง ในเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย บทที่ร้องเพลงสิ่งนั้น กำหนดให้ออกลูกบทเพลงจีนขิม เมื่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุ ริยางกูร) หรือครูมีแขก ได้ยินการบรรเลงดนตรีของชาวจีนผู้หนึ่ง เข้าใจว่าจะบรรเลงด้วยขิม เมื่อกลับถึงที่ พักก็ได้ แต่งเพลงอัตราสองชั้นสำเนียงจีนขึ้นเพลงหนึ่งตามทำนองที่ได้ยินมาจากชาวจีนผู้นั้นแล้วตั้งชื่อว่า \"เพลงจีนขิม\" เหมือนกับชื่อเพลงหนึ่งในสมัยอยุธยาจึงเรียกเพลงจีนสมัยอยุธยาว่า \"เพลงจีนขิมใหญ่\" และเรียกเพลงจีนขิมที่แต่งขึ้นในภายหลังว่า \"จีนขิมเล็ก\" ราวต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวพระประดิษฐ์ไพเราะจึงได้นำเพลงจีนเข็มเล็ก สองชั้นประเภทหน้าทับสองไม้ มี 3 ท่อนที่ท่านแต่งไว้ มาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้น เมื่อปลาย พ.ศ 2474 นายมนตรี ตราโมท ได้แต่งบทร้องและทางร้อง เพลงจีนขิมเล็ก สามชั้น ขึ้นเพื่อใช้ในการทำแผนเสียงของราชบัณฑิตสภา และเมื่อประมาณ พ.ศ 2476 ได้ตัดแต่งทางดนตรีและทางร้องเพลงจีนขิมเล็กลงเป็นอัตราชั้ นเดียวเพื่ อร้องและบรรเลงให้ครบเป็นเพลง เถา
บทร้องเพลงจีนขิมเล็ก เถา ขึ้ นบนเหลาแลอร่ามตามอัคคี รัศมีสว่างกระจ่างส่อง ภาพที่ ฉากปักไว้ด้วยไหมทอง โตคะนองหงส์ฟ้อนมังกรทะยาน นางบำเรอเสนอร้องทำนองหวน ขับครวญขิมคลอซอประสาน พวกขันทีคอยขยับรับใช้งาน น่าสราญรมย์รื่นชื่ นวิญญาณ์ ที่ ระเบียงเรียงแขวนด้วยโคมราย แสงฉายเจิดแอร่มแจ่มจ้า ตู้กระจกโหลเรียงเลี้ ยงปลา ก่อภูผาน้อยน้อยน่าพึงชม พระพายโบยโชยกลิ่นผกากรุ่น หอมละมุลละไมฟุ้งจรุงฉม เลือกล้วนชวนอารมณ์ สำเรื่องรื่นสราญเอย (มนตรี ตราโมท : ประพันธ์) รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง เพลงโหมโรงเยี่ ยมวิมาน 1. นายวรินทร ไชยรัตน์ ปี่ ใน 2. นายพีระพงศ์ เสนาคง ระนาดเอก 3. นายสุราฤทธิ์ อินทะปาน ระนาดทุ้ม 4. นางสาวมณีรัตน์ ณ ตะกั่วทุ่ง ฆ้องวงใหญ่ 5. นายธนากร ธนะกุล ฆ้องวงเล็ก 6. นายชนินทร บุญยศิริสุวรรณ กลองแขก 7. นายไตรทิพย์ ทองมล กลองแขก 8. นายณัฐภัทร เกตด้วง ฉิ่ง 9. นายอุดมเดช ชาญชำนิ ฉาบเล็ก 10. นายฐานันดร์ นุ้ยมาตร กรับ เพลงกล่อมนารี (เถา) 1. นายวรินทร ไชยรัตน์ ปี่ ใน 2. นายสุราฤทธิ์ อินทะปาน ระนาดเอก 3. นายพีระพงศ์ เสนาคง ระนาดทุ้ม 4. นางสาวมณีรัตน์ ณ ตะกั่วทุ่ง ฆ้องวงใหญ่ 5. นายธนากร ธนะกุล ฆ้องวงเล็ก 6. นายชนินทร บุญยศิริสุวรรณ กลองแขก 7. นายไตรทิพย์ ทองมล กลองแขก 8. นายณัฐภัทร เกตด้วง ฉิ่ง
9. นายอุดมเดช ชาญชำนิ ฉาบเล็ก 10. นายฐานันดร์ นุ้ยมาตร กรับ 11. นายสุรศักดิ์ แซ่เต่อ ขับร้อง เพลงน้ำลอดใต้ทราย (เถา) 1. นายวรินทร ไชยรัตน์ ปี่ ใน 2. นายสุราฤทธิ์ อินทะปาน ระนาดเอก 3. นายพีระพงศ์ เสนาคง ระนาดทุ้ม 4. นางสาวมณีรัตน์ ณ ตะกั่วทุ่ง ฆ้องวงใหญ่ 5. นายธนากร ธนะกุล ฆ้องวงเล็ก 6. นายนราวิชญ์ ธรรมโชติ กลองแขก 7. นายชนินทร บุญยศิริสุวรรณ กลองแขก 8. นายไตรทิพย์ ทองมล กลองสองหน้า 9. นายณัฐภัทร เกตด้วง ฉิ่ง 10. นายอนิรุทร์ จันทรทิตย์ ฉาบเล็ก 11. นางเสาวลักษณ์ คลี่แก้ว กรับ 12. นายสุรศักดิ์ แซ่เต่อ ขับร้อง เพลงจีนขิมเล็ก (เถา) 1. นายวรินทร ไชยรัตน์ ปี่ ใน 2. นายกฤชธนัท คงฤทธิ์ ระนาดเอก 3. นางสาวเสาวลักษณ์ คลี่แก้ว ระนาดทุ้ม 4. นางสาวตติยา แซ่เอี๊ยบ ฆ้องวงใหญ่ 5. นางสาวเนตรนภา จิตระกูล ฆ้องวงเล็ก 6. นายชนินทร บุญยศิริสุวรรณ กลองแขก 7. นายไตรทิพย์ ทองมล กลองแขก 8. นางสาวอัครณี บุญยอด ฉิ่ง 9. นายธีระพัฒน์ แก้วของแก้ว ฉาบเล็ก 10. นายรณกร ไชยมิตย์ ฉาบใหญ่ 11. นางสาวสุพิชฌาย์ ชูแสง กรับ 12. นายสุรศักดิ์ แซ่เต่อ ขับร้อง
ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติชัย รัตนพันธ์ 2. นายสุภเชฏฐ์ กิจวาส 3. นายณัฐิวุฒิ ร่อนแก้ว 4. นายสุภกิจ จาดใจดี 5. นางรุ่งนภา มีขาว 6. นายนราวิชญ์ ธรรมโชติ
วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง เพลงพม่าห้าท่อน สามชั้น และ เพลงกราวเริงพล เถา เพลงพม่าห้าท่อน เป็นเพลงไทยสำเนียงพม่า อัตราสองชั้น ของเก่า ประเภทหน้าทับสองไม้ มี 5 ท่อน ท่อนที่ 1 เป็นเพลงที่มี “โยน” ซึ่ งสามารถแต่งพลิกแพลงได้ต่างๆ ไม่กำหนดจำนวนจังหวะ เพราะฉะนั้นผู้แต่งจึงแทรกภาษาต่างๆ เช่น พม่า มอญ ลาว ฝรั่ง ได้ ท่อนที่ 2 ถึง 5 มีจังหวะจำกัดเพิ่ม เติมไม่ได้ เพลงนี้ มีผู้แต่งกันหลายทาง เช่น ทางของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ทางของ จางวางทั่วพาทยโกศล ทางของพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงพระนิพนธ์ ขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้นและตัดลงเป็นชั้นเดียวครบเป็นเพลงเถา ทรงทำทางแปลกออกไปเป็นภาษาต่างๆ เช่น มีสำเนียงพม่า มอญ ลาว ปนอยู่ด้วย และทรงแยกเสียงประสานไว้สำหรับวงโยธวาทิตแทรกก่อนที่จะ เดี่ยวปี่ โอโบเพื่อให้ไพเราะน่าฟัง ถึง พ.ศ. 2466 มีการประชันปี่ พาทย์ที่วังบางขุนพรหม สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงกำหนดให้ประดิษฐ์ทำนองเพลง พม่าห้าท่อนเป็นทางสี่ ชั้น มีวงปี่ พาทย์เข้าประกวด 3 วงด้วยกัน คือ วงวังบางขุนพรหม วงวงวังบูรพา ภิรมย์ และวงเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) ต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้า บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ทรงทำเพลงพม่าห้าท่อนขึ้นเป็นเพลงเถา ประทานวงปี่ พาทย์บรรเลงต่อจากเพลงโหมโรงเสภา ซึ่ งยาวมาก มีร้องรับถึง 15 ท่อน นางเจริญ พาทยโกศล เป็นผู้ เลือกบทร้องจากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน และเป็นผู้ช่วยคิดทางร้องถวายด้วยเพลงพม่าห้าท่อน เถา ใน แบบแผนนี้ ได้รับความนิยมแพร่หลายต่อมา ใน พ.ศ.2470 นายมนตรี ตราโมท ได้คิดเพลงพม่าห้าท่อน เถา ตามแบบแผนนี้ ไห้กับวงปี่ พาทย์ หลวงบรรเลงบ้าง โดยจัดให้ออกภาษาเฉพาะท่อนที่ 1 ชั้นละ 2 ภาษา อันดับแรก (สี่ ชั้น) ออกภาษาลาว กับเขมร อันดับสอง (สามชั้น) ออกภาษาเขมรกับเงี้ยว อันดับสาม (สองชั้น) ออกภาษาแขกกับข่า เมื่อ รวมบรรเลงทั้ งเถาแล้วจะเป็นเพลงใหญ๋ที่ ใช้บรรเลงนานมาก เพลงพม่าห้าท่อน เถา ยังมีอีกทางหนึ่ง ซึ่ งหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ได้นำมาปรับ ใหม่เมื่อ พ.ศ.2473 ในงานประชันปี่ พาทย์วังลดาวัลย์ ใช้ชื่อว่า “เพลงพม่าห้าท่อน หกชั้น” (สี่ ชั้น) หรือ “เพลงพม่าห้าท่อน ทางบางคอแหลม” (วังลดาวัลย์และวังบางคอแหลม เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์) บทร้องเพลงพม่าห้าท่อน สามชั้ น เดินทางมาในหว่างกระถางไม้ ดอกใบรุกขชาติอยู่ดาษดื่น ลมหวนเกสรเมื่อค่อนคืน ชื่ นชื่ นชูกลิ่นถวิลใจ จำปาเทศเกดแก้วพิกุลแกม ยี่ สุ่ นแซมสายหยุดพุดไสว พยอมยงดัดทรงสมละไม ชั้ นในไว้กรงสาลิกา นกแก้วจับคอนแล้วนอนเฉย เจ้าแก้วเอ๋ยสาวรักเจ้าหนักหนา (เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้นางแก้วกิริยา)
เพลงกราวเริงพล เถา นายบุญยง เกตุคง ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดงดนตรีไทย ปี พ.ศ 2531 ได้นำเพลงเขมรเร็วชั้นเดียวมาแต่งขยายขึ้นเป็นเพลงอัตราจังหวะสองชั้นและสามชั้นจนเป็นเพลงเถา เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ 2510 แล้วให้ชื่อว่า “เพลงกราวเริงพล” โดยเฉพาะอัตราจังหวะสองชั้น มีความไพเราะสนุกสนานเช่นเดียวกับเพลงกราวเครื่องหนังที่ตีประกอบจังหวะในเพลงนี้ ใช้โทนชาตรี ซึ่ งหน้าทับกลองเรียบเรียงโดยนายสมพงษ์ โรหิตาจล นายมณเฑียร สมานมิตร และนายสุจินต์ เฟื่ องฟุ้ง นักดนตรีไทยวงกรุงเทพมหานคร บทขับร้องนำมาจากกลอนบทละครเรื่องมโนราห์ ตอน บูชายันต์ ของ กรมศิลปากรของนางกัญญา โรหิตาจล เป็นผู้แต่งทำนองร้อง บทร้องเพลงกราวเริงพล เถา เจ้าอย่าทรงโศกาอาลัย จะทำให้เป็นลางแก่ตัวพี่ สั่ งเสร็จพระเสด็จจรลี ออกไปยังที่ ประชุมพล ทหารเหล่าเกาทัณฑ์ขยันยิ่ง ขยับยิงแม่นยำไม่ย่อย่น ทหารหอกถือหอกออกผจญ แต่ละคนกล้าหาญชำนาญฤทธิ์ ทหารดาบถือดาบวับวาบแดง ฟันเพลงแต่ละทีไม่มีผิด ทหารม้าควบม้ามาประชิด ปัจจามิตรย่นระยองไม่ต่อตาม พวกเราเหล่าทหารชำนาญยุทธ ฤทธิรุจเกรียงไกรในสนาม เคยผ่านศึกมีชัยในสงคราม ไม่เคยขามคร้ามครั่นสรรพภัย พระสุธนขึ้ นทรงคชาธาร คุมโยธาหาญทัพใหญ่ พรั่งพร้อมพหลพลไกร คลาใครออกจากนิเวศน์วัง (ละครชาตรีเรื่องพระสุธน-มโนราห์) รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง 1. นายติณณภพ นพการ ปี่ ใน 2. นายกวีวัชร แซ่เตื้อง ระนาดเอก 3. นางสาวอารุณี สังข์จันทร์ ระนาดทุ้ม 4. นายพัฒกิจ พัฒฉิม ฆ้องวงใหญ่ 5. นายสุขอนันต์ เวชกุล ฆ้องวงเล็ก 6. นายอัษฎากรณ์ คำนวนจิตต์ ฆ้องคู่ 7. นายบุรทัช พันธศักดิ์ กลองตุ๊ก 8. นายเอกพจน์ ฉุนจุ้ย โทนชาตรี 9. นางสาวธัญวรัตม์ ศรีสวัสดิ์ ฉิ่ง 10. นายอัครเดช เสนาภักดี ขับร้อง
ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง 1. ผศ.ชยพร ไชยสิทธิ์ 2. นายเอกพจน์ ฉุนจุ้ย 3. นางสาวศศิธร เกื้อกูล
วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง เพลงใบ้คลั่ง เถา เพลงใบ้คลั่ง อัตราสองชั้นของเก่าประเภทหน้าทับสองไม้ มี 4 ท่อน เดิมเรียกว่าเพลงใบ้คลั่งบางช้าง เป็นเพลงที่ครูหน่าย ครูดนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่งขึ้นพร้อมกับเพลง แขกมอญบางช้าง อัตราสองชั้น ต่อมาครูช้อย สุนทรวาทิน ได้แต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้น ส่วนชั้นเดียว นายมนตรี ตราโมท ได้แต่งขึ้นเป็น 3 ทาง คือสำหรับบรรเลงเป็นเพลงเถาทางหนึ่ง เป็นเพลงเร็วทางหนึ่ง และเป็นเพลงลูกหมดอีกทางหนึ่ ง บทร้องเพลงใบ้คลั่ง เถา เสียดายเอ๋ยเคยพลอดอยู่กอดกก โอ้อกเยือกเย็นเห็นแต่หมอน ได้ยินเสียงเรไรใจรอนรอน หอมซ่ อนชู้ชูชื่ นรื่นอุรา หอมดอกไม้คล้ายกลิ่นผ้าห่มน้อง ละเมอมองแหวกม่านชะแง้หา ไม่เห็นเจ้าลาวทองของพี่ อา เคยแนบหน้านวดพัดแล้วพาที ขวัญอ่อนเจ้าเคยนอนชมเดือนหงาย เล่านิยายแย้มยิ้มหยอกกับพี่ เจ้าเป่าแคนแสนเพราะเสนาะดี กรรมมีจึงต้องพรากไปจากกัน โอ้อนาถคลาดรักหนักทรวงเอ๋ย กระไรเลยยากเข็ญเหมือนเป็นใบ้ จะออกปากยากจริงทุกสิ่ งไป ต้องคลั่ งไคล้สิ้ นสุขทุกเวลา ทุกค่ำเช้าเฝ้าครวญหวนถวิล หักเท่าไรก็ไม่สิ้ นเสน่หา คะนึงถึงลาวทองของพี่ อา เจียนเป็นบ้าเสียเพราะรักปักดวงใจ โอ้กรรมใดมาซ้ำให้จำจาก ต้องพลัดพรากจากยอดพิสมัย เสียดายรักหนักอุรานิจจาเอ๋ย ต้องชวดเชยคิดไปน่าใจหาย ฟังน้องร้องใบ้คลั่งยังเสียดาย หวานมิวายน้ำคำเจ้าร่ำวอน ต้องจากนุชสุดสวาทเพียงขาดจิต เคยแนบชิดพุ่มพวงดวงสมร สักเมื่อไรจะประสบพบบังอร โอ้ภูธรหมดทรงพระเมตตา แม้ไม่เกรงบาทบงส์พระทรงฤทธิ์ จะลอบไปชมชิดเสน่หา รายชื่ อผู้บรรเลงและขับร้อง ปี่ ใน 1. นายพัชรพล วงค์เรือง ระนาดเอก 2. นายนนภัทร ไชยคีนี ระนาดทุ้ม 3. นายโสตถิ์ ฉิมหาด ฆ้องวงใหญ่ 4. นายนวัฒน์ มีพงษ์เภา ฆ้องวงเล็ก 5. นางสาวจุฑาภรณ์ สันม่าแอ กลองแขก 6. นายสราญพงศ์ เต็มรัตน์ กลองแขก 7. นายทรงพล พันธ์ดี ฉิ่ง 8. นายรัตนชัย ศักดิ์จาย
9. นายทักษดนย์ นะชู ฉาบเล็ก 10. นายชญานนท์ ล่วงห้อย กรับ 11. นายขจรศักดิ์ สุวรรณภักดี ขับร้อง ผู้ควบคุมการบรรเลงและขับร้อง 1. ผศ.ชยพร ไชยสิทธิ์ 2. นางสาวศศิธร เกื้อกูล
ขอขอบพระคุณ นายเอนก อาจมังกร ประธานในพิธี นายศิวพงศ์ กั้งสกุล ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช คณะครูและอาจารย์ภาควิชาดุริยางคศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: