ระบบย่อยอาหารวิชา วทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐาน ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2
การยอ่ ยอาหาร (digestion) หมายถึง กระบวนการเปล่ยี นแปลงทางเคมีทเี่ กิดข้ึนในสง่ิ มชี วี ติ เพ่ือแปรสภาพของสารอาหาร จากสารอาหารทม่ี ีโมเลกุลขนาดใหญใ่ หเ้ ป็นสารอาหารทมี่ โี มเลกุลขนาดเล็ก จนสามารถดูดซมึ เขา้ สกู่ ระแสเลือด การยอ่ ยอาหารของมนษุ ย์แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. การยอ่ ยเชงิ กล (mechanical digestion) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงขนาดของอาหารทางกายภาพ โดยเปลี่ยนจากอาหารชิน้ ใหญ่ให้มีขนาดเลก็ ลง ไมม่ ีเอนไซม์เข้ามาเก่ียวข้อง เชน่ การใช้ฟันบดเคีย้ วอาหาร การหด และคลายตวั ของกล้ามเนือ้ หลอดอาหาร 2. การยอ่ ยเชิงเคมี(chemical digestion) เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงทางเคมีทีม่ ีการเปลี่ยนแปลง ขนาดโมเลกลุ ของอาหาร จาก อาหารที่ มโี มเลกลุ ขนาดใหญ่ให้มโี มเลกลุ ขนาดเล็ก โดยมเี อนไซม์(enzyme) เข้า ร่วมในปฏกิ ิริยา
ระบบยอ่ ยอาหารของคน ประกอบด้วแบง่ เป็นสว่ นๆดงั นี ้1. ช่องปาก (Oral Cavity) มีฟันและตอ่ มน เกี่ยวกบั การยอ่ ยสว่ นนี ้2. คอหอย (Pharynx)3. หลอดอาหาร (Esophagus)4. กระเพาะอาหาร (Stomach)5. ล้าไส้เลก็ (Small Intestine) มีตบั (L และตบั ออ่ น (Pancreas) เก่ียวข้องกบั การ ระบบนี ้6. ล้าไส้ใหญ่ (Large Intestine)
ทางเดนิ อาหารของมนุษย ์ มนษุ ย์มีระบบทางเดนิ อาหารสมบรู ณ์มีความยาวประมาณ 9 เมตร โดยมลี ้าดบั การเคลือ่ นท่ีของอาหาร ดงั นี ้
1. ปาก (mouth) มีสว่ นยอ่ ยๆ ดงั นี ้ ฟัน (Teeth) เป็นอวยั วะท่ีแข็งแรงที่สดุ ในร่างกาย ท้าหน้าท่ีตดั ฉีกและบดเคยี ้ วอาหารให้มีขนาดเลก็ ลงฟันคนมี2 ชดุ คือ ฟันแท้(Permanent Teeth) มี32 ซี่ ฟันนา้ นม(Deciduous Teeth) มี20 ซี่อาหารท่ีเข้ามาในปากจะถกู แปรสภาพ 2 วิธีคือ อาหารจะถกู ฟันบดเคยี ้ วให้มีขนาดเลก็ ลงแตย่ งั ไมแ่ ปรสภาพให้เลก็ ลงจนดดู ซมึ (absorption) ได้การยอ่ ยเชน่ นีเ้ป็นการยอ่ ยเชิงกล ขณะเดียวกนั อาหารเหลา่ นนั้ จะถกู ยอ่ ยทางเคมีด้วยเอนไซม์ท่ีมีอยใู่ นน้าลาย การยอ่ ยเชิงกลจึงเป็นกระบวนการยอ่ ยท่ีช่วยแปรสภาพอาหารให้เลก็ ลงเพื่อนา้ ยอ่ ยจะได้
ลนิ้ (Tongue) ท้าหน้าท่ีคลกุ เคล้าอาหารให้ผสมกบั นา้ ลาย
ตอ่ มน้าลาย (Salivary gland) ท้าหน้าท่ีสร้างนา้ ลาย ซง่ึ ในนา้ ลายจะมีนา้ และนา้ ยอ่ ย ตอ่ มนา้ ลายมี3 คดู่ งั นี ้ 1) ตอ่ มอยบู่ ริเวณใต้ขากรรไกรลา่ ง หรือ ตอ่ มซบั แมนดบิ วิ ลาร์(Submaxillary gland) 1 คู่ 2) ตอ่ มบริเวณกกหทู งั้ สองข้าง หรือ ตอ่ มพาโรทิด (Parotid gland) 1 คู่ 3) ตอ่ มใต้ลนิ ้ หรือ ตอ่ มซบั ลิงกวล (Sublingual gland) 1 คู่ตอ่ มนา้ ลายท่ีใหญ่ที่สดุ อยบู่ ริเวณกกหถู ้าตอ่ มนีต้ ิดเชือ้ ไวรัสจะท้าให้เกิดอาการอกั เสบเป็นโรคคางทมู (Mump
การยอ่ ยอาหารในชอ่ งปาก (Oral Cavity)นา้ ยอ่ ยอาหารในปากจะมเี อนไซม์ที่ช่ือวา่ ไทยาลนิ (Ptyalin ) ซงึ่ เป็นเอนไซม์อะไมเลส (Amylase) ชนหนง่ึ ท้าหน้าที่ ยอ่ ยแปง้ ซง่ึ เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกลุ ใหญ่ แปง้ ที่ถกู ยอ่ ยแล้วจะอยใู่ นรูปของเดกซ์ตริน (Dextrซง่ึ เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกลุ เล็กกวา่ แปง้ แตย่ งั ไมเ่ ปล่ยี นเป็นนา้ ตาล แตถ่ ้าถกู ยอ่ ยนานๆ อาจถกู ยอ่ ยให้เป็นนา้ ตาลโมเลกลุ คไู่ ด้ แปง้ + นา้ ลาย อะไมเลส เดก็ ซ์ตริน + มอลโทส
2. คอยหอย (Pharynx) เป็นบริเวณท่ีติดตอ่ กบั รูจมกู ด้านในท่อยสู เตเชียน (Eustachian tube) จปาก กลอ่ งเสยี ง และหลอดอาหาร บริเวณคอหอยมีตอ่ มนา้ เหลอื ง 3 คู่ เรียกวา่ ตอ่ มทอนซลิ (Tonsil) ท้าหนเป็นดา่ นสกดั ไม่ให้เชือ้ โรคผา่ นเข้าสหู่ ลอดอาหาร และกลอ่ งเสียงได้ บริเวณคอหอยไมม่ ีการยอ่ ยอาหาร แตเ่ ป็นทางผา่ นของอาหารจากปากไปสหู่ ลอดอาหาร คอหอยเป็นบริเวณทางร่วมของทงั้ ทางเดินอาหารและ ทางเดนิหายใจ ดงั นนั้ ในขณะที่กลนื อาหารจงึ ต้องมีกลไกท่ีมฝี าปิดกลอ่ งเสยี ง (epiglottis) เลอื่ นลงมาปิดช่องลม เปอ้ งกนั ไมใ่ ห้อาหารตกลงไปในหลอดลม แตใ่ ห้ไหลลงไปในหลอดอาหาร (esophagus) ไมเ่ ช่นนนั้ จะเกิดก
3. หลอดอาหาร (esophagus)หลอดอาหารมคี วามยาว 25 เซนตเิ มตร ท้าหน้าที่ล้าเลยี งอาหารจากคอหอยถงึ กระเพาะอาหารโดยอาศยั การหดและคลายตวั เป็นจงั หวะๆ ของกล้ามเนือ้ เรียบ เรียกวา่ เพอริสตลั ซสิ (peristalsis) ซเป็นการยอ่ ยเชิงกล
กระเพาะอาหาร (stomach) ในภาวะปกตกิ ระเพาะอาหารจะมีขนาดประมาณ 50 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร และเมื่อมีอาหารลงไปกระเพาะอาหารจะสามารถขยายใหญ่ขนึ ้ ได้ประมาณ 10 – 40 เท่า กระเพาะอาหารจะมีตาแหนง่ อยใู่ ต้กระบด้านซ้ายของชอ่ งท้อง ผนงั ของกระเพาะอาหารเป็นกล้ามเนือ้ เรียบแขง็ แรง และยดึ หยนุ่ ได้ม3ี ชนั้ ท่ีผนงั ชนั้ ในมีรอยยน่ พบั ซ้อนกนั จนเป็นสนั นนู ขนึ ้ เรียกวา่ รูกี(Rugae) มีตอ่ มสร้างนา้ ยอ่ ยประมาณ 35 ล้านตอ่ ม เรียกวา่Gastric Gland สร้างนา้ ยอ่ ย เรียกวา่ Gastric Juice ซงึ่ มอี งค์ประกอบหลายอยา่ ง ได้แก่กรด HCนา้ เมือก (Mucus), เอนไซม์เปบซนิ (Pepsin), เอนไซม์เรนนนิ (Renin) และเอนไซม์ไลเปส (Lipaนา้ ยอ่ ยรวมตวั กบั อาหารจนเหลวจะมลี กั ษณะคล้ายซปุ ข้น ๆ เรียกวา่ “ไคม์(Chyme)
สารทหี่ ลง่ั ในกระเพาะอาหาร ประกอบด้วย1. กรดไฮโดรคลอริกหรือกรดเกลอื (HCl) ท าหน้าท่ีปรับสภาพให้เป็นกรด (คา่ pH ประมาณ 2) ซงึ่ เหมาะสมกบั การทางานของเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร2. แกสตริน เป็นฮอร์โมนท่ีทาหน้าที่กระต้นุ การหลง่ั กรดไฮโดรคลอริก3. นา้ ยอ่ ยเพปซโิ นเจนและโปรเรนนนิ (เอนไซม์ท่ียงั ไมพ่ ร้อมทางาน ต้องถกู กระต้นุ จาก กรดไฮโดรคลอริก ให้เป็นเพปซนิ และ เรนนินเสียก่อน)4. เมือก มีสมบตั ิเป็นเบส ท าหน้าที่เคลือบกระเพาะอาหารไม่ให้เซลล์ถกู ทาลายจากกรดไฮโดรคลอริก
การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร อาหารจะถกู คลกุ เคล้าอยใู่ นกระเพาะอาหาร ด้วยการหดตวั และคลายตวั ของกล้ามเนือ้ ที่ แขง็ แรง 3 ชนั้ เซลล์ภายในกระเพาะอาหารจะสร้างนา้ เมือก กรดไฮโดรคลอริก และ เอนไซม์ เพป ซนิ ซงึ่ อยใู่ นสภาพไมพ่ ร้อมทางาน เรียกวา่ เพปซโิ นเจน กรดไฮโดรคลอริกทาให้เอนไซม์ เพปซโิ น เจนเปลี่ยนเป็นเอนไซม์ เพปซนิ ท่ีพร้อมทางานได้ 1. การยอ่ ยเชงิ กล เกิดจากการหดและคลายตวั ของกล้ามเนือ้ กระเพาะอาหารเป็นระยะ สนั้ ๆ ตดิ ตอ่ กนั เป็นชว่ งๆ ท้าให้ขนาดของอาหารมีขนาดเลก็ ลง 2. การยอ่ ยทางเคมี อาศยั นา้ ยอ่ ยท่ีสร้างจากตอ่ มสร้างนา้ ยอ่ ยที่อยบู่ ริเวณภายในของ กระเพาะอาหาร นา้ ยอ่ ยท่ีสร้างขนึ ้ ในกระเพาะอาหาร ได้แก่ เพปซนิ เรนนิน และนอกจากนีท้ ี่ผนงั ของกระเพาะ อาหารยงั สร้างกรดไฮโดรคลอริก (HCl) และนา้ เมือกอีกด้วย
การยอ่ ยอาหารในกระเพาะอาหาร(ตอ่ ) เอนไซมเ์ พปซนิ (Pepsin) ท้าหน้าที่ยอ่ ยโปรตีนโมเลกลุ ใหญ่ให้เป็นโปรตนี ขนาดท่ีมีโมเลกลุ เล สามารถถกู ดดู ซมึ เข้าสเู่ ซลล์ได้ เอนไซมเ์ รนนิน (Rennin) ท้าหน้าท่ียอ่ ยโปรตีนในนา้ นม กรดไฮโดรคลอรกิ หรอื กรดเกลอื (HCl) ท้าหน้าท่ี ปรับสภาพของเอนไซม์เปปซนิ และเอน สภาพเหมาะสมและสามารถยอ่ ยโปรตนี ได้ดี น้าเมอื ก (Mucous secretion) ท้าหน้าท่ี เป็นสารหลอ่ ล่ืนอาหารจะคงค้างอยใู่ นกระเพาะอ จนกระทง่ั วตั ถสุ ารท่ีเป็นของแขง็ ถกู ยอ่ ยเป็นของเหลว นาน30 นาทีถงึ 6 ชวั่ โมง ขนึ ้ อยกู่ บั ชนดิ ของอาหารน กระเพาะอาหารมีการดดู ซมึ อาหารบางชนิดได้แตป่ ริมาณน้อยมาก เช่น นา้ แร่ธาตุ นา้ ตาลโมเลกลุ เดย่ี ว โดย จะดดู ซมึ แอลกอฮอล์ได้ดี
โรคท่ีเกิดกบั ระบบย่อยอาหารที่พบบอ่ ย คอื โรคแผลในกระเพาะอาหาร ที่เกิดจากภาวะมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป เช่น การรับประทานอาหารไมต่ รงเวลา การดมื่ เคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์คาเฟอีน อาหารท่ีมีรสจดัการพกั ผอ่ นไมเ่ พยี งพอ ความเครียด การรับประทานยาแก้ปวดจ้าพวกแอสไพริน และยาแก้อกั เสบขณะท้องวา่ งรวมถึงแบคทีเรียบางชนิด เป็นต้น นอกจากนีย้ งั มี โรคกรดไหลย้อน ซง่ึ ปัจจบุ นั พบคนเป็นโรคนีจ้ ้านวนมาก โรคนี ้เกิดจากกล้ามเนือ้ หรู ูดสว่ นที่ตดิ กบั หลอดอาหารมีการคลายตวั ผดิ ปกตทิ ้าให้กรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลบั ไปยงั หลอดอาหาร จงึ ท้าให้เกิดอาการบางอย่าง เช่น แนน่ หน้าอก หรือลนิ ้ ป่ี เจ็บแสบคอ รู้สกึ มีก้อนอยใู่ นคอ หรือรู้สกึ มีรสขมหรือรสเปรีย้ วของกรดในปากหรือคอ เป็นต้น
ลาไสเ้ ล็ก (Small Intestine) เป็นทางเดนิ อาหารสว่ นที่มีความยาวมากท่ีสดุ ซงึ่ ยาวประมาณ 7ขดตวั อยภู่ ายในช่องท้อง แยง่ เป็น 3 สว่ น คอื1. ล้าไส้เลก็ สว่ นต้น หรือดโู อดนี มั (duodenum) ตอ่ จากกระเพาะอาหาร มีลกั ษณะเป็นรูปตวั U ยา ประมาณ 30 เซนตเิ มตร เป็นแหลง่ ยอ่ ยอาหารที่สาคญั ท่ีสดุ มีสารช่วยยอ่ ยบริเวณนีม้ ากที่สดุ2. ล้าไส้เลก็ สว่ นกลาง หรือเจจนู มั (Jejunum) ยาวประมาณ 2.5 เมตร เป็นบริเวณท่ีมีการดดู ซมึ อาห ยอ่ ยแล้วมากท่ีสดุ3. ล้าไส้เลก็ สว่ นปลาย หรือไอเลียม (Ileum) ยาวประมาณ 4-5 เมตร เป็นบริเวณที่มีการยอ่ ยและดดู ซ อาหารที่เหลอื อยู่
เอนไซมท์ ลี่ าไสเ้ ล็กสรา้ ง สว่ นใหญ่ ท้าหน้าที่ได้ดีในสภาวะเบสการย่อยอาหารในลาไสเ้ ล็ก การยอ่ ยอาหารที่อวยั วะสว่ นนีจ้ ะมเี อนไซม์ที่ชว่ ยในการยอ่ ยหลายชนิดซงึ่ ผลติ จากอวยั วะตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปนี ้
1. ตบั (Liver) ท้าหน้าที่ ผลิตนา้ ดีแล้วสง่ ไปเก็บท่ีถงุ นา้ ดเี ม่ืออาหารผา่ นลงล้าไส้เลก็ ก็จะมกี ารกระต้นุให้นา้ ดีหลง่ั ออกมาแล้วไหลเข้าสลู่ ้าไส้เลก็ สว่ นต้น นา้ ดกี ็จะชว่ ยกระจายไขมนั ให้แตกตวั ออกเป็นเมด็เลก็ ๆ เพ่ือให้เอนไซม์ไลเปสยอ่ ยได้ง่ายขนึ ้ นอกจากนีน้ า้ ดียงั ชว่ ยท้าลายกรด ท้าให้อาหารท่ีส่งตอ่ มายงั ล้าไส้เลก็ มสี มบตั เิ ป็นเบสทาให้เอนไซม์ตา่ งๆ ท่ียอ่ ยอาหารในล้าไส้เลก็ ท้างานได้ดเี นื่องจากเอนไซม์เหลา่ นีจ้ ะท้าหน้าที่ได้ดีในภาวะท่ีเป็นเบสและนา้ ดยี งั ช่วยดดู ซมึ สารอาหารเข้าสเู่ ส้นเลือดอีกด้วย2. ตบั ออ่ น (Pancrease) หลง่ั โซเดยี มไฮโดเจนคาร์บอเนต (NaHCO3) มีฤทธิ์เป็นเบส ช่วยลดความเป็นกรดของอาหารที่มาจากกระเพาะอาหาร (Chyme) มีฤทธ์ิเป็นกรดจากกระเพาะอาหารให้เป็นกลางหรือเบสออ่ นนอกจากนีย้ งั สร้างเอนไซม์เพ่ือชว่ ยยอ่ ยสารอาหารในล้าไส้เลก็ เอนไซม์ที่สร้างจากตบั อ่อน มที งั้ เอนไซม์ท่ีพร้อมใช้งานและเอนไซม์ท่ียงั ไม่พร้อมใช้งานสาหรับยอ่ ยอาหาร ดงั นี ้
แพนครเี อตกิ แอลฟา อะไมเลส (Pancreatic -amylase) จะท้าหน้าท่ี ยอ่ ยมาจากปากแล้วให้เป็นนา้ ตาลโมเลกลุ คู่ ทรปิ ซนิ (Trypsin) ท้าหน้าท่ี ยอ่ ยสารอาหารประเภทโปรตีนท่ีผา่ นการยอ่ ยมาจากกระเพาะอาขนาดเล็กลงจนสามารถแพร่ผ่านผนงั ล้าไส้เลก็ เข้าสเู่ ลือดได้ คโี มทรปิ ซนิ (Chemotrypsin) ท้าหน้าท่ี ยอ่ ยโปรตีนในนา้ นมให้มีขนาดเลก็ ลง ไลเปส (Lipase) ท้าหน้าท่ียอ่ ยไขมนั ในกรดไขมนั และกลเี ซอรอล ไลเปสจะท้างานได้ดถี ้าท้างากบั นา้ ดีท่ีสร้างจากตบั โดยนา้ ดจี ะท้าให้อนภุ าคของไขมนั แตกตวั เป็นอนภุ าคเลก็ ๆ ก่อน จากนนั้ ไลเปสจะท้าการยอ่ ยตอ่ จนได้กรดไขมนั และกลีเซอรอล ที่สามารถแพร่เข้าสเู่ ส้นเลือดฝอยได้
3. ตอ่ มของลาไส้เลก็ ล้าไส้เลก็ สว่ นที่สร้างเอนไซม์ที่ช่วยยอ่ ยอาหาร คอื ล้าไส้เลก็ สว่ นต้น (Duodenum)เอนไซม์ที่สร้างจากตอ่ มล้าไส้เลก็ ได้แก่ ไดแซคคาเลส (Disacchalase) เป็นเอนไซม์ท่ีชว่ ยยอ่ ยนา้ ตาลโมเลกลุ คใู่ ห้เป็นนา้ ตาลโมเอนไซม์มอลเทส ซเู ครส และแลกเทส อะมโิ นเปปทเิ ดส (Aminopeptidase) ท้าหน้าท่ียอ่ ยโปรตีนจนเป็น กรดอะมิโน สามาล้าไส้เลก็ ได้ อีรปิ ซนิ (Eripsin) ท้าหน้าท่ียอ่ ยโปรตนี โมเลกลุ ยอ่ ยเป็นกรดอะมโิ นการดูดซมึ อาหารในลาไสเ้ ลก็ การดดู ซมึ อาหารเป็นการน้าอาหารโมเลกลุ เล็กๆ ที่ผา่ นการยอ่ ยแล้ว เช่น นา้ ตาลกลโู คส กรดอะมิโนกรดไขมนั กลีเซอรอล ผา่ นผนงั ทางเดินอาหารเข้าสกู่ ระแสโลหิต และระบบนา้ เหลืองเพื่อน้าไปสเู่ ซลล์ตา่ งๆภายในร่างกาย
สารอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั จะถกู ยอ่ ยให้เป็นอนภุ าคท่ีเลก็ ท่ีสดุ ในล้าไส้เลก็จนสามารถแพร่ผ่านผนงั ล้าไส้เลก็ เข้าสกู่ ระแสเลือดได้ และที่ผนงั ด้านในล้าไส้เลก็ จะมีลกั ษณะไม่เรียบ โดยจะมีสว่ นยืน่ ของกลมุ่ เซลล์ย่นื ออกมาหลายกลมุ่ เรียกกลมุ่ เซลล์ที่ย่นื ออกมานีว้ า่ วิลลสั (villus) ภายในวิลลสัประกอบด้วย เส้นเลอื ดฝอยอยเู่ ป็นจ้านวนมาก โมเลกลุ ของอาหารท่ีถกู ยอ่ ยแล้วจะถกู ดดู ซมึ แพร่ผา่ นผนงั วิลลสั เขสเู่ ส้นเลือด จากนนั้ อาหารจะไปเลยี ้ งเซลล์ทว่ั ร่างกายโดยการหมนุ เวยี นของเลอื ดตอ่ ไป สว่ นสารอาหารพวกไขมนัและกลเี ซอรอล จะถกู ดดู ซมึ เข้าสเู่ ส้นนา้ เหลอื ง เพอ่ื ล้าเลยี งไปยงั เซลล์เชน่ กนั
ลาไส้ใหญ่ (Large Intestine) ลาไส้ใหญ่ เป็นทางเดินอาหารทางสดุ ท้ายตอ่ จากล้าไส้เลก็ มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร ลกั ษณะเปรูปตวั U กลบั หวั แบง่ เป็น 4 สว่ น คอื ซีกมั (Caecum) ยาวประมาณ 1 นิว้ บริเวณนีม้ ีไส้ติ่ง ตดิ อยดู่ ้วย แโคลอน (Colon) เป็นสว่ นท่ียาวที่สดุ ของล้าไส้ใหญ่ ตอ่ มาคือสว่ นของลาไส้ตรง (Rectum) ยาวประมาณและสว่ นสดุ ท้าย คอื ทวารหนกั (Anal cannal) ยาวประมาณ 1-1.5 นิว้ โดยล้าไล้ใหญ่ไมม่ ีการยอ่ ยอากากอาหารท่ีเหลือจากการยอ่ ยที่ล้าไส้เลก็ จะเคล่ือนเข้าสลู่ ้าไส้ใหญ่ที่ผนงั ของล้าไส้ใหญ่จะมีการดดู ซมึ นา้ แร่ธาและวิตามนิ บางชนิดออกจากกากอาหาร ท้าให้กากอาหารเหนียวและแข็ง จากนนั้ กากอาหารจะมารวมกนั ที่ล้าไส้ใหญ่สว่ นที่เรียกวา่ ลาไส้ตรง (Rectum) ซงึ่ อยเู่ หนือทวารหนกั แล้วขบั ถ่ายออกมาเป็นอจุ จาระ การดดู ซมึ ท่ีบริเวณล้าไส้ใหญ่จะดดู ซมึ นา้ แร่ธาตแุ ละวติ ามินเป็น สว่ นใหญ่ เม่ือรับประทานอาหารเข้าปากจะใช้เวลา 4 ชวั่ โมงในการล้าเลียงมาถงึ กระเปาะล้าไส้ใหญ่และจะอยใู่ นล้าไส้ใหญ่สว่ นโคลอนนาน 8-9ชวั่ โมง และจะเคลือ่ นถึงล้าไส้ตรงในชวั่ โมงท่ี 12 แล้วขบั ออกนอกร่างกาย
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: