Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการอบรมโครงการโรงเรียนปลอดภัยในประเทศไทย

รายงานการอบรมโครงการโรงเรียนปลอดภัยในประเทศไทย

Published by kru_ploy, 2021-05-28 12:00:43

Description: เอกสารการอลรมภัยพิบัต

Search

Read the Text Version

1

2 บนั ทึกขอ้ ความ ส่วนราชการ โรงเรยี นบา้ นตะโละซแู ม สำนักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต 1 ท่ี ..........พเิ ศษ................ /2564 วันท่ี 27 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เรอื่ ง รายงานผลการอบรมโครงการโรงเรียนปลอดภยั ในประเทศไทย หลักสตู รการลดความเสย่ี งภยั พบิ ัติ ธรรมชาติและการปรบั ตวั รบั การเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ เรยี น ผู้อำนวยการโรงเรียนบา้ นตะโละซแู ม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับมูลนิธิ ศุภนิมิตแห่งประเทศไทย และ Save the Children ได้จัดอบรมออนไลน์โดยมีกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้ ใหแ้ ก่ ครู อาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา ใหร้ ู้ถงึ ความเสี่ยงภัยของตนโดยเฉพาะในพื้นที่ และสามารถวาง มาตรการ วธิ ีการท่เี หมาะสม ตลอดจนสามารถดูแลผลกระทบเม่อื เกิดภัยพบิ ตั ิจากธรรมชาติ ผ่านเวบ็ ไซต์ THAI SAFE SCHOOLS ในหลักสูตร “การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมอิ ากาศ สำหรบั บุคลากรในสถานศกึ ษา” รหสั หลักสูตร 62037 มจี ำนวนชั่วโมงการอบรม 20 ชั่วโมง รองรับ หลักสูตรโดยคุรสุ ภา ในการน้ีขา้ พเจ้า นางสาวพลอยไพลิน ลมิ้ พงศพ์ ันธ์ ตำแหน่ง ครู โรงเรียนบา้ นตะโละซูแม ได้ เข้าร่วมการอบรมอบรมโครงการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขอรายงานผลการอบรมโครงการโรงเรียน ปลอดภัยในประเทศไทย หลักสูตรการลดความเสี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติและการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง สภาพภมู ิอากาศดงั เอกสารแนบ จึงเรียนมาเพื่อทราบ ลงชือ่ ผู้รายงาน (นางสาวพลอยไพลิน ล้มิ พงศ์พันธ์) ครู โรงเรยี นบ้านตะโละซูแม ความคดิ เห็นของผู้อำนวยการโรงเรยี น ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ลงชอ่ื (นายสนทิ ผอ่ งมหงึ ษ์) ผ้อู ำนวยการโรงเรยี นบา้ นตะโละซูแม

3 คำนำ โครงการพัฒนาครูรปู แบบครบวงจร ของสำนกั งานคณะสรรมการการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน (สพฐ.) เกดิ ขึ้น จากนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ทต่ี ้องการปฏริ ปู ระบบผลิตและพฒั นาครู เน้ือตอบสนองตอ่ การพฒั นา ทรพั ยากรบคุ คลอย่างมรี ะบบและมีประสิทธภิ าพสูงสุต มคี วามสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตรร์ ะยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ \"ประเทศมีความมันคง มั่งคัง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนา ตามปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง จากนโยบายดังกล่าว สพฐ. จึงใด้ดำเนินการ โครงการพัฒนาครูปแบบครบวงจรของสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน โดยเชญิ ชวนสถาบันอดุ มศึกษาหรอื บคุ คล องค์กรชมุ ชน องคก์ รเอกชน องคก์ รวิชาชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสัง่ คมอื่น นำเสนอหลักสตู รอบรมพฒั นาครูให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน นำเสนอหลักสูตรให้สถาบันคุรุพัฒนา สำนักงานเลขาธิการ คุรุสภาทำการรับรอง และประชาสัมพันธ์ให้ครูได้เลือกหลักสูตรเพื่อพัฒนาตนเองตามความต้องการ ความจำเป็นรายบุคคล โดยจะดำเนินการจัดทำระบบลงทะเบยี นและติดตามประเมินผลครูผู้เข้ารับการพัฒนา เพื่อให้ครูสามารถเลือกอบรมตามคามต้องการ ละหน่วยงานส่วนกลางสามารถบริหารจัดการจัดสรร งบประมาณไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อเป็นค่าลงทะเบียนให้กับครูที่เจ้งความประสงค์เข้ารับ การอบรมในหลักสูตรต่างๆ และสามารถทราบความตอ้ งการในการพฒั นาตนเองของครใู นภาพรวมได้ จากความสำคัญดงั กล่าว ขา้ พเจา้ ไดเ้ ลือกอบรมหลกั สูตร \"การลดความเสย่ี งภยั พบิ ัติธรรมชาติและการ ปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ\" รหัสหลักสูตร 62037 ปีการศึกษา 2564 จึงเป็นหลักสูตร ออนไลน์ เมื่อผ่านการอบรมเรยี บร้อยแล้วจึงขอเสนอผลการอบรมเพ่ือขยายผลการเรยี นรู้ตอ่ ไป ลงชอ่ื .............................................................. (นางสาวพลอยไพลิน ลมิ้ พงศ์พันธ์) ตำแหนง่ ครู โรงเรียนบ้านตะโละซแู ม

สารบัญ 4 เน้อื หา หน้า รายงานผลการอบรม 5 บทที่ 1 ความเสยี่ งภยั ธรรมชาตแิ ละการประเมนิ ความเส่ียง 7 บทที่ 2 อาคารสถานท่ีปลอดภยั 13 บทท่ี 3 การจดั การภัยพบิ ตั ิในสถานศึกษา 21 บทที่ 4 การจดั การเรียนการสอน 41 ภาคผนวก 48

5 รายงานผลการอบรม โครงการโรงเรียนปลอดภัยในประเทศไทย หลักสตู รการลดความเสี่ยง ภยั พิบัตธิ รรมชาติและการปรบั ตัวรบั การเปล่ยี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ

6

7 บทท่ี 1 ความเสีย่ งภัยธรรมชาติและการประเมินความเส่ียง วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือให้ตระหนกั รถู้ ึงผลกระทบของภัยธรรมขาติมตี อ่ ชีวิตมนุษย์และภาคการศึกษา 2. เพอื่ ใหเ้ ข้าใจหลกั การลดความเสี่ยงภยั พบิ ตั ิในสถานศึกษา 3. เพอ่ื ใหร้ จู้ กั วธิ ีประเมินความเสี่ยงภัยธรรมชาติ หัวขอ้ การเรียนรู้ 1. การสรา้ งความตระหนกั ในการลดความเสยี่ งภยั พบิ ัตทิ างธรรมชาติ เป้าหมายของการลดความเสี่ยงภัยพิบัติในสถานศึกษา คือ การที่บุคลากรทางการศึกษา ครูและ นักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้ความเสี่ยงภัยของตนโดยเฉพาะภัยในพื้นที่ สามารถวางมาตรการและ วิธีการปฏิบัติ ตลอดจนสามารถดูแลรักษาโครงสร้างและกลไกพื้นฐานให้ปลอดภัยเพื่อลดผลกระท บจากภัย ธรรมชาตินั้นๆ และหากประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติก็สามารถฟื้นตัวได้ด้วยแนวทางและทรัพยากรที่มีใน ระยะเวลาทเี่ หมาะสม การรูจ้ กั ความเสี่ยงภยั ของตนเองอย่างแทจ้ ริงจึงเป็นจดุ เร่ิมต้นในการวางแผนลดความเสี่ยงภยั พิบัติ 2. บทบาทหน้าทข่ี องภาคการศึกษาในการจดั การภัย ปัจจุบันประเทศไทยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ \"การจัดการความเสี่ยงจากสาธารณภัย\" ตามแผนการ ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติ พ.ศ.2558 ภายใต้ กรอบการทำงานลดความเสีย่ งภัยพิบตั ิ พ.ศ. 2558 - 2573 (Sendai Framework for. Disaster Risk Reduction 2015 – 2030 หรือ SFDRR) หรือท่ีเรียกกัน สั้นๆว่า \"กรอบเซนได\" ซึง่ เปน็ กรอบการทำงานตามมาตรฐานสากลกินระยะเวลา 15 ปี ระหวา่ ง พ.ศ. 2558 ถงึ พ.ศ. 2573 แผนการปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภยั แห่งชาติ พ.ศ. 2558 ไดก้ ำหนดบทบาทหน้าทใ่ี หห้ นว่ ยงานของ รัฐมีส่วนร่วมในการลดความเสย่ี งภัยพบิ ัติ โดยกระทรวงศึกษาธิการไดร้ ับมอบหมายหนา้ ที่ต่อไปนี้ 1. พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกระดับชั้น ตั้งแต่ การศึกษาขนั้ พ้ืนฐานจนถึงระดับอุดมศึกษา 2. ส่งเสรมิ หน่วยงานการศึกษาให้มีบทบาทในการช่วยเหลือสนับสนนุ การป้องกันและบรรเทาสาธารณ ภัย 3. ส่งเสริมให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกแก่นักเรียน นักศึกษา ประชาชนให้มีส่วนร่วมในการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภยั 4. สนับสนุนบุคลากรทางการศึกษา เช่นลูกเสือ เนตรนารี เป็นต้น เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของ กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และกองอำนวยการป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยในพ้นื ท่ี 5. สำรวจและจดั ทำฐานข้อมูลสถานศกึ ษาเพ่ือใชเ้ ปน็ ศนู ย์พกั พงิ ชวั่ คราว

8 3. แนวคดิ สำคญั 3.1 การลดความเส่ียงภัยพิบัติ (ภัย ภยั พบิ ตั ิ ความเสยี่ ง ความเปราะบาง ความสามารถในการ รบั มอื ) การลดความเสี่ยงภัยพิบัติ (Disaster Risk Reduction) คือแนวคิดและวิธีปฏิบัติในการป้องกันและ ลดผลกระทบจากภัยด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยที่เสี่ยงที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติ ได้แก่ ความรุนแรงของภัย ความ ลอ่ แหลม ความเปราะบางของอาคารบ้านเรอื นและคนในสังคม และศักยภาพในการรับมือภัยพิบตั ิ ความเสี่ยงจากภัยพิบัติมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ ภัย (Hazard) ความล่อแหลม (Exposure) ความเปราะบาง (Vulnerability) และความสามารถในการรบั มือ (Coping capacity) ภัย (hazard) คอื สภาวะอันตรายที่เกดิ จากธรรมชาติหรือเกดิ จากนำ้ มือมนุษย์ ภัยธรรมชาติ เช่น ฝน ตก พายุแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นกัดเซาะชายฝั่ง ภัยธรรมชาติแบ่งได้ตามลักษณะการเกิดคือภัยที่เกดิ ฉับพลันและภัยที่เกิดขึ้นช้าๆ และต้องดูผลกระทบจากความรุนแรงของภัย ตัวอย่างเช่น พายุฤดูร้อนที่เกิดขึ้น ในหลายพืน้ ที่มีความรนุ แรงจนสรา้ งความเสยี หายใหแ้ กโ่ ครงสร้างอาคารเรยี น

9 ภัยธรรมชาตทิ ี่เกดิ ข้ึนในประเทศไทยมีหลายรูปแบบ ท่ีสำคญั และเสียหายไดเ้ ป็นอย่างมาก คือ วาตภัย อุทกภัย อัคคีภัยและแผ่นดินไหวผู้เรียน สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะของภัยธรรมชาติที่ เกิดขึ้นในประเทศไทยไดจ้ าก เอกสารเรอ่ื ง ภัยธรรมชาตใิ นประเทศไทย โดยกรมอุตนุ ิยมวิทยา ภัยพิบัติ (disaster) หมายถึง “การที่ระบบต่างๆในสังคมหนึง่ ต้องหยุดชะงักอันเป็นผลมาจากภยั ไม่ ว่าจะเป็นภัยทางธรรมชาติหรือเกิดจากมนุษย์ และภัยนั้นซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิต ทรัพย์สิน เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง เกินกว่าความสามารถของชุมชนจะรับมือได้โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่” จะเห็นได้ว่านิยามนี้กำหนดให้ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นเมื่อภัยธรรมชาติส่งผลกระทบต่อสังคมมนุษย์ หากภัย ธรรมชาตไิ มส่ ่งผลรา้ ยแรงต่อสงั คมมนุษยจ์ ะไมเ่ รียกวา่ ภัยพิบตั ติ ามนยิ ามนี้ ประเทศไทย ใช้คำว่า สาธารณภัย แทนคำว่าภัยพิบัติ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย 2550 โดยระบุว่า “สาธารณภัย” หมายถึง“อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาด ในมนุษย์ โรคระบาดสัตว์ โรคระบาดสัตว์น้ำ การระบาดของศัตรูพืช ตลอดจนภัยอื่น ๆ อันมีผลกระทบต่อ สาธารณชน ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ มีผู้ทำให้เกิดขึ้น อุบัติเหตุหรือเหตุอื่นใด ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชนหรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน หรือของรัฐ และให้หมายความรวมถึงภัย ทางอากาศ และการกอ่ วนิ าศกรรมดว้ ย” ความล่อแหลม (Exposure) หมายถึงการที่ผู้คน อาคารบ้านเรือน ทรัพย์สิน ระบบต่าง ๆ หรือ องค์ประกอบใด ๆ มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นการมองทางกายภาพของพื้นที่ตั้งเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น โรงเรยี นที่ตั้งอยู่รมิ แม่นำ้ มโี อกาสเผชิญภัยจากแผ่นดนิ ทรดุ ตัว ความเปราะบาง (Vulnerability) หมายถึงปัจจัยหรือสภาวะใดๆก็ตามท่ที ำให้ผู้คนไมส่ ามารถรับมือ กับภัยธรรมชาติ ตลอดจนไม่สามารถฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ได้หลังจากเกิดภัยพิบัติ ในกรณีของสถานศึกษา ความเปราะบางแบ่งเป็นความเปราะบางด้านโครงสรา้ ง (Structural Vulnerability) คือสิ่งก่อสร้างที่มองเห็น และความเปราะบางที่ไม่ใช่โครงสร้าง (non-structural vulnerability) เช่น ความเปราะบางทางสังคม เศรษฐกจิ เพศ วยั ความรู้ ยกตัวอย่างของความเปราะบาง เช่น อาคารสถานที่เรียนที่ไม่ปลอดภัย ระบบสาธารณูปโภคใน โรงเรียนทรุดโทรม ถือเป็นความเปราะบางด้านโครงสร้าง ถ้าบุคลากรในสถานศึกษาไม่มีความรู้ทางบริหาร จัดการภยั พิบัติ นกั เรยี นทีข่ าดทักษะในการเอาตวั รอดจากอันตราย โรงเรียนมนี กั เรยี นพิการท่ีช่วยเหลือตัวเอง ระหว่างเกิดเหตุไม่ได้ ตลอดจนการขาดความสามัคคีของบุคลากร ก็ถือเป็นความเปราะบางที่ไม่ใช่โครงสร้าง เป็นตน้ ความสามารถหรือศักยภาพ (Capacity) หมายถึง ความสามารถในการรับมือกับภยั พิบัติ คือการใช้ คน ความรู้ทักษะและทรัพยากรที่มีอยู่ชองสถานศึกษามาจัดการภัยพิบัติ และนำมาพัฒนาเพื่อเพิ่มขีด ความสามารถในการรับมือให้สูงขึ้น แบ่งเป็น 1) ความสามารถเชิงกายภาพ (Structural Capacity) ได้แก่ อาคารสถานที่ สาธารณูปโภค 2) ความสามารถที่ไมใ่ ชก่ ายภาพ (Structural Capacity) ได้แก่ ความสามารถ ของบุลากร เช่น การดำเนินมาตรการลดผลกระทบ การมีแผนเผชิญเหตุ การมีเครื่องมืออุปกรณ์ช่วยชีวิตท่ี จำเป็น การฝึกอบรมทักษะให้นักเรียนในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติหรือ

10 สถานการณ์ฉุกเฉิน ความสามารถทางเศรษฐกิจและสังคม (Socioeconomic capacity) ได้แก่ นโยบาย งบประมาณ และกลไกท่ีสง่ เสรมิ การจัดการภัยพิบตั ใิ นสถานศกึ ษา เปน็ ต้น 3.2 การจดั การภัยพิบตั ิ การจดั การภยั พิบัติ สามารถแบง่ เป็น 3 ระยะ คือ ระยะกอ่ นเกดิ ภัย ระหว่างเกดิ ภัยและหลังเกดิ ภยั โดยในแต่ละระยะมีแนวทางปฏิบัติกว้างๆ ได้แก่ ก่อนเกิดภัยเป็นเวลานานจะเป็นการดำเนินมาตรการปอ้ งกนั ไม่ให้เกิดภัยพิบัติ หรือหากป้องกันไม่ได้ ก็ต้องหาทางบรรเทาหรือลดผลกระทบ เรียกว่า (Prevention and Mitigation) แต่ถ้ายังมีโอกาสเกิดภัยแน่นอนก็จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเผชิญเหตุ (Preparedness) และ ในระหว่างเกิดภัย จะต้องใช้มาตรการการจัดการภาวะวิกฤติ (Crisis Management) หรือการโต้ตอบ สถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Response) เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายลุกลามจนทำให้ภัยกลายเป็นภัย พิบัติ และเมื่อเหตุการณ์เลวร้ายนั้นได้ผ่านไปแล้ว จะต้องดำเนินการฟื้นฟูเยียวยา และการบูรณะซ่อมแซม (Rehabilitation and Reconstruction) สง่ิ ท่ีเสียหายใหป้ ลอดภยั กวา่ เดมิ 4. กรอบการทำงานสถานศึกษาปลอดภัยรอบด้าน องค์ประกอบท้ังสามเสาภายใต้กรอบการทำงานเพื่อความปลอดภยั รอบดา้ นในสถานศึกษา ได้แก่ เสาที่ 1 อาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกในสถานศึกษาที่ปลอดภัย (Safe Learning Facilities) เป็นเรื่องเก่ียวกับการพิจารณาสถานที่สรา้ งสถานศึกษา การก่อสร้างที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายและการกำกับ ดแู ลความปลอดภัยของสถานที่ เสาที่ 2 การจัดการภัยพิบัติในสถานศึกษา (School Disaster Management) เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การจัดสรรและบริหารทรัพยากรต่างๆเพื่อการป้องกันการสูญเสียและความเสียหาย ตลอดจนการฝึกอบรม เพมิ่ พนู ทกั ษะให้บคุ ลากรและนักเรียนสามารถช่วยเหลอื ตนเองให้ปลอดภัย เสาที่ 3 การให้ความรู้ด้านการลดความเสี่ยงและการรู้รับปรับตัว (Risk Reduction and Resilience Education) เป็นการจดั การเรยี นการสอนอย่างต่อเน่ืองทัง้ ในเร่ืองความรู้และทักษะการลดความ เส่ยี งและการปรับตัวให้พรอ้ มรับภัยธรรมชาติ

11 5. การประเมนิ ความเสยี่ ง (วิธปี ระเมนิ ความเส่ยี ง และเครอื่ งมือตา่ งๆ และวธิ ใี ชเ้ คร่ืองมือ) สถานศึกษาสามารถใช้ปฏิทินฤดูกาลเป็นเครื่องมือแสดงให้เห็นความสอดคล้องของช่วงระยะเวลา ฤดูกาล ช่วงเวลาที่เกิดภัย และช่วงเวลาจัดกิจกรรมต่างๆของสถานศึกษา ทำให้เห็นความเสี่ยงภัยธรรมชาติใน แต่ช่วงเวลา ปฏิทินของแต่ละสถานศึกษาอาจจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมและสภาพอากาศ เช่น เดอื นแห่งการเร่ิมฤดูมรสุมของภาคเหนือย่อมแตกต่างจากภาคใต้ ภยั จากแผ่นดนิ ไหวมโี อกาสเกิดในจังหวัดท่ีมี รอยเลื่อนมากกว่าจงั หวัดท่ีไม่มีรอยเลื่อน ภัยสนึ ามิจะเกดิ ในพื้นทชี่ ายฝั่งทะเลด้านอา่ วไทยและอันดามัน แต่ไม่ มีภยั สึนามใิ นภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โอกาสทีเ่ ด็กจะเปน็ อันตรายหากเกิดภัยพิบัติ ในช่วงเปิดเทอมย่อมสูงกว่าโอกาสที่จะเกิดในช่วงปิดเทอม แต่โอกาสที่เด็กจะจมน้ำตายในช่วงปิดเทอมก็มี มากกวา่ ในช่วงเปิดเทอม เปน็ ต้น การจัดทำแผนท่ีเสีย่ งภยั นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจตรงกันถึงพื้นที่เสี่ยงภัย จุดเปราะบาง จุดล่อแหลมและทรัพยากรต่างๆที่มีในพื้นที่ และใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการวางแผน ในการทำแผนที่เสี่ยงภัย

12 จะทำเป็นแผนที่เฉพาะแสดงพื้นที่ภายในสถานศึกษา หรือจะทำเป็นแผนที่ที่แสดงพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ชุมชน รอบร้วั สถานศึกษา หรือพน้ื ท่ีอ่ืนๆกไ็ ด้ ข้ึนอยู่กบั วตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี ้องการ ขอ้ แนะนำในการทำแผนทเี่ สี่ยงภัยพิบตั ิธรรมชาติ • แผนที่เสี่ยงภัยแสดงแผนผังของสถานศึกษา อาคารเรียน อาคารประกอบ แต่จะมีการใส่ข้อมูลความ เสี่ยงภัยหรือข้อมูลภัยที่เคยเกิดภัยมาแล้วในอดีต ควรมีการระบุความเปราะบาง เช่น ห้องเรียน หรือ อาคารที่มีกลุ่มเปราะบาง เชน่ เด็กเลก็ เด็กพกิ าร หรอื กลุม่ ทต่ี ้องได้รบั ความช่วยเหลอื เปน็ พเิ ศษ • การทำแผนทคี่ วามเสย่ี งภยั พบิ ตั ิธรรมชาติ อาจจะใช้แผนทเี่ หมือนกบั แผนผังหนไี ฟของสถานศกึ ษาก็ได้ แต่ต้องพิจารณาผลกระทบของภัยและลักษณะของภัย หากเป็นภัยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที และ สามารถใชเ้ ส้นทางหนภี ัยและจุดปลอดภยั ที่อยใู่ นแผนป้องกันอคั คีภัยได้ ก็สามารถใชแ้ ผนทร่ี ว่ มกนั ได้ • แผนที่เส่ยี งภยั อาจจะใชเ้ ปน็ แผนทแี่ สดงเสน้ ทางหนภี ัยดว้ ยคือตอ้ งระบุพ้ืนที่ปลอดภัย เสน้ ทางอพยพ • แผนที่เสี่ยงภัยสถานศกึ ษาอาจจะขยายไปถึงการแสดงอาณาเขตรอบสถานศึกษา หรือสภาพกายภาพ ของชุมชนแวดล้อม เช่น วัด โรงพยาบาล สถานีอนามัย ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล สถานี ตำรวจ • ในการทำแผนที่เสี่ยงภัย ควรมีการเดินสำรวจสถานที่และควรให้นักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับครู เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน หากเป็นการทำแผนที่ที่ครอบคลุมชุมชนรอบนอก ก็จะต้องมีการเดิน สำรวจชุมชนและสัมภาษณ์คนในชุมชนถึงประวัติการเกิดภัย เส้นทางปลอดภัย และปัจจัยแวดล้อม อ่ืนๆดว้ ย • หากสถานศึกษามีนักเรียนพิการ ควรให้นักเรียนพิการได้เข้าร่วมกระบวนการหาข้อมูลเพื่อสืบหาการ รับรคู้ วามเสี่ยงของนักเรียนพกิ าร เพื่อจัดทำมาตรการและวางแผนท่เี หมาะสมกับนักเรียนพกิ ารต่อไป วิธีการนี้สามารถใช้กับการระดมความคิดเพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของผู้ที่เกี่ยวข้อง (stake holder mapping) เช่น การระบุหน่วยงานหรือองค์กรในพื้นที่ที่สามารถให้ความช่วยเหลือในการบริหารจัดการภัย พิบัติได้ โดยวางตำแหน่งหน่วยงานที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและสามารถขอความช่วยเหลือได้รวดเร็วไว้ใกล้ ตำแหน่งของสถานศึกษา เป็นต้น วิธีนี้จะทำให้มองเห็นทั้งความเปราะบางและศักยภาพของสถานศึกษาผ่าน เครือข่าย ในการจัดทำแผนบริหารจัดการภัยพิบัติธรรมชาตินั้น ควรประเมินความเสี่ยงภัยธรรมชาติเพื่อระบุความ เสี่ยงที่ยอมรับได้และความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ สถานศึกษาสามารถใช้ตารางกำหนดความเสี่ยงและตาราง อา้ งองิ ความถ่ีและตารางอ้างอิงคะแนนความเสย่ี งในการประเมนิ ความเสย่ี งภยั

13 บทที่ 2 อาคารสถานท่ปี ลอดภยั วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ให้เข้าใจการประเมนิ ความเสีย่ งของอาคารสถานท่ี ส่วนประกอบอาคาร 2. เพ่ือให้เขา้ ใจหลักการจดั พื้นท่ีใชส้ อยในอาคารและสภาพแวดล้อม 3. เพื่อใหส้ ามารถจดั สภาพแวดลอ้ มการใช้พน้ื ท่ใี หป้ ลอดภยั หวั ขอ้ การเรียนรู้ 1. การประเมินความปลอดภัยของอาคารสถานที่ สถานศึกษาถือเป็นอาคารสาธารณะที่มีผู้คนเป็นจำนวนมากเข้าไปใช้ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน ครู ผู้ปกครอง ดังนั้น จึงมีการบัญญัติการควบคุมการก่อสร้างและการใช้อาคารเรียนไว้ในกฏหมาย ควบคุมอาคาร โดยกฎหมายควบคุมอาคารนั้นมีผลใช้กับ “โรงเรียนและสถานศึกษา ซึ่งเป็นสถานที่อบรมให้ การศึกษาแก่เยาวชนของ ประเทศเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพจนสามารถเป็นฐานการพัฒนาประเทศ ดังนั้น อาคารของโรงเรียน และสถานศึกษาต่างๆ จึงจะต้องมีการก่อสรา้ งให้ถูกต้องและเป็นไปตามหลักการวิชาการ และตาม กฎหมายควบคุมอาคารกําหนดตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับปริญญา”ผู้บริหารสถานศึกษาควรปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายควบคุมอาคาร และควรศึกษาระเบียบกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้อง เพื่อการวาง แผนการออกแบบ การก่อสรา้ ง และการจัดทำงบประมาณเพื่อการปรบั ปรุงแก้ไขอาคารเรยี น 1.1 การเลอื กที่ตั้งสถานศกึ ษาใหป้ ลอดภยั สถานศึกษาจะต้องตั้งอยู่ในพื้นปลอดภัยและต้องเลือกพื้นที่ปลอดภัยในการก่อสร้างอาคารเรียน อาคารประกอบ หรือสถานที่สำหรับกิจกรรม แม้ว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่จะสร้างไว้นานแล้ว ควรจะมีการ ตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่และพื้นที่โดยรอบอยู่ตลอดเวลา เพราะความเสี่ยงภัยพิบัติย่อมเปลีย่ นไป ตามการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ตวั อยา่ งเชน่ กรณี สถานศกึ ษาตัง้ อยตู่ ิดกับทางลาดไหล่เขา เมอ่ื เกิดฝนตก หนกั ต่อเนอ่ื ง สภาพดินไมส่ ามารถอุม้ น้ำตอ่ ไปได้ ทำใหเ้ กดิ ดินสไลด์ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี • พื้นทส่ี ร้างอาคารควรทีจ่ ะเป็นท่สี ูง น้ำท่วมไม่ถึง โครงสรา้ งชัน้ ดนิ แข็งแรง ไมม่ ีทางน้ำไหลผ่าน ใตด้ ิน • ที่ตั้งของสถานศึกษาควรห่างจากแหล่งมลพิษ เช่น โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม สนามบิน บ่อขยะ • สถานที่ตั้งของสถานศึกษาควรอยู่ติดหรือไม่ไกลจากเส้นทางจราจรหลักเพื่อให้ควบคุมดูแล นักเรียนและรกั ษาความปลอดภยั แตค่ วรมปี ระตสู ำรองสำหรบั ใช้เมื่อเกดิ เหตฉุ กุ เฉิน

14 1.2 ความเสย่ี งตอ่ ภัยพบิ ัตขิ องอาคารเรียน อาคารประกอบ วสั ดุ ครภุ ัณฑท์ ีอ่ ยใู่ นอาคาร ตวั อย่างลักษณะความเสีย่ งของพ้ืนทภี่ ายในอาคารเรยี น • ทางเดนิ หรือบนั ไดทางข้นึ อาคารทีแ่ คบ ไมม่ รี าวจบั เม่ือจำเปน็ ต้องอพยพฉุกเฉนิ ผู้คนต้องรีบ เดินขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว อาจมีการลื่นพลัดตกหกล้ม และในกรณีที่มืด มองไม่เห็นทาง หรอื กรณีผู้พกิ ารทางสายตา การมรี าวจับตามบันไดจะชว่ ยนำทางและช่วยการทรงตัว • ช่องลมหรือช่องทางเดินที่มีการถ่ายเทอากาศไม่ดี เมื่อเกิดไฟไหม้ ควันไฟจะลอยไปตาม ทางเดนิ ชอ่ งลม และห้องตา่ งๆ อย่างรวดเร็วและไมร่ ะบายออก • สายไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้รับการดูแล ติดตั้งผิดแบบ หรือมีการใช้งานไม่ เหมาะสม จะทำใหเ้ กิดไฟไหม้ได้งา่ ย • ตู้หรือช้ันวางหนังสือสูงท่ีไมม่ ีการยดึ ติดกับฝาผนงั อาจจะลม้ ลงมาทับครูหรือนักเรียน ส่ิงของ ที่วางไว้ทีส่ ูงและอาจจะตกหล่นลงมาโดนศรี ษะ โดยเฉพาะเวลาเกิดเหตุแผ่นดินไหว หรือเกิด พายุรุนแรง • ประตูหรือหน้าต่างที่มีบานเปิดเข้าข้างในจะให้การหนีภัยฉุกเฉินไม่สะดวกควรติดตั้งบาน ประตูที่ผลักออก และเป็นการป้องกันน้ำ แบบเดียวกับธรณีประตูคือ เมื่อเป็นแบบเปิดออก จะทำให้ด้านนอกตำ่ กว่าดา้ นใน หากมีฝนตกสาด นำ้ ก็จะไหลออกไปข้างนอก • หน้าต่างหรือประตูที่เป็นบานกระจก มีโอกาสแตกเพราะแรงลม ไม่ว่าจะเป็นพายุฤดูร้อน พายหุ มุนเขตร้อน ลูกเห็บ หรือเศษกิง่ ไม้วัสดสุ ง่ิ ของทีล่ มพัดมากระแทกบานกระจก ทำให้คน ทอ่ี ยู่ใกล้ประตูหนา้ ต่างได้รบั อันตรายจากเศษกระจกแตก • ผนังอาคารและเสาที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีอายุการใช้งานมานาน อาจจะมีร่องรอยปลวกกิน มีนำ้ รั่วซึมทำใหช้ ้นื และข้ึนรา ใกลห้ มดสภาพการใชง้ านอาจจะพงั ถล่มเมอื่ ถูกลมพายุ หรือเม่ือ แชน่ ำ้ เป็นเวลานาน หรือเมื่อไดร้ ับแรงสนั่ สะเทอื น 1.3 ความเสยี่ งของสภาพแวดล้อมภายนอกอาคารและระบบสาธารณปู โภค • สถานศกึ ษาอยูร่ มิ นำ้ แตไ่ ม่มีร้ัวกั้น เมอ่ื เกดิ ฝนตกนำ้ ท่วมทำใหก้ ระแสน้ำไหลทะลักเข้าพ้นื ที่

15 • ถนนหนทางก่อนถึงสถานศึกษาไม่มีทางเดินเท้าที่ปลอดภัย นักเรียนต้องเสี่ยงอันตรายในการ เดินทางไปและกลบั • ประตูทางเข้าสถานศึกษามีช่องทางเดียวและไม่กว้างพอสำหรับยานหานะขนาดใหญ่ เช่น รถบัส รถบรรทุกที่ใช้ในการอพยพรถดับเพลิง และไม่มีพื้นที่จอดรถสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น รถพยาบาล • มีตน้ ไม้ใหญ่ เสาไฟฟ้า ปา้ ยโฆษณารอบบรเิ วณสถานศึกษาอาจจะโคน่ ลม้ เม่ือเกิดพายุ ควรพจิ ารณา หาทางแกไ้ ข เชน่ ตดั เล็มกิง่ ไมท้ ผี่ ุ แจ้งหนว่ ยงานที่ดแู ลเสาไฟฟ้า ปา้ ยโฆษณาให้แก้ไข ควรมีการติด ป้ายเตือนนักเรียนให้ระวัง • บ่อน้ำที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีป้ายเตือน ทำให้เกิดอันตรายจากการตกน้ำ จมน้ำ หรือทำให้มองไม่ เหน็ วา่ เป็นบอ่ น้ำเวลาเกิดนำ้ ทว่ มสูงจนเปน็ ระดับเดียวกัน • ท่อระบายน้ำที่เล็กเกินไป ไม่มีตะแกรงกันเศษขยะ เศษดินโคลนทำให้อุดตัน เวลาเกิดฝนตกน้ำไม่ สามารถระบายได้ดี ทำใหเ้ กดิ น้ำทว่ มขงั ในพนื้ ที่และอาคารเรยี น • เตาเผาขยะ หรือพนื้ ทก่ี กั เก็บขยะ ปฏกิ ลู อยูใ่ กล้อาคาร มโี อกาสทจ่ี ะเกิดการปนเป้ือนในอาหาร น้ำ ด่ืมน้ำใช้ หรือเกิดมลพษิ ทางอากาศไดง้ ่าย 2. การจดั สภาพแวดลอ้ มใหป้ ลอดภัย อาคารเรียนหรืออาคารประกอบเปน็ ส่ิงก่อสรา้ งถาวร และย่อมเกิดการชำรุดทรุดโทรมไปตามเวลา จึง ต้องรบั การบำรุงรักษาอยู่เสมอและดูแลให้สามารถรบั น้ำหนักของนักเรียนและสิ่งของต่างๆในอาคาร เพ่ือไม่ให้ เกดิ อบุ ตั เิ หตุในขณะใชง้ านปกติและสถานการณเ์ ก่ียวกับภยั ธรรมชาติ สถานศึกษาจะต้องดำเนินการตรวจสอบ โครงสรา้ งและสว่ นประกอบอาคาร ตลอดจนอุปกรณ์ตา่ งๆทตี่ ิดตัง้ ไว้อยา่ งสม่ำเสมอ หากพบความผดิ ปกติ ต้อง สงั่ ปิดอาคารและประกาศเป็นเขตหวงห้าม หรือเขตอันตราย หา้ มเขา้ ใช้เด็กขาด จนกว่าจะมกี ารซ่อมแซม หรือ อาจจะจำเปน็ ต้องรอื้ ถอนอาคาร หากซอ่ มแซมไม่ได้ 2.1 การจัดสภาพแวดลอ้ มโดยคำนึงถึงการลดความเส่ยี งภยั พิบตั ิ • ถนนทางเข้าออกในโรงเรียน ควรจัดให้เอื้ออำนวยต่อการอพยพและการเข้าออกของ รถพยาบาล รถดับเพลิง ควรมจี ุดจอดรถท่ีสำรองไว้สำหรบั รถฉกุ เฉนิ โดยเฉพาะ

16 • ทางเข้าออกทุกทางควรสร้างทางลาดไว้ด้วยเพื่อความสะดวกในการใช้รถเขน็ นัง่ รถพยาบาล เตียงพยาบาลในกรณีทม่ี ผี ู้บาดเจบ็ ทต่ี ้องเคลอ่ื นย้ายด้วย • ในกรณีฉุกเฉินที่ต้องรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ควรจัดพื้นที่หน้าโรงเรียนสำหรับ ผู้ปกครองมารอรับบุตรหลาน ไม่ควรให้ผู้ปกครองเข้ามาในบริเวณสถานศึกษาหรือขึ้นไปรับ บตุ รหลานในอาคารถ้าไม่จำเป็น • จุดรวมพลของสถานศึกษาสว่ นใหญ่จะเป็นพนื้ ทีสนามหญา้ หนา้ อาคาร ต้องคำนึงถึงการเข้าถึง ของนกั เรียนและเจ้าหน้าที่กูภ้ ัย ซง่ึ อาจจะมีทั้งพื้นท่ปี ฐมพยาบาล พืน้ ที่อำนวยการ พื้นท่ีกู้ภัย พื้นที่ที่เป็นจุดรวมพลและเส้นทางไปยังจุดรวมพลต้องไมม่ ีสิ่งกดี ขวาง เช่น ไม่มีเครื่องเลน่ ไม่ มีรวั้ ไมม่ ีการปลูกตน้ ไม้ขวางทางเข้าออกจดุ รวมพล • การใช้พื้นที่อาคารเพื่อการเรียนและการจัดกิจกรรมต่างๆ ควรมีการจัดการใช้พื้นที่ให้เป็น ระเบียบ เช่น จัดการใช้พื้นที่ให้มีการสัญจรไปในทิศทางเดียวกันด้วยการกำหนดการเดินชิด ขวาหรือชดิ ซา้ ย ทางเดินกวา้ งเพียงพอ มีไฟฉกุ เฉนิ ตลอดทางเดิน ในจุดทีเ่ ป็นอันตรายต้องมี ปา้ ยสญั ลกั ษณ์ ป้ายเตอื น เชน่ ป้ายทางหนีไฟ ควรมี แผนผังอาคารเรยี นพร้อมเสน้ ทางอพยพ และจดุ รวมพลติดตั้งไว้ทกุ ชัน้ เป็นตน้ • บางพื้นที่ในอาคารเรียนอาจจะมีวัตถุอันตราย เช่น เครื่องมือที่เป็นของมีคม สารเคมีใน ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ในห้องเรียนคหกรรม อาจจะมีแก๊ส ตู้อบ น้ำมัน ควรมีการเก็บ ของให้มิดชิดเรียบร้อยและมีป้ายติดเพื่อแนะนำการใช้งานและเตือนอันตราย ควรมีเครื่อง ดับเพลิงติดไว้ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และห้องคหกรรม มีการอบรมให้ใช้อุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกวิธี โดยเฉพาะปลั๊กไฟ เต้าเสียบ สายไฟ และต้องมีการติดตั้งระบบตัดไฟ หรอื ระบบป้องกนั ฟา้ ผ่า • ในกรณีที่มีเครื่องมือการเกษตรและเครื่องมือช่าง เช่น มีด จอบ พลั่ว ชะแลง สว่าน เลื่อย ต้องมีการตรวจสอบเครื่องมือและอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ หากชำรุดให้ซ่อมแซมหรือเปลี่ยน และเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ในกรณีเกิดภัยพิบัติ อุปกรณ์การเกษตรและอุปกรณ์ช่าง เหล่านีส้ ามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ได้ • ในกรณีทีม่ บี ่อน้ำในโรงเรียน ต้องมีป้ายเตอื นอนั ตรายหรอื จัดใหม้ ีร้ัวรอบขอบชิด 2.2 การจดั เสน้ ทางปลอดภยั และจดุ รวมพลเพ่ือการหนีภยั ภายในโรงเรียน ในกรณีเกิดภัยพิบัติในสถานศึกษา โดยเฉพาะในขณะที่มีนักเรียนเรียนอยู่ นักเรียนอาจจะตกใจ เกิด ความสับสนอลหม่านกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด จึงต้องวางมาตรการป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นอันเป็นผล ตามมาด้วย เช่น การผลัดตก หกล้ม โดนของมีคม ซึ่งการจัดพื้นที่การใช้งานก็จะช่วยให้ลดความเส่ียงที่จะเกิด อุบตั เิ หตดุ ังกล่าวได้

17 หลักการจดั เสน้ ทางอพยพและจุดรวมพล 1. ทางเดนิ ตอ้ งกวา้ งและพื้นตอ้ งทนต่อความร้อน 2. โครงสร้างบรเิ วณเส้นทางหนภี ยั ต้องทนไฟได้และมคี วามแข็งแรงเพอ่ื ไมใ่ ห้คานถลม่ มา 3. บันไดต้องออกแบบมาสำหรับการหนีหรอื อพยพคนไปยังทางออก และมีราวจับเพ่ือนำทางมายังชนั้ ลา่ ง 4. ไม่มสี ง่ิ ของที่เป็นเช้อื เพลงิ หรอื มสี ง่ิ ของ เฟอร์นเิ จอร์ วางอยูใ่ นเสน้ ทางอพยพ 5. หา้ มคลอ้ งโซ่กุญแจท่ีประตูหนีไฟชน้ั ล่างโดยเด็ดขาด หรอื หากมีการคล้องกุญแจ ตอ้ งมีผู้รับผิดชอบเปิด ประตทู นั ทีทม่ี ีสัญญานเตือนภยั 6. มอี ปุ กรณ์ดบั เพลงิ ตงั้ ตามจุดตา่ งๆ 7. มีเครือ่ งหมายหนีไฟ หรือเคร่อื งหมายเสน้ ทางอพยพตามเสน้ ทาง 8. มีไฟฉกุ เฉินตามเสน้ ทางหนีไฟทสี่ วา่ งเพยี งพอเพราะเวลาเกิดอัคคภี ยั ควันจะทำให้มองเหน็ ไม่ชัดเจน 9. ในกรณีที่สถานศึกษามีนักเรียน ครู หรือบุคลากรที่มีความพิการ จะต้องสอบถามถึงความช่วยเหลือท่ี จำเป็นเมอ่ื เกิดเหตุฉุกเฉิน เชน่ คนพิการบางคนอาจไมต่ ้องการความชว่ ยเหลือเป็นพิเศษแต่บางคนอาจ ไม่สามารถเดินขึ้น-ลงบันไดได้ บางคนอาจไม่สามารถมองเห็นสัญญาณความปลอดภัยจากอัคคีภัย บางคนมีปัญหาในการค้นหาทางออกหรือไม่สามารถได้ยินสัญญาณเตือนภัย หรืออาจจะไม่เข้าใจการ เตือนภัย จงึ ต้องจัดเสน้ ทางอพยพที่มสี ิ่งอำนวยความสะดวกเพ่ือชว่ ยใหค้ นพิการสามารถอพยพได้อย่าง ปลอดภัย 10. พื้นที่รวมพลที่ปลอดภัย ควรเป็นพื้นที่กว้าง เช่น สนามหน้าอาคารเรียน หากเป็นการอพยพจากภัย น้ำป่าไหลหลาก จุดรวมพลจะต้องเป็นที่สูง หากเป็นวาตภัย ก็จะต้องกำหนดพื้นที่ปลอดภัยในอาคาร เรียน 11. การกำหนดจุดรวมพล หรอื จดุ ปลอดภัยท่ีพานกั เรียนมารวมตัวกันน้ัน จะต้องมีการจัดระเบยี บพน้ื ท่ีด้วย โดยกำหนดให้พื้นที่ตามห้องเรียน เพื่อง่ายต่อการนับจำนวนและตรวจสอบผู้สูญหาย และควรมีพื้นท่ี สำหรับปฐมพยาบาล พื้นที่อำนวยการ และพื้นที่สำหรับรองรับผู้ปกครองที่มารับบุตรหลานในกรณี ฉกุ เฉินด้วย

18 สถานศึกษาควรติดตั้งป้ายทแ่ี สดงความปลอดภยั ไว้อย่างชดั เจน เชน่ ปา้ ยเก่ียวกบั อุปกรณ์ดับเพลิง ปา้ ยทางหนีไฟ 2.3 การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกเพอ่ื คนพิการ กฎกระทรวงกําหนดสิ่งอํานวยความสะดวกในอาคารสําหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ. 2548 ระบุว่า “สิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา” หมายความว่า ส่วนของอาคารที่สร้างขึ้นและอุปกรณ์อันเป็นส่วนประกอบของอาคารที่ติดหรือตั้งอยู่ภายในและ ภายนอก อาคารเพ่อื อาํ นวยความสะดวกในการใช้อาคารสาํ หรับผู้พิการหรอื ทพุ พลภาพ และคนชรา ดังนั้น ผู้บริหาร ครูและเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องมีความตระหนักรู้ถึงสิทธิการเข้าถึงของคนพิการ อย่างไม่มีการเลือกปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ ต้องมีการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการเ ข้าถึง รวมท้ัง ข้อมูลและวิธีการสื่อสาร ระบบการช่วยเหลือ และวัสดุและอุปกรณ์ ที่จำเป็นสำหรับเด็กพิการในระหว่าง สถานการณ์ฉุกเฉิน โดยต้องคำนึงถึงความแตกต่างในความพิการของนักเรียนเป็นรายบุคคล รวมทั้งครู บุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่มีความต้องการจำป็นพิเศษ ในการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสถานที่นี้ จะต้อง คำนงึ ถงึ การใช้สถานศกึ ษาเป็นศูนย์พักพิงสำหรับคนพิการด้วย วิดีโอต่อไปนอ้ี ธิบายสทิ ธขิ องคนพิการและการ จัดส่ิงอำนวยความสะดวกเพ่ือคนพกิ าร

19 ตวั อย่างการปรบั ปรุงอาคารสถานที่ การจัดพ้นื ทแี่ ละส่งิ อำนวยความสะดวกทางกายภาพที่จำเป็นสำหรบั คนพิการ ได้แก่ 1) พ้ืนที่สำหรับรถเขน็ นัง่ หรือรถเขน็ วลี แชร์ ประตทู างเขา้ สำหรับรถเข็นวีลแชรค์ วรกว้างไม่ต่ำกว่า 90 ซม.ช่องทางเดิน ควรมีความกว้างไม่ต่ำกว่า 90 ซม.เช่นกัน ส่วนพื้นที่สำหรับหมุนรถเข็นนั่งจะต้องมีความ กว้างยาวอยา่ งน้อย 150 ซม. ดงั รูป 2) ทางลาดสำหรับรถเข็นนั่ง ทางลาดขึ้นอาคารต้องมีสดั ส่วนความยาวอย่างน้อย 1:12 เมตร กล่าวคือ หากมีความสูง 1 เมตร จะต้องมีทางลาดยาว 12 เมตรเพื่อใหเ้ กิดความชันของทางลาดประมาณ 10 องศา ซึ่ง ทางลาดนอ้ี าจจะออกแบบให้มีจดุ พักท่ีกง่ึ กลางหรือทุก 6 เมตร ทางลาดต้องมคี วามกวา้ ง 90 ซม. และมีราวจับ 2 ข้าง 3) หอ้ งนำ้ สำหรบั คนพิการ ในการออกแบบห้องนำ้ เพื่อคนพิการ ซง่ึ ประกอบด้วยหอ้ งน้ำ ทอ่ี าบนำ้ ห้อง ส้วม และอา่ งลา้ งมอื มกี ารกำหนดมาตรฐานไว้ คอื • ประตูห้องน้ำท่ีจดั ให้คนพิการควรเป็นบานเลือ่ น กวา้ งอย่างนอ้ ยกว่า 90 เซนตเิ มตร เปดิ ค้างได้ ไมน่ อ้ ยกวา่ 90 องศา ไมม่ ธี รณีประตู ถา้ เป็นพนื้ ต่างระดับตอ้ งไมเ่ กนิ 2 เซนตเิ มตร • มีราวจับจากประตูทางเข้า ไปยังที่อาบน้ำ และห้องน้ำ ราวจับสูงไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร และแขง็ แรงพอท่ีจะรับนำ้ หนักได้ • พนื้ หอ้ งน้ำใช้วสั ดุกันล่ืน พนื้ ทอ่ี าบนำ้ มีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกวา่ 1.50 เมตร เพ่ือให้รถเข็น สามารถหมนุ ตัวได้ • ส่ิงของ เครือ่ งใช้ อปุ กรณ์ภายในทีอ่ าบนำ้ ใหส้ งู จากพน้ื ความสงู ระหวา่ ง 0.25 – 1.20 เมตร • พืน้ ที่ภายในห้องส้วม กว้างยาวไมน่ ้อยกว่า 1.50-1.70 เซนตเิ มตร • ติดอักษรเบรลล์ เพอ่ื ใหค้ นตาบอดได้ทราบว่าเปน็ ห้องนำ้ หญงิ หรือชาย ไว้บรเิ วณท่ใี กลป้ ระตู

20 • ทาสีกรอบประตดู ้วยสสี วา่ ง เช่น สีเหลืองเพ่อื ให้คนสายตาเลือนรางสังเกตได้ • ติดตั้งสัญญาณไฟสำหรับเตือนภัยสำหรับผู้พิการทางหู หรือสัญญาณสำหรับสื่อความหมาย อืน่ ๆ ไวใ้ นห้องน้ำ

21 บทท่ี 3 การจดั การภยั พบิ ัติในสถานศึกษา วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อให้เขา้ ใจแนวคดิ ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั การจัดการภัยพบิ ัติในสถานศกึ ษา 2. เพ่อื ให้เพอ่ื ให้เข้าใจหลกั การและสามารถทำแผนบรหิ ารจัดการภยั พิบตั ิในสถานศึกษาได้ อยา่ งถูกตอ้ ง 3. เพื่อใหเ้ ข้าใจวิธกี ารจดั ซอ้ มอพยพและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา 4. เพื่อให้เข้าใจทกั ษะในการตดั สนิ ใจและสามารถเผชิญเหตฉุ ุกเฉนิ ไดเ้ บ้ืองตน้ 5. เพื่อใหเ้ ข้าใจหลกั การจัดทพ่ี ักพงิ ชัว่ คราวในสถานศึกษา 6. เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจความจำเป็นในการใหก้ ารคุม้ ครองเดก็ ในสถาณการณ์ภยั พบิ ัติ 7. เพ่อื ให้เขา้ ใจความจำเปน็ ในการจดั การเรยี นการสอนให้ตอ่ เน่ืองในสถานการณภ์ ยั พิบตั ิ หัวข้อการเรียนรู้ 1. กลไกในการจัดการภัยพิบตั ใิ นสถานศกึ ษา ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการจัดการภัยพิบัติในสถานศึกษามีบทบาทเป็นแกนนำในการวางแผน เฝ้า ระวัง เตรียมพรอ้ ม และดำเนนิ กิจกรรมด้านความปลอดภัยรอบด้านในสถานศึกษา รวมถึงจดั การกอ่ น ระหว่าง และหลังเกดิ ภยั พบิ ัตหิ รือเหตุฉกุ เฉนิ ในโรงเรียน รวมท้ังตดิ ตามและประเมนิ ผล ขอ้ ควรคำนงึ ในการจดั ต้งั คณะกรรมการความปลอดภยั รอบดา้ น มีดังน้ี • ให้นักเรียนมีส่วนร่วม (โดยเฉพาะนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หรืออายุ 13 ปีขึ้นไป) พร้อมกบั ผ้ทู ่เี ก่ยี วข้องอ่นื ๆ • ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา • ผแู้ ทนนักเรยี น • คณะกรรมการสถานศึกษา • ผแู้ ทนองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ ผู้นำชุมชน ปราชญช์ าวบ้าน • หนว่ ยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องอ่นื ๆ ในพน้ื ที่ เชน่ หน่วยงานดา้ นอนามยั องคก์ รพัฒนาเอกชน • จดั ตัง้ เกณฑ์ในการคัดเลอื ก/เลอื กตงั้ ผู้ทจี่ ะมาเปน็ คณะกรรมการฯ • คัดเลือก/เลอื กต้งั คณะกรรมการฯโดยความยนิ ยอมของผไู้ ดร้ บั การเสนอช่ือ • คณะกรรมการแตล่ ะฝา่ ยควรมีสมาชิกท้ังเพศหญงิ และชาย • มีโครงการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่คณะกรรมการแต่ละฝ่าย เช่น โดยการจัดอบรมในโรงเรียน การส่งผ้แู ทนเข้าร่วมโครงการอบรมนอกสถานที่

22 องคป์ ระกอบของคณะกรรมการ คณะกรรมการฯอาจแบ่งหน้าที่กันได้หลายฝ่าย แต่การดำเนินการจะต้องทำเป็นทีมและมีการประชมุ หารือกันอย่างสม่ำเสมอ โดยแต่ละฝ่ายทำการบ้านในส่วนงานของตนมาล่วงหน้า ฝ่ายหรือคณะย่อย อาจแบ่ง ตามหนา้ ทีแ่ ละความรับผดิ ชอบ ดงั น้ี หนา้ ท่แี ละความรบั ผิดชอบของคณะกรรมการ (สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม) ลำดบั ตำแหน่ง หน้าทค่ี วามรบั ผิดชอบ 1 ฝา่ ยอำนวยการ • ประสานงานกบั สมาชกิ ในทมี • มอบหมายงานใหส้ มาชิก • ตรวจสอบและยนื ยันขา่ วสารเกย่ี วกับภัยพบิ ัติทไี่ ดร้ ับ • แจ้งเตอื นฝ่ายเฝ้าระวงั และแจง้ เตือนภยั 2 ฝ่ายประชาสมั พันธ์ • หาความรู้เกี่ยวกับภัยและการป้องกันภัยมาเผยแพร่ผ่านการ กระจายเสียง หรอื เอกสารเชน่ โปสเตอร์ หนังสอื หรอื ส่อื ตา่ ง ๆ 3 ฝ่ายเฝ้าระวังและแจ้ง • จดั เวรยามเฝา้ ระวังสถานการณ์ภยั เชน่ บันทึกปริมาณน้ำฝนเมื่อ เตอื นภยั ฝนตกหนัก 4 ฝา่ ยอพยพ • แจ้งเตอื นภัยเมอ่ื มแี นวโน้มว่าจะเกิดภัย • ระบพุ ืน้ ท่ปี ลอดภัยสำหรับรวมพล • กำกับดูแลการอพยพให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ปลอดภัยและเป็น ระเบียบ • นบั จำนวนคนและรายงานนักเรยี นท่สี ญู หาย 5 ฝ่ายสถานท่ี • ติดตั้งแผนที่เส้นทางอพยพในแต่ละห้องเรียน หรือ ในที่ท่ี นกั เรียนสามารถเหน็ ได้ทกุ คน • ปรับปรุงพน้ื ทีใ่ นโรงเรียนใหม้ ีความปลอดภัย • จดั เตรียมสถานทอ่ี พยพให้พรอ้ มใชง้ านและมรี ะบบ สาธารณปู โภคและส่ิงอำนวยความสะดวกตามความจำเปน็ 6 ฝ่ายเสบยี งและอุปกรณ์ • เตรียมเสบียงอาหาร เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ในกรณี ฉกุ เฉนิ หรอื มีการอพยพ • จัดเตรียมสญั ญาณเตอื นภัยแตล่ ะจุด (กริง่ ,โทรโข่ง) 7 ฝ่ายปฐมพยาบาล • รจู้ ักวิธีใชเ้ คร่ืองมอื ต่างๆ ทใี่ ช้ในยามฉกุ เฉนิ เชน่ ถงั ดับเพลงิ • ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บก่อนส่งต่อไป โรงพยาบาล

23 ลำดับ ตำแหน่ง หนา้ ทีค่ วามรับผดิ ชอบ • เตรยี มวสั ดุอุปกรณ์ท่ีใช้ใหพ้ รอ้ มใช้งาน 8 ฝ่ายประสานงาน • ฝ่ายปฐมพยาบาลควรมีความรู้เบื้องต้นด้านการปฐมพยาบาล 9 ฝ่ายงบประมาณ เช่นเป็นครูประจำห้องพยาบาล หรือไดร้ ับการฝกึ อบรมมาก่อน 10 ฝา่ ยติดตามประเมินผล • แจ้งเหตุภัยของชุมชนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อขอรับ การชว่ ยเหลือด้านต่าง ๆ • จดั สรรงบประมาณ • สรปุ รายรบั รายจ่าย • ประเมินผลการจดั กิจกรรม • สรุปผล/รายงาน • เสนอแนะแนวทางแก้ไข 1.1 แนวทางการประเมินความเปราะบางและศักยภาพ ในการประเมินความเสี่ยงภัยธรรมชาติ สามารถหาได้จากเครื่องมือประเมินความเสี่ยงที่ให้ไว้ใน Module 0 เพื่อระบุภัยธรรมชาติที่ต้องจัดการทำแผน และต้องประเมินความเสี่ยงของอาคารสถานที่ที่ใหไ้ ว้ ใน Module 1 นอกจากนี้ ยังต้องมีการประเมินความเปราะบางและศักยภาพของสถานศึกษาทั้งสามด้านเพอ่ื การวางแผนบริหารจดั การทีเ่ หมาะสมกบั บรบิ ท ข้อพิจารณาในการประเมนิ ความเปราะบาง มดี ังน้ี ขอบเขตการประเมนิ ประเด็นพิจารณา จำนวนครตู อ่ จำนวน • จำนวนนักเรยี น ชาย หญงิ นักเรียน และ • จำนวนนักเรียนพกิ าร ความสามารถในการ • ระดบั ชน้ั เรยี นและอายขุ องนักเรียน ดูแล • จำนวนนักเรียนที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ และจำนวนนักเรียนทีต่ อ้ งการความชว่ ยเหลอื • จำนวนครู ผู้ดูแล และบุคลากร ตอ่ จำนวนนกั เรียน • จำนวนครทู ี่สามารถดูแลนกั เรียนได้เม่อื เกิดเหตภุ ัยพิบตั ิฉุกเฉนิ • จำนวนผู้ปกครอง และคนในชุมชนใกล้เคียงที่สามารถระดมความช่วยเหลือได้ ทันทีท่เี กดิ เหตุ เสาหลกั ท่ี 1 อาคาร • อาคารเรียนสามารถรองรบั นกั เรียนเมื่อเกดิ เหตุ สถานทแี่ ละ สาธารณูปโภค • อุปสรรคเรื่องการเข้าถึง เช่น ถนนไม่ดี สะพานไม่แข็งแรง ประตูทางเข้าแคบ ทำให้ความชว่ ยเหลอื จากภายนอกเข้าไม่ถึงนักเรียน

24 ขอบเขตการประเมิน ประเด็นพจิ ารณา • อันตรายจากสิ่งที่ไม่ใช่โครงสร้างอาคาร เช่น ประตู หน้าต่าง บันได ผนัง ก้ันหอ้ ง ท่อน้ำทง้ิ เฟอรน์ เิ จอร์ อุปกรณ์ตา่ งๆ ทอี่ าจจะหล่นมาทับนกั เรียนขณะ เกิดเหตุ หรือขณะอพยพ หรือในขณะหลบภัย • นำ้ ด่ืม น้ำใชเ้ พยี งพอและปลอดภยั จากการปนเป้ือน • ไฟฟ้า แสงสว่าง เพยี งพอ • อุปกรณส์ ่ือสารมอี ะไรบ้างและมีอุปสรรคของระบบสือ่ สารอะไรบา้ ง เสาหลักท่ี 2 การ • ทกุ คนในสถานศึกษามีความรู้และทักษะตอ่ ไปนห้ี รอื ไม่ บรหิ ารจัดการภยั พิบตั ใิ นสถานศกึ ษา • การเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติธรรมชาติที่สถานศึกษาระบุไว้ว่าเป็น ความเส่ยี ง เช่น หากเกดิ เหตุแผ่นดนิ ไหว ต้องรูจ้ กั หลบใต้โต๊ะ คุมศรี ษะและ ยึดเกาะให้แน่น หรือรู้จักสามเหลี่ยมช่วยชีวิต หรือรู้ว่าเมื่อออกจากอาคาร แล้วตอ้ งไมว่ ิ่งกลบั เขา้ ไป เป็นต้น • วิธอี อกจากอาคารเมอ่ื เกิดอัคคีภัยและทางเดนิ มีควัน • รู้จกั เสน้ ทางหนีภัย ประตูหนีภัยและจุดปลอดภยั ทั้งในและนอกสถานศึกษา • ทักษะในการเผชิญเหตุ คน้ หา กภู้ ยั • ทกั ษะในการปฐมพยาบาล • สถานศึกษามีอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่จำเป็น เช่น เชือก ชูชีพ ไฟฉาย ชุดปฐม พยาบาล • มกี ารเตรยี มหมายเลขโทรศพั ทต์ ดิ ต่อของหน่วยงานและผู้ปกครอง • มวี ิธกี ารปฏิบตั ิปน็ มาตรฐานสำหรบั รับมอื ภยั ประเภทต่างๆหรอื ไม่ • ระบบเตือนภยั ครอบคลมุ และท่ัวถงึ หรือไม่ • ความชว่ ยเหลอื จากภายนอกสามารถมาถึงไดภ้ ายในเวลาเทา่ ใด • สถานศึกษาสามารถจัดหาอาหารและน้ำดื่มน้ำใช้สำรองเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ หรือไม่ • สถานศกึ ษาสามารถเปลย่ี นเป็นทพ่ี กั พงิ ช่ัวคราวได้หรอื ไม่ ประเดน็ ความ • ผู้บรหิ ารสถานศึกษาและบุคลากรมคี วามรใู้ นการบริหารจัดการพื้นท่ีศนู ย์พักพิง เปราะบางอนื่ ๆ ช่ัวคราวหรือไม่ • การฟื้นฟอู าคารสถานท่แี ละการใชพ้ ้นื ทหี่ ลังเกดิ เหตุ • การจัดการเรียนการสอนระหวา่ งเกดิ ภยั พบิ ัตแิ ละต้องหยุดเรยี น • การดแู ลสวัสดิภาพของนักเรียนพิการ

25 นอกจากการพิจารณาความเปราะบางตามประเด็นต่างๆ ข้างต้น สถานศึกษาสามารถใช้คู่มือบริหาร จัดการความเสี่ยงภัยในโรงเรียน เป็นเครื่องมือในการประเมิน ซึ่งคู่มือนี้เป็นการนำเสนอขั้นตอนและกิจกรรม ตา่ งๆภายใตเ้ สาหลกั ทสี่ องของกรอบความปลอดภัยรอบดา้ นอย่างละเอยี ด (1) การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk Avoidance) : ในกรณีที่ความเสี่ยงอยู่ในระดับสูงมากถึงขั้น ร้ายแรง อาจต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอย่างสิ้นเชิง เช่น การย้ายที่ตั้งอาคารสถานที่ออกนอกพื้นที่ที่มีภัย การ แบ่งเขตจัดทำาโซนนิ่ง อย่างไรก็ดี การหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอย่างสิ้นเชิงนั้นอาจทำาได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจาก ขอ้ จำากัดด้านพ้ืนท่ี (2) การป้องกนั และลดผลกระทบจากความเสย่ี ง (Risk Prevention and Mitigation) : อาจทำา ได้ 2 แนวทาง คือ การป้องกัน (prevention) คือ การป้องกันไม่ให้ภัยนั้นเกิดขึ้น เช่น การสร้างเขื่อนขนาด ใหญ่เพื่อเก็บกักน้ำไว้ ไม่ให้ไหลลงมาสู่พื้นที่ปลายน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัย และอีกแนวทางหนึ่ง คือ การลด ผลกระทบ (mitigation) เพื่อลดความล่อแหลมและความเปราะบางให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำาได้ ซึ่งการ ปอ้ งกันและลดผลกระทบจากความเสยี่ ง สามารถทำาได้โดยใช้มาตรการท่ีใชโ้ ครงสรา้ ง (structural measure) และไม่ใชโ้ ครงสร้าง (non-structural measures) มาตรการที่ใช้โครงสร้าง (structural measure) หมายถึงการใช้สิ่งก่อสร้างหรือโครงสร้างทาง กายภาพเพื่อลดหรือหลีกเลย่ี งผลกระทบของภัยที่อาจเกดิ ขึ้น หมายรวมถึงระบบหรือโครงสร้างเชิงวิศวกรรมท่ี ประยุกตใ์ ชเ้ ทคนิคต่าง ๆ เชน่ การทำพนงั หรือคนั กน้ั น้ำ ประตนู ้ำ ระบบระบายน้ำ การเสรมิ ความแขง็ แรงของ โครงสร้างอาคาร เพื่อให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวหรือลม พายุ การปรับความลาดชัน ของพ้นื ทเี่ พ่อื ลดการพงั ทลายของดนิ การสร้างอ่างเกบ็ นำ้ หรอื ขุดสระนำ้ เพอื่ การกกั เกบ็ น้ำไว้ใชใ้ นชว่ งเกิดภัย แลง้ มาตรการทีไ่ ม่ใช้โครงสรา้ ง (non-structural measure) คือ การใชน้ โยบาย กฎระเบียบ การวางแผน งานและกจิ กรรมต่าง ๆ เพื่อลดความเสยี่ ง เชน่ การออกกฎระเบียบข้อบงั คบั การกำหนดการใช้ประโยชน์ท่ีดิน การแบ่งเขต และการวางแผนพัฒนาพื้นที่ กำหนดการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ การวางแผนการเพาะปลูก เพื่อลดผลกระทบจากภัยแล้งหรืออุทกภัย การฝึกอบรม การสร้างจิตสำนึก หรือให้ความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อ สนับสนุนการปอ้ งกันและลดผลกระทบจากความเสีย่ ง (3) การถ่ายโอนความเสี่ยง (Risk Transfer) : เป็นการถ่ายโอนความเสี่ยงไปที่บุคคลอื่นท่ีพร้อมจะ รับผลกระทบจากภัยนั้นแทน ทำให้ผู้ที่เผชิญกับความเสี่ยงไม่ต้องได้รับผลที่อาจเกิดขึ้นหรือได้รับการแบ่งเบา ภาระที่ต้องแบกรับอันเนื่องมาจาก ความเสี่ยงนั้น โดยมากให้ความสำคัญกับการถ่ายโอนภาระทางการเงินอนั เปน็ ผลกระทบจากการเกิดภัยพิบตั ิ เช่น การใชร้ ะบบประกันความเสยี่ ง การทำประกนั ภัย การใหส้ นิ เชือ่ ฉกุ เฉิน หรอื การให้ความชว่ ยเหลอื ทางการเงินภายในชมุ ชนหรือครอบครัว (4) การยอมรับความเสี่ยง (Risk retention/ Risk Acceptance) : ในกรณีที่นำแนวทางการลด ความเสี่ยงท้ัง 3 ประการขา้ งต้นมาใช้แตย่ งั ไม่สามารถจัดการกับ ความเสีย่ งให้หมดไปได้ และยังคงมีความเส่ียง บางส่วนหลงเหลืออยู่ สิ่งที่ทำได้คือ การเตรียมความพร้อม (preparedness) เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่ยังคง

26 เหลือ (residual risk) รวมถึงการปรับตัว (adaptation) และปรับวิถีการดำารงชีวิตให้สามารถอยู่ร่วมกับภัย และความเสยี่ งนัน้ ๆ ได้อย่างปลอดภยั 1.2 แนวทางการตัดสินใจสำหรบั ผู้บริหารสถานศกึ ษา เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะมีสาเหตจุ ากภัยธรรมชาตหิ รอื ภัยอื่นๆที่มีโอกาสเกิดอันตราย อย่างรุนแรง ผู้บริหารสถานศึกษาต้องพิจารณาทางเลือกในการปฏิบัตเิ พื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตทุกคน ในสถานศึกษา ทางเลือกในการปฏิบัติมีได้หลายแนวทางตามบริบทของภัยและสถานการณ์แวดล้อม และใน การทำแผนเผชิญเหตุสำหรับภัยแต่ละประเภทจึงต้องมีการพัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน (Standard of Practice หรือ SOP) รองรับแต่ละแนวทางด้วย ซึ่งรายละเอียดของขั้นตอนปฏิบัติขึ้นอยู่กับ บริบทของสถานศึกษา สังคม วัฒนธรรม และสภาพความเสี่ยงภัยของสภาพแวดล้อม แนวทางในการรับมือ กบั ภยั ธรรมชาติหรอื เหตฉุ กุ เฉนิ ตา่ งๆ สามารถดำเนนิ การไดด้ งั น้ี การอพยพจากอาคาร (Building evacuation) เป็นการอพยพออกจากตวั อาคารท่มี ีอนั ตรายไปยังจดุ รวมพลที่อย่นู อกอาคาร (Assembly Point) การ อพยพจะเริ่มดำเนินการเมอื่ มีสญั ญานเตอื นภัยหรือคำสงั่ อพยพและมขี ้นั ตอนการปฏิบัติทที่ ุกคนต้องรับรแู้ ละทำ ตามได้ เชน่ ในกรณอี ัคคภี ยั ที่เพิ่งเริ่มเกดิ ขึ้น ทกุ คนตอ้ งหยบิ ของท่ีจำเปน็ และอพยพลงจากอาคารอย่างรวดเร็ว โดยใช้บันได ไม่ใช้ลิฟท์ และมารายงานตัวที่จุดรวมพลด้านหน้าอาคารเพื่อการตรวจสอบว่ามผี ู้ใดสูญหาย เป็น ตน้ การอพยพไปยงั จุดปลอดภัย (Evacuate to safe haven) ในที่นี้จุดปลอดภัย (Safe Haven) หมายถึง บริเวณพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นที่ปลอดภัยจากภัยคุกคาม และสามารถรองรบั ผ้ปู ระสบภยั ได้ อาจจะเปน็ พนื้ ที่ท่อี ยู่ภายในสถานศึกษาหรือเป็นสถานที่อ่ืนนอกสถานศึกษา ก็ได้ แต่ต้องมีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้รับรู้เพื่อให้สามารถดำเนินกาช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่าง เช่น หากสถานศึกษามีพื้นที่ปลอดภัยในอาคารก็อาจจะกำหนดให้ ชานพักบันได ช่องทางหนีไฟ เป็นจุด ปลอดภัยสำหรบั นักเรียนช้ันเด็กเล็ก หรือเด็กพิการ เพื่อให้ครูพาไปรอการชว่ ยเหลอื เมื่อเจ้าหน้าทีก่ ู้ภยั มาถึงก็ สามารถเข้าไปช่วยเหลือนักเรียนที่จุดปลอดภัยนั้นได้ก่อน แต่ถ้าสถานศึกษาอยากจะเลือกพื้นที่ภายนอก สถานศึกษาให้เป็นที่ปลอดภัยสำหรับการอพยพนักเรียนก็ย่อมทำได้ แต่ก็ต้องพิจารณาตามบริบทของภัยและ ความสามารถในการเคลื่อนย้ายนักเรียน ตลอดจนเวลาในการเคลื่อนย้าย หากมีการกำหนดพื้นที่ปลอดภัยไว้ นอกสถานศึกษานั้นก็ต้องมีการวางแผนเตรียมพื้นที่ด้วย เช่น มีการเตรียมสิ่งของฉุกเฉินสำรองไว้เป็นท่ี เรียบร้อย มีการแจ้งให้ผู้ปกครองทราบอย่างชัดเจนและมียานพาหนะที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายไว้รองรับ การ อพยพลักษณะนี้จะใช้ในกรณีภัยขนาดใหญ่ที่ทำให้หลบภัยในสถานศึกษาไม่ได้ ต้องออกไปนอกพื้นที่ เช่นใน กรณนี ้ำท่วมฉับพลัน น้ำปา่ ไหลหลาก ดนิ โคลนสไลด์ สึนามิ สารเคมีรัว่ ไหล ไฟปา่ เปน็ ต้น การหลบภยั และพกั พงิ ในอาคารเรยี น (Shelter-in-place) ในกรณที ม่ี ีอันตรายอยภู่ ายนอกอาคารเรียน และไมส่ ามารถปล่อยนักเรยี นกลบั บา้ นได้ เช่นในกรณี อากาศรนุ แรง น้ำทว่ มเสน้ ทางขาด หรอื ภยั อนั ตรายอ่ืนๆท่ีอยภู่ ายนอก หรอื ในกรณีที่ไมม่ ีเวลาอพยพไปยัง

27 ที่ปลอดภัย หรือในกรณีที่อาคารเรียนมีความปลอดภัยและสามารถใช้เป็นที่อพยพหลบภัยได้ ผู้บริหาร สถานศึกษาสามารถตัดสนิ ใจประกาศใหน้ กั เรียนและครูพักอยใู่ นอาคารเรยี นจนกว่าเหตุการณจ์ ะคล่ีคลายกไ็ ด้ การปดิ การเขา้ ออกเพอื่ ป้องกันเหตรุ ้าย (Lockdown) เป็นวิธีการป้องกันไม่ให้เหตุรุนแรงจากภายนอกหรือบุคคลที่มีนตรายเข้ามาคุกคามสวัสดิภาพของ นักเรียนและบุคลากร โดยผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องพิจารณาแล้วว่าการปิดการเข้าออกนี้เป็นทางเลือกที่ ปลอดภัยกว่าการอพยพและการอยู่ภายในอาคารจะไม่นำไปสู่เหตุการณ์อันตรายที่บานปลาย แนวทางน้ี จะต้องมกี ารควบคุมการเข้าออกและความปลอดภัยในอาคารอย่างเขม้ งวด อนุญาติใหม้ กี ารเข้าหรือออกเฉพาะ บุคคลเท่านั้น ไม่มีการอนุญาติให้นักข่าว อาสาสมัคร เจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่จนกว่าจะได้รับการยืนยันจาก เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้วว่าสถานการณ์ปลอดภัย และไม่มีการปล่อยให้นักเรยี นกลบั บ้านเอง ต้องแจ้งหรือนัด แนะผ้ปู กครองให้ทราบเกย่ี วกับระเบยี บการมารับตวั นักเรยี นที่สถานศึกษาดว้ ย การส่งนกั เรียนคืนสู่ครอบครวั อยา่ งปลอดภยั (Safe family reunification) เมื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินคลี่คลาย ผู้บริหารสถานศึกษาจะแจ้งให้ครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้องทราบว่า สถานการณ์คลี่คลายและอนุญาตให้ส่งนักเรียนคืนให้ผู้ปกครองได้โดยมกี ระบวนการส่งกลับทีป่ ลอดภยั สำหรบั ทุกฝ่าย โดยเฉพาะการตรวจสอบรายช่ือผู้ปกครองและการทำหลกั ฐานในการส่งเด็กถึงมือผูป้ กครอง เพราะใน สถานการณ์ไมป่ กติ จำเปน็ ตอ้ งมีการปกป้องคุ้มครองเด็กอยา่ งเข้มงวด ในบางกรณี ตอ้ งกำหนดดว้ ยว่านักเรียน ชั้นเด็กเล็กจะต้องไม่กลับบ้านโดยลำพังโดยไม่มีผู้ปกครองมารับ บางกรณี อาจจะกำหนดให้นักเรียนอายุเกิน 15 ปสี ามารถเดินทางกลบั บา้ นได้ แต่ต้องกลับเป็นกล่มุ ไม่ใหก้ ลบั โดยลำพงั เปน็ ต้น 1.3 หนว่ ยงานท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั เมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันจากภัยธรรมชาติ สถานศึกษาในพื้นที่จะต้องประสานงานกับองค์กร ปกครองสว่ นท้องถ่ินเพ่ือให้ข้อมลู ความเดือดร้อนเสยี หาย และขอรับความชว่ ยเหลอื แต่ก็ยังมีหน่วยงานอ่ืนๆที่ ได้รับมอบหมายให้สนับสนุนการดำเนินการด้านการจัดการภัยพิบัติอีกด้วย หน่วยงานสำคัญๆที่สถานศึกษา สามารถประสานงานเพื่อขอรับการสนับสนุนในด้านต่างๆตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้แก่ • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (http://www.disaster.go.th/th/index.php) เป็น หน่วยงานหลักในการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แนะนำ ให้คำปรึกษา อบรม สนับสนุนและ ชว่ ยเหลือประชาชนในยามเกิดภยั ผ่านหน่วยงาน ปภ.ในพ้ืนท่ี เช่น ปภ. เขต ปภ. จังหวดั • กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (https://www.m-society.go.th/) มี หน้าทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การดแู ล สงเคราะห์ชว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบภัย เดก็ กำพร้า คนพิการ ผู้สงู อายุในพ้นื ที่ประสบภัย • กระทรวงสาธารณสุข (https://www.moph.go.th/) มีหน้าที่จัดเตรียมความพร้อมในการ รับมือกับสาธารณภัยผ่านศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในระดับต่างๆ การจัดให้มีการ รกั ษาพยาบาลฉกุ เฉิน ทมี ปฎบิ ัติการฉุกเฉนิ ทางการแพทยร์ ะดับต่างๆ

28 • สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย (http://www.rtrc.in.th/) ทำหน้าที่ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ สมาชิกสภากาชาดไทย อาสาสมัครและประชาชนทั่วไปเพื่อเตรียมความพร้อม และดำเนินการด้านบรรเทาทุกข์ รักษาพยาบาลผู้ประสบภัยเมื่อเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ ผ่านกาชาดจังหวัด ต่างๆ • มลู นิธิราชประชานุเคราะหใ์ นพระบรมราชูปถมั ภ์ (http://www.rajk.org/demo/index.php) ทำหน้าที่สงเคราะห์ผู้ประสบภัย สงเคราะห์ด้านการศึกษา ทนุ การศกึ ษาและเด็กกำพร้าที่ครอบครวั ประสบภยั • องคก์ รการกุศล มลู นิธิ ภาคเอกชน ทำหนา้ ท่สี นบั สนนุ การป้องกนั และบรรเทาสาธารณภัยใน พื้นที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น มูลนิธิเพื่อนพึ่งภา ยาม ยาก (http://www.friendsofpa.or.th/TH/home) นอกจากหน่วยงานหลักตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแล้ว สถานศึกษาควร พิจารณาหน่วยงานหรือองค์กรอ่นื ๆท่ีสามารถให้ความชว่ ยเหลือในการดำเนินกิจกรรมลดความเสี่ยงภัยพิบัติใน ระยะต่างๆ เช่น ภาคธุรกิจในพื้นที่ องค์กรพัฒนาเอกชนในพื้นที่ สำนักงานเขตการศึกษาที่มีสถานศึกษา ต้นแบบในการจดั การภัยพิบตั ิธรรมชาติที่มบี ริบทใกล้เคียงกัน คณะกรรมการฯ ควรเริ่มสร้างความสัมพันธ์เพ่ือ การประสานงานในอนาคต 2. การดำเนินการตามแผน ในการบริหารจัดการภัยพิบัติธรรมชาติของสถานศึกษานั้น อาจจะจัดทำมาตรการลดความเสี่ยง เปน็ มาตรการระยะสั้น ระยะกลางหรอื ระยะยาวทีส่ ามารถดำเนนิ การไปไดเ้ รื่อยๆตลอดเวลาทั้งเป็นมาตรการท่ี เกี่ยวกับโครงสร้างอาคารสถานที่และไม่เกี่ยวกับโครงสร้าง หลักสำคัญอีกประการหนึ่งคือแผนของสถานศึกษา จะต้องสอดคลอ้ งกับแผนภยั พบิ ัติของชุมชน

29 2.1 มาตรการลดความเสี่ยงภยั พบิ ตั ิในสถานศึกษา ในการบริหารจัดการความเสย่ี งภยั พิบัติ การจัดทำมาตรการลดความเสีย่ งจะชว่ ยบรรเทาความตึง เครียดในการเผชิญเหตุฉุกเฉินลดน้อยลง หรือช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่พึงประสงค์ มาตรการลด ความเสี่ยงภัยพิบัติสามารถผนวกเข้ากับนโยบายสร้างความปลอดภัยใหส้ ถานศึกษา เป็นกิจกรรมทีส่ ามารถทำ ได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี สามารถประยุกต์ใช้หลายแนวทางประกอบกัน ทั้งที่เป็นมาตรการด้านโครงสร้าง อาคาร (Structural Mitigation Measures) และมาตรการที่ไม่ใช่โครงสร้าง (Non-structural Mitigation Measures) และบางมาตรการสามารถให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินเพื่อเป็นการสร้างความ ตระหนักในเร่อื งการจัดการความเสีย่ งภัยพบิ ตั ิ เชน่ - การสร้างอาคารเรียนใหม่ที่มีการออกแบบก่อสร้างเพื่อต้านทานภัยธรรมชาติ และการใช้เทคนิค ทางวิศวกรรมกอ่ สรา้ งเสริมความแข็งแรงและการรบั นำ้ หนักของอาคาร - การปรับปรุงสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายอพยพครูและนักเรียนใน สถานการณ์ฉุกเฉิน - การออกแบบการใช้พื้นที่ เช่นการปลูกไผ่แทนรั้วเพื่อความสวยงามและกันแรงปะทะของลมและ ฝน การออกแบบชอ่ งลมและชอ่ งแสงเพือ่ ให้อากาศถ่ายเทเข้ามาในอาคาร - การยดึ อุปกรณ์ เฟอรน์ ิเจอรก์ ับผนงั ใหแ้ นน่ หนาเพอ่ื ปอ้ งกันการล้มหลน่ ทบั - การเตรยี มความพรอ้ มด้านต่างๆ เชน่ การเตรยี มกักเก็บนำ้ สะอาดใสแ่ ทงก์นำ้ หรือถัง การปิดวาล์ว น้ำเพื่อป้องกันการปนเปื้อน จนกว่าจะได้รับประกาศหรือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การ เก็บรักษาเครื่องใช้ อุปกรณ์การเรียนการสอน ในที่สูงที่น้ำท่วมไม่ถึง หรือการห่อหุ้มของใช้บาง ประเภทท่อี าจเสียหายจากความช้ืนดว้ ยถงุ หรือลงั พลาสติก - การสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักเรียนและบุคลากรถึงสิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติและวิธีการ ป้องกนั ตวั ให้พน้ ภัย 2.2 แผนการแจ้งเตือนภยั และอพยพ ในการวางแผนแจ้งเตือนภัยนั้นจะต้องมีการออกแบบสัญญาณเตือนภัยที่เหมาะสมกับผู้รับ สัญญานการทำความเข้าใจในสัญญาณเตือนภัยและการปฏิบัติตามขั้นตอนที่ได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า การแจ้ง เตือนภัยน้ีอาจจะตามดว้ ยการอพยพหรอื ไมต่ ้องอพยพก็ได้ ขึน้ อยู่กบั ความจำเปน็ และความรุนแรงของภัย การแจ้งเตือนภัยในสถานศึกษา อาจแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ 1) ขั้นการแจ้งเตือนภัยเพื่อการเฝ้า ระวังหรือเตรียมพร้อม สำหรับการอพยพหนีภัยหากมีความจำเป็น 2) ขั้นการแจ้งเพื่ออพยพหนีภัย หรือคำส่ัง อพยพ สำหรับการอพยพหลบภัยของเด็กพิการ ครูและผู้ดูแลจะต้องเข้าใจวิธีเคลื่อนไหวของเด็กพิการ และสามารถเคลื่อนย้ายเด็กพิการโดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย หากจำเป็นต้องมีการใช้ยานพาหนะ ต้องใช้ ยานพาหนะทเ่ี หมาะสม สถานศึกษาทีม่ ีเด็กพกิ ารควรบรรจุแผนการให้ความร้แู ก่เจา้ หน้าท่ีกู้ภัยและคนในชุมชน รู้จักวิธกี ารชว่ ยเหลือเด็กพิการด้วย เช่น สอนวิธกี ารนำทางคนตาบอดที่ถูกวิธีเพ่ือช่วยในการอพยพ สอนภาษา

30 มือเบื้องต้นแก่เจ้าหน้าที่กู้ภัยเพื่อสือ่ สารกับเด็กหูหนวกในการอพยพ ฝึกซ้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยให้มีความรู้ในการ เคลื่อนย้ายเด็กพิการ เป็นต้น 2.2.1 องคป์ ระกอบของแผน แผนเผชิญเหตสุ ว่ นใหญ่ประกอบด้วยวธิ ปี ฏิบัตใิ นการแจ้งเตือนภัยและการอพยพ ประกอบด้วยข้อมลู หลกั ๆ ดงั น้ี - แผนผังสถานศึกษา - ข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม วาตภัย สึนามิ แผ่นดินไหว ฯลฯ ต้องมี การประชมุ นกั เรียนและผปู้ กครองเพอื่ รบั รู้พื้นทเ่ี สี่ยงภัยร่วมกนั - ข้อมลู พื้นท่ปี ลอดภัย จดุ ปลอดภัยทง้ั ภายในและภายนอกสถานศกึ ษาตามบรบิ ทของภยั - เสน้ ทางอพยพและจดุ ปลอดภัย ในแผนควรระบุถนนหรือทางเดนิ เท้าท่สี ามารถไปยังจดุ ปลอดภัย ได้ - สัญญาณเตือนภัย ระบุสัญญาณเตือนภัยตามระดับความรุนแรงของภัย ในกรณีที่มีนักเรียนคน พิการประเภทท่ีแตกต่างกัน ต้องมีการกำหนดรูปแบบและวิธกี ารเตอื นภัยที่เหมาะสมกับประเภท ความพกิ าร - ขั้นตอนและวธิ กี ารอพยพ โดยมกี ารระบุวธิ กี ารการอพยพสำหรบั ครูและนักเรียนที่พิการด้วย - วธิ กี ารรายงานตัว ณ จดุ ปลอดภัย - ข้ันตอนการส่งนักเรยี นให้ผูป้ กครอง ซงี่ จะตอ้ งมีการแจ้งวิธกี ารให้ผู้ปกครองทราบ - รายชื่อคณะทำงานเผชิญเหตุพร้อมบทบาทหน้าที่ที่ตอ้ งรบั ผิดชอบ เช่น คณะกรรมการฝ่ายป้องกัน และเตรียมความพร้อม คณะกรรมการอพยพ คณะกรรมการฝ่ายสุขภาพอนามัย คณะกรรมการ ฝ่ายประสานงาน หรอื คณะกรรมการอน่ื ๆตามทจี่ ำเป็น - รายชอื่ และหมายเลขโทรศพั ท์ของหนว่ ยงานท่ีตดิ ต่อได้ อย่างไรก็ตาม สถานศึกษาควรพิจารณาเพิ่มเติมข้อมูลจำเป็นอื่นๆให้ครบถ้วนลงในแผนและส่งแผน เผชิญเหตุฉุกเฉินนี้ให้สำนักงานพื้นที่เขตการศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อขอความช่วยเหลือหาก เกิดสถานการณ์ฉกุ เฉิน 2.2.2 ระบบเตอื นภยั ท่ีมีเด็กเปน็ ศนู ยก์ ลาง การแจง้ เตือนภัย เปน็ การบอกให้นักเรยี นและบุคลากรรับรู้ได้อยา่ งท่วั ถึงในเวลาที่สั้นท่ีสุด เพ่ือเตรียม ตัวให้พร้อมและหนีภัยได้ทัน การแจ้งเตือนภัยมีหลายระดับขึ้นอยู่กับภัยธรรมชาติที่เผชิญ เช่น การเตือนเพื่อ เฝา้ ระวงั การเตอื นเพอื่ การเตรียมพร้อม และการแจง้ เตือนให้อพยพ แตก่ ระน้นั ก็ตาม ภัยธรรมชาตบิ างอย่างก็ ไม่สามารถเตือนภัยล่วงหน้าได้ เช่น แผ่นดินไหว หลุมยุบ พายุงวงช้าง พายุฤดูร้อน เป็นต้น ในกรณีเป็นพื้นท่ี เสี่ยงอุทกภัยแบบน้ำล้นตลิ่ง น้ำป่าไหลหลาก สถานศึกษาติดตามข่าวสารการพยากรณ์อากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและหน้ามรสุม และนำข้อมูลเตือนภัยดังกล่าวมาใช้ในระบบเตือนภัยเฉพาะทางใน สถานศึกษา

31 การแจง้ เตอื นภยั สามารถทำได้หลายรปู แบบขึน้ อยู่กบั บรบิ ทของภยั และเวลาในการเตรียมตวั เช่น การ ใชไ้ ซเรนมือหมนุ สำหรับภยั ท่เี กิดขึน้ ปัจจุบันทันด่วน เช่น น้ำปา่ ไหลหลาก ดนิ โคลนถลม่ การใช้สเี ป็นสัญลักษณ์ การใช้สัญญาณธง การใช้เสียงสำหรับนักเรียนตาบอด การใช้สื่อทางสายตา เช่น ไฟกระพริบหรือสัญญานส่ัน สำหรับนกั เรียนหหู นวก เป็นต้น ในการช่วยเหลือนักเรยี นที่มีความพิการ ไม่ว่าจะเป็นความพิการทางการไดย้ ิน หรือทางการเห็น หรือ นักเรียนหูหนวกตาบอด (Deafblindness) หรือนักเรียนที่มีปัญหาในการพูดและภาษา การสื่อสารใน สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นการเตรียมความพร้อมด้านการสื่อสารทางเลอื กจึงมคี วามจำเปน็ โดยสามารถเตรยี มการไดด้ ังน้ี 1. เตรียมอุปกรณ์สำหรับการเขียนแนวปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินด้วยรูปแบบที่หลากหลายให้พร้อม เช่น อักษรเบรลล์ เอกสารที่เป็นอักษรขยาย อุปกรณ์ที่สัมผัสแล้วแสดงผลเป็นเสียงและข้อความ และเตรียม เครือ่ งชว่ ยฟงั ให้ พรอ้ มสำหรบั นกั เรยี นพิการทางการไดย้ ิน (หตู งึ ) 2. จัดให้มีอุปกรณ์/เครื่องช่วยที่สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน ครู และบุคลากร ที่ จำเป็นต้องได้รับการชว่ ยเหลือพิเศษ เช่น วัตถุที่ลดความเครียดของเด็ก ล่ามภาษามือ รถวีลแชร์สำรอง (ไม่ใช้ ไฟฟา้ ) 3. จัดให้มีสัญญาณเตือนภัยที่สามารถแจ้งเตือนได้ทั้งนักเรียนที่มีความพิการทางการได้ยิน และ นักเรียนที่มีความพิการทางการเห็น สำหรับนักเรียนที่มีความพิการทางการได้ยินจำเป็นต้องใช้สัญญาณเตือน ภยั แบบสัญญาณไฟวาบ/ไฟกระพริบ (Flashing light alarms) หรอื สญั ญาณเตอื นภัยทม่ี ีระบบพน่ น้ำหรือส่ันท่ี หมอนสำหรับบุคคลที่มีความพิการทางการได้ยินที่กำลังนอนหลับ และระบบแจ้งเตือนภัยผ่านทาง โทรศัพทม์ อื ถือ (Mobile Alert Software) หรือ ระบบ TTRS 4. ใหใ้ ช้คำส่ังทส่ี ้ัน กระชับ และชดั เจน เช่น “ไฟไหม”้ “ไปท่ที างออก” 5. ใช้การสือ่ สารข้อมลู สำคัญผา่ นทางการพูดประกอบกับภาษามือ หรอื ภาษาท่าทาง 6. ใชส้ ัญญาณเสียงหรอื การพดู บอกทศิ ทาง พรอ้ มกบั การนำทางสำหรับนักเรยี นตาบอด และนักเรียน ทีม่ ีสายตาเลือนราง 2.2.3 วิธกี ารปฏบิ ตั ินการอพยพ • เมอ่ื ไดร้ ับคำส่ังใหเ้ ตรียมตัวอพยพ ครตู ้องเตอื นให้ต้งั สติ อย่าตกใจ ให้เดก็ ทุกคนเก็บของมีค่าและ เอกสารสำคญั ไว้กบั ตัว เชน่ บัตรประชาชน กระเปา๋ สตางค์ ยาประจำตวั • หากมีการถอดรองเท้าไว้นอกห้องเรียน ให้เด็กรีบใส่รองเท้าเพื่อเตรียมตัวก่อน ในกรณีที่เป็นเดก็ นกั เรียนตาบอด จำเป็นต้องมีการฝึกวินัยเร่อื งการถอดรองเท้าใหเ้ ปน็ ระเบยี บและฝกึ ใสร่ องเท้าอย่างรวดเร็ว เพอื่ รบั มือกับการอพยพฉุกเฉิน • ครูควรมีเอกสารใบรายชื่อนักเรียนในห้องเพื่อความสะดวกในการสำรวจนักเรียนระหว่างการ อพยพ

32 ครูประจำช้ันต้องจัดระเบียบนกั เรียนเพ่ือการอพยพ อาจจะให้เขา้ แถวเรียงกนั หรอื ใหจ้ บั คู่ดแู ลกัน หรือจับเป็น กล่มุ ใหแ้ ต่ละกลุ่มมีผู้นำและออกจากห้องเรียนไปพร้อมกัน ควรจดั ให้หัวหนา้ หอ้ งและรองหวั หน้าห้องเปน็ ผู้ช่วย ครูในการดแู ลการอพยพ • ครูควรเน้นขั้นตอนการปฏิบัติ บอกเส้นทางอพยพ จุดรวมพล และกติกาในการอพยพ ได้แก่ ไม่ วิ่ง ไม่พูดคุย ไม่ผลักดัน ไม่ยื้อแย่ง และให้ตั้งใจฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด (ควรมีการซ้อมขั้นตอนการอพยพ และสอนกติกานีล้ ว่ งหน้า) • หากมนี ักเรียนพิการในห้องเรียน ใหจ้ ดั ระบบเพอ่ื นชว่ ยเพอ่ื น (Buddy System) คือมอบหมายให้ เพอื่ นเปน็ ผชู้ ่วยเหลือดแู ลนักเรียนพกิ ารในระหว่างการอพยพ • ในกรณีอัคคภี ยั มคี วันไฟเกิดขึ้น ใหค้ รบู อกวิธอี พยพใหช้ ัดเจน คอื ใหเ้ อาผ้าปดิ ปากปดิ จมูก ก้มต่ำ หรือคลานออกไปตามทางเดิน เพราะบริเวณใกล้พืน้ จะเป็นบริเวณทีม่ ีอากาศพอจะหายใจไดใ้ นระยะหนงึ่ • เมอ่ื ไดร้ ับคำส่ังให้อพยพ ใหแ้ นใ่ จว่าเส้นทางอพยพปลอดภัย แลว้ จงึ ให้นักเรียนออกจากห้องเรียน อย่างเป็นระเบยี บ • หลังจากนักเรียนคนสุดท้ายออกไปแล้วให้ครูสำรวจความปลอดภัย ปิดน้ำ หรือปิดไฟฟ้าและ กวาดตาสำรวจหอ้ งอยา่ งรวดเรว็ วา่ มใี ครตกค้างหรือไม่ หรือมีใครบาดเจ็บเป็นลมอยู่ที่พื้น • เม่อื ออกจากห้องแล้ว ให้สังเกตห้องเรียนข้างๆว่าตอ้ งการความชว่ ยเหลอื อะไรบา้ งหรือไม่ • นำนกั เรียนอพยพไปตามเสน้ ทางท่ีตกลงกันไว้ในแผนอพยพไปยังท่ีปลอดภยั • เมื่อหลบหนีจากจุดที่เกิดเหตุไปถึงที่ปลอดภัยแล้ว ให้ตรวจสอบว่ามีนักเรียนสูญหาย หรือได้รับ บาดเจ็บหรือไม่ พร้อมแจ้งยอดและสถานการณ์ไปยังผู้บริหารสถานศึกษาหรือหัวหน้าทีมอพยพ หากมี ผู้บาดเจบ็ ใหส้ ่งไปยงั จุดรกั ษาพยาบาล • หากมีนักเรียนสูญหาย ให้ติดตามตรวจสอบก่อน หากยังไม่พบตัว ให้ประสานทีมงานติดตามผู้ ตกค้างทีอ่ าจพลดั หลงระหว่างการอพยพ • ในกรณีที่สถานศึกษาอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย อาจจะจัดให้มีกระเป๋าฉุกเฉินประจำห้องเรียน เป็น กระเป๋าเป้ใส่ชุดปฐมพยาบาล ยาหม่อง ยาดม ไฟฉาย ถ่านไฟฉาย ถุงพลาสติค เชือก มีด ผ้าขนหนู ลูกอม คู่มือปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน รายชื่อนักเรียน หมายเลขโทรศัพท์ผู้ปกครองและหมายเลขโทรศัพท์ สำคญั เปน็ ตน้ 2.2.4 การจัดกระเป๋าฉุกเฉนิ ประจำห้องเรียน แต่ละชั้นเรยี น ควรมกี ระเปา๋ ฉุกเฉินไว้เพื่อให้ครูประจำช้นั สามารถให้ความชว่ ยเหลือและมีส่วนร่วมใน การบริหารจดั การภัยพบิ ัติในระดับชั้นทีค่ รูรับผิดชอบอยู่ โดยเฉพาะเรื่องที่เกีย่ วข้องกับการนับจำนวนนักเรยี น การดูแลนักเรยี นท่บี าดเจบ็ และการติดต่อผ้ปู กครอง

33 2.3 การซ้อมแผนเตอื นภัยและอพยพ (วิดีโอจาก save the children) การซ้อมแผนเตือนภัยและอพยพมีความจำเป็นอย่างมาก เนื่องจาก เป็นการเตรียมความพร้อม ด้านบุคลากร ทรัพยากร และระบบการปฏิบตั ิการตามบทบาทหน้าท่ี ทไี่ ด้กำหนดไวใ้ นแผนการจดั การสาธารณ ภัยในโรงเรียนเป็นกิจกรรมสร้างความเข้าใจในบทบาทและความรับผิดชอบสำหรับทุกคนในสถานศึกษาเพ่ิม ความร่วมมือระหว่างผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากรด้านการศึกษา นักเรียนแกนนำ และชุมชมเปน็ ช่องทาง ในการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการสาธารณภัยในสถานศึกษาในการจัดซ้อมแผนจะต้องมีการ แต่งตั้งคณะทำงานออกแบบการฝึกซ้อมให้มีหน้าที่ความรับผิดชอบการฝึกซ้อมทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การ ออกแบบพัฒนาการฝกึ ซอ้ ม งานธรุ การและงานสนับสนุน หากการฝกึ ซอ้ มเกีย่ วข้องกับหลายหน่วยงาน หัวหน้า คณะทำงานจะต้องตั้งผูช้ ่วยหรือผูป้ ระสานงานเพื่อช่วยงาน ตัวอย่างการซอ้ มแผ่นดินไหวในโรงเรียน ประเทศ ญปี่ ุ่น 2.3.1 กระบวนการซ้อมแผนอพยพ • การวางแผนการฝึกซ้อม โดยการพจิ ารณาบรบิ ทปจั จบุ นั ของสถานศกึ ษา ได้แก่ - ลกั ษณะของภยั และแผนท่จี ะนำมาฝกึ ซอ้ ม - หนา้ ท/่ี ภารกิจของคณะกรรมการหรือคณะทำงานชดุ ต่างๆทตี่ ้องการฝึกซอ้ ม - บทบาทของบุคลากร เจา้ หนา้ ทแ่ี ละนกั เรยี นท่จี ะร่วมฝึกซอ้ ม - วัตถปุ ระสงค์และศักยภาพของการฝกึ ซ้อม • ประเมินขีดความสามารถของบุคลากร โดยการตรวจสอบตามประเด็นตอ่ ไปน้ี - บคุ ลากรปจั จุบนั มีประสบการณใ์ นการฝกึ ซ้อมหรือไม่ - มีระยะเวลาในการเตรยี มการฝึกซอ้ มเท่าใด - สิ่งอำนวยความสะดวกทางกายภาพใดที่ต้องใช้ในการปฏิบตั ิการฉุกเฉินจริงและมีพร้อม สำหรบั การฝกึ ซ้อมหรอื ไม่ - ส่ิงอำนวยความสะดวกดา้ นการสอื่ สารและระบบใดท่ตี อ้ งใช้และมีสำหรบั การฝึกซ้อม • ประเมินความต้องการหรือความจำเป็นในการฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อเตรียมสำหรับการซ้อม แผน เช่น ครู บุคลากรและนักเรียนมีเวลาในการทำความเข้าใจกับแผนและฝึกฝนทักษะที่ จำเปน็ เทา่ ใด บคุ ลากรที่ทำหน้าทจี่ ัดซอ้ มแผนจำเปน็ ต้องเรยี นรเู้ พิม่ เติมมากน้อยเพยี งใด • กำหนดขอบเขตการฝึกซ้อม หมายถึงการกำหนดขอบเขต เช่น เป็นการฝึกซ้อมแผนเฉพาะ ภายในสถานศึกษา หรือฝึกซ้อมร่วมกับหน่วยงานอื่น หรือฝึกซ้อมร่วมกับชุมชน กำหนด ขอบเขตการฝกึ ซ้อมเชงิ ภารกจิ หนา้ ท่ี (Function) เปน็ ตน้ • กำหนดรูปแบบการฝึกซ้อม ในการซ้อมแผนแบบปฏิบัติการจริง สถานศึกษาสามารถทำได้ 2 รปู แบบคอื - การซ้อมแบบแจ้งให้ทราบล่วงหน้า มีการกำหนดวัน เวลา ในการซ้อม วัตถุประสงค์ของการซ้อม แบบนี้คือ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้อ่านและทำความเข้าใจกับขั้นตอนการปฏิบัติ ทดสอบทักษะ

34 และความสามารถในการตอบสนองเหตุการณ์ รวมถึงทดสอบปฏิกริยาตอบสนองกบั สถานการณ์ท่ี ไม่คาดคิด (เช่น จดั ใหม้ อี ุปสรรคกีดขวางเสน้ ทางหนภี ัย) - การซ้อมแบบไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เป็นการทดสอบปฏิกริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ในทันที การซ้อมแบบนี้สามารถทำได้หากครู นักเรียน บุคลากรทุกคนมีความเข้าใจในขั้นตอนปฏิบัติและ มีพัฒนาการด้านทักษะในการเผชิญเหตุแล้วในระดับหนึ่ง การซ้อมแบบนี้จะช่วยทดสอบระบบ เตือนภัย ว่าครอบคลุมทุกพื้นที่และทุกคนหรือไม่ ช่วยระบุช่องว่างในการประสานงาน และช่วย ให้ประเมินระยะเวลาที่ใช้ในการอพยพได้ใกล้เคยี งกับความเป็นจริง ช่วยให้เห็นประสทิ ธิภาพของ การเคลื่อนย้ายอพยพ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การซ้อมเช่นนี้มีข้อควรระวังบางประการ เช่น เรื่อง ของอบุ ัติเหตุ หรอื อาจจะมนี ักเรียนท่เี ป็นเดก็ เล็กไม่สามารถแยกแยะสถานการณแ์ ละต่ืนตระหนก จงึ ตอ้ งมแี ผนบริหารจดั การส่ิงไม่คาดคิดท่อี าจจะเกิดข้ึนดว้ ย • การออกแบบการฝึกซ้อม โดยคณะทำงานจะต้องดำเนนิ การตอ่ ไปนี้ - กำหนดวัตถุประสงค์ของการฝกึ ซอ้ ม - จัดทำสถานการณ์สมมติที่สมจริงและต่อเนื่อง โดยพัฒนาลำดับเหตุการณ์และความเชื่อมโยงของ สถานการณ์สมมติ และอาจจะมีการผูกปมปัญหาไวใ้ ห้มีการแกป้ ัญหา - จัดทำและแจกจา่ ยเอกสาร วัสดุอุปกรณ์ที่จำเปน็ ก่อนการฝกึ ซ้อม - จัดการฝึกอบรมทักษะทจี่ ำเปน็ ใหแ้ ก่ครู บคุ ลากรและนักเรยี นก่อนการฝกึ ซอ้ ม - ซกั ซ้อมบทบาทหนา้ ท่ขี องคณะทำงานทจ่ี ดั การฝึกซอ้ ม - ใหค้ รูประจำชั้นอธิบายแผนและข้ันตอนการฝึกซ้อมใหน้ ักเรยี นทุกคนเข้าใจ ออกแบบการมีสว่ นร่วมของผูป้ กครองและชมุ ชนหรือบุคคลอ่นื เชน่ ให้เป็นผู้สงั เกตการณ์ ผู้ประเมนิ หรือผู้ร่วม ปฎิบตั กิ าร 2.3.2 การประเมินผลการซ้อม หลังจากซ้อมแผนแล้ว ควรมีการสรุปผลและประเมินการฝึกซ้อม เช่น ประเมินว่าการซ้อม นั้นบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด นักเรียนมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์หรือไม่ มีประเด็นใดบ้างที่ต้อง นำมาใช้ใน การปรับปรุงแผน และ/หรือระบบการบริหารจัดการฉุกเฉินที่มีอยู่ ควรมีการฝึกอบรมบุคลากร เพิ่มเติม หรือควรมีการเปลี่ยนแปลงบุคลากรและอุปกรณ์การทำงานหรือไม่ เป็นต้น การประเมินผลการ ฝึกซ้อมจะช่วยกำหนดจดุ ออ่ น จุดแข็ง เพือ่ สร้างประสิทธภิ าพในการฝึกซ้อมครั้งตอ่ ไป 2.4 การใช้สถานศกึ ษาเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรบั ผูป้ ระสบภยั เมื่อเกิดภัยพิบัติ มักมีการกำหนดให้ใช้สถานศึกษาเป็นจุดปลอดภัยหรือศูนย์อพยพ เพราะส่วนใหญ่ สถานศกึ ษาเป็นอาคารทแ่ี ขง็ แรงท่สี ุดในชมุ ชน มีขนาดใหญ่กวา่ ส่งิ ก่อสร้างอืน่ ๆ และเป็นสถานที่ท่ีคนในชุมชน คุ้นเคย โดยไม่คำนึงว่าสถานศึกษานั้นอาจตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงจากภัยพิบัติหรือมีโครงสร้างที่ปลอดภัยในการ รองรับผู้คนจำนวนมากหรือไม่ เพราะแต่ละพนื้ ท่ยี ่อมมีความเสย่ี งต่อภัยที่แตกต่างกนั สถานศกึ ษาท่ีอยู่บนพื้นที่ สูงอาจปลอดภัยจากภัยน้ำท่วมและคลื่นสึนามิ แต่อาจมีความเสี่ยงมากจากภัยแผ่นดินไหว น้ำป่าไหลหลาก

35 หรือดินโคลนถล่ม ดังนั้น จึงต้องทำการประเมินความเสี่ยงสำหรับสถานศึกษา เพื่อให้มีความเข้าใจถึงความ เสย่ี งในพื้นทเ่ี ปน็ อย่างดีก่อนการตดั สินใจสรา้ งสถานศึกษาและใช้เป็นศูนย์อพยพ อยา่ งไรก็ตาม หากเป็นไปได้ ควรหลีกเลีย่ งการกำหนดใหใ้ ช้โรงเรียนเปน็ ศูนย์พักพิงช่ัวคราวแต่จัดทำแผนจัดการความเสย่ี งภัยพิบัติในชุมชน และโรงเรยี นแทน หากจำเป็นต้องใช้สถานศึกษาเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว ควรออกการใช้พื้นที่แบบตามมาตรฐานสากล จัดหาวสั ดุอุปกรณ์ทีจ่ ำเป็นให้เหมาะสมกับการเปน็ ศูนย์พักพิงโดยไม่เบียดบังงบประมาณสำหรับการศึกษาเด็ก และตอ้ งวางแผนการใช้พ้ืนทสี่ ำหรับการเรียนการสอนไปพร้อมกัน สถานศกึ ษาทมี่ ีอาคารสถานท่ีพร้อมสำหรับ การปรับเปน็ ศนู ยพ์ กั พิงชั่วคราวควรปรับปรุงอาคารสถานทีต่ ามมาตรฐานการออกแบบเพื่อมวลชน (Universal design) เพื่อเอื้อให้คนพิการ คนชรา ใช้ประโยชน์จากสถานที่ได้โดยปลอดภัย ควรมีอุปกรณ์ช่วยเหลือคน พกิ ารไว้สำรอง เชน่ อุปกรณ์ช่วยการเคล่ือนไหว รถเขน็ นงั่ แวน่ ตา แวน่ ขยาย และจดั ทำปา้ ยบอกทางให้เข้าถึง สำหรับเด็กพกิ ารทุกประเภท ข้อควรพิจารณาเบือ้ งตน้ ในการใชส้ ถานศึกษาเป็นศนู ยพ์ กั พงิ ช่ัวคราว • อาคารสถานทป่ี ลอดภยั สำหรบั ประชาชนในชมุ ชน • การคมนาคมสะดวก • มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้าและนำ้ ประปา • มขี นาดพ้ืนท่ีท่เี หมาะสมกบั จำนวนประชากรท่ีจะต้องอพยพมาพักพงิ • มีแหลง่ ทรัพยากรสำหรบั การยงั ชีพเบอื้ งตน้ ในช่วงระยะเวลาหน่ึง • มสี ภาพแวดล้อมทเ่ี อือ้ ตอ่ สุขภาพอนามัยท้ังทางร่างกายและจติ ใจ การบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวจึงจำเป็นต้องมีการตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบและประสานงาน ประกอบดว้ ยผู้จัดการศนู ย์ฯ และคณะกรรมการฝา่ ยต่างๆ มีหน้าทตี่ ดั สินใจดำเนินการ ประสานงาน บุคลากร ในสถานศึกษาร่วมกับอาสาสมัครประชาชนหรือผู้ประสบภัยควรมีส่วนร่วมในการเป็นกรรมการดูแลสถานที่ และผู้ประสบภัย ในการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราวและคณะทำงานฝ่ายต่างๆ ไม่ จำเป็นต้องเป็นบุคลากรในสถานศึกษาทั้งหมด ควรใช้หลักการมีส่วนร่วม เช่น เชิญผู้ปกครอง คณะกรรมการ ชุมชน ศิษย์เก่า อาสาสมัครในชมุ ชน ผู้ประสบภัย และเด็กเข้ามามีบทบาทหน้าท่ีความรับผิดชอบเพือ่ ให้มกี าร ดูแล และเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสถานการณ์ภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารสถานศึกษาหรือบุคลากรท าง การศกึ ษาจะต้องมีบทบาทในฐานะเจ้าของพืน้ ท่ีและเป็นผกู้ ำหนดการใช้พน้ื ท่ีใหแ้ กผ่ ู้ประสบภยั สำหรับจำนวน คณะทำงานหรือผู้รับผิดชอบควรมีอัตราส่วนตามความจำเป็น ยกตัวอย่าง เช่น หากมีกลุ่มเปราะบางเป็น จำนวนมากก็จำเป็นต้องมีคนดูแลเพิ่มขึ้น หากมีหญิงตั้งครรภ์และเด็กอ่อนเป็นจำนวนมากก็ต้องเพิ่มจำนวน คณะกรรมการฝา่ ยพยาบาลและสาธารณสุข เปน็ ต้น นอกจากนี้ ยังตอ้ งมีการอบรมให้ความรู้คณะกรรมการใน เรื่องสำคญั ต่างๆ เช่น การคุ้มครองเดก็ คนพิการ คนชรา วธิ ีการชว่ ยเหลอื ยก เคลือ่ นยา้ ยคนพิการ กฎระเบยี บ การต่างๆ

36 การจัดพน้ื ทใี่ ชส้ อยในศูนย์พกั พงิ ชั่วคราว ความต้องการพื้นที่ใช้สอยของแต่ละศูนย์พักพิงแตกต่างกันตามลักษณะของสังคมและระยะเวลาที่พักพิง อยู่ในศูนย์นั้นๆ การจัดพื้นที่ควรคำนึงถึงการใช้งาน หลักการคุ้มครองเด็ก หลักการมีส่วนร่วม และความเป็น สว่ นตวั หากพจิ ารณาจากมาตรฐานขน้ั ตำ่ กลา่ วคอื อย่างน้อยทสี่ ดุ ศนู ย์พกั พิงต้องมีพ้ืนที่ตอ่ ไปนี้ • พื้นที่สำหรับการทำงานคณะกรรมการศูนย์ฯซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องจัดให้เป็นสัดส่วน มีอุปกรณ์การ ทำงานและตอ้ งมรี ะบบความปลอดภยั เพอ่ื เกบ็ รกั ษาข้อมลู โดยเฉพาะข้อมลู เกย่ี วกับเดก็ • พื้นที่ส่วนตัวเพื่อการนอนพักผ่อน และในกรณีที่ผูป้ ระสบภัยไม่ได้มาเป็นครอบครวั ควรแยกพื้นที่ ส่วนตัวระหว่างชายและหญิง หากมีแนวโน้มว่าจะต้องใชศ้ ูนย์พักพงิ เกินกวา่ 3 วัน ต้องพิจารณา พ้ืนทสี่ ำหรับซกั ล้าง ตากผา้ หงุ หาอาหาร ท้ิงสิง่ ปฏกิ ูลของเสยี ดว้ ย • พื้นที่สำหรับปฐมพยาบาลจะต้องมีการกั้นห้องหรือมีฉากกั้น มีการแยกพื้นที่นอนพักระหว่างเด็ก และผใู้ หญ่ ผชู้ ายและผหู้ ญงิ • พื้นที่ที่เป็นสัดส่วนสำหรับการดูแลผู้ประสบภัยที่มีความต้องการเป็นพิเศษ เช่น คนชราหรือคน พิการติดเตียง หญิงพิการที่ต้องการความช่วยเหลือในการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและการดูแล สขุ อนามยั พืน้ ท่ีสำหรับแมใ่ ห้นมบตุ ร พน้ื ท่ดี ูแลเด็กอ่อน เปน็ ตน้ การปดิ ศนู ยพ์ ักพงิ ชัว่ คราว สถานศึกษาควรใช้เป็นศูนย์พักพงิ ชั่วคราวในเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพื่อให้สามารถกลับไปทำหน้าที่ในการให้ การศึกษาโดยเร็วที่สุด การปิดการดำเนินการของศูนย์พักพิงชั่วคราว จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของกลุ่ม เปราะบาง การคุ้มครองเด็ก และการดูแลคนพิการด้วย ในการปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว คณะกรรมการรี ควร ดำเนนิ การดงั ต่อไปน้ี • บันทึกข้อมลู ของผปู้ ระสบภัยวา่ จะเดินทางต่อไปไหน หรือสง่ กลับบ้านอย่างไร หากเป็นเด็กต้องมี การบนั ทกึ ชอื่ ที่อยู่ หมายเลขตดิ ต่อของผปู้ กครองท่พี าเด็กไปดว้ ย • ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเพื่อจัดหาพาหนะสำหรบั สง่ ผปู้ ระสบภัยกลบั บ้าน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง หญิงมคี รรภ์ คนพิการ คนชรา • ระดมอาสาสมคั รจากชุมชนและนกั เรยี นในการทำความสะอาด • ทำการสำรวจอาคารสถานที่และวัสดุอุปกรณ์เพื่อตรวจสอบว่ายังอยู่ในสภาพดีหรือครบถ้วน หรอื ไม่ • จัดทำรายการอาคารสถานที่และวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องซ่อมแซมหรือจัดหาใหม่เพื่อเตรียมพร้อม สำหรบั การเปิดเรยี น • จัดทำงบประมาณในการซ่อมแซมอาคาร ในบางกรณีอาจจะขอบรจิ าคอุปกรณ์การเรยี นการสอน • รายการตรวจสอบอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการปรับสถานศึกษาให้เป็น ศนู ยพ์ ักพิงชั่วคราวสำหรับผู้ประสบภัย

37 2.5 การจัดการเรยี นการสอนใหต้ ่อเนื่องในสถานการณ์ภัยพิบตั ิ เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาในสถานที่ที่ปลอดภัย มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ี เหมาะสมกับเด็ก เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กให้กลับสู่ภาวะปกติ และจัดให้มีระบบการศึกษาที่ต่อเนื่อง สำหรับเด็กให้เร็วที่สุดการช่วยเหลือให้เด็กสามารถกลบั มาใช้ชีวติ ให้เหมือนเดมิ ใหเ้ ร็วที่สุด จะช่วยรักษาภาวะ ความเครียดของเดก็ ไดด้ ที ี่สุด สามารถทำได้ ดังนี้ • จดั ใหม้ สี ถานทที่ ่ีปลอดภัยสำหรับการเรยี นรู้และการเลน่ ของเด็ก เพ่อื ให้ใช้ชีวติ คลา้ ยกบั ชีวิตปกติ • จัดกิจกรรมการเรยี นรู้ การอ่านเขยี นตามวัย • จัดการเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขอนามัย ภัยที่เกิดขึ้น ความเสี่ยง การป้องกันและการดูแลตัวเองให้ ปลอดภยั • จัดกิจกรรมการเล่นสนุกสนานให้เด็ก นอกเหนือจากเวลาเรียน เพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็ก ทั้งกีฬา ดนตรี ศิลปะ ของเล่น หุ่นมือ และการเล่นรูปแบบอื่นๆ สามารถใช้ศิลปะกับเด็กเล็ก เพื่อให้เขาแสดง ความรูส้ ึกต่างๆออกมาได้ และปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สถานการณ์ท่เี กิดขน้ึ ในช่วงเกิดเหตุภัยพิบัติจนทำให้การเรียนการสอนหยุดชะงัก ผู้บริหารสถานศึกษาและครูจะต้องวางแผน ทางเลือกในการจัดการเรียนการสอน เช่น การเปลี่ยนเวลาเรียน เปลี่ยนวิธีการเรียน หรือเปลี่ยนสถานที่เรียน เพอ่ื ให้เด็กสามารถเรียนไดท้ นั ตามที่หลักสูตรกำหนด อาจทำได้ ดังน้ี • จดั การเรียนการสอนในวันหยุดราชการชดเชย • ใช้วิธีการเรียนการสอนอื่นแทนการเข้าชั้นเรียน เช่น การเรียนที่บ้าน (home-schooling) การเรียน ด้วยตนเอง และทำการบ้านทดแทน เพื่อนสอนเพื่อน หรือกลุ่มการเรียนการสอนที่จัดร่วมกันโดย ผ้ปู กครอง ครแู ละชมุ ชน เรง่ ระยะเวลาการเรยี น การเรยี นผ่านสอ่ื วทิ ยุ ส่อื อินเทอรเ์ น็ต หรอื สื่ออนื่ ๆ วธิ ีการเหลา่ นีต้ อ้ งมีการติดตามวจิ ัยและประเมินผลอย่างระมัดระวัง เพื่อดวู า่ เกิดผลกระทบต่อนักเรียน อย่างไร 2.6 การคุ้มครองเด็กในสถานการณภ์ ยั พบิ ตั ิ เด็กทั้งชายและหญิงจำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองเมื่อเกิดภัยพิบัติหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากภาวะฉุกเฉินทำให้มีคนจำนวนมากมาอยู่รวมกัน เกิดความตึงเครียด สับสน ประกอบกับระบบความ ปลอดภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราวอาจมีความหละหลวมและทำให้อาจจะเกิดความรุนแรงได้ เช่น การทำร้าย ร่างกาย การบาดเจ็บเนื่องจากต้องแย่งทรัพยากรที่จำกัด การละเมิดทางเพศ การลักพาตัว เป็นต้น กลไก คมุ้ ครองเด็กท่ีสำคัญ คอื ครอบครัวและชมุ ชน โดยอาจดำเนินมาตรการ ดงั นี้ • ค้นหาเด็กที่มีความเสีย่ งสูง ได้แก่ เด็กที่มีความเครียดสูง เด็กที่มีการสูญเสียผู้ปกครอง เด็กพิการออทิ สติค หรอื เด็กท่ีตอ้ งการความชว่ ยเหลอื เพ่ือฟ้นื ฟจู ิตใจ • วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเด็กกับครอบครัว ช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาของผู้ปกครองเพื่อลดความ เส่ยี งต่อการเลย้ี งดทู ่ไี มเ่ หมาะสม เม่อื ผู้ปกครองประสบปัญหาในการใชช้ ีวติ

38 • สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในการจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราว ทั้งการวิเคราะห์ปัญหาและ การแสดงความเหน็ ในการแก้ไขปญั หา เพื่อสร้างความรู้สึกท่ดี ีต่อการแก้ไขปัญหา ไมท่ ้อถอยต่อปัญหา ทเ่ี กดิ ขนึ้ รวมทงั้ ความภูมิใจในบทบาทของตน • ครูที่ทำงานกับเด็กที่ประสบภัย ควรได้รับการสนับสนุนและอบรมให้เข้าใจและสามารถตอบสนองต่อ ประสบการณ์ การสูญเสีย และความรู้สึกต่างๆของเด็กและของตนเองได้ ครูควรทราบวิธีที่จะให้การ สนบั สนุนดา้ นจติ ใจใหแ้ กเ่ ด็ก และสอนให้ครอบครวั ทำด้วย 2.7 การปฐมพยาบาล การปฐมพยาบาล หมายถึง การให้ความช่วยเหลือขั้นต้นทีก่ ระทำในทันทีทนั ใดในสถานที่เกดิ เหตุ โดยใช้เครื่องมือเท่าที่หาได้เพื่อลดอันตรายและป้องกันความพิการของผู้บาดเจ็บก่ อนจะส่งต่อไปยัง สถานพยาบาลเพอ่ื รบั การรักษาต่อไป ชุดปฐมพยาบาล (first aid kit) คืออุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับช่วยเหลอื ผู้บาดเจ็บ ควรเก็บไว้ในกล่อง พลาสตกิ ทม่ี ฝี าปดิ หรอื อปุ กรณ์ที่กนั น้ำ ตดิ หมายเลขโทรศพั ท์ฉุกเฉนิ ของหน่วยงานต่าง ๆ ไว้ ตัวอยา่ ง ชดุ ปฐมพยาบาลเบอื้ งตน้ ชุดปฐมพยาบาล(First aid kit) ควรประกอบดว้ ย ชดุ อุปกรณ์ทำแผล และยารกั ษาโรคเบอ้ื งต้น เชน่ - ถงุ มอื - สำหรับผู้ช่วยเหลือ เพอ่ื ป้องกนั มิใหผ้ ชู้ ่วยเหลือสัมผสั ถกู เลอื ด อาเจยี น สารคดั หล่งั ต่างๆ - ยาล้างแผล เชน่ แอลกอฮอล์ ยาฆ่าเช้ือ - ผา้ ทำแผล (ผา้ ก๊อซ) ขนาดตา่ งๆ โดยหากแผลมีเลอื ดออกมากให้ปดิ ทับหลายๆแผ่นเพอื่ ห้ามเลือด - พลาสเตอร์เทปปิดแผลขนาดตา่ งๆ ใช้สำหรบั ปิดแผลหลังจากลา้ งทำความสะอาดแล้ว - กรรไกร ใช้ตัดผ้าก็อซหรอื ตดั ผา้ หรือขากางเกงเชน่ เกิดอบุ ัตเิ หตุบนท้องถนน - เทปตดิ แผล - ผา้ ปดิ ตา ใช้สำหรบั การบาดเจบ็ ทน่ี ัยน์ตา เช่น กระจกตาถูกบาด ฝนุ่ ละอองเข้าตา เป็นตน้ - เข็มกลดั ใชต้ ิดผ้าสามเหลยี่ ม ผ้าคล้องคอ ผา้ ยดื - สำลี ไมพ้ นั สำลี ใชส้ ำหรบั ทายาลา้ งแผลรอบๆ แผล - ผา้ ยืด(อีลาสติกแบนเอด) ใชส้ ำหรบั พันเม่อื เกดิ การบาดเจ็บกล้ามเนื้อ ขอ้ เพ่ือลดการบวม ลดการ เคลื่อนไหว หรือใช้พันยึดกับอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อดามกระดูก ผ้ายืดยังสามารถนำมาพันทับผ้าก๊อซ หรือ พลาสเตอร์ติดแผลเพื่อห้ามเลือด แต่ห้ามพันแน่นจนเกินไปเพราะทำให้อวัยวะส่วนปลาย เกิดการบวมและขาดเลอื ดมาเลี้ยงได้ - ผา้ สามเหลี่ยมคล้องแขน ปัจจบุ ันใชผ้ า้ คลอ้ งแขนแทนเพราะสะดวกและงา่ ยต่อการใชง้ าน - ถุงพลาสตกิ 1 ใบ สำหรบั ใส่เศษขยะ เชน่ ผา้ เปื้อนเลือด เปน็ ตน้ - ยาฉุกเฉินสำหรับรับประทาน โดยกล่องบรรจุยานี้ต้องปิดมิดชิดและมีข้อความระบุข้างกล่อง ชัดเจนว่า เป็นยาสำหรับรับประทาน ควรมียาเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น อาทิ ยาลดไข้แก้ปวด ผง

39 เกลือแร่สำหรับการบาดเจ็บที่มีการเสียเลือดมาก หรือบาดแผลพุพองจากความร้อนที่มีบริเวณ กวา้ ง หรอื ผทู้ มี่ อี าการอาเจยี นและท้องเสยี วิธีช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นในกรณีต่างๆ ผู้ที่รับผิดชอบฝ่ายนี้ ควรเป็นบุคลากรที่มีความ เช่ยี วชาญ และไดร้ บั การฝึกอบรมให้สามารถรบั มือกับสถานการณ์การบาดเจบ็ ต่อไปน้ีได้ - การเข้าเฝือกชว่ั คราว - การหา้ มเลือด - การนวดหวั ใจ - การจมนำ้ 2.8 การประเมินผลตามแผนบริหารจดั การภยั พบิ ตั ิ ทุก ๆ ปี สถานศึกษาควรทบทวนและปรับปรุงแผนบริหารจัดการภัยพิบัติในสถานศึกษา และ ติดตามความก้าวหนา้ ในการดำเนนิ งานในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี - ทบทวนและประเมินสถานการณค์ วามเสย่ี งของสถานศึกษา - ปรับปรุงแผนทีค่ วามเสยี่ งและภยั หากจำเป็น - ทบทวนมาตรการลดความเสี่ยงและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคที่ไม่ สามารถดำเนนิ การตามมาตรการได้ - ทบทวนแผนเตือนภัยและอพยพ ตรวจสอบสถานที่ปลอดภัย ตรวจสอบป้ายบอกเส้นทางหนีภัย ปา้ ยจุดรวมพล ไฟฉุกเฉนิ เสน้ ทางหนภี ยั ประตูหนภี ยั เป็นต้น - ตรวจสอบปรบั ปรุงหมายเลขโทรศพั ท์ฉุกเฉินและผู้ประสานงานหน่วยงานภายนอกใหเ้ ป็นปจั จบุ ัน - ตรวจสอบอุปกรณ์เตือนภัย อุปกรณ์กู้ภัย ช่วยชีวิตและชุดปฐมพยาบาล (เช่น วิทยุสื่อสาร เครื่อง ขยายเสียง ไฟฉาย แบตเตอร่ี เชอื ก เสื้อชูชีพ เรือ ชดุ ปฐมพยาบาล ตลอดจนอุปกรณด์ ับเพลงิ ) - ทบทวนและประเมนิ ผลการจดั ซ้อมหนภี ัยและปรับปรุงข้ันตอนการปฏิบตั ิท่จี ำเปน็ - ทบทวนว่าแผนการจดั การศึกษาต่อเน่ือง (Education Continuity Plan) ตรวจสอบสถานท่ีเลือก เป็นห้องเรียนชั่วคราวยงั เป็นสถานที่ปลอดภยั อยู่หรือไม่สำรวจความเสียหาย จัดทำเรื่องขอความ ช่วยเหลือและงบประมาณเพือ่ รายงานไปยังตน้ สงั กดั 2.9 มาตรฐานการปฏบิ ตั เิ มอื่ เกิดภัย ➢อทุ กภยั (Flood/Flash flood) ลักษณะภยั มีสายน้ำไหลมาอย่างรวดเร็วรุนแรง มีน้ำท่วมฉับพลัน อาจมีดินโคลนและท่อนซุง ไหลมาพร้อมกับสายนำ้ ขอ้ ควรจำ น้ำมาให้ขึ้นทีส่ ูง ตัดไฟฟ้าเพือ่ ป้องกนั ไฟฟา้ ดูด ➢ วาตภัย ลกั ษณะภยั ลมแรง ฝนตกหนัก น้ำทว่ มฉบั พลัน มคี ลน่ื สูง และน้ำท่วมชายฝ่งั ข้อควรจำ เมอ่ื มกี ารแจ้งเฝา้ ระวัง หมายถึงพายุจะมาถึง ภายใน 36 ชวั่ โมง

40 เมอ่ื มกี ารแจง้ เตือนภัย หมายถึง พายจุ ะมาถึง ภายใน 24 ชว่ั โมง เมอ่ื เกดิ พายุ จะมีฝนตกหนกั และอาจเกิดนำ้ ท่วมฉบั พลนั เมื่อเกิดพายุแล้วแต่มีลมสงบฉับพลัน หมายถึงเราอยู่ในศูนย์กลางของพายุและจะมี พายตุ ามมาอีกครงั้ ➢ แผ่นดนิ ไหว ลักษณะภัย แผ่นดนิ เกิดการสน่ั สะเทือนอย่างรนุ แรง โดยไมม่ ีส่ิงบอกเหตลุ ว่ งหนา้ ขอ้ ควรจำ เมื่อเกิดแผน่ ดินไหวอยา่ งรุนแรง มกั มีแผ่นดนิ ไหว ตามมาอีกหลายคร้งั อาจเกดิ แผน่ ดินแยก แผน่ ดนิ ถล่ม และอาคารอาจไม่พงั ทลายในทันทีแต่อาจะพังทลาย ภายหลัง ➢ สนึ ามิ ลกั ษณะภยั กลุม่ ของคลืน่ ขนาดใหญ่ทส่ี ร้างความเสยี หายรนุ แรงตอ่ พน้ื ท่ี บริเวณชายฝั่ง และ อาจเกิด ขึน้ ได้โดยไม่มีสง่ิ บอกเหตุล่วงหนา้ ขอ้ ควรจำ คลื่นสึนามิจะไม่เกิดเพียงระลอกเดียว เกิดขึ้นได้หลายระลอก และคลื่นลูกหลังอาจ ใหญ่กว่าคลื่นลูกแรกเมื่อน้ำทะเลลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติให้คาดว่า อาจเกิดสึนามิสึนามิมักเกิดหลังแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเล และหากอยู่บริเวณ ชายฝั่งจะเป็นอนั ตราย ➢ ดินถลม่ ลกั ษณะภัย หิน ดิน ทราย โคลน ซงึ่ อยบู่ นทีล่ าดชนั สงู เล่ือนไถลมายงั ทีต่ ่ำ ขอ้ ควรจำ เมื่อเกดิ ฝนตกหนกั หรือเกดิ แผน่ ดินไหว มักเกิดดินถล่มตามมา ➢ ภัยแลง้ ลกั ษณะภัย สภาวะความแหง้ แลง้ ผดิ ปกติของอากาศเป็นเหตใุ ห้ความชนื้ ในอากาศ และในดนิ นอ้ ยลง ขอ้ ควรจำ ภยั แล้งมีผลต่อปริมาณนำ้ เพือ่ อุปโภค บรโิ ภค และการเกษตรขาดแคลน ภยั แล้งมี โอกาสเกิดไฟป่า

41 บทท่ี 4 การจัดเรยี นการสอน วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการลดความเสี่ยงภัยพิบัติและการปรับตัวเข้า กบั สภาพอากาศเปล่ยี นแปลง 2. เพอื่ ใหค้ รผู สู้ อนและครผู ูช้ ว่ ยสามารถจดั กจิ กรรมเสริมหลักสูตรและพฒั นานักเรียน 3. เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจกระบวนการพัฒนาส่อื การเรยี นการสอนและสอื่ รณรงค์ หัวข้อการเรยี นรู้ 1. หลักการจัดการเรียนรเู้ รือ่ งการลดความเสย่ี งภยั พิบตั ิ หลกั การจัดการเรียนรูเ้ รื่องการลดความเส่ยี งภยั พบิ ตั ติ อ้ งมีองค์ประกอบ 5 มติ ิ ไดแ้ ก่ 1. ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์และกลไกการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งการศึกษาจากตำรา วิชาการและการศึกษาจากสภาพแวดล้อมจรงิ นอกห้องเรียน 2. การเรยี นรูแ้ ละฝกึ ฝนทักษะและขั้นตอนการปฏิบัตเิ พ่ือความปลอดภัยในบรบิ ทของภยั ตา่ งๆ 3. ความเข้าใจปัจจยั ผลักดนั ทีท่ ำใหเ้ กดิ ความเสี่ยงและกลไกที่ทำใหภ้ ัยธรรมชาตกิ ลายเปน็ ภยั พบิ ัติ 4. สรา้ งศกั ยภาพในการลดความเสยี่ ง ไมว่ ่าจะเป็นสถานศกึ ษา ชมุ ชน และกลมุ่ สงั คมตา่ งๆ 5. สร้างวัฒนธรรมแห่งความปลอดภัย (culture of safety) และการรู้รับปรับตัว (resilience) ใน สถานศึกษา 2. การจัดการเรียนการสอนเรื่องจดั การภัยพบิ ตั ใิ นหลักสตู รแกนกลางฯ เพื่อให้สถานศึกษามีการจัดการเรียนการสอนเรื่องการลดความเสี่ยงภัยพิบัติและการปรับตัวได้อย่าง เหมาะสม ทั้งในและนอกหลักสูตร จึงไดม้ กี ารบรรจุเนื้อหาเร่ืองการจัดการภัยพิบตั ิไว้ในหลกั สูตรแกนกลางขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งได้มีการปรับเนื้อหาตลอดจนบริบทให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการ ของชุมชนและภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น โดยจัดเป็นรายวิชาพื้นฐาน มีการสอดแทรกเนื้อหาด้านการลดความเส่ียงภยั พิบัติและการรับมอื กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศไว้ในกลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ สุขศึกษาและ พลศึกษา สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และสามารถบูรณาการข้ามกลุ่มสาระ และจัดเป็นรายวิชา เพมิ่ เตมิ โดยมีวตั ถุประสงคแ์ ละขอบเขต 2.1 ระดบั ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 1 – 3 วัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้ ได้แก่ 1. ให้นักเรยี นมคี วามรู้ และความเข้าใจถงึ อนั ตรายของภัยพิบตั ิและการรักษาชวี ติ ของตนเอง 2. ให้นกั เรียนเรยี นรูว้ ิธีการแจง้ เหตุใหค้ รูหรอื ผู้ปกครองทราบ 3. ใหน้ ักเรยี นรูจ้ กั การสังเกตการเปลยี่ นแปลงของสภาพอากาศ

42 4. ให้นักเรียนมีส่วนรว่ มในการปรบั สภาพแวดล้อมในท้องถ่ิน 2.2 ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 วตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ 1. ให้นักเรียนเรียนมีการปฏิบตั ิตนได้อย่างเหมาะสม สามารถป้องกันตนเอง ดูแลตนเองและผู้อื่นให้ ปลอดภัยไดเ้ ม่ือเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉนิ 2. ใหน้ กั เรยี นมสี ว่ นรว่ มรณรงคใ์ นการใช้ทรพั ยากรเพื่อพิทักษส์ ิง่ แวดล้อม 3. ใหน้ กั เรยี นศึกษาสาเหตุการเกดิ ภยั ธรรมชาติและร้จู ักการเตรยี มพร้อม 2.3 ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1-3 ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนตน้ ต้องเพิ่มรายละเอียดเนื้อหามากยิง่ ข้ึน และรูปแบบการเรยี นการสอน ต้องมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในระดับนี้ควรมีเป้าหมายที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการปฏิบัติตนในการช่วยเหลือ สงั คม เชน่ กจิ กรรมอาสาสมัคร กิจกรรมพีส่ อนน้อง การสร้างแบบจำลองภัยพบิ ัติ การเตรียมความพร้อมรับมือ กับภัยอยา่ งเหมาะสม ทกั ษะการปฐมพยาบาลเบ้อื งต้น 2.4 ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 วตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ ได้แก่ 1. ส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติโดยใช้ทักษะในเชิง เทคนคิ เช่น การกภู้ ัย การแจง้ เตอื น เป็นต้น 2. การปฏิบัติตนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว โรงเรียนและชุมชนในการดูแลและเฝ้าระวังในความ ปลอดภัย 2.5 แหลง่ ขอ้ มลู และเน้ือหาเกยี่ วกับภยั พิบัตธิ รรมชาติ หน่วยงาน - กรมอตุ ุนยิ มวทิ ยา https://www.tmd.go.th/ - TK Park สื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ E-book Audio book และ Application https://www.tkpark.or.th/tha/digital_content - ศูนย์เตอื นภัยพบิ ัตแิ หง่ ชาติ คลงั ความรู้เพ่ือการเตอื นภยั http://www.ndwc.go.th/ - ก ร ม ท ร ั พ ย า ก ร ธ ร ณ ี ส ื ่ อ เ ผ ย แ พ ร ่ ค ว า ม ร ู ้ ธ ร ณ ี พ ิ บ ั ต ิ ภั ย http://www.dmr.go.th/ewt_news.php?nid=6816 - กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หนังสือชุดเรียนรู้สาธารณ ภยั (http://122.155.1.141/inner.PRDPM-6.53/cms/menu_1762/603.1/) หนงั สืออา้ งอิง - หนังสือแนวทางการจัดการเรียนรู้เรื่องการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการรับมือกับความ เปล่ยี นแปลงสภาพภมู ิอากาศ (อา่ นเพมิ่ เติม)

43 - หนงั สือจากเว็บไซตท์ กั ษะชีวิตของ สพฐ.เร่อื งภัยพิบตั ธิ รรมชาติ - สารานุกรมไทยสำหรบั เยาวชน ส่อื วิดที ศั น์ - คลังสอ่ื การสอนของ สพฐ. (DLIT Resources) ซ่ึงเปน็ วิดโี อการสอนหวั ข้อท่ยี ากของ 5 กลุ่มสาระ ฯ ตอนละ 50 นาที สำหรับหอ้ งเรียนท่ีขาดครูตรงกล่มุ สาระฯ และนกั เรียนท่ตี อ้ งการทบทวน • หอ้ งเรียนแห่งคณุ ภาพ (DLIT Classroom) • สื่อวิดีทัศน์ให้ความรู้เกี่ยวกับการรับมืออุทกภัยจากองค์กรช่วยเหลือเด็ก เรื่องตุ่นน้อย ตน่ื ตัว จากองค์กรช่วยเหลอื เด็ก 2.6 การประเมินและวดั ผลการจดั การเรียนการสอน ตามคู่มือการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเรื่องภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ สพฐ ได้กำหนดตวั ช้ีวดั คณุ ภาพนักเรียนไวด้ ังนี้ 1. ดา้ นความรูค้ วามเขา้ ใจ ประเมินผลจากการตอบคำถามและการทำงานกลมุ่ 2. ด้านทักษะ ประเมินผลจากผลงาน กระบวนการหรือขั้นตอนการปฏิบัติ พฤติกรรมในการทำงาน กลุ่ม และการนำเสนอผลงาน โดยพิจารณาเนื้อหา ความถูกต้อง ความสอดคล้อง ความคิด สร้างสรรค์ ทกั ษะการนำเสนอ 3. ด้านเจตคติ ประเมินจากความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความมีระเบียบ การตรงต่อเวลา การมี ส่วนรว่ มในกระบวนการกลมุ่ ตวั ช้วี ดั คณุ ภาพครทู ่จี ัดการเรียนการสอนเรอื่ งภัยพิบัตฯิ มีดงั น้ี 1. ครูมีความรู้เกี่ยวกับการลดความเส่ียงจากภยั พบิ ัตแิ ละการเปล่ียนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ 2. ครใู ช้เทคนิคทห่ี ลากหลายในการจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะวิธีการที่ให้เด็กเป็นศูนย์กลางและมีส่วน ร่วม 3. ครูสามารถแลกเปลยี่ นประสบการณ์ในการจัดการเรยี นรู้กับสถานศึกษาอนื่ ๆ ตวั ช้ีวดั คุณภาพผู้บริหารในการบรหิ ารจัดการความปลอดภยั รอบดา้ นในสถานศึกษา มีดังนี้ 1. ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ในการจัดการศึกษาเรื่องการการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและการรับมือกับ การเปล่ียนแปลงสภาพภมู อิ ากาศ 2. ผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารจัดการภัยพิบัติภายใต้สภาวการณ์กดดันอย่างมี ประสิทธภิ าพ 3. ผ้บู รหิ ารมคี วามสามารถในการประสานภาคีเครือขา่ ยเพ่ือความรว่ มมือในการจัดการเรยี นรู้ (เช่น สถานศกึ ษา องคก์ รเอกชน หน่วยงานราชการ ฯลฯ) 4. ผู้บรหิ ารมคี วามสามารถในการนเิ ทศติดตามผลการดำเนนิ งาน

44 3. การจัดกจิ กรรมเสริมสตู รและพฒั นาผเู้ รียน 3.1 ทักษะชีวิต life skill good practice การศึกษาในศตวรรษท่ี 21 เปน็ การศึกษาทม่ี จี ุดเน้นอยู่ตรงการสร้างให้เยาวชนมีทกั ษะชีวติ ทกั ษะการ เรียนรู้และทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อที่ว่าพวกเขาจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้ท่ามกลาง วิกฤตการณ์ของโลก ทั้งที่เกิดจากปัญหาทางสังคมและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่นับวนั ก็มีแต่จะทวีความรุนแรง ยิ่งขึ้นทุกวัน การสร้างนวตกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมทักษะชีวิตจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการสร้างเด็กและ เยาวชนที่รู้เท่าทันภัยและอยู่รอดปลอดภัย ปัจจัยแห่งความสำเร็จนำนวัตกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติไป ใชส้ ำคัญ 3 ประการ คือ - ก่อนการนำไปใช้ ครูสอนต้องหาความรู้อย่างลึกซึ้งและละเอียด และหากเป็นไปได้ ผู้เรียนควรได้ เรยี นรู้ประสบการณข์ องผู้ประสบภยั โดยตรง - การออกแบบการเรยี นรู้ต้องเป็นไปอย่างสนุกสนาน นกั เรียนจะมคี วามยินดีในการเรียนรู้เร่ืองเดิม ได้บ่อยครงั้ - สอื่ ประกอบการเรยี นรู้ต้องออกแบบใหน้ ่าสนใจและง่ายต่อการจดจำ ตัวอย่างเช่น ผู้สอนสามารถสร้างการเรียนรู้ในหัวข้อผู้ประสบภัยใช้เทคนิคอะไรในการรับมือภัยพิบัติ บ้าง แล้วนำมาทำให้น่าสนใจโดยประมวลออกมาเปน็ เกม ละครหรือกลายเป็นสื่อในการเรียนการสอนตา่ งๆ ท่ี จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการสั่งสมความรู้เร่ืองการใช้ชีวิตระหว่างประสบภัยพิบัติก่อนที่จะได้เผชิญหน้ากับ เหตุการณ์จริง โดยโรงเรียนมีหน้าที่หลักในการเชื่อมโยงความรู้พื้นฐานเข้ากับความสามารถในการจัดการเม่ือ เกดิ เหตุการณ์ภยั พิบัติ เชน่ การนับจำนวนผู้บาดเจ็บ การทำแผนที่เส่ียงภัยของโรงเรียน การทำกราฟ การซ้อม อพยพ เปน็ ตน้ 3.2 แนวทางจัดกิจกรรมเสรมิ หลักสูตร ในการจัดกิจกรรมหลักและกิจกรรมเสริมเรื่องการลดความเสี่ยงภัยพิบัติและการรับมือกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศควรเน้นการมีส่วนร่วมและการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนในการสร้าง กิจกรรม เน้นการใช้ความคิดเชิงวิเคราะห์เพื่อจะทำให้เด็กและเยาวชนเกิดความตระหนักในประเด็นปัญหา คิดค้นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องเพื่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลง และสร้างภาวะผู้นำ กิจกรรมเสริมหลักสตู ร เช่น กิจกรรมอาสาสมัครก็สามารถใช้เป็นส่วนหน่ึงในการชว่ ยสร้างเครือข่าย ระดมทรัพยากร ความรู้ จากชุมชน มา ชว่ ยในการลดความเส่ยี งภยั พิบตั ิ สำหรับวธิ ีการจัดกิจกรรมนั้น อาจจะเป็นการนำประเด็นเรื่องภัยพิบัติเข้าไปสอดแทรกในกิจกรรมเดมิ ท่มี ีอยู่แลว้ เช่น ในงานกฬี าสี งานนิทรรศการ กจิ กรรมชมรม กลุ่มอาสาสมคั ร การทำโครงการระยะสนั้ การจัด เวทีเผยแพร่ความรู้ในชว่ งพักกลางวัน การสอดแทรกทักษะการเอาตวั รอดในวิชาลูกเสือเนตรนารี เปน็ ตน้ โดย ครูมีหน้าท่ีช่วยชี้ให้เห็นถึงความสอดคล้องของกิจกรรมน้ันๆกับประเด็นดา้ นการลดความเสีย่ งภยั พิบัตแิ ละการ รับมือกับการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ ประเด็นทสี่ ามารถสอดแทรกไปในการเรยี นการสอนและการทำกจิ กรรมเสริมหลักสูตร ไดแ้ ก่

45 - การสำรวจชุมชนรอบสถานศึกษา เพื่อความเข้าใจทางสังคมและการระบุประเด็นปัญหาความ เสยี่ งภยั - การช่วยกันสอดส่องค้นหาจุดเสี่ยงภยั เช่น บ่อน้ำ ทางลาด ถนนที่มีหลุมบ่อ ทางอับสายตา จุดท่ี อาจจะเกดิ เพลิงไหม้ - การทำโครงการขยะแลกสิง่ ของ เชน่ ต้นไม้ ไข่ตม้ ทำโครงการธนาคารรไี ซเคิล วัสดุเหลือใช้ - การประหยัดนำ้ การช่วยกันสอดส่องดแู ลกอ๊ กน้ำ ท่อน้ำ ทอ่ ประปา ถงั เก็บนำ้ - การใชค้ วามคิดประดษิ ฐส์ ่งิ ของต่างๆเพ่อื ชว่ ยประหยัดพลังงาน - การปลูกตน้ ไม้ พชื คลุมดิน เพ่อื ป้องกนั การเสยี หายพังทลายของหน้าดนิ - การทำสวนครวั ลอยนำ้ ในพ้นื ท่ีน้ำทว่ ม การปลูกพชื อาหารเพื่อใชเ้ ปน็ แหล่งอาหารเวลาเกดิ อุทกภยั - การลดการใช้สารเคมี ถงุ พลาสติก - การฝกึ ให้ล้างมอื อยา่ งถกู ตอ้ งและมีนิสัยรักความสะอาด มีสุขอนามัยที่ดี - การฝึกฝนขั้นตอนการปฏิบตั ิเม่ือเกดิ เหตุฉุกเฉนิ ตามแผนจดั การภัยพิบตั ขิ องสถานศกึ ษา - การส่งเสรมิ ความสามัคคี ชว่ ยเหลอื ผู้อน่ื เช่น วิธีการชว่ ยเหลือคนพิการ การนำทางคนตาบอด - การฝึกปฐมพยาบาล การฝึกการเคลือ่ นยา้ ยผูบ้ าดเจบ็ - การจดั เตรียมกระเป๋าฉกุ เฉินสำรองสำหรบั ห้องเรียน - การฝกึ ดับเพลิง - การสำรวจเสน้ ทางอพยพและเกบ็ สิง่ ของให้เปน็ ระเบียบตามเส้นทางที่ใชอ้ พยพ - การจราจรและการป้องกันอบุ ตั เิ หตุ - การจัดกจิ กรรมช่วยชีวิต การปรับตวั ในวชิ าลูกเสือ เนตรนารี 3.3 ตวั อย่างกิจกรรมเสรมิ หลกั สตู ร ห้องดิน ให้ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัตทิ ี่เกิดข้ึนจากดิน เช่น ดินสไลด์ แผ่นดินไหว ประเภทและชนิดของ ดิน ชั้นดินชนิดต่างๆ สาเหตุของภัยพิบัติที่เกิดจากดิน การตรวจสอบสภาพของดิน การอนุรักษ์ดิน และการ ปอ้ งกันภัยพิบตั ทิ ่เี กิดจากดนิ เปน็ ต้น ห้องน้ำ ให้ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติท่ีเกิดจากน้ำ เช่น น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ฝนตก น้ำเน่าเสีย ทาง น้ำไหล ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ แหล่งกำเนิดของน้ำ การเฝ้าระวังสังเกตระดับน้ำ และให้ความรู้เรื่องการ ป้องกันภัยพิบัติจากน้ำ เช่น การทำฝาย การไม่ตัดต้นไม้ การปลูกต้นไม้ทดแทน เป็นต้น รวมถึงวิธีการเอาตั ว รอดเม่ือเกดิ ภัยพิบัติทางนำ้ ดว้ ย ห้องลม ให้ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดจากลม เช่นลมพายุ ลมประจำฤดู การสำรวจทิศทางของลม ความเสียหายที่เกดิ จากลม และการรบั มือเมอ่ื เกดิ ภยั พบิ ัตจิ ากลม ห้องไฟ ให้ความรู้เกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่เกิดจากไป เช่น ไฟป่า ไฟที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ผลกระทบ ของไฟ และวธิ กี ารเอาตัวรอดเม่อื เกิดไฟไหม้

46 4. บทบาทอาสาสมัครในสถานการณภ์ ัยพบิ ตั ิ การมุง่ เนน้ ปลกู ฝงั ให้เยาวชนมจี ติ สาธารณะพรอ้ มทจี่ ะช่วยเหลอื สงั คมนนั้ สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของ การจัดการศึกษาข้ันพื้นฐานพทุ ธศักราช 2551 ในด้านการพัฒนาคณุ ลักษณะอันพึงประสงคข์ องผูเ้ รียนด้านจิต สาธารณะ การปลกู จิตสำนึกด้านจติ สาธารณะ ( Public Mind ) ให้มคี วามรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม เป็น การสรา้ งคุณธรรม จริยธรรมจากภายใน ให้บคุ คลรู้จักเสยี สละ ร่วมแรงรว่ มใจและ ร่วมมอื ในการทำกิจกรรมท่ี เป็นประโยชน์เพื่อส่วนรวม การเป็นอาสาสมัครในสถานการณ์ภัยพิบัตินั้นมีหน้าที่รับผิดชอบที่สามารถทำได้ ต้ังแตก่ ่อนเกดิ เหตุ ระหว่างเกดิ เหตุ และหลังจากเกดิ เหตไุ ปแล้ว ครจู ะตอ้ งสอนให้นกั เรียนมที ัศนคติที่ถูกต้อง มี การเตรยี มพรอ้ มท้ังรา่ งกาย จติ ใจ มีความรู้เก่ียวกบั ภยั และมที ักษะในการทำงานท่ีได้รับมอบหมาย เช่น - ร้จู กั ประเมนิ ขีดจำกัดของตวั เอง ท้งั ในดา้ นพละกำลัง จติ ใจ รวมไปถึงทกั ษะความเช่ยี วชาญ - ทำความเข้าใจในงานกับเจา้ หน้าท่ีกอ่ นปฏบิ ตั งิ าน และเข้าฝกึ อบรมใหค้ รบตามข้อกำหนด - แต่งกายให้เหมาะสมกับงาน และรู้จักใช้อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันหรือรักษาความปลอดภัยอย่าง เครง่ ครดั - รับประทานอาหาร ดืม่ น้ำและพักผอ่ นให้เพียงพอ - อย่านำพาตัวเองไปอยใู่ นสถานการณ์ที่สุม่ เส่ียงหรอื อนั ตราย - รับทราบและวางแผนถงึ ช่องทางการติดตอ่ ขอความช่วยเหลือ หากเกิดกรณฉี ุกเฉิน - ในกรณีท่ีต้องเผชญิ เหตกุ ารณ์อนั ตราย ควรรบั มืออย่างมีสติ - รู้จักภัย ลักษณะการเกิดและผลกระทบ - หากตอ้ งให้ความช่วยเหลอื คนพิการ ใหส้ อบถามความต้องการของคนพกิ ารหรอื ผู้ดแู ลก่อนเสมอ ไมส่ รา้ งปัญหาใหมใ่ หก้ ับผปู้ ระสบภัย หรอื ผปู้ ฏิบัตงิ านในพ้นื ที่ 5. แนวทางการพฒั นาสอื่ การเรยี นการสอนและสื่อรณรงค์ คู่มือ “พลังเด็กและเยาวชนลดความเส่ียงจากภัยพิบตั ิ ในโรงเรียนและชุมชน”จดั ทำโดยองคก์ ารช่วยเหลือ เด็ก(2008) มีขั้นตอนการจัดอบรมให้เด็กและเยาวชนจัดทำสื่อรณรงค์เพื่อลดความเสี่ยงภัยพิบัติได้ โดยการ สรา้ งความตระหนักในโรงเรียนและชุมชนสามารถทำได้หลายช่องทาง เช่น การจดั รณรงค์ การเดนิ วิทยุชุมชน การจัดนทิ รรศการ เป็นตน้ หลักการเบื้องต้นในการจดั ทำส่อื รณรงค์ - สื่อรณรงค์มีเป้าหมาย 3 ขั้นตอน คือ เพื่อให้ความรู้ เปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนพฤติกรรมหรือทั้ง 3 อย่าง - ส่อื รณรงค์มีหลากหลายรูปแบบ เชน่ ละคร รายการวิทยุ โปสเตอร์ แผ่นพับ ฯลฯ การรณรงค์ใน เรื่องใดเรื่องหนึ่ง สามารถเลือกใช้สื่อได้มากกว่า 1 ประเภท นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงการจัดทำ สื่อรณรงคท์ เี่ ข้าถึงคนพิการทุกประเภท เช่น การใช้เทคโนโลยเี พ่ือช่วยเหลือการเรยี นรู้สำหรับเด็ก นักเรียนที่มีความพิการทางสายตา การใช้สื่อภาษามือที่ถูกต้องสำหรับเด็กที่พิการทางการได้ยิน

47 การใช้ล่ามภาษามือ การผลิตสื่อทางการเห็นค์สำหรับเด็กพิการทางการได้ยิน ตลอดจนการ เลอื กใช้ช่องทางการเรียนรู้ทเ่ี หมาะสมกบั ความพิการ - การจัดทำสื่อรณรงค์ต้องมีกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เพื่อให้เนื้อหาและรูปแบบ ของส่ือชัดเจนและเหมาะสมกบั กลมุ่ เปา้ หมาย • มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ผู้หญิง แม่บ้าน เด็ก เด็กพิการ ผู้ดูแลคน พิการ ผชู้ าย ผชู้ ายวยั รนุ่ เป็นต้น • มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าการรณรงค์นั้นเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไร : ความรู้ ทัศนคติ หรือ พฤตกิ รรม การจัดทำสอื่ รณรงคเ์ พอ่ื ให้ความร้เู กี่ยวกบั ภัยพบิ ตั ิ ตอ้ งทำความเขา้ ใจในเรือ่ งต่อไปนี้ - สถานการณเ์ ดมิ ก่อนจัดทำสือ่ รณรงค์ เช่น ชมุ ชนหนึ่งซงึ่ มคี วามเสีย่ งตอ่ ภยั นำ้ ท่วม ผู้ชายมกั ยืนยัน จะอยู่บ้าน ไมย่ อมอพยพหนี - ความรู้ พฤติกรรม หรือทัศนคติของกลุ่มเป้าหมายที่นำไปสู่ความเสี่ยง เช่น เมื่อวิเคราะห์แล้ว พบวา่ พฤตกิ รรมทีไ่ มย่ อมอพยพออกจากทอ่ี ยู่อาศัยเม่ือเกิดนำ้ ท่วมอย่างรุนแรง นำไปส่คู วามเสี่ยง ต่าง ๆ เช่น การบาดเจ็บ สญู เสียชีวติ เป็นตน้ ความเปลี่ยนแปลงที่อยากให้เกิดขึ้นหลังจากเผยแพร่สื่อรณรงค์ เช่น ตั้งเป้าหมายไว้ว่า เมื่อเผยแพร่ ส่อื รณรงค์ไปแลว้ กลมุ่ เป้าหมายมีความรู้มากข้ึน (วา่ การไม่อพยพหนีออกจากบา้ นในชว่ งน้ำท่วมอาจก่อให้เกิด ความเสียหาย) ปรับเปลี่ยนทัศนคติ (ว่าชีวิตสำคัญกว่าทรัพย์สิน ควรหนีเอาตัวรอดก่อน) และนำไปสู่การ ปรบั เปลี่ยนพฤติกรรม (จัดทำแผนเตรยี มการเพอื่ อพยพในกรณที ่เี กิดนำ้ ท่วม) เป็นตน้

48 ภาคผนวก

49 เอกสารประกอบการอบรม

50 เกียรติบตั ร .................................................... (นางสาวพลอยไพลนิ ลม้ิ พงศ์พันธ์)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook