Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุดการสอนที่ 1 ใบความรู้ตอนที่ 1 หลักการกระบวนการซอฟต์แวร์

ชุดการสอนที่ 1 ใบความรู้ตอนที่ 1 หลักการกระบวนการซอฟต์แวร์

Published by ekachai k, 2019-06-02 00:54:04

Description: วิชา กระบวนการซอฟต์แวร์
รหัสวิชา 30-4901-2011

Keywords: กระบวนการซอฟต์แวร์

Search

Read the Text Version

7 ใบความรู้หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 หลักการของกระบวนการซอฟตแ์ วร์ เคา้ โครงเนอื้ หา ตอนที่ 1 การวเิ คราะหป์ ัญหาและออกแบบระบบ เร่อื งท่ี 1.1 การวิเคราะหป์ ญั หาระบบ เรื่องที่ 1.2 การออกแบบระบบ เรื่องท่ี 1.3 แบบจาลองความสมั พนั ธเ์ อนทติ ี ตอนท่ี 2 การพัฒนาโปรแกรมทดสอบและติดตั้งระบบ เร่ืองที่ 2.1 การพัฒนาโปรแกรม เรอ่ื งที่ 2.2 การออกแบบและการนาไปใช้ เรอื่ งท่ี 2.3 การทดสอบ (Testing) เรอ่ื งที่ 2.4 การตดิ ตั้งระบบและบารุงรักษา

8 ตอนท่ี 1 การวเิ คราะห์ปญั หาและการออกแบบระบบ โปรดอ่านหัวเร่ือง วัตถุประสงค์ในตอนท่ี 1 แล้ว จึงศึกษาเน้ือหาสาระโดยละเอียด ตอ่ ไป หัวเร่อื ง เร่ืองท่ี 1.1 การวเิ คราะห์ปญั หาระบบ เรอื่ งที่ 1.2 การออกแบบระบบ เรือ่ งที่ 1.3 แบบจาลองความสัมพนั ธ์เอนทิตี วตั ถุประสงค์ 1. อธิบายหลกั การการวเิ คราะหป์ ญั หาได้ 2. อธบิ ายหลกั การการออกแบบระบบได้ 3. อธบิ ายหลักการแบบจาลองความสัมพันธ์เอนทติ ีได้ เร่อื งที่ 1.1 การวิเคราะห์ปัญหาระบบ 1.1.1 การกาหนดปัญหา (Problem Definition) หรือการเลือกส่ิงท่ีจะนามาพัฒนา ระบบงาน (Project Identification and Selection) นับว่าเป็นขั้นตอนแรกในวงจรของการพัฒนา ขน้ั ตอนนี้มกั จะเกดิ ขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการประชมุ ของฝา่ ยบริหาร เพ่ือท่จี ะคน้ หาวธิ ีการทางาน ทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ 1.1.2 การวิเคราะห์ปัญหา (Analysis) เมื่อผ่านขั้นตอนการการกาหนดหรือเลือก โครงการที่จะทาการพัฒนาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะต้องนาเอาส่ิงท่ีได้จากขั้นตอนแรกมาทาการ วิเคราะห์ โดยนักวิเคราะห์ระบบจะต้องทาการ วิเคราะห์ระบบ ในข้ันตอนนี้เป็นขั้นตอนท่ีมี ความสาคัญมาก และไม่ควรทาอย่างรีบเร่ง เน่ืองจากโครงการพัฒนาจานวนมากที่ประสบความ ล้มเหลวเพราะการวิเคราะห์ และออกแบบทไ่ี ม่ถูกตอ้ ง 1.1.3 การกาหนดรายละเอียดของปัญหา การวิเคราะห์และออกแบบระบบเป็น การศึกษาถงึ ปัญหาที่เกดิ ขนึ้ ในระบบงานปัจจุบัน (Current System) เพื่อออกแบบระบบการทางาน ใหม่ (New System) นอกจากออกแบบสร้างระบบงานใหม่แล้ว เป้าหมายในการวิเคราะห์ระบบ ต้องการปรบั ปรุงและแก้ไขระบบงานเดิมใหม้ ที ิศทางทดี่ ขี ึน้ โดยก่อนท่รี ะบบงานใหม่

9 ภาพท่ี 1.1 การวเิ คราะห์และออกแบบระบบโดยใช้ SDLC Model (แหลง่ ท่ีมา https://sites.google.com/site/programmingit12/bth-thi-3-kar-wikheraah- payha-sahrab-kar-xxkbaeb-porkaerm) Software Development ภาพท่ี 1.2 ระบบงานปัจจุบัน (Current System) และระบบการทางานใหม่ (New System) (แหล่งทม่ี า https://sites.google.com/site/programmingit12/bth-thi-3-kar-wikheraah- payha-sahrab-kar-xxkbaeb-porkaerm) 1.1.4 ความหมายของการวิเคราะห์ปัญหา วิธีการแก้ปัญหาด้วย วิธีการลองผิดลองถูก การใช้เหตุผล การใช้วิธีขจัด ยังมีวิธีการแก้ ปัญหาอีกมากมายท่ีผู้แก้ปัญหาสามารถเลือกใช้ให้เขากับ ตัวปญั หาและประสบการณ์ของผู้แก้ ปญั หา แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม หากพิจารณากันอยา่ งดี วธิ ีการเหลา่ นั้น ล้วนมีข้ันตอนที่คล้ายคลึงกัน และจากการศึกษาพฤติกรรมในการเรียนรู้และแก้ปัญหาของมนุษย์ พบว่าโดย มนุษย์มีกระบวนการ ในการแก้ปัญหาท่ีมีลาดับขั้นตอนท้ังสิ้น 4 ข้ันตอน ซ่ึงเป็นเสมือน ข้ันบันได (stair) ท่ีทาให้มนุษย์สามารถประสบความสาเร็จในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ กระบวนการท้งั 4 ขั้นตอน ได้แก่

10 1. การวิเคราะหแ์ ละกาหนดรายละเอยี ดของปญั หา (State the problem) 2. การเลือกเครอ่ื งมือและออกแบบขนั้ ตอนวธิ ี (Tools and Algorithm development) 3. การดาเนินการแก้ปญั หา (Implementation) 4. การตรวจสอบและปรบั ปรุง (Refinement) ภาพที่ 1.3 ขน้ั บนั ได (stair) ทีท่ าใหม้ นุษย์สามารถประสบความสาเร็จในการแกป้ ญั หา (แหลง่ ทีม่ า https://sites.google.com/site/programmingit12/bth-thi-3-kar-wikheraah- payha-sahrab-kar-xxkbaeb-porkaerm/3-1-khwam-hmay-khxng-kar-wikheraah-payha) 1.1.5 หลักเกณฑ์การวิเคราะห์ปัญหา การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพ่ือใช้สาหรับ ช่วยในการแก้ปัญหา ข้ันตอนของการวิเคราะห์ปัญหาสาหรับเตรียมการก่อนลงมือเขียนโปรแกรม คอมพวิ เตอรม์ ีขนั้ ตอนดงั น้ี 1) การทาความเข้าใจกับงาน 2) การพิจารณาลักษณะของข้อมูลเข้าและข้อมูลออก 3) การทดลองแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง 4) การเขยี นขัน้ ตอนวิธกี ารทางาน 5) การทดสอบขั้นตอนการทางาน

11 ภาพที่ 1.4 ขัน้ ตอนของการวิเคราะห์ปัญหาสาหรับเตรยี มการกอ่ นลงมือเขยี นโปรแกรม (แหลง่ ทมี่ า https://sites.google.com/site/programmingit12/bth-thi-3-kar-wikheraah- payha-sahrab-kar-xxkbaeb-porkaerm/3-2-hlak-kenth-kar-wikheraah-ngan) 1.1.6 การประมวลผลข้อมูล สาหรับโปรแกรมท่ีเตรยี มไว้เพื่อประมวลผลข้อมลู น้นั ควร มีการทดสอบความถูกต้องของโปรแกรมก่อนใชง้ านจริง โดยใช้ข้อมูลตัวอย่างในการวิ่งโปรแกรม เพ่ือ ตรวจสอบวา่ ตารางที่ได้จากการว่ิงโดยใช้ข้อมูลตัวอย่างน้ันถูกต้องหรอื ยัง ถ้ายังไม่ถูกต้องให้แก้ไขและ ทดสอบวิ่งโปรแกรมจนกว่าจะได้ตารางท่ีถูกต้อง แล้วจึงวิ่งโปรแกรมโดยใช้ข้อมูลจริง เพื่อนาเสนอผล ต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือนาผลสรปุ ท่ีได้ไปใช้ในการวางแผนและตัดสินใจน้ัน จะต้องเลือกวิธีการ วิเคราะห์ข้อมูลให้ถูกต้องและเหมาะสม โดยพิจารณาว่าต้องการวิเคราะห์ข้อมูลแบบกี่ตัวแปร และ ต้องการเสนอผลในรูปสถิติเชิงพรรณนาหรือสถิติเชิงอนุมาน ซึ่งวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลแต่ละแบบจะ แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดบั ข้อมลู และการเสนอผล ดังนี้

12 ตารางที่ 1 ข้อมูลตวั แปรเดียว ขอ้ มูล ระดับข้อมลู สถิตเิ ชงิ พรรณนา สถติ เิ ชงิ อนุมาน - การทดสอบไคสแควร์ ตวั แปร นามบัญญตั ิ - ฐานนยิ ม เดยี ว - ความถ่สี ัมบรู ณแ์ ละ - การทดสอบของโครโมโกรอฟ-สมินอฟ สาหรับหนงึ่ ตวั อย่าง ความถส่ี มั พัทธใ์ นแตล่ ะพวก - การทดสอบโดยใช้ t - การทดสอบโดยใช้ z อนั ดับ - มัธยฐาน - พิสยั ควอไทล์ อันตรภาค - ค่าเฉลย่ี ชั้น - ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตารางที่ 2 ข้อมูล 2 ตวั แปร ข้อมลู ระดบั ข้อมลู สถิติเชงิ พรรณนา สถิตเิ ชิงอนมุ าน สองตวั นามบัญญตั ิ - สัมประสทิ ธ์ิการจร - การทดสอบไคสแควร์ แปร อันดับ - สัมประสิทธ์ิสหสมั พันธ์โดย - การทดสอบแมนน์-วทิ นี ใชล้ าดับท่ี - การทดสอบของโครโมโกรอฟ-สมนิ อฟ - สมั ประสิทธส์ิ หสมั พนั ธข์ อง สาหรับสองตัวอยา่ ง เคนดอล อนั ตรภาค - สัมประสทิ ธิ์สหสมั พันธอ์ ย่างงา่ ย - การทดสอบสัมประสิทธิ์ความถดถอย ชนั้ - ความถดถอยอยา่ งงา่ ย - การทดสอบความแตกต่างระหวา่ ง สรุป การวิเคราะห์ปัญหาระบบสาหรับการพัฒนาซอฟแวร์มีวิธีการวิเคราะห์ คือ (1) ต้องมีการกาหนดปัญหา (Problem Definition) หรือการเลือกส่ิงท่ีจะนามาพัฒนาระบบงาน (Project Identification and Selection ข้ันตอนนี้มักจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ จากการประชุม ของฝ่ายบริหารและผู้ใช้งานระบบระดมความคิดเพื่อท่ีจะค้นหาวธิ ีการทางานท่ีมีประสิทธภิ าพเพมิ่ ขนึ้ (2) การวิเคราะห์ปัญหา (Analysis) กาหนดหรือเลือกโครงการท่ีจะทาการพัฒนาแล้ว ทาการ วิเคราะห์ระบบในข้ันตอนนี้เป็นขั้นตอนท่ีมีความสาคัญมากและไม่ควรทาอย่างรีบเร่ง เนื่องจาก โครงการพัฒนาจานวนมากที่ประสบความล้มเหลวเพราะการวิเคราะห์และออกแบบท่ีไม่ถูกต้อง และ (3) จากนั้นต้องทาการกาหนดรายละเอียดของปัญหา การวิเคราะห์และออกแบบระบบเป็น การศกึ ษาถงึ ปัญหาท่ีเกดิ ข้ึนในระบบงานปัจจุบัน (Current System) เพือ่ ออกแบบระบบการทางาน ใหม่ (New System) นอกจากออกแบบสร้างระบบงานใหม่แล้วเป้าหมายในการวิเคราะห์ระบบ ตอ้ งการปรบั ปรุงและแกไ้ ขระบบงานเดิมให้มที ิศทางทีด่ ีข้ึนโดยกอ่ นท่ีจะพฒั นาระบบงานใหม่

13 เรอ่ื งท่ี 1.2 การออกแบบระบบ 1.2.1 การออกแบบฐานข้อมลู และออกแบบส่วนติดต่อผ้ใู ช้งาน 1) หนา้ ทข่ี องระบบการจดั การฐานข้อมูล (1) แปลคาส่ังที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบที่ ฐานข้อมูลเขา้ ใจ (2) นาคาส่ังต่าง ๆ ซ่ึงได้รับการแปลแล้วไปสั่งให้ฐานข้อมูลทางาน เช่น การ เรยี กใช้ (Retrieve) จัดเกบ็ (Update) ลบ (Delete) เพม่ิ ขอ้ มูล (Add) เปน็ ต้น (3) ป้องกันความเสียหายท่ีจะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลโดยจะคอย ตรวจสอบว่าคาส่งั ใดที่สามารถทางานได้ และคาสั่งใดท่ีไมส่ ามารถทางานได้ (4) รักษาความสัมพันธข์ องขอ้ มลู ภายในฐานขอ้ มลู ใหม้ ีความถูกตอ้ งอยเู่ สมอ (5) เก็บรายละเอียดต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ใน พจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ซึ่งรายละเอียดเหล่าน้ีมักจะถูกเรียกว่า เมทาดาต้า (Meta Data) ซ่ึงหมายถึง \"ข้อมลู ของขอ้ มลู \" (6) ดูแลการใช้งานให้กับผู้ใช้ ในการติดต่อกับตัวจัดการระบบแฟ้มข้อมูลได้ โดยจะทาหน้าท่ีติดต่อกับระบบแฟ้มข้อมูลซึ่งเสมือนเป็นผู้จัดการแฟ้มข้อมูล (File Manager) นา ข้อมูลจากหน่วยความจาสารองเข้าสู่หน่วยความจาหลักเฉพาะส่วนท่ีต้องการใช้งาน และทาหน้าที่ ประสานกับตวั จัดการระบบแฟม้ ข้อมูลในการจดั เกบ็ เรยี กใช้และแก้ไขข้อมูล (7) ควบคุมการใช้ข้อมูลพร้อมกัน ( Concurrency Control) ในระบบ คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ปัจจุบัน โปรแกรมการทางานมักจะเป็นแบบผู้ใช้หลายคน (Multi User) จึงทาให้ ผู้ใช้แต่ละคนสามารถเรียกใช้ข้อมูลได้พร้อมกัน ระบบจัดการฐานข้อมูลที่มีคุณสมบัติควบคุมการใช้ ข้อมูลพร้อมกันน้ี จะทาการควบคุมการใช้ข้อมูลพร้อมกันของผู้ใช้หลายคนในเวลาเดียวกันได้ โดยมี ระบบการควบคุมที่ถูกต้องเหมาะสม เช่น ถ้าการแก้ไขข้อมูลน้ันยังไม่เรียบร้อย ผู้ใช้อ่ืนๆ ท่ีต้องการ เรียกใช้ข้อมูลน้ีจะไม่สามารถเรียกข้อมูลนั้นๆ ข้ึนมาทางานได้ต้องรอจนกว่าการแก้ไขข้อมูลของผู้ที่ เรียกใช้ข้อมูลน้ันก่อนจะเสร็จเรียบร้อยจึงจะสามารถเรียกข้อมูลน้ันไปใช้งานต่อได้ท้ังน้ีเพื่อป้องกัน ไม่ใหเ้ กดิ ปญั หาการเรยี กใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (8) ควบคุมระบบความปลอดภัยของข้อมูลโดยป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับ อนุญาตเข้ามาเรียกใช้หรือแก้ไขข้อมูลในส่วนป้องกันเอาไว้พร้อมท้ังสร้า งฟังก์ชันในการจัดทาข้อมูล สารอง (9) ควบคุมการใชข้ ้อมูลในสภาพท่ีมผี ูใ้ ช้พร้อม ๆ กันหลายคนโดยจดั การเม่ือมี ข้อผดิ พลาดของข้อมูลเกิดขน้ึ 2) การพัฒนาระบบงานฐานข้อมูลและสร้างแบบจาลองเครื่องมือ ส่ิงสาคัญท่ีสุด ในการพัฒนาระบบสารสนเทศใด ๆ คือ การออกแบบระบบที่ดี ระบบท่ีได้รับการออกแบบมาเป็น อย่างดีแล้วน้ันเม่ือนาไปดาเนินการพัฒนาก็จะสามารถสนองตอบต่อวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ได้อย่าง ถูกต้องและครบถ้วนฐานข้อมูลนับเป็นปัจจัยหน่ึงที่มีบทบาทสาคัญอย่างย่ิงสาหรับระ บบสารสนเทศ แบบต่าง ๆ ท่ีใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลเนื่องจากฐานข้อมูลเป็นส่วนที่ใช้จัดเก็บข้อมูลนาเข้า ของทุกระบบสารสนเทศ ดังนั้น การออกแบบระบบสารสนเทศจึงจาเป็นต้องให้ความสาคัญต่อการ

14 ออกแบบฐานข้อมูลด้วย วัตถุประสงค์หลักในการออกแบบฐานข้อมูล คือ การสร้างฐานข้อมูลที่มี ประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งการออกแบบฐานข้อมูลในท่ีนี้จะมี ความหมายครอบคลุมถึงการออกแบบฐาน ข้อมูลในระดับแนวคิด (Conceptual Level) และการ ออกแบบฐานข้อมลู ในระดับภายในหรือเชิงกายภาพ (Internal Level หรอื Physical Level) อย่างไร ก็ตามการออกแบบฐานข้อมูลท่ีดีและสมบูรณ์น้ันเป็นเรื่องท่ีค่อนข้างทาได้ยาก ซึ่งปัจจัยสาคัญในการ ออกแบบฐานข้อมูล คือ ความสามารถในการสรรหาวิธีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ัน ๆ อย่างมีประสิทธิภาพซง่ึ โดยทัว่ ไปการออกแบบฐานข้อมลู เพ่ือนามาใช้งานภายในองค์กรสามารถจาแนกได้ 2 วธิ ี คือ วิธีอปุ นัย (Inductive Approach) และวธิ ีนิรนยั (Deductive Approach) (1) วิธีอุปนัย การออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีอุปนัยหรือการออกแบบ ฐานข้อมูลจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up Design) เป็นการออกแบบฐานข้อมูลจากแนวคิดพ้ืนฐานท่ีว่า ลักษณะงานในแต่ละหน่วยงานย่อมมีความสมบูรณ์และความซับซ้อนแตกต่างกัน ฉะน้ันรูปแบบของ ฐานข้อมูลที่ดีควรเกิดจากการรวบรวมข้อดีของข้อมูลหรือโปรแกรมต่าง ๆ ท่ีมีการใช้งานอยู่แล้ว ภายในหน่วย งาน ต่าง ๆ มาจัดทาเป็นรูปแบบฐานข้อมูลขององค์กรเนื่องจากข้อมูลหรือโปรแกรม ดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในหน่วยงานนั้น ๆ อยู่แล้ว ดังน้ันการออกแบบ ฐานข้อมูลด้วยวิธีอุปนัยจึงเป็นการออกแบบฐานข้อมูลด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือโปรแกรมที่มี การใช้งานอยู่แล้วภายในหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กรมาเช่ือมโยงเข้าด้วยกันเพื่อจัดทาเป็นระบบ ฐานข้อมลู ขององค์กร หากว่าข้อจากดั ในการออกแบบฐานขอ้ มูลด้วยวธิ อี ปุ นัย คอื การนากรรมวธิ ยี อ่ ย ๆ จากการทางานของหน่วยงานต่าง ๆ มารวมเข้าด้วยกันเป็นเร่ืองท่ีทาได้ไม่ง่ายนัก และต้องใช้เวลา อย่างมากจึงจะสามารถออกแบบและสรา้ งระบบฐานข้อมลู ท่ีสมบรู ณ์ได้ (2) วิธีนิรนัย การออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีนิรนัย หรือการออกแบบ ฐานข้อมูลจากบนลงล่าง (Top-Down Design) เป็นการออกแบบฐานข้อมูลด้วยการเก็บรวบรวม ข้อมูลพ้ืนฐาน ขั้นตอนการทางานของหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กรและความต้องการใช้งาน ฐานข้อมูลจากการสังเกตการณ์ สอบถามและสัมภาษณ์บุคลากรท่ีเก่ียวข้องกับการใช้งานฐานข้อมูล ตลอดจนรวบรวมข้อมลู จากแบบฟอร์มตา่ ง ๆ ท่มี ีใช้อยู่ภายในหน่วยงานเพ่ือนามาออกแบบโครงสร้าง ฐานขอ้ มลู ขององค์กร หากว่าข้อจากัดในการออกแบบฐานข้อมลู ด้วยวธิ ีนิรนยั คือ บุคลากรท่ีเกีย่ วข้อง กับการใช้งานฐานข้อมูลควรต้องเข้าใจให้ความสาคัญและความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงจะ ทาให้ได้ระบบฐานข้อมูลที่ถูกต้องและครอบคลุมระบบงานต่าง ๆ ภายในองค์กรซ่ึงข้อดีของการ ออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีนิรนัย คือ เป็นวิธีการออกแบบที่เหมาะกับการจัดวางระบบฐานข้อมูลใน องค์กรที่มีความหลากหลายของหน่วยงานตัวอย่างเช่น ในแต่ละหน่วยงานมีการอ้างถึงข้อมูลเดียวกัน ด้วยชอ่ื ทีแ่ ตกต่างกนั เปน็ ต้น ทัง้ นใ้ี นการออกแบบฐานข้อมูลดว้ ยวิธีใดก็ตามแต่ละองค์กรจะกาหนดให้ มีผู้รับผิดชอบทาหน้าท่ีในการออกแบบฐานข้อมูลโดยจานวนบุคลากรท่ีทาหน้ าที่ดังกล่าวจะแตกต่าง กันไปในแต่ละองค์กรข้ึนอยู่กับความซับซ้อน ขอบข่ายของระบบงาน และขนาดขององค์กร ในองค์กร ขนาดเลก็ อาจกาหนดให้บุคลากรเพียงคนเดยี วทาหน้าท่ีเป็นผู้ออกแบบและจัดสร้างฐานข้อมลู ทั้งหมด หากทวา่ ในองคก์ รขนาดใหญ่อาจกาหนดจานวนบุคลากรท่หี นา้ ท่ใี นการออกแบบฐานข้อมูลมากขนึ้ ซึง่ โดยท่ัวไป กลุ่มบุคลากรดังกล่าวมักจะประกอบด้วย 3ฝ่าย คือ ผู้บริหารฐานข้อมูล (Data Base

15 Administrator : DBA) และผู้บริหารข้อมูล ( Data Administrator : DA) นักวิเคราะห์ระบบ (Systems Analysts) และนกั เขยี นโปรแกรม (Programmer) และผูใ้ ช้ (End-User) 3) การพฒั นาระบบงานฐานขอ้ มลู และสรา้ งแบบจาลองเคร่อื งมอื (1) ผู้บริหารฐานข้อมูลและผู้บริหารข้อมูล ผู้บริหารฐานข้อมูลเป็นบุคคลที่ทา หน้าท่ีในการบริหารจัดการ ควบคุมกาหนดนโยบาย มาตรการ และมาตรฐานของระบบฐานข้อมูล ทง้ั หมดภายในองค์กร ตัวอย่างเชน่ กาหนดรายละเอยี ดและวิธกี ารจัดเก็บขอ้ มูล กาหนดควบคุมการใช้ งานฐานข้อมลู กาหนดระบบรักษาความปลอดภยั ของขอ้ มลู กาหนดระบบสารองข้อมูล กาหนดระบบ การกู้คืนข้อมูลเป็นต้น ตลอดจนทาหน้าที่ประสานงานกับผู้ใช้ นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียน โปรแกรม เพ่อื ให้การบรหิ ารระบบฐานขอ้ มูลสามารถดาเนินไปได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ เนื่องจากหนา้ ท่ี ความรับผิดชอบของผู้บริหารฐานข้อมูลมีมากมายหลายประการในบางองค์กรจึงทาการแบ่งหน้าที่ บางส่วนซึ่งไม่จาเป็นต้องใช้ความรู้ความสามารถทางด้านเทคนิ คและไม่เก่ียวข้องกับระบบจัดการ ฐานข้อมูลให้กับผู้บริหารข้อมูล ดังน้ันผู้บริหารข้อมูลจึงเป็นบุคคลที่ทาหน้าที่ในการกาหนดความ ต้องการในการใช้ข้อมูลข่าวสารขององค์กร การประมาณขนาดและอัตราการขยายตัวของข้อมูลใน องค์กร ตลอดจนทาการจดั การดแู ลพจนานกุ รมขอ้ มลู เปน็ ต้ (2) นักวเิ คราะหร์ ะบบและนักเขียนโปรแกรม นกั วิเคราะห์ระบบเปน็ บุคคลท่ีมี หน้าท่ีรับผิดชอบในการวิเคราะห์และออกแบบระบบฐาน ข้อมูล ดังน้ันจึงต้องทาการศึกษาและทา ความเข้าใจในระบบงานที่องค์กรต้องการรวมทั้งต้องเป็นผู้ท่ีมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการ โดยรวมของทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อีกด้วย นักเขียนโปรแกรมเป็นบุคคลท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบใน การเขียนโปรแกรมประยุกต์เพ่ือการใช้งานในลักษณะต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น การเกบ็ บนั ทกึ ขอ้ มูล การเรยี กใช้ขอ้ มลู จากฐานข้อมลู เป็นต้น (3) ผู้ใช้ ผู้ใช้เป็นบุคคลที่ใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล ซึ่งวัตถุประสงค์หลัก ของระบบฐานข้อมูล คือ การตอบสนองความต้องการในการใช้งานของผู้ใช้ ดังนั้นในการออกแบบ ระบบฐานข้อมูลจึงจาเป็นต้องมีผู้ใช้เข้าร่วมอยู่ในกลุ่มบุคลากรท่ีทาหน้าท่ีออกแบบฐานข้อมูลด้วย การออกแบบฐานข้อมลู ในองค์กรขนาดเล็กเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานอาจเปน็ เรื่องที่ไม่ ยุ่งยากนักเน่ืองจากระบบและข้ันตอนการทางานภายในองค์กรไม่ซับซ้อนปริมาณข้อมูลที่มีก็ไม่มาก และจานวน ผู้ใช้งานฐานข้อมูลก็มีเพียงไม่ก่ีคนหากทว่าในองค์กรขนาดใหญ่ ซ่ึงมีระบบและขั้นตอน การทางานท่ีซับซ้อนรวมท้ังมีปริมาณข้อมูลและผู้ใช้งานจานวนมาก การออกแบบฐานข้อมูลจะเป็น เรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการดาเนินการนานพอควรทีเดียวทั้งน้ีฐานข้อมูลที่ ไดร้ ับการออกแบบอยา่ งเหมาะสมจะสามารถตอบสนองตอ่ ความต้องการของผู้ใชง้ านภายในหน่วยงาน ต่าง ๆ ขององค์กรได้ซึ่งจะทาให้การดาเนิน งานขององค์กรมีประสิทธิภาพดีย่ิงขึ้นเป็นผลตอบแทนที่ คุ้มค่าต่อการลงทุนเพ่ือพัฒนาระบบฐานข้อมูลภายในองค์กร ท้ังน้ีการออกแบบฐานข้อมูลที่นา ซอฟตแ์ วร์ระบบจดั การฐานข้อมลู มาช่วยในการดาเนินการสามารถจาแนกหลักในการดาเนินการได้ 6 ขั้นตอน คอื ก. การรวบรวมและวเิ คราะหค์ วามตอ้ งการในการใช้ขอ้ มลู ข. การเลอื กระบบจดั การฐานข้อมลู ค. การออกแบบฐานข้อมลู ในระดับแนวคิด

16 ง. การนาฐานข้อมลู ที่ออกแบบในระดับแนวคิดเข้าสู่ระบบจดั การฐานข้อมูล จ. การออกแบบฐานข้อมลู ในระดบั กายภาพ ฉ. การนาฐานข้อมูลไปใชแ้ ละการประเมินผล 1.2.2 การรวบรวมและวิเคราะห์ความต้องการในการใช้ข้อมูล ในการออกแบบระบบ ฐานข้อมูลท่ีดี ผู้ออกแบบควรต้องทาการรวบรวมและวิเคราะห์ความต้องการในการใช้ข้อมูลเพ่ือ กาหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของการจัดทาระบบฐานข้อมูลข้ึนเป็นข้ันตอนแรกก่อนลงมือทาการ ออกแบบฐานข้อมลู ทั้งนี้การรวบรวมและวิเคราะห์ความต้องการในการใช้ข้อมูลประกอบด้วยกิจกรรม ต่าง ๆ คือ การศึกษาและวิเคราะห์องค์กร การศึกษาและวิเคราะห์ระบบการจัดการข้อมูลเดิม และ การกาหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของฐานข้อมูล การศึกษาและวิเคราะห์องค์กร เป็นการศึกษา นโยบาย วัตถุประสงค์ ตลอดจนโครงสร้างและสภาพการทางานของหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กร เพ่ือให้มีความเข้าใจในระบบการทางานขององค์กรน้ัน ๆ การศึกษาและวิเคราะห์ระบบการจัดการ ข้อมูลเดิม เป็นการศึกษาขั้นตอนการทางานในหน่วยงานนั้น ๆ แหล่งที่มาลักษณะ คุณสมบัติและ ปริมาณของข้อมูล ความต้องการในการเรียกใช้และปรับปรุงข้อมูล ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลใน ระบบงานต่าง ๆ ตลอดจนทาการศึกษาวิเคราะห์ความถี่ในการประมวลผล การจัดทาเอกสารรายงาน ในรูปแบบต่าง ๆ และทาการเก็บรวบรวมกฎเกณฑ์เง่ือนไขปัญหา รวมท้ัง ข้อจากัดต่าง ๆ ที่เกิดจาก การปฏิบัติงานซ่ึงในข้ันตอนนี้ผูอ้ อกแบบฐานข้อมูลอาจทาการศึกษาวิเคราะห์ และเก็บรวบรวมข้อมลู ได้จากเอกสาร ตลอดจนรายงานที่มีในปัจจุบัน ประกอบกับการสังเกตการณ์สอบถามสัมภาษณ์ข้อมูล จากผู้ใช้งานและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพ่ือจะได้ทราบถึงโครงสร้างพื้นฐานของระบบฐาน ข้อมูล และทาการ วิเคราะห์ความต้องการในการใช้ข้อมูลได้ละเอียดและครบถ้วนย่ิงขึ้น การกาหนดวัตถุประสงค์และ ขอบเขตของฐานข้อมูลเป็นการนารายละเอียดท่ีเก็บรวบรวมไว้มาทาการกาหนดวัตถุประสงค์ของ ระบบฐานข้อมูลท่ีจะจัดทาขึ้นเพื่อแสดงถึงความสามารถของระบบฐานข้อมูลในการตอบสนองต่อ ความต้องการในการใช้ข้อมูลของผู้ใช้งานและผู้เกี่ยวข้องรวมท้ังลักษณะการทางาน ประสิทธิภาพ และความสามารถในการจัดการกับข้อมูลตลอดจนขอบเขตท่ีครอบคลุมระบบงานภายในขององค์กร การกาหนดสิทธิในการใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละระดับในองค์กร และการกาหนดระบบรักษาความ ปลอดภยั ของขอ้ มูล 1.2.3 การเลือกระบบจัดการฐานข้อมลู โดยส่วนใหญก่ ารเปลยี่ นแปลงระบบการจัดการ ข้อมูลแบบเดิมมาเป็นระบบฐานข้อมูล มักมีสาเหตุเน่ืองมาจากความต้องการในการลดความซ้าซ้อน ของข้อมูลภายในองค์กรและการควบคุมปริมาณข้อมูลท่ีเพิ่มมากข้ึนทั้งนี้ ปัจจัยที่ประกอบการ พิจารณาเลือกระบบจัดการฐานข้อมูลมีหลายประการ ตัวอย่างเช่น ปัจจัยทางด้านเทคนิค ปัจจัย ทางดา้ นเศรษฐกจิ เป็นตน้ ซงึ่ แตล่ ะองค์กรอาจพิจารณาใหค้ วามสาคญั กบั ปจั จัยแตล่ ะด้านแตกต่างกัน ออกไป อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่บทบาทสาคัญต่อการพิจารณาเพ่ือตัดสินใจเลือกระบบจัดการ ฐานข้อมูลคือ ค่าใช้จ่ายและลประโยชน์ท่ีจะได้รับ คุณสมบัติของซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูล และโครงสร้างของฐานข้อมูล ค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ที่จะได้รับ ในการเลือกระบบจัดการ ฐานข้อมูลที่จะนามาใช้ส่ิงหนึ่งที่ทุกองค์กรมักจะคานึงถึง คือ ความคุ้มค่าในการลงทุนโดยปัจจัย ทางด้านต้นทุนท่ีควรนามาพิจารณาประกอบด้วยราคาของซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูล ราคา ของฮาร์ดแวร์ที่เก่ียวข้องไม่ว่าจะเป็นการซ้ือใหม่หรือการจัดหามาเพิ่มเติมจากท่ีมีอยู่ในปัจจุบัน

17 ค่าใช้จ่ายสาหรับการติดตั้งและดาเนินการ ค่าใช้จ่ายในการบารุงรักษา ค่าใช้จ่ายเก่ียวกับบุคลากรท่ี เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นการจัดจ้างบุคลากรในตาแหน่งต่าง ๆ เพิ่มขึ้น หรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม และค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยนระบบการจัดการข้อมูลแบบเดิมมาเป็นระบบฐานข้อมูลท้ังน้ี ในส่วน ของผลประโยชน์ท่ีคาดว่าองค์กรจะได้รับนั้น บางคร้ังไม่อาจระบุเป็นตัวเงินได้ ตัวอย่างเช่น การ เปล่ียนจากระบบการจัดการข้อมูลแบบเดิมมาเป็นระบบฐานข้อมูล ทาให้การทางานมีประสิทธิภาพ มากขึ้น เน่ืองจากผูใ้ ชฐ้ านข้อมูลสามารถค้นหาข้อมูลได้รวดเรว็ หรือสะดวกขึ้นเป็นต้น คุณสมบัติของซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูล ตัวอย่างเช่น ความสามารถใน การใช้กับแพลตฟอร์ม (Platform) ต่าง ๆ การมีเครื่องมือช่วยในการจัดทาและการเรียกใช้ฐานข้อมลู ทาใหผ้ ้ใู ช้สามารถใชง้ านไดง้ า่ ยและสะดวกข้ึน รวมท้งั ความสามารถและประโยชน์ใชส้ อยในดา้ นอื่น ๆ ของซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูล เช่น การสร้างรายงานใหม่ การสร้างแผนภูมิ การส่ือสาร เป็น ต้น โครงสร้างของฐานข้อมูล ปัจจัยสาคัญประการหนึ่งในการพิจารณาเลือกระบบจัดการฐาน ข้อมูล ท่ีจะนามาใช้ คือ โครงสร้างของฐานข้อมูลท่ีทาการออกแบบข้ึนมา ตัวอย่างเช่น หากโครงสร้างของ ฐานข้อมูลที่ทาการออกแบบขึ้นมาเป็นโครงสร้างข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ระบบจัดการฐานข้อมูลของที่ควร จะถูกพิจารณาเลือกนามาใช้จะได้แก่ ออราเคิล (Oracle) อินเกรส (Ingress) อินโฟมิกซ์ (Informix) เปน็ ต้น 1.2.4 การออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด การออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด เป็นขั้นตอนถัดมาจากการรวบรวมและวิเคราะห์ความต้องการในการใชข้ ้อมูล เป็นการออกแบบโครง ร่างของฐานข้อมูลในระดับแนวคิด (Conceptual Schema Design) เพ่ือกาหนดโครงสร้างพื้นฐาน ของฐานข้อมูลและรายละเอยี ดทงั้ หมดของฐานขอ้ มูล ไดแ้ ก่ รเี ลชันต่าง ๆ ท่ีควรเปน็ สว่ นประกอบของ ฐานข้อมูล แอททริบิวต์ท่ีควรเป็นสว่ นประกอบในโครงรา่ งของแต่ละรีเลชัน แอททริบิวต์ท่ีควรเปน็ คยี ์ หลัก (Primary key) และคีย์นอก (Foreign key) ในแต่ละรีเลชัน ตลอดจนคุณสมบัติหรือรูปแบบที่ เปน็ บรรทัดฐานท่ีเหมาะสมในแตล่ ะรีเลชันท้ังนีก้ ารออกแบบโครงร่างของรเี ลชนั ทดี่ จี ะชว่ ยลดปัญหาท่ี อาจเกิดข้นึ กับฐานขอ้ มลู ลงได้ ตัวอย่างเชน่ การซ้าซอ้ นของข้อมูล และความขัดแยง้ ของขอ้ มลู เปน็ ตน้ นอกจากน้ีการออกแบบโครงร่างของฐานข้อมูลในระดับแนวคิดยังครอบคลุมถึงการกาหนดข้อจากัด และกฎเกณฑข์ องขอ้ มลู รวมทง้ั การควบคุมความปลอดภยั ของฐานขอ้ มลู อีกด้วย สิง่ สาคญั ทผี่ ูอ้ อกแบบ ฐานข้อมูลควรต้องทาการศึกษาและวิเคราะห์ก่อนออกแบบโครงร่างของฐานข้อมูลในระดับแนวคิด คอื ขนั้ ตอนการทางานของระบบงานทกี่ าลังทาการออกแบบข้อมลู ที่เกี่ยวข้องกบั การทางานในแต่ละ ข้ันตอน กระแสการไหลของข้อมูล (Dataflow) รูปแบบและรายละเอียดในการประมวลผลรวมทั้ง ลักษณะการเก็บบันทึกข้อมูลซึ่งผลจากการศึกษาและวิเคราะห์เร่ืองดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตอ่ การกาหนดคณุ ลกั ษณะและการออกแบบโปรแกรมประยกุ ตเ์ พ่ือการใชง้ านระบบฐานข้อมลู กระบวนการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิดน้ีอาจกล่าวได้ว่า เป็น กระบวนการแบบทาซ้า (Iterative) มากกว่าเป็นกระบวนการที่ดาเนินไปตามลาดับ (Sequential) เน่ืองจากในระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ซึ่งประกอบด้วยแอททริบิวต์จานวนมากการวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ระหว่างแอททริบิวต์จะเป็นเรื่องยุ่งยากมากดังนั้นในทางปฏิบัติก ารออกแบบระบบ ฐานข้อมูลจึงมักกระทาในลักษณะจาลองแบบในระดับบนหรือภาพรวมของการทางานก่อน โดยยัง ไม่ให้ความสาคัญในเร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างแอททริบิวต์ซึ่งในการออกแบบโครงร่างของฐานข้อมูล

18 ในระดับแนวคิดนิยมนาแบบจาลองท่ีเรียกว่าอีอาร์ไดอะแกรม (Entity-Relationship Diagram) มา ประยุกต์ใช้เพ่ือชว่ ยให้การออกแบบมีความเหมาะสมมากย่ิงข้ึนซึ่งผลจากการออกแบบจะทาให้เห็นถึง เอนทิตตี า่ ง ๆ ในระบบ รายละเอยี ดของความสัมพันธ์ ตลอดจนขอ้ กาหนดและกฎเกณฑ์ทางธรุ กิจของ องค์กร โดยในระหว่างดาเนินการอาจมีการเพ่ิมหรือลดเอนทิตี แอททริบิวต์และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ใน อีอาร์ไดอะแกรมได้ด้วยแบบจาลองอีอาร์ไดอะแกรมขั้นพ้ืนฐานจึงได้รับการปรับปรุงให้ชัดเจน ถกู ตอ้ ง และสอดคล้องกับองคป์ ระกอบขององคก์ รมากขนึ้ โดยกระบวนการนจี้ ะทาซา้ ๆ กันไปจนกว่า ผู้ใช้และผู้ออกแบบระบบจะมีความเห็นตรงกันว่าเหมาะสม ดังนั้น ลักษณะเด่นของแบบจาลองอีอาร์ ไดอะแกรม คือ การแสดงให้เห็นขั้นตอนการทางานขององค์กรได้อย่างแท้จริงและเป็นที่ยอมรับของ ผู้เก่ียวข้องทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิดอาจจาแนกได้ 5 ข้ันตอน ตามลาดับคือ 1) การกาหนดรเี ลชนั และความสัมพันธ์ระหวา่ งรีเลชัน 2) การกาหนดแอททรบิ วิ ต์ คยี ห์ ลัก และคยี น์ อกในแต่ละรีเลชัน 3) การทาให้รีเลชนั มคี ุณสมบตั ิอย่ใู นรปู แบบที่เปน็ บรรทัดฐาน 4) ลักษณะและขอบเขตของข้อมูลรวมท้ังข้อจากัดและกฎเกณฑต์ ่าง ๆ ที่ควรคานึง 5) การรวบรวมและทบทวนการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด 1.2.5 การกาหนดรีเลชันและความสัมพันธ์ระหว่างรเี ลชนั ขั้นตอนน้ีจะเป็นการกาหนด รีเลชันต่าง ๆ ทีค่ วรจะมแี ละความสัมพันธร์ ะหว่างแตล่ ะรีเลชนั ในระบบฐานข้อมูลซ่ึงประกอบดว้ ยการ กาหนดเอนทิตีท่ีเก่ียวข้องการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี การแปลงเอนทิตีให้เป็นรีเลชัน และการแปลงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชัน หลังจาก ศึกษาและ วิเคราะห์รายละเอียดของระบบงานท่ีจะทาการออกแบบแล้ว ผู้ออกแบบฐานข้อมูลจะทาการกาหนด เอนทีตีต่าง ๆ ทคี่ วรจะมี เช่น พนกั งาน สินค้า รถยนต์ เปน็ ต้น จากนน้ั จงึ ทาการกาหนดความสัมพันธ์ ระหว่างเอนทิตีท้ังนี้วัตถุประสงค์ของการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีว่าเป็นความสัมพันธ์ แบบหน่ึงต่อหนึ่ง (One to One Relationship) ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One to Many Relationship) หรอื ความ สมั พนั ธแ์ บบกล่มุ ตอ่ กลุ่ม (Many to Many Relationship)ก็เพือ่ ประโยชน์ ในการกาหนดแอททริบิวต์หรือฟิลดิ์ที่จะใช้ในการเชือ่ มโยงอ้างอิงระหวา่ งรีเลชันนั่นเอง อย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีน้ันเป็นสิ่งที่ไม่มีการระบุไว้แน่นอนเนื่องจากการ ดาเนินงานในแต่ละหน่วยงานอาจมีความแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น สถาบันหน่ึงอาจกาหนดให้หนงึ่ ชดุ วิชามีอาจารย์ผู้สอนเพียงคนเดียวเท่านั้นขณะที่สถาบันอีกแห่งหน่ึงอาจกาหนดให้หน่ึงชุดวิชามี อาจารย์ผู้สอนได้มากกว่าหนึ่งคน เป็นต้น ดังน้ันในการกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี ผู้ออกแบบฐานข้อมูลจึงจาเป็นต้องทาการศึกษา วิเคราะห์ และพิจารณาจากข้อมูลรายละเอียด ตลอดจนลักษณะหน้าท่ีงานของระบบท่ีได้ทาการเก็บรวบรวมมาก่อนหน้าน้ี จากน้ันจึงทาการแปลง เอนทิตีให้เป็นรีเลชันในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ซ่ึงสามารถทาได้โดย การกาหนดช่ือของเอนทิตีเป็นช่ือ ของรีเลชัน ส่วนการแปลงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชันในฐานข้อมูล เชิงสัมพันธ์นน้ั หากความสัมพันธร์ ะหว่างเอนทิตีเป็นความสัมพันธ์แบบหน่ึงตอ่ หนึ่งหรอื ความ สัมพันธ์ แบบหนึ่งต่อกลุ่มสามารถแปลงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรีเลชันได้ทันที หากความสัมพันธร์ ะหว่างเอนทิตีเป็นความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุม่ จะต้องทาการแปลงความสัมพันธ์

19 ดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์แบบหน่ึงต่อกลุ่มโดยการสร้างคอมโพสิตเอนทิตี (Composite Entity) ขน้ึ มากอ่ น จากน้ันจึงแปลงโพสิตเอนทติ ีทีส่ ร้างขนึ้ เป็นรีเลชนั ในฐานข้อมูลเชิงสมั พนั ธ์ โดยการกาหนด ช่ือของโพสิตเอนทิตีเป็นช่ือของรีเลชัน และแปลงความสัมพันธร์ ะหวา่ งเอนทิตแี บบหน่ึงต่อกลุ่มที่เพม่ิ ขึ้นมาเปน็ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรีเลชัน 1.2.6 การกาหนดแอททริบิวต์ต่าง ๆ คีย์หลัก และคีย์นอกในแต่ละรีเลชัน หลังจาก กาหนดรเี ลชันและความสัมพันธร์ ะหว่างรีเลชันในระบบฐานข้อมลู แล้วข้ันตอนนี้จะเป็นการกาหนดแอ ททริบิวต์ในแต่ละรีเลชันซึ่งโดยท่ัวไปมักไม่นิยมกาหนดใหแ้ อททริบิวต์ท่ีเกิดจากการคานวณ(Derived Attribute) ปรากฏอยู่ในแต่ละรีเลชัน เนื่องจากอาจทาให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับความซ้าซ้อนกันของ ข้อมูลขึ้นได้ จากนั้นจึงทาการกาหนดแอททริบิวต์ท่ีทาหน้าที่เป็นคีย์หลักในแต่ละรีเลชัน โดยแอททริ บิวต์ท่ีมี คุณสมบัติเป็นคีย์หลัก คือ แอททริบิวต์ที่มีค่าเป็นเอกลักษณ์หรือมีค่าไม่ซ้าซ้อนกัน ทาให้ สามารถระบุคา่ ของแอททริบวิ ต์อ่ืนในทูเพลิ หน่ึง ๆ ได้ทงั้ นี้แอททริบิวต์ที่ทาหน้าท่ีเป็นคยี ์หลกั อาจเป็น คีย์ผสม (Composite Key) หรือกลุ่มของแอททริบิวต์ที่นามาประกอบกันเพ่ือให้มีค่าเป็นเอกลักษณก์ ็ ได้หากทว่าในหนึ่งรีเลชันอาจมีแอททริบิวต์ท่ีมีคุณสมบัติเป็นคีย์หลักมากกว่าหนึ่งแอททริบิวต์ดังน้ัน ผู้ออกแบบฐานข้อมูลควรเลือกแอททรบิ วิ ต์ท่เี หมาะสมที่สุดเพียงหน่งึ แอททริบวิ ตเ์ พื่อทาหน้าท่ีเป็นคีย์ หลักซงึ่ แอททริบิวตท์ ไี่ ม่ไดท้ าหน้าทเ่ี ปน็ คียห์ ลักเรยี กวา่ คยี ์สารอง (Alternate Key) นอกจากการกาหนดแอททริบิวต์ต่าง ๆ และคีย์หลักแล้วผู้ออกแบบฐานข้อมูล จาเป็นต้องทาการกาหนดคีย์นอกท่ีสามารถเช่ือมโยงอ้างอิงถึงแอททริบิวต์ที่เป็นคีย์หลักในอีกรีเลชัน หนึ่งที่มีความสัมพันธ์กันได้ซึ่งการกาหนดคีย์นอกของแต่ละรีเลชันสามารถทาได้โดยการพิจารณาจาก ความสมั พันธร์ ะหว่างแตล่ ะรเี ลชนั ดังนี้ 1) หากความสัมพันธ์ระหวา่ งรเี ลชนั เปน็ ความสมั พนั ธ์แบบหนึ่งตอ่ หนึ่งให้เพิ่มคีย์ หลกั ของรีลเชันหนึง่ ลงไปเป็นแอททริบวิ ตใ์ นอีกรเี ลชันหนึง่ 2) หากความสัมพันธ์ระหวา่ งรีเลชันเป็นความสมั พันธ์แบบหนึ่งตอ่ กลุ่ม ให้เพิ่ม คีย์หลักของรีเลชันท่ีอยู่ด้านความสัมพันธ์เป็นหน่ึงไปเป็นแอททริบิวต์ในอีกรีเล ชันหน่ึงท่ีอยู่ด้าน ความสัมพันธ์เป็นกลุ่มทั้งน้ีกรณีของรีเลชันท่ีแปลงมาจากคอมโพสิตเอนทิตีจะปรากฏแอททริบิวต์ ดังกล่าวอย่แู ลว้ 3) หากรเี ลชนั มคี วามสัมพันธแ์ บบเรียกซา้ (Recursive) ใหเ้ พิ่มคีย์หลักของ รีเลชันท่ีอยู่ด้านความสัมพันธ์เป็นหน่ึงไปเป็นแอททริบิวต์ในอีกรีเลชันหนึ่งที่อยู่ด้านท่ีมีความสัมพันธ์ เป็นกลุ่มโดยเปลี่ยนชื่อของแอททริบิวต์นั้นใหม่ ทั้งนี้การกาหนดให้แอททริบิวต์ใดทาหน้าที่เป็นคีย์ นอกผู้ออกแบบฐานข้อมูลควรคานึงถึงกฎแห่งความบูรณภาพของการอ้างอิง (The Referential Integrity Rule) ดว้ ย 1.2.7 การทาให้รีเลชันมีคุณสมบัติอยู่ในรูปแบบท่ีเป็นบรรทัดฐาน นการออกแบบ ฐานข้อมูล สิ่งสาคัญที่ผู้ออกแบบฐานข้อมูลควรคานึงถึงอีกประการหน่ึงก็คือ การทาให้แต่ละรีเลชันมี คุณสมบัติอยู่ในรูปแบบท่ีเป็นบรรทัดฐาน (Normalization) ที่เหมาะสม การทาตารางข้อมูลให้อยู่ใน รูปแบบบรรทัดฐาน หมายถึงการออกแบบตาราง (Relation) ให้เป็นรูปแบบบรรทัดฐาน คือมีความ เป็นปรกติไม่ก่อให้เกิดปัญหาข้อมูลขัดแย้ง (Inconsistency) ในท่ีเก็บต่าง ๆ ปัญหาการเพ่ิม ปรับปรุง และลบข้อมูล (InsertUpdate and Delete Anomalies) ตลอดจนช่วยลดเน้ือท่ีในการจัดเก็บข้อมูล

20 ให้อยู่ในระดับท่ียอมรับได้อีกด้วยแนวคิดการทาตารางให้อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานน้ี อี.เอฟ.คอดด์ เป็นผู้คิดขึ้นมาเป็นคนแรกเม่ือประมาณปี ค.ศ.1917 กล่าวคือ ได้คิดค้นรูปแบบบรรทัดฐานขั้นที่ 12 และ3แต่ต่อมาพบว่ารูปแบบบรรทัดฐานขั้นที่ 3 มีข้อจากัดบางอย่างจึงร่วมกันคิดค้นรูปแบบบรรทัด ฐานข้ันที่ 3 ใหม่ขึ้นมาในราวปี ค.ศ.1974 กับบอยซ์ จึงนิยมเรียกว่า รูปแบบบรรทัดฐานบอยซ์และ คอดด์ (Boyce Codd Normal Form: BCNF) สาหรับรูปแบบบรรทัดฐานข้ันท่ี 4 และ5 น้ันคิดค้น โดย โรแนลด์ฟาจนิ (Ronald Fagin) ในปคี .ศ.1977และ1979 ซึง่ โดยทวั่ ไปการทาให้แต่ละรีเลชันให้มี คุณสมบัติอยู่ในรูปแบบท่ีเป็นบรรทัดฐานน้ันมักจะทาจนถึงรูปแบบที่เป็นบรรทัดฐานข้ันที่ 3แต่อาจมี บ้างในบางกรณีท่ีผู้ออกแบบฐานข้อมูลจาเป็นต้องดาเนินการให้รีเลชันน้ันมีคุณสมบัติอยู่ในรูปแบบที่ เป็นบรรทัดฐานบอยซ์และคอดด์ คือทาให้รีเลชั่นอยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานขั้นที่ 3 และกาหนดให้ดี เทอร์มิแนนต์ (Determinant) ทุก ๆ ตัวเป็นคีย์คู่แข่ง กล่าวง่าย ๆ คือมีมากกว่าหน่ึงฟิลดิ์ที่สามารถ เป็นคีย์หลักได้ หรือรูปแบบท่ีเป็นบรรทัดฐานข้ันท่ี 4คือทาให้อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานบอยซ์และ คอดด์และจะต้องไม่มีการข้ึนต่อกันเชิงกลุ่มภายในรีเลชันและ5คือทาให้อยู่ในรูปแบบบรรทัดฐานข้ัน ท่ี 4 และจะต้องไม่มีคุณสมบัติของการข้ึนต่อกันแบบเช่ือมโยง (Join)ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของการทาให้ แต่ละรีเลชันมีคุณสมบัติอยู่ในรูปแบบท่ีเป็นบรรทัดฐานท่ีเหมาะสม คือ เพ่ือขจัดปัญหาความซ้าซ้อน ของข้อมูลที่อาจเกิดข้ึนในโครงสร้างข้อมูล ทาให้ข้อมูลมีความถูกต้องและเชอื่ ถือได้ ซ่ึงจะทาให้ไม่เกดิ ความผิดพลาดกบั ฐานขอ้ มลู ขึน้ ในภายหลงั 1.2.8 ลักษณะและขอบเขตของขอ้ มลู รวมทงั้ ข้อจากดั และกฎเกณฑ์ตา่ ง ๆ ทค่ี วรคานึง ขั้นตอนนี้เป็นการนารายละเอียดของระบบงานท่ีทาการศึกษาและวิเคราะห์ไวแ้ ลว้ มาทาการพิจารณา ถึงลักษณะและขอบเขตของข้อมูลท่ีสามารถจดั เก็บได้ในแต่ละแอททริบิวต์ ตัวอย่างเช่น ประเภทของ ขอ้ มลู (Data Type) ขนาดของข้อมูล (Data Length) รูปแบบของข้อมูล (Format) และขอบเขตของ ข้อมูล (Data Range) เป็นต้น นอกจากน้ียังพิจารณาถึงข้อจากัดและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในการเพ่ิม การ ลบ หรือการปรับปรุงข้อมูล ซ่ึงจะมีผลกระทบต่อการจัดเก็บข้อมูลในแต่ละแอททริบิวต์อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในหน่ึงภาคการศึกษา นิสิตสามารถลงทะเบียนเรียนได้ไม่เกิน 24 หน่วยกิต สมาชิกบัตร เครดิตสามารถใช้จ่ายได้ไม่เกินวงเงินท่ีได้รับอนุมัติ เป็นต้น ดังนั้นในการออกแบบโครงร่างของ ฐานข้อมูลในระดับแนวคิด ผู้ออกแบบฐานข้อมูลควรทาการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขตค่าของ ข้อมูลท่ีสามารถจัดเก็บได้ในแต่ละแอททริบิวต์ ตลอดจนเง่ือนไขหรือข้อ จากัดและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ รวมท้ังผลท่ีอาจเกิดข้ึนและแอททริบิวต์ที่จะได้รับผลกระทบหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือข้อจากัด หรือกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ที่มีการระบุไว้ 1.2.9 การรวบรวมและทบทวนการออกแบบฐานขอ้ มลู ในระดบั แนวคดิ วตั ถปุ ระสงค์ใน การรวบรวมและทบทวนโครงร่างจากการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด คือเพ่ือตรวจทานและ ตรวจสอบสาระสาคัญตลอดจนความขดั แย้ง ความซ้าซอ้ น หรือความไมถ่ ูกต้องทอ่ี าจเกิดขึน้ ทาให้โครง รา่ งของฐานข้อมูลในระดับแนวคิดมีความถูกต้องสมบูรณ์มากขนึ้ เนื่องจากผู้ใช้หลายคนท่ีมสี ว่ นร่วมใน การออกแบบฐานข้อมูลอาจมีมุมมองเกี่ยวกับข้อมูลเดียวกันแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ข้อมูลของ พนักงานอาจเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ฐานข้อมูลหลายคนจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายการเงิน และบัญชีเป็นต้น นอกจากนี้สิ่งหน่ึงท่ีควรต้องพิจารณาในข้ันตอนน้ี คือ ผลกระทบที่อาจเกิดจาก ปริมาณงานหรือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบงานในอนาคต ตัวอย่างเช่น หากมีรีเลชันใหม่เกิดข้ึน

21 ในระบบฐานข้อมูลที่กาลังทาการออกแบบอยู่อาจทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตีเปล่ียนแปลงไป และปรมิ าณขอ้ มูลในแต่ละรเี ลชันอาจเพิ่มมากขน้ึ ด้วย เป็นตน้ 1) การนาฐานขอ้ มลู ทอ่ี อกแบบในระดับแนวคิดเข้าส่รู ะบบจัดการฐานข้อมลู ขั้นตอนน้ีเป็นการแปลงโครงร่างของฐานข้อมูลที่ได้ทาการออกแบบไว้ในระดับแนวคิดเข้าสู่รูปแบบ ของข้อมูลในระบบจัดการฐานข้อมูลท่ีเลือกใช้โดยทาการกาหนดภาษาสาหรับนิยามข้อมูลตามระบบ จัดการฐานข้อมูลที่เลือกใช้ให้เป็นไปตามโครงร่างของฐานข้อมูลในระดับแนวคิดที่ออกแบบไวแ้ ล้ว ซ่ึง ประกอบด้วย 2 ข้ันตอน คือการกาหนดโครงสร้างของฐานข้อมูล และการกาหนดการอ้างอิง ระหว่างตารางข้อมลู (1) การกาหนดโครงสรา้ งของฐานขอ้ มูล การกาหนดโครงสรา้ งของ ฐานข้อมูล เป็นการกาหนดโครงสรา้ งของข้อมูลในลักษณะของตารางสองมิติ (Two Dimension) ซ่ึง ประกอบด้วยสดมภ์ (Column) ซ่ึงใช้แทนแอททริบิวต์ และแถว(Roll) ซ่ึงใช้แทนความ สัมพันธ์ ระหว่างแอททริบิวต์ โดยเรียกตารางสองมิติน้ีว่าตารางข้อมูล ทั้งนี้ตารางข้อมูลจะประกอบด้วย คุณสมบัติต่าง ๆ ได้แก่ ช่ือแอททริบิวต์ชื่อตารางข้อมูล การกาหนดคุณสมบัติของข้อมูล ได้แก่ ค่าท่ี เปน็ ไปได้ ประเภทและขนาดของขอ้ มลู ที่จัดเกบ็ เปน็ ต้น (2) การกาหนดการอ้างอิงระหว่างตารางข้อมูล การกาหนดการอ้างอิง ระหว่างตารางข้อมูลเป็นการใช้คาสั่งในระบบจัดการฐานข้อมูลท่ีเลือกทาการกาหนดคีย์ระหว่าง ตารางข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกัน โดยต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติของคีย์ ค่าของคีย์ ข้อจากัดและกฎเกณฑ์ ของแอททริบิวต์ต่าง ๆ เช่น คีย์หลัก และคีย์นอก โดเมนของแอททริบิวต์ ตลอดจนข้อจากัดเฉพาะ ของกฎเกณฑใ์ นการปฏบิ ตั งิ าน 2) การออกแบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพ การออกแบบฐานข้อมลู ในระดับ กายภาพเป็นการนาโครงสร้างตารางข้อมลู ที่มีการกาหนดคุณสมบตั ิหลักไวแ้ ลว้ มากาหนดรายละเอียด คุณสมบัติของโครงสร้างท่ีใช้ในการจัดเก็บข้อมูลให้ครบถ้วน กาหนดตาแหน่งของฐานข้อมูลท่ีจะ บันทึกลงบนสือ่ อเิ ล็กทรอนิกส์ กาหนดวธิ ใี นการเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูล ตลอดจนกาหนดรายะเอียด อื่น ๆ ได้แก่ การกาหนดเน้ือท่ีในหน่วยความจาเพื่อจัดเก็บตารางต่าง ๆ ในฐานข้อมูล การกาหนด เวลาในการเข้าถึงข้อมูล การกาหนดความปลอดภัยในการเข้าใช้ฐานข้อมูล การควบคุม การเรียกใช้ การแก้ไข การเพิ่มเติมและการกาหนดระดับสิทธิแก่ผู้ใช้ข้อมูลในระบบแต่ละคนด้วย รวมท้ัง ต้อง คานงึ ถงึ การรกั ษาความปลอดภยั ของข้อมลู ในเรอื่ งต่าง ๆ ดว้ ย เชน่ การก้สู ภาพเม่อื ระบบเกิดลม้ เหลว การป้องกันการเกิดภาวะพร้อมกัน เป็นต้น ทั้งน้ีเพื่อให้การจัดการฐานข้อมูลดาเนินไปอย่างมี ประสิทธิภาพ การออกแบบฐานข้อมลู ในระดับกายภาพจะมีรายละเอยี ดท่แี ตกต่างกันขึ้นอยู่กับระบบ จัดการฐาน ข้อมูลที่เลือกใช้และฮาร์ดแวร์ของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจัดเก็บฐานข้อมูล ท้ังน้ี ปัจจัยสาคัญท่ีจาเป็นต้องพิจารณาในการออกแบบระบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพประกอบด้วย 3 ประเด็น คือ ความเร็วในการเรียกใช้ข้อมูล การใช้เน้ือท่ีในการจัดเก็บข้อมูล และค่าเฉล่ียของจานวน รายการทป่ี ระมวลผลได้ใน 1 นาที 3) การนาฐานข้อมูลไปใช้และการประเมินผล หลังจากการออกแบบฐานข้อมูล ในระดับกายภาพเสร็จสิ้นลง ซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูลจะนาภาษาสาหรับนิยามข้อมูลท่ี ครบถว้ นสมบูรณ์ไปสรา้ งเป็นฐานขอ้ มูลและตารางขอ้ มูล เพอ่ื บรรจขุ อ้ มูลลงในระบบฐานข้อมูลสาหรับ

22 การใช้งานจริง เมื่อระบบจัดการฐานข้อมูลทาการสร้างรายละเอียดต่าง ๆ ของฐาน ข้อมูล ที่ถูก ออกแบบ เช่น ตารางขอ้ มูลทั้งหมดในฐานข้อมลู แอททริบิวตใ์ นแต่ละตารางข้อมูล ระดบั สิทธขิ องผู้ใช้ ข้อมูลแต่ละคน เป็นต้น เรียบร้อยแล้วก็จะทาการจัดเก็บรายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ในพจนานุกรม ข้อมูล (Data Dictionary) ซึ่งผู้บริหารฐานข้อมูลสามารถเรียกดูได้ ทั้งน้ี การทางานในขั้นตอนนี้จะ ครอบคลุมถึงการทดสอบประสิทธิภาพในการทางานของฐานข้อมูล (performance) และการทดสอบ การทางานของฐานข้อมูลท่ีจัดทาข้ึนก่อนนาไปใช้งานจริงด้วย จากน้ันจึงเป็นการนาฐานข้อมูลมาใช้ งานจริง ซ่ึงไดแ้ ก่ การเรยี กใช้ขอ้ มูลจากระบบฐานขอ้ มลู ผ่านภาษาสอบถาม (Query Language) และ การจัดทารายงานต่าง ๆ ซึ่งผลจากการทางานที่เกิดข้ึนจะมีการประเมินและตรวจสอบเพื่อปรับปรุง แก้ไข และบารุงรักษาฐานข้อมูลในเร่ืองต่าง ๆ ได้แก่ การสารองข้อมูล การกู้ข้อมูลหากระบบ ฐานขอ้ มูลมีปญั หา การปรบั ปรุงประสทิ ธภิ าพการทางานของฐานขอ้ มลู ใหร้ วดเรว็ ขึ้น เป็นต้น 4) การออกแบบฐานข้อมูลในระดับตรรกะ การออกแบบฐานข้อมูลในระดับ ตรรกะเป็นการนาผลจากการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิดมาทาการปรับเพ่ือให้เหมาะสมกับ รูปแบบฐานข้อมูลท่ีเลือกใช้ผลท่ีได้จะเป็นเค้าร่างของฐานข้อมูลท่ีมีรายละเอี ยดสมบูรณ์ที่สามารถ นาไปกาหนดภาษาสาหรับนิยามข้อมูลในข้ันตอนการออกแบบในระดับกายภาพได้ ข้ันตอนนี้จึงเป็น การแปลงผลจากการออกแบบในระดับแนวคิด (Mapping) ให้อยู่ในรูปแบบของระบบจัดการ ฐานข้อมูลท่ีเลือกใช้ เช่น รูปแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Management Systems :RDBMS) ในขั้นตอนน้ีเป็นการแปลงเค้าร่างใน ระดับแนวคิดให้เป็นรีเลช่ันท่ีประกอบด้วยแอททริบิวต์รวมถึงการระบุข้อกาหนดต่าง ๆ ให้กับรีเลชั่น เช่น คีย์หลัก คีย์นอก โดเมนของแอททริบิวต์ และมีการใช้แนวคิดเรื่องการจัดระบบข้อมูลในรูปแบบ บรรทดั ฐาน (Normalization) เขา้ มาชว่ ยในการออกแบบเพื่อปรับการออกแบบฐานข้อมูลทเี่ หมาะสม ปัจจัยท่ีใช้ประกอบการเลือกระบบจัดการฐานข้อมูลมีมากมายไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านเทคนิค ปัจจัย ดา้ นเศรษฐกจิ ซงึ่ ทั้งน้ีขึน้ อยู่กับว่าองคก์ รนั้น ๆ ให้ความสาคัญของปจั จยั ใดมากกวา่ กนั สรุป การออกแบบฐานข้อมูล (Database Design) ฐานข้อมูลเป็นเรื่องสาคัญสาหรับ การพัฒนาระบบงานสารสนเทศทใี่ ช้คอมพวิ เตอรป์ ระมวลผล คอื การสรา้ งฐานขอ้ มลู ทมี่ ีประสิทธิภาพ เพ่ือตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน จะครอบคลุมถึงการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด (Conceptual Level) และการออกแบบฐานข้อมูลในระดับภายในหรือเชิงกายภาพ (Internal Level หรือ Physical Level) สามารถจาแนกได้ 2 วิธี คือ วิธีอุปนัย (Inductive Approach) และวิธีนิรนัย (Deductive Approach) ในการออกแบบท่ีเป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันเรียกว่า Relational Model การออกแบบฐานข้อมูลที่นาซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูลมาช่วยในการ ดาเนินการสามารถจาแนกหลักในการดาเนินการได้ 6 ขั้นตอน คอื (1) การรวบรวมและวิเคราะห์ ความต้องการในการใช้ข้อมูล (2) การเลือกระบบจัดการฐานข้อมูล (3) การออกแบบฐานข้อมูลใน ระดับแนวคิด (4) การนาฐานข้อมลู ที่ออกแบบในระดบั แนวคดิ เข้าสู่ระบบจัดการฐานข้อมลู (5) การ ออกแบบฐานขอ้ มูลในระดับกายภาพ และ (6) การนาฐานข้อมูลไปใชแ้ ละการประเมินผล

23 เรอ่ื งท่ี 1.3 แบบจาลองความสัมพนั ธเ์ อนทติ ี (Entity-Relationship Model : E-R Model) แบบจาลองความสัมพันธ์เอนทิตี (Entity-Relationship Model : E-R Model) ถูก คดิ ค้นโดยเชน(Chen) ในปีค.ศ.1976ถือว่าเป็นแบบจาลองที่ใช้ในการแสดงการออกแบบฐานข้อมูลใน ระดับแนวคิด (High-level Conceptual Data Model) ซ่ึงเป็นอิสระจากระบบจัดการฐานข้อมูลโดย แบบจาลองความสัมพันธ์เอนทิตีจะแสดงเค้าร่างฐานข้อมูล (Conceptual Database Schema) ท่ี ประกอบด้วยเอนทิตีแอททริบิวต์และความ สัมพันธ์ระหว่างแอททริบิวต์ผลการออกแบบโดยใช้ แบบจาลองความสัมพันธ์เอนทิตีสามารถแสดงได้ด้วยการเขียนแผนภาพ (Entity Relationship Diagram:ERD) ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือท่ีใช้อธิบายองค์ประกอบและข้อกาหนดของฐานข้อมูลท่ี นักวิเคราะห์และออกแบบระบบใช้เป็นส่ือกลางในการส่ือสารระหว่างผู้ใช้และนักพัฒนาโปรแกรม เนื่องจากมีสัญลักษณ์ที่ส่ือความหมายให้เข้าใจได้ง่าย หลังจากออกแบบฐานข้อมูลและเขียนแผนภาพ อีอารด์ ีท่ถี กู ต้องเหมาะสมกบั ระบบงานแลว้ และเลือกระบบจัดการฐานข้อมูลท่จี ะนามาใช้งานได้แล้วก็ จะทาการแปลง (Mapping Data Model) แผนภาพอีอาร์ดี (ERD) ให้เป็นเค้าร่างฐานข้อมูลให้ สอดคล้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลท่ีเลือกใช้ สมมุติว่าเลือกระบบการจัดการฐานข้อมูลแบบเชงิ สัมพันธ์ได้แก่ ออราเคิล (Oracle) หรือไมโครซอฟท์เอสคิวแอลเซิร์ฟเวอร์ (Microsoft SQL Server) เป็นต้นก็จะนาอีอาร์ไดอะแกรม (ER Diagram) มาเทียบแปลงเป็นเค้าร่างฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Schema) ทเี่ หมาะสม 1.3.1 ระเบียบวิธี แบบจาลอง เครื่องมือ และเทคนิค มีเครื่องมือใช้สอยต่างๆ อยู่มากมายที่นักวิเคราะห์ระบบสามารถนามาใช้เพื่อช่วยให้ กิจกรรมและงานต่าง ๆ ในวงจรการพัฒนาระบบมีความสมบูรณ์มากย่ิงข้ึน ด้วยการนาระเบียบวิธีมา ใช้การวิเคราะห์และออกแบบระบบซ่ึงประกอบด้วยแบบจาลอง เคร่อื งมอื และเทคนิค ดังรายละเอียด ตอ่ ไปนี้ ภาพท่ี 1.5 องค์ประกอบของระเบยี บวธิ ี ซึง่ ประกอบดว้ ยแบบจาลองเครื่องมือและเทคนิค

24 1.3.2 ระเบียบวิธี (Methodologies) ระเบียบวิธีการพัฒนาระบบ คือแนวทางเพื่อ นาไปปฏิบัติตามสาหรับการดาเนินงานในทุกๆกิจกรรมตามวงจรการพัฒนาระบบให้มีความสมบูรณ์ มากขึ้น ซึ่งประกอบด้วย แบบจาลอง เครื่องมือ และเทคนิค (รูปท่ี 5) สาหรับบางระเบียบวิธีถูก พัฒนาขึ้นเป็นการภายใน หรืออาจพัฒนาขึ้นโดยผู้เช่ียวชาญในบริษัทซ่ึงข้ึนอยู่กับประสบการณ์ของ พวกเขา ในขณะเดียวกัน บางระเบียบวิธีก็จาเป็นต้องซื้อจากบริษัทท่ีปรึกษาหรือผู้ค้าซอฟแวร์และ ด้วยระเบียบวิธีจะให้คาแนะนาเกี่ยวกับวิธีการใชแ้ บบจาลอง เคร่ืองมือ และเทคนิคอย่างไรนั้น เราจึง ตอ้ งทาความเข้าใจเก่ียวกับแบบจาลอง เครอ่ื งมอื และเทคนิคต่างๆ ทป่ี รากฏอยูใ่ นระเบียบวธิ เี หลา่ นั้น เสียก่อน 1.3.3 แบบจาลอง (Models) เป็นตัวแทนในการนาเสนอรูปร่างหน้าตาของระบบซ่ึงมี ความเป็นนามธรรมสูง มีจุดประสงค์เพ่ือให้ผู้ใช้มองเห็นภาพ และมีความเข้าใจในภาพรวมของ เรื่องราวนั้นๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น แผนภาพกระแสข้อมูลเป็นแบบจาลองกระบวนการท่ี นาเสนอให้เห็นถึงการไหลของข้อมูลไปยังกระบวนการต่าง ๆ หรือแผนภาพอีอาร์ซ่ึงเป็นแบบจาลอง ข้อมลู ทาให้มองเห็นความสัมพันธ์ข้อมูลในระบบงานท้ังหมด 1) ตัวอย่างแบบจาลองท่นี ามาใชเ้ ป็นสว่ นประกอบของระบบ (1) ผังงาน (Flowchart) (2) แผนภาพกระแสขอ้ มูล (Data Flow Diagram) (3) แผนภาพออี าร์ (Entity-Relationship Diagram) (4) ผังโครงสร้าง (Structure Chart) (5) Use Case Diagram (6) Class Diagram (7) Sequence Diagram 2) ตวั อย่างแบบจาลองทน่ี ามาใช้จัดการกับกระบวนการพัฒนา (1) แผนภมู แิ กนต์ (Gantt Chart) (2) ผังลาดบั ชน้ั องค์กร (Organizational Hierarchy Chart) (3) สตู รวิเคราะหท์ างการเงนิ เชน่ NPV, ROI 1.3.4 เคร่ืองมือ (Tools) เครื่องมือพัฒนาระบบ หมายถึงโปรแกรมซอฟแวร์ที่นามาใช้ สนับสนุนการสรา้ งแบบจาลอง หรือสว่ น ประกอบอื่นๆ ทีต่ ้องการในโครงการ เครือ่ งมอื เหล่านี้จะช่วย อานวยความสะดวกในการสร้างแผนภาพหรือไดอะแกรมต่างๆได้ง่ายข้ึน รวมถึงอาจมีฐานข้อมูล ศูนยก์ ลางทน่ี ามาใช้เกบ็ ข้อมลู เก่ียวกบั โครงการ ทส่ี มาชิกทกุ คนในโครงการสามารถเขา้ ถงึ เพ่ือแบ่งปัน การใช้งานและอัปเดตงานในโครงการ สภาพแวดล้อมสาหับการพัฒนาแบบเบ็ดเสร็จ (Integrated Development Environments-: IDE) เป็นซอฟแวร์ท่ีนามาใช้เป็นศูนย์รวมของโครงการพัฒนา ระบบ ภายในชุดจะประกอบไปด้วยเคร่ืองมืออานวยความสะดวกต่างๆมากมายที่ช่วยงานด้านการ เขียนโปรแกรม เช่น โปรแกรมเอดิเตอร์ ตัวแปลชุดคาส่ัง เคร่ืองมือดีบั๊กโปรแกรม โดยอาจมีเครื่องมอื บางชนิดสามารถสร้างโค้ดโปรแกรมจากแบบจาลอง ในขณะ เดียวกัน เคร่ืองมือบางชนิดจะเป็น วิศวกรรมย้อนกลับ โดยจะสร้างแบบจาลองข้ึนมาจากโค้ดโปรแกรม เพื่อให้นักพัฒนาโปรแกรม สามารถนาไปตรวจสอบสง่ิ ทโ่ี ปรแกรมทาวา่ มีอะไรบา้ ง นอกจากน้ียงั มีเคร่ืองมือสรา้ งแบบ จาลองภาพ

25 (Visual Modeling Tools) ท่ีพร้อมเป็นเคร่ืองมือช่วยนักวิเคราะห์ระบบในการสร้างและตรวจสอบ แบบจาลอง การแปลงแบบจาลองที่สรา้ งขน้ึ มาเป็นโคด้ คาสงั่ เป็นต้น ตวั อย่างเครื่องมอื ต่างทีน่ ามาใช้กบั งานพฒั นาระบบ 1) โปรแกรมบรหิ ารโครงการ 2) โปรแกรมชว่ ยวาดไดอะแกรม 3) โปรแกรมเอดเิ ตอร์ 4) เคสทูลส์ หรือเคร่อื งมือสร้างแบบจาลองภาพ 5) เครอ่ื งมอื ประเภท IDE 6) โปรแกรมจดั การฐานขอ้ มูล 7) เครื่องมือวิศวกรรมยอ้ นกลับ 8) เครื่องมือสร้างโค้ดโปรแกรม 1.3.5 เทคนิค (Techniques) เทคนิคในการพัฒนาระบบ ประกอบไปด้วยชุดของ แนวทางท่ีช่วยให้นักวิเคราะห์ระบบสามารถนาไป ใช้กับงานหรือกิจกรรมการพัฒนาระบบให้มีความ สมบูรณ์มากยิ่งข้ึน โดยท่ัวไปแล้ว เทคนิคมักจะมีคาแนะนาแบบเป็นขั้นเป็นตอนสาหรับงานสร้าง แบบจาลอง หรอื อาจให้คาแนะนาเพ่ิมเติมเกย่ี วกบั การรวบรวมข้อมูลจากผู้ใชร้ ะบบ ตวั อย่างเทคนิคตา่ งๆทน่ี ามาใช้กับงานพฒั นาระบบ 1) เทคนิคการวางแผนกลยุทธ์ 2) เทคนิคการบริหารโครงการ 3) เทคนิคการสมั ภาษณ์ผูใ้ ช้ 4) เทคนคิ การสร้างแบบจาลองข้อมูล 5) เทคนคิ การออกแบบฐานข้อมลู เชิงสมั พนั ธ์ 6) เทคนิคการวิเคราะหเ์ ชิงโครงสรา้ ง 7) เทคนคิ การออกแบบเชงิ โครงสรา้ ง 8) เทคนคิ การโปรแกรมเชงิ โครงสรา้ ง 9) เทคนคิ การทดสอบซอฟแวร์ 10) เทคนคิ การวิเคราะหแ์ ละออกแบบระบบเชิงวัตถุ สรปุ แบบจาลองความสัมพันธ์เอนทติ ี (Entity-Relationship Model : E-R Model) เป็นแบบจาลองที่ใช้ในการแสดงการออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด (High-level Conceptual Data Model) ซึ่งเป็นอิสระจากระบบจดั การฐานข้อมูลโดยแบบจาลองความสมั พันธ์เอนทิตีจะแสดง เคา้ รา่ งฐานข้อมลู (Conceptual Database Schema) ที่ประกอบด้วยเอนทิตีแอททรบิ ิวต์และความ สมั พันธร์ ะหว่างแอททริบิวต์ ผลการออกแบบโดยใชแ้ บบจาลองความสัมพนั ธเ์ อนทิตีสามารถแสดงได้ ด้วยการเขียนแผนภาพ (Entity Relationship Diagram : ERD) มีองค์ประกอบดังนี้ (1) ระเบียบ วิธี (Methodologies) (2) แบบจาลอง (Models) (3) เคร่ืองมือ (Tools) และ (4) เทคนิค (Techniques) โปรดศึกษาเนอื้ หาสาระตอนท่ี 2 ต่อไป