โดย นางสาว กนกวรรณ ลที อง 62115265104 ค.บ.เคมี
เสนอ รองศาสตราจารย์ ดร.สาราญ กาจดั ภัย สาขาวชิ า : วจิ ยั และประเมินผลการศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร ตาแหนง่ ปัจจบุ ัน : ประธานคณะกรรมการบรหิ ารหลักสตู ร ดษุ ฎีบณั ฑติ สาขาวิจัยหลกั สูตรและการสอน
คานา บันทกึ การเรียนรู้ฉบบั น้ีเป็นสว่ นหนงึ่ ของวิชาการวดั และประเมนิ การศกึ ษาและการเรียนรู้ รหัสวิชา 21042103 โดยมวี ัตถุประสงค์เพื่อศกึ ษา และนาความรู้ทไ่ี ด้จากการเรยี นและการศึกษานามาสรปุ เนื้อหารวบยอด เพื่อให้งา่ ยตอ่ การศึกษา บันทกึ การเรยี นรเู้ ล่มนป้ี ระกอบไปดว้ ยเนื้อหาการ เรียนรูท้ ัง้ หมด 16 หน่วยการเรยี นรู้ ผู้จัดหวงั เป็นอย่างย่งิ ว่าบนั ทกึ การเรียนรู้ ฉบับน้จี ะเป็นประโยชน์ตอ่ ผทู้ ่ตี ้องการศกึ ษาค้นคว้า ทางผู้จดั ทาขอขอบพระคุณท่านอาจารยร์ ศ.ดร.สาราญ กาจดั ภยั ทเ่ี ป็นผใู้ ห้ความร้แู ละช้ีแนะแนวทางการศกึ ษา หากผดิ พลาดประการใด ผจู้ ัดทาขออภยั มา ณ ทนี่ ้ีด้วย กนกวรรณ ลที อง ผูจ้ ดั ทา
สารบญั หนา้ เร่อื ง ก ข คานา ค สารบญั แนะนาเจา้ ของผลงาน 1 บนั ทึกหนว่ ยการเรยี นรู้ 16 หน่วยการเรยี นรู้ 2 แนวคดิ เกยี่ วกับการเรยี นรู้ 3 แนวคิดเบ้ืองตน้ เกี่ยวกับการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ หลักการและจดุ มุ่งหมายของการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 4 การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้โดยใชแ้ บบทดสอบ 5 6 แบบทดสอบอัตนัย 7 แบบทดสอบปรนัยชนิดถกู ผดิ 8 แบบทดสอบปรนยั ชนดิ จบั คู่ 9 แบบทดสอบปรนยั ชนดิ เตมิ ค าและชนิดตอบแบบสั้น 10 แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 11 การตรวจสอบคณุ ภาพของแบบทดสอบ 12 การวิเคราะหต์ ัวชี้วัดสกู่ ารออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ 13 การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรอู้ งิ มาตรฐาน 14 การประเมนิ จากการสอ่ื สาร 15 การประเมนิ การปฏิบตั ิ 16 การประเมนิ ตามสภาพจริงในชนั้ เรยี น 17 การใช้รบู รกิ ส์ในการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การประเมินโดยใชแ้ ฟม้ สะสมผลงาน สะท้อนความร้สู กึ
แนะนาเจา้ ของผลงาน ชือ่ : นางสาว กนกวรรณ ลีทอง ชื่อเล่น : ส้มโอ เกดิ : วนั อาทิตย์ท่ี 25 มิถนุ ายน พ.ศ.2543 อายุ : 20 ปี การศกึ ษา : ปัจจุบนั ศกึ ษาทค่ี ณะครุศาสตร์ สาขาวิชาเคมี มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร รหัสนกั ศกึ ษา : 62115265104 งานอดเิ รก : ฟงั เพลงและดหู นัง สีทช่ี อบ : สีฟา้ สชี มพพู าสเทล อาหารทชี่ อบ : ผัดไท สม้ ตา คติประจาใจ : ทาวันน้ีให้ดที ี่สดุ E-mail : [email protected] [email protected] Tell ; 061-028-3642
การเรยี นรู้(Learning) หมายถงึ พฤติกรรมท่ี เปลย่ี นแปลงไปถาวรจากการไดร้ บั ประสบการณ์ การเรียนรชู้ องผู้เรยี น = การเปล่ียนแปลง แนวคิดเกี่ยวกบั การเรียนรู้ พฤตกิ รรมทีค่ งทนถาวรเน่อื งจากได้รบั ประสบการณ์สง่ิ ต่างๆรอบตวั ผ่านประสาท ตามทรรศนะของ สัมผสั ทง้ั 5 หรือผ่านการเรยี นรทู้ ี่ครูจดั ให้ Bloom และคณะ • พฤตกิ รรมการเรียนรูด้ ้านพทุ ธิ พฤติกรรมการเรยี นรู้ พิสัย (Learning behavior) 1.ความรู้ความจาสิง่ ตา่ งๆได้อย่า • พฤติกรรมการเรยี นรู้ แม่นยา ด้านทกั ษะพิสยั = 2.ความเข้าใจ สามารถจบั ใจความ ความสามารถในการใช้ และตคี วามหมายได้ อวัยวะต่างๆให้ทางาน 3.การนาความร้ทู ีไ่ ดไ้ ปประยุกต์ใช้ รว่ มกัน 4.สามารถวเิ คราะห์ใจความเปน็ ขอ้ ยอ่ ยๆไดอ้ ย่างชัดเจน • พฤตกิ รรมการ 5.สามารถรว่ มรวมข้อยอ่ ยๆมา เรยี นรดู้ า้ นจติ รวมกนั แลว้ สังเคราะห์ดัดแปลง พิสยั พฤตกิ รรม ปรบั ปรงุ ใหด้ ีขึ้น 6.ประเมนิ อย่างรอบขอบเพอื่ ตัดสิน เกย่ี วกบั ความรู้สึก คณุ คา่ ของของสง่ิ นนั้ วา่ มคี ุณหรือ ความเช่ือ เจตคติ โทษ คา่ นยิ ม
แนวคดิ เบอ้ื งต้นเก่ยี วกับการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การวัดผลการเรียนรู้ = กระบวนการท่ีครผู ู้สอน นาเคร่ืองมอื ไปใช้กบั ผู้เรยี น โดย มีจุดมุ่งหมายเพอื่ ให้ผเู้ รียนตอบสนองหรอื แสดงพฤตกิ รรมการเรียนรูอ้ อกมา การวดั ผลทางตรง หมายถึง วิธีการ การวัดผลทางอ้อม หมายถงึ วิธกี าร วดั ผลทส่ี ามารถวัดสง่ิ ท่ีตอ้ งการวดั ได้ วัดผลทไ่ี มส่ ามารถวดั สง่ิ ทีต่ อ้ งการวดั โดยตรงจริง ๆ เพราะสง่ิ ทตี่ ้องการวัด ได้โดยตรง อาจเน่ืองมาจากสง่ิ นน้ั มี นน้ั มีลักษณะเป็นรปู ธรรม ลกั ษณะเป็นนามธรรม องคป์ ระกอบสาคญั Evaluation ( การตดั สนิ คุณคา่ ) สง่ิ ที่ตอ้ งการวดั ผล การเรียนรขู้ องผู้เรยี นตาม = กระบวนการตดั สินคณุ ค่าหรือคุณภาพเกี่ยวกับการ เป้าหมายที่กาหนดไว้ เรยี นรูข้ องผเู้ รยี นโดยมกี ารเก็บรวบรวมและจดั กระทา ขอ้ มลู เพอื่ ตดั สินระดับคุณภาพตามเกณฑ์หรือ วธิ ีการและเครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวดั ผล ถา้ ใชว้ ิธกี าร มาตรฐานทีไ่ ดต้ งั้ ไวอ้ ย่างชดั เจน วดั ผลทเ่ี หมาะสมและเครือ่ งมอื ทใ่ี ชม้ ีคณุ ภาพ จะ มีทาให้ขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการวัดผลมคี วามถูกต้อง เที่ยงตรง เชือ่ ถือได้ ข้อมลู ซ่ึงเปน็ ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ Assessment (เปน็ กระบวนการทใี่ ช้สาหรบั แทนปริมาณ ขอ้ มูลทเ่ี ป็นตัวเลข หรือสัญลักษร์ทใี่ ช้บอกคะแนนของ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลสารสนเทศ) ชิ้นงานนน้ันๆ =เป็นกระบวนการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ท่เี ก่ยี วข้องกบั พฤติกรรม การเรียนรู้ของผู้เรยี น ทงั้ ข้อมูลเชงิ ปริมาณที่เปน็ ตัวเลข และ ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพทไ่ี มเ่ ปน็ ตัวเลข โดยใชเ้ ทคนคิ วธิ ีการที่ หลากหลายรว่ มกนั อย่างบูรณาการ แลว้ นาข้อมูลทไ่ี ด้มาจดั กระทาให้ได้สารสนเทศทั้งจดุ แขง็ และจุดอ่อน พรอ้ มให้ขอ้ มลู ป้อนกลบั
การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ความสาคัญของการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. ตอ่ ผเู้ รยี น การวัดและประเมนิ ผลกอ่ นเรยี นจะทาใหน้ ักเรียนรู้พื้นฐานของตนเองในวชิ านั้นๆ เมื่อทราบ จดุ อ่อนของตนเองแลว้ จะไดน้ าไปแก้ไขปรับปรงุ และการวัดและประเมินผลหลงั เรียนจะชว่ ยใหต้ วั นักเรียนรู้ ความรทู้ ี่ได้เพ่มิ เติมหลังจากการเรียนวา่ ตนเองเข้าใจได้มากน้อยเพยี งใด 2. ต่อผู้สอน การวดั และประเมินผลก่อนเรียนจะทาใหผ้ ู้สอนได้ทราบพื้นฐานของผเู้ รยี นรายบุคคล เพ่ือนาไป เปน็ แนวมางในการจดั การเรยี นการสอน ระหวา่ งเรียนจะทาใหผ้ ู้สอนได้เห็นพัฒนาการของผ้เู รยี น และการวัด และประเมินหลงั เรียนขะทาใหผ้ ู้สอยรู้วา่ นักเรียนเข้าใจในบทเรยี นน้ันๆหรือไม่ เพอ่ื นาไปปรบั ปรุงในการจดั การ เรียนการสอนเพิม่ เตมิ ประเภท จดุ มุ่งหมาย 1. เพือ่ ตรวจสอบผลการเรียนร้แู ละการสอนของ 1. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ จาแนกตาม ขั้นตอนการจดั การเรยี นการสอน กอ่ นเรียน นักเรยี นและครู ระหว่างเรยี น และหลังเรยี น 2. ตรวจสอบผลเพอ่ื นาไปปรับปรุงแกไ้ ข 3. เพื่อตรวจสอบการเรียนรขู้ องผู้เรยี นทงั้ ก่อน 2. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้จาแนกตาม วิธกี ารแปลความหมาย ผลการเรียนรู้ หรือ การเรยี นการสอน ระหว่างการเรยี นการสอน ตามการอ้างอิง และหลังการเรยี นการสอน หลักการของการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ในแนวปฏิบตั ิ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ตามหลกั สตู รแกนกลาง การศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 สถานศึกษาเปน็ ผรู้ บั ผิดชอบการวัดและการประเมินผลการเรียนรูข้ องผเู้ รียนโดยเปิด โอกาสให้ผู้ท่เี กยี่ วข้องมีส่วนรว่ ม มีจุดมงุ่ หมายเพอ่ื พัฒนาผเู้ รียนและตัดสนิ ผลการเรยี น ต้อง สอดคล้องและครอบคลมุ มาตรฐาน การเรยี นรู้/ตัวชี้วดั ตามกลมุ่ สาระการเรียนรู้ที่กาหนดใน หลักสตู ร ตอ้ งดาเนนิ การดว้ ยเทคนิควธิ ีการทห่ี ลากหลาย เพอ่ื ใหส้ ามารถวัดและประเมนิ ผล ผู้เรยี นได้อยา่ งรอบด้าน
แบบทดสอบความเรียง หรือแบบทดสอบอัตนัย “แบบทดสอบความเรยี ง” เป็นชดุ ของขอ้ • จดุ แข็ง คือ สามารถวัดสิง่ ที่ คาถามท่ีผู้สอนกาหนดข้นึ เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนเขียน ต้องการวดั ไดล้ กึ ซึง้ สามารถวัด เรยี บเรียงคาตอบอย่างอสิ ระ โดยใชค้ วามรู้ ความสามารถในการคิดระดับสูง พฤติกรรมการเรยี นร้ขู นั้ สงู ของ ผู้เรียนได้ดี • จุดอ่อน ความเป็นปรนัยในการให้ คะแนนคาตอบของผเู้ รยี น” แนวทางการตรวจให้คะแนน หลกั การหรอื แนวทางในการสรา้ ง ข้อสอบความเรยี ง แบบทดสอบความเรยี ง 1) สรา้ งเกณฑ์การใหค้ ะแนน (Rubrics) อย่าง 1) เลือกและกาหนดผลการเรียนรทู้ เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การใช้ ละเอียดชัดเจน สตปิ ัญญาข้นั สงู ทไ่ี มส่ ามารถวดั ได้โดยใชแ้ บบทดสอบปรนยั หรือการทดสอบ 2) ควรระมดั ระวังเกีย่ วกบั ความลาเอียงหรือ ภาคปฏบิ ตั ิ อคติ ดงั นัน้ ผู้สอนหรอื 2) กาหนดจานวนขอ้ คาถาม เลอื กใช้ขอ้ คาถามทมี่ ีคาตอบไม่ ผตู้ รวจข้อสอบความเรยี ง ไมค่ วรใหร้ ู้ว่ากาลงั ยาวนักจะได้ออกได้หลายขอ้ ตรวจใหค้ ะแนนของผูเ้ รียนคนใด 3) เขยี นขอ้ คาถามโดยใชถ้ อ้ ยคาทช่ี ดั เจน สอดคล้องกับผล 3) ควรตรวจใหค้ ะแนนคาตอบของผเู้ รยี นทกุ การเรียนรทู้ ต่ี ้องการวดั แตล่ ะขอ้ ควรกาหนดทศิ ทางและ คนใหเ้ สรจ็ ทลี ะขอ้ คาถามในเวลาทต่ี ่อเน่ืองกัน ข้อจากดั ของการตอบสนองทผ่ี สู้ อนตอ้ งการ 4) ไมค่ วรนาเอาประเด็นความถกู ต้องเก่ยี วกับ 4) ระบุน้าหนกั คะแนน ความยาวของคาตอบ ไวยากรณ์ หรอื โครงสรา้ งของ 5) ระบเุ กณฑ์การให้คะแนนขอ้ สอบความเรียงใหผ้ ูเ้ รียนทราบ ประโยค หรอื ข้อผดิ พลาดเกี่ยวการสะกดคา ด้วย มาเปน็ เกณฑใ์ นการตรวจให้คะแนนคาตอบ 6) ตรวจสอบคณุ ภาพเบ้อื งตน้ ของข้อสอบแตล่ ะข้อก่อน ของผเู้ รยี น
“เแบบทดสอบปรนยั ชนดิ ถูกผิด (True or false test)” ผู้เรยี นสามารถท่ีจะแยกแยะ เปน็ ชุดของขอ้ ความซงึ่ อาจเขียนอยใู่ นรปู ข้อเท็จจริงออกจากความ คิดเห็น และระบุข้อเท็จจริง ประโยคบอกเลา่ ธรรมดาหรือประโยคคาถามกไ็ ด้ เพอ่ื ให้ เหล่าน้นั ได้ ผ้เู รยี นพิจารณาว่าข้อความน้ัน ๆ ถกู หรอื ผดิ ตามหลกั วิชา โดยอาจเลือกตอบจากสองทางเลือกระหว่าง “ถกู -ผดิ ” หรอื “จรงิ -ไมจ่ รงิ ” หรือ “ใช่-ไมใ่ ช่” แบบทดสอบปรนยั ชนดิ ถูกผิด หลกั การหรอื แนวทางในการสร้างแบบทดสอบปรนยั ชนิดถูกผิด 1) เขยี นคาชี้แจงในการทาแบบทดสอบใหช้ ัดเจน 2) ขอ้ ความทีเ่ ปน็ สถานการณ์ของขอ้ คาถามจะต้องถูกหรือผิดอย่างแทจ้ รงิ 3) เขยี นขอ้ ความดว้ ยภาษาท่ีเรียบงา่ ย และชัดเจน เพ่อื ให้ผเู้ รียนทกุ คนอา่ นแลว้ เข้าใจตรงกนั 4) ในแต่ละข้อคาถามควรใหข้ อ้ มลู สารสนเทศพื้นฐานทเ่ี พียงพอ เพื่อชว่ ยให้สามารถตดั สินใจไดว้ า่ ขอ้ ความน้นั ถูกหรือผดิ 5) หลีกเล่ียงการลอกข้อความจากหนังสอื เรียนหรอื จากสมุดจดคาบรรยาย 6) ไมค่ วรใชข้ อ้ ความปฏิเสธซอ้ น เพราะอาจทาให้ผเู้ รียนอ่านเขา้ ใจยากหรือเข้าใจผดิ ได้ 7) ข้อคาถามแต่ละขอ้ ควรเปน็ อสิ ระแกก่ นั 8) ขอ้ ถกู และข้อผดิ ควรอยกู่ ระจายกันออกไป ไมค่ วรใหอ้ ยู่รวมกนั เปน็ กลุ่มหรอื เรยี งกันอยา่ งมี ระบบ
แบบทดสอบปรนยั ชนดิ จบั คู่ ตวั อยา่ งขอ้ สอบ แบบทดสอบปรนัยชนดิ จับคู่ (Matching test) เปน็ รปู แบบหน่งึ ของแบบทดสอบปรนยั ซ่ึงลักษณะโดยทวั่ ไปมักจะวางกลุ่มของคา วลี ตัวเลข หรือสญั ลักษณ์ไว้เป็น 2 คอลมั น์ คอลมั น์ ซ้ายและคอลมั น์ขวา หลักการหรือแนวทางการสร้าง แบบทดสอบปรนยั ชนดิ จบั คู่ 1) คา วลี ตวั เลข หรือสญั ลักษณต์ ่าง ๆ ทั้งที่อยูใ่ น คอลัมน์ขอ้ คาถามและ คอลัมนค์ าตอบ ควรเป็นเรือ่ งราวหรอื เนอ้ื หาเดยี วกัน 2) เขียนคาชี้แจงในการจับคู่ระหว่างชุดรายการข้อคาถาม กับชุดรายการคาตอบใหช้ ดั เจน 3) จึงควรเพม่ิ จานวนรายการข้อคาตอบ 5) ชุดข้อสอบจบั คชู่ ดุ หนงึ่ ๆ ควรกาหนดจานวนรายการ ขอ้ คาถามที่อยู่ทางซา้ ยมอื ใหเ้ หมาะสม ไม่ควรมนี ้อยหรอื มากขอ้ เกินไป
แบบทดสอบปรนัยชนิดเตมิ คาและชนิดตอบแบบสนั้ แบบทดสอบชนดิ เตมิ คา(Completion test) เปน็ แบบทดสอบปรนัยชนิดหน่ึงทมี่ ุ่งใหผ้ เู้ รยี นคดิ หาคาตอบดว้ ย ตนเอง ซ่งึ อาจเป็นคา วลี หรอื ประโยค แล้วเขียนคาตอบนัน้ ลงในชอ่ งวา่ งตอ่ จากขอ้ ความทีไ่ ด้เขยี นคา้ งไว้ เพื่อให้เปน็ ข้อความทีถ่ ูกตอ้ งสมบูรณ์ สมเหตสุ มผล หรือตรงตามข้อเทจ็ จรงิ แบบทดสอบชนิดตอบแบบส้ัน ขอ้ สอบประเภทนี้เหมาะสาหรบั การ (Short answer test) วดั ด้านเน้ือหาความรเู้ กีย่ วกับ ขอ้ เทจ็ จริงต่าง ๆ เปน็ แบบทดสอบปรนยั ชนิด หลกั การหรือแนวทางการสรา้ ง หนง่ึ ทมี่ งุ่ ใหผ้ เู้ รยี นตอบขอ้ สอบซึง่ อยู่ใน แบบทดสอบปรนัยชนดิ เตมิ คา/ตอบสนั้ รปู ของประโยคคาถามหรือประโยคคาสงั่ โดยตอบเปน็ ข้อความสน้ั ๆ กระชบั ชนิดเตมิ คา ชนดิ ตอบสัน้ 1. ใหข้ อ้ แนะนาในการตอบคาถามอย่าง 1. ให้ขอ้ แนะนาในการตอบคาถามอย่าง ชัดเจน ชดั เจน 2. เขียนคาถามให้ชดั เจนและสมบรู ณ์ ให้มี 2. เขียนคาถามให้ชัดเจนในรูปของประโยค คาตอบเพียงคาตอบเดียวเทา่ นัน้ คาถามหรอื ประโยคคาสง่ั 3. ข้อคาถามควรสอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ 3. ประยุกตข์ ้อคาถามให้วดั สตปิ ัญญาใน ระดับสงู กวา่ ความรคู้ วามจา
แบบทดสอบปรนยั ชนิดเลอื กตอบ แบบทดสอบชนิดเลอื กตอบ (Multiple choice test) เปน็ แบบทดสอบปรนยั ชนดิ หนง่ึ ท่ีมีการกาหนดคาตอบไว้หลายตวั เลือกในขอ้ สอบแต่ละข้อ สาหรบั ให้ ผู้เรียนไดเ้ ลือกตอบตามต้องการ คาถามนาหรือคาถามหลัก สว่ นประกอบของขอ้ สอบ สว่ นของตวั เลือกหรือคาตอบ เขยี นเป็นคาถามโดยตรง ตัวเลอื กทเ่ี ปน็ คาตอบถกู เขยี นเปน็ ประโยคหรือขอ้ ความที่ไม่สมบรู ณ์ ตวั เลอื กทเี่ ปน็ คาตอบลวง • ข้อสอบแบบเลือกตอบที่นยิ มใช้มี 3 แบบ 1. แบบคาถามเดย่ี ว 2. แบบตวั เลือกคงที่ 3. แบบสถานการณ์ หลกั การหรือแนวทางการสรา้ งแบบทดสอบปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 1) ควรเขียนข้อคาถามให้ชัดเจน กระชับ รดั กุม มีขอ้ มูลเพยี งพอสาหรบั การตอบคาถามได้ ใช้ภาษาทอี่ ่าน แลว้ เข้าใจง่าย ไม่คลุมเครอื 2) ควรมีตัวเลอื กอยู่ในช่วง 3-5 ตัวเลือก ข้อสอบท่วั าปนิยม 4 ตวั เลอื ก 3) เน้นคาถามท่ีใชค้ วามรใู้ นการประยกุ ตม์ ากกว่าการท่องจา 4) คาตอบข้อนั้นมีคาตอบเพียงคาตอบเดยี วและไม่มีการชแ้ี นะแนวคาตอบ 5) ควรเลือกตัวลวงที่มีประสทิ ธิภาพ และมีเนอื้ หาไปในทางเดียวกนั 6) เลอื กเล่ยี งการใชค้ าตอบผดิ ทกุ ข้อหรทอถูกทกุ ขอ้
การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ แบบทดสอบทีม่ ีคุณภาพทีด่ ีย่อมทาให้ผลการวัดที่ไดม้ คี วาม ถูกตอ้ ง แตถ่ ้ามีคณุ ภาพไม่ดยี ่อมทาใหผ้ ลการวดั มคี วามผิดพลาด ดังนั้นในการ วัดผลการเรียนรโู้ ดยใชก้ ารทดสอบ (Testing) คุณภาพของแบบทดสอบจงึ เป็น สง่ิ ท่ตี ้องให้ความสนใจเป็นพเิ ศษซง่ึ เกณฑ์หรือคณุ ลักษณะใช้ประเมินคุณภาพ ของแบบทดสอบมหี ลายประการดงั น้ี ความเช่ือม่นั ของแบบทดสอบ ความเปน็ ปรนยั ความเท่ยี งตรง = เปน็ คณุ สมบตั ิทด่ี อี ยา่ งหน่ึงของ = เปน็ ลักษณะทบ่ี ง่ บอกว่า = ความถกู ต้อง แบ่งออกเป็น 3 แบบทดสอบทง้ั ฉบับท่บี ่งบอกว่า แบบทดสอบชดุ น้นั มคี วามชดั แจ้ง ประเภทคือ สามารถวดั คณุ ลกั ษณะท่ีต้องการวดั ในการเขยี นคาชี้แจงและขอ้ คาถาม 1. ความเท่ยี งตรงตามเนือ้ หา ได้คงเสน้ คงวา วดั กค่ี รงั้ กไ็ ด้ผล แต่ละข้อ รวมถึงตวั เลอื กต่าง ๆ 2. ความเทยี่ งตรงตามโครงสรา้ ง เหมือนเดมิ หรือใกล้เคียงกบั 3. ความเทย่ี งตรงเกณฑ์สมั พันธ์ ของเดิม เกณฑ์หรือ คณุ ลักษณะใชป้ ระเมิน อานาจจาแนกรายข้อ “r” ความยากรายขอ้ “p” คุณภาพของ ระดับคุณภาพของขอ้ สอบแต่ นิยมใช้เฉพาะทเี่ ป็นแบบทดสอบองิ กลมุ่ แบบทดสอบ ละขอ้ ของแบบทดสอบฉบับ โดยจาแนกเป็น 2 กรณี คอื หน่งึ ๆทบี่ ่งบอกวา่ สามารถ 1) กรณที ี่ใหค้ ะแนนเป็น 0 กับ 1 ซงึ่ เกณฑ์ทยี่ อมรบั ไดจ้ ะตอ้ งมี แยกคนเปน็ สองกลมุ่ 1) กรณที ใ่ี ห้คะแนนเปน็ 0 กบั 1 P= R ค่าดชั นีความยากตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.80 (0.20 ≤ p ≤0.80) 2) กรณที กี่ ารใหค้ ะแนนไม่ใช่ 0 กับ 1 N จะตอ้ งมีคา่ ดชั นอี านาจจาแนกรายข้อ 2) กรณที ่ีการใหค้ ะแนนไม่ใช่ 0 กบั 1 ต้ังแต่ 0.20 ถึง 1.00 (0.20 ≤ p ≤ 1.00)
มาตรฐานการเรยี นรู้ = ส่งิ ที่ผเู้ รยี นพงึ รู้และ ตวั ช้วี ดั = สง่ิ ทีน่ ักเรยี นรู้และพงึ ปฏบิ ตั ไิ ด้ ซ่ึง ปฏิบัติ มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ สะท้อนต่อมาตรฐานการเรยี นรู้ มีความเป็น พึงประสงค์ท่ีต้องการใหเ้ กิดแก่ผเู้ รยี นเมอื่ จบ รปู ธรรม นาไปใช้ในการกาหนดเนอ้ื หา การ การศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน จดั การเรียนการสอน รวมถงึ การวดั การ ประเมินผล การวเิ คราะห์ตวั ชีว้ ดั สกู่ ารออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ เปา้ หมายการเรียนรู้” ตามแนวคดิ ของStiggins วิธกี ารวเิ คราะหต์ วั ชว้ี ดั แบ่งเปน็ 5 ประเภท ขั้นที่ 1 ค้นหา “คาสาคัญ (Key Word)” 1. ตวั ชี้วดั ดา้ นความรู้ความเขา้ ใจ เป็นตวั ชี้วดั เกี่ยวกบั ความรู้ ข้ันที่ 2 กาหนดหลักฐานการเรียนรู้ ความเข้าใจในเน้อื หา 2. ตัวชีว้ ัดด้านการคิดอยา่ งมีเหตุผล เปน็ ตัวช้ีวัดเก่ียวกบั จาแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ความสามารถในการคดิ (1) ผลผลิต เช่น สง่ิ ประดษิ ฐ์ แบบจาลอง 3. ตวั ช้ีวดั ดา้ นทกั ษะการปฏิบัติ เปน็ ตวั ช้วี ดั เกี่ยวกบั (2) ผลการปฏบิ ัติ เชน่ การสาธติ การ ความสามารถในการปฏบิ ตั ิหรือใชว้ ธิ กี ารต่าง ๆ 4. ตวั ชวี้ ัดดา้ นผลผลติ เปน็ ตวั ชวี้ ดั เก่ยี วกับความสามารถใน นาเสนอ การใช้ความรกู้ ารคดิ ทกั ษะ เพือ่ สรา้ งผลผลติ สดุ ท้ายที่มี ขัน้ ท่ี 3 กาหนดวิธกี ารวัดและประเมินผล คณุ ภาพและเปน็ รปู ธรรม การเรยี นรู้ 5. ตวั ชว้ี ดั ด้านจิตนิสยั เป็นตัวช้วี ัดทีม่ ิใช่ผลสมั ฤทธิ์ทาง ขน้ั ท่ี 4 กาหนดเคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวัดและ วชิ าการ แตเ่ ปน็ สถานะทางอารมณ์ ความรู้สึก เชน่ ทศั นคติ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ต่อสิ่งตา่ ง ๆ ความมัน่ ใจในตนเอง ขั้นที่ 5 กาหนดกจิ กรรมการเรยี นรูห้ รือ วิธีการจัดการเรียนการสอน
“การออกแบบหน่วยการเรียนรู้อิง กระบวนการออกแบบยอ้ นกลับ มาตรฐาน” (1) ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ เปน็ การวางแผนและจดั ทาหน่วย (2) มาตรฐานและตัวชวี้ ัด (ในรายวิชาพืน้ ฐาน) หรอื ผลการ การเรยี นรู้ ซง่ึ เปน็ สาระการเรียนรู้ย่อยของ เรียนรู้ รายวิชา โดยมี “มาตรฐานการเรียนรแู้ ละ (3) สาระสาคญั (ความคิดรวบยอด) ประจาหนว่ ยการเรยี นรู้ ตัวช้ีวดั ” เป็นเปา้ หมายสาคญั ของการเรยี นรู้ (4) สาระการเรยี นรู้ (องคค์ วามรู้ ทักษะ และคา่ นิยมที่ ผู้เรยี นควรเรียนรู้ เพื่อจะชว่ ยนาพาใหบ้ รรลคุ ุณภาพตาม การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ เปา้ หมายท่ีกาหนด) (5) ชิน้ งานหรือภาระงานทใ่ี หผ้ ู้เรยี นปฏบิ ัติ (6) วธิ ีการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ (7) กิจกรรมการเรยี นรหู้ รอื วธิ ีการจดั การเรียนการสอน (8) เวลาเรียน และน้าหนกั คะแนนประจาหนว่ ยการเรียนรู้ ข้นั ตอนการออกแบบ ข้ันตอนที่ 1 ระบผุ ลลพั ธ์ที่ต้องการ หรอื ข้ัน เพ่ือมุ่งส่กู ารพัฒนาใหผ้ ูเ้ รียนบรรลุ กาหนดเป้าหมาย หรือกาหนด เปา้ หมายการเรยี นรทู้ ี่กาหนดไวใ้ น ผลการเรียนรู้ ซงึ่ ต้องเปน็ ผลลัพธ์หรือ หน่วยการเรยี นรู้นน้ั ๆ เป้าหมายที่ครอบคลมุ 3 ดา้ นคอื (1) มีความเขา้ ใจทค่ี งทน (2) มีจติ พิสัยหรอื คณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ และ (3) มีทักษะท่ี จาเปน็ ทง้ั ในลกั ษณะทเ่ี ปน็ ทักษะทั่วไป ข้ันตอนที่ 2 กาหนดหลักฐานการเรยี นรู้ที่ ยอมรับได้ หรือหลกั ฐานท่แี สดงวา่ ผเู้ รยี นได้ บรรลุเปา้ หมายทพ่ี งึ ประสงค์ท่รี ะบไุ วใ้ นขั้นที่ 1 ขนั้ ตอนท่ี 3 วางแผนการจดั ประสบการณก์ าร เรยี นรู้หรือการเรียนการสอนเพ่ือตัดสนิ ใจเกี่ยวกบั กิจกรรมการเรยี นร้ทู ่ีจะใหผ้ ู้เรยี นได้ทาในระหวา่ ง การจัดการเรียนการสอน
การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้จากการส่อื สารระหว่างบุคคล (Interpersonalcommunication assessment) กระบวนการเก็บรวบรวม วเิ คราะห์ ตีความ บันทกึ ข้อมลู ท่ีได้ จากการตดิ ต่อสื่อสาร หรอื การแสดงปฏกิ ิริยาโต้ตอบระหวา่ งผู้สอนกบั ผู้เรียนหรอื ผทู้ ่เี กย่ี วขอ้ ง การประเมินจากการสื่อสารระหวา่ งบคุ คล การสื่อสารระหวา่ งบุคคล วิธีการหลากหลายของการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ = สารสือ่ สารระหว่างบคุ คล จากการสอื่ สารระหว่างบุคคล เป็นกลมุ่ กล่มุ ใหญ่ กลุ่ม ยอ่ ยหรอื บุคคลต้งั แต่ 2 คน 1. การตอบคาถามในช้ันเรยี นเพ่อื ถามให้ผู้เรียนไดต้ อบระหว่างการจัด ข้ึนไป กิจกรรมการเรยี นการสอนโดยผู้สอนจะต้องรับฟงั คาตอบและแปล ความหมายเพอ่ื สรปุ ผลปอ้ นกลับแลว้ นามาวางแผนปรบั ปรุงแกไ้ ขเพื่อ พฒั นาการจดั การเรยี นการสอน 2. วดั จากการพบปะพดู คุยกบั ผู้เรยี นเปน็ การเกบ็ รวบรวมวเิ คราะห์ตีความ บันทกึ ข้อมลู จากการสนทนากบั ผูเ้ รยี นอย่างมีเป้าหมาย 3. วัดจากการพูดคยุ กบั ผูท้ เี่ กยี่ วข้องกบั ผู้เรยี นหมายถึงคนท่ีรู้จกั เปน็ อย่าง ดี หรือคนรอบข้างที่สามารถใหข้ อ้ มูลผเู้ รยี นเกีย่ วกับพฤติกรรมในบางสว่ น หรือให้ความละเอยี ดเพิ่มเตมิ ในดา้ นต่างๆเพือ่ ความถกู ตอ้ งและเพ่ือเสรมิ ความม่นั ใจ ในการลงสรปุ ผลการเรียนรู้ 4. การวัดจากการอภิปรายหนา้ ชั้นเรียนโดยดจู ากการอภิปรายหน้าชั้นเรยี น การแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ ความรู้ ประสบการณ์ ซ่งึ กันและกันในชัน้ เรียน ตามประเดน็ เนือ้ หาทไ่ี ด้กาหนดไวต้ ามวัตถุประสงค์ 5. วธิ ีการสอบปากเปล่า 6. วัดจากการบันทกึ เหตุการณ์ของผเู้ รียน 7. วัดจากการตรวจการบ้านหรอื แบบฝึกหัด
จดุ แขง็ จุดอ่อน 1. การประเมนิ การปฏบิ ัติสามารถวัดความสามารถทีไ่ ม่ 1. การใหค้ ะแนนในการประเมินการปฏิบัติให้มคี วาม อาจวัดโดยวิธีอืน่ ได้ เช่ือม่ันหรือมคี วามคงเสน้ คงวาค่อนขา้ งทาไดย้ าก 2. การประเมนิ การปฏิบตั สิ ามารถประเมนิ ได้ท้งั กระบวนการ (Process)และผลผลิตหรือผลงาน(Products) 2. มีข้อจากัดในการเลือกตัวอยา่ งเน้ือหาท่ีนามา 3. การใชก้ ารประเมนิ การปฏิบัติเป็นการขยายวธิ ีการวดั กาหนดเป็นภาระงานใหผ้ ้เู รียนได้ปฏบิ ัติ และประเมินผลการเรียนรู้ของผ้เู รยี นให้มคี วามหลากหลาย 3. ค่อนขา้ งใชเ้ วลานานและยากในการพัฒนา การปฏบิ ัตงิ านให้สมบูรณ์ การประเมนิ การปฏิบตั ิ “การประเมนิ การปฏบิ ตั ิ ขนั้ ตอน (Performance assessment)” ขน้ั ที่ 1 กาหนดจดุ มงุ่ หมายของการประเมนิ การปฏิบตั ิ กระบวนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกับ ขัน้ ที่ 2 กาหนดรายการทกั ษะ ความสามารถ ความรู้และ พฤตกิ รรมการเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี น ผา่ นการลงมอื การประยุกตใ์ ช้ผเู้ รยี นไดเ้ รียนรู้ ปฏิบตั ิจริงตามภาระงานท่ผี ้สู อนไดอ้ อกแบบไว้ แลว้ ขน้ั ท่ี 3 ออกแบบงานหรือภาระงานให้ผูเ้ รยี นปฏิบตั ิ ซ่งึ งาน นาขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาวิเคราะหใ์ หไ้ ด้สารสนเทศสาหรบั หรือภาระงาน(Task) ต้องให้ผเู้ รยี นไดป้ ฏิบตั จิ ริง พฒั นาผู้เรยี น หรือตัดสินคุณภาพการเรยี นรู้ ข้ันที่ 4 พฒั นาเกณฑ์การประเมนิ การปฏิบตั ิงานแต่ละงาน ทมี่ อบหมายอยา่ งชัดเจน ลักษณะสาคญั ขน้ั ท่ี 5 เลือกวธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูลและเครอ่ื งมือทใ่ี ช้ - การประเมินการปฏบิ ัติ ต้องมีภาระ ขั้นที่ 6 จดั ทาใบงานเพอื่ ช้ีแจงการปฏิบัติงานอย่างชดั เจน และถูกต้อง งานให้ผู้เรียนไดท้ าจริง ข้ันท่ี 7 วางแผนและดาเนินการลดความคลาดเคล่อื นในการ - การสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ ให้คะแนนหรือประเมนิ คุณภาพการปฏบิ ตั ิงานของผเู้ รียน ทกั ษะสมอง ทักษะพิสยั - ผ้สู อนหรอื ผู้ประเมินต้องสังเกตวา่ ผเู้ รยี นสามารถปฏบิ ตั ิงานทีก่ าหนดได้ หรอื ไม่
“การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในช้นั เรยี น” กระบวนการวดั และประเมินศักยภาพของผ้เู รียนแบบองค์รวมทั้งดา้ น พุทธพิ ิสยั ทกั ษะพิสยั และจิตพิสัย ผา่ นการลงมอื ปฏิบตั ิ งานท่ีสอดคลอ้ งกบั ชีวติ จริงและมีความหมายตอ่ ผเู้ รียน สง่ เสริม สนับสนุน และเป็นส่วนหน่ึงของ การจัดการเรยี นการสอนที่เน้นผู้เรยี นเป็นสาคัญ การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ในชั้นเรียน ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งการประเมนิ ลกั ษณะสาคญั ปฏบิ ตั แิ ละสภาพจริง 1. มงุ่ ประเมินความสามารถของผูเ้ รียนแบบองคร์ วม ทงั้ ดา้ นพทุ ธิ การประเมินปฏิบัติจะมงุ่ การ พิสยั ทักษะพสิ ัย และจิตพสิ ยั ผ่านการลงมือปฏิบตั งิ าน 2. ผูเ้ รียนต้องได้ใชท้ ักษะการคิดข้นั สูง และการประยุกต์ใช้ความรู้ ตอบสนองต่อนกั เรียน แต่การ 3. เน้นการประเมนิ ทใี่ หผ้ ู้เรียนไดต้ อบสนองหรอื แสดงออกอย่าง ประเมินสภาพจรงิ ใหค้ วามสาคญั หลากหลาย กับบริบทสงิ่ แวดล้อมท่ีเกย่ี วขอ้ ง 4. การประเมินตามสภาพจรงิ มกี ารใหผ้ เู้ รยี นประเมนิ ผลงานตนเอง กบั การตอบสนอง ซ่งึ จะชว่ ยให้มองเหน็ จุดอ่อนและจดุ แขง็ ของตนเอง แนวทางการประเมินตามสภาพจรงิ ในการจัดการเรียนการสอน วิธกี ารวัดเครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นการวัด - ออกแบบหนว่ ยการเรียนรอู้ ย่างมีความหมาย และประเมนิ ผล - ใชว้ ิธีการประเมินทีเ่ หมาะสมอยา่ งหลากหลายเนน้ การมีส่วน - การสงั เกตตามสภาพจริง รว่ ม - การสมั ภาษณ์ - ผู้เรียนรูแ้ ละยอมรบั ในเกณฑก์ ารประเมนิ และตอ้ งมีการ - การสอบถามและการทดสอบ - การใชแ้ ฟม้ สะสมงาน ทดลองใช้รบู รกิ ส์ - การตรวจชิ้นงาน - ผ้เู รยี นมีทางเลอื กในการสรา้ งชน้ิ งาน - การใช้บนั ทึกจากผู้ท่ีเกยี่ วขอ้ ง - การให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั ต่อนักเรยี นเป็นสิง่ สาคญั
รบู ริกส์ = ชดุ ของเกณฑห์ รอื มาตรฐานที่ เกณฑ์การประเมนิ ระดบั ความสามารถหรือ ออกแบบสอดคล้องกับเป้าหมายการเรียนรู้ (Criteria) ระดับคณุ ภาพ ใชเ้ พ่อื บอกคณุ ภาพของช้ินงาน (Performance level) ระดบั ความสามารถหรือ องคป์ ระกอบของรูบริกส์ ระดับคณุ ภาพ (Performance level) การใชร้ บู รกิ สใ์ นการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ประเภทของ Rubrics ประเภทที่ 1 ประเภทท่ี 2 1) รูบรกิ ส์แบบองค์รวม (Holistic rubrics) เปน็ 1) รูบรกิ ส์แบบทว่ั ไป (General rubrics) สร้าง Rubrics ท่ีถกู สร้างขึน้ สาหรบั ให้คะแนนของผเู้ รียนใน ข้ึนโดยใช้เกณฑ์หรือประเด็นที่จะประเมินกว้าง ภาพรวมเชน่ ใหค้ ะแนนผลงานการประดิษฐข์ องเลน่ ๆ เพื่อใหส้ ามารถใช้ในการประเมินการ จากวัสดุเหลอื ใช้ เป็น“3 (ดี)” จากระดบั คณุ ภาพ ปฏบิ ัติงาน หรอื ช้ินงานของผเู้ รยี นไดห้ ลายงาน ผลงาน 4 (ดมี าก), 3 (ดี), 2 (พอใช้) และ 1 (ต้อง โดยท่งี านเหล่าน้นั จะต้องอย่ใู นกลมุ่ เดยี วกนั ปรบั ปรงุ ) ตามลาดบั 2) รูบรกิ ส์แบบเฉพาะงาน (Task specific rubrics) 2) รบู ริกส์แบบแยกสว่ น (Analytic rubrics) ท่สี รา้ ง ข้ึนสาหรบั ให้คะแนนการปฏิบัติงานหรอื ผลผลติ จาก ใช้ปรัเมนิ งานใดงานหนึง่ ท่ีได้รับมอบหมายให้ผเู้ รยี น การปฏบิ ตั งิ านของผู้เรียนแยกแยะตามประเด็นทจี่ ะ ได้ปฏบิ ตั ิ เหมาะกบั ใชใ้ นกรณเี นน้ ประเมนิ ด้าน ประเมิน ความรู้
การประเมนิ โดยใชแ้ ฟม้ สะสมงาน คอื การประเมินผลงานท่ผี เู้ รยี นจัดทาข้ึนโดย การรวบรวมผลงานจากการปฏบิ ตั งิ านทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเรียนการสอนอย่างมีจดุ มุ่งหมาย และมกี ารวางแผนลว่ งหน้าอยา่ งเปน็ ระบบ ตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยเกบ็ รวบรวมผลงาน ไวท้ ี่แฟ้มสะสมงาน การประเมนิ โดยใช้แฟม้ สะสมผลงาน ประเภทของแฟม้ สะสมผลงาน ของผู้เรียน หลกั การของการประเมนิ โดยใช้แฟ้ม Working portfolio สามารแกไ้ ขได้ระหว่างปฏบิ ตั ิงาน สะสมผลงาน Display or show portfolio คัดเลอื กผลงานทดี่ ีทีส่ ุด Assessment portfolio แฟ้มทใี่ ช้ในการจดั แสดงผลงาน 1. เป็นการทางานรว่ มกนั ระหวา่ งผเู้ รยี นกับ หรอื จัดนทิ รรศกาล ผสู้ อน 2. เปน็ การรวบรวมผลงานตลอดชว่ งระยะเวลา ขน้ั ตอนของการประเมินโดยใชแ้ ฟม้ สะสมผลงาน หนึง่ ตามท่ีกาหนด 1. ขนั้ เตรียมการประเมนิ โดยใชแ้ ฟม้ สะสมผลงาน ซงึ่ ในข้ันนี้ 3. ตอ้ งดาเนนิ การรวบรวมผลงานอย่างมี หัวใจสาคญั จุดมุง่ หมาย อยู่ท่ี “การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้” 4. ต้องมีการวางแผนลว่ งหนา้ อยา่ งเป็นระบบ 2. ขนั้ จดั ทาแฟม้ สะสมผลงาน 5. ผเู้ รยี นต้องเป็นผู้เกบ็ รวบรวมและคดั เลือก 3. ขนั้ ประเมนิ แฟ้มสะสมผลงานที่สมบูรณ์เป็นการประเมินสรปุ ผลงานดว้ ยตัวเองภายใตค้ าแนะนาของผู้สอน รวบยอด 6. ผเู้ รียนตอ้ งมีส่วนร่วมในการเลือกรายการ หลังจบหนว่ ยการเรียนร้หู นงึ่ ๆ ผลงาน 4. ข้นั ประชาสมั พนั ธผ์ ลงาน ขน้ั น้สี ่วนใหญ่ใช้การจดั นิทรรศการ 7. ผู้เรยี นต้องมกี ารสะทอ้ นความคดิ เหน็ ตอ่ แสดงแฟ้มสะสมผลงาน โดยผู้เรียนกบั ผูส้ อนร่วมกนั วางแผน ผลงาน และดาเนินการในสถานการณ์จริง 8. การจัดทาแฟม้ สะสมผลงาน เปน็ การแสดง ให้คนอ่นื ได้เหน็ ถึงการเรียนรแู้ ละความกา้ วหนา้ ในการปฏิบัติงานของผู้เรียน 9. ผเู้ รยี นต้องเปน็ ผู้มีสว่ นรว่ มท้ังใน กระบวนการเรียนรู้
สะทอ้ นความรสู้ ึก ความรู้สึกต่อวิชาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นี้ ตอนแรกรู้สึกว่าวิชานี้ต้องยากมากๆแน่ ตอนแรกมีความวิตกแลกังวล มาก แต่พอได้เรียนจริงๆก็ดีกว่าที่คิดมาก เวลาที่เรียนอาจารย์จะ อธิบายให้เห็นภาพประกอบกับการยกตัวอย่างให้สอดคล้องกับเอกท่ี เรียน ทาให้เรายิง่ มองภาพไดช้ ดั เจนมากขน้ึ เข้าใจมากขึ้น และท้ายคาบ อาจารย์มีการทดสอบท้ายบทเรียน เป็นการทบทวนเนื้อหาที่เรียนในวัน นั้นไปในตัวด้วย อาจารย์เป็นคนมีความเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจ นักเรียน ขอขอบคณุ ท่านอาจารย์รองศาสตราจารย์ ดร.สาราญ กาจัดภัย ทีม่ อบความรใู้ ห้พวกหนู สัญญากับอาจารยว์ ่าจะนาความรู้ที่ได้ไปพัฒนา และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหวังว่าจะได้เรียนกับอาจารย์อีกนะคะ ขอบคุณอาจารยอ์ กี ครั้งทรี่ ักและเมตตาพวกหนูทุกคนค่ะ ขอบคุณค่ะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: