เดก็ ไทย 4.0 ใส่ใจ รักการอา่ น 1
ค�ำน�ำ E-bookเลม่ นจ้ี ดั ทำ� ขน้ึ เพอ่ื เปน็ สว่ นหนงึ่ ของโครงการเดก็ ไทย 4.0ใสใ่ จ รักการอ่าน เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องการณรงค์รักการอ่านและ กิจกรรมที่ส่งเสริมรักการอ่านของเด็กและเยาวชนไทยและได้ศึกษาอย่าง เข้าใจเพ่ือเป็นประโยชน์กบั การเรียนรู้ คณะผู้จัดท�ำหวังว่า E-bookเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือ นักเรียน นักศึกษา ท่ีก�ำลังหาข้อมูลเร่ืองน้ีอยู่หากมีข้อแนะน�ำหรือข้อผิด พลาดประการใด ผู้จดั ทำ� ขอนอ้ มรับไว้และขออภยั มาณ ทีน่ ้ดี ว้ ย คณะผู้จดั ท�ำ 18/01/2562 2
สารบัญ เรอ่ื ง หน้า ท�ำไมตอ้ งรักการอ่าน?.......................................................................................................................................4 ขอ้ มูลผลส�ำรวจการอ่านของประชากร โดยสำ� นักงานสถติ แิ ห่งชาต.ิ .................................................................6 เด็กไทย 450,000 คน อ่านไม่ออก-อ่านไม่คลอ่ ง.............................................................................................11 คนไทยขาดนสิ ัยรักการอา่ น 3,400,000 คน...................................................................................................13 เจา้ ฟา้ นักอ่าน..................................................................................................................................................15 เจ้าฟ้านักอ่าน เจา้ หญงิ นักเขียน จากพระนามเลน่ สูท่ มี่ าของพระนามแฝง ในพระราชนพิ นธ์ ในสมเด็จพระเทพฯ............................................................................................................17 ในส่วนของงานพระราชนิพนธ.์ ........................................................................................................................21 ตามรอยเจา้ ฟา้ ................................................................................................................................................25 หนงั สอื ท�ำมือ...................................................................................................................................................28 เพราะรกั จึงบอก..............................................................................................................................................31 ร้ตู น รู้หนา้ ที่... คนดขี องสังคม........................................................................................................................34 เรอ่ื งเล่าบา้ นเรา...............................................................................................................................................36 ศึกษาขอ้ มูลเพ่มิ เตมิ ........................................................................................................................................45 คณะผ้จู ดั ท�ำ....................................................................................................................................................46 3
ทำ� ไม ต้องรัก การอ่าน ? 4
การอา่ นเปน็ วฒั นธรรมในการแสวงหาความรขู้ องทกุ คน ปจั จบุ นั สงั คม โลกเปน็ สงั คมแหง่ การแขง่ ขนั การอา่ นจงึ เปน็ วธิ กี ารทจี่ ะชว่ ยใหท้ กุ คนไดร้ บั ความรู้และปรับตัวให้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข เราจึงตระหนักถึงความ ส�ำคัญดังกล่าว และบวกกับรัฐบาลได้ก�ำหนดนโยบายปฏิรูปการศึกษาท้ัง ในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ มาตรฐานและความเหล่ือมล้�ำทางการ ศกึ ษา โดยมงุ่ แกป้ ญั หาเรอ่ื งคณุ ภาพ โอกาส และประสทิ ธภิ าพในการจดั การ ศึกษาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ โดยให้มีความเชื่อมโยง และส่งผลดตี อ่ การพัฒนาประเทศด้านตา่ งๆ อยา่ งตอ่ เน่อื ง (ท่มี า: นโยบาย ด้านการศึกษาของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา : 2559) และยทุ ธศาสตร์20 ปี แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 แผนแมบ่ ทสง่ เสริมวัฒนธรรมการ อ่านสู่สงั คมแห่งการเรยี นรขู้ องไทยพ.ศ. 2560 – 2564 นโยบายกระทรวง ศึกษาธิการ และนโยบายสำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน 5
ข้อมลู ผลส�ำรวจ การอา่ นของ ประชากร โดย สำ� นักงานสถิติ แห่งชาติ https://program.ohotuku56.com/civil-trust-children/ 6
7
การกำ� หนดขอบเขตนยิ ามคำ� วา่ “การอา่ น” ทก่ี วา้ งขวางครอบคลมุ ไป ถงึ สอ่ื ใหม่ดว้ ย เช่น ส่ือสงั คมออนไลน์/SMS/E-mail มไิ ดจ้ �ำกัดเพยี งเฉพาะ สอื่ หนงั สอื ทเ่ี ปน็ กระดาษ ดงั นน้ั สอ่ื ใหมท่ สี่ ามารถเขา้ ถงึ ไดอ้ ยา่ งสะดวกสบาย มากข้ึนจึงส่งผลอยา่ งมนี ัยสำ� คญั ตอ่ พฤตกิ รรมและปรมิ าณการอ่าน 8
ถ้าดูตัวเลขผลส�ำรวจสถานท่ีท่ีคนนิยมอ่าน จะพบว่า ห้องสมุด สาธารณะกไ็ มใ่ ชแ่ หลง่ ทผ่ี คู้ นนยิ มใชเ้ ปน็ สถานทอี่ า่ นเทา่ ไรนกั คอื มเี พยี งรอ้ ย ละ 1.2 เมอื่ เทยี บกบั บา้ น ทที่ ำ� งาน หรอื สถานศกึ ษา ซงึ่ เทา่ กบั รอ้ ยละ 84.3, 25.2 และ 21.7 ตามลำ� ดบั หรอื มผี ใู้ ชห้ อ้ งสมดุ เปน็ สถานทอ่ี า่ นประมาณ 5.8 แสนคนเท่าน้ัน ซึ่งเปน็ ตัวเลขทล่ี ดลงอย่างตอ่ เน่อื งจากประมาณ 1 ลา้ นคน เมือ่ ปี 2554 เหลอื 8 แสนคนเศษเมื่อปี 2556 แต่หากรวมเอาท่ีอา่ นหนังสอื ประจำ� หมบู่ า้ น/ชมุ ชน/แหลง่ เรยี นรใู้ นชมุ ชน อกี รอ้ ยละ 3 เทา่ กบั วา่ มผี อู้ า่ น ใชห้ อ้ งสมดุ กบั แหลง่ ทค่ี ลา้ ยหอ้ งสมดุ เปน็ สถานทสี่ ำ� หรบั อา่ น รวมกนั เทา่ กบั ร้อยละ 4.2 หรอื ประมาณ 2 ลา้ นคน ซึง่ กย็ ังนับว่าน้อยมากอยู่ดี ผลสำ� รวจการอา่ นในประเดน็ นตี้ อกยำ�้ คำ� ถามโตๆ วา่ ถงึ เวลาหรอื ยงั ท่ี ห้องสมุดของไทยจ�ำเปน็ ตอ้ งปรบั ตัว เพราะหากตัวเลขจำ� นวนผู้ใชห้ อ้ งสมดุ ลดลงในอัตราข้างต้นอย่างคงที่ น่ันหมายความว่าภายใน 6 ปีนับจากน้ีจะ ไม่มผี ใู้ ช้บรกิ ารไปอ่านหนังสือทหี่ อ้ งสมุดเหลอื อย่อู กี เลย 9
การลดลงของปริมาณผู้ใช้ห้องสมุดในฐานะท่ีเป็นแหล่งการอ่านและ การค้นคว้าข้อมูลเช่นนี้นับเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะการแพร่ หลายของการใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ เพอื่ การสบื คน้ แมแ้ ตห่ อ้ งสมดุ ในหลายประเทศ ตา่ งก็พยายามปรับตัวให้สอดคลอ้ งกับสิ่งแวดล้อมใหม่เพ่ือความอยู่รอด รูป แบบหลักของการปรับตัวของ ห้องสมดุ ในต่างประเทศ คือการ เปล่ียนบทบาทจากสถานที่อ่าน และยืมคืนหนังสือเพียงอย่าง เดยี ว ไปเปน็ พนื้ ทเี่ พอ่ื ตอบสนอง ความต้องการของผู้คนในการ เรียนรู้รูปแบบอื่นๆ ท่ีแตกต่าง หลากหลายนอกเหนอื ไปจากการ อา่ น 10
เดก็ ไทย 450,000 คน อ่านไมอ่ อก-อา่ นไมค่ ลอ่ ง 11
คนไทยอายุ 6 ปขี น้ึ ไปทไ่ี มอ่ า่ นหนงั สอื ใหเ้ หตผุ ลทไี่ มอ่ า่ นวา่ เปน็ เพราะ อา่ นหนงั สือไมอ่ อก ร้อยละ 20.6 หรอื ประมาณ 2.8 ล้านคน แต่ท่นี า่ สนใจ อย่ทู ่กี ลมุ่ เด็กอายุ 6-14 ปี หรอื ผู้ท่ีกำ� ลงั ศกึ ษาอยูใ่ นระดบั ป.1-ม.3 การ ส�ำรวจคร้ังนีพ้ บวา่ มผี รู้ ะบุวา่ อ่านไม่ออกถงึ ร้อยละ 31.7 คดิ เป็นจำ� นวน 2 แสนคนเศษ หากรวมเด็กกลุม่ อายุเดยี วกนั นท้ี ีต่ อบว่าไม่อา่ นเพราะ อา่ นไม่ คล่อง/อ่านได้เพียงเล็กน้อย อีกร้อย ละ 34.7 จ�ำนวนเด็ก ป.1-ม.3 ที่อ่าน ไมอ่ อก/อา่ นไมค่ ลอ่ ง/อา่ นไดเ้ พยี งเลก็ นอ้ ย จะสงู ถงึ 4.5 แสนคน เปน็ ภารกจิ สำ� คญั ทห่ี นว่ ยงานหลกั อยา่ งกระทรวง ศึกษาธิการ คงต้องเร่งหาแนวทาง แก้ไข 12
คนไทย ขาดนิสยั รักการอา่ น 3,400,000 คน 13
อีกเหตุผลหน่ึงที่คนไม่อ่าน คือ ไม่ชอบหรือไม่สนใจอ่าน (อ่านออก แต่ไมช่ อบอ่าน) มีรอ้ ยละ 24.8 หรอื ประมาณ 3.4 ล้านคน เพิ่มขนึ้ จากการ ส�ำรวจคร้ังก่อนถึง 1.4 ล้านคน น่ีคือกลุ่มซ่ึงควรได้รับการส่งเสริมปลูกฝัง นสิ ยั รกั การอา่ น นอกเหนอื ไปจากกลมุ่ ทรี่ กั การอา่ นหรอื อา่ นหนงั สอื จนเปน็ นสิ ยั อยแู่ ลว้ พดู งา่ ยๆ นค่ี อื กลมุ่ เปา้ หมายของหนว่ ยงานภาคสี ง่ เสรมิ การอา่ น รวมถึงทีเคพาร์คด้วย 14
https://sites.google.com/a/cmw.ac.th/libcmw/cea-fa-nak-xan 15
“…หนงั สอื เป็นบอ่ เกดิ แหง่ ความรตู้ า่ งๆ นักปราชญใ์ นสมัยโบราณได้ใช้หนังสือ บนั ทึกความรูแ้ ละความคดิ เหน็ ตา่ งๆ ท่ีเป็นประโยชนไ์ ว้เป็นสมบัติตกทอดมาถึงสมัยปัจจุบนั เปน็ อนั มาก เชน่ กฎเกณฑท์ างวิทยาศาสตร์และคณติ ศาสตร์ เปน็ ต้น เพราะความรขู้ องคนในสมยั โบราณนัน้ เกิดจากการสงั เกต เขาเหล่านนั้ ไดส้ งั เกตความเป็นไปของโลก และจดจำ� ขอ้ ความตา่ งๆ ในแงค่ วามคดิ เหน็ ของเขาไว้ คนสมัยตอ่ มาไดอ้ ่านข้อความเหล่านัน้ จะตดิ ตามค้นควา้ เพ่มิ เติม ท�ำให้ความรขู้ องมนษุ ย์กว้างขวางยิง่ ขึน้ …” ขอ้ ความบางส่วนจากพระราชนิพนธ์ เรื่อง “ฉนั ชอบอ่านหนงั สอื ” ทรงพระราชนพิ นธข์ ณะทรงศกึ ษาอยู่ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๑๐ 16
เจา้ ฟา้ นกั อ่าน เจ้าหญงิ นกั เขียน จากพระนามเล่น สู่ทม่ี าของ พระนามแฝง ในพระราชนิพนธ์ ในสมเดจ็ พระเทพฯ https://www.facebook.com/Isan.book/photos/pcb.1024876734196792/1024876717530127/?type=3&theater 17
สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถทรงปลกู ฝงั ให้พระราชโอรส พระราชธดิ าทรงรักการอ่านหนงั สือตงั้ แตพ่ ระชนม์เพยี ง 6-7 พรรษา หรือ กล่าวได้ว่าต้ังแต่ทรงเริ่มอ่านหนังสือออก ทรงใช้วิธีหัดให้ทรงอ่านหนังสือ วรรณคดีไทยหลายเรอื่ ง เช่น พระอภัยมณี อเิ หนา รามเกยี รติ์ เป็นตน้ จน ทรงทอ่ งจำ� กลอนไดห้ ลายบท นอกจากน้ี ยงั ทรงซอื้ หนงั สอื อน่ื ๆ มาทรงอา่ น แลว้ ทรงเลา่ พระราชทานพระราชโอรสพระราชธดิ า เปน็ ตน้ วา่ หนงั สอื นทิ าน สำ� หรบั เดก็ ประวตั ศิ าสตร์ ภมู ศิ าสตร์ ประวตั บิ คุ คลสำ� คญั พทุ ธศาสนา เรอื่ ง เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมทง้ั ของไทยและต่างประเทศ หนังสือพิมพ์ ทรงสอน ให้ทรงจดและทรงท่องคำ� ศัพท์ และทรงจดั หาครผู ู้ทรงคุณวุฒมิ าถวายพระ อกั ษรวชิ าตา่ งๆ ดว้ ยเหตนุ ้ี จงึ ทำ� ใหส้ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรม ราชกมุ ารี ทรงมพี น้ื ความรทู้ างวชิ าการดา้ นอกั ษรศาสตรด์ มี าตงั้ แตท่ รงพระ เยาว์ 18
เม่ือทรงเจรญิ พระชันษา นอกจากจะทรงศึกษาในชน้ั เรยี นปกตแิ ล้ว ยงั ทรงปรึกษาขอค�ำแนะน�ำจากผู้ทรงคุณวุฒิอยู่เสมอ และทรงศึกษาค้นคว้า ด้วยพระองค์เองด้วย เช่น เม่ือเสด็จพระราชดำ� เนนิ เยอื นสถานที่ตา่ งๆ กจ็ ะทรงศึกษาประวตั ิ ความเป็นมา ชีวิตความเป็นอยู่ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ธรรมชาติและ สภาพแวดลอ้ มของสถานทเี่ หลา่ น้ัน 19
ด้านการอ่านน้ัน ท�ำให้พระองค์ทรงเช่ียวชาญทางด้านภาษาศาสตร์ วรรณคดี และศิลปะไทย เม่ือทรงจบชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้น พระองคพ์ อรู้ แน่ว่าอย่างไรก็คงไม่ได้เรียนแผนกวิทยาศาสตร์ จึงพยายามหัดเรียนภาษา บาลี อา่ นเขียนอักษรขอม เนื่องจากในสมัยนั้น ผู้ที่จะเรียนภาษาไทยให้กว้างขวาง ลึกซ้ึง จะ ต้องเรียนท้ังภาษาบาลี สันสกฤต และเขมร ซ่ึงภาษาบาลีน้ัน เป็นภาษาท่ี พระองค์สนพระทยั ตง้ั แต่ทรงพระเยาว์ แต่ไดเ้ ร่มิ เรียนอย่างจริงจงั ในระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย จนสามารถจำ� การแจกวภิ ตั ตเิ บอ้ื งตน้ ทสี่ ำ� คญั ได้ และ เขา้ พระทยั โครงสรา้ งและลักษณะทั่วไปของภาษาบาลไี ด้ 20
ในสว่ นของงานพระราชนพิ นธ์ พระองค์ยังทรงมีนาม แฝงอื่นๆ นอกจากพระนาม “สิรนิ ธร” ทรงใชน้ ามปากกา ในการพระราชนพิ นธห์ นงั สอื อีก 4 พระนาม ได้แก่ http://www.chaoprayanews.com/2015/02/23/ราชกมุ ารีนารรี ตั น์-๖-ทศว/ 21
1. “ก้อนหินก้อนกรวด” เป็นพระนามแฝงท่ีทรงหมายถึง พระองค์และพระสหาย สามารถ แยกไดเ้ ปน็ กอ้ นหนิ หมายถงึ พระองคเ์ อง ส่วนกอ้ นกรวด หมายถึง กุณฑิกา ไกรฤกษ์ พระองคม์ ี รับส่ังถึงพระนามแฝงนี้ว่า “เราตัวโตเลยใช้ว่า ก้อนหิน หวานตัวเล็ก เลยใช้ว่า ก้อนกรวด รวมกัน จงึ เป็น กอ้ นหิน-ก้อนกรวด” นามปากกานี้ ทรงใชค้ รง้ั เดยี วตอนประพนั ธ์บทความ “เร่อื งจากเมือง อสิ ราเอล” เม่ือปี พ.ศ. 2520 2. “แว่นแก้ว” เป็นชื่อที่พระองค์ทรงตั้งข้ึนเอง ซึ่ง พระองค์มีรับส่ังถึงพระนามแฝงน้ีว่า “ช่ือแว่นแก้ว น้ีต้ังเอง เพราะตอนเด็กๆ ชื่อลูกแก้ว ตัวเองอยากชื่อแก้ว ท�ำไมถึง เปลย่ี นไปไมร่ เู้ หมอื นกนั แลว้ กช็ อบเพลงนอ้ ยใจยา นางเอกชอื่ แวน่ แกว้ ” พระนามแฝง แวน่ แกว้ น้ี พระองคเ์ รม่ิ ใชเ้ มอื่ ปี พ.ศ. 2521 เม่ือทรงพระราชนิพนธ์และทรงแปลเร่ืองส�ำหรับเด็ก ได้แก่ แกว้ จอมซน แกว้ จอมแกน่ และขบวนการนกกางเขน 22
3. “หนูน้อย” พระองค์มีรับส่ังถึงพระนามแฝงนี้ว่า “เรามีชื่อเล่นที่เรียกกันใน ครอบครัวว่า น้อย เลยใช้นามแฝงว่า หนูน้อย” โดยพระองค์ทรงใช้เพียงคร้ังเดียวใน บทความเร่ือง “ป๋องท่รี ัก” ตพี มิ พใ์ นหนังสือ 25 ปจี ิตรลดา เมือ่ ปี พ.ศ. 2523 4. “บันดาล” พระองค์มีรบั สงั่ ถึงพระนามแฝงนว้ี ่า “ใชว้ ่า บันดาลเพราะค�ำน้ผี ดุ ข้ึนมาในสมอง เลยใชเ้ ป็นนามแฝง ไมม่ ีเหตผุ ลอะไรในการใชช้ อ่ื น้เี ลย” ซ่งึ พระองคท์ รง ใช้ในงานแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยที่ทรงท�ำให้ส�ำนักเลขาธิการคณะกรรมการ แห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กระทรวง ศกึ ษาธกิ าร เมอื่ ปี พ.ศ. 2526 เครดิต https://www.tnews.co.th 23
การจดั กิจกรรมสง่ เสรมิ นิสยั รักการอา่ น 24
https://book.mthai.com/all-books/7445.html 25
วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือให้นักเรียนเล่าเรื่องราวจากหนังสือพระราชนิพนธ์ของสมเด็จ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯสยามบรมราชกุมารที ี่เกีย่ วกบั การเสดจ็ ไปยังสถาน ทตี่ า่ งๆ ได้ 2. เพือ่ ใหน้ กั เรียนเขียนสรปุ จากเร่ืองทีอ่ า่ นได้ สื่อและอุปกรณ์ 1. หนงั สอื พระราชนพิ นธส์ มเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราช กุมารที เ่ี กยี่ วกับการเสดจ็ ไปยงั สถานทตี่ ่างๆ 2. วดิ ที ัศน์เก่ยี วกับสถานท่ี/เร่อื งราวในหนังสอื พระราชนิพนธ์ 26
การจดั กิจกรรม 1. ครแู นะน�ำหนังสอื พระราชนิพนธ์ของสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เสด็จไปยังสถานท่ีต่างๆ และน�ำสนทนาเก่ียวกับ หนงั สอื พระราชนิพนธ์ 2. นักเรียนแบง่ กล่มุ ศกึ ษาหนังสอื พระราชนพิ นธ์ 3. นักเรียนเขียนสรุปเร่ืองและบันทึกข้อคิดจากหนังสือที่อ่าน การวัด และประเมนิ ผล 4. การนำ� เสนอผลงาน 5. การตรวจผลงานนกั เรยี น ข้อเสนอแนะ ครคู วรเสนอแนะหนงั สอื พระราชนพิ นธอ์ นื่ ๆ ใหน้ กั เรยี นอา่ นตามความ สนใจ 27
หนงั สอื ทำ� มอื http://www.blisby.com/products/154e2e123c04d55f/ สมุดทำ�มือปกไม้
สอ่ื และอปุ กรณ์ 1. กระดาษ สี ดนิ สอ 2. วัสดุอ่นื ๆ สำ� หรบั การจดั ทำ� หนังสือ การจดั กจิ กรรม 1. ประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักเรียนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการท�ำ หนงั สอื ท�ำมือ 2. เชิญวทิ ยากรหรือผมู้ ปี ระสบการณม์ าฝกึ อบรมพัฒนาความรู้ ความ เขา้ ใจ ขั้นตอนวิธกี ารในการจัดท�ำหนังสือ 3. นกั เรียนวางแผนและลงมอื ผลิตหนงั สอื ท�ำมอื 4. นักเรียนน�ำเสนอผลงานและแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างกัน การวัด และประเมินผล 29
5. สงั เกตการเข้ารว่ มกจิ กรรมของนักเรียน 6. สังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัตงิ านของนกั เรียนแตล่ ะกล่มุ 3. ตรวจผลงานของนกั เรยี น ข้อเสนอแนะ 1. หนงั สือทำ� มืออาจทำ� เป็นกลุ่มหรอื บคุ คล 2. ครแู ละนกั เรยี นควรกำ� หนดประเดน็ ส�ำหรับจัดทำ� หนังสอื ท�ำมอื 30
https://steemit.com/sincerity/@andriagussani/love เพราะรักจงึ บอก
วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ให้นักเรียนค้นคว้าข้อมลู ด้านสุขภาพได้ 2. เพอ่ื ใหน้ กั เรียนบอกวธิ ีปอ้ งกนั ปัญหาสุขภาพได้ สือ่ และอปุ กรณ์ 1. หนังสือเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ 2. หนงั สือ แผ่นพับเกีย่ วกับร่างกายของมนษุ ย์ การจัดกิจกรรม 1. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สนทนาเกย่ี วกบั อาหารทส่ี ง่ ผลตอ่ สขุ ภาพของ คน 2. นักเรียนแบ่งกลุ่มค้นคว้าปัญหาสุขภาพที่เกิดจากภาวะโภชนาการ จากรายช่ือหนังสอื และแหล่งเรียนรู้ 32
3. นกั เรยี นบันทกึ ประโยชนแ์ ละโทษของอาหาร และวิธีการดูแลรกั ษา สุขภาพทเ่ี กิดจากภาวะโภชนาการจากการค้นคว้า 4. นักเรียนตัดกระดาษเป็นรูปหัวใจและเขียนสรุปสั้นๆ ส่งให้เพ่ือน 1 คน การวดั และประเมินผล 1. ตรวจบนั ทกึ สรุปการคน้ ควา้ 2. สนทนาเพื่อประเมินความเขา้ ใจเน้ือหาที่ค้นคว้า ข้อเสนอแนะ ครอู าจเลอื กเนอื้ หาใหเ้ หมาะสมกบั วยั และความสนใจของนกั เรยี น เชน่ บนั เทงิ และกีฬา การแตง่ กาย การสมาคม สตั วเ์ ลย้ี ง ฯลฯ 33
รตู้ น รูห้ น้าท่ี... คนดขี องสังคม
วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ให้นกั เรยี นบอกสทิ ธิและหนา้ ทีข่ องตนเองในฐานะพลเมอื งไทย 2. เพอื่ ใหน้ กั เรียนปฏบิ ัติตามระเบยี บข้อตกลง สื่อและอุปกรณ์ 1. หนังสอื พมิ พ์ 2. หนงั สอื เอกสาร สอ่ื ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั สทิ ธิ หนา้ ท่ี ความเปน็ พลเมอื งไทย การจัดกิจกรรม 1. น�ำข่าวจากหนังสือพิมพ์เรื่อง “ปลดล็อกคนไทยไร้สัญชาติ 4 แสน คน” “สิทธมิ นษุ ยชนข้ันพน้ื ฐาน ทำ� งานได้ทกุ อาชพี ” และ “สนทนาเร่อื ง สิทธิมนุษยชน การรกั ษาสิทธิประโยชน์ของตนเอง” 35
2. อภิปรายจากการให้นกั เรยี นสารวจตนเองทลี ะคน ในดา้ น “รตู้ น รู้ หนา้ ท่ี เป็นคนดขี องสังคม” ทีละคน 3. ครูและนกั เรยี นร่วมกันสรปุ ผลจากการสารวจ 4. นักเรียนจับกลุ่ม 2 คน และทารายงาน โดยเลือกหัวข้อ “รู้ตน รู้ หน้าที่ เปน็ คนดขี องสังคม” 5. น�ำเสนอรายงานท่ีแตล่ ะกลมุ่ ได้ศกึ ษาค้นคว้า 6. สรปุ ผลการนาเสนอหัวข้อ “รู้ตน รหู้ น้าที่ เป็นคนดขี องสงั คม” 7. นกั เรยี นอภปิ รายหัวขอ้ “ร้ตู น ร้หู นา้ ท่ี เป็นคนดีของสงั คม” ปฏบิ ัติ ตนเป็นพลเมอื งดขี องสังคม 8. การวดั และประเมินผล 9. ตรวจรายงานของนกั เรยี น 36
ขอ้ เสนอแนะ สามารถจ�ำกัดขอบเขตเน้ือหาความเป็นพลเมืองที่ดีของ สงั คม เช่น หนา้ ท่ี เป็นคนดขี องโรงเรยี นในชมุ ชน 37
เร่อื งเล่าบา้ นเรา
วัตถุประสงค์ 1. เพื่อใหน้ ักเรยี นเรียนรูป้ ระวตั คิ วามเปน็ มา และเรอื่ งราวชมุ ชน 2. เพื่อใหน้ ักเรียนอ่าน สรปุ และเขียนเร่ืองได้ 3. เพอ่ื ให้นักเรียนเรยี นรู้การท�ำหนงั สือเลม่ เล็ก ส่ือและอุปกรณ์ 1. ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ 2. ตัวอยา่ งหนงั สือเลม่ เลก็ 3. หนงั สอื /เอกสาร ขอ้ มลู ของชุมชน 39
การจดั กิจกรรม 1. น�ำเสนอรูปภาพประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทย ได้แก่ ภาพ การเลกิ ทาส ภาพการเหเ่ รือภาพบญุ สารทเดือนสิบ 2. สนทนากับนกั เรยี นถึงความรสู้ กึ และความภาคภมู ิใจในชุมชน 3. นักเรียนแบ่งกลุ่มละ 3 คน สารวจข้อมูลประวัติศาสตร์ และ วัฒนธรรมในชุมชนของนักเรียน จากภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือผู้รู้ จากน้ันน�ำ เสนอหนา้ หอ้ ง เพ่ือนๆ ช่วยกันแสดงความคิดเห็น 4. อภิปรายประวัติความเป็นมา เรื่องราว วัฒนธรรมในชุมชนของ นักเรยี นในแต่ละกลมุ่ ทไ่ี ปศึกษาคน้ ควา้ มา 5. น�ำข้อมูลประวัติความเป็นมา เร่ืองราว วัฒนธรรมในชุมชนของ นักเรยี น นามาแต่งเป็นรอ้ ยกรอง หรือร้อยแก้ว และจัดทาเป็นหนงั สือเลม่ เลก็ 40
6. เมือ่ ทำ� หนังสอื เล่มเล็กครบทกุ กลุ่มแลว้ ให้แตล่ ะกล่มุ นาเสนองาน 7. การวัดและประเมนิ ผล 8. ตรวจผลงานของนกั เรียน ขอ้ เสนอแนะ สามารถปรบั เปลี่ยนเน้อื หาให้เหมาะสมไดต้ ามแตล่ ะท้องถ่ิน 41
ถา้ คุณก�ำลงั อา่ นขอ้ ความนี้อยู่ แสดงว่าคณุ กำ� ลังโชคดี โชคดียังไง? โชคดีกว่าคนอนื่ อีกหลายล้านคนบนโลก ที่ไม่มีโอกาสไดเ้ รียนหนังสือ โชคดีกวา่ คนอืน่ อกี หลายล้านคนบนโลก ทส่ี ามารถมองเห็นตัวหนังหนงั สอื แตไ่ ม่สามารถอ่านมันออก 42
“A book is a device to ignite the imagination.” Alan Bennett, The Uncommon Reader “หนงั สอื เป็นเสมอื นเครอื่ งจุดประกายจินตนาการ” อลนั เบนเนตต์ (Alan Bennett) นักเขียนและนกั แสดง จากหนังสอื The Uncommon Reader 43
ขอบคุณ สาขาวชิ าการจดั การสงั คมและวฒั นธรรม แขนงวชิ าการจดั การพัฒนาสงั คม คณะมนษุ ยศ์ าสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนสุนันทา ส�ำนักกิจกรรมเพ่อื สงั คม บริษทั ซีพอี อลล์ จำ� กัด(มหาชน) 44
ศกึ ษาขอ้ มูลเพ่ิมเติม http://pubhtml5.com/bookcase/cmjq 45
คณะผู้จดั ท�ำ นายชาครติ สนิ ปรุ ชือ่ เล่น อาร์ต เกดิ วันที่ 21 กรกฏาคม พ.ศ. 2539 นางสาวอธศิ า ปานคง ชือ่ เล่น ฝน เกิด วนั ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 46
Search
Read the Text Version
- 1 - 46
Pages: