บทที่ 1 พ้ืนฐานของมนุษยก์ บั สงั คม
ความหมายของมนุษย์ มนุษย์ (Man) แปลวา่ ผู้มีจติ ใจสูง หมายถึง ผทู้ ี่มีใจสูงดว้ ย คุณธรรม
ประเภทของมนุษย์ มนุษยม์ ีความเป็นอยทู่ ่ีแตกต่างกนั ตามกระทาของตนในอดีต ลกั ษณะการ กระทาของมนุษย์ ทาใหส้ ามารถแยกมนุษยอ์ อกเป็น ๔ ประเภท คือ ๑) มนุษย์นรก หมายถึง มนุษยท์ ่ีมีนิสยั ชวั่ ชา้ บาปหนา โหดร้าย สันดานดิบ ชอบสร้างความเดือดร้อนใหก้ บั ผอู้ ่ืนอยา่ งมาก ประพฤติทุจริตมิจฉาชีพผดิ มนุษย์ ธรรมดา ฆ่าสัตวฆ์ ่าคน ลกั ขโมย ปลน้ จ้ีทรัพยข์ องผอู้ ื่นเป็นปกติ ทาตวั เป็นอนั ธพาลขม เหงรังแกผอู้ ื่น ประหน่ึงวา่ ผดุ ข้ึนมาจากนรกท่ีมีความโหดร้ายทารุณ มนุษยพ์ วกน้ีไม่ ชอบอยใู่ นบา้ นอยา่ งคนทว่ั ไป แตก่ ลบั ชอบอยใู่ นคุกตะราง ถูกจองจา หมดอิสรภาพ ตอ้ งทนทุกขท์ รมานแสนสาหสั
๒) มนุษย์เปรต หมายถึง มนุษยท์ ่ีมีชีวติ ความเป็นอยอู่ ยา่ งยากลาบาก เที่ยวแสวงหาอาหารผา้ นุงผา้ ห่มเท่าน้นั กวา่ จะไดก้ ย็ ากลาบาก แมจ้ ะมีความเพียร ขยนั หาทรัพยอ์ ยา่ งไร กไ็ ม่พอใชพ้ อกินสกั ที มีแต่ความอดอยากเขา้ ครองงา มาก ไปดว้ ยความทุกข์ เขาวา่ ตรงไหนดี หากินสะดวก กไ็ ปท่ีน้นั พอไปถึงท่ีตรงน้นั กลบั ไม่เจริญดงั ที่เขาพูดถึง คนมกั เรียกคนประเภทน้ีวา่ คนกาลกิณีเหมือนผดุ มา จากภูมิเปรตท่ีมีแตค่ วามอดทนอยากแร้นแคน้
๓) มนุษย์เดยี รัจฉาน หมายถึง มนุษยบ์ างจาพวกที่มกั อาศยั อยกู่ บั ผอู้ ่ืน เหมือนแมว มา้ เป็น หมู เป็ด ไก่ สุดแลว้ แต่เจา้ ตายจะใชใ้ หท้ าอะไร กอ็ ุตสาหะทาการ งานที่ลาบากไม่สะดวกสบาย หลงั จากทางานเสร็จแลว้ เจา้ นายจะใหอ้ ะไรท่ีถูกใจ หรือไม่ถูกใจ กต็ อ้ งรับเอาใจ ถา้ เป็นอาหารกไ็ ม่มีสิทธ์ิเลือก ตอ้ งกินอาหารเหลือเดน บา้ ง อาหารหยาบบา้ ง ถึงคราวเจา้ นายดุด่าวา่ กต็ อ้ งเกิดความสะดุง้ หวาดกลวั หากความ สะดวกสบายไม่ได้ เพราะเป็นคนมีกรรม ไม่มีความคิดท่ีจะเล้ียงชีพของตนโดยความ อิสระ ตอ้ งทุกขท์ นต่อ ความเป็นทาสอยา่ งแสนสาหสั คนที่มีลกั ษณะน้ี เพราะการกระทาในอดีตมีความหลง ผดิ พอ่ แม่ ครูอาจารยม์ ีพระคุณมากลน้ แต่มองไม่เห็นพระคุณท่าน ไม่เชื่อฟังคาสอนของพอ่ แม่ ครูอาจารยซ์ ้ายงั เถียงคาไม่ตกฟาก ไม่ใหค้ วามเคารพอีกดว้ ย
๔) มนุษย์เทวดา หมายถึง มนุษยท์ ี่รู้จกั สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ รู้จกั บาปบุญคุณโทษ รู้จกั วาสิ่งไหนดี ส่ิงไหนชว่ั แลว้ ละเวน้ สิ่งที่เป็นบาป อกศุ ล ต้งั ใจประพฤติตนอยใู่ นความดี มีศีล ๕ เป็นปกติมิไดข้ าด มีความ ละอายและเกรงกลวั ต่อบาป ไม่กลา้ ทาชว่ั
ลกั ษณะทส่ี าคญั ของมนุษย์ในปัจจุบนั ลกั ษณะของมนุษยม์ ีผลต่อพฤติกรรม และความอยรู่ อด รวมท้งั ความไดเ้ ปรียบกวา่ สตั ว์ ประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ลกั ษณะตวั ตวั ตรง สมองที่มีขนาดใหญ่กวา่ สตั วป์ ระเภทอ่ืนๆ เมื่อเทียบกบั ขนาดของร่างกาย และรู้จกั ใช้ แนวความคิดสร้างภาพ อนั เป็นพ้ืนฐานใหม้ ีการ สร้างสรรคแ์ ละถ่ายทอดวฒั นธรรม มนุษยม์ ี ลกั ษณะหลายอยา่ งเหมือนกบั สตั วป์ ระเภทอ่ืนๆ
ลกั ษณะที่สาคญั ๑) มีตวั ตรง และเคลื่อนท่ีดว้ ย ๒ ขา ๒) หวั แม่มือ และหวั แม่เทา้ สามารถพบั งอเขา้ งอออกไดต้ ามท่ีตอ้ งการ ๓) ช่วงขายาวกวา่ แขน ๔) กระดูกสนั หลงั ต้งั ตรง แตม่ ีลกั ษณะโคง้ เป็นตวั S ๕) ร่างกายไม่ค่อยมีขน ๖) กระดูกคอตอ่ จากใตฐ้ านหวั กะโหลก ๗) สมองมีขนาดใหญ่เม่ือเทียบกบั ขนาดของร่างกาย
๘) หนา้ ส้นั และแบน หนา้ ผากคอ่ นขา้ งต้งั ตรง ๙) ขากรรไกรส้ันและแนวฟันตามเพดานปากโคง้ เกือบเป็นรูปคร่ึงวงกลม ๑๐) เข้ียวไม่โตกวา่ ฟันหนา้ กราน ๑๑) ฟันหนา้ กรามซ่ีท่ีหน่ึงและซ่ีท่ีสองไม่ต่างกนั มากนกั ๑๒) มีระบบสืบพนั ธุ์ท่ีไมจากดั ขอบเขต สามารถสืบพนั ธุ์ในเวลาใดกไ็ ด้ ๑๓) มนุษยจ์ าเป็นตอ้ งพ่ึงพาอาศยั มนุษยด์ ว้ ยกนั โดยเฉพาะในวยั ทารก ๑๔) มนุษยเ์ ป็นสัตวก์ ินท้งั พืชและสัตวม์ ากที่สุดในบรรดาสัตวท์ ้งั หลาย ๑๕) มนุษยม์ ีความเจริญวยั เตม็ ที่นานมากเม่ือเทียบกบั สัตวอ์ ่ืนๆ
การจาแนกชาตพิ นั ธ์ุของมนษุ ย์ในที่นี ้จะพจิ ารณาในแง่ความแตกตา่ งทางกายภาพ โดยเฉพาะทางร่างกายตามหลกั ชีววิทยาเทา่ นนั้ และจะหมายถงึ ชาติพนั ธ์ุใหญ่ของ มนษุ ย์ที่วิวฒั นาการขนึ ้ มาหลงั จากการเป็นโฮโม เซเพียนแล้ว ลกั ษณะทางกายภาพ ท่ีนามาใช้เป็นเคร่ืองกาหนดชาติพนั ธ์ุได้แก่ สีผิว ลกั ษณะของนยั น์ตา รูปทรงของ ร่างกาย เป็นต้น และโดยลกั ษณะทางกายภาพตา่ งๆ ของมนษุ ย์ จึงได้จาแนกชาติ พนั ธ์ขุ องมนษุ ย์ออกเป็นพวกใหญ่ๆ 3 พวก คือ
1) พวกคอเคซอยด์ (Caucasoid) หรือพวกผวิ ขาว (white race) ลกั ษณะทวั่ ไปจดั วา่ มีรูปร่างตงั้ แตป่ านกลาง ถงึ สงู ใหญ่ มรี ูปหน้าเรียวยาว กะโหลกศีรษะยาว จมกู โดง่ มผี มสนี า้ ตาลและสที อง เส้นผมหยกั ศกบ้าง ตรงบ้าง เช่น ฝรั่ง, เเขกขาว, ละตนิ
2) พวกมองโกลอยด์ (Mongoloid) หรือพวกผิวเหลือง (yellow race) ลกั ษณะทว่ั ไป มีรูปร่างสงู ใหญ่ขนาดปานกลางจนถึงเตยี ้ มีรูปศรี ษะกว้าง รูปหน้ากว้าง โหนกแก้มสงู ผิวเหลือง จนถงึ เหลืองคลา้ เส้นผมสดี า ลกั ษณะหยาบและเหยียดตรง เช่น เอเชียตะวนั ออก, เเขกดา, อินเดียนเเดง, เอสกิโม
3) พวกนิกรอยด์ (Negroid) หรือพวกผิวดา (black race) ลกั ษณะทว่ั ไป มีรูปศีรษะยาว มีกระดกู ขากรรไกรยื่น รูจมกู กว้าง คางเลก็ ริมฝีปากยื่น ผิวสี นา้ ตาลคลา้ จนถึงดา เส้นผมหยกิ และหยาบ มีรูปร่างตงั้ แตเ่ ตีย้ มากจนถงึ สงู
ความรู้เกย่ี วกบั สังคม มนุษยม์ ีความผกู พนั กบั สงั คมอยา่ งใกลช้ ิดต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั ดงั ที่ อริสโตเติลนกั ปรัชญาเมธีชาวกรีกโบราณไดก้ ล่าววา่ มนุษย์เป็ นสัตว์สังคม (Man is a Social Animal) มนุษยจ์ ะเจริญหรือเสื่อมข้ึนอยกู่ บั สถาบนั ทางสงั คม เช่น สถาบนั ครอบครัว และสถาบนั ศาสนา เป็นตน้ และยงั กลา่ วอีกวา่ ชีวติ ท่ีดีของมนุษยใ์ นสังคม จะไม่สามารถเกิดข้ึนได้ ถา้ หากในสงั คมน้นั ปราศจากความยตุ ิธรรม
๑) ความหมายของสังคม สังคม (Society) คาในภาษาบาลี แยกออกเป็น ๒ คา คือ สัง แปลวา่ ดว้ ยกนั พร้อมกนั คม แปลวา่ ไป, ดาเนินไป เมื่อนาคาสองคามารวมกนั สงั คม แปลวา่ ไปดว้ ยกนั , ไปพร้อมกนั นกั วชิ าการให้ ความหมายของสงั คมไวด้ งั น้ี สงั คม คือ การที่มนษุ ยพวก สงั คม หมายถงึ กลมุ่ คนที่ร่วมกนั หน่ึงๆ ที่มอี ะไรสว่ นใหญ่เหมือน ในอาณาบริเวณท่ีมีขอบเขต หรือคล้ายคลงึ กนั เชน่ ทศั นคติ กาหนด มีความสมั พนั ธ์อนั เกิด คณุ ธรรม ธรรมเนียมประเพณี ได้มาอยรู วมกนั ด้วยความรู้สกึ วา่ จากการประพฤตปิ ฏิบตั ติ อกนั มี ความรู้สกึ เป็นอนั หนง่ึ อนั เป็นพวกเดียวกนั มี ความสมั พนั ธ์กนั และมาอยใู่ น เดียวกนั และยอมรับแบบแผน และกฎเกณฑ์อยางเดยี วกนั วา เขตเดียวกนั อย่างถาวร เป็นวิธีที่เหมาะสมถกู ต้องของ กลมุ่
๑) การมีอาณาบริเวณท่แี น่นอน (Territory) ๕) การมีการแบ่งหน้าท่ี ทางาน ๒) การอย่รู วมกันเป็ นกลุ่ม อย่างเป็ นกจิ จะลกั ษณะ (Group Living) (Division of Labour) ๔) การมีความสมั พนั ธ์และ ๓) การรู้ว่าใครเป็ นพวกของตน ปฏิสัมพนั ธ์กัน (Relation หรือไม่ (Discrimination) and Interaction)
องค์ประกอบของสังคม องคป์ ระกอบของสงั คมมนุษยน์ กั วชิ าการดา้ นสังคมศาสตร์ไดก้ าหนดไว้ ดงั น้ี ๑) การมอี าณาบริเวณทแี่ น่นอน (Territory) หมายถึง เมื่อคนมาอยู่ รวมกนั เป็นกลุม่ จะตอ้ งมีดินแดนหรือมีอาณาบริเวณที่มีขอบเขตใหร้ ู้กนั ภายในสงั คมวา่ ดินแดนหรืออาณาบริเวณของตนมีขอบเขตแค่ไหน ตรงไหนที่ไม่ใช่ดินแดนหรืออาณาบริเวณของตน
๒) การอยู่รวมกนั เป็ นกลุ่ม (Group Living) หมายถึง ลกั ษณะการ ดารงชีวติ ของมนุษยใ์ นฐานะท่ีเป็นสตั วส์ งั คม เพือ่ ประโยชนแ์ ห่งการ ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั อยา่ งเป็นปึ กแผน่ โดยธรรมชาติของมนุษยม์ ี ลกั ษณะน้ีอยแู่ ลว้ คือชอบอยรู่ วมกนั ท้งั น้ีเพราะมนุษยเ์ ป็นสตั วส์ งั คม (social animal)
๓) การรู้ว่าใครเป็ นพวกของตนหรือไม่ (Discrimination) หมายถึง สมาชิกของสงั คมเดียวกนั สามารถท่ีจะทราบไดว้ า่ ใครเป็น พวกเดียวกบั ตน และใครไม่ใช่พวกเดียวกบั ตน เช่น ในสงั คมชนบทท่ี มีสมาชิกของสงั คมขนาดเลก็ รู้จกั กนั เป็นอยา่ งดี ซ่ึงตรงขา้ มกบั สงั คม เมือง
๔) การมคี วามสัมพนั ธ์และปฏสิ ัมพนั ธ์กนั (Relation and Interaction) หมายถึง การที่บุคคลมาอยรู่ วมกนั จาเป็นจะตอ้ งมี สมั พนั ธแ์ ละปฏิสมั พนั ธ์กนั แต่ถา้ ไม่มีความสมั พนั ธห์ รือ ปฏิสมั พนั ธก์ นั จะเรียกวา่ สงั คมไม่ได้ เป็นตน้
๕) การมกี ารแบ่งหน้าทท่ี างานอย่างเป็ นกจิ จะลกั ษณะ (Division of Labour) หมายถึง การจดั สรรภารกิจใหส้ มาชิกทาตาม ความรู้ความสามารถ และความถนดั อยา่ งเป็นระบบและเป็นทีม สมาชิกท่ีอยรู่ ่วมกนั ภายในสงั คมจะตอ้ งมีการร่วมมือช่วยเหลือซ่ึง กนั และกินของสมาชิกดว้ ย
๖) มีบรรทดั ฐานคล้ายคลงึ กนั (Social Norms) หมายถึง สมาชิก ในสงั คมน้นั ตอ้ งมีมาตรฐานในการดาเนินชีวติ ท่ีสอดคลอ้ งกนั หรือ คลา้ ยคลึงกนั โดยเฉพาะในเร่ืองกฎเกณฑ์ ค่านิยม ความเช่ือ และ วฒั นธรรมประเพณี
ประเภทสังคมมนุษย์ ในการศึกษาสงั คมมนุษย์ โดยเฉพาะการแบ่งประเภทของ สงั คมน้นั นกั วิชาการไดแ้ บ่งไวห้ ลายอยางดว้ ยกนั โดยอาศยั หลกั เกณฑส์ งั คมท่ีแตกต่างกนั เป็นตวั ตดั สินในการแบ่งประเภท สงั คม ดงั น้ี ๑) การแบ่งตามลกั ษณะข้นั ความเจริญทางเศรษฐกจิ แบ่ง ออกเป็น ๕ ประเภท คือ
๑) การแบ่งตามลกั ษณะข้นั ความเจริญทางเศรษฐกจิ แบ่ง ออกเป็น ๕ ประเภท คือ สังคมทม่ี ีระบบเศรษฐกจิ แบบด้งั เดิม (Traditional Society) สังคมเตรียมการพฒั นา (Precondition for Take-off) สังคมเข้าสู่กระบวนการพฒั นา (Take-Off Stage) สังคมทะยานเข้าสู่ภาวะของความอุดมสมบูรณ์ (Drive to Maturity Stage) สังคมอุดมสมบูรณ์ (Stage of High Mass Consumption)
(๑)สังคมทม่ี ีระบบเศรษฐกจิ แบบด้งั เดมิ (Traditional Society) เป็นสงั คมด้งั เดิมท่ีมนุษยผ์ กู พนั อยกู่ บั จารีตประเพณีเป็นอยา่ งมาก ผลผลิต จึงมีนอ้ ย ครอบครัวเป็นหน่วยสงั คมท่ีสาคญั ที่สุด
(๒) สังคมเตรียมการพฒั นา (Precondition for Take-off) เป็นระยะที่สังคมไดม้ ีการติดตอ่ คา้ ขายกบั สังคมภายนอกมากข้ึน สถาบนั ทางสงั คมเขา้ มามีบทบาทในชีวติ ประจาวนั อยา่ งชดั เจน มีการขยายตวั เพื่อเพม่ิ คุณภาพการผลิต โดยนานาเทคนิควธิ ีการใหมๆ มาใชม้ ากข้ึน
(๓) สังคมเข้าสู่กระบวนการพฒั นา (Take-Off Stage) เป็นระยะที่สังคมมีการต่ืนตวั ดา้ นการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การศึกษา โดยภาคอุตสาหกรรมไดร้ ับความสนใจมากเป็น พเิ ศษ อตั ราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพม่ิ ข้ึนอยา่ งรวดเร็ว
(๔) สังคมทะยานเข้าสู่ภาวะของความอดุ มสมบูรณ์ (Drive to Maturity Stage) เป็นผลจากสงั คมที่ขยายตวั ข้ึน ทาใหค้ วามเป็นอยขู่ อง สมาชิกในสงั คมมีความสะดวกสบายมากข้ึน มีการประยกุ ตใ์ ช้ เทคโนโลยตี ่างๆ การจดั สรรทรัพยากรอยา่ งมีประสิทธิภาพ
(๕) สังคมอดุ มสมบูรณ์ (Stage of High Mass Consumption) เป็นสังคมท่ีสมาชิกในสงั คมมีมาตรฐานการครองชีพสูงมาก มี เครื่องมือเคร่ืองใชท้ ี่มีคุณภาพสูงคอยอานวยความสะดวก วิถีชีวิตส่วนใหญ่ มีสวนเก่ียวขอ้ งอยกู่ บั เทคโนโลยสี มยั ใหม่อยา่ งมาก ประชาชนจะมี ความรู้สึกมน่ั คง
๒) การแบ่งตามววิ ฒั นาการของอาชีพ แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท คือ (๑) สังคมล่าสัตว์และเกบ็ ของป่ า (Hunting and Gathering Society) เป็นสงั คมท่ีมนุษยอ์ าศยั การจบั สตั วแ์ ละเกบ็ พืชผกั ผลไมม้ าเป็นอาหาร ซ่ึงเป็นสังคมแรกสุดของมนุษยเ์ ป็นสังคมขนาดเลก็ มีความสัมพนั ธ์กนั แบบปฐม ภูมิ สมาชิกส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกนั
(๒) สังคมเลยี้ งสัตว์เพ่ือการยงั ชีพ (Pastoral Society) เกิดข้ึนเมื่อประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปี มาแลว้ โดยเร่ิมรู้จกั วิธีการเล้ียงสตั วใ์ น ระยะแรกมีลกั ษณะเป็นการเล้ียงสตั วแ์ บบเร่ร่อน เพือ่ หาแหล่งอาหารและน้า ใหก้ บั สตั วเ์ ล้ียงขนาดของสงั คมใหญ่และ รู้จกั คา้ ขายแบบการแลกเปลี่ยนกนั
(๓) สังคมกสิกรรมพืชสวน (Horticultural Society) เกิดข้ึนพร้อมๆ กนั สงั คมเล้ียงสตั วเ์ พอื่ การยงั ชีพ โดยเกิดจาก มนุษยใ์ นสงั คมรู้จกั การเพาะปลูกพชื เร่ิมรู้จกั ต้งั หลกั แหล่งเพ่ือการทามาหา กิน สถาบนั การปกครองเริ่มเกิดข้ึน มีการแบ่งงานกนั ทาชดั เจนข้ึน เช่น พอ่ คา้ ช่างฝีมือ เป็นตน้
(๔) สังคมเกษตรกรรม (Agricultural Society) เกิดข้ึนเมื่อประมาณ ๖,๐๐๐ ปี มาแลว้ เป็นสังคมที่มนุษยร์ ู้จกั ผลิตไถและนามาใชใ้ นการเกษตร เรียกกนั วาเป็นการปฏิวตั ิเกษตรกรรม คร้ังแรกของมนุษยส์ งั คมเกษตรกรรมจะมีผลผลิตทางเกษตรเพ่ิมข้ึนและ ทาใหเ้ กิดการต้งั ถิ่นฐานแบบถาวรข้ึน
(๕) สังคมอตุ สาหกรรม (Industrial Society) เกิดข้ึนเป็นคร้ังแรกในประเทศองั กฤษเมื่อคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๘ หรือ เม่ือประมาณ ๒๕๐ ปี ท่ีผา่ นมา เป็นสงั คมท่ีผลิตส่ิงของดว้ ย เทคโนโลยตี ่าง ๆ แทนแรงงานคนและสตั วท์ ่ีใชใ้ นสงั คมเกษตรกรรม ทาใหเ้ กิดผลผลิตเป็นจานวนมาก
หน้าทส่ี าคญั ของสังคมมนุษย์ มนุษยเ์ ม่ือไดม้ าอยรู่ วมกนั เป็นสงั คม มีการกระทาต่อกนั ทางสงั คม เพอื่ ความอยรู่ อดและความเจริญของสงั คม จาเป็นจะที่ตอ้ งคานึงถึงหนา้ ท่ี สาคญั ไวด้ งั น้ี ๑) กาหนดระเบียบแบบแผนเพ่อื ใหค้ นในสงั คมไดใ้ ชเ้ ป็นวธิ ีในการ ดาเนินชีวติ ร่วมกนั ๒) จดั ใหม้ ีการขดั เกลาทางสงั คม เพอ่ื ใหผ้ คู้ นในสงั คมปฏิบตั ิตนได้ ถูกตอ้ งเป็นไปตามบรรทดั ฐานของสงั คมจะไดอ้ ยรู่ ่วมกนั ไดด้ ว้ ยดี ๓) สร้างวฒั นธรรมและพฒั นาวฒั นธรรมของสงั คมท้งั ในวตั ถุและ วฒั นธรรมที่ไม่ใชว้ ตั ถุ
๔) ผลิตสมาชิกใหม่ทดแทนสมาชิกเดิมที่ลม๎ ตายไป เพื่อใหส้ งั คมดารง อยตู่ ่อไป ๕) ผลิต แจกแจงสินคา้ และบริการ เพอื่ สนองความตอ้ งการของผคู้ น ในสงั คม ๖) ใหบ้ ริการและสวสั ดิการแก่สมาชิกในสงั คม เช่น บริการทางดา้ น สุขภาพอนามยั ๗) ควบคุมสงั คม เพ่ือใหผ้ คู้ นดาเนินไปตามบรรทดั ฐานของสังคมและ อยอู่ ยา่ งสนั ติสุข ๘) จดั ใหม้ ีการติดต่อสื่อสาร สามารถถ่ายทอดความคิดติดต่อซ่ึงกนั และกนั ได้
โครงสร้างของสังคม คากล่าวท่ีวา่ มนุษย์เป็ นสัตว์สังคม มีการรวมตวั กนั อยเู่ ป็น สงั คม เพ่ือใหส้ งั คม ดารงอยแู่ ละเจริญกา้ วหนา้ จาเป็นตอ้ งมีหลกั ค้า จุนหรือมีโครงสร้าง ถา้ ไดโ้ ครงสร้างท่ีแขง็ แรงกจ็ ะช่วยใหส้ งั คม น้นั เจริญกา้ วหนา้ ยงิ่ ข้ึน ประชาชนในสงั คมมีความเป็นอยทู ่ีดียง่ิ ข้ึน แต่ประเดน็ ที่สาคญั ชีวติ ของมนุษยใ์ นสงั คมจะไม่สามารถเกิดข้ึน ในทางท่ีดีไดถ้ า้ หากในสงั คมน้นั ปราศจากความยตุ ิธรรม
โครงสร้างของสังคม ซ่ึงประกอบไปดว้ ย ๑. องค์การ สังคม ๓. ๒. สถาบนั วฒั นธรรม ทางสังคม
โครงสร้างของสงั คม ซ่ึงประกอบไปดว้ ย ๑. องค์การสังคม (Social Organization) ไดแ้ ก่ กลุ่มคนประเภทต่างๆ ท่ีมีสถานภาพและบทบาทแตกต่างกนั ๒. สถาบันทางสังคม (Social Institution) ไดแ้ ก่ องคป์ ระกอบของ วฒั นธรรมในการอยรู่ วมกนั เช่น กฎระเบียบของสงั คม เพือ่ ใหส้ มาชิกปฏิบตั ิ ตาม ๓. วฒั นธรรม (Culture) ไดแ้ ก่ แบบแผนขนมธรรมเนียมประเพณี และวิถีชีวิต ซ่ึงแต่ละสถาบนั สงั คมอาจจะไม่เหมือนกนั ซ่ึงปัจจยั อาจเรียกวา่ ‚ กฎกระทรวง ขอ้ บงั คบั หรือระเบียบ เป็นตน้ จึงกล่าวไดว้ า่ โครงสร้างของ สงั คม เกิดจากท่ีคนต้งั แต่สองคนข้ึนไปมีปฏิสมั พนั ธ์ต่อกนั ภายใตจ้ ารีต ประเพณี และวิถีชีวิตเดียวกนั เพื่อสร้างบรรทดั ฐานท่ีดีงามภายในกลุ่ม ซ่ึง เรียกวา่ วฒั นธรรม บุคคลกบั วฒั นธรรมจึงเป็นองคป์ ระกอบของโครงสร้าง ทางสงั คม
สังคมไทย สังคมทร่ี วมชนทุกกลุ่ม ทุกเชื้อชาติ ศาสนาและวฒั นธรรมไว้ด้วยกนั โดยมี วฒั นธรรมเป็ นพืน้ ฐานในการดารงชีวติ
ลักษณะสังคมไทย
เคารพและเทดิ ทลู พระมหากษัตริย์ ศูนย์รวมใจ คนไทยทงั้ ชาติ
สังคมทค่ี นส่วนใหญ่นับถือพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนา เป็ นรากฐานของวัฒนธรรม ประเพณี และเป็ นแนวทาง ในการดาเนินชีวิต
สังคมไทยมขี นบธรรมเนียมประเพณีทเี ป็ นวถิ ชี ีวติ ร่วมกัน ของคนไทย ประเพณชี ีวติ ประเพณที างสังคม สมาชิกในสังคมได้รับการขดั เกลา ปลูกฝังและถ่ายทอดจากแนวพฤติกรรม ร่วมกนั
สังคมไทยมคี ่านิยมทางสังคมร่วมกนั ค่านิยมในสังคมไทย ค่านิยมท่คี วรนับถือ ค่านิยมท่คี วรแก้ไข -ค่านิยมเรื่องความจงรักภกั ดี -ขาดความเป็ นระเบยี บวนิ ัย -มนี า้ ใจ เอือ้ เฟื้ อเผื่อแผ่ -งมงายเร่ืองโชคลาง -กตญั ญูกตเวทติ า -การใช้เส้นสายและพวกพ้อง ฯลฯ
สังคมไทยเป็ นสังคมเกษตรกรรม คนในสังคมส่ วนใหญ่ ประกอบ อาชีพเกษตรกรรม ทาให้มีแบบ แผนการดาเนินชีวติ ทีเ่ กย่ี วข้อง กบั การประกอบอาชีพ เช่น ประเพณีทาขวญั ข้าว การบูชาพระแม่โภสพ
สังคมไทยมโี ครงสร้างแบบหลวมๆ ไม่เคร่งครัดต่อระเบยี บกฎเกณฑ์ มีการเปลยี่ นแปลงยืดหยุ่นได้ มกั ไม่สนในปฎบิ ตั ติ ามบรรทดั ฐานของสังคม ซึ่งมาจากนิสัย คนไทยทม่ี ีความเอือ้ เฟื้ อเกือ้ กลู ลกั ษณะทด่ี ี คือ ช่วยประสานประโยชน์และลดความขดั แย้งทาง สังคมแต่กก็ ่อให้เกดิ ผลเสีย คือ ทาให้สังคมไทยไม่ค่อยมี ระเบยี บวนิ ัย ดงั ทมี่ ีคากล่าวว่า “ทาอะไรตามใจ คือ ไทยแท้”
สังคมมีการแบ่งชนช้ัน แบ่งชนช้ันโดย การ ยดึ ถือ ในด้านทรัพย์สิน สถานภาพ เกยี รติยศ อานาจ ความดี ชนช้ันในสังคมกม็ ไิ ด้กาหนดเป็ นกฎตายตวั เพราะคนใน สังคมทุกคนสามารถเลื่อนช้ัน เลื่อนตาแหน่ง หรือทาให้ ช้ันหรือตาแหน่งของคนตา่ ลงได้
ให้นิสิตเปรียบเทียบการเปล่ียนแปลงท่เี กดิ ขนึ้ ในสังคมไทยเป็ น รายกลุ่ม ตามด้านต่อไปนีว้ ่ามีการเปล่ียนแปลงอย่างไรบ้าง 1. ด้านวฒั นธรรม 2. ด้านการคมนาคม 3. ด้านการประกอบอาชีพ
Search
Read the Text Version
- 1 - 49
Pages: