Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 01หนังสือกำลังอัดคอนกรีต

01หนังสือกำลังอัดคอนกรีต

Published by puangchan.benz36, 2019-03-02 09:54:46

Description: 01หนังสือกำลังอัดคอนกรีต

Search

Read the Text Version

การศึกษาพฤติกรรมของบลอ็ กคอนกรตี ตัวหนอนที่มีส่วนผสมเถา้ แกลบเถ้าข้เี ลื่อยไม้ และเถ้าลอยภายใต้กาลงั รับแรงอัดและการดูดซมึ นา้ ภาคภมู ิ ปวงจันทร์ ปริญญานิพนธ์น้ีเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาหลกั สูตรปริญญาวศิ วกรรมศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าวศิ วกรรมโยธาและสิ่งแวดลอ้ ม คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา เชียงราย ปี การศึกษา 2559 @ ลิขสิทธ์ิของคณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนาเชียงราย

2 ช่ือโครงงาน การศึกษาพฤติกรรมของบล็อกคอนกรีตตัวหนอนที่มีส่วนวัสดุผสมเถ้าแกลบ ผดู้ าเนินโครงงาน เถา้ ขเี้ ลือ่ ยไม้และเถ้าลอยภายใต้กาลงั รับแรงอดั และการดูดซมึ นา้ ภาคภมู ิ ปวงจนั ทร์ รหัส 55143303024-6 ที่ปรึกษาโครงงาน อาจารย์เจษฎาพงษ์ เลิศวิไลรตั น์ สาขาวิชา วศิ วกรรมโยธาและส่ิงแวดล้อม หลักสูตร วิศวกรรมศาสตรบณั ฑติ ปีการศึกษา 2559 _________________________________________________________________________ บทคดั ยอ่ การศึกษาพฤติกรรมของบล็อกคอนกรีตตัวหนอนท่ีมีส่วนผสมเถ้าแกลบ เถ้าข้ีเล่ือยไม้ และเถ้าลอยภายใต้กาลังรับแรงอัดและการดูดซึมน้า ในการออกแบบอัตราส่วน วัสดุผสม ปูนซีเมนต์ : ทราย : หินฝุ่น เท่ากับ 1 : 2 : 8 โดยน้าหนัก W/C = 0.5 นาเถ้าแกลบ เถ้าขี้เล่ือยไม้ และเถ้าลอย มาแทนท่ีปูนซีเมนต์ในอัตราส่วนร้อยละ 0, 10, 20, 30, 40 และ 50 โดยน้าหนัก จากนั้น ทาการทดสอบกาลังอัดประลัยและการดูดซึมน้า ในช่วงการทดสอบท่ีอายุ 28 วัน ของ ตัวอย่างบล็อกคอนกรีตตัวหนอน โดยอ้างอิงตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมคอนกรีตบล็อก ประสานปูพื้น มอก. 827-2531 ชนิดบล็อกคอนกรีตรับน้าหนัก ซึ่งมีขนาดตัวอย่างทดสอบบล็อก คอนกรีตตัวหนอน มีขนาด กว้าง 11.5 ซม. ยาว 23.5 ซม. หนา 6.0 ซม. และมีกาลังรับแรงอัดไม่ต่า กวา่ 40 MPa. หรือ 407 ksc. ทีอ่ ายุ 28 วัน จากการศกึ ษาพบว่าการใช้วัสดุเถ้าแกลบผสมแทนท่ีปูนซีเมนต์ของบล็อกคอนกรีตตัวหนอนท่ี เหมาะสมท่ีสุดอยู่ท่ีร้อยละ 20 ให้กาลังรับแรงอัด 394 ksc. และมีค่าการดูดซึมน้าอยู่ท่ีร้อยละ 3.09 สว่ นตัวอย่างการใช้วสั ดุเถ้าขี้เลอื่ ยไม้แทนที่ปนู ซีเมนต์ของบล็อกคอนกรีตตัวหนอนท่เี หมาะสมท่ีสดุ อยู่ ทร่ี ้อยละ 20 ให้กาลงั รบั แรงอดั 393 ksc. และมีคา่ การดูดซึมน้าอยู่ท่ีรอ้ ยละ 3.38 ส่วนตัวอย่างการใช้ วัสดุเถา้ ลอยแทนทีป่ ูนซีเมนต์ของบลอ็ กคอนกรีตตวั หนอนท่ีเหมาะสมที่สดุ อยูท่ ่ีรอ้ ยละ 10 ให้กาลังรับ แรงอัด 500 ksc. และมคี า่ การดูดซึมนา้ อยู่ท่ีร้อยละ 3.49 จากการทดสอบ สรุปได้ว่า การนาเถ้าแกลบ เถ้าข้ีเล่ือยไม้ และเถ้าลอย มาใช้ในการผสม แทนที่ปูนซีเมนต์สามารถทาได้เนื่องจากสามารถให้กาลังอัดท่ีอายุ 28 วัน อยู่ในเกณฑ์ท่ีอยู่ใน มาตรฐานสามารถยอมรับได้ จากการทดสอบทราบว่าอัตราส่วนท่ีสามารถผสมแทนที่ปูนซีเมนต์ของ เถ้าลอยคือร้อยละ 10 โดยน้าหนัก ซึ่งทาให้บล็อกคอนกรีตตัวหนอนมีกาลังรบั แรงอัดสูงถึง 500 ksc. ซึ่งมีค่าน้อยกว่าตัวอย่างควบคุมถึงร้อยละ 11 และมีการดูดซึมน้าอยู่ท่ีร้อยละ 3.49 แต่ให้กาลังรับ แรงอัดสูงกว่ามาตรฐานถึงรอ้ ยละ 22 ส่วนตัวอย่างอัตราส่วนที่เหมาะสมของการแทนที่ของเถ้าแกลบ

3 ในปูนซีเมนตค์ ือรอ้ ยละ 20 โดยน้าหนัก ให้กาลังรับแรงอัดสูงถึง 394 ksc. ซ่ึงมีกาลังรับแรงอดั ต่ากว่า ตัวอย่างควบคุมถึงร้อยละ 29 และกาลังรับแรงอัดต่ากว่ามาตรฐานอยู่ที่ร้อยละ 3 และการดูดซึมน้า อยู่ที่ร้อยละ 3.09 การแทนที่เถ้าขี้เลื่อยไม้ในปูนซีเมนต์คือร้อยละ 20 โดยน้าหนัก ให้กาลังรับแรงอัด สูงถึง 393 ksc. ซึ่งมีกาลังอัดต่ากว่าตัวอย่างควบคุมถึงร้อยละ 30 และ ซึ่งกาลังรับแรงอัดต่ากว่า มาตรฐานอยู่ท่ีร้อยละ 4 และการดูดซึมน้าอยู่ท่ีร้อยละ 3.38 ของมาตรฐาน มอก.827-2531 เร่ือง มาตรฐานผลติ ภัณฑ์อุตสาหกรรมคอนกรีตบล็อกประสานปพู ้ืน ซึ่งกาหนดคา่ มาตรฐานกาลังอัดประลัย ไว้ท่ี 40 MPa. หรือ 407 ksc. ถึงเถ้าแกลบและเถ้าข้ีเล่ือยไม้มีค่ากาลังรับแรงอัดต่ากว่ามาตรฐาน แต่ เถ้าแกลบ และเถ้าข้ีเลื่อยไม้ นั้นสามารถนาไปใช้แทนท่ีปูนซีเมนต์ในงานคอนกรีตไม่รับน้าหนักได้ สว่ นการเพิ่มเถ้าลอยในปรมิ าณมากจะเป็นการนาเถ้าลอยมาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ได้สูงสุด อีกทั้งยังช่วย ผลดีต่อสิ่งแวดล้อม การนาเถ้าแกลบ เถ้าขี้เล้ือยไม้ และเถ้าลอย มาใช้ประโยชน์ท่ีชัดเจนก็คือ การลด พ้ืนท่ีในการฝังกลบ ทาให้ลดความเสี่ยงต่อการปนเป้ือนในแหล่งน้าลาธารการฟุ้งกระจายเกิดมลพิษ ทางอากาศและลดความจาเปน็ ในการระเบดิ ภเู ขาหินปนู ลงเพราะมีการใช้ซเี มนต์น้อยลงน้ันเอง

4 กติ ตกิ รรมประกาศ ปรญิ ญานิพนธ์เล่มนี้สาเร็จลุล่วงไปไดด้ ้วยดีน้ัน ทางคณะผู้จัดทาต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ ที่ปรึกษาโครงงานวิศวกรรม อาจารย์เจษฎาพงษ์ เลิศวิไลรัตน์ พร้อมท้ังอาจารย์ในสาขาวิชา วิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม ทุกท่านท่ไี ด้กรุณาให้คาปรึกษาและข้อคิดเห็นเพ่ิมเติมทเี่ ป็นประโยชน์ ตลอดจนตรวจและแก้ไขโครงงานจนเสร็จสมบูรณ์ตลอดจนจัดหาเครื่องมือปฏิบัติงานต่างๆท่ีเสียสละ เวลาของท่านมาควบคุมดูแลให้คาแนะนาสั่งสอนคณะผู้จัดทาอย่างดีเยี่ยม และห้างหุ้นส่วนจากัด แพรว่ ธั นะผล จากดั ท่ีได้สนับสนุนวสั ดุตา่ งๆในการทาโครงงานใหเ้ สรจ็ สมบรณู ์ ขอขอบพระคุณมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ที่ให้สถานที่และอุปกรณ์ ในการจัดทาโครงงานและขอขอบพระคุณบิดา มารดา ที่อุปการคุณด้านการเงินและให้กาลังใจท่ีดี ตลอดมาจนกระท่ังทาใหโ้ ครงงานนส้ี าเรจ็ ลุลว่ งไปดว้ ยดี สุดท้ายน้ีขอบคุณนักศึกษาวิศวกรรมโยธาทุกคนที่ให้ยืมเครื่องมืออุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน บางอยา่ ง และชว่ ยปฏิบัติงานโครงงานรวมถงึ ใหก้ าลงั ใจทีด่ ตี ลอดมาจนกระท่งั โครงงานน้สี าเร็จ คณะผดู้ าเนินโครงงานวิศวกรรม ภาคภมู ิ ปวงจันทร์

สารบัญ 5 บทคดั ยอ่ หน้า กิตตกิ รรมประกาศ ข สารบญั ง สารบญั ตาราง จ สารบัญรปู ซ สญั ลกั ษณ์และอักษรย่อ ฏ ดบทที่ 1 บทนา 1 1.1 ทีม่ าและความสาคญั ของงานวจิ ัย 1 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของงานวจิ ัย 2 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 2 1.4 สถานทด่ี าเนนิ การ 3 1.5 ผลทีค่ าดว่าจะได้รบั 1.6 แผนการดาเนนิ งานของการเตรยี มโครงงานและโครงงานหลกั 4 1.7 งบประมาณในการจัดทาโครงงาน 6 บทที่ 2 ทฤษฎที เ่ี กีย่ วข้องและทบทวนงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วข้อง 7 2.1 ทฤษฎพี ื้นฐานเก่ียวกับงานคอนกรีต 8 2.2 คุณสมบัตแิ กลบ 9 2.3 เถา้ แกลบ (Rice-Husk Ash) 12 2.4 คณุ สมบัติเถ้าแกลบ 13 2.5 ข้ีเลื่อยไม้ (Saw Dust) 14 2.6 คุณสมบัตเิ ถ้าข้เี ลอ่ื ยไม้ 15 2.7 เถ้าลอย (Fly Ash)

6 สารบัญ (ตอ่ ) หน้า 2.8 องคป์ ระกอบทางเคมขี องเถา้ ลอย 17 2.9 หนิ ฝุ่น (Stone Dust) 19 2.10 ทราย 20 2.11 นา้ (Water) 22 2.12 ปฏิกิริยาไฮเดรชนั (Hydration Reaction) 23 2.13 ทฤษฎบี ลอ็ กคอนกรตี ตัวหนอน 26 2.14 เคร่ืองอัดบลอ็ กคอนกรีตตวั หนอน 28 2.15 มาตรฐานผลิตภณั ฑ์อตุ สาหกรรมคอนกรีตบล็อกประสานปูพ้นื (มอก.827-2531) 29 2.16 ทบทวนงานวิจัยทีเ่ กย่ี วข้อง 34 บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนนิ โครงงาน 3.1 แผนผงั การจดั การทดสอบคอนกรีตตวั หนอน 38 3.2 วัสดุทใ่ี ช้ในการทดสอบ 39 3.3 อปุ กรณ์และเครื่องมือท่ีใช้ในการทดสอบ 48 3.4 การกาหนดส่วนผสมบลอ็ กคอนกรตี ผสมเถ้าแกลบ เถ้าข้เี ลอ่ื ยไม้ และเถา้ ลอย 51 3.5 วธิ กี ารผสมและการขึ้นรูปบลอ็ กคอนกรีตผสมเถ้าแกลบ เถา้ ขเ้ี ล่อื ยไม้ และเถ้าลอย 55 3.6 การทดสอบค่าการดดู ซึมน้า 63 3.7 การทดสอบกาลงั รับแรงอดั (Compressive Strength) 66 บทที่ 4 ผลการทดสอบและการวเิ คราะห์ผล 4.1 ผลการทดสอบกาลงั อัดของบล็อกคอนกรีตทผ่ี สมเถ้าแกลบ เถ้าขเี้ ลือ่ ยไม้ 69 และเถา้ ลอย 4.2 การทดสอบการดูดซมึ นา้ ของบลอ็ กคอนกรีตทผ่ี สมเถ้าแกลบ เถ้าข้ีเลื่อยไม้ 88 และเถ้าลอย 4.3 การนาเถ้าแกลบ เถา้ ขี้เลื่อยไม้ และเถ้าลอยมาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ 92

7 สารบัญ (ตอ่ ) หน้า บทท่ี 5 สรปุ ผลและขอ้ เสนอแนะ 5.1 สรุปผลการทดสอบ 93 5.2 ข้อเสนอแนะ 95 บรรณานกุ รม 96 ภาคผนวก ก คุณสมบัติของวสั ดทุ นี่ ามาใชใ้ นการทดสอบ 99 ภาคผนวก ข ตารางการทดสอบกาลังอัดประลยั และการดูดซึมนา้ ของบล็อกคอนกรีตตัวหนอน 136 ภาคผนวก ค รายการคานวณราคาบลอ็ กคอนกรตี ตัวหนอนและภาพสว่ นเกย่ี วข้องกับ 161 การทดสอบ ประวัติผูด้ าเนินโครงการ 164

8 บทท่ี 1 บทนา 1.1 ทมี่ าและความสาคัญของงานวจิ ยั ปัจจุบันวัสดุท่ีใช้ในงานก่อสร้างงานปูพื้น ได้มีการพัฒนารูปแบบกันอย่างหลากหลายเพ่ือ รองรับกับความต้องการ และเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้เลือกใช้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ ทางนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ได้ศึกษาและพัฒนาบล็อกคอนกรีต ตัวหนอน เพื่อใช้เป็นวัสดุปูพ้ืนรับน้าหนัก บล็อกคอนกรีตตัวหนอนเป็นวัสดุท่ีมีลักษณะผิวบนเรียบใช้ สาหรับในการปูพ้ืนในทางเดินเท้า ขั้นตอนการผลิตบล็อกประเภทน้ีไม่ซับซ้อนและสามารถทาเป็น ธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลางได้ วัตถุดิบท่ีใช้ในการผลิตบล็อกคอนกรีตตัวหนอนประกอบด้วย ทราย หินฝุ่น และปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท1 เม่ือผสมทรายและหินฝุ่นเข้ากับปูนซีเมนต์น้าใน สัดส่วนท่ีพอเหมาะก็จะทาการอัดขึ้นรูปในเคร่ืองอัด เม่ือได้อายุบ่มท่ีกาหนด (ไม่น้อยกว่า 7 วัน) ผู้ผลิตก็สามารถจาหน่ายบล็อกคอนกรีตตัวหนอนได้ ชนิดทรายที่เหมาะสม ในการทาบล็อกคอนกรีต ตัวหนอน ส่วนใหญ่จะเป็นทรายหยาบ ทรายขนาดปานกลาง ทรายละเอียด หรือทรายหยาบปนดิน ส่วนหินฝุ่นก็เป็นหินท่ีได้มาจากโรงโม่หินด้วยขั้นตอนการผลิตที่ไม่ซับซ้อน ต้นทุนการผลิตบล็อก คอนกรีตตัวหนอนจึงแปรผันไปตามแหล่งทราย หินฝุ่น และปูนซีเมนต์ แหล่งทรายเป็นต้นทุนคงท่ี สาหรับพื้นท่กี ารผลิตหนึง่ ดังนั้นตวั แปรต้นทนุ ทีส่ ามารถปรับเปลี่ยนไปได้จึงเป็นเพียงปูนซีเมนต์ ดังน้ันทางนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย สาขางาน วศิ วกรรมโยธา ได้มีความสนใจท่ีจะศึกษาบล็อกคอนกรีตตัวหนอน เพ่ือที่นามาทาการทดสอบเพื่อหา คา่ กาลังรับแรงอัดคอนกรตี ที่มีส่วนผสมของ เถ้าแกลบ เถ้าขี้เล่ือยไม้ และเถ้าลอย เพื่อหาค่ากาลงั รับ แรงอัด มาเปรียบเทียบกับบล็อกคอนกรีตตัวหนอนตามท้องตลาดท่ัวๆไป ว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า หรือน้อยกว่า การนาวัสดุเถ้าแกลบ เถ้าข้ีเลื้อยไม้ และเถ้าลอย มาใช้ประโยชน์ที่ชัดเจนก็คือ การลด พ้ืนที่ในการฝังกลบทาให้ลดความเส่ียงต่อการปนเปื้อนในแหล่งน้าลาธารการฟุ้งกระจาย เกิดมลพิษ ทางอากาศ และลดความจาเป็นในการระเบิดภูเขาหินปูนลง เพราะมีการใช้วัสดุผลิตปูนซีเมนต์ลด นอ้ ยลงน้นั เอง

9 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.2.1 เพ่ือศึกษาการพัฒนาการของการใช้เถ้าแกลบ เถ้าข้เี ล่อื ยไม้ และเถ้าลอย ในการใช้วสั ดุ แทนทปี่ นู ซเี มนตใ์ นการผลติ บล็อกคอนกรีตตวั หนอน อัตราสว่ นผสมร้อยละ 10, 20, 30, 40, และ 50 1.2.2 เพื่อนาเอาวัสดุเถ้าแกลบ เถ้าข้ีเล่ือยไม้ และเถ้าลอย มาใช้ประโยชน์ในการแทนท่ีของ ปูนซีเมนต์เพ่ือช่วยลดปัญหาเรื่องมลพิษทางส่ิงแวดล้อมและเพ่ือการลดต้นทุนของการผลิตคอนกรีต ในงานตา่ งๆ 1.2.3 เพ่ือหาค่าความแตกต่างของกาลังรับแรงอัดจากบล็อกคอนกรีตตัวหนอนผลิตจาก โรงงานกบั บลอ็ กคอนกรตี ตวั หนอนผลิตจากสว่ นผสมของ เถ้าแกลบ เถ้าขเ้ี ลือ่ ยไม้ และเถา้ ลอย 1.2.4 เพือ่ หาข้อแตกต่างระหวา่ งการดดู ซมึ นา้ แต่ละร้อยละท่ีนาวสั ดุมาผสมแทนที่ปนู ซเี มนต์ 1.3 ขอบเขตของการศกึ ษา การศึกษาการทดสอบน้ีเป็นการศกึ ษากาลังอัดและการดูดซึมน้าของบล็อกคอนกรีตตวั หนอน ท่ีผลิตขึ้นจากส่วนผสมปูนซีเมนต์ ทราย หินฝุ่น มีวัสดุผสมแทนท่ีปูนซีเมนต์ โดยเถ้าแกลบ เถ้าขี้เลื่อยไม้ และเถ้าลอย เพื่อนามาเปรียบเทียบกับบล็อกคอนกรีตตัวหนอนธรรมดา โดยมีขอบเขต ของการศกึ ษาดงั ต่อไปน้ี 1.3.1 ปนู ซีเมนต์ทใี่ ชใ้ นการทดสอบเปน็ ปนู ซเี มนต์ปอรต์ แลนด์ตราชา้ งประเภท 1 1.3.2 ทรายท่ใี ชค้ อื ทรายขนาดกลาง จาก ท่าทรายวินัย ต.ทุ่งกวาว อ.เมือง จ.แพร่ 1.3.3 หินฝ่นุ ที่ใช้เป็นหินฝุ่น จาก หจก. แพร่วัธนะผล ต.ทงุ่ กวาว อ.เมอื ง จ.แพร่ 1.3.4 เถ้าแกลบที่ใช้เป็นเถ้าแกลบสีดา ท่ีร่อนผ่านตะแกรงเบอร์ 100 จาก โรงเพาะเชื้อ เหด็ ฟางดาวสยาม ต.บา้ นดู่ อ.เมอื ง จ.เชียงราย 1.3.5 เถ้าข้ีเลื่อยไม้ท่ีใช้เป็นเถ้าข้ีเล่ือยไม้สีเทา ท่ีร่อนผ่านตะแกรงเบอร์ 100จาก เอเชียไรซ์ จากัด ต.สวนเขอื่ น อ.เมือง จ.แพร่ 1.3.6 บล็อกคอนกรตี ตวั หนอนมีขนาด กวา้ ง 11.5 ซม. ยาว 23.5 ซม. หนา 6.0 ซม. 1.3.7 เถ้าลอย ท่รี อ่ นผ่านตะแกรงเบอร์ 100 จาก โรงงานผลิตไฟฟา้ แม่เมาะ จ.ลาปาง 1.3.8 ระยะเวลาในการบ่มคอนกรตี 7 วนั , 14 วัน และ 28 วัน 1.3.9 มาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ุตสาหกรรมคอนกรตี บล็อกประสานปพู นื้ (มอก. 827-2531)

10 1.4 สถานทดี่ าเนนิ การ 1.4.1 การทดสอบตัวอย่างบล็อกคอนกรีตตัวหนอนโดยทดสอบในห้องปฏิบัติการคอนกรีต คณะวศิ วกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนาเขตพนื้ ท่ี เชียงราย 1.4.2 สถานทข่ี น้ึ รปู บลอ็ กคอนกรีตตัวหนอน หจก.แพรว่ ธั นะผล ต.ท่งุ กวาว อ.เมอื ง จ.แพร่ 1.5 ผลทีค่ าดว่าจะไดร้ บั 1.5.1 ทราบข้อแตกต่างในการเปรยี บเทียบของกาลังรบั แรงอดั ระวา่ งวสั ดุท่ีใช้ เถ้าแกลบเถ้าขี้ เล่ือยไม้ และเถ้าลอย ในการผสมแทนที่ปูนซเี มนต์ในการผลิตบล็อกคอนกรีตตัวหนอน ในอตั ราสว่ นร้อยละ 10, 20, 30, 40 และ 50 1.5.2 ทราบวัสดุท่ีใช้อัตราส่วนการผสมในการแทนที่ปูนซีเมนต์ด้วย เถ้าแกลบ ถ้าข้ีเลื่อยไม้ และเถา้ ลอย รวมถึงอตั ราสว่ นนา้ ต่อวัสดุผสมของบล็อกคอนกรตี ตัวหนอน 1.5.3 ได้นาเถ้าแกลบ เถ้าข้ีเลื่อยไม้ และเถ้าลอย มาเป็นวัสดุผสมแทนท่ีของปูนซีเมนต์ช่วย ลดปัญหามลพิษทางด้านสงิ่ แวดล้อมลงได้ และเพื่อการลดตน้ ทนุ ของการผลิตคอนกรีต ในงานต่างๆในงานอุตสาหกรรม 1.5.4 ทราบถึงข้อแตกต่างระหว่างค่ากาลังรับแรงอัดจากบล็อกคอนกรีตตัวหนอนท่ีมี ส่วนผสม เถ้าแกลบ เถ้าขี้เลื่อยไม้ และเถ้าลอย เพ่ือเปรียบเทียบกาลังรับแรงอัดจาก บล็อกคอนกรตี ตัวหนอนตามทอ้ งตลาด

11 1.6 แผนการดาเนนิ งานของการเตรยี มโครงงานและโครงงานหลกั ตารางท่ี 1.1 แผนการดาเนินงานของการเตรียมโครงงาน ระยะเวลา ปี พ.ศ. 2558 ขั้นตอนดาเนนิ การ พฤษภาคม มิถนุ ายน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน 1 2341 2341 234 12341 234 1. กาหนดหัวข้อโครงงาน 2. ศกึ ษาข้อมูลงานวจิ ัยท่ี เก่ียวข้อง 3. รวบรวมขอ้ มลู การ จดั ทาโครงงาน 4. ออกแบบขั้นตอนการทา โครงงาน 5. นาเสนอความก้าวหน้า ของโครงงาน 6. แก้ไขรูปเล่มโครงงาน 7. เตรียมขอ้ มลู นาเสนอ โครงงาน 8. นาเสนอหวั ขอ้ เตรยี ม โครงงาน 9. แก้ไขรปู เล่มโครงงานให้ สมบรู ณ์

12 ตารางที่ 1.2 แผนการดาเนินงานของโครงงานหลกั ระยะเวลา ปี พ.ศ. 2559 ขน้ั ตอนดาเนนิ การ กรกฎาคม สงิ หาคม กนั ยายน ตลุ าคม พฤศจิกายน 123412341234123412 34 1. วางแผนการทดสอบ 2. จดั หาวัสดุอุปกรณ์ 3. ทาการทดสอบโครงงาน 4. นาเสนอความก้าวหน้า ของโครงงาน 5. ทดสอบและการแกไ้ ข การทาโครงงาน 6. จัดทารูปเลม่ 7. นาเสนอโครงงาน 8. แกไ้ ขรูปเล่มโครงงานให้ สมบูรณ์

13 1.7 งบประมาณในการจัดทาโครงงาน ตารางท่ี 1.3 งบประมาณในการจัดทาโครงงาน ที่ รายการ จานวน หน่วย ราคา รวม หมายเหตุ (บาท) (บาท) 1 ค่าใช้จ่าย ตัวอย่าง 385 กอ้ น 8 3,080 - 2 ค่าใชจ้ า่ ยในการดาเนินการ 500 7,000 - คา่ เชา่ โรงงานอดั บล็อก - - 500 - คอนกรีต 100 7,000 - 150 - คา่ เชือ้ เพลงิ ยานพาหนะ - - 20 3 คา่ วัสดุ อุปกรณ์ - ถังปนู 2 ถัง 200 - - ถุงดา, ถุงใส 1 แพ็ค 150 - - เถ้าแกลบ 5 กระสอบ 100 - - เถา้ ลอย -- - - ไมม่ ี ค่าใช้จา่ ย - เถา้ ขเ้ี ลื่อยไม้ -- - - ไมม่ ี ค่าใชจ้ ่าย - กระดาษ A4 6 รมี 100 - ถ่ายเอกสาร 40 แผ่น 0.5 600 - หมกึ ดา, สี 4 ขวด 120 - แปลภาษาองั กฤษ 1 แผน่ 500 20 - ทาเล่ม 4 เลม่ 1000 480 รวมท้ังส้นิ 500 4000 16130 -

14 บทท่ี 2 ทฤษฎีและทบทวนงานวจิ ัยท่เี ก่ียวขอ้ ง ในการทาโครงงานเร่ืองน้ีจาเป็นต้องมีการศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือนาเอาทฤษฎี ที่เกี่ยวข้อง ของการทดสอบในแต่ละอย่างที่เก่ียวข้องกับโครงการ โดยนามาทาความเข้าใจเพ่ือคิด วเิ คราะห์ และนามาลงมือปฏบิ ัตงิ านให้เกิดผลสาเร็จลุล่วงไปได้นั้น โดยตอ้ งอาศยั นาทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง ทไี่ ดศ้ ึกษามาใช้ในการทาโครงงาน การนาทฤษฎีแต่ละอย่างล้วนเปน็ ทย่ี อมรบั และมมี าตรฐานทเ่ี ชอ่ื ถือ ได้ ซ่ึงมรี ายละเอยี ดดังนี้ 2.1 ทฤษฎพี ้นื ฐานเกี่ยวกบั งานคอนกรตี 2.1.1 ความหมายของคอนกรีต (Definition of Concrete) คอนกรีต หมายถึง วัสดุท่ีเกิดจากผสมผสานระหว่างวัสดุประสานซึ่งทาปฏกิ ิริยาทาง เคมรี ะหว่าง ปูนซเี มนตก์ บั น้า กับวสั ดุผสม ได้แก่ หิน ทราย หรอื กรวด รวมกันในสภาวะไม่คนื สภาพมี ความสามารถในการเทได้พอดีกับการเทลงในแบบหล่อคอนกรีตตามขนาด และรูปร่างท่ีต้องการ จากนั้นจะเกิดกระบวนการทางเคมีท่ีทาให้คอนกรีตแข็งตัว และจะย่ิงมีกาลังสูงขึ้นตามอายุของ คอนกรตี 2.1.2 องคป์ ระกอบของคอนกรตี 2.1.2.1 ปนู ซีเมนต์ (Cements) สารท่ีสามารถยึดหรือเปน็ ตวั ประสานของแข็งให้ติด เปน็ เนื้อเดียวกัน และสามารถก่อตัวหรือแขง็ ตวั ในนา้ ไดโ้ ดยอาศัยปฏิกิริยาระหวา่ งน้ากับองค์ประกอบ ของปนู ซีเมนต์ท่เี รยี กว่า ปฏกิ ริ ยิ าไฮเดรชั่น ลักษณะประเภทของปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ (Type of Cement) สานักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (มอก.) ได้แบ่งประเภทปูนซีเมนต์เป็น 5 ประเภท ดงั น้ี ประเภทที่ 1 ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ธรรมดา (Normal Portland Cement) เป็น ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ธรรมดา เหมาะกับงานก่อสร้างคอนกรีตท่ัวๆไปท่ีไม่ต้องการคุณสมบัติพิเศษ เพมิ่ เตมิ เช่น คาน เสา พืน้ ถนน ค.ส.ล. เปน็ ต้น แตไ่ ม่เหมาะกับงานทตี่ อ้ งสัมผัสกบั เกลอื ซลั เฟต

15 ประเภทที่ 2 ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ดัดแปลง (Modified Portland Cement) เป็น ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ดัดแปลง เพื่อให้สามารถต้านทานเกลือซัลเฟตได้ปานกลาง และจะเกิดความ ร้อน ปานกลางในช่วงหลอ่ เหมาะกับงานโครงสร้างขนาดใหญ่ ประเภทท่ี 3 ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์แข็งตัวเร็ว (High - Early Strength Portland Cement) เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ท่ีสามารถให้กาลังได้รวดเร็วในเวลาอันสั้นหลังจากเทแล้ว สามารถใช้งานได้ภายใน 3-7 วัน เหมาะกับงานท่ีเร่งด่วน เช่น คอนกรีตอัดแรง เสาเข็ม พ้ืนถนน ท่ี จราจร ประเภทที่ 4 ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ความร้อนต่า (Low-Heat Portland Cement) เป็นปูนซีเมนต์ปอรต์ แลนด์ชนิดพิเศษ ท่ีมีอัตราความรอ้ นตา่ กาลงั ของคอนกรีตจะเพิ่มขึ้นอยา่ งช้าๆ ซ่ึง สง่ ผลดที าใหก้ ารขยายตัวน้อยชว่ ยลดการแตกร้าวเหมาะกับงานสรา้ งเข่ือนขนาดใหญ่ ประเภทที่ 5 ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ทนซัลเฟตสูง (Sulfate-Resistant Portland Cement) เป็นปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่ทนต่อเกลือซัลเฟตได้สูงเหมาะกับงานก่อสร้างบริเวณดินเค็ม หรอื ใกล้กับทะเล 2.2 คุณสมบัตแิ กลบ เถ้าจากโรงงานอุตสาหกรรม หลายชนิดเป็นวัสดุปอซโซลานที่ดี และสามารถพัฒนามาใช้ใน งานคอนกรตี ไดเ้ ป็นอย่างดี เถา้ ท่ีมีศกั ยภาพ และสามารถนามาพัฒนาเพือ่ เป็นวสั ดุปอซโซลานทด่ี ี เพื่อ ใชแ้ ทนที่ปนู ซีเมนตบ์ างส่วนในสว่ นผสมคอนกรตี ต้องมลี ักษณะดงั น้ี คอื 1) เป็นเถา้ ท่ีมอี อกไซด์ของซลิ กิ า หรอื ซิลกิ าและอะลูมนิ าออกไซด์สูงซง่ึ โดยทั่วไปควร มากกว่ารอ้ ยละ 50 ของทัง้ หมด 2) คือไม่เป็นผลึกคือสามารถทาปฏิกิริยากับด่าง (แคลเซียมไฮดรอกไซด์) ได้ซ่ึงเถ้า จากโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายในลักษณะข้างต้นได้แก่ เถ้าจากการเผาถ่านหิน (Fly Ash or Pulverized Fuel Ash) เถ้าจากการเผาเศษไม้ (Ash From Burning Wood Chips) และเถ้าจาก การเผาแกลบ (Rice Rusk-Bark Ash) พบว่าเถ้าเหล่าน้ีมีคุณภาพต่าไม่ใช่วสั ดุปอซโซลาน และการนา ใชใ้ นส่วนผสมของคอนกรีตมกั ส่งผลทางด้านลบตอ่ คณุ ภาพของคอนกรีต แกลบ คือ เป็นวัสดุเหลือทิ้งที่ได้จากกระบวนการสีข้าวเปลือกจากโรงงานสีข้าว ซ่ึงทาให้เกิด เศษของเปลือกข้าวออกมามีลักษณะเป็นสีเหลืองทอง สีเหลืองอ่อน สีน้าตาลแดงข้ึนอยู่กับสายพันธ์ุ ข้าว แกลบประกอบด้วยสารอินทรีย์ และซิลิกา ปริมาณสารอินทรีย์จะประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ประมาณรอ้ ยละ 51 ออกซเิ จนร้อยละ 42 ส่วนทเ่ี หลอื จะเป็นไฮโดรเจน และไนโตรเจน ส่วนซลิ กิ า จะ พบมากบริเวณผิวนอกของแกลบ จงึ ทาใหแ้ กลบมีความแข็งสูงสามารถนามาใช้เปน็ วสั ดุขดั ผิวไดแ้ กลบ ท่ไี ด้จากการสีข้าวเปลือกจะมรี ้อย 22-25 โดยน้าหนักจากเมล็ดข้าวเปลือก ทาให้การสีข้าวเปลือก แต่

16 ละคร้ังจะเกิดแกลบจานวนมาก ดังแสดงในรูปท่ี 2.1 ซ่ึงปัจจุบันมีการนาแกลบมาใช้ประโยชน์อย่าง กวา้ งขวางในหลายด้านด้วยกนั ไดแ้ ก่ 2.2.1 เปน็ เชอ้ื เพลิงหงุ ต้มในภาคครวั เรือน เช่น เชื้อเพลิงในเตาประหยดั พลงั งานเช้ือเพลิง อัด แทง่ โดยแกลบ 1 กิโลกรมั สามารถให้พลังงานจากการเผาไหม้ได้สูงถึง 3,800 กิโลแคลอร่ี ซง่ึ ใกล้เคยี ง กับไม้ และถ่านไม้ที่ 4,000-5,000 กิโลแคลอรี/กิโลกรัม จึงสามารถนามาทดแทนเชื้อเพลิงจากไม้ได้ เปน็ อยา่ งดี 2.2.2 ใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าชีวะมวล เช้ือเพลิง สาหรบั เคร่ืองจักรไอน้าของโรงสีขา้ ว เชื้อเพลงิ โรงงานเครอื่ งป้ันดินเผา โรงงานผลติ ปนู ซีเมนต์เปน็ ตน้ 2.2.3 ใช้เป็นวสั ดขุ ัดผิวทงั้ ในภาคครวั เรอื น และ อตุ สาหกรรม 2.2.4 ใชช้ ว่ ยเผาถา่ นเพอื่ ลด และควบคมุ อณุ หภมู ิให้เหมาะสมสาหรบั การเผาถา่ นเพอ่ื ป้องกัน การลุกไหม้เป็นเปลวไฟ 2.2.5 เป็นส่วนผสมของวัสดุก่อสร้าง เช่น บล็อกคอนกรีต อฐิ มอญ รวมถงึ การผสมดินเหนียว สาหรบั งานกอ่ ต่างๆ 2.2.6 ใชใ้ นการปรับปรุงดินในหลายด้าน เช่น การปรบั ปรุงดินเค็ม การเพิ่มความร่วนซุยของ ดิน การเพมิ่ อินทรียวตั ถุ และแรธ่ าตอุ าหารในดิน เปน็ ต้น 2.2.7 การใชป้ ระโยชน์ในฟาร์มเล้ยี งสัตว์ เช่น ใชร้ องพนื้ สาหรบั ฟารม์ ไกห่ รอื สุกร 2.2.8 ใช้ทาชนวนเทคลมุ ก้อนนา้ แข็งป้องกนั น้าแขง็ ละลาย รปู ท่ี 2.1 แสดงลักษณะของแกลบ ที่มา: (http://puechkaset.com)

17 2.3 เถา้ แกลบ (Rice-Husk Ash) เถ้าแกลบถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการเผาไหม้ของแกลบมีลักษณะหลายสีขึ้นอยู่กับ กระบวนการเผา แบง่ เปน็ 3 ชนดิ คือ 2.3.1. เถ้าแกลบเทา เปน็ ขเ้ี ถ้าแกลบทมี่ ีลักษณะสเี ทา เนอ้ื ขเี้ ถ้าแกลบแขง็ และคงรูปมากกว่า แกลบชนิดอื่น แต่จะแตกละเอียดหากได้รับแรงกดบีบ เป็นแกลบท่ีได้จากการเผาท่ีอุณหภูมิไม่เกิน 600 องศาเซลเซียส ในสภาวะท่ีมีออกซิเจนไม่เพียงพอทาให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ขณะเผาไหม้ จะไม่เกิดเปลวไฟ ดงั รปู ที่ 2.2 รูปที่ 2.2 แสดงลกั ษณะของขี้เถ้าแกลบเทา ทีม่ า: (http://puechkaset.com) 2.3.2 เถ้าแกลบดา เป็นข้ีเถ้าแกลบที่มีลักษณะสีดา เน้ือข้ีเถ้าแกลบดามีการคงรูปของแกลบ บางส่วน เน้ือแกลบแข็งและเปราะง่ายกว่าแกลบสีเทา แต่จะแตกละเอียดหากได้รับแรงกดบีบ เป็น แกลบที่ได้จากการเผาอยา่ งตอ่ เน่ืองที่อุณหภูมไิ ม่เกิน 1200 องศาเซลเซยี ส ในสภาวะที่มอี อกซิเจน ไม่ เพียงพอทาให้การเผาไหมไ้ ม่สมบูรณ์ โดยไมเ่ กิดเปลวไฟขณะเผาไหม้ ดังรปู ท่ี 2.3

18 รูปท่ี 2.3 แสดงลักษณะของข้ีเถา้ แกลบดา ทีม่ า: (http://www.manager.co.th/IndoChina) 2.3.3 ข้ีเถ้าแกลบขาว เป็นข้ีเถ้าแกลบที่มีลักษณะสีขาวเนื้อข้ีเถ้าแกลบแตกหักเป็นผงขนาด เล็กเป็นแกลบท่ีได้จากการเผาอย่างต่อเนื่องที่อุณหภูมิสูงภายใต้สภาวะออกซิเจนที่มีเกินพอทาให้เกิด การเผาไหม้ท่ีสมบูรณ์ โดยส่วนมากมักจะเกิดเปลวไฟขณะเผาไหม้หากเผาในท่ีโล่งท่ีมีอากาศกระจาย สู่พ้ืนผิวขณะเผาไหม้ที่เพียงพอ นอกจากการเผาท่ีอุณหภูมิสูงแล้วยังสามารถเผาได้จากแกลบดาท่ี อณุ หภมู ิต่าอยา่ งต่อเน่อื งไดอ้ ีกวิธี แกลบชนดิ น้ีสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์มากในอุตสาหกรรมเน่อื งจาก องค์ประกอบสว่ นมากจะเปน็ ซลิ ิกา ดังรปู ท่ี 2.4 เมื่อแกลบเผาไหม้จะทาให้เกิดเถ้าร้อยละ 13-30 ท่ีประกอบด้วยซิลิกาไดออกไซด์ (SiO2) ประมาณร้อยละ 85-97 ส่วนอ่ืนจะประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น K2O 2.3%, MgO 0.5%, Al2O 0.4%, CaO 0.4%, Fe2O 0.2% และ Na2O 0.1%

19 รูปที่ 2.4 แสดงลกั ษณะของขี้เถา้ แกลบขาว ท่มี า: (http://www.manager.co.th/IndoChina) 2.3.4 องคป์ ระกอบทางเคมีของเถา้ แกลบ องค์ประกอบทางเคมีของเถ้าแกลบ แสดงในรูปท่ี 2.3 ซ่ึงพบว่าเถ้าแกลบมี SiO2 สูง มากถึงประมาณร้อยละ 90 ทานองเดียวกันพบว่าเถ้าแกลบท่ีเผามาประเทศไทยมี SiO2 อยู่ร้อยละ 92.28 และ 91.84 ตามลาดับ ส่วนที่เหลือเป็นออกไซด์ของโซเดียม โปรแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียมเหล็ก ฟอสฟอรัส และซัลเฟอร์ และค่าการสูญเสียน้าหนักเน่ืองจากการเผา (Loss On Lgnition หรือ LOI) ซึ่งตามปกติมี LOI อยูป่ ระมาณรอ้ ยละ 2-5 อุณหภูมทิ ่ีใช้ในการเผาแกลบมีผลต่อ ค่า LOI เพราะการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จะทาให้เถ้าแกลบมี LOI สูงขึ้น LOI ท่ีอยู่ใน เถ้าแกลบส่วน ใหญ่จะเป็นธาตถุ ่านดดู นา้ สงู และถ้ามจี านวนมากจะทาให้กาลงั ของคอนกรตี ลดลงได้ ตารางท่ี 2.1 แสดงรายละเอียดองค์ประกอบทางเคมีของเถ้าแกลบ สารประกอบ เถ้าแกลบ เถ้าแกลบขาว เถ้าแกลบดาโรงสี 86.90 - 97.30 88.33 89.95 SiO2 0.60 - 2.50 2.76 1.49 K2O 0.15 0.07 Na2 O 0 - 1.50 0.56 0.50 CaO 0.20 - 1.50 0.28 0.23 0.12 - 1.96 3.37 1.89 MgO 0 - 0.60 NA NA 0.20 - 2.90 0.12 0.02 Fe2O3 0.10 - 1.10 P2O5 SO3

20 CI 0 - 0.40 NA NA 0.54 Al2O3 NA 0.48 4.70 LOI NA 3.71 ท่ีมา: (หนงั สอื เถา้ แกลบในงานคอนกรีต ผศ.ดร.อบุ ลลกั ษณ์ รัตน์ศกั ด์ิ) 2.4 คณุ สมบตั ขิ องเถา้ แกลบ ความถ่วงจาเพาะของเถ้าแกลบขึน้ อย่กู บั วิธีการเผาเถา้ แกลบท่เี ผาไหม้ไม่สมบูรณ์จะมีส่ิงทเ่ี ผา ไหม้ไม่หมดและคาร์บอนปนอยู่มาก และจะมีค่าความถ่วงจาเพาะต่า ความถ่วงจาเพาะเถ้าแกลบท่ีเผา ไหม้ค่อนข้างสมบูรณ์มีค่าระหว่าง 1.9-2.3 และยงั ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในการเผา เถ้าแกลบเผาท่ีอุณหภูมิ 500 °C มีความถ่วงจาเพาะประมาณ 2.06 และ ความถ่วงจาเพาะจะเพิ่มเป็น 2.20 และ 2.30 ที่ อุณหภูมิการเผา 800 °C และ 1,000 °C ตามลาดับการเพิ่มข้ึนของความถ่วงจาเพาะเน่ืองมาจาก ปริมาณคาร์บอนลดน้อย 2.4.1 ความเป็นวัสดปุ อซโซลานของเถ้าแกลบ ความเป็นวัสดุปอซโซลานของเถ้าแกลบสามารถวัดได้โดยการทดสองค่าดัชนีกาลัง ตามมาตรฐาน ASTM C311 โดยใช้การทดสองกาลังอัดท่ีอายุ 7, 14 และ 28 วัน ของมอร์ตาร์ท่ีทา จากปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์หรือท่ีมีการแทนท่ีปูนซีเมนต์ด้วยเถ้าแกลบร้อยละ 20 โดยน้าหนักวัสดุ ประสานค่าดัชนีกาลัง คือ ค่ากาลังท่ีสดสอบได้เมื่อเปรียบเทียบกับกาลังของมอร์ตาร์ท่ีใช้ปูนซีเมนต์ ปอร์ตแลนด์ล้วน หากคา่ ดัชนกี าลังมคี ่าสูงแสดงถงึ ความเปน็ วสั ดปุ อซโซลานท่ดี ขี องเถ้าแกลบ 2.4.2 ประโยชนข์ องเถ้าแกลบและเถ้าแกลบดา 1) นามาเป็นวัสดุผสมแทนปนู ซเี มนต์ได้ 2) นามาเป็นวัสดุปรับปรุงดินเพื่อช่วยเพิ่มความร่วนซุย เพิ่มแร่ธาตุให้ดินอุ้มน้าได้ดี รวมทง้ั นิยมนามาเป็นวสั ดุปลูกผสมกับดนิ สาหรับการปลูกพืชในกระถาง 2.4.3 วธิ ีการเผาแกลบดา 1) ขุดหลุมเป็นสี่เหล่ียมจัตุรัสหรือวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.0 เมตร สูง 0.50 เมตร ตามปริมาณการเผา หรอื อาจกอ่ อิฐข้ึนสูงล้อมรอบ 2) ตงั้ ฐานกอ่ กองไฟตรงกลางจนไฟลกุ ไหมเ้ ป็นถ่านแดง 3) นาถังนา้ มันเจาะก้นทีไ่ ม่ใชแ้ ลว้ หรือท่อโลหะวางครอบกองไฟ

21 4) นาแกลบเทรอบๆถังหรอื ท่อโลหะท่ีครอบกองไฟใหท้ ว่ มสูงตามระดบั ของบ่อ 5) หลังจากปฏิบัติตามวิธีข้างต้น แกลบ จะเริ่มเผาไหม้อย่างช้าๆโดยไม่ลุกเป็นเปลว ไฟจนแกลบบรเิ วณด้านนอกมลี กั ษณะไหม้ดาทง้ั หมด 6) ทาการเกลีย่ พร้อมฉีดพรมดว้ ยนา้ จนไฟดับสนิทและแกลบเย็นตวั ดังรปู ที่ 2.5 รูปที่ 2.5 วิธกี ารการเผาแกลบ ทม่ี า: (https://phorakfarm.files.wordpress.com/wpidpicsa_1440067521479.jpg) 2.5 ขีเ้ ล่ือยไม้ (Saw Dust) ข้ีเลื่อยเกิดจากการแปรรูปไม้ในอุตสาหกรรมการแปรรูปไม้ มีผู้พยายามนาเศษขี้เลื่อยเหล่านี้ มาใช้ประโยชน์โดยนาข้ีเล่ือยไม้ไปผลิตเป็นข้ีเลื่อยอัดแท่ง (Wood Pellets) หรือ เช้ือเพลิงชีวะมวล เพอื่ ใช้เป็นเช้ือเพลิงในการเผาไหม้นอกจากนีเ้ ศษขเี้ ลอ่ื ยยังสามารถนาไปใชเ้ ป็นวตั ถุดิบในการผลิตแผ่น ไม้อัดเพ่ือใชใ้ นอุตสาหกรรมกอ่ สร้าง ปยุ๋ หมกั ชีวภาพ ฯลฯ อย่างไร กต็ ามมีผูน้ าข้ีเลือ่ ยมาใช้ในการผลิต ไม้เทียมท่ีมีพลาสติก (PVC) เป็นส่วนประกอบโดยปริมาณข้ีเล่ือยท่ีใช้ในส่วนผสมจะมีผลต่อสมบัติ ต่างๆของไม้เทียม เช่น แรงดึง แรงกระแทก และแรง ดัด อย่างไรก็ตามการใช้พลาสติกเพ่ือเป็น ส่วนประกอบหลักในการผลติ ไม้เทียมตอ้ งใช้ อุณหภูมิสูงทาใหม้ คี ่าใชจ้ ่ายเพมิ่ ตามไปด้วย ดงั รปู ที่ 2.6

22 รปู ที่ 2.6 ลกั ษณะขเ้ี ลื่อยไม้ในงานอตุ สาหกรรม 2.6 คุณสมบตั ิเถา้ ขีเ้ ลอ่ื ยไม้ เถ้าขี้เลื่อยไม้เกิดจากการแปรรูปไม้ในอุตสาหกรรมการแปรรูปไม้มีผู้พยายามนาเศษข้ีเล่ือย เหล่าน้ีมาใช้ประโยชน์โดยการเผาเศษขี้เลื่อยในโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ความร้อนในการผลิตการเผา ท่ีอุณหภูมิสูง (1,000 องศาเซลเซียส) เพ่ือใช้เป็นเช้ือเพลิงในการผลิตเถ้าจากการเผาที่เกิดข้ึนเรียกว่า ขเี้ ถ้าขี้เลื่อยไม้ ซงึ่ เกดิ จากกระบวนการเผาไหม้ท่ีไม่สมบรู ณ์ และมีปริมาณสงู ถึงร้อยละ 80-85 ของเถ้า ท่ีเกิดขึ้นทั้งหมด เถ้าชนิดน้ีมีน้าหนักเบาและมีขนาดเล็กประมาณ 1-200 ไมโครเมตรมีองค์ประกอบ หลักทางเคมีคล้ายกับปูนซีเมนต์ คือ ซิลิกอนออกไซด์ อลูมิเนียมออกไซด์เฟอร์ริกออกไซด์ และ แคลเซียมออกไซด์หากนามาผสมกับปูนซีเมนต์และน้าจะเกิดปฏิกิริยาเคมีทาให้เกิดคุณสมบัติในการ ช่ ว ย เพิ่ ม ก าร เชื่ อ ม ป ร ะ ส าน ท าให้ วั ส ดุ มี ค ว าม แ ข็ งแ ร งม าก ข้ึ น ส าม าร ถ น าม าใช้ ใน งาน ค อ น ก รี ต งานกอ่ สร้าง โดยนาไปแทนท่ีปนู ซีเมนต์บางสว่ นกจ็ ะลดค่าใชจ้ า่ ยลงได้ไม่มากกน็ ้อย ดงั รปู ที่ 2.7

23 รปู ที่ 2.7 ลักษณะเถ้าข้เี ลอ่ื ยไม้ที่ผา่ นจากการเผาดว้ ยอุณหภมู ิทสี่ งู จากโรงงานอุตสาหกรรม 2.7 เถา้ ลอย (Fly Ash) เถ้าลอย (Fly Ash) เป็นผลพลอยได้จากการเผาถ่านหิน เพื่อเป็นพลังงานกระแสไฟฟ้าถ่าน หนิ ที่บดละเอยี ดจะถูกเผา เพอื่ เอาพลังงานความรอ้ นเถ้าถ่านท่ีมีขนาดใหญ่จะตกลงยังก้นเตา จงึ เรียก กันว่าเถ้าก้นเตา (Bottom Ash) ส่วนเถ้าถ่านหินขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอน (ไมโครเมตร) จนถึง ประมาณ 200 ไมครอน จะลอยไปกับอากาศร้อนจึงเรยี กวา่ เถ้าลอย จะมีลกั ษณะเป็นฝุ่นละเอียดสีเทา ปนน้าตาลประกอบด้วยออกไซด์ของโลหะหลายชนิด เถ้าลอยจะถูกดักจับโดยที่เครื่องจับฝุ่นระบบ ไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) เพื่อไม่ให้ออกไปกับอากาศ และเป็นมลภาวะต่อพ้ืนท่ีรอบๆ บริเวณโรงไฟฟ้าเถ้าลอยมีคณุ สมบัติเป็นสารปอซโซลานใช้ผสมปูนซีเมนต์ทาคอนกรีตได้ ประเทศไทย มีแหล่งถ่านหินที่สาคัญอยู่หลายแหล่งได้แก่ที่ อาเภอแม่เมาะ และแม่ตีบ อาเภองาว จังหวัดลาปาง ท่ีบ้านปู และบ้านป่าคา อาเภอล้ี จังหวัดลาพูน และที่เหมืองกระบี่บ้านปูดาจังหวัดกระบี่โดยเฉพาะที่ แม่เมาะมีโรงผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งผลิตเถ้าลอยท่ีใหญ่ท่ีสุดในประเทศไทย ดงั แสดงในรูปท่ี 2.8

24 รูปท่ี 2.8 ลักษณะของเถ้าลอย ท่มี า: (https://thai.alibaba.com/product-detail/fly-ash-for-cement-50014111327.html) 2.7.1 ชนิดของเถ้าลอยตามมาตรฐาน ASTM C618 (1991) ให้คาจากัดความ และคณุ สมบัติ ของวัสดุปอซโซลานไว้ว่า วัสดุปอซโซลานเป็นวัสดุที่มีซิลิกา หรือซิลิกาและอลูมินาเป็นองค์ประกอบ หลักโดยทั่วไปแล้ววัสดุ ปอซโซลานจะไม่มีคุณสมบัติในการยึดประสาน แต่ถ้าวัสดุปอซโซลานมีความ ละเอียดมากและมีน้าหรือความชื้นที่เพียงพอท่ีจะสามารถทาปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ที่ อุณหภูมิปกติทาให้สารประกอบท่ีมีคุณสมบัติในการยึดประสาน ตามมาตรฐาน ASTM C618 (1991) ไดจ้ าแนกปอซโซลาน ออกเปน็ 3 ชนั้ คุณภาพ ได้แก่ 2.7.1.1 ชั้นคุณภาพ N (Class N) เป็นปอซโซลานจากธรรมชาตหิ รือปอซโซลานจาก ธรรมชาตทิ ผ่ี า่ นขบวนการเผาแล้วเพื่อให้ไดค้ ุณสมบัตติ ามตอ้ งการ 2.7.1.2 ชั้นคุณภาพ F (Class F) เป็นเถ้าลอยท่ีได้จากการเผาถ่านหิน แอนทราไซต์ (Anthracite) หรอื บทิ ูมินัส (Bituminous) โดยมีปรมิ าณรวมของซิลิกาออกไซด์ SiO2 อลมู ินาออกไซด์ Al2O3 และเฟอร์ริคออกไซด์ Fe2O3 มากกว่าร้อยละ 70 และมีคุณสมบัติอ่ืนตามที่ระบุในมาตรฐาน ASTM C618 (1991) ดังแสดงในตารางท่ี 2.1 ถึง ตารางท่ี 2.2 ซ่ึงโดยท่ัวไปเถ้าลอย ช้ันคุณภาพ F มี ปริมาณแคลเซยี มออกไซด์ (Calcium Oxide, CaO) ทต่ี ่า ดังนนั้ จึงมีช่อื เรียกอกี อย่างหน่ึงว่า เถา้ ลอย แคลเซียมต่าสาหรับ SiO2 มาจากแร่ดินเหนียวและควอรตซ์ เนื่องจากถ่านหินแอน ทราไซต์ และบิทู มินัสมีแร่ดนิ เหนียวสูงจึงให้เถา้ ลอยท่ีมี SiO2 สูง สาหรับวิธีการเก็บตัวอยา่ ง และการทดสอบให้เป็นไป ตามมาตรฐาน ASTM C 311

25 2.7.1.3 ชั้นคุณภาพ C (Class C) เป็นเถ้าลอยที่ได้จากการเผาถ่านหินลิกไนต์ (Lignite) หรือซับบิทูมินัส (Subbituminous) เป็นส่วนใหญ่โดยมีปริมาณผลรวมของ SiO2, Al2O3 และ Fe2O3 มากว่าร้อยละ 50 มปี ริมาณ CaO สงู และมคี ุณสมบัติอ่ืนตามทร่ี ะบุใน มาตรฐาน ASTM C 618, (1991) เถ้าลอยชนิดน้ีเรียกช่ืออีกอย่างหน่ึงว่าเถ้าลอยแคลเซียมสูง สาหรับ Al2O3 มาจากแร่ ดินเหนยี วโดยทีล่ ิกไนตป์ ระกอบไปด้วยดนิ เหนียวท่ี Al2O3 ตา่ ทาให้เถา้ ลอย Class C นอกจากมี SiO2 ตา่ แล้ว ยงั มี Al2O3 ตา่ ดว้ ย ตารางท่ี 2.2 ขอ้ กาหนดทางเคมขี องเถา้ ลอยตามมาตรฐาน ASTM C618 (1991) ขอ้ กาหนดทางเคมี ชนิด NF C SiO2 + Al2O3 + Fe2O3 อย่างตา่ ร้อยละ 70.0 >70.0 <50.0 SO3 อยา่ งสูง, ร้อยละ 4.0 5.0 5.0 ปริมาณความชืน้ สูงสดุ , ร้อยละ 3.0 3.0 3.0 การสูญเสียน้าหนักเนื่องจากการเผา (LOl), สงู สุดร้อยละ 10.0 6.0 6.0 หมายเหตุ สารปอซโซลานชนั้ คุณภาพ N (Class N) เป็นสารปอซโซลานธรรมชาติ ตารางท่ี 2.3 ขอ้ กาหนดทางเคมเี พิม่ เตมิ ตามมาตรฐาน ASTM C618 (1991) ข้อกาหนดทางเคมเี พ่ิมเติม ชน้ั คุณภาพ ปรมิ าณอัลคาไลสูงสดุ เม่ือเทยี บเท่า Na2O, ร้อยละ N FC 1.5 1.5 1.5 หมายเหตุ ปรมิ าณน้จี ะใช้ระบุสาหรบั คอนกรตี ท่ีมีมวลรวมที่ทาปฏกิ ิริยาและต้องใช้ซีเมนตท์ ่ีมอี ัลคาไล ไมเ่ กนิ กาหนด 2.8 องคป์ ระกอบทางเคมขี องเถา้ ลอย องค์ประกอบทางเคมีของเถ้าลอยจะข้ึนอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของถ่านหิน แต่ โดยท่ัวไปองค์ประกอบทางเคมีของเถ้าลอยจะคล้ายกับปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์คือประกอบด้วย SiO2, Al2O3, Fe2O3 และ CaO เป็นองค์ประกอบหลัก และ MgO, Na2O, K2O, SO3 เป็นองค์ประกอบรอง

26 ดังแสดงในตารางที่ 2.3 นอกจากน้ียังประกอบไปด้วยความชื้น และจากการสูญเสียน้าหนักเน่ืองจาก การเผา (Loss On Lgnition, LOI) ตารางที่ 2.4 องค์ประกอบทางเคมีของตัวอยา่ งเถ้าลอยลิกไนตแ์ มเ่ มาะระหว่างปี พ.ศ. 2528–2544 ปี พ.ศ. SiO2 องคป์ ระกอบทางเคม,ี % K2O SO3 LOl Al2O3 Fe2O3 CaO MgO Na2O 2528 12.0 5.9 17.3 39.5 4.6 2.0 0.8 11.5 6.3 2533 37.8 20.5 14.2 17.4 3.3 0.9 2.1 3.9 0.8 2535 40.3 24.0 15.0 11.2 2.8 1.0 2.6 3.1 0.5 2540 41.5 28.1 12.3 10.0 1.2 0.6 3.3 2.0 0.8 2544 39.9 18.2 13.6 17.2 2.4 1.3 2.7 1.5 0.1 SiO2, Al2O3, Fe2O3 และ CaO เป็นองค์ประกอบหลักเนื่องจากรวมกันแล้วมีปริมาณ ถึง ร้อยละ 80 – 90 ดังน้ันจึงเป็นตัวกาหนดคุณสมบัติของเถ้าถ่านหิน เม่ือผสมกับปูนซีเมนต์ และน้า SiO2 และ Al2O3 จะทาปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ ตามมาตรฐาน ASTM C618 (1991) กาหนดผลรวมของ SiO2 + Al2O3 + Fe2O3 ของเถ้าลอยไว้อย่างต่าร้อยละ 50 ถึงจะอยู่ในเกณฑ์ท่ี นาไปใชง้ านได้ 2.8.2 ปอซโซลานท่ีได้จากขบวนการผลิต (Artificial Pozzolan) ได้แก่ เถ้าลอยที่เป็นผล พลอยได้จากการเผาไหม้ถ่านหินที่ถูกบดในการผลิตกระแสไฟฟ้า เถ้าลอยประกอบด้วยอนุภาคทรง กลม ซึ่งมีซิลิกาเป็นส่วนประกอบที่สาคัญประมาณร้อยละ 66-68% เถ้าลอยบางชนิดสามารถทา ปฏิกิริยาได้อย่างรวดเร็วกบั ปนู ขาว และด่าง เกิดเป็นสารประกอบทม่ี ีแรงยึดประสาน แต่เถา้ ลอย บาง ชนิด ก็สามารถทาปฏิกิริยากับน้า และแข็งตัวได้เช่นเดียวกัน เถ้าถ่านหินโดยท่ัวไปแล้วจะมีความ ละเอียดใกล้เคียงหรือสูงกว่าปูนซีเมนต์เพียงเล็กน้อยโดยลักษณะท่ัวไปจะเป็นรูปทรงกลมมีขนาดเส้น ผ่านศูนย์กลางต้ังแต่เล็กกว่า 1 ไมโครเมตร จนถึง 0.15 mm ดังแสดงในรูปท่ี 2.9 เถา้ ถ่านหินท่ีกลวง มีน้าหนักเบา และอาจลอยน้าได้ เรียกว่าเถ้าถ่านหินกลวง (Cenospheres) และในบางคร้ังภายใน เถ้าถ่านหินที่มีรูพรุนอาจมีเถ้าถ่านหินขนาดเล็กๆ อยู่ภายในก็ได้เรียกว่า (Plerospheres) ดังรูป ที่ 2.10 ความละเอียดของเถ้าถ่านหินที่ได้จากการเผาถ่านหินจะขึ้นอยู่กับ การบดถ่านหิน ชนิดของ เครื่องบด และชนิดของเตาเผา ถ้าถ่านหินละเอียดมากข้ึน และเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ในเตาเผาจะได้ เถ้าถ่านหินท่ีมีความละเอียดสูง และมีทรงกลม แต่ในกรณีท่ีเผาไหม้ไม่สมบูรณ์รูปร่างของเถ้าถ่านหิน

27 จะไม่แน่นอนสาหรับเถ้าถ่านหินในประเทศไทยพบว่าความละเอียดของเถ้าถ่านหินจากโรงไฟฟ้าท่ี แม่เมาะ ซึ่งทดสอบโดยวิธีของเบลนมคี วามละเอยี ดอย่ใู นช่วง 2,500 ถึง 3,500 cm2/g รูปที่ 2.9 ภาพถา่ ยขยายของเถ้าถา่ นหินจากโรงไฟฟ้าทอ่ี าเภอแมเ่ มาะ จังหวัดลาปาง ทมี่ า: (ธีรวฒั น์ สินศิริ, 2548) ภาพขายทางกายภาพของเถ้าลอยที่กาลังขยาย 200 เท่า รปู ที่ 2.10 Plerospheres เป็นเถา้ ถา่ นหินที่มีรพู รุนและมีเถ้าถ่านหนิ เม็ดเล็ก ๆ อย่ภู ายใน ทมี่ า: (ธรี วัฒน์ สนิ ศริ ,ิ 2548) ภาพขายทางกายภาพของเถา้ ลอยทกี่ าลงั ขยาย 500 เท่า

28 2.9 หินฝุ่น (Stone Dust) หินฝุ่น (Stone Dust) คือ สว่ นละเอียดของหินซงึ่ เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการโม่หนิ โดย การร่อนแยกขนาดของหินเบอร์ท่ีใช้สาหรับงานก่อสร้าง หินฝุ่นจัดเป็นวัสดุมวลหยาบ (Granular Materials) และเป็นวัสดุประเภท Non - Plastic มีขนาดเม็ดโตสุดไม่เกิน 9.5 มม. หินฝุ่นมีค่าความ ถ่วงจาเพาะอยู่ระหว่าง 2.61 - 2.79 ค่าการดูดซึมนา้ อยู่ระหว่างรอ้ ยละ 0.58 - 1.98 ค่าความสึกหรอ อยู่ระหว่างร้อยละ 18.9 - 34.4 ข้ึนอยู่กับชนิดของหินต้นกาเนิดค่าความแน่นแห้งสูงสุดอยู่ระหว่าง 2.035 - 2.295 gm./ml. ค่าปริมาณความช้ืนท่ีเหมาะสมอยู่ระหว่างร้อยละ 6.1- 10.0 ค่า CBR อยู่ ระหว่างร้อยละ 39.5 - 88.0 และมีค่าการบวมตัว (Swelling) น้อยกว่าร้อยละ 0.1 หินฝุ่นที่มาจาก แหล่งหินปูน เป็นหินทีมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแคลเซียมคาร์บอเนต แมกนีเซียมคาร์บอเนต แตกต่างจากปูนขาวซึงมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นออ กไซด์ ไฮดรอกไซด์ของแคลเซียม และแมกนีเซียม ทาให้หินฝุ่นไม่มีฤทธ์ิด่างจัดเหมือนปูนขาว และอัตราการละลายน้าหรืออัตราการ แตกตัวจึงค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจากผลการวิเคราะห์พบว่าหินปูนฝุ่นมีปริมาณแคลเซียมในระดับร้อยละ 58.74 แมกนีเซียมในระดับร้อยละ 1.98 และ มีแมงกานีส เหล็ก ทองแดง และสังกะสีปะปนกัน ในระดับ 196.85, 1,220.67, 1.98 และ 20.06 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลาดับ ส่วนหินฝุ่นที่มาจาก แหล่งหินบะซอลต์ เป็นหินที่มีองค์ประกอบหลักเป็นซิลิกา ผลการวิเคราะห์พบว่าหินชนิดนี้ มีปรมิ าณ แคลเซียมในระดับร้อยละ 3.4 แมกนีเซียมในระดับร้อยละ 1.73 ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณแคลเซียม และ แมกนีเซียมในปริมาณต่า แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สามารถเป็นประโยชน์ได้ ถ้านามาใช้ในปริมาณท่ีสูงข้ึน อย่างไรกด็ ี หินฝุ่นท่ีมาจากแหล่งหินบะซอลต์นม้ี ีธาตมุ ีแมงกานีสเหล็ก ทองแดง และสังกะสีปะปนกัน ในระดับ 1,062.67 14,618.35 45.93 และ 97.20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลาดับ ดังแสดงใน รูปท่ี 2.11 รปู ท่ี 2.11 ลกั ษณะของหินฝ่นุ

29 2.10 ทราย 2.10.1 ทรายที่นิยมใช้กนั อยา่ งแพร่หลายนนั้ มอี ยู่ 3 ชนิดด้วยกัน คือ 2.10.1.1 ทรายหยาบ หรือท่ีเรียกว่า ทรายราชบุรี เป็นทรายเม็ดใหญ่ มีเหลี่ยม แง่มุมแข็งแรงดี เหมาะสาหรับใช้เป็น ส่วนผสมของคอนกรีต ท่ีต้องการต้านทานกาลังสูง เช่น โครงสร้างสะพาน อาคารที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ฐานราก เขื่อนก้ันดิน เป็นต้น ทรายชนิดนี้จะมี เปลือกหอย และเศษหินปะปนอยู่ เวลาจะใช้ต้องนาไปร่อนด้วยตะแกรง ทาความสะอาดเสียก่อน ดงั แสดงรูปท่ี 2.12 รูปที่ 2.12 ลกั ษณะของทรายหยาบ ท่มี า: (http://www.okdplus.com/image/work/56/work-a.html) 2.10.1.2 ทรายกลาง หรือที่เรียกว่า ทรายอ่างทอง เป็นทรายที่มีขนาดปานกลาง ไม่หยาบ และไม่ละเอียดนักเหมาะสาหรับงานปูนท่ัวไป เช่น นามาเป็นส่วนผสมของปูนก่อสาหรับ ก่ออฐิ หรือใชเ้ ทพ้ืนคอนกรีตที่ไม่ต้องการความแขง็ แรงมากนัก ทรายชนิดน้ี เวลาจะใช้จะต้องร่อนเอา เปลอื กหอยและส่งิ อ่ืนๆทไ่ี มต่ ้องการออกเสียก่อน ดงั รปู ท่ี 2.13

30 รูปที่ 2.13 ลักษณะของทรายกลาง 2.10.1.3 ทรายละเอียด หรือที่เรียกว่า ทรายอยุธยา เป็นทรายเม็ดละเอียดมาก นามาใช้กับงานที่ไม่ต้องใช้กาลังมากนัก เหมาะสาหรับนามาเป็นส่วนผสมของปูนฉาบผิวหน้า ทาบวั ทาลวดลายต่างๆ กอ่ นใชจ้ ะต้องรอ่ นทรายเพ่อื ขจดั สิง่ ต่างๆ ทีไ่ มต่ อ้ งการออก ดังรปู ท่ี 2.14 รูปท่ี 2.14 ลักษณะของทรายละเอยี ด ทีม่ า: (http://sites.amarillasinternet.com/tasaikrtidech/3.html)

31 2.11 นา้ (Water) คุณสมบตั ิของน้าทจี่ ะนาไปผสมทาคอนกรีตสาหรับงานก่อสรา้ ง เพื่อทาให้คอนกรตี มคี ุณภาพ ทดี่ มี คี วามแขง็ แรง โดยทป่ี รมิ าณและคุณภาพของน้าเปน็ ปจั จัยสาคัญตอ่ ความแข็งแรงและความคงทน ของคอนกรีตเน่ืองจากสิ่งเจือปนต่างๆในน้าจะส่งผลเสียต่อคุณภาพของคอนกรีต เช่น ความสามารถ เทได้ ระยะเวลาการก่อตัว เวลาการแข็งตัว ความต้านแรงอัด หรือ กาลังการเปล่ียนแปลงปริมาตร สีของ คอนกรีตไม่สม่าเสมอ การเกิดสนิมต่อเหล็กเสริม น้าท่ีมีคลอไรด์ เช่น น้าทะเล น้าเค็ม และน้า กร่อย ไม่เหมาะสมสาหรับผสมคอนกรีต เพราะจะทาให้เหล็กเสริมในโครงสร้างคอนกรีตเป็นสนิมได้ น้าเปน็ ส่วนประกอบที่สาคัญในการผลติ คอนกรตี ท่ีใช้ในงานก่อสรา้ งมีหน้าทหี่ ลัก ดังน้ี 1) ใช้ผสมกับปูนซีเมนต์เพ่ือให้เกิดปฏิกิริยาไฮเดรช่ัน เพ่ือทาให้เกิดการก่อตัว แข็งตัว กาลัง และความคงทนของคอนกรีต 2) ทาให้คอนกรีตมคี วามสามารถในการเทได้ 3) ใช้บ่มคอนกรีตให้มีกาลังเพ่ิมข้ึน และเป็นการป้องกันปัญหาการแตกร้าวเน่ืองจากการ สูญเสียนา้ ของคอนกรีต 4) ใช้ลา้ งมวลรวมท่สี กปรกให้สะอาดพอทจี่ ะนามวลรวมมาใชผ้ สมทาคอนกรีตได้ สิ่งเจือปนในน้าถ้ามีสิ่งเจือปนในน้ามากไปจะส่งผลให้มีปัญหาต่อกาลังคอนกรีตเพราะฉะนั้น น้าที่ใช้ในการผสมคอนกรีตท่ีดีน้ันจะต้องไม่มีสิ่งเจือปนมากเกินไปดังน้ี ตะกอน หากน้ามีตะกอน เกินกว่า 2,000 ppm. การหดตัวของคอนกรีตจะมีมากขึ้นกว่าปกติ หรือทาให้ข้ึนเกลือขึ้นบริเวณ บรเิ วณผวิ หน้าของคอนกรตี (Efflorescence) ดังนั้นถ้าน้าขนุ่ เกินไปควรปลอ่ ยให้ตกตะกอนกอ่ นที่ จะ นามาผสมคอนกรีตสารละลายอนินทรีย์ตามปกติสามารถใช้น้าที่ไม่มีสิ่งเจือปนน้อยกว่า 2,000 ppm. ได้อย่างปลอดภัยแต่ถ้าหากน้ามีโซเดียมซัลไฟล์เพียง 100 ppm. ก็อาจก่อปัญหาแก่คอนกรตี ได้แต่ใน บางคร้ังก็อาจใช้ประโยชน์จาก สารละลายเป็นสารผสมเพ่ิมเพ่ือให้คอนกรีตเกิดการก่อตัวเร็วข้ึน สารละลายของเกลืออนินทรีย์บางชนิดนั้นจะทาให้การก่อตัวและแข็งตัวช้าลง เช่น เกลือของสังกะสี ทองแดง ตะก่ัว สารละลายอินทรีย์ สารละลายอินทรีย์ทาให้น้ามีสีและทาให้ปฏิกิริยาของไฮเดรชั่น ของซีเมนต์ช้าลง ข้อกาหนดของน้าผสมคอนกรีตจะต้องมีขอบเขตของระดับความเข้มข้นไม่เกินค่า ดังต่อไปน้ี ปริมาณของของแข็งไม่เกินกว่า 2,000 ppm. ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 6 – 8 ปริมาณซัลเฟต ไม่มากกว่า 1,000 ppm. ปริมาณคลอไรด์ไม่มากกว่า 500 ppm. ดังแสดงใน รปู ที่ 2.15

32 รปู ท่ี 2.15 นา้ ที่ใชผ้ สมคอนกรตี บลอ็ กตัวหนอน 2.12 ปฏกิ ิริยาไฮเดรชัน (Hydration Reaction) วัตถุท่ีเรียกว่าปูนซีเมนต์ หมายถึง สารประกอบอย่างหนึ่งมีลักษณะเป็นผงที่บดละเอียดซึ่ง เมอ่ื ไดผ้ สมกับน้าตามอัตราส่วนท่พี อดีแล้วทิ้งไว้ระยะหนง่ึ จะแข็งตวั โดยมนุษยใ์ นสมัยโบราณไดค้ ้นพบ ว่าเมื่อเอาหินบางชนิดมาทาการเผาจนสลายเป็นผงแล้วบดให้ละเอียดแล้ วนามาผสมน้าท้ิงไว้ชั่วเวลา หนึ่งก็ จะได้ผลผลิตที่แข็งเป็นก้อนเป็นรูปร่างตามต้องการปูนซีเมนต์ ในปัจจุบันปูนซีเมนต์ทาจาก วัตถุดบิ ท่มี ีธาตุอะลูมินา หรือ ซิลกิ า ซง่ึ ได้แก่ ดินดา ดนิ ขาว หรือ ศิลาแลง ซ่งึ มีธาตเุ หล็กมาก นา้ มสี ูตรเคมี H2O หมายถงึ หน่ึงโมเลกุลของนา้ ประกอบดว้ ยสองอะตอมของไฮโดรเจน และ หน่ึงอะตอมของ ออกซิเจน เม่ืออยู่ในภาวะสมดุลพลวัต (Dynamic Equilibrium) ระหว่างสถานะ ของเหลวและของแข็ง ที่ STP (Standard Temperature And Pressure : อุณหภูมิ และความดัน มาตรฐาน) ท่ีอณุ หภมู ิห้องเป็นของเหลวเกือบ ไมม่ ีสี, ไม่มีรส, และ ไม่มีกล่นิ บ่อยครงั้ มกี ารอ้างอิงทาง วิทยาศาสตร์ว่ามันเป็นตัวทาละลายของจักรวาล และน้าเป็นสารประกอบบริสุทธ์ิชนิดเดียวเท่าน้ัน ท่ี พบในธรรมชาตทิ ง้ั 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และกา๊ ซ

33 ปฏิกิริยาระหว่างปูนซีเมนต์กับน้า เรียกว่าปฏิกิริยาไฮเดรชั่น ซ่ึงจะทาให้เกิดการก่อตัว และ แข็งตัว โดยจะข้ึนอยู่กับปริมาณสารประกอบในปูนซีเมนต์สารประกอบน้ี จะทาปฏิกิริยา และมี อิทธิพลซ่ึงกันและกัน ดังนั้นปฏิกิริยาระหว่างปูนซีเมนต์กับน้าสามารถเร่ิมต้นด้วยปฏิกิริยาของแต่ละ สารประกอบในปนู ซีเมนต์ 2.12.1 ปฏิกิริยาไฮเดรชนั ของแคลเซียมซิลเิ กต (C3S, C2S) แคลเซียมซิลิเกตจะทาปฏิกิริยากับน้า ก่อให้เกิด Ca(OH)2 และ แคลเซียมซิลิเกต ไฮเดรต (Calcium Silicate Hydrate, C-S-H) ดงั สมการที่ (2.1) และ (2.2) 2(3CaO.SiO2) + 7H2O → 3CaO.2SiO24H2O + 3Ca(OH)2 (2.1) 2(2CaO.SiO2) + 5H2O → 3CaO.2SiO2.4H2O + Ca(OH)2 (2.2) 2.12.2 ปฏกิ ริ ยิ าไฮเดรชน่ั ของไตรแคลเซียมอะลูมิเนตและยปิ ซั่ม ปฏิกิริยาไฮเดรชนั่ ของไตรแคลเซยี มอะลูมิเนต (C3A) จะเกิดทันทีทันใด และกอใหเกิด การแข็งตวั อยางรวดเร็วของซเี มนตเพสตดังสมการท่ี (2.3) 3CaO.Al2O3 + 6H2O → 3CaO.Al2O3.6H2O (2.3) เพื่อหน่วงไม่ให้ปฏิกิริยาเกิดอย่างรวดเร็ว จึงใสยิปซัมเข้าไปในระหว่างกระบวนการบดปูน เม็ดยิปซัม เพื่อจะเข้าไปทาปฏิกิริยากับก่อให้เกิดช้ันของเอ็ททริงไกด (Ettringite) บนผิวของอนุภาค C3A ดังสมการที่ (2.4) 3CaO.Al2O3+3(CaSO4.2H2O)+26H2O → 3CaO.Al2O3.3CaSO4.32H2O (2.4) ช้ันของเอ็ททริงไกด (Ettringite) ก่อให้เกิดเกิดการหนวงการก่อตัวของ C3A และทาให้การก่อตัวใน ชว่ งแรกนข้ี ้นึ อยู่กับปฏกิ ิรยิ าไฮเดรชนั ของแคลเซยี มซิลเิ กต (C3S, C2S) 2.12.3 ปฏกิ ิรยิ าไฮเดรชนั ของเตตระแคลเซยี ม อะลมู ิโนเฟอรไรต์ (C4AF) ปฏิกิริยาของ C4AF คล้ายกับปฏิกิริยาที่เกิดข้ึนใน C3A แต่ปฏิกิริยาจะเกิดช้ากว่า และมคี วามร้อนทเ่ี กิดจากการทาปฏกิ ิริยาที่น้อยกว่ายิปซัม จะหนวงปฏกิ ิริยาของ C4AF มากกว่าที่หน

34 วง ใน C3A ปฏิกิริยาระหว่าง C4AF และ ยิปซัมทาให้เกิดแคลเซียมซัลโฟอะลูมิเนต และ แคลเซียม ซัลโฟเฟอรไรต ดงั สมการท่ี (2.5) 4CaO.Al2O3.Fe2O3 + CaSO4.2H2O + Ca(OH)2 → 3CaO(Al2O3,Fe2O3).3CaSO4 (2.5) 2.12.4 กลไกของปฏิกิรยิ าไฮเดรชนั ปฏิกิริยาไฮเดรชันท่ีเกิดขึ้นในปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์จะประกอบด้วยปฏิกิริยาเคมี ขององค์ประกอบแคลเซียมซัลเฟต (CaSO4.2H4O) และน้าที่ต่อเน่ืองกัน โดยปกติสารประกอบท่ีเข้า ทาปฏิกิรยิ าไดแก เอไลด์ (ไตรแคลเซยี มซิลิเกตซ่งึ โครงสรา้ งถูกแทนที่ไอออนอื่น) เบไลด (ไดแคลเซียม ซิลิเกตซ่ึงโครงสร้างถูกแทนที่ไอออนอื่นๆ) ไตรแคลเซียมอะลูมิเนต แคลเซียมอะลูมิโนเฟอรไรด แคลเซียมออกไซดอิสระซัลเฟตของอัลคาไลดแคลเซียมซลั เฟต และน้า ปฏิกิริยาเพสตในปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่อุณหภูมิสภาพแวดล้อมประกอบด้วย 4 ขั้นตอน พบวา่ มีลักษณะท่คี ล้ายกับปฏิกิริยาท่ีเกิดข้ึนในไตรแคลเซยี มซิลเิ กต ดังตอ่ ไปน้ี ขั้นตอนท่ี 1 ระยะ Pre-Induction (นาทีแรก) โดยเมื่อปูนซีเมนต์สัมผัสกับน้าจะมีการแตก ตวั อยางรวดเรว็ ของไอออนบางชนิดไปยังสถานะของของเหลว และมีการฟอร์มตัวของไฮเดรตซัลเฟต ของอัลคาไลด จะแตกตัวอย่างสมบูรณ์ภายในไม่ก่ีวินา ท่ีทาใหในสารละลายมีทั้งไอออนของ โพแทสเซยี ม (K+) โซเดียม (Na+) และซลั เฟต ไอออน (SO4 2-) ในขณะที่ แคลเซียมซัลเฟตกม็ ีการแตก ตัวจนกระทั่งอ่ิมตัวไปด้วยไอออนแคลเซียม ไอออน (Ca2+) และซัลเฟตไอออน (SO4 2-) เช่นเดียวกัน ไตรแคลเซยี มซิลิเกต จะมีการแตกตัวอย่างต่อเนื่อง และจะมีชัน้ ของ แคลเซียมซิลิเกตไอเดรต เกิดข้ึน บนผิวของอนุภาคปูนซีเมนต์ เม่ือพิจารณาอัตราส่วนของแคลเซียมออกไซด์ต่อซิลิกอน ไดออกไซด (CaO/SiO2) ของผลิตภัณฑ์ไฮเดรตนี้จะมีค่าต่ากว่าในไตรแคลเซียมซิลิเกตซึ่ง ปฏิกิริยาไฮเดรชัน ท่ี สภาวะนี้จะเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้ึนที่เพ่ิมข้ึนของแคลเซียมไอออน (Ca2+) และไฮดรอกไซดไอออน (OH2-) ในขณะที่ไตรแคลเซียมอะลูมิเนต จะแตกตัว และทาปฏิกิริยากับ แคลเซียมไอออน (Ca2+) และซัลเฟตไอออน (SO42-) ได้ผลิตภัณฑ์ เป็นเอ็ททริงไกท์ (Ettringite) ซ่ึงปริมาณของไตรแคลเซียม อะลูมิเนตที่ทาปฏิกิรยิ าจะต่างกันตามชนิดของปูนซีเมนต์ เช่น เดยี วกับเฟอรไรด์ ท่ีให้ผลิตภัณฑ์อย่าง เดียวกนั สวนเบตาไดแคลเซียมซิลเิ กต (  - C2S) จะให้แคลเซียมซลิ เิ กตไฮเดรต ขั้นตอนที่ 2. ระยะ Induction หรือระยะดอรแมนท (Dormant) (ในชั่วโมงแรก) หลังจาก ช่วงสั้นๆ ของปฏิกิริยาไฮเดรชันท่ีผ่านไปอย่างรวดเร็ว อัตราเร็วของปฏิกิริยา โดยรวมจะลดลงใน ช่ัวโมงแรก สาเหตุท่ีปฏิกิริยาลดลงเป็นผลเนื่องมาจากความเข้มข้นของ แคลเซียมไฮดรอกไซด

35 (Ca(OH)2) ในของเหลวท่ีเร่ิมเข้าสูจุดสูงสุดและกาลังจะลดลงในขณะท่ีความเข้มข้นของ ซัลเฟต ไอออน (SO42-) อยู่ในระดับที่คงที่ตามสดั สว่ นที่ใช้ในการเกิดของเอ็ททริงไกท์ ข้ันตอนที่ 3. ระยะเร่ง (Acceleration Stage) (3 – 12 ช่ัวโมงหลังการผสม) ในช่วงนี้จะมี การพัฒนาของปฏิกิริยาไฮเดรชันท่ีเพิ่มข้ึนอีกคร้ังและจะถูกควบคุมโดยการเกิดและพัฒนาโครงสร้าง ของผลิตภัณฑ์ไฮเดรชัน ผลึกของแคลเซียมไฮดรอกไซด์จะเริม่ ตกผลึกทาใหความเข้มข้นของแคลเซยี ม ไอออน (Ca2+) ลดลงในขณะท่ีแคลเซียมซัลเฟตจะกลับมาแตกตัวอย่างสมบูรณ์แต่ความเข้มข้นของ ซลั เฟตไอออน (SO4 2-) จะลดลงเนอื่ งจากการฟอรม์ ตัวของเอ็ททริงไกท ขั้นตอนท่ี 4. ระยะหลังการเร่ง (Post – Acceleration Period) ในระยะเวลานี้เกดิ อัตราการ เกิดปฏิกิริยาไฮเดรช่ันจะลดลงตามปริมาณของสารต้ังตันของปฏิกิริยา ที่ลดลงในขณะที่ แคลเซียม ซิลิเกตไฮเดรต (C–S–H) มีการฟอร์มตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิกิริยาไฮเดรชันที่ต่อเนื่อง ของไตรแคลเซียมซิลิเกต และเบตาไดแคลเวียมซิลิเกต และเมื่อแคลเซยี มซัลเฟตถูกใชหมดไปมีผลทา ใหความเขมขนของซัลเฟตไอออน (SO42-) ลดลงตามมาด้วยเอ็ททริงไกทจะฟอร์มตัวข้ึนจะเร่ิมทา ปฏิกิริยารวมกับกับไตรแคลเซียมอะลูมิเนต (C3A) และไดแคลเซียมซึ่งมีโมเลกุลระหว่างอะลูมิเนียม หรือ เฟอรไรดไดโมโนซลั เฟตจะเกดิ ปฏิกริ ิยาไฮเดรชันของปนู ซเี มนต์ปอรตแลนด์ 2.13 ทฤษฎีบลอ็ กคอนกรตี ตัวหนอน บล็อกปูพื้นคอนกรีตตัวหนอน หรือท่ีเราเรยี กกันว่าบล็อกตัวหนอน ขนาด 11.5x23.5x6 ซม. แต่เดิมมีแค่สีเทากับสีแดง ปัจจุบันมีหลายสีสัน และรูปทรงให้เลือกมากมายย่ิงข้ึน และมีโปรแกรม คอมพิวเตอร์ท่ีชว่ ยออกแบบลวดลายตา่ งๆใหเ้ ราสามารถมองเห็นภาพจริงได้กอ่ นลงมือปูพ้นื เพื่อให้เรา สามารถเลือกได้ว่าลายไหนที่เหมาะกับพื้นของบ้านเรา ส่วนเรื่องลูกเล่นเร่ืองความสวยงามน้ันบล็อก ปูพื้นสามารถเติมลูกเล่นสร้างลวดลายได้มากมายไม่ว่าเป็นการวางแบบสลับสีสันหรือจะใช้สีเป็นตัว แบ่งสัดส่วนพ้ืนท่ีใช้งานก็ดูเข้าท่าไม่น้อยถ้าเราอยากมีลวดลายสวยๆท่ีไม่ซ้าใครควรปรึกษาทีมงาน ออกแบบ และติดตงั้ ที่เป็นมอื อาชพี จะดกี วา่ แค่น้ีคณุ ก็จะไดล้ วดลายของพื้นทสี่ วยงามตรงใจได้ไม่ยาก วัสดุปูพ้ืนเป็นวัสดุที่ใช้ตกแต่งผิวพ้ืนภายใน และภายนอกของอาคารซึ่งมีอยู่มากมายหลาย ชนิดโดยแต่ละชนิดจะมีความสวยงามประโยชนในการใช้สอยแตกต่างกันไปการเลือกใช้วัสดุปูพื้น ใน บริเวณพ้ืนที่ต่างๆ ตองพิจารณาถึงความเหมาะสมในด้านคุณสมบัติเฉพาะของวัสดุแต่ละชนิด และ ต้องมีการดูแลรักษาทีถ่ ูกวิธีเพอื่ เพ่ิมอายุการใช้งานให้นานขนึ้ ดังรูปที่ 2.16

36 รูปท่ี 2.16 ลกั ษณะบลอ็ กคอนกรีตตวั หนอน 2.13.1 วธิ กี ารผสมบล็อกคอนกรตี ตัวหนอน นาเอา หินฝุ่น และ ทราย ใส่ในเครื่องผสมคอนกรีตตามอัตราส่วนท่ีออกแบบไว้จากนั้น นา ปูนซีเมนต์ที่ใส่ลงไปตามอัตราส่วนท่ีออกแบบไว้ทาการผสมแห้งประมาณ 3-5 นาที จากน้ันนาน้าท่ี เตรียมไว้เติมลงไปในถังผสมคอนกรีตให้ท่ัวทั้งส่วนผสมทาการผสมเปียกไว้ประมาณ 5-7 นาที และ ปลอ่ ยส่วนผสมลงสู่เคร่ืองอัดบลอ็ กคอนกรตี เพ่ือทาการข้ึนรูปคอนกรีตบลอ็ กตัวหนอนเมอ่ื ขึน้ รปู เสร็จ แล้วนาไปวางพ่งึ แห้งไว้เป็นระเบยี บรอจนกกว่าบล็อกคอนกรตี จะแขง็ ตัวก็จะสามารถเคลอ่ื นยา้ ยท่ีได้ 2.13.2 ขนั้ ตอนการทาการทดลองการรับแรงอัด (Compressive Strength) ขั้นตอนท่ี 1 นาบลอ็ กคอนกรีตตัวอยา่ ง 5 กอ้ น มาวดั ขนาดใหล้ ะเอียดถึง 0.1 ซ.ม. ขน้ั ตอนที่ 2 นาบลอ็ กคอนกรีตตัวหนอน 5 ตวั อย่าง บม่ น้าตามระยะเวลามาตรฐาน ทกี่ าหนดออกแบบไว้ 7,14 และ 28 วนั ตามมาตรฐาน ACI 318 ขั้นตอนท่ี 3 ได้เวลาครบตามกาหนดที่บ่มน้าแบบเปียกเป็นเวลา 7,14 และ 28 วัน จงึ นาบลอ็ กคอนกรีตตวั หนอนทง้ั 5 ตวั อยา่ งมาเช็ดทาความสะอาด ขั้นตอนท่ี 4 พงึ่ ไว้ให้แหง้ อยา่ งนอ้ ยเป็นระยะเวลา 24 ช่วั โมง ขั้นตอนที่ 5 วางบล็อกคอนกรตี ตวั อย่างให้ตรงกับจดุ ศนู ยก์ ลางของเครื่องกด ขั้นตอนที่ 6 นาแผ่นเหล็กและแผ่นยางวางทับวัสดุตัวอย่างที่นาขึ้นเคร่ืองอัดแทน พื้นทีก่ ารรับแรงอัด

37 ขน้ั ตอนท่ี 7 เดินเครื่องกดโดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกปรบั ให้น้าหนักทีก่ ดเป็นไป อย่างสม่าเสมอ เม่ือกดได้น้าหนักประมาณครึ่งหน่ึงของน้าหนักที่รับเต็มที่ให้เพ่ิมอัตราเร็วให้สูงขึ้นจน ตัวอย่างทดสอบแตกหักบนั ทึกคา่ แรงกดสงู สดุ ขน้ั ตอนท่ี 8 ไดค้ า่ กาลังรบั แรงกดสูงสุดของบลอ็ กคอนกรีตตัวหนอนทที่ ดสอบ สูตรการหากาลงั รับแรงกดสูงสุดของบล็อกคอนกรตี ตวั หนอน W (2.2) fc'  A โดยท่ี fc' คือ กาลงั อดั ประลยั ของคอนกรีต ksc คอื น้าหนกั กดประลยั ของคอนกรตี kg W คือ พน้ื ที่หนา้ ตัดของกอ้ นตัวอยา่ ง ( cm2 ) A 2.13.3 การดดู ซมึ น้า (Absorption) (การช่งั นา้ หนักให้ชง่ั ใหล้ ะเอียดถึง 0.02 kg) 1) แช่ก้อนตัวอย่างทดสอบแต่ละตัวอย่างที่ออกแบบไว้อย่างละ 5 ก้อน ในน้าที่ กาหนดไวเ้ ปน็ เวลา 7, 14 และ 28,วัน ตามที่ออกแบบไว้ 2) นาบล็อกคอนกรีตตัวหนอนทดสอบขึ้นจากน้า เช็ดผิวหน้าให้แห้งด้วยผ้าช้ืนแล้ว นาไปช่ังให้เรียบร้อย ภายในเวลาไม่เกิน 3 นาที หลักจากนาข้ึนจากน้าจะเป็นน้าหนักสภาพอิ่มตัวผิว แหง้ (Weight At Saturated Surface Dry, W.) 3) นาไปอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 110 ± 5 องศาเซลเซียส จนน้าหนักคงท่ีโดยใช้เวลา อบ 48 ชว่ั โมงปลอ่ ยใหเ้ ยน็ ท่ีอณุ หภมู หิ ้องแลว้ ช่งั นา้ หนกั เปน็ สภาวะอบแห้ง 4) หาเปอรเ์ ซ็นตก์ ารดดู ซึมนา้ ของบล็อกคอนกรีตทดสอบ สตู รกาคานวณการดูดซมึ ความชน้ื ของบล็อกคอนกรีต  Ws Wd 100 (2.3) Wd โดยท่ี Ws คอื น้าหนกั ก่อนแช่น้า Wd คือ นา้ หนกั หลงั แชน่ า้ 2.14 เครอ่ื งอดั บล็อกคอนกรตี ตวั หนอน เคร่อื งอัดบล็อกคอนกรตี นนั้ จะแบ่งตามกาลงั การผลติ ของเคร่ืองสามารถแบ่งได้ดงั นี้ 2.14.1 เครอ่ื งอดั บลอ็ กคอนกรีต 3 ก้อน แบบธรรมดา

38 1) ระบบการทางาน แบบธรรมดา (มือโยก/เทา้ เหยียบ) 2) อัตราการผลติ /วัน 1,000 – 1,600 ก้อน (ใชแ้ รงงาน 3 คน) 3) ตัวเคร่อื งอดั อฐิ บล็อกพรอ้ มถงั พักหิน แมพ่ มิ พ์ 3 กอ้ น 4) โม่ผสมหิน, ปนู ขนาด 100 ซม. 5) สายพานลาเลียงแบบบ้ัง ยาว 6.5 เมตร กว้าง 14 นวิ้ ดังแสดง รปู ท่ี 2.17 รูปที่ 2.17 เครอ่ื งอัดบลอ็ กคอนกรตี 3 กอ้ น แบบธรรมดา

39 2.15 มาตรฐานผลติ ภณั ฑ์อตุ สาหกรรมคอนกรีตบล็อกประสานปูพ้ืน (มอก.827-2531) 2.15.1 ขอบข่าย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมน้ีกาหนด ขนาด และเกณฑ์ความคลาดเคลื่อน ส่วนประกอบ การทาคุณลักษณะที่ต้องแบบการเคร่ืองหมาย ฉลากการชักตัวอย่างเกณฑ์ตัดสิน และ การทดสอบคอนกรีต 2.15.2 บทนิยาม ความหมายของคาท่ีใชใ้ นมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรมนี้ มีดงั ตอ่ ไปนี้ 2.15.2.1 คอนกรีตบล็อกประสานปูพ้ืน ซ่ึงต่อไปในมาตรฐานน้ีจะเรียกว่าบล็อก หมายถึง ก้อนคอนกรตี ทีส่ ามารถนามาวางเรียงประสานกนั ได้อย่างต่อเน่ืองมีสตี ามธรรมชาติ หรอื อาจ มีผงสีเจือปนอยู่ท้ังบล็อกหรือช้นั ผิวหน้า และจะมีรปู รา่ งแบบใดก็ได้ เหมาะสาหรับใช้ปูพื้น เช่น ถนน ทางเท้า ลานจอดรถ และลานกองเก็บวัสดุ ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับการออกแบบโครงสร้างช้ันพ้ืน และช้ันรอง พ้นื ให้สอดคลอ้ งกบั สภาพการใช้งาน 2.15.2.2 ช้ันผิวหน้า หมายถึง ช้ันผิวของบล็อกส่วนที่รับการเสียดสี และอาจมีการ ลบมมุ ด้วยก็ได้ 2.15.2.3 ความได้ฉาก (Squareness) หมายถึง ความได้ฉากของด้านข้างโดยรอบ กบั พ้ืนผวิ ล่างของบล็อก และการขนานกันของพน้ื ผวิ หน้ากบั พื้นผวิ ลา่ ง 3. ขนาดและเกณฑ์ความคลาดเคลอ่ื น 3.1 มติ ิและเกณฑ์ความคลาดเคล่ือนของบล็อก ใหเ้ ป็นไปตามตารางท่ี 2.4 3.2 การลบมมุ (ถ้ามี) ตอ้ งไม่เกิน 7 มิลลิเมตร ตารางที่ 2.5 มติ แิ ละเกณฑค์ วามคลาดเคลอื่ นของบลอ็ ก (ข้อ 3.1) มิติ เกณฑ์ท่กี าหนด เกณฑ์ความคลาดเคลอ่ื น ความกว้างและความยาว ไมเ่ กนิ 295 ±2 60 ความหนา 80 ±2 100 ความหนาของชัน้ ผวิ หนา้ 120 ±2 ต่าสดุ 3

40 (เฉพาะช้ันผวิ หน้าท่ีทาเป็นส)ี 4. สว่ นประกอบและการทา 4.1 สว่ นประกอบ 4.1.1 ปนู ซีเมนต์ ให้ใช้ปูนซเี มนต์อยา่ งใดอยา่ งหนึ่งดงั ตอ่ ไปนี้ 4.1.1.1 ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ท่ีเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ปนู ซีเมนต์ปอรต์ แลนด์ เล่ม 1 ขอ้ กาหนดเกณฑค์ ณุ ภาพ มาตรฐานเลขที่ มอก. 15 เล่ม 1 4.1.1.2 ปูนซีเมนต์ผสมท่ีเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ผสมมาตรฐาน เลขที่ มอก. 80 4.1.2 มวลผสม ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมวลคอนกรีตมาตรฐาน เลขที่ มอก. 566 4.1.3 ผงสี ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลติ ภัณฑ์อุตสาหกรรม ผงสี ในกรณีทยี่ ังไมม่ ีการประกาศ กาหนดมาตรฐานดงั กลา่ ว ให้เป็นไปตาม BS 1014 4.1.4 สภาพสีซีเมนต์ ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สีซีเมนต์ มาตรฐาน เลขที่ มอก. 469 4.1.5 น้าท่ใี ช้ต้องเป็นนา้ สะอาด 4.1.6 สว่ นผสมอนื่ ๆต้องไมม่ ผี ลเสยี หายตอ่ การใชง้ านของบลอ็ ก .. 4.1.7 การทาใช้เครื่องอัดและเครื่องเขย่าส่วนประกอบต่างๆ ตามข้อ 4.1 ให้เป็นแผ่นถ้าช้ัน ผิวหน้าทาเป็นสีน้าหนักของผงสีท่ีผสมต้องไม่เกิน ร้อยละ 10 ของน้าหนังปูนซีเมนต์ท่ีใช้ในส่วนผสม ของชั้นผิวหน้าน้ันในกระบวนการผลิต ต้องทาใหช้ ้ันผวิ หน้าติดกบั ตัวก้อนในเวลาที่ต่อเน่ืองกนั เมอื่ นา บล็อกออกจากแม่พิมพ์แล้ว ใหน้ าไปบม่ ดว้ ยกรรมวธิ ีทีเ่ หมาะสม 5. คุณลกั ษณะท่ีต้องการ 5.1 ลักษณะทั่วไปบล็อกมีเนื้อแน่น ไม่ร้าว และสีของช้ันผิวหน้าต้องสม่าเสมอการทดสอบให้ทา โดยการตรวจพินจิ

41 5.2 ความได้ฉากของบล็อกที่มีเกณฑ์ลักษณะที่กาหนดของความหนาไม่เกิน 80 มิลลิเมตร จะมี ความเบ่ียงเบนของความได้ฉากได้ไม่เกนิ 2 มลิ ลเิ มตร 5.2.2 บล็อกท่ีมีเกณฑ์ท่ีกาหนดของความหนาเกิน 80 มิลลิเมตร จะมีความเบี่ยงเบนของ ความไดฉ้ ากได้ ไม่เกนิ 3 มลิ ลเิ มตร 5.3 ความต้านแรงอัดของบล็อกแตล่ ะกอ่ น ต้องไม่นอ้ ยกว่า 35 เมกะพาสคลั และค่าเฉลย่ี ต้องไม่ นอ้ ยกว่า 40 เมกะพาสคลั 6. เครื่องหมายและฉลาก 6.1 ใหท้ าเครอื่ งหมายและฉลากตามข้อ 6.1.1 หรอื ขอ้ 6.1.2 ดงั ต่อไปนี้ 6.1.1 ท่ีบล็อกทุกก้อน อย่างน้อยต้องมีเลข อักษร หรือเคร่ืองหมายแจ้งรายละเอียดต่อไปน้ี ใหเ้ ห็นได้งา่ ยชดั เจน (1) ชอ่ื ผู้ทาหรอื โรงงานที่ทา หรือเครอ่ื งหมายการค้าทจี่ ดทะเบยี น 6.1.2 ทแ่ี ถบวสั ดุทีใ่ ช้ผูกมัดกับบล็อกเข้าดว้ ยกันเป็นหน่วยทกุ หน่วยอย่างน้อยตอ้ งมเี ลขอักษร หรือเครอ่ื งหมายแจ้งรายละเอียดต่อไปนีใ้ หเ้ หน็ ไดง้ ่าย ชดั เจน (1) ความกว้าง x ความยาว x ความหนา เปน็ มิลลิเมตร (2) จานวน (3) ชื่อผทู้ าหรอื โรงงานทที่ า หรอื เครื่องหมายการคา้ ทีจ่ ดทะเบยี น หมายเหตุ การผูกบล็อกเข้าดว้ ยกนั เป็นหนว่ ยแตล่ ะหนว่ ยตอ้ งขนยา้ ยได้ทั้งหน่วยโดยไมแ่ ยกจากกัน ในกรณีทใ่ี ช้ภาษาตา่ งประเทศ ตอ้ งมีความหมายตรงกบั ภาษาไทยทีก่ าหนดไวข้ ้างตน้ 6.2 ผู้ทาหรือผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เป็นไปตามมาตรฐานน้ี ต้องแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน กับผลิตภัณ ฑ์อุตสาหกรรมนั้นได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญ าตจากคณ ะกรรมการมาตรฐาน ผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรมแลว้ 7. การชักตัวอยา่ งและเกณฑ์ตดั สิน 7.1 รุ่น ในที่น้ี หมายถึง บล็อกท่ีมีขนาด รูปร่าง และสีเดียวกัน ทาขึ้นโดยกรรมวิธีเดียวกัน ท่ีทา หรอื ส่งมอบหรอื ซอ้ื ขายในระยะเวลาเดียวกัน 7.2 การชักตัวอย่างและการยอมรับ ให้เป็นไปตามแผนการชักตัวอย่างที่กาหนดต่อไปน้ีหรืออาจ ใชแ้ ผนการชักตัวอยา่ งอน่ื ท่ีเทยี บเทา่ กนั ทางวชิ าการกับแผนที่กาหนดไว้

42 7.2.1 การชักตัวอย่างและการยอมรับสาหรับการทดสอบขนาด (ยกเว้นความหนาของชั้น ผิวหน้า) ลกั ษณะทว่ั ไปและความไดฉ้ าก 7.2.1.1 ให้ชกั ตวั อยา่ งโดยวธิ ีสุม่ จากรุน่ เดียวกัน ตามจานวนทีก่ าหนดในตารางท่ี 2.5 7.2.1.2 จานวนตัวอย่างท่ีไม่เป็นไปตามข้อ 3 (ยกเว้นนความหนาของช้ันผิวหน้า) ข้อ 5.1 และข้อ 5.2 ในแต่ละรายการ ต้องไม่เกินเลขจานวนที่ยอมรับท่ีกาหนดในตารางท่ี 2.4 จึงจะ ถอื วา่ บล็อกรนุ่ น้นั เป็นไปตามเกณฑท์ ่ีกาหนด 7.2.2 การชักตัวอย่างและการยอมรับ สาหรับการทดสอบขนาด (เฉพาะความหนาของช้ัน ผิวหน้า) และความตา้ นแรงอัด 7.2.2.1 ให้ชักตัวอย่างที่โดยวิธีสุ่มจากตัวอย่างที่เป็นไปตามเกณฑ์ลักษณะท่ีกาหนด ในเรื่องขนาด (ยกเว้นความหนาของช้ันผิวหน้า) ลักษณะทั่วไป และความได้ฉากแล้ว จานวน 5 ก้อน แล้วในไปทดสอบความด้านแรงอดั และขนาด (เฉพาะความหนาของชัน้ ผิวหนา้ ) ตามลาดับ 7.2.2.2 ตัวอย่างทุกตัวต้องเป็นไปตามข้อ 3 (เฉพาะความหนาของช้ันผิวหน้า) และ ขอ้ 5.3 จงึ ถอื วา่ บลอ็ กรุ่นน้ันเปน็ ไปตามเกณฑ์ทก่ี าหนด ตารางที่ 2.6 แผนการชักตัวอย่างสาหรับการทดสอบขนาด (ยกเว้นความหนาของช้ันผิวหน้า) ลกั ษณะทว่ั ไป และ ความไดฉ้ าก (ขอ้ 7.2.1) ขนาดรุ่นก้อน ขนาดตัวอย่าง(ก้อน) เลขจานวนท่ียอมรบั ไมเ่ กิน 10 000 5 0 10 001 ถึง 35 000 20 1 35 001 ถงึ 150 000 32 2 ต้งั แต่ 150 001 ขน้ึ ไป 50 3 7.3 เกณฑ์ตัดสินตัวอย่างบล็อกต้องเป็นไปตามข้อ 7.2.1.2 และข้อ 7.2.2.2 ทุกข้อ จึงจะถือ ว่าบลอ็ กรนุ่ นัน้ เปน็ ไปตามมาตรฐานผลติ ภัณฑ์อุตสาหกรรมนี้

43 8. การทดสอบ บลอ็ กที่นามาทดสอบตอ้ งมอี ายไุ ม่น้อยกว่า 7 วนั 8.1 ขนาดของบลอ็ คคอนกรตี 8.1.1 ความกวา้ งและความยาว ใช้เครอื่ งวัดที่วัดไดล้ ะเอยี ดถึง 1.0 มลิ ลิเมตร วัดความกวา้ ง และความยาวของบลอ็ กตัวอยา่ ง บรเิ วณท่กี ว้าง และยาวมากท่สี ดุ 8.1.2 ความหนา 8.1.2.1 ความหนาของบล็อก ใชเ้ ครอ่ื งวดั ที่วดั ได้ละเอยี ดถึง 1.0 มิลลิเมตร วดั ความหนาของบล็อกตัวอย่าง (รวมช้ันผิวหน้า) 4 แห่ง แล้วรายงานผลเป็นคา่ เฉลยี่ 8.1.2.2 ความหนาของช้ันผิวหน้าหักบล็อกตัวอย่างที่ผ่านการทดสอบความต้าน แรงอัดแล้วออกเป็น 2 ช้ิน แล้ววัดความหนาของชั้นผิวหน้าของช้ินตัวอย่างด้วยเคร่ืองวัดที่วัดได้ ละเอียดถึง 0.5 มลิ ลเิ มตร โดยวัดอยา่ งนอ้ ย 4 แห่ง หมายเหตุ ช้ินตัวอย่าง ที่นามาวัดความหนาของช้ันผิวหน้า อย่างน้อยต้องมีพ้ืนท่ี 1 ใน 4 ของชิ้น ตัวอย่างเต็มก้อน และ ตาแหน่งที่วัดแต่ละตาแหน่งควรเป็นบริเวณท่ีมีความหนาของชั้นผิวหน้า สมา่ เสมอ และไมเ่ ป็นบรเิ วณทมี่ ีการลบมุม 8.2 การลบมุม ของบลอ็ กคอนกรีต ใชเ้ ครอื่ งวัดท่ีวดั ไดล้ ะเอียดถงึ 1.0 มลิ ลิเมตร 8.3 ความได้ฉาก 8.3.1 ความได้ฉากของดา้ นข้างโดยรอบกบั พืน้ ผิวล่างของบล็อก 8.3.1.1 เครอ่ื งมอื และอุปกรณ์ (1) พ้นื เรียบสม่าเสมอและได้ระดับ (2) เครือ่ งวัดแบบสอด (3) เหล็กฉาก 8.3.1.2 วธิ ีวัด วัดความเบี่ยงเบน ของความได้ฉากของด้านข้างกับพ้ืนผิวล่างของบล็อกตัวอย่าง ทุกๆดา้ น ดา้ นละ 1 แหง่ 8.3.2 ความได้ฉากของพืน้ ผวิ หนา้ กับพน้ื ผิวลา่ งของบล็อก

44 8.3.2.1 เครื่องมือและอุปกรณ์ (1) พนื้ เรยี บสมา่ เสมอและไดร้ ะดบั (2) เครื่องวัดแบบมีหน้าปดั พร้อมขาต้ัง 8.3.2.2 วิธีวดั บลอ็ กคอนกรตี วางบล็อกตัวอย่างด้านท่ีเรียบและสม่าเสมอบนพ้ืนเรียบสม่าเสมอและได้ระดับแล้ว ใช้เคร่ืองวัดแบบมีหนา้ ปัดวดั ความเบีย่ งเบนของความไดฉ้ ากของพื้นผิวหนา้ กับพืน้ ผวิ ล่าง 8.4 ความต้านแรง 8.4.1 เครอ่ื งมอื 8.4.1.1 เครื่องมือทดสอบแรงกดท่ีให้แรงกดได้ไม่น้อยกว่า 1000 กิโลนิวตัน และ สามารถปรบั ความเร็วในการเพ่ิมแรงกดได้ 8.4.1.2 แผ่นกด แผน่ กดแต่ละแผน่ ต้องหนาไม่น้อยกว่า 12 มิลลิเมตร ทาด้วยวัสดุที่ มีความแข็งไม่น้อยกว่า 60 HRC สาหรับแผ่นกดแผ่นบนสามารถปรับหมุนได้ทุกทิศทาง และมีขนาด เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางไมน่ ้อยกวา่ 150 มลิ ลิเมตร 8.4.1.3 วสั ดุช่วยกดในกรณีท่ีพ้ืนที่ของแผ่นกดแผ่นบน ไม่ครอบคลุมพื้นที่ของบล็อก ตัวอย่างได้ท้ังหมด ให้ใช้วัสดุช่วยกดท่ีหนาไม่น้อยกว่า 12 มิลลิเมตร และมีความแข็งไม่น้อยกว่า 60 HRC ช่วยกด 8.4.1.4 วัสดุรองวัสดุรองกดท่ีใช้ต้องเป็นกระดาษแข็งหรือไม้อัด หรือไม้เน้ืออ่อน หรอื แผ่นยางหนาไมน่ ้อยกวา่ 4 มิลลิเมตร และตอ้ งมีพื้นท่ีครอบคลมุ พืน้ ที่ของบล็อกตวั อยา่ ง 8.4.2 วิธีทดสอบ 8.4.2.1 จัดแนวศูนย์กลางของบล็อกตัวอย่าง (ในกรณีที่มีรูปทรงอสมมาตร ศูนย์ กลาง ของบล็อกตัวอย่าง (คือ จุดรวมมวล) หัวกด แผ่นกด และวัสดุช่วยกด (ถ้ามี) ให้อยู่ในแนว เดียวกัน 8.4.2.2 กดบล็อกตัวอย่าง โดยเพ่ิมแรงกดในอัตราท่ีสม่าเสมอจนได้แรงกดประมาณ ครึ่งหน่ึงของแรงกดสูงสุดท่ีคาดว่าบล็อกตัวอย่างจะรับได้ เพิ่มแรงกดในอัดตราที่สม่าเสมอจนถึงแรง กดสูงสดุ ที่บล็อกตัวอย่างรบั ได้ ภายในเวลา 1 ถงึ 2 นาที บนั ทกึ คา่ แรงกดสงู สุดทบี่ ล็อกตัวอยา่ งรบั ได้ A = 20,000 (M/M1) (2.8)

45 เมอื่ A คือ พน้ื ที่ผวิ หน้าทรี่ ับแรงกด ของบลอ็ กคอนกรีตตัวอยา่ ง เป็นตารางมิลลิเมตร M คอื มวลของกระดาษการ์ด แสดงพ้ืนทีผ่ ิวหนา้ แบบเดียวกบั บล็อกตวั อยา่ งเปน็ กรัม M1 คือ มวลของกระดาษการ์ด รูปสเี่ หล่ียมผนื ผา้ เป็นกรัม ตัวประกอบปรับค่าความตา้ นแรงอดั ให้เปน็ ไปตาม ตารางที่ 2.6 ตารางที่ 2.7 ตัวประกอบปรบั คา่ ความต้านแรงอัด (หมายเหตุ 2 ทา้ ยข้อ 8.4.3) ความหนาบล็อก ตัวประกอบปรับค่าความต้านแรงอัด มิลลเิ มตร ไมม่ กี ารลบมุม มีการลบมุม 60 80 1.00 1.03 100 120 1.12 1.18 1.18 1.24 1.21 1.27 2.16 ทบทวนงานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง บุรฉัตร ฉัตรวีระ และ วัชรากร วงศ์คาจันทร์ (2544) พฤติกรรมทางกลของคอนกรีตผสม เถ้าแกลบละเอียดการวิจยั น้ีมีจุดมุ้งหมายเพื่อศึกษาเถา้ แกลบท่ีมคี วามละเอียดสูง (เถ้าแกลบละเอียด) ในพฤติกรรมทางกลของคอนกรีตผสมเถ้าแกลบละเอียดเปรียบเทียบกับคอนกรีตธรรมดาคุณสมบัติ ทางกลท่ีทาการพิจารณา ได้แก่ ค่าการยุบตัว หน่วยน้าหนักในสภาพสด กาลังรับแรงอัดโมดูลัสของ ความยืดหยุ่น และอุณหภูมิของ ปฏิกิริยาไฮเดรช่ัน อัตราการแทนที่ปูนซีเมนต์ด้วยเถ้าแกลบอยู่ ระหว่างร้อยละ 0, 20 และ 40 โดยน้าหนักของวัสดุผง อัตราส่วนปริมาตรเพสต์ ต่อปริมาตรช่องว่าง ต่าสุดระหว่างมวลรวม เท่ากับ 1.2,1.4 และ 1.6 และอัตราส่วนน้าต่อวัสดุประสาน (w/b) เท่ากับ 0.5, 0.6 และ 0.7 ผลการทดสอบพบว่าเถ้าแกลบละเอียดมีการทาปฏิกิริยาปอซโซลานิกสูง และ สามารถใช้เป็นวัสดุซีเมนต์ในคอนกรีตได้ ค่าการยุบตัวของคอนกรีตผสมเถ้าแกลบละเอียดน้อยกว่า คอนกรีตธรรมดา แต่สูงกว่าคอนกรีตผสมเถ้าแกลบขนาดอนุภาค 44 ไมโครเมตร สาหรับส่วนผสม เดียวกันพบว่า หน่วยน้าหนักในสภาพสดของคอนกรีตผสมเถ้าแกลบละเอียดลดลงเมื่อเพ่ิมอัตราการ แทนท่ีปูนซีเมนต์ด้วยเถ้าแกลบ นอกจากนี้กาลังรับแรงอัดท่ีอายุ 28 วันข้ึนไปของคอนกรีตผสมเถ้า แกลบ ละเอียดสูงกว่าคอนกรีตธรรมดาที่ w/b เท่ากับ 0.5 และ 0.6 สาหรับอัตราการแทนท่ี ปูนซีเมนต์ด้วยเถ้าแกลบเท่ากับร้อยละ 20 โมดูลัสของความยืดหยุ่นสาหรับคอนกรีตผสมเถ้าแกลบ

46 ละเอียดพบว่าต่ากว่าคอนกรีตธรรมดาเล็กน้อย อุณหภูมิของปฏิกิริยาไฮเดรชั่นของคอนกรีตผสมเถ้า แกลบละเอยี ดพบว่าตา่ กวา่ คอนกรตี ธรรมดาในทกุ สว่ นผสม อรุณเดช บุญสูง (2554) กาลังรบั แรงอัดของบล็อกปูพ้ืนท่ีผลิตจากทรายกรองประปาท่ีใช้ แล้วงานวิจัยน้ีเป็นการศึกษากาลังรับแรงอัดประลัยของบล็อกปูพ้ืนท่ีผลิตจากทรายกรองประปาที่ใช้ แล้วโดยกาหนดอัตราส่วนผสมระหว่างซีเมนต์ต่อทรายกรองใช้แล้วเท่ากับ 1:3 และ 1:4 โดยใช้ W/C เท่ากับ 0.3 และ 0.4 และอายการบ่มท่ี 3,7,14 และ 28 จากการศึกษาพบว่า อัตราการพัฒนา กาลังรับแรงอัดเกิดข้ึนได้อย่างรวดเร็วท่ีระยะเวลาการบ่ม 3 วัน และหลังจากน้ันมีค่าลดลง โดย ลักษณะการพัฒนากาลังของก้อนตัวอย่างที่ทุกอัตราส่วนและทุก W/C ratio มีแนวโน้มที่คล้ายกัน ค่ากาลังรับแรงอัดประลัยที่อายุการบ่ม 28 วันของก้อนตัวอย่างท่ีอัตราส่วนผสม 1 : 3 และ W/C Ratio เท่ากบ 0.3 และ 0.4 มีค่าเท่ากับ 230 ksc และ 153 ksc ตามลาดับ ในขณะท่ีกาลังรบ แรงอัดประลัยของก้อนตัวอย่างมีอัตราส่วนผสม 1 :4 และ W/C Ratio เท่ากับ 0.3 และ 0.4 ท่ีอายุ การบ่ม 28 วันมีค่าเท่ากับ 173 ksc และ 133 ksc ตามลาดับ โดยการเพิ่มค่า W/C Ratio จะส่งผล กระทบให้กาลังรับแรงอัดประลัยลดลงมากกว่าการเพิ่มประมาณทรายกรองในอัตราส่วนผสม เมื่อ เปรียบเทียบค่ากาลังรับแรงอัดประลัยท่ีอายุการบ่ม 28 วัน โดยทาให้ลดลงถึงร้อยละ 22.8 ถึง 33.6 ในขณะทกี่ ารการเพิ่มปรมิ าณทรายกรองจะทาให้ค่ากาลงั รบั แรงอดั ประลัยที่อายุการบม่ 28 วัน ลดลง ในช่วงร้อยละ 12.6 ถึง 24.8 วัชรากร วงศค์ าจันทร์ (2544) การวจิ ัยนี้มจี ุดมุ่งหมายเพอื่ ศึกษาเถ้าแกลบท่ีมคี วามละเอียด สูง (เถ้าแกลบบดละเอียด) ในพฤติกรรมทางกลของคอนกรีตผสมเถ้าแกลบละเอียดเปรียบเทียบกับ คอนกรีตธรรมดาคุณสมบัติทางกลที่ทาการพิจารณา ได้แก่ หน่วยน้าหนักในสภาพสด ค่าการยุบตัว อณุ หภูมขิ องปฏิกิริยาไฮเดรชนั่ กาลงั รับแรงอดั และโมดูลัสของความยืดหยุน่ ผลการทดสอบพบวา่ เถ้า แกลบที่ละเอียดมีการทาปฏิกิริยาปอซโซลานิกสูง และสามารถใช้เป็นวัสดุซีเมนต์ในคอนกรีตได้ สาหรับส่วนผสมเดยี วกนั พบวา่ หนว่ ยน้าหนักในสภาพสดของคอนกรีตผสมเถ้าแกลบละเอยี ดลดลงเมื่อ เพิ่มวัสดุอัตราการแทนท่ีปูนซีเมนต์ด้วยเถ้าแกลบค่าการยุบตัวของคอนกรีตผสมเถ้าแกลบละเอียด น้อยกว่าคอนกรีตธรรมดาแต่สูงกว่าคอนกรตี ผสมเถ้าแกลบอุณหภูมขิ องการทาปฏิกิริยาไฮเดรชั่นของ คอนกรีตผสมเถ้าแกลบละเอียดพบว่าต่ากว่าคอนกรีตธรรมดาในทุกส่วนผสมนอกจากนี้กาลังรับ แรงอัดทอี่ ายุ 28วันขึ้นไปของคอนกรีตผสมเถา้ แกลบละเอียดสูงกว่าคอนกรีตธรรมดาโมดูลสั ของความ ยืดหยุ่นสาหรับคอนกรีตผสมเถา้ แกลบละเอียดพบวา่ ต่ากว่าคอนกรีตธรรมดาเล็กน้อยอย่างไรก็ตามยัง สงู กว่าคา่ ตามมาตรฐาน ACI 318

47 จรูญ เจริญเนตรกุล (2546) งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาผลกระทบในด้านกาลังอัด และ ปรมิ าณการแทนที่ของเถ้าขี้เล่ือยไม้ยางพาราของมอรต์ ้าร์ โดยนาเถ้าขี้เลื่อยไม้ยางพาราที่ผ่านการอบ นา้ ยากันความช้ืน และเถ้าขี้เล่ือยไม้ยางพาราทไี่ ม่ผ่านการอบน้ายากันความช้นื แทนที่ปูนซีเมนต์ปอร์ต แลนด์ประเภทท่ี 1 บางส่วนในอัตราส่วนร้อยละ 10,20,30,40 และ 50 โดยน้าหนักวัสดุประสานทั้งน้ี จะแปรเปลี่ยนอัตราส่วนน้าต่อวัสดุประสาน W/C เท่ากับ 0.550,0.600,0.610,0.630 และ 0.640 ตามลาดับและเปรยี บเทยี บกับมอรต์ ้าร์มาตรฐานของปูนซีเมนต์ปอรต์ แลนดป์ ระเภทที่ 1 โดยนาไปแช่ ในน้าประปาเป็นเวลา 3,7,14,28 และ 60 วันตามลาดับผลการศึกษาในด้านกาลังอัดพบว่ามอร์ต้าร์ ของปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่1ที่ผสมเถ้าข้ีเลื่อยไม้ยางพาราทุกส่วนผสมและทุกท่ีอายุการ ทดสอบจะให้ค่ากาลังอัดต่ากว่ามอร์ต้าร์มาตรฐานและเมื่อปริมาณการแทนที่เถ้าขี้เล่ือยไม้ยางพารา ร้อยละของวัสดปุ ระสานเพ่มิ มากขน้ึ จะทาให้ค่ากาลังอดั ต่าลงโดยมอร์ต้ารท์ ี่ผสมเถ้าขเี้ ลอื่ ยไมย้ างพารา ทีผ่ ่านการอบน้ายากันความชน้ื ร้อยละ 10 ของน้าหนักวัสดุประสาน (R10C) และมอร์ต้าร์ที่ผสมเถ้าข้ี เลื่อยไม้ยางพาราที่ไม่ผา่ นการอบน้ายากันความช้ืนร้อยละ 10 ของน้าหนักวัสดุประสาน (R10N) มีค่า กาลังอัดเท่ากับ 245.98 กก./ซม2 ใกล้เคียงกับมอร์ต้าร์มาตรฐานมากท่ีสุด หรือคิดเป็นร้อยละกาลัง อดั เทียบมอร์ตา้ รม์ าตรฐานเทา่ กับ 85.93 และ 85.80 ตามลาดบั สาเร็จ สารมาคม (พ.ศ.2556) ได้ศึกษาความเป็นไปได้ของการใช้เถ้าลอยในการแทนท่ี ปูนซีเมนต์ในการผลิตบล็อกตัวหนอนท่ีใช้ในงานปูพ้ืนอัตราส่วนการแทนที่ปูนซีเมนต์ด้วยเถ้าลอยที่ เหมาะสม อัตราส่วนผสมระหว่างปูนซีเมนต์ท่ีใช้ในการศึกษานี้เท่ากับ 1:6 และ 1:8 ซ่งึ เป็นค่าที่ใช้กัน ในทางปฏิบัติผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าความหนาแน่นแห้งสูงสุดของบล็อกตัวหนอนมีค่าเพ่ิมขึ้น ตามอัตราส่วนการแทนที่ปูนซีเมนต์ด้วยเถ้าลอยจนถึงร้อยละ 30 (ค่าเหมาะสม) หลังจากนั้น ความ หนาแน่นแห้งจะมีค่าลดลงกาลังอัดของบล็อกตัวหนอนมีค่าลดลงตามปริมาณการแทนที่ปูนซีเมนต์ ดว้ ยเถา้ ลอยแม้วา่ หน่วยนา้ หนกั จะมีค่าเพิ่มขน้ึ อตั ราส่วนผสมระหว่างปูนซเี มนต์ตอ่ เถ้าลอยทเ่ี หมาะสม เท่ากับ 92:8, 87:13 และ 60:40 ที่อายุบ่ม 7, 14 และ 28 วัน ด้วยต้นทุนการผลิตต่อหน่วยเท่ากับ 1.90, 1.85 และ 1.58 บาท เอกชัย ลิ้มพัฒนสกุล (2553) ศึกษาประสิทธภิ าพการผลิตอิฐบล็อกตัวหนอนจากตะกอนน้า เสีย และวเิ คราะห์ความคุ้มค่าทางเศรฐศาสตร์ในหารผลิต โดยทาการศกึ ษาถึงคุณสมบัติทางกายภาพ ของกากตะกอนน้าเสียโดยวิธี X-Rey Fluorescence Spectrometer พบว่ากากตะกอนมี ส่วนประกอบทางเคมีที่สาคัญในการทาอฐิ ตัวหนอนไดแ้ ก่ อลูมิเนียม 10.10 % เหลก็ 0.88% ซิลิคอน

48 4.38% และแคลเซยี ม 1.16%ในการทดลองทาอิฐตัวหนอน วัตถดุ ิบที่ใช้ในการผลิตอิฐตัวหนอนได้แก่ ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ หินฝุ่น และกากตะกอนน้าเสีย โดยทาการผลิตด้วยกัน 3 อัตราส่วนคือ Control (1:5:0), S1 (1:4:1) และ S2 (1:3:2) จากน้ันทาการทดสอบคุณสมบัติเชิงกลด้านความ ต้านทานแรงอดั ตามมาตรฐาน มอก. 2035-2543 ผลการทดสอบพบวา่ อิฐตัวหนอนทดลองทั้ง 3 แบบ มีค่าความต้านทานแรงอัดลดลงตามปริมาณการใช้กากตะกอนน้าเสียแตย่ ังคงมมี ูลค่าสูงกว่ามาตรฐาน มอก.2035-2543 ท่ีกาหนดไว้โดยอัตราส่วน S2 เป็นอัตราส่วนที่มีความเหมาะสมในการทาการผลิต โดยมีต้นทุนการผลิตเท่ากับ 1.70 บาท/ก้อน สามารถประหยัดต้นทุนการผลิต ได้ 0.08 บาท/ก้อน หรือคดิ เปน็ 5% จากต้นทนุ การผลิตต่อก้อน อดิสรณ พงษสุวรรณ (2552) การศึกษาถึงความเป็นไปไดในการนาตะกอนดินมาเป็นวัสดุ ผสมผสม ในการทาบล็อกประสานปูพื้น การหาค่ากาลังอัดประลัยของบล็อกประสานปูพื้นท่ีมีตะกอน ดินเปน สวนผสม ให้ใชเกณฑ์กาลังอัดประลัยตาม มอก. 827-2531 [1] ซ่ึงมีการทดสอบโดยการนา ตะกอนดินมาใชผสมบล็อกประสานปพู ื้นในปรมิ าณตะกอนประปา รอยละ 0,10 และ 20 โดยน้าหนัก เทียบกับทรายและ หินเกร็ด บมที่ 3, 7, 14 และ 28 วัน จากนั้นทาการทดสอบกาลังต้านทานทาน แรงอัด ค่าหน่วยน้าหนัก และค่า การดูดซึมน้า ผลการทดสอบพบว่าบล็อกประสานปูพ้ืนผสมตะกอน ดินจากน้าประปา รอยละ 10 ท่ีค่าน้า ตอ ซีเมนต์ เท่ากับ 0.6 เป็นอัตราส่วนท่ีเหมาะสมท่ีสุดในการ ทดสอบคร้ังน้ี ซึ่งผลทดสอบท่ีระยะเวลาการบ่มที่ 28 วัน มีค่าดังนี้คือ กาลังอัดประลัยที่มีค่า 358 กก./ซม2 หนวยน้าหนักมีคา 2312 กก./ม3 คาการดูดซึมมีค่าร้อยละ 5 จากผลการทดสอบน้ี สามารถสรุปไดวา ตะกอนดินจากน้าประปาสามารถนามาใช้เป็นวัสดุผสม ในการทาบล็อกประสานปู พ้ืนได บุรฉัตร ฉัตรวีระ,พิชัย นิมิตยงสกุล (2558) ผลการวิจัยเก่ียวกับส่วนประกอบทางด้านเคมี และคุณสมบัติทางด้านกายภาพของเถ้าลอยจากแหล่งพลังงานลิกไนต์แม่เมาะ จังหวัดลาปาง โดยใช้ ตัวอย่างเถ้าลอย 3 ชนิดในการผลิตซีเมนต์มอร์ต้าผสมเถ้าลอย คุณสมบัติทางด้านกลศาสตร์ของ คอนกรีตผสมเถ้าลอยศึกษารวมไปถึงกาลังอัด,กาลังดึงแบบผ่าซึก และความทนทานต่อสภาพกรด

49 ผลการทดสอบ พบว่า เถ้าลอยจากแหล่งพลังงานลิกไนต์แม่เมาะมีปริมาณซิลกิ าออกไซด์กับอลูมเิ นียม ออกไซด์ต่า และมีจดุ ด้อย คือ เป็นสาเหตุใหก้ ารเพ่ิมขึ้นของกาลังในมอร์ตา้ ผสมเถ้าลอยช้าลง เถา้ ลอย แม่เมาะสามารถใชแ้ ทนที่ในซีเมนต์ปอร์ตแลนด์สูงถึง 35% ในส่วนผสมมอร์ต้า 1 : 2.75 และ 1 : 3.5 ปริมาณสัดส่วนวัสดุผสมเถ้าลอยที่เหมาะสม คือ 340 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยมีเถ้าลอยแทนท่ี 35% นอกจากน้ี จากการทดสอบ สามารถสรุปได้ว่า คอนกรีตผสมเถ้าลอยมีกาลงั ดึงที่ดีกว่าคอนกรีต ธรรมดา

50 บทที่ 3 วธิ กี ารดาเนินโครงงาน ในบทน้ีจะกล่าวถึงรายละเอียดท่ีเกี่ยวกับ ขั้นตอนการทดสอบวัสดุผสมปูนซีเมนต์เพิ่มครั้งละ ร้อยละ 10, 20, 30, 40 และ 50 ข้ันตอนการทอดสอบกาลังรับแรงอัดของตัวอย่าง 3 ชนิด และ ข้ันตอนการทดสอบการดูดซึมน้าระยะเวลา 7, 14 และ 28 วัน บลอ็ กคอนกรีตตัวหนอนสามารถแบ่ง ออกได้ 4 ส่วน คือ แผนการทดสอบวัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ในการทดสอบ ขั้นตอนการข้ึนรูปบลอ็ กคอนกรีต ตวั หนอนและข้ันตอนการทดสอบตวั อย่างบลอ็ กคอนกรตี ตัวหนอน ซ่ึงมรี ายละเอียดดังนี้ 3.1 แผนผังการจดั การทดสอบบล็อกคอนกรตี ตวั หนอน กาหนดอตั ราส่วนของบล็อก คอนกรีตตวั หนอน บดเถา้ แกลบ เถ้าข้เี ล่ือยไม้ และเถ้าลอย และรอ่ นผ่านตะแกรง ข้ึนรปู บล็อกคอนกรตี ตัวหนอน ทดสอบหาค่าการดดู ซมึ น้า ทดสอบหาค่ากาลังรบั แรงอัด 7 วนั 14 วัน 28 วัน 7 วนั 14 วนั 28 วัน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook