วสั ดุและสสาร วัสดรุ อบตัวเรา ของเลน ของใช และวัสดตุ างๆ ทอี่ ยรู อบตัวเรา มีสี ขนาด แตกตา งกนั เชน โตะ เกา อ้ี เสื้อผา แกว นํ้า ถาสงั เกตตอไปจะพบวา ของเลน ของใชดังกลา วน้ันทํามาจากวสั ดทุ ่ีแตกตา งกัน บางอยา งทาํ จากวัสดุเพยี ง ชนิดเดยี ว แตบ างอยาง ประกอบขน้ึ มาจากสวนประกอบหลายสวน ทาํ จากวัสดุหลายชนดิ เพื่อประโยชนใน การใชง านที่แตกตา งกนั ประเภทของวัสดุ วัสดทุ น่ี าํ มาใชทําของเลน ของใช โดยทวั่ ไปมี 2 ประเภท คือ - วัสดจุ ากธรรมชาติ เปนวสั ดทุ เ่ี กดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติ เชน ไม ดิน หิน ทราย ยางหนงั สตั ว ขนสตั ว ฝาย เปนตน - วสั ดทุ ีม่ นษุ ยประดิษฐหรือพัฒนาข้ึนจากทรัพยากรธรรมชาติ เชน แกว พลาสตกิ เสน ใยสังเคราะห ปูนซเี มนต โลหะ ทัง้ ทเ่ี ปน โลหะบริสุทธ์แิ ละโลหะ ของเลน ของใชต างๆ ทํามาจากวสั ดุธรรมชาตแิ ละวัสดุท่ีมนุษยป ระดิษฐขน้ึ เพื่อใหมคี ุณภาพบางอยาง ทดแทนท่วี ัสดุธรรมชาติไมม วี ัสดุท่ีจะนํามาใชทําของเลนของใช จะตอ งมีสมบัติเหมาะสมกับความตองการของ ผลติ ภัณฑน ัน้ ๆ
สมบตั ิทวั่ ไปของวัสดุ ความเหนียว ถาวสั ดุใดรับน้ําหนกั ไดมากเรียกไดว ามีความเหนยี วมาก ความเหนยี ว หมายถงึ ลกั ษณะท่ีดึงขาดยาก ไมห ัก ไมขาด เมื่อถูกดงึ ยึด ทุบ ตี เพื่อใหมรี ปู รา งเปลย่ี นไปจาก เดิมความเหนยี วเปนสมบตั ิของวัสดบุ างชนดิ ซึง่ ทําใหว ัสดุชนิดน้ันสามารถนํามาเปล่ยี นเปนรปู รา งตางๆ ได ตามความตองการของผูนาํ วสั ดุน้ันมาใช เชน ดนิ นํา้ มันและดินเหนยี วมีสมบัติดา นความเหนยี ว แตด ินทราย ไมมีความเหนยี วเน่ืองจากดนิ เหนยี วเปน วสั ดุที่หาไดง า ยในบางทองถิ่น คนเราจงึ นิยมนาํ มาปน เปน ผลิตภัณฑ ตางๆ ไดแก โอง กระถาง กอนอิฐ เปนตน การนําดนิ เหนียวมาปน เปนผลติ ภณั ฑต างๆ เม่อื ขึ้นรูปดนิ เหนยี ว เปนผลติ ภณั ฑตามตองการแลวจึงนํามาตกแตงรายละเอียดอีกคร้ังหนงึ่ จากนั้นกน็ าํ เขาเตาเผา เพอื่ ให ผลิตภณั ฑคงรูป นอกจากดนิ เหนียวแลว วสั ดุอกี ชนิดหนึ่งทีม่ สี มบัติความเหนยี ว กค็ ือโลหะตา งๆ เชน ทองคาํ เงนิ เหล็ก ดบี กุ การเปลย่ี นรูปโลหะตองใชค วามรอน เมื่อโลหะรอนจงึ สามารถนาํ มาตีแผใ หเปน แผน หรอื รีด ใหเปนเสน ได โดยไมแตกเปนผงหรือหกั ทองคํา และเงนิ เปนโลหะทีน่ ยิ มนาํ มาทําเปน เครื่องประดับชนดิ ตางๆ เชน สรอ ย แหวน กําไล ตางหู ความแขง็ เม่ือเรานําวัสดชุ นดิ หน่งึ ไปขดู บนวสั ดุอีกชนดิ หนึ่ง วัสดทุ ่ไี มเกดิ รอยจะมีความแขง็ มากกวา ความยดื หยนุ เราดูไดจากความยาวของวัสดุกอนออกแรงกระทําถาเทา กับความของวสั ดุหลงั การอกแรงกระทํา แสดงวาวัสดุนั้นมีความยดื หยุน ความแขง็ หมายถึง ความทนทานตอ การตดั และการขูดขีดของวสั ดุ วสั ดุที่มี ความแขง็ มาก จะสามารถ ทนทานตอการขดี ขวนไดมาก และเมื่อถูกขดี ขวนจะไมเ กิดรอยบนวัสดุชนดิ นัน้ ซึ่งเราสามารถตรวจสอบสมบตั ิ ความแขง็ ของวสั ดไุ ด โดยการนําวัสดุมาขดู ขีดกัน เพ่ือหาความทนทานตอการขดี ขว นได การนําความรอน คือการสงผานความรอ น จากจุดที่มีอุณหภมู สิ งู กวาไปยงั จุดท่ีมอี ุณหภูมิตํา่ กวา โดยวัตถทุ ี่ เปน ตัวกลางจะอยูกับที่ แตความรอ นจะคอยๆ แผก ระจายไปตามเนอื้ วัตถนุ นั้ เชน เราจบั แกว นา้ํ รอ น ตอน แรกๆจะไมรูสึกรอน แตจะคอยๆ รอนจนจบั ไมได โลหะ แกว ซึ่งเปน วสั ดทุ น่ี ําความรอ นได สว นไมแ หง กระเบ้ือง พลาสติก เปน วสั ดทุ ไ่ี มนาํ ความรอน การนําความรอน หมายถึง การถายเทพลงั งานความรอ นจากอนภุ าคหนึ่งสูอนุภาคหนงึ่ และถายทอดกนั ไป เรื่อยๆ ภายในเน้อื ของวัตถุ วัสดแุ ตละชนดิ สามารถนาํ ความรอนไดแตกตา งกัน วัสดทุ น่ี ําความรอนไดดี จะ ถา ยเทพลงั งานความรอนไดเร็ว และมาก เม่ือวสั ดุชนิดนั้นไดรบั ความรอ นที่บริเวณใดบรเิ วณหนึง่ จะถายโอน ความรอนไปสูบรเิ วณอืน่ ดวย ตวั นําความรอ น หมายถึง วัสดุที่นาํ ความรอนไดดี สว นใหญเปน โลหะ เชน เหล็ก ทองแดง อะลมู เิ นยี ม เงิน ทองเหลือง เปน ตน เราจงึ นิยมใชโลหะเหลานม้ี าใชทําภาชนะในการหุงตมอาหาร เชน หมอ กาตมน้าํ กระทะ ฉนวนความรอน หมายถงึ วสั ดทุ ไ่ี มนําความรอนหรอื นําความรอ นนอย ไดแก อโลหะตางๆ เชน ผา ไม พลาสติก กระเบ้ือง กระดาษ ยาง เปน ตน เราจึงนําอโลหะเหลานม้ี าทาํ สวนที่ไมตองการใหมี ความรอน เชน ทําดามตะหลิว ทาํ หูหมอ
การนําไฟฟา วสั ดุทย่ี อมใหก ระแสไฟฟาไหลผา นได เชน ทองแดง เงิน เหล็ก น้าํ เราเรียก ตัวนาํ ไฟฟา สว น วัสดทุ ีไ่ มยอมใหก ระแสไฟฟา ไหลผานได เชน พลาสติก ไม เราเรยี ก ฉนวนไฟฟา การนาํ ไฟฟา หมายถึง สมบัติในการยอมใหป ระจไุ ฟฟา ผานได วสั ดบุ างชนิดมสี มบัตใิ นการนาํ ไฟฟา คือ ยอม ใหก ระแสไฟฟา ไหลผา นไดดี แตว ัสดุบางชนิดไมย อมใหกระแสไฟฟา ไหลผา นได เราจึงสามารถนําสมบตั ิการนาํ ไฟฟาของวสั ดมุ าใชในการผลิตอุปกรณตา งๆ ได วัสดแุ ตล ะชนดิ มีสมบัติการนาํ ไฟฟา แตกตา งกัน 2 ประการ คือ 1. วสั ดทุ ย่ี อมใหกระแสไฟฟา ไหลผานได เรยี กวา ตวั นําไฟฟา ไดแก วัสดุประเภทโลหะตางๆ เชน ทองแดง เงนิ เหล็ก อะลูมเิ นียม จึงมกี ารนําโลหะตางๆ มาทาํ อปุ กรณเ ครือ่ งใชไ ฟฟา เชน ทองแดงนํา ไฟฟาไดด ี จงึ นาํ มาใชทําสายไฟฟา ไสห ลอดไฟ เปนตน 2. วัสดทุ ีไ่ มยอมใหกระแสไฟฟา ไหลผานได เรยี กวา ฉนวนไฟฟา ไดแก วัสดุท่ีไมใชโลหะ เชน พลาสติก ไม แกว จงึ มีการนําวัสดุเหลา นี้มาทําอปุ กรณท ี่ปอ งกนั ไฟฟาดูด หรือไฟฟาร่ัว เชน พลาสติก นํามาทําทีห่ ุมปล๊ักไฟฟา สวติ ซไฟฟา เปนตน ดังน้นั การเลอื กวัสดทุ ่ใี ชท ําอปุ กรณไฟฟา จะตองอาศยั สมบตั ิการนาํ ไฟฟา ทแ่ี ตกตา งกนั เพื่อความ สะดวกและความปลอดภยั ในการใชไ ฟฟา ความยดื หยุน หมายถึง ลกั ษณะทว่ี ตั ถสุ ามารถกลับคนื สูรูปทรงเดิมไดห ลงั จากแรงท่มี ากระทําตอวตั ถุน้นั หยดุ กระทําความยดื หยนุ เปน สมบัติประการหนึง่ ของวัสดุ วสั ดบุ างชนดิ มสี มบตั คิ วามยืดหยุน แตวัสดบุ างชนิด ไมมสี มบัติความยืดหยุน ตวั อยา งเชน วัสดทุ ่ีมคี วามยดื หยนุ คอื แถบลกู โปง ซึง่ ทาํ จากยาง เพราะเม่ือเราดึง แถบลูกโปง แลว แถบลกู โปง จะยืดตวั ออกไปได และเมื่อปลอยแรงตึง ปรากฏวา แถบลกู โปงกลบั สูสภาพเดิม ไดอ ีก แตแถบพลาสติกเมื่อเราออกแรงดึงแลว สามารถยดื ตัวออกไปได แตเม่ือเราปลอยแรงดงึ แถบพลาสตกิ จะไมกลับคืนสสู ภาพเดิม สว นแถบผา ไมส ามารถ ยืดตวั ออกไดเ ม่ือเราออกแรงดงึ ความหนาแนน หมายถึง ปรมิ าณสารทมี่ ีอยูใ น 1 หนวยปรมิ าตร ความหนาแนน เปน สมบัติเก่ียวกับเนื้อ ของวัตถุ วัสดุท่ีมเี น้ือแนน จะมีความหนาแนนมากกวาวัสดุทม่ี เี นือ้ โปรง ถานักเรยี นสังเกตเนอื้ ของฟองน้ํา จะ สงั เกตเห็นรพู รุน แตถาสงั เกตเน้อื ของไม อฐิ นอต และดินเหนียว จะสงั เกตเหน็ วา เปน เนอื้ เดยี วกัน ไมม รี ู พรุนแทรกอยูถา นาํ ฟองนาํ้ ไม อิฐ นอต และดินเหนยี วไปลอยนํา้ วตั ถุที่ลอยนํ้าไดคือ ฟองน้าํ และไม สวน อฐิ นอต และดนิ เหนียวจะจมนํา้ ทเี่ ปน เชนนเี้ พราะฟองนํ้าและไม มเี น้อื โปรง มีความหนาแนนนอ ย จงึ ทาํ ใหน ํ้าหนักนอย ทาํ ใหส ามารถลอยน้ําได สวนอฐิ นอต และดนิ เหนียว มีเนื้อแนน จึงมีความหนาแนน มาก ทาํ ใหมีนํ้าหนกั มาก จึงจมนํา้ ดังนั้น เนือ้ ของวัสดจุ ึงเปนสมบตั ิทแี่ สดงความหนาแนน ของวัตถุ
สมบตั ขิ องวัสดุชนดิ ตา ง ๆ โลหะ เปน วัสดุทีแ่ ข็ง มหี ลายชนดิ เชน เหล็ก อลมู ิเนียม ทองแดง จะนํามาใชต างกนั สวนเหลก็ มคี วามแข็งแต เปน สนิม อะลูมิเนียม แข็งนอ ยกวา เหลก็ แตเ บาและไมเ ปน สนมิ จึงใชอ ลูมเิ นยี มทาํ ภาชนะหงุ ตมทองแดงเปน โลหะที่แขง็ เหมือนเหลก็ แตเ บากวา มากและดดั ใหโ คงเปน รูปตาง ๆ ได โลหะเปนวัสดทุ ม่ี ีลักษณะผิวมันวาว สามารถตใี หเปน แผน เรียบ หรือดงึ ออกเปนเสนหรอื งอไดโ ดยไมห ัก นาํ ไฟฟา และนําความรอ น ไดดี ไม มีลกั ษณะแข็ง บางชนดิ มีความทนทาน สามารถนาํ มาประดษิ ฐด ดั แปลง ทาํ ที่อยูอาศัย เฟอรนเิ จอร เครื่องมอื เครือ่ งใชอ่นื ๆ เย่อื ไมน ํามาทาํ กระดาษ เชน สมดุ หนังสือ หนงั สือพิมพ กระดาษเนื้อเย่ือออน แกว เปน ของแขง็ โปรงใส ผิวเรยี บ ทนตอ การขดู ขีดและความรอนแตแตกหักงาย สวนใหญจ ะนาํ มาทาํ แกว นํา้ ขวด กระจก อปุ กรณใ นหองทดลอง นอกจากน้ันยงั มกี ารผลติ แกวใหมีคุณสมบัติพเิ ศษเพื่อใชงานเฉพาะ อยา ง เชน เลนสแ วน ตา เลนสแ วนขยาย กระจกเงา กระจกนริ ภัย เปนตน พลาสติก เปน วสั ดสุ ังเคราะห ทีไ่ ดจ ากจากอุตสาหกรรมปโ ตรเคมี (อตุ สาหกรรมการผลติ นํ้ามนั ) มีนํ้าหนักเบา ไมน าํ ความรอน ไมนาํ ไฟฟา นํ้าซมึ ผานไมได ไมแ ตกหักงายบางชนดิ มคี วามแข็ง บางชนดิ สามารถยืดหยนุ ได นาํ มาทําของเลน ของใชไดหลากหลาย เพราะกรรมวิธีในการผลติ ไมซ บั ซอนและทาํ ใหม สี ีตา ง ๆ ได ยาง ทํามาจากยางของตน ยางพารา มคี วามยืดหยุนดี ใชทํายางรถยนต ยางลบ ลกู โปง พื้นรองเทา เปน ตน เซรามิก เปน ผลิตภัณฑที่ทาํ มาจากดนิ หิน หรือแรธ าตุอื่นๆ ทไ่ี มใชโ ลหะ โดยทําเปน รูปทรงตางๆ แลว ผา นการ ใหความรอนท่ีอุณหภมู สิ ูงมาก ๆ ผลติ ภัณฑท ไ่ี ดจะมีความแขง็ แตเ ปราะตอ แรงกระแทก ทนตอ สารเคมี ทนตอ สภาพอากาศและความช้นื มีสมบตั เิ ปน ฉนวนไฟฟา นยิ มทําเปน ของประดับบาน และใชทาํ เปน วัตถุทนไฟใน อปุ กรณไฟฟา ผา ทาํ มาจากเสน ใยธรรมชาติ และเสน ใยสงั เคราะห เสน ใยธรรมชาติ เปนเสนใยท่ีไดจากพชื และสัตว ผา ท่ีผลติ จากเสน ใยท่ีไดจ ากพชื ไดแก ผา ฝา ย ผา ลินิน ผา ใยสบั ปะรด และผาปา น ผา ทผี่ ลติ จากเสน ใยทไ่ี ดจ ากสตั ว ไดแ ก ผาไหม ผา ขนสตั ว เสน ใยสงั เคราะห เปนเสน ใยทผ่ี ลิตจากสารเคมี ผาผลิตจากเสนใยสงั เคราะห ไดแก
ผา ไนลอน พอลเิ อสเทอร และอะไครลคิ มสี มบัตไิ มค อยยับ ซกั งา ย แหง เร็ว ไมดดู ซมึ เหง่ือ เพราะไมม ชี อง ระบายอากาศ จึงไมนิยมนาํ มาใชเปนเครอ่ื งนุงหม ในบา นเราเน่ืองจากสภาพอากาศที่รอน ตวั อยา งสมบตั ิของวัสดุตา งๆ 1. ไม เปนวสั ดทุ ่ไี ดมาจาก ตน ไม มีลักษณะ ความเหนียว : ไมเหนยี ว ความแข็ง : ปานกลาง-มาก ความยดื หยุน : นอย การนําไฟฟา : ไมได( เปนฉนวน) การดูดซึมนํา้ : นอ ย การนําความรอน : ไมไ ด( เปนฉนวน) เหมาะสําหรบั นาํ ไปใช : ทาํ เฟอรนิเจอร ของเลน 2. กระดาษ เปนวัสดุทไ่ี ดมาจาก ไม มีลกั ษณะ ความเหนียว : ไมเ หนียว ความแข็งแรง : ฉกี ขาดงาย
ความยืดหยุน : ไมย ดื หยุน การนาํ ไฟฟา : ไมน าํ ไฟฟา การดดู ซมึ น้ํา : มาก การนําความรอน : ไมได(เปน ฉนวน) เหมาะสําหรับนําไปใช : สมดุ หนังสอื และสิง่ พิมพ 3. ยาง เปนวัสดุท่ไี ดมาจาก น้ํายางธรรมชาติ หรอื สงั เคราะห ความเหนยี ว : เหนียว ความแข็งแรง : ไมแ ข็งแรง ความยดื หยุน : สงู การนําไฟฟา : ไมนําไฟฟา (เปนฉนวน) การดูดซึมน้ํา : ไมด ดู ซมึ น้าํ การนําความรอน : ไมได (เปนฉนวน) เหมาะสาํ หรบั นําไปใช : ยางรถยนต หนงั ยาง ลูกโปง 4. พลาสติก เปน วัสดทุ ไี่ ดม าจาก น้ํามนั ดิบ-ปโตรเคมี ความเหนียว : เหนียว ความแขง็ แรง : นอ ย-ปานกลาง ความยดื หยนุ : ไมย ดื หยุน การนําไฟฟา : ไมน ําไฟฟา การดดู ซึมนํ้า : ไมได
การนําความรอ น : ไมได( เปนฉนวน) เหมาะสําหรบั นําไปใช : ถุงใสข อง เส้ือกันฝน ของเลน 5. โลหะ เปนวสั ดุที่ไดมาจาก หนิ และแรธ าตุ ความเหนยี ว : ไมเ หนยี ว ความแข็งแรง : มาก ความยืดหยุน : ไมย ืดหยนุ การนําไฟฟา : นําไฟฟาไดดี การดูดซมึ นํา้ : ไมได การนําความรอน : นาํ ความรอนไดดี เหมาะสาํ หรบั นําไปใช : กอ สราง เคร่อื งครัว 6. ผา เปน วสั ดทุ ไี่ ดจ าก เสนใยธรรมชาติ หรือจากเสนใยสังเคราะห ความเหนยี ว : นอย ความแข็งแรง : ไมแข็งแรง ความยดื หยนุ : ปานกลาง การนําไฟฟา : ไมนําไฟฟา การดูดซมึ นา้ํ : ดีมาก การนําความรอ น : ไมได(เปนฉนวน) เหมาะสาํ หรบั นําไปใช : สวมใส ผา เชด็ หนา ปลอกหมอน การเปลยี่ นแปลงของวัสดุ วัสดุตางๆ ทีอ่ ยูรอบตวั เรา เมือ่ ถูกกระทํา เชน บบี ทุบ ดงึ ดัด เปา จะทําใหว สั ดมุ ีการเปล่ยี นแปลง สภาพ หรอื เปล่ยี นแปลงรปู รา ง ดังนี้ การบบี การทําใหวสั ดุหดหรอื ลดขนาด เชน บดิ ผา บีบฟองนาํ้ เปน ตน
การบดิ คือ การทาํ ใหวัสดุ บิดเบย้ี ว เชน บดิ ผา บิดลวด เปน ตน การทบุ คือ การทําใหวสั ดแุ ตกหรอื ยุบดวยแรงกระแทก เชน ทบุ กระปอง ทบุ กะลามะพราว เปนตน การดดั คือ การทําใหว สั ดโุ คง งอไดตามตองการ เชน ดดั เหล็กประตหู นา ตา ง เปน ตน การดึง คือ การทาํ ใหว สั ดยุ ืดขยายขึน้ เชน การดงึ ยางรัดของ เปน ตน การทาํ ใหร อนขึ้น หรือทาํ ใหเยน็ ลงจะทําใหล ักษณะและรปู รางของวัสดุเปลย่ี นแปลงไป เชน การทอดไข การ ทํานาํ้ แข็ง ประโยชนท่ีเกิดขนึ้ จากการเปล่ยี นแปลงของวสั ดุ การเปลย่ี นแปลงของวัสดกุ อ ใหเกดิ ประโยชนตอมนุษยม ากมาย ตวั อยาง เชน ไมเ มอ่ื ไดร ับความรอนเกิด การเผาไหม และใหพลังงานความรอน เราจึงนาํ ไมมาทําเปนฟน หรอื เช้ือเพลิงในการหงุ ตมอาหาร ดินนํ้ามนั หรอื ดินเหนียว เมอื่ ไดร บั แรงกระทํา เชน บบี บดิ ทบุ ดัด ดงึ จะเกิดการเปลย่ี นแปลงรูปราง เราจงึ นําดินน้าํ มนั และดินเหนียวมาใชป นเปน รปู ทรงตาง ๆ แตดนิ น้ํามันเม่ือไดรบั ความรอนจะละลายสว นดิน เหนยี วเมื่อไดร บั ความรอนจะแหง และแข็ง คนเราจงึ นิยมดนิ เหนยี วมาปนเปนผลติ ภณั ฑตา ง ๆ แลว นาํ เขาเตาเผาท่ีมคี วามรอน เพื่อใหผลติ ภณั ฑทนทาน ทีเ่ รียกวา เครื่องปน ดินเผา พลาสติกเมอ่ื ไดรับความรอนจะออนตวั ลง สามารถนํามาจัดเปนรปู รา งตาง ๆ ไดแ ละเม่อื ไดรับความ รอ นสงู จะหลอมละลาย ทําใหนํามาหลอมเปน ผลติ ภณั ฑตาง ๆ ไดโลหะเม่ือไดร บั ความรอนสามารถนาํ มาตแี ผ ใหเ ปน แผน แบน ๆ หรือนํามารีดใหเปน เสน หรอื ดัดใหเ ปนรูปรา งตาง ๆ ได และเม่ือไดร บั ความรอนสงู จะ หลอมละลายน้าํ มาหลอมเปน ผลิตภัณฑที่เราใชในชีวิตประจาํ วนั ได นํามาใชใ นการประดิษฐของเลน ของใชเ ราสามารถนําวสั ดมุ าประดิษฐเปนของเลน หรือของใชต า ง ๆ ได เนือ่ งจากวสั ดมุ ลี ักษณะและสมบัติที่แตกตา งกัน ดังน้นั เม่ือ เราจะทําของเลน หรือของใช จงึ จําเปน ตอง คาํ นึงถงึ สมบัติของวสั ดนุ นั้ ๆ ใหเ หมาะสมกับการใชง าน ทงั้ นเี้ พ่อื ของเลน หรอื ของใชนน้ั จะไดใชง านไดด ี ตวั อยา งการประดษิ ฐของใชต า ง ๆ การสานไมไผเ ปนภาชนะไวใชง าน กลองใสด ินสอ รถลาก เปนตน อนั ตรายท่ีเกดิ ขึ้นเน่ืองจากการเปล่ียนแปลงของวัสดุ การเปลยี่ นแปลงของวัสดนุ อกจากจะเกิดประโยชนแ ลว บางครัง้ อาจทาํ ใหเ กิดอันตรายได ตวั อยาง เชน แกว เปนวัสดทุ ไ่ี มม ีความยดื หยนุ เมอื่ ถูกแรงกระแทกหรอื ถูกบีบอัด จะแตกหัก และเกิดเปนเศษแกวที่มี ความแหลมคม ดงั น้นั การใชส ่งิ ของทท่ี าํ จากแกว จงึ ควรระมัดระวัง เพราะอาจเกดิ การราวและแตกหกั ได พลาสติกบางประเภททีน่ ํามาภาชนะ จะไมทนตอความรอ นสูง ถา นํามาของทีร่ อนจัด ๆ อาจทําให เนือ้ พลาสติกละลายและเกิดการบดิ เบ้ียวผดิ รูปทรง นอกจากนนั้ สารเคมีท่ีอยูในเน้ือของพลาสตกิ อาจออก ปนเปอ นกับอาหาร กอใหเกดิ อันตรายตอรางกายเราได อาหารทีม่ ีรสเปร้ยี ว เชน แกงสม ตม ยํา นาํ้ สม สายชู นํา้ มะนาว กไ็ มควรใสในภาชนะทีท่ าํ ดวย พลาสตกิ หรืออะลูมเิ นียม เพราะอาหารที่มีรสเปรย้ี วมกี รดผสมอยู จะละลายสารท่ผี สมอยใู นพลาสตกิ หรือ อะลูมิเนยี มได นอกจากนี้อาหารประเภททอดหรอื ผัดทีม่ นี ํา้ มนั กไ็ มควรใสภาชนะทีท่ าํ จากพลาสติกบางชนดิ เพราะนาํ้ มันท่ีใชทําอาหารสามารถละลายสารทผ่ี สมอยูในพลาสติกหรือท่ีเคลือบพลาสติกไดด วย
วัสดุแตล ะชนิดมีสมบัติที่แตกตา งกนั มนุษยจึงนําวัสดุตางๆ มาประดิษฐเ ปนสงิ่ ของโดยเลือกจากสมบัติของ วัสดุใหเหมาะสมกับประโยชนท ่ตี อ งการใช เชน หากตองการประดิษฐห มอ กต็ องเลือกวัสดุท่นี ําความรอนไดดี ทนทานแข็งแรง วสั ดุประกอบข้นึ มาจากสสารหรือสารตา ง ๆ ซงึ่ สสารจะมสี ถานะดวยกนั หลายอยา ง เชน ของแขง็ ของเหลว และ แกส ซึ่งท้งั 3 สถานะน้กี ็มสี มบัติทีเ่ หมือน และแตกตา งกันโดยการสังเกตจากมวลและตองการที่อยู รปู รางและปรมิ าตร สถานะของสสาร (State of Matter) สสาร ( Matter ) คอื สง่ิ ทมี่ ีมวล ตองการที่อยู และสามารถสมั ผัสได หรอื อาจหมายถึงสงิ่ ตา ง ๆ ทีอ่ ยรู อบตวั เรา มีตวั ตน ตองการท่อี ยู สัมผสั ได อาจมองเหน็ หรือมองไมเหน็ ก็ได ดงั นั้นอาจกลา วไดวา ส่ิงตา ง ๆ ทอี่ ยู รอบตวั เรานนั้ ลวนเปน สสาร ทงั้ ส้นิ เชน อากาศ หิน ดิน นํา้ ตน ไม สตั ว บาน รถ หรือแมก ระทงั้ ตวั เราเอง เปนตน
ภาพท่ี 1 ตวั อยางสารและลกั ษณะการจัดเรียงอนุภาคของสาร 3 สถานะ ทมี่ า: https://sites.google.com/site/khxngkhaengkhxnghelwkaes19999/thekh-no สาร ( Substance ) คือสสารทศี่ ึกษาคน ควา จนทราบสมบัติและองคประกอบที่แนน อน สารทกุ ชนดิ จะมีลกั ษณะเฉพาะตัวท่สี ามารถนาํ มาใชร ะบุชนิดของสาร ลกั ษณะเฉพาะตวั นเ้ี รียกวา สมบัติของสาร สมบตั ขิ องสาร หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของสาร เชน เน้ือสาร สี กลิ่น รส การนําไฟฟา การละลาย นํา้ จดุ เดือด จุดหลอมเหลว ความเปนกรด – เบส เปน ตน ภาพท่ี 2 นา้ํ บริสุทธ์ิ ทมี่ า: https://unsplash.com, Mohan Murugesan ตัวอยาง สมบัติของนา้ํ บริสุทธิ์ ไมม สี ี ไมมีกลิน่ ไมมรี ส มีจดุ เดือด = 100 °C และ จุดเยือกแขง็ = 0 °C นกั วทิ ยาศาสตรแบงสมบตั ิของสารออกเปน 2 ประเภท คือ
1. สมบัติทางกายภาพ หรือสมบัติทางฟสิกส ( Physical Properties ) หมายถึง สมบัติของสารท่ี สามารถสังเกตไดจากลักษณะภายนอก หรือจากการทดลองท่ไี มเ กีย่ วขอ งกบั ปฏิกริ ิยาเคมี เชน สถานะ เนอ้ื สาร สี กล่ิน รส ความแข็ง ความออน ความเหนียว ความหนาแนน จดุ เดือด จุด หลอมเหลว การนาํ ไฟฟา การละลายนํา้ ความถว งจําเพาะ ความรอนแฝง เปนตน ซึ่งสมบตั ทิ าง กายภาพสามารถสงั เกตลักษณะ ทางกายภาพของสารไดโดยการใชประสาทสัมผสั หรือใชอปุ กรณ ทีป่ ระดษิ ฐข้ึน เชน เครื่องวัดความหนาแนน เครือ่ งวดั การนําไฟฟา เคร่ืองวดั ความชนื้ เปนตน 2. สมบัติทางเคมี ( Chemical Properties ) หมายถึง สมบัติของสารทีเ่ ก่ยี วของกบั องคประกอบ ภายในของสารท่ีแสดงออกมาใหเ หน็ เม่ือมีการเปลยี่ นแปลงทางเคมหี รือการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี โดยจะมี สารใหมเกิดข้นึ ซงึ่ สารใหมท ี่เกดิ ข้ึนจะมสี มบตั ิแตกตา งไปจากเดิม เชน การตดิ ไฟ การผุกรอ น การทํา ปฏิกริ ิยากบั นา้ํ การทาํ ปฏกิ ริ ิยากับกรด – เบส การเกิดสนิม การเนา ของผัก ผลไม เปนตน สถานะของสาร เม่ือจาํ แนกสารโดยใชการจัดเรียงตัวของอนภุ าคที่เปนองคป ระกอบเปน เกณฑ สารแบง ออกเปน 3 สถานะ ดังนี้ 1. ของแขง็ ( Solid ) หมายถึงสารทีม่ ีลกั ษณะรูปรา งและปริมาตรคงท่ี มีรูปรา งเฉพาะตัว เนอื่ งจากอนุภาคในของแข็งจดั เรยี ง ชดิ ติดกันและอัดแนนอยางมีระเบยี บ มแี รงยึดเหนย่ี วระหวางกันสงู มากทาํ ใหอนภุ าคไมม ีการเคลื่อนท่ีหรอื เคล่ือนท่ีไดนอยมาก เปล่ียนแปลงรปู รางไดย าก เชน ไม หนิ เหลก็ ทองคํา ดนิ ทราย พลาสติก กระดาษ น้ําตาล เกลือแกง ตะกัว่ ถานไฟฉาย ยางรถยนต เปน ตน ภาพที่ 3 ผลึกของเกลือแกงและการจัดเรียงอนุภาค ท่ีมา: http://thn233455chemistry.blogspot.com/2015/01/5_89.html สมบัตเิ พิ่มเตมิ ของ ของแขง็ การเปลยี่ นสถานะของแขง็ - การหลอมเหลว เมือ่ ใหค วามรอ นแกข องแข็ง อนุภาคของของแข็งจะมพี ลังงานจลนเ พม่ิ ขน้ึ ทาํ ให อนุภาคมีการส่ันมากขึ้น และมีการถา ยโอนพลงั งานใหแกอนุภาคขา งเคยี งอยางตอเน่ือง จนกระทง่ั บางอนภุ าค
ของของแข็งมพี ลังงานสูงกวาแรงยึดเหนี่ยวระหวางอนุภาค อนภุ าคของของแข็งจึงเร่มิ เคลื่อนที่และอยูห างกัน มากขน้ึ ของแข็งจึงเกดิ การเปล่ยี นสถานะเปน ของเหลว เรยี กวา การหลอมเหลว ( Melting ) และเรียก อุณหภมู ใิ นขณะทีข่ องแขง็ เปล่ียนสถานะเปน ของเหลววา จดุ หลอมเหลว ( Melting point ) - การระเหิด เปนการเปล่ยี นแปลงทเ่ี กดิ กับสารชนิดท่ีไมมีขวั้ หรือมีขว้ั นอยมาก และมีแรงยดึ เหนี่ยว ระหวา งอนุภาคเปน แรงแวนเดอรวาลส ( Van der Waals forces ) อยางออน เชน แรงลอนดอน เม่ืออนุภาค ของสารไดรับความรอนจากส่ิงแวดลอมเพียงเล็กนอย จะทําใหอ นภุ าคของสารนัน้ แยกออกจากผลึก โดยเฉพาะ อนุภาคที่อยูบรเิ วณผิวหนาของผลึกจะหลุดออกและเคลอื่ นท่ีเปน อิสระไดงา ย เชน การระเหิดของ ไอโอดนี การระเหิดของแนฟทาลนี การบรู เมนทอล เปนตน 2. ของเหลว ( Liquid ) หมายถึงสารท่ีมีปริมาตรคงที่ แตร ูปรางเปลีย่ นไปตามภาชนะที่บรรจุ สามารถไหลได เนื่องจากอนุภาคใน ของเหลวอยหู างกันมากกวา ของแข็ง อนภุ าคไมยดึ ติดกันจงึ สามารถเคล่ือนที่ไดในระยะใกล และมีแรงดึงดูดซ่งึ กนั และกนั สามารถทะลุผานได เชน นํ้า แอลกอฮอล นา้ํ มันพืช นํ้ามนั เบนซนิ นา้ํ สมสายชู นํา้ หมกึ นํ้าอดั ลม นา้ํ ปลา เปน ตน ภาพที่ 4 แสดงรูปรา งของของเหลวเปล่ยี นไปตามภาชนะที่บรรจุ ท่มี า: https://sites.google.com/site/sciencenarumon/ สมบัติเพิ่มเติมของ ของเหลว - ความหนาแนน ( Density ) ของของเหลว ถา โมเลกุลของของเหลวมีแรงยึดเหนยี่ วซึง่ กันและกนั มาก โมเลกลุ จะเขาใกลกันมากขนึ้ ทําใหความหนาแนนของของเหลวนนั้ สงู - แรงตึงผวิ ( Surface tension ) เกดิ จากความไมสมดุลของแรงยึดเหนย่ี วระหวางโมเลกลุ ท่ี บรเิ วณผิวหนาของของเหลว โมเลกลุ ทอ่ี ยูภายในจะมีแรงยึดเหนีย่ วระหวางโมเลกลุ กับโมเลกลุ อ่นื ทกุ ทศิ ทุกทาง
ในขณะท่ที ี่ผิวหนาของของเหลว โมเลกุลของเหลวบรเิ วณนีจ้ ะมีแรงยึดเหนยี่ วระหวา งโมเลกลุ กับโมเลกลุ ภายในเทา นนั้ ดานบนไมม ีแรงยึดเหนยี่ วระหวา งโมเลกลุ จึงเกดิ แรงดึงเขาภายในซงึ่ แรงนั้นคือแรงตึงผวิ เสมือนมีผวิ มาเคลือบของเหลวไว ไมยอมใหวตั ถุผานเขา ไป เปน การพยายามลดพืน้ ทผ่ี ิวใหน อ ยลง ภาพท่ี 5 จงิ โจน ้าํ เดนิ บนผิวนาํ้ ที่มา: http://www.fortuner-club.com/index.php?topic=8419.0 ดงั จะเหน็ ไดจ ากจิงโจน้าํ เดนิ บนผวิ นํ้าไดโ ดยไมจมลงไป หรอื หยดนาํ้ บนใบบอน บนฝากระโปรงรถท่ี เคลอื บเงาหรือบนผิวแอปเปลหยดนาํ้ เหลา น้ีจะจับตวั กนั เปนหยดคลายทรงกลม เน่อื งจากทรงกลมเปน รปู ทรง ทีม่ พี ืน้ ท่ีผวิ นอ ยทส่ี ดุ ของเหลวทีม่ ีแรงยึดเหนยี่ วระหวา งโมเลกุลมากจะมีแรงตึงผวิ มาก เชนน้ําซึ่งมีพนั ธะ ไฮโดรเจนกจ็ ะมีแรงตงึ ผวิ มากกวา ของเหลวชนิดอนื่ ๆ - ความหนดื ซงึ่ เกดิ จากแรงยึดเหน่ียวระหวา งโมเลกลุ ถามีแรงยึดเหนี่ยวระหวางโมเลกลุ มากเทา ไร โมเลกุลจะอยูใกลชิดกนั มากข้ึน ทาํ ใหมคี วามหนาแนน แรงตงึ ผวิ และความหนดื มากข้ึนดว ย การระเหย ( Evaporation ) คอื การเปลย่ี นสถานะของสารจากของเหลวเปน แกส โดยทก่ี ารระเหย สามารถเกดิ ไดท ุกอณุ หภมู แิ ละเกิดเฉพาะผวิ หนาของของเหลวเทา นนั้ การระเหยเกดิ ขน้ึ เน่ืองจากโมเลกลุ ของของเหลวมีการเคล่ือนทตี่ ลอดเวลา โดยไมม ีทิศทางการเคลอื่ นทีแ่ นน อน บางโมเลกุลอาจเคลอ่ื นทีม่ าชน กันจึงมกี ารถายเทพลังงานจลนระหวางกันและกัน ภายหลงั การชนบางโมเลกุลมีพลังงานจลนส ูงขึ้น แตบ าง โมเลกลุ มพี ลังงานจลนต่าํ ลง โมเลกลุ ซงึ่ มีพลงั งานจลนสูงกวา แรงยึดเหนยี่ วระหวา งโมเลกลุ และอยทู ผี่ ิวหนา ของของเหลวจะสามารถแยกตวั อออกจากของเหลว เกดิ การเปลย่ี นสถานะเปนแกส โมเลกลุ ทีเ่ หลืออยูมี พลงั งานจลนต ่ําลงจึงตองดูดพลังงาน ดงั นนั้ เมอื่ เหง่ือแหง จะรูส กึ เย็นเพราะเม่ือเหงื่อบางสว นระเหยไป เหง่อื สว นท่เี หลอื จะมีพลังงานตํ่าจึงตอง ดดู พลังงานจากผวิ หนงั ทาํ ใหรูสกึ เย็น 3. แกส ( Gas ) หมายถึงสารท่มี ีรูปราง และปรมิ าตรไมคงที่ เปล่ยี นไปตามภาชนะที่บรรจุ มลี ักษณะฟุง กระจายเต็มภาชนะท่บี รรจุ เนือ่ งจากอนุภาคของแกสอยูห า งกันมาก มีพลงั งานในการเคล่ือนทอ่ี ยางรวดเรว็ ไป ไดใ นทุกทิศทางตลอดเวลา จึงมแี รงดึงดดู ระหวางอนภุ าคนอ ยมาก สามารถทะลผุ านไดง าย และบบี อัดใหเล็ก ลงไดง า ย เชน อากาศ แกสออกซเิ จน แกสหุงตม ไอน้าํ เปน ตน
ภาพที่ 6 แกส และการจัดเรียงอนุภาค ท่ีมา: http://www.trueplookpanya.com/learning/detail/31751/044327 สมบตั ิเพ่ิมเติมของ แกส 1. ถา ใหแกส อยูใ นภาชนะทเ่ี ปลีย่ นแปลงปริมาตรได ปรมิ าตรของแกสจะข้นึ อยกู ับอุณหภูมิ ความดันและ จาํ นวนโมล ดังนัน้ เม่ือบอกปริมาตรของแกสจะตองบอกอณุ หภมู ิ ความดันและจํานวนโมลดว ย เชน แกส ออกซิเจน 1 โมล มีปรมิ าตร 22.4 dm3 ที่อุณหภูมิ 0 °C ความดัน 1 บรรยากาศ ( STP ) 2. สารท่อี ยใู นสถานะแกส มีความหนาแนน นอยกวา เมอ่ื อยูในสถานะของเหลวและของแข็งมาก เชน ไอ น้ํา มีความหนาแนน 0.0006 g/cm3 แตน้ํามีความแนน ถึง 0.9584 g/cm3 ที1่ 00 °C 3. แกส สามารถแพรได และแพรไดเร็วเพราะแกส มีแรงยึดเหนยี่ วระหวางโมเลกลุ นอ ยกวาของเหลวและ ของแข็ง 4. แกส ตาง ๆ ตั้งแต 2 ชนดิ ขน้ึ ไปเม่ือนํามาใสใ นภาชนะเดียวกนั แกสแตละชนิดจะแพรผสมกันอยาง สมบูรณทกุ สวน น้นั คือสว นผสมของแกสเปน สารเดยี ว หรอื เปน สารละลาย ( Solution ) 5. แกส สวนใหญไ มม สี แี ละโปรง ใส เชน แกสออกซิเจน ( O2 ) แกส ไฮโดเจน ( H2 ) แกส คารบ อนไดออกไซด ( CO2 ) เปนตน แหลง ที่มา กิตติศักดิ์ ปญ ญา และคณะ. ของแข็ง ของเหลว แกส. สบื คนเมอื่ วันที่ 12 สิงหาคม 2561. จาก http://www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/286/2/3/gas/gas/index.htm
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: