สรปุ ผลการจดั กจิ กรรม การเรยี นรู้หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง โครงการใช้ชีวติ อยา่ งไรให้พอเพียง ในวนั ท่ี 29 มิถนุ ายน 2563 ณ วัดเซดิ สาราญ หมู่ท่ี 8 ตาบลบา้ นเซดิ อาเภอพนัสนคิ ม จงั หวดั ชลบุรี กศน.ตาบลบา้ นเซดิ ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอพนัสนคิ ม สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั จังหวดั ชลบรุ ี
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม ก โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรให้พอเพยี ง” คำนำ กศน.ตำบลบ้ำนเซิด สังกัด ศูนย์กำรศึกษำนอกระบบและกำรศกึ ษำตำมอัธยำศัยอำเภอพนัสนิคม ได้จัดทำ โครงกำรอบรมให้ควำมรู้ “ใช้ชีวิตอย่ำงไรให้พอเพียง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ำร่วมกิจกรรมสำมำรถใช้ ชีวติ ประจำวันตำมหลักของควำมพอเพียงใช้ชีวิตอยำ่ งรอบคอบ ไม่ฟุ่มเฟอื ยและใช้ทรัพยำกรท่ีมีอยู่ให้เกดิ ประโยชน์ และเกิดรำยไดใ้ นครัวเรือนและเกดิ ควำมสำนกึ ถึงพระมหำกรุณำธคิ ณุ และตระหนกั ถึงควำมห่วงใยขอพระบำทสมเด็จ พระเจ้ำอยู่หัว (รัชกำลที่ 9) ซึ่งมีกำรสรุปผลกำรจัดกิจกรรมโครงกำรดังกล่ำวเพื่อต้องกำรทรำบว่ำกำรดำเนิน โครงกำรบรรลุตำมวัตถปุ ระสงคท์ ี่กำหนดไวห้ รือไม่ บรรลุในระดับใดและได้จัดทำเอกสำรสรุปผลกำรจัดกิจกรรมกำร เรียนรู้ตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงเสนอต่อผู้บริหำร ผู้เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในกำรปรับปรุงและ พัฒนำกำรดำเนนิ โครงกำรใหด้ ยี ง่ิ ข้นึ คณะผู้จัดทำ ขอขอบคุณผู้อำนวยกำรศนู ย์กำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัยอำเภอพนัส นิคม ที่ให้คำแนะนำ คำปรึกษำ ในกำรจัดทำสรุปผลกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกิจ พอเพยี งในครงั้ นี้ หวังเป็นอย่ำงยิ่งว่ำเอกสำรสรุปผลกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติงำนโครงกำรและหน่วยงำนท่ีเกี่ยวข้องในกำรนำไปใช้ในกำรจัดกิจกรรม กำรศกึ ษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอธั ยำศัย ตอ่ ไป สนุ ทรี เพชรประเสริฐ ครู กศน.ตำบล กรกฎำคม 2563 กศน.อาเภอพนัสนิคม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม ข โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรให้พอเพียง” สำรบญั หวั เร่อื ง หน้ำ คำนำ ก สำรบญั ข สำรบญั ตำรำง ค บทท่ี 1 บทนำ 1 1 - หลกั กำรและเหตผุ ล 1 - วตั ถปุ ระสงค์ 1 - เป้ำหมำยกำรดำเนนิ งำน 1 - ผลลพั ธ์ 2 - ตวั ชวี้ ัดผลสำเรจ็ ของโครงกำร 3 บทท่ี 2 เอกสำรกำรศึกษำและงำนวจิ ัยที่เกยี่ วขอ้ ง 3 - กรอบกำรจัดกจิ กรรมกำรศกึ ษำเพื่อพฒั นำสังคมและชุมชน 3 - เอกสำร/งำนที่เก่ียวข้อง 21 บทที่ 3 วิธดี ำเนินงำน 24 บทท่ี 4 ผลกำรวิเครำะห์ขอ้ มูล 29 บทท่ี 5 อภปิ รำยผลและข้อเสนอแนะ บรรณำนกุ รม ภำคผนวก - แผนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ตำมหลกั ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง - โครงกำรอบรมใหค้ วำมรู้ “ใชช้ วี ิตอยำ่ งไรให้พอเพียง” - หนงั สือขออนเุ ครำะห์วิทยำกร - แบบประเมนิ ผูร้ ับบริกำร - ภำพประกอบกำรจดั กจิ กรรม คณะผ้จู ดั ทำ กศน.อาเภอพนัสนิคม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม ค โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรให้พอเพียง” สำรบญั ตำรำง ตำรำงท่ี รำยละเอียด หนำ้ 1 ผู้เข้ำรว่ มโครงกำรท่ีตอบแบบสอบถำมไดน้ ำมำจำแนกตำมเพศ 24 2 ผู้เข้ำรว่ มโครงกำรท่ีตอบแบบสอบถำมได้นำมำจำแนกตำมอำยุ 24 3 ผูเ้ ขำ้ รว่ มโครงกำรท่ีตอบแบบสอบถำมได้นำมำจำแนกตำมอำชีพ 25 4 ผู้เขำ้ รว่ มโครงกำรที่ตอบแบบสอบถำมไดน้ ำมำจำแนกตำมระดับกำรศกึ ษำ 25 5 แสดงคำ่ ร้อยละเฉลย่ี ควำมสำเรจ็ ของตัวชว้ี ดั ผลผลิต ประชำชนท่ัวไป 25 6 คำ่ เฉลยี่ และสว่ นเบ่ียงเบนมำตรฐำนควำมพึงพอใจฯ โครงกำร ในภำพรวม 26 7 คำ่ เฉลี่ยและสว่ นเบี่ยงเบนมำตรฐำนควำมพงึ พอใจฯ โครงกำร 26 ดำ้ นกำรบริหำรจัดกำร 8 คำ่ เฉลย่ี และสว่ นเบี่ยงเบนมำตรฐำนควำมพึงพอใจฯ โครงกำร 27 ดำ้ นกำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้/กำรอบรม 9 คำ่ เฉลีย่ และสว่ นเบี่ยงเบนมำตรฐำนควำมพึงพอใจฯ โครงกำร 27 ดำ้ นประโยชนท์ ่ไี ด้รับ กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจดั กจิ กรรม 1 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ิตอยา่ งไรให้พอเพียง” บทที่ 1 บทนำ หลักกำรและเหตุผล ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง เป็นแนวทางการดาเนนิ ชวี ติ และวถิ ีปฏบิ ตั ิที่พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหา ภมู พิ ลอดุลยเดช มหิตลาธเิ บศรรามาธิบดี จักรีนฤบดนิ ทร สยามมินทราธริ าช บรมนาถบพิตร (รัชกาลท่ี 9) มพี ระราช ดารัสชีแ้ นะแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกวา่ 30 ปี และได้ทรงเน้นยา้ แนวทางพฒั นา ทตี่ ้งั อยู่บนพนื้ ฐานของ ทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคานึงถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตุผล การสร้างภมู ิคุม้ กนั ในตวั ตลอดจน ใชค้ วามรู้ และคุณธรรม เปน็ พ้นื ฐานในการดารงชีวิต ป้องกนั ใหร้ อดพน้ จากวกิ ฤต และใหส้ ามารถดารงอยู่ไดอ้ ยา่ ง มน่ั คงและย่งั ยนื ภายใต้กระแสโลกาภวิ ัตน์และความเปลยี่ นแปลงต่าง ๆ ดงั นั้น กศน.ตาบลบ้านช้าง พรอ้ มดว้ ย กศน.ตาบลบ้านเซิด และ กศน.ตาบลหวั ถนนจงึ ได้จดั โครงการอบรม ใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวติ อยา่ งไรให้พอเพียง” ขึ้นให้แก่ประชาชน เพ่อื ให้ผู้เขา้ ร่วมกจิ กรรมสามารถใช้ชวี ิตประจาวันตาม หลกั ของความพอเพยี งใชช้ ีวิตอย่างรอบคอบ ไม่ฟมุ่ เฟอื ยและใช้ทรพั ยากรท่ีมีอยใู่ ห้เกดิ ประโยชน์และเกิดรายไดใ้ น ครวั เรอื น และเกิดความสานึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและตระหนกั ถึงความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รชั กาลท่ี 9) วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ใหผ้ ้เู ข้ารว่ มกจิ กรรมสามารถใช้ชีวิตประจาวนั ตามหลักของความพอเพยี งใชช้ วี ติ อยา่ งรอบคอบ ไม่ฟุ่มเฟือยและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชนแ์ ละเกดิ รายได้ในครัวเรือน 2. เพ่อื ให้ผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรมเกิดความสานึกถึงพระมหากรุณาธิคณุ และตระหนักถึงความหว่ งใยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว (รัชกาลท่ี 9) เป้ำหมำย ด้ำนปรมิ ำณ ประชาชน 3 ตาบล ๆ ละ 5 คน ไดแ้ ก่ ตาบลบา้ นช้าง ตาบลบ้านเซดิ และตาบลหวั ถนน รวมทง้ั สิ้น 15 คน ด้ำนคณุ ภำพ - ผเู้ ข้าร่วมกจิ กรรมสามารถใชช้ ีวิตประจาวันตามหลกั ของความพอเพยี งใช้ชวี ิตอยา่ งรอบคอบ ไม่ฟุ่มเฟือยและใช้ทรัพยากรท่ีมีอยูใ่ หเ้ กดิ ประโยชน์และเกิดรายได้ในครวั เรือน - ผ้เู ข้ารว่ มกิจกรรมเกิดความสานึกถงึ พระมหากรณุ าธคิ ุณและตระหนกั ถึงความหว่ งใยของ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว (รัชกาลที่ 9) กศน.ตาบลบ้านเซิด สงั กัด กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 2 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวติ อยา่ งไรใหพ้ อเพียง” ผลลัพธ์ ผู้เข้ารว่ มกิจกรรมสามารถใช้ชีวติ ประจาวนั ตามหลักของความพอเพียงใชช้ วี ติ อยา่ งรอบคอบ ไมฟ่ มุ่ เฟือยและ ใช้ทรัพยากรทีม่ ีอย่ใู ห้เกิดประโยชนแ์ ละเกดิ รายได้ในครวั เรือน ตลอดจนเกดิ ความสานึกถึงพระมหากรุณาธคิ ุณและ ตระหนักถึงความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว (รชั กาลที่ 9) ดชั นชี ี้วดั ผลสำเร็จของโครงกำร ตวั ชวี้ ดั ผลผลิต รอ้ ยละ 80 ผู้เข้ารับการอบรมมสี ามารถใชช้ ีวติ ประจาวนั ตามหลกั ของความพอเพยี งใชช้ ีวิตอย่าง รอบคอบ ไม่ฟุ่มเฟือยและใช้ทรพั ยากรทม่ี ีอยใู่ ห้เกิดประโยชน์และเกิดรายไดใ้ นครวั เรือน ตวั ชว้ี ดั ผลลัพธ์ ร้อยละ 80 ผู้เข้ารับการอบรมเกิดความสานึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและตระหนักถึงความหว่ งใยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว (รัชกาลท่ี 9) กศน.ตาบลบา้ นเซิด สังกดั กศน.อาเภอพนัสนิคม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 3 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวติ อยา่ งไรให้พอเพยี ง” บทที่ 2 เอกสำรกำรศกึ ษำและงำนวิจัยทเี่ กย่ี วข้อง ในการจดั ทาสรุปผลโครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ติ อย่างไรใหพ้ อเพียง”ครั้งน้ี คณะผู้จัดทาโครงการ ไดท้ าการค้นคว้าเน้ือหาเอกสารการศึกษาและงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ดงั นี้ 1. กรอบการจัดกจิ กรรมการเรียนร้ตู ามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 2. เอกสาร/งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้อง 1. กรอบกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นร้ตู ำมหลักปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพียง ภำรกจิ ต่อเน่ือง 1. ด้านการจดั การศึกษาและการเรยี นรู้ 1.3 การศึกษาต่อเน่อื ง 4) การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งผ่านกระบวนการเรยี นรู้ ตลอดชีวติ ในรูปแบบตา่ งๆ ให้กบั ประชาชน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุม้ กนั สามารถยืนหยัดอยู่ไดอ้ ยา่ งมน่ั คง และมีการ บริหารจดั การความเสย่ี งอย่างเหมาะสม ตามทศิ ทางการพัฒนาประเทศสคู่ วามสมดลุ และย่งั ยืน 2. เอกสำร/งำนวิจยั ที่เกย่ี วข้อง พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงเข้าพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมอื งไทยและคนไทยอย่างลกึ ซึง้ และ กวา้ งไกล ไดท้ รงวางรากฐานในการพฒั นาชนบท และช่วยเหลือประชาชนให้สามารถพึง่ ตนเองได้มี “ความพออยู่พอ กนิ \" และมีความอสิ ระที่จะอยู่ไดโ้ ดยไมต่ ้องตดิ ยดึ อยู่กับเทคโนโลยแี ละความเปลยี่ นแปลงของกระแสโลกาภวิ ัฒน์ ทรง วเิ คราะหว์ า่ หากประชาชนพึ่งตนเองได้แลว้ กจ็ ะมีส่วนชว่ ยเหลือเสริมสร้างประเทศชาตโิ ดยส่วนรวมไดใ้ นที่สดุ พระราช ดารัสที่สะท้อนถึงพระวสิ ยั ทัศน์ในการสรา้ งความเข้มแข็งในตนเองของประชาชนและสามารถทามาหากินให้พออยู่พอ กนิ ได้ ดงั น้ี \"….ในกำรสร้ำงถนน สรำ้ งชลประทำนให้ประชำชนใช้น้ัน จะต้องช่วย ประชำชนในทำงบคุ คลหรือพฒั นำใหบ้ คุ คลมีควำมรู้และอนำมัยแข็งแรง ดว้ ยกำร ใหก้ ำรศึกษำและกำรรกั ษำอนำมยั เพื่อให้ประชำชนในท้องที่สำมำรถทำกำรเกษตร ได้ และค้ำขำยได้…\" ในสภาวการณป์ ัจจบุ นั ซึง่ เกดิ ความถดถอยทางเศรษฐกจิ อย่างรนุ แรงขน้ึ นีจ้ งึ ทาให้เกดิ ความเข้าใจไดช้ ดั เจนในแนวพระราชดาริของ \"เศรษฐกิจพอเพียง\" ซึ่งได้ทรง คิดและตระหนักมาช้านาน เพราะหากเราไมไ่ ปพ่ีงพา ยึดติดอยกู่ ับกระแสจาก ภายนอกมากเกนิ ไป จนได้ครอบงาความคดิ ในลักษณะดงั้ เดิมแบบไทยๆไปหมด มแี ต่ ความทะเยอทะยานบนรากฐานทไ่ี ม่ม่ันคงเหมือนลักษณะฟองสบู่ วิกฤตเศรษฐกจิ เช่นนอ้ี าจไม่เกิดข้ึน หรอื ไม่หนัก หนาสาหสั จนเกิดความเดือดร้อนกนั ถว้ นทัว่ เชน่ นี้ ดงั น้ัน \"เศรษฐกิจพอเพียง\" จงึ ได้ส่ือความหมาย ความสาคญั ใน ฐานะเป็นหลักการสังคมท่ีพงึ ยึดถอื กศน.ตาบลบ้านเซดิ สังกัด กศน.อาเภอพนสั นิคม
สรปุ ผลการจดั กิจกรรม 4 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” ในทางปฏิบัติจุดเร่ิมต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงคือ การฟ้ืนฟูเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น เศรษฐกิจ พอเพียงเป็นทั้งหลักการและกระบวนการทางสังคม ตั้งแต่ข้ันฟื้นฟูและขยายเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการ พฒั นาขดี ความสามารถในการผลิตและบริโภคอยา่ งพออยู่พอกินขึ้นไปถึงขั้นแปรรปู อตุ สาหกรรมครวั เรือน สรา้ งอาชีพ และทักษะวิชาการท่หี ลากหลายเกิดตลาดซื้อขาย สะสมทุน ฯลฯ บนพ้ืนฐานเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนนี้ เศรษฐกิจของ 3 ชาติ จะพัฒนาขึ้นมาอย่างมั่นคงท้ังในด้านกาลังทุน และตลาดภายในประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาข้ึนมาจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ภายใน ชาติ และทั้งท่ีจะพึงคดั สรรเรียนรู้จากโลกภายนอก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจท่ีพอเพยี งกบั ตวั เอง ทาให้อยูไ่ ด้ ไม่ต้องเดือดร้อน มสี ่ิงจาเปน็ ท่ีทาไดโ้ ดย ตวั เองไมต่ อ้ งแขง่ ขนั กบั ใคร และมีเหลือเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มี อนั นาไปสู่การแลกเปลย่ี นในชุมชน และขยายไปจน สามารถที่จะเป็นสนิ คา้ สง่ ออก เศรษฐกจิ พอเพยี งเปน็ เศรษฐกจิ ระบบเปิดที่เริ่มจากตนเองและความรว่ มมือ วธิ กี าร เชน่ นจี้ ะดึงศกั ยภาพของ ประชากรออกมาสร้างความเข้มแขง็ ของครอบครัว ซึง่ มีความผู้พนั กบั “จติ วิญญาณ” คือ “คุณค่า” มากกว่า “มลู ค่า” ในระบบเศรษฐกจิ พอเพยี งจะจดั ลาดับความสาคัญของ “คุณคา่ ” มากกว่า “มูลค่า” มลู ค่านัน้ ขาดจติ วิญญาณ เพราะเปน็ เศรษฐกจิ ภาคการเงิน ท่เี นน้ ท่ีจะตอบสนองต่อความต้องการท่ไี มจ่ ากัดซ่ึงไรข้ อบเขต ถา้ ไม่ สามารถควบคุมได้การใชท้ รัพยากรอยา่ งทาลายล้างจะรวดเรว็ ขน้ึ และปญั หาจะตามมา เป็นการบริโภคทกี่ ่อให้เกิด ความทุกขห์ รอื พาไปหาความทุกข์ และจะไมม่ ีโอกาสบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ในการบริโภค ท่ีจะก่อใหค้ วามพอใจและ ความสุข (Maximization of Satisfaction) ผบู้ ริโภคตอ้ งใชห้ ลกั ขาดทนุ คือกาไร (Our loss is our gain) อย่างน้จี ะ ควบคุมความตอ้ งการท่ีไมจ่ ากัดได้ และสามารถจะลดความตอ้ งการลงมาได้ ก่อให้เกิดความพอใจและความสขุ เทา่ กบั ได้ตระหนักในเร่ือง “คุณค่า” จะชว่ ยลดคา่ ใชจ้ ่ายลงได้ ไม่ต้องไปหาวธิ ีทาลายทรพั ยากรเพื่อให้เกิดรายได้มาจดั สรรส่ิง ทีเ่ ป็น “ความอยากท่ไี ม่มที ่สี ้ินสุด” และขจดั ความสาคญั ของ “เงิน” ในรูปรายได้ทีเ่ ปน็ ตัวกาหนดการบรโิ ภคลงได้ ระดับหนง่ึ แลว้ ยังเป็นตวั แปรทไี่ ปลดภาระของกลไกของตลาดและการพ่ึงพงิ กลไกของตลาด ซึง่ บุคคลโดยทัว่ ไปไม่ สามารถจะควบคมุ ได้ รวมท้ังได้มีส่วนในการปอ้ งกนั การบริโภคเลียนแบบ (Demonstration Effects) จะไม่ทาให้เกิด การสญู เสยี จะทาใหไ้ ม่เกิดการบริโภคเกนิ (Over Consumption) ซึง่ ก่อใหเ้ กดิ สภาพเศรษฐกจิ ดี สังคมไมม่ ีปัญหา การพัฒนายัง่ ยนื การบริโภคทฉี่ ลาดดงั กลา่ วจะชว่ ยป้องกันการขาดแคลน แมจ้ ะไมร่ า่ รวยรวดเร็ว แตใ่ นยามปกติกจ็ ะทาให้ รา่ รวยมากขน้ึ ในยามทกุ ข์ภยั กไ็ ม่ขาดแคลน และสามารถจะฟน้ื ตัวได้เรว็ กว่า โดยไม่ต้องหวังความช่วยเหลือจากผ้อู ่นื มากเกนิ ไป เพราะฉะนน้ั ความพอมีพอกินจะสามารถอมุ้ ชูตัวได้ ทาใหเ้ กิดความเข้มแข็ง และความพอเพยี งน้นั ไม่ได้ หมายความวา่ ทกุ ครอบครวั ต้องผลติ อาหารของตวั เอง จะต้องทอผา้ ใส่เอง แตม่ ีการแลกเปลยี่ นกนั ได้ระหวา่ งหม่บู ้าน เมือง และแม้กระท่งั ระหวา่ งประเทศ ที่สาคญั คือการบริโภคน้นั จะทาใหเ้ กดิ ความรู้ที่จะอยู่รว่ มกับระบบ รกั ธรรมชาติ ครอบครัวอบอ่นุ ชุมชนเข้มแขง็ เพราะไมต่ ้องท้งิ ถน่ิ ไปหางานทา เพื่อหารายได้มาเพอ่ื การบรโิ ภคที่ไม่เพยี งพอ ประเทศไทยอดุ มไปด้วยทรัพยากรและยงั มีพอสาหรบั ประชาชนไทยถ้ามีการจัดสรรท่ดี ี โดยยดึ \" คุณค่า \" มากกว่า \" มูลคา่ \" ยึดความสัมพนั ธข์ อง “บคุ คล” กบั “ระบบ” และปรับความตอ้ งการทไี่ มจ่ ากัดลงมาใหไ้ ด้ตามหลัก ขาดทนุ เพอ่ื กาไร และอาศยั ความร่วมมือเพ่อื ใหเ้ กิดครอบครัวท่ีเขม้ แข็งอันเป็นรากฐานท่ีสาคัญของระบบสงั คม กศน.ตาบลบ้านเซิด สังกดั กศน.อาเภอพนัสนิคม
สรปุ ผลการจดั กจิ กรรม 5 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ติ อยา่ งไรให้พอเพียง” การผลติ จะเสยี ค่าใช้จ่ายลดลงถา้ รจู้ ักนาเอาสง่ิ ท่ีมอี ยู่ในขบวนการธรรมชาตมิ าปรงุ แตง่ ตามแนวพระราชดาริ ในเรือ่ งตา่ ง ๆ ทก่ี ล่าวมาแล้วซ่ึงสรุปเปน็ คาพูดทเี่ หมาะสมตามที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ตินณสลู านนท์ ทวี่ ่า “…ทรงปลูก แผ่นดิน ปลกู ความสขุ ปลดความทุกข์ของราษฎร” ในการผลติ นัน้ จะต้องทาดว้ ยความรอบคอบไม่เห็นแก่ได้ จะต้อง คิดถงึ ปัจจยั ท่ีมีและประโยชนข์ องผู้เกี่ยวข้อง มิฉะน้นั จะเกิดปญั หาอยา่ งเชน่ บางคนมโี อกาสทาโครงการแต่ไม่ได้คานึง วา่ ปัจจัยต่าง ๆ ไมค่ รบ ปัจจัยหนึ่งคอื ขนาดของโรงงาน หรือเครื่องจกั รท่สี ามารถทจี่ ะปฏิบตั ิได้ แต่ข้อสาคัญทสี่ ดุ คือ วัตถดุ บิ ถา้ ไมส่ ามารถทจี่ ะให้ค่าตอบแทนวัตถุดบิ แก่เกษตรกรที่เหมาะสม เกษตรกรกจ็ ะไม่ผลิต ยง่ิ ถา้ ใช้วตั ถุดิบสาหรบั ใช้ในโรงงาน้ัน เปน็ วตั ถุดิบท่จี ะตอ้ งนามาจากระยะไกล หรือนาเขา้ กจ็ ะย่ิงยาก เพราะวา่ วตั ถดุ บิ ท่ีนาเข้านั้นราคาย่ิง แพง บางปีวตั ถดุ ิบมบี ริบูรณ์ ราคาอาจจะต่าลงมา แต่เวลาจะขายสิง่ ของทผี่ ลิตจากโรงงานก็ขายยากเหมือนกนั เพราะ มีมากจงึ ทาให้ราคาตก หรอื กรณใี ช้เทคโนโลยที างการเกษตร เกษตรกรรูด้ วี ่าเทคโนโลยที าให้ต้นทนุ เพ่ิมขึ้น และ ผลผลิตที่เพิ่มนน้ั จะล้นตลาด ขายได้ในราคาทลี่ ดลง ทาให้ขาดทุน ต้องเปน็ หนส้ี ิน กำรผลิตตำมทฤษฎีใหม่สำมำรถเป็นตน้ แบบกำรคิดในกำรผลิตทด่ี ไี ด้ ดงั นี้ 1. การผลติ น้นั ม่งุ ใชเ้ ป็นอาหารประจาวันของครอบครัว เพ่ือให้มีพอเพียงในการบรโิ ภคตลอดปี เพื่อใชเ้ ปน็ อาหารประจาวันและเพื่อจาหนา่ ย 2. การผลติ ต้องอาศยั ปจั จยั ในการผลติ ซึ่งจะต้องเตรยี มใหพ้ รอ้ ม เช่น การเกษตรต้องมีน้า การจดั ให้มีและดู แหลง่ นา้ จะก่อให้เกดิ ประโยชน์ท้ังการผลติ และประโยชน์ใชส้ อยอื่น ๆ 3. ปัจจัยประกอบอนื่ ๆ ทจ่ี ะอานวยให้การผลิตดาเนินไปด้วยดี และเกิดประโยชน์เชอื่ มโยง (Linkage) ทจี่ ะ ไปเสริมให้เกิดความย่ังยืนในการผลิต จะต้องรว่ มมือกนั ทุกฝ่ายท้งั เกษตรกร ธรุ กจิ ภาครัฐ ภาคเอกชน เพ่ือเช่อื มโยง เศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับเศรษฐกิจการคา้ และใหด้ าเนนิ กิจการควบคู่ไปดว้ ยกันได้ การผลติ จะต้องตระหนักถงึ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” การผลิตน้ันตอ้ งยึดมั่นในเรื่องของ “คุณคา่ ” ใหม้ ากกว่า “มูลค่า” ดังพระราชดารัส ซึ่งไดน้ าเสนอมาก่อนหน้านี้ทวี่ ่า “…บารมนี ั้น คือ ทาความดี เปรียบเทียบกับธนาคาร …ถ้าเราสะสมเงินใหม้ ากเรากส็ ามารถทีจ่ ะใช้ดอกเบ้ีย ใช้ เงินที่เป็นดอกเบี้ย โดยไม่แตะตอ้ งทุนแตถ่ า้ เราใชม้ ากเกดิ ไป หรือเราไมร่ ะวัง เรากนิ เข้าไปในทุน ทุนมันกน็ ้อยลง ๆ จนหมด …ไปเบิกเกนิ บัญชเี ขาก็ตอ้ งเอาเรื่อง ฟ้องเราให้ล้มละลาย เราอยา่ ไปเบิกเกินบารมที บ่ี ้านเมือง ทป่ี ระเทศได้ สร้างสมเอาไว้ตง้ั แตบ่ รรพบรุ ุษของเราให้เกนิ ไป เราต้องทาบ้าง หรือเพ่ิมพนู ให้ประเทศของเราปกตมิ ีอนาคตที่มั่นคง บรรพบรุ ษุ ของเราแต่โบราณกาล ไดส้ รา้ งบ้านเมืองมาจนถึงเราแล้ว ในสมัยน้ที เ่ี รากาลงั เสียขวัญ กลวั จะได้ไม่ต้องกลัว ถา้ เราไม่รกั ษาไว้…” การจดั สรรทรพั ยากรมาใช้เพื่อการผลิตท่ีคานงึ ถึง “คุณค่า” มากกวา่ “มูลค่า” จะก่อให้เกดิ ความสมั พันธ์ ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” เป็นไปอยา่ งย่งั ยนื ไมท่ าลายทัง้ ทนุ สังคมและทนุ เศรษฐกจิ นอกจากน้ีจะต้องไม่ติด ตารา สรา้ งความรู้ รัก สามัคคี และความร่วมมือร่วมแรงใจ มองกาลไกลและมีระบบสนับสนนุ ทีเ่ ปน็ ไปได้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงปลูกฝังแนวพระราชดารใิ หป้ ระชาชนยอมรับไปปฏบิ ัติอยา่ งตอ่ เนื่อง โดยให้ วงจรการพัฒนาดาเนนิ ไปตามครรลองธรรมชาติ กล่าวคือ ทรงสรำ้ งควำมตระหนกั แก่ประชำชนให้รบั รู้ (Awareness) ในทุกคราเมอ่ื เสดจ็ พระราชดาเนินไปทรง เยยี่ มประชาชนในทุกภมู ิภาคตา่ ง ๆ จะทรงมีพระราชปฏิสนั ถารใหป้ ระชาชนไดร้ ับทราบถงึ สงิ่ ทคี่ วรรู้ เช่น การปลูก กศน.ตาบลบ้านเซดิ สงั กดั กศน.อาเภอพนสั นิคม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 6 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวติ อยา่ งไรให้พอเพยี ง” หญ้าแฝกจะชว่ ยป้องกนั ดนิ พังทลาย และใชป้ ุ๋ยธรรมชาตจิ ะชว่ ยประหยดั และบารุงดิน การแกไ้ ขดนิ เปรี้ยวในภาคใต้ สามารถกระทาได้ การ ตัดไม้ทาลายป่าจะทาใหฝ้ นแลง้ เป็นต้น ตวั อย่างพระราชดารสั ที่เกี่ยวกับการสรา้ งความ ตระหนกั ให้แก่ประชาชน ไดแ้ ก่ “….ประเทศไทยนี้เป็นท่ีท่ีเหมาะมากในการต้งั ถ่ินฐาน แต่วา่ ต้องรักษาไว้ ไม่ทาให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็น นากลายเปน็ ทะเลทราย ก็ป้องกัน ทาได้….” ทรงสร้างความสนใจแก่ประชาชน (Interest) หลายทา่ นคงได้ยนิ หรอื รับฟงั โครงการอันเนื่อง มาจาก พระราชดาริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีนามเรยี กขานแปลกหู ชวนฉงน น่าสนใจตดิ ตามอยู่เสมอ เชน่ โครงการแก้มลิง โครงการแกลง้ ดนิ โครงการเสน้ ทางเกลอื โครงการนา้ ดไี ลน่ า้ เสยี หรอื โครงการน้าสามรส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นตน้ ล้วนเชญิ ชวนให้ ติดตามอย่างใกล้ชดิ แต่พระองคก์ จ็ ะมีพระราชาธิบายแต่ละโครงการอยา่ งละเอยี ด เปน็ ที่เข้าใจง่ายรวดเรว็ แกป่ ระชาชนท้งั ประเทศ ในประการตอ่ มา ทรงใหเ้ วลาในการประเมนิ ค่าหรือประเมินผล (Evaluate) ด้วยการศึกษาหาข้อมูลตา่ ง ๆ วา่ โครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดารขิ องพระองคน์ น้ั เปน็ อย่างไร สามารถนาไปปฏบิ ัติไดใ้ นสว่ นของตนเองหรอื ไม่ ซง่ึ ยังคงยึดแนวทางท่ใี ห้ประชาชนเลอื กการพฒั นาดว้ ยตนเอง ทวี่ า่ “….ขอใหถ้ ือวา่ การงานทจี่ ะทานั้นตอ้ งการเวลา เป็นงานทม่ี ีผ้ดู าเนินมาก่อนแล้ว ทา่ นเปน็ ผทู้ จ่ี ะเขา้ ไปเสรมิ กาลงั จึงต้องมีความอดทนท่ีจะเขา้ ไปร่วมมือกบั ผู้อ่นื ตอ้ งปรองดองกับเขาให้ได้ แมเ้ ห็นว่ามีจุดหนึ่งจดุ ใดต้องแก้ไข ปรบั ปรงุ กต็ อ้ งค่อยพยายามแก้ไขไปตามท่ีถูกที่ควร….” ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพียง “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั พระราชทานพระราชดาริชีแ้ นะแนวทางการ ดาเนินชวี ติ แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตัง้ แตก่ ่อนเกดิ วกิ ฤตการณท์ างเศรษฐกจิ และเม่ือ ภายหลังได้ทรงเน้นย้าแนวทางการแก้ไขเพื่อใหร้ อดพน้ และสามารถดารงอยู่ได้อย่างมัน่ คงและยัง่ ยืนภายใตก้ ระแส โลกาภวิ ัตนแ์ ละความเปลยี่ นแปลงตา่ งๆ เศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นปรชั ญาชถ้ี ึงแนวการดารงอยแู่ ละปฏบิ ตั ติ นของประชาชนในทุกระดับ ตงั้ แต่ระดบั ครอบครัว ระดับชุมชน จนถงึ ระดบั รัฐ ท้ังในการพัฒนาและบริหารประเทศใหด้ าเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะ การพัฒนาเศรษฐกจิ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยคุ โลกาภวิ ัตน์ ควำมพอเพียง หมายถงึ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถงึ ความจาเปน็ ทจี่ ะต้องมีระบบภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ทีด่ ีพอสมควร ต่อการมผี ลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปล่ยี นแปลง ท้ังภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอยา่ งย่งิ ในการนาวิชาการ ตา่ ง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดาเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดยี วกนั จะต้องเสรมิ สร้างพน้ื ฐานจิตใจของคนใน ชาติ โดยเฉพาะเจา้ หน้าทีข่ องรฐั นกั ทฤษฎี และนกั ธรุ กจิ ในทกุ ระดับ ใหม้ ีสานกึ ในคุณธรรมความซ่ือสตั ย์ สุจรติ และ ให้มคี วามรอบรู้ทีเ่ หมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพยี ร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพอ่ื ให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรบั การเปลยี่ นแปลงอย่างรวดเร็วและกวา้ งขวางทงั้ ด้านวัตถุ สงั คม สิง่ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรม จากโลกภายนอกไดเ้ ป็นอย่างดี กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สงั กดั กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 7 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ิตอยา่ งไรใหพ้ อเพียง” ควำมหมำยของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบตั ิ ดงั น้ี 1. ควำมพอประมำณ หมายถงึ ความพอดีท่ไี ม่น้อยเกินไปและไมม่ ากเกินไป โดยไม่เบียดเบยี น ตนเองและผ้อู ่ืน เชน่ การผลติ และการบรโิ ภคที่อยใู่ นระดบั พอประมาณ 2. ควำมมีเหตผุ ล หมายถงึ การตัดสนิ ใจเก่ยี วกบั ระดับความพอเพียงนน้ั จะต้องเป็นไปอยา่ งมเี หตผุ ล โดย พจิ ารณาจากเหตปุ จั จยั ที่เกย่ี วข้อง ตลอดจนคานึงถงึ ผลทคี่ าดวา่ จะเกิดขึน้ จากการกระทาน้ันๆ อย่างรอบคอบ 3. ภมู ิค้มุ กัน หมายถึง การเตรยี มตวั ใหพ้ ร้อมรบั ผลกระทบและการเปลีย่ นแปลงดา้ นต่างๆ ท่ีจะเกิดขน้ึ โดย คานึงถึงความเปน็ ไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ท่ีคาดวา่ จะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต โดยมี เงอ่ื นไข ของการตดั สินใจและดาเนิน กจิ กรรมตา่ งๆ ใหอ้ ยู่ในระดบั พอเพยี ง 2 ประการ ดังนี้ 1. เง่อื นไขควำมรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบร้เู กี่ยวกับวชิ าการต่างๆ ทเี่ ก่ยี วข้องรอบดา้ น ความรอบคอบที่จะ นาความรู้เหลา่ น้นั มาพจิ ารณาใหเ้ ชือ่ มโยงกนั เพอื่ ประกอบการวางแผนและความระมัดระวงั ในการปฏบิ ตั ิ 2. เงอื่ นไขคุณธรรม ท่จี ะตอ้ งเสรมิ สร้าง ประกอบดว้ ย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความ ซ่อื สตั ย์สุจริตและมคี วามอดทน มคี วามเพยี ร ใช้สตปิ ญั ญาในการดาเนินชวี ิต จดุ เรมิ่ ตน้ แนวคดิ เศรษฐกิจพอเพยี ง จากการใชแ้ นวทางการพฒั นาประเทศไปสคู่ วามทันสมัย ได้กอ่ ให้เกิดการเปลย่ี นแปลงแก่สังคมไทยอย่างมาก ในทกุ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นดา้ นเศรษฐกจิ การเมือง วัฒนธรรม สงั คมและสงิ่ แวดล้อม อกี ทั้งกระบวนการของความ เปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากท่ีจะอธิบายในเชิงสาเหตุและผลลัพธไ์ ด้ เพราะการเปลย่ี นแปลงทง้ั หมดต่าง เป็นปัจจัยเชอ่ื มโยงซง่ึ กันและกัน สาหรบั ผลของการพัฒนาในด้านบวกนัน้ ไดแ้ ก่ การเพิ่มขึน้ ของอตั ราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความ เจริญทางวตั ถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทนั สมัย หรือการขยายปริมาณและกระจายการศึกษาอยา่ ง ทัว่ ถึงมากขน้ึ แต่ผลดา้ นบวกเหล่าน้สี ว่ นใหญก่ ระจายไปถึงคนในชนบท หรอื ผูด้ ้อยโอกาสในสังคมนอ้ ย แตว่ า่ กระบวนการเปลีย่ นแปลงของสงั คมได้เกดิ ผลลบตดิ ตามมาด้วย เชน่ การขยายตวั ของรฐั เข้าไปในชนบท ไดส้ ่งผลให้ชนบทเกดิ ความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพง่ึ พิงตลาดและพ่อค้าคนกลางในการสั่งสินคา้ ทุน ความ เสอื่ มโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครอื ญาติ และการรวมกลมุ่ กันตามประเพณีเพ่ือการ จดั การทรัพยากรทเี่ คยมีอยู่แต่เดมิ แตกสลายลง ภมู ิความรู้ที่เคยใช้แก้ปญั หาและส่ังสมปรบั เปลี่ยนกนั มาถูกลมื เลือน และเริม่ สูญหายไป ส่งิ สาคญั ก็คือ ความพอเพียงในการดารงชวี ิต ซ่ึงเปน็ เง่ือนไขพ้ืนฐานที่ทาให้คนไทยสามารถพ่ึงตนเอง และ ดาเนนิ ชวี ติ ไปได้อยา่ งมีศกั ด์ิศรีภายใต้อานาจและความมีอสิ ระในการกาหนดชะตาชวี ติ ของตนเอง ความสามารถใน การควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความตอ้ งการตา่ งๆ รวมทงั้ ความสามารถในการจัดการ ปญั หาตา่ งๆ ได้ดว้ ยตนเอง ซึ่งทง้ั หมดน้ถี ือว่าเป็นศักยภาพพ้ืนฐานทค่ี นไทยและสงั คมไทยเคยมีอยู่แตเ่ ดิม ต้องถูก กระทบกระเทอื น ซึ่งวิกฤตเศรษฐกจิ จากปัญหาฟองสบ่แู ละปัญหาความอ่อนแอของชนบท รวมท้งั ปญั หาอืน่ ๆ ท่ี เกิดขน้ึ ลว้ นแต่เปน็ ข้อพสิ ูจนแ์ ละยนื ยนั ปรากฎการณ์นไี้ ด้เป็นอยา่ งดี กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สงั กัด กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 8 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ ีวิตอยา่ งไรให้พอเพียง” ประเทศไทยกบั เศรษฐกจิ พอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง มงุ่ เนน้ ใหผ้ ูผ้ ลติ หรอื ผบู้ รโิ ภค พยายามเร่ิมตน้ ผลติ หรือบรโิ ภคภายใตข้ อบเขต ข้อจากดั ของรายได้ หรอื ทรพั ยากรทีม่ ีอยู่ไปกอ่ น ซง่ึ กค็ ือ หลักในการลดการพ่งึ พา เพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมการผลติ ได้ดว้ ยตนเอง และลดภาวะการเส่ยี งจากการไมส่ ามารถควบคุมระบบตลาดได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจพอเพยี งมิใช่หมายความถึง การกระเบยี ดกระเสยี นจนเกนิ สมควร หากแต่อาจฟมุ่ เฟือยได้เปน็ ครั้ง คราวตามอตั ภาพ แต่คนสว่ นใหญข่ องประเทศ มกั ใช้จา่ ยเกินตัว เกนิ ฐานะท่ีหามาได้ เศรษฐกิจพอเพยี ง สามารถนาไปสเู่ ป้าหมายของการสรา้ งความม่ันคงในทางเศรษฐกจิ ได้ เช่น โดยพื้นฐาน แลว้ ประเทศไทยเปน็ ประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงควรเนน้ ทีเ่ ศรษฐกจิ การเกษตร เน้นความมนั่ คง ทางอาหาร เป็นการสร้างความมน่ั คงให้เปน็ ระบบเศรษฐกิจในระดับหนงึ่ จึงเปน็ ระบบเศรษฐกิจทีช่ ่วยลดความเส่ยี ง หรอื ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกจิ ในระยะยาวได้ เศรษฐกจิ พอเพียง สามารถประยกุ ต์ใช้ไดใ้ นทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ ไม่จาเปน็ จะตอ้ งจากัด เฉพาะแตภ่ าคการเกษตร หรือภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสงั หาริมทรัพย์ และการคา้ การลงทนุ ระหว่าง ประเทศ โดยมหี ลักการที่คลา้ ยคลึงกันคือ เน้นการเลือกปฏิบตั อิ ยา่ งพอประมาณ มเี หตุมีผล และสร้างภูมิคมุ้ กันให้แก่ ตนเองและสงั คม กำรดำเนนิ ชีวติ ตำมแนวพระรำชดำริพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว ทรงเข้าใจถึงสภาพสงั คมไทย ดงั นัน้ เมื่อไดพ้ ระราชทานแนวพระราชดาริ หรอื พระบรมราโชวาทในด้านต่างๆ จะทรงคานึงถงึ วถิ ชี วี ิต สภาพสงั คมของประชาชนด้วย เพ่ือไม่ให้เกดิ ความขดั แยง้ ทาง ความคิด ท่ีอาจนาไปส่คู วามขัดแยง้ ในทางปฏบิ ตั ิได้ แนวพระราชดารใิ นการดาเนินชีวติ แบบพอเพยี ง 1. ยึดความประหยดั ตดั ทอนค่าใช้จา่ ยในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต 2. ยดึ ถอื การประกอบอาชพี ด้วยความถกู ต้อง ซื่อสตั ยส์ ุจริต 3. ละเลิกการแก่งแยง่ ผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อส้กู ันอย่างรุนแรง 4. ไม่หยุดนงิ่ ท่ีจะหาทางให้ชวี ิตหลดุ พน้ จากความทุกข์ยาก ดว้ ยการขวนขวายใฝ่หาความรูใ้ หม้ ีรายได้เพิม่ พนู ขึ้น จนถงึ ขน้ั พอเพียงเป็นเป้าหมายสาคญั 5. ปฏบิ ัตติ นในแนวทางท่ีดี ลดละสิ่งชวั่ ประพฤติตนตามหลักศาสนา กำรนำปรัชญำเศรษฐกจิ พอเพียงไปใช้ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ เปน็ กรอบแนวความคิดและทิศทางการพฒั นาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซง่ึ บรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554)เพือ่ ม่งุ สูก่ ารพฒั นาท่ีสมดลุ ย่งั ยืน และมีภมู คิ ุ้มกนั เพื่อความอยู่ดมี สี ุข มุง่ สูส่ ังคมท่มี ีความสขุ อย่างยั่งยืน หรือท่เี รยี กวา่ สงั คมสเี ขยี ว (Green Society) ด้วยหลักการดังกลา่ ว แผนพัฒนาฯฉบับท่ี 10 นี้จะไม่เน้นเรอ่ื งตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ แตย่ ังคงให้ ความสาคญั ต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกจิ ที่มีความแตกตา่ งกนั ระหว่างเศรษฐกิจชมุ ชนเมอื ง และชนบท กศน.ตาบลบา้ นเซิด สังกดั กศน.อาเภอพนสั นิคม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 9 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” ดร.สมเกียรติ ออ่ นวิมล เรยี กสิ่งนี้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง คอื ความไมร่ ู้วา่ จะนาปรัชญานีไ้ ปใชท้ าอะไร กลายเป็นว่าผูน้ าสังคมทุกคน ทง้ั นกั การเมืองและรัฐบาลใช้คาว่า เศรษฐกจิ พอเพียง เปน็ ขอ้ อ้างในการทากจิ กรรมใด ๆ เพือ่ ใหร้ ูส้ กึ ว่าไดส้ นองพระราชดารัสและให้เกดิ ภาพลักษณท์ ี่ดี หรอื พดู ง่ายๆ ก็คือ เศรษฐกจิ พอเพยี ง ถูกใช้เพื่อเปน็ เคร่อื งมอื เพ่อื ตวั เอง ซ่งึ ความไมเ่ ข้าใจนี้อาจเกดิ จากการสบั สนว่าเศรษฐกจิ พอเพยี งกับทฤษฎใี หม่นั้นเป็นเรือ่ งเดียวกัน ทาใหม้ คี วามเขา้ ใจวา่ เศรษฐกจิ พอเพยี งหมายถึงการปฏิเสธอตุ สาหกรรมแล้วกลบั ไปส่เู กษตรกรรม ซ่งึ เป็นความเขา้ ใจ ท่ผี ิด ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ได้รับการเชดิ ชสู งู สดุ จาก สหประชาชาติ (UN)โดยนายโคฟี อนั นนั ในฐานะ เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ไดท้ ูลเกล้าฯถวายรางวัล The Human Development Lifetime Achievement Award แกพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว เมื่อ 26 พฤษภาคม 2549 และได้มีปาฐกถาถึงปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงว่า เป็นปรชั ญาทสี่ ามารถเร่ิมได้จากการสรา้ งภมู ิคมุ้ กนั ในตนเอง สูห่ มู่บ้าน และสู่เศรษฐกิจในวงกว้างข้นึ ในท่สี ดุ เป็น ปรชั ญาท่มี ีประโยชนต์ อ่ ประเทศไทยและนานาประเทศ โดยทอ่ี งค์การสหประชาชาติได้สนบั สนนุ ใหป้ ระเทศตา่ งๆที่ เปน็ สมาชกิ 166 ประเทศยึดเปน็ แนวทางสกู่ ารพฒั นาประเทศแบบย่งั ยนื ประกำรท่ีสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง 1. พอมีพอกนิ ปลกู พืชสวนครัวไว้กนิ เองบา้ ง ปลกู ไม้ผลไวห้ ลงั บา้ น 2-3 ตน้ พอทจี่ ะมีไว้กินเองในครัวเรอื น เหลือจึงขายไป 2. พออยู่พอใช้ ทาให้บา้ นนา่ อยู่ ปราศจากสารเคมี กล่ินเหม็น ใช้แต่ของท่เี ป็นธรรมชาติ (ใชจ้ ลุ ินทรยี ์ผสมนา้ ถพู น้ื บา้ น จะสะอาดกวา่ ใชน้ า้ ยาเคม)ี รายจา่ ยลดลง สุขภาพจะดีข้นึ (ประหยัดค่ารกั ษาพยาบาล) 3. เราต้องรจู้ กั พอ รจู้ กั ประมาณตน ไมใ่ คร่อยากใครม่ ีเช่นผ้อู ่ืน เพราะเราจะหลงตดิ กับวตั ถุ ปญั ญาจะไม่เกดิ \"การจะเป็นเสอื น้ันมันไม่สาคัญ สาคัญอยู่ทีเ่ ราพออยู่พอกิน และมเี ศรษฐกจิ การเปน็ อยูแ่ บบพอมีพอกนิ แบบ พอมพี อกิน หมายความวา่ อุ้มชตู ัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง\" เศรษฐกจิ พอเพียง จะสาเรจ็ ได้ดว้ ย ควำมพอดขี อง ตน หลกั กำรและแนวทำงสำคัญของเศรษฐกจิ พอเพียง 1. เปน็ ระบบการผลติ แบบเศรษฐกจิ พอเพยี งท่ีเกษตรกรสามารถเลยี้ งตวั เองไดใ้ นระดบั ท่ีประหยดั ก่อน ทงั้ น้ี ชมุ ชนตอ้ งมคี วามสามคั คี ร่วมมือรว่ มใจในการชว่ ยเหลอื ซึ่งกันและกันทานองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบด้ังเดิมเพ่ือ ลดคา่ ใชจ้ ่ายในการจา้ งแรงงานด้วย 2. เน่ืองจากข้าวเป็นปจั จัยหลักท่ีทุกครวั เรือนจะต้องบริโภค ดงั นัน้ จงึ ประมาณวา่ ครอบครวั หน่ึงทานา ประมาณ 5 ไร่ จะทาใหม้ ีขา้ วพอกนิ ตลอดปี โดยไม่ต้องซ้ือหาในราคาแพง เพ่อื ยึดหลกั พึ่งตนเองไดอ้ ย่างมีอสิ รภาพ 3. ตอ้ งมีนา้ เพอ่ื การเพาะปลูกสารองไวใ้ ชใ้ นฤดูแล้ง หรอื ระยะฝนทง้ิ ชว่ งได้อยา่ งพอเพียง ดงั น้ัน จึงจาเปน็ ต้อง กนั ทดี่ ินส่วนหน่ึงไวข้ ุดสระนา้ โดยมีหลกั วา่ ต้องมีน้าเพยี งพอท่จี ะเพาะปลกู ได้ตลอดปี ท้งั น้ี ไดพ้ ระราชทาน พระราชดารเิ ปน็ แนวทางว่า ต้องมีน้า 1,000 ลกู บาศกเ์ มตร ต่อการเพาะปลกู 1 ไร่ โดยประมาณ ฉะนน้ั เมื่อทานา 5 ไร่ ทาพืชไร่ หรือไมผ้ ลอีก 5 ไร่ (รวมเปน็ 10 ไร)่ จะต้องมนี ้า 10,000 ลกู บาศกเ์ มตรต่อปี ดังนนั้ หากตงั้ สมมตฐิ านวา่ มพี ้นื ท่ี 5 ไร่ กจ็ ะสามารถกาหนดสตู รครา่ วๆ ว่า แตล่ ะแปลง ประกอบด้วย กศน.ตาบลบ้านเซดิ สังกัด กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจดั กจิ กรรม 10 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ วี ติ อยา่ งไรให้พอเพียง” - นาข้าว 5 ไร่ - พืชไร่ พืชสวน 5 ไร่ - สระนา้ 3 ไร่ ขดุ ลกึ 4 เมตร จุนา้ ได้ประมาณ 19,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเปน็ ปรมิ าณนา้ ท่เี พียง พอทีจ่ ะสารองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง - ทอ่ี ยูอ่ าศยั และอนื่ ๆ 2 ไร่ รวมทัง้ หมด 15 ไร่ แตท่ ้งั น้ี ขนาดของสระเก็บน้าข้นึ อยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดลอ้ ม ดงั น้ี - ถ้าเปน็ พื้นที่ทาการเกษตรอาศัยนา้ ฝน สระนา้ ควรมลี ักษณะลึก เพื่อปอ้ งกันไมใ่ หน้ ้าระเหย ไดม้ ากเกินไป ซ่งึ จะทาให้มนี ้าใชต้ ลอดท้งั ปี - ถา้ เปน็ พนื้ ท่ที าการเกษตรในเขตชลประทาน สระนา้ อาจมลี ักษณะลึก หรือต้นื และแคบ หรอื กวา้ งก็ได้ โดยพจิ ารณาตามความเหมาะสม เพราะสามารถมีนา้ มาเติมอยูเ่ รื่อยๆ การมสี ระเกบ็ น้าก็เพ่ือใหเ้ กษตรกรมนี า้ ใช้อย่างสมา่ เสมอท้ังปี (ทรงเรยี กว่า Regulator หมายถึงการควบคุม ใหด้ ี มรี ะบบนา้ หมุนเวียนใช้เพือ่ การเกษตรได้โดยตลอดเวลาอยา่ งต่อเนือ่ ง) โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในหน้าแล้งและระยะ ฝนทงิ้ ชว่ ง แตม่ ไิ ดห้ มายความวา่ เกษตรกรจะสามารถปลูกขา้ วนาปรังได้ เพราะหากน้าในสระเกบ็ นา้ ไม่พอ ในกรณีมี เข่ือนอยบู่ ริเวณใกลเ้ คยี งก็อาจจะตอ้ งสูบนา้ มาจากเขื่อน ซึ่งจะทาให้น้าในเข่ือนหมดได้ แตเ่ กษตรกรควรทานาในหน้า ฝน และเม่อื ถงึ ฤดูแลง้ หรอื ฝนท้งิ ชว่ งใหเ้ กษตรกรใช้นา้ ทีเ่ ก็บตนุ นนั้ ให้เกดิ ประโยชน์ทางการเกษตรอยา่ งสูงสุด โดย พิจารณาปลกู พชื ให้เหมาะสมกบั ฤดูกาล เพ่ือจะได้มีผลผลิตอ่นื ๆ ไวบ้ รโิ ภคและสามารถนาไปขายไดต้ ลอดทัง้ ปี 4. การจัดแบ่งแปลงทด่ี ินเพื่อให้เกิดประโยชน์สงู สุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงคานวณและคานึง จากอตั ราการถือครองท่ีดินถวั เฉลย่ี ครัวเรอื นละ 15 ไร่ อยา่ งไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพืน้ ทถ่ี ือครองน้อยกว่าน้ี หรอื มากกวา่ น้ี กส็ ามารถใชอ้ ตั ราสว่ น 30:30:30:10 เป็นเกณฑ์ปรับใชไ้ ด้ กลา่ วคือ รอ้ ยละ 30 ส่วนแรก ขุดสระน้า (สามารถเล้ยี งปลา ปลูกพชื น้า เช่น ผักบุ้ง ผกั กะเฉด ฯลฯ ได้ด้วย) บนสระ อาจสร้างเลา้ ไก่และบนขอบสระน้าอาจปลูกไม้ยนื ตน้ ท่ีไม่ใช้นา้ มากโดยรอบได้ รอ้ ยละ 30 ส่วนท่ีสอง ทานา รอ้ ยละ 30 ส่วนทส่ี าม ปลกู พืชไร่ พชื สวน (ไม้ผล ไม้ยืนตน้ ไม้ใช้สอย ไม้เพือ่ เปน็ เช้ือฟืน ไม้สร้างบา้ น พืชไร่ พชื ผกั สมนุ ไพร เปน็ ตน้ ) ร้อยละ 10 สดุ ท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอ่นื ๆ (ทางเดนิ คนั ดิน กองฟาง ลานตาก กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรง เพาะเห็ด คอกสตั ว์ ไม้ดอกไม้ประดบั พชื สวนครัวหลังบ้าน เปน็ ตน้ ) อยา่ งไรกต็ าม อัตราสว่ นดังกล่าวเป็นสูตร หรอื หลักการโดยประมาณเทา่ นนั้ สามารถปรับปรุงเปลีย่ นแปลงได้ ตามความเหมาะสม โดยขนึ้ อยกู่ บั สภาพของพ้ืนท่ีดนิ ปริมาณน้าฝน และสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณภี าคใต้ท่มี ฝี นตก ชกุ หรือพ้ืนท่ีทมี่ แี หล่งน้ามาเตมิ สระได้ตอ่ เนื่อง ก็อาจลดขนาดของบอ่ หรือสระเกบ็ น้าใหเ้ ลก็ ลง เพือ่ เกบ็ พ้ืนทีไ่ ว้ใช้ ประโยชนอ์ ่นื ต่อไปได้ 5 การดาเนนิ การตามทฤษฎีใหม่ มีปัจจยั ประกอบหลายประการ ขนึ้ อยู่กบั สภาพภูมปิ ระเทศ สภาพแวดลอ้ ม ของแตล่ ะท้องถน่ิ ดังน้นั เกษตรกรควรขอรบั คาแนะนาจากเจา้ หน้าท่ดี ว้ ย และทส่ี าคัญ คือ ราคาการลงทุนค่อนขา้ งสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขุดสระน้า เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลอื จากสว่ นราชการ มูลนิธิ และเอกชน กศน.ตาบลบ้านเซิด สังกดั กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 11 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” 6. ในระหวา่ งการขุดสระนา้ จะมดี ินท่ีถกู ขดุ ข้ึนมาจานวนมาก หน้าดินซงึ่ เปน็ ดินดี ควรนาไปกองไว้ต่างหาก เพื่อนามาใช้ประโยชน์ในการปลกู พืชตา่ งๆ ในภายหลัง โดยนามาเกล่ยี คลุมดนิ ชัน้ ล่างทเี่ ปน็ ดนิ ไมด่ ี หรืออาจนามาถม ทาขอบสระน้า หรือยกร่องสาหรับปลูกไม้ผลก็จะได้ประโยชน์อีกทางหนง่ึ ตวั อยำ่ งพชื ทค่ี วรปลูกและสัตว์ที่ควรเลยี้ ง ไม้ผลและผกั ยนื ต้น : มะม่วง มะพร้าว มะขาม ขนุน ละมดุ ส้ม กล้วย นอ้ ยหนา่ มะละกอ กะท้อน แคบา้ น มะรุม สะเดา ขเี้ หลก็ กระถนิ ฯลฯ ผักลม้ ลุกและดอกไม้ : มนั เทศ เผือก ถ่ัวฝกั ยาว มะเขือ มะลิ ดาวเรอื ง บานไมร่ ู้โรย กุหลาบ รัก และซ่อนกล่ิน เป็นตน้ เหด็ : เห็ดนางฟา้ เห็ดฟาง เห็ดเปา๋ ฮื้อ เป็นต้น สมุนไพรและเครื่องเทศ : หมาก พลู พริกไท บุก บัวบก มะเกลือ ชมุ เหด็ หญา้ แฝก และพชื ผกั บางชนิด เช่น กะเพรา โหระพา สะระแหน่ แมงลัก และตะไคร้ เป็นตน้ ไมใ้ ชส้ อยและเชือ้ เพลงิ : ไผ่ มะพร้าว ตาล กระถนิ ณรงค์ มะขามเทศ สะแก ทองหลาง จามจรุ ี กระถิน สะเดา ข้เี หลก็ ประดู่ ชงิ ชนั และยางนา เปน็ ต้น พืชไร่ : ขา้ วโพด ถว่ั เหลอื ง ถั่วลสิ ง ถัว่ พมุ่ ถว่ั มะแฮะ อ้อย มันสาปะหลงั ละหุ่ง นนุ่ เปน็ ต้น พชื ไรห่ ลายชนดิ อาจเกบ็ เกี่ยวเมือ่ ผลผลติ ยงั สดอยู่ และจาหนา่ ยเปน็ พชื ประเภทผกั ได้ และมรี าคาดีกวา่ เก็บเมื่อแก่ ได้แก่ ขา้ วโพด ถัว เหลือง ถวั่ ลสิ ง ถ่ัวพุ่ม ถัว่ มะแฮะ อ้อย และมนั สาปะหลัง พชื บารงุ ดินและพืชคลมุ ดิน : ถั่วมะแฮะ ถว่ั ฮามาต้า โสนแอฟริกัน โสนพื้นเมือง ปอเทือง ถ่วั พรา้ ขเ้ี หล็ก กระถนิ รวมท้ังถ่วั เขียวและถั่วพุ่ม เป็นตน้ และเม่อื เก็บเกย่ี วแล้วไถกลบลงไปเพื่อบารุงดินได้ หมายเหตุ : พืชหลายชนดิ ใชท้ าประโยชนไ์ ดม้ ากกว่าหนง่ึ ชนิด และการเลือกปลกู พชื ควรเนน้ พืชยืนต้นดว้ ย เพราะการดแู ลรักษาในระยะหลงั จะลดน้อยลง มผี ลผลติ ทยอยออกตลอดปี ควรเลอื กพืชยืนตน้ ชนดิ ตา่ งๆ กัน ใหค้ วาม รม่ เยน็ และชมุ่ ชืน้ กับท่อี ยู่อาศัยและส่ิงแวดลอ้ ม และควรเลือกต้นไม้ให้สอดคล้องกับสภาพของพ้นื ท่ี เช่น ไม่ควรปลกู ยู คาลปิ ตัสบริเวณขอบสระ ควรเปน็ ไมผ้ ลแทน เปน็ ต้น สตั วเ์ ลี้ยงอ่ืนๆ ได้แก่ สัตว์นา้ : ปลาไน ปลานลิ ปลาตะเพยี นขาว ปลาดุก เพ่ือเปน็ อาหารเสริมประเภทโปรตนี และยงั สามารถนาไปจาหนา่ ยเป็นรายไดเ้ สริมได้อีกด้วย ในบางพ้นื ทส่ี ามารถเลีย้ งกบได้ สุกร หรือ ไก่ เล้ียงบนขอบสระน้า ทั้งนี้ มลู สุกรและไกส่ ามารถนามาเปน็ อาหารปลา บางแห่งอาจ เล้ียงเป็ดได้ กำรดำเนินชีวติ ตำมแนวทำงเศรษฐกจิ พอเพยี งภำคกำรเกษตร จากการเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สงั คม และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้ส่งผลกระทบตอ่ วถิ ชี ีวติ เกษตรกรไทยอยา่ งเลย่ี งไม่ได้ ทุกวันน้ีกิจกรรมการเกษตรจงึ ประสบปญั หา ต้นทนุ การผลิตสงู ตลาดไม่แน่นอน ผลผลิต ตกตา่ เสย่ี งตอ่ ภยั ธรรมชาติ ทาใหม้ รี ายได้ไมเ่ พยี งพอและเป็นหน้สี นิ จงึ มีความจาเป็นต้องปรับระบบการเกษตรของ ครอบครัวใหส้ อดคล้องกบั สภาวะการผลิตและการตลาด กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สงั กัด กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม 12 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชวี ติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” ในปัจจบุ ัน ตามความเหมาะสมของระบบนเิ วศเกษตร โดยใช้แนวทางเศรษฐกจิ พอเพียง จะทาให้ครวั เรือน เกษตรกรมคี วามมน่ั คงในอาชีพ และมีคณุ ภาพชีวิตทด่ี ีขึ้นอยา่ งยงั่ ยืนตลอดไป โดยยดึ หลักการประกอบอาชีพดงั นี้ 1. ลดรำยจ่ำย เพื่อเป็นการประหยดั ลดรายจา่ ยในครัวเรอื น และเป็นผลดีต่อสุขภาพโดยการปลกู ผกั สวน ครวั รั้วกินได้ เลย้ี งปลาอย่างง่าย สาหรบั บรโิ ภคในครัวเรือนทาใหล้ ดรายจ่ายในครอบครัวใช้เวลาวา่ งใหเ้ กิดประโยชน์ สมาชิกในครอบครัวมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรม สร้างความรักความอบอุ่นในครอบครวั เปน็ เกราะปอ้ งกนั โรคภัยใหก้ บั สถาบนั ครอบครัว 2. เพ่มิ รำยได้ เพ่ือเพ่มิ ภมู ิคุ้มกนั ในชีวติ โดยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในครัวเรอื น ใหเ้ กิดประโยชน์สงู สุดในการ สร้างรายได้ เชน่ การถนอมและแปรรปู อาหาร การหัตถกรรม รวมไปถึงการปลกู พืช เลย้ี งสตั ว์อยา่ งง่าย ใช้ทุนต่าหรือ วัตถุดบิ ท่ีมีอย่แู ล้ว จาหน่ายใหก้ ับชมุ ชนใกล้บ้าน 3. ขยำยโอกำส เกิดจากการพฒั นาศักยภาพของตนเอง ครอบครวั และชมุ ชน โดยการร่วมมอื สร้างอาชีพได้ อย่างเหมาะสมกบั ทรัพยากรทม่ี อี ยู่อย่างคมุ้ ค่า บตุ รหลานได้รบั การศึกษาสูงข้ึนตามอตั ภาพชุมชนมีความเข้มแขง็ สามารถรวมกลุ่มกนั เพ่ือหาตลาด แหลง่ เงนิ ทนุ และเครอื ข่ายมาใชใ้ นการประกอบอาชพี อยา่ งย่ังยืน 4. เศรษฐกิจพอเพยี งด้ำนกำรเกษตร เกษตรกรสามารถดาเนินชวี ิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงได้ ดว้ ย การทาการเกษตรทีผ่ ลติ เพ่ือการบริโภคในครอบครวั ก่อน ถ้ามีเหลอื จงึ จาหนา่ ยเปน็ รายได้ เชน่ การเกษตรผสมผสาน วนเกษตร หรอื เกษตรทฤษฎีใหม่ ที่มีการแบง่ พ้ืนที่ออกเป็นสว่ นๆมีพน้ื ทนี่ าขา้ ว พชื ไร่ ไม้ผล สระนา้ คอกสัตว์ และ บรเิ วณบา้ น เพอ่ื ใหม้ ีกิจกรรมการผลิตทหี่ ลากหลายท่ีเกื้อหนุนและผสมผสานกนั ดว้ ยความเหมาะสม มผี ลผลิตออกทุก ฤดกู าล มีรายไดป้ ระจาวัน รายสปั ดาห์ รายเดอื น และรายปี เกษตรแบบผสมผสำน (Integrated Farming) การเกษตรแบบผสมผสาน เป็นระบบเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมทีม่ กี ารผสม กลมกลืน และเก้อื กลู ซง่ึ กนั และกัน ตามธรรมชาติ มีตวั อย่างให้เห็นในหลายประเทศท่วั โลก เช่น ใน ประเทศจีน มีการเลีย้ งสกุ รผสมผสานกับการเลย้ี ง สตั ว์นา้ และในประเทศญ่ปี นุ่ มีการเลย้ี งปลาในนา ข้าว เป็นตน้ สาหรบั ประเทศไทยในอดีต ไมม่ รี ะบบการเกษตรแบบ ผสมผสานที่ชัดเจนนกั ระบบการเกษตรดั้งเดมิ ของไทยนา่ จะใกล้เคียงกบั ระบบท่ีเรยี กวา่ “ไร่นาสวนผสม” เนื่องจาก เป็น ระบบการเกษตรทม่ี เี ป้าหมายเพ่ือการยังชีพ หรอื เพอื่ ลดความเส่ียงจากราคาผลผลติ ท่ไี ม่แนน่ อน เป็นหลกั มีการ ปลูกพชื และเลย้ี งสตั ว์หลายๆ อยา่ งรวมอยู่ในพน้ื ทเี่ ดยี วกันสาหรับใช้บริโภคใน ครอบครวั แตม่ ิได้การให้กจิ กรรมการ ผลิตผสมผสานเกือ้ กลู กนั เพื่อลดต้นทนุ การผลติ และใช้ ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรย่างสงู สดุ เหมือนการเกษตรแบบ ผสมผสาน ไร่นาสวนผสมอาจมกี ลไกการ เก้ือกูลกนั จากกิจกรรมการผลติ ไดบ้ ้างแต่กเ็ พียงเลก็ นอ้ ย และเปน็ กลไกทีเ่ กดิ เอง เกษตรผสมผสำน เปน็ ระบบเกษตรที่มกี ารปลูกพืชและมีการเลยี้ งสัตว์หลากหลายชนิดในพื้นท่เี ดยี วกนั โดยมกี จิ กรรมแตล่ ะ ชนิดเกอื้ กูลประโยชน์ตอ่ กนั ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ มีการใช้ทรัพยากรทม่ี ีอยู่ในไรน่ าได้อย่างเหมาะสม เกิดประโยชน์ สงู สุด มคี วามสมดลุ ต่อสิ่งแวดลอ้ มอย่างตอ่ เน่ือง และเกิดการเพ่มิ พูนความอุดมสมบรู ณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ การ กศน.ตาบลบ้านเซดิ สังกดั กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจดั กิจกรรม 13 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไรให้พอเพยี ง” เก้ือกูลกนั ระหวา่ งพืชและสัตว์ เศรษฐกจิ และผลพลอยได้จากการปลกู พืชจะเปน็ ประโยชน์ตอ่ กิจกรรมการเล้ียงสัตว์ และผลที่ได้จากการเล้ยี งสตั ว์จะเปน็ ประโยชน์ต่อพืช โดยเน้ือหำสำระของเกษตรแบบผสมผสำน มี 4 ประการคือ 1. ประกอบด้วยกจิ กรรมการผลติ ตั้งแต่ 2 ชนดิ ขึ้นไป อาจเปน็ การผสมผสาน ระหวา่ งพชื กับพชื สตั ว์กบั สตั ว์ หรือสัตวก์ ับพืช 2. กิจกรรมการผลิตแตล่ ะชนิดจะตอ้ งเกื้อกลู กันเป็นวงจร โดยพิจารณาจาก การหมุนเวียนการใชป้ ระโยชน์ เก่ยี วกบั อาหาร อากาศและพลงั งาน 3. ก่อให้เกิดประโยชนส์ งู สดุ ทั้งต่อมนุษยแ์ ละส่งิ แวดล้อม 4. ใช้แรงงานคนเป็นหลกั โดยเปน็ แรงงานท่ีมอี ยภู่ ายในครอบครัว ครอบครวั เกษตรกรต้องมคี วามใจเย็นและ เข้าใจ มคี วามอดทนมุมานะในการทากจิ กรรมอย่าง ต่อเน่ืองตลอดท้ังปี ซง่ึ ต่างจากท่เี คยทาในการปลูกพชื เชงิ เดี่ยวที่ ทาเสรจ็ แล้วก็เสรจ็ เลย แตก่ ารทา เกษตรแบบผสมผสานต้องให้เวลาทากจิ กรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ประเภทของระบบเกษตรแบบผสมผสำน มดี งั นี้ 1. แบบดงั้ เดมิ เปน็ ประเภทที่มกี ารผลติ เพื่อกินเพ่ือใชเ้ ป็นหลักในครวั เรอื นหรือชุมชน เช่น การปลกู พชื เลี้ยง สัตว์ เล้ียงปลา เพียงเพอ่ื ประโยชน์สาหรับใชห้ รอื บรโิ ภคใน ครัวเรอื นเท่าน้นั 2. แบบกึ่งการค้า เป็นประเภททีเ่ กษตรกรผลติ สินคา้ การเกษตรชนิดเดียวซงึ่ อาจจะเป็นขา้ วหรือพชื ไร่กต็ าม โดยผลติ เพ่ือเป็นอาหารและเปน็ รายได้หลัก แตเ่ น่ืองจากการผลติ มี ความเสย่ี งในด้านความแปรปรวนของ สภาพแวดลอ้ มเกดิ การระบาดของศัตรูพืช ความไมแ่ น่นอน ของราคาผลผลิต จึงหันมาดาเนินการผลิตในระบบเกษตร แบบผสมผสานซงึ่ เป็นวธิ ีหน่งึ ท่ีสามารถลด ความเส่ยี งได้ 3. แบบเชิงการค้า เปน็ ประเภททีเ่ หมาะสมกับเกษตรกรก้าวหนา้ ซงึ่ มี ประสบการณแ์ ละความสามารถในการ ผลติ เป็นแบบการค้า เช่น สามารถผลิตพืชและมีตลาดรองรบั ที่แน่นอน ควำมสำคัญของกำรทำเกษตรแบบผสมผสำน 1. เกษตรกรพ่ึงพาตนเองได้โดยไม่จาเป็นต้องกู้ยืมเงนิ มาลงทนุ เมอ่ื สภาวะ ราคาพชื ผลผนั แปรเกดิ หนส้ี นิ เกษตรกรสามารถนาเอาปัจจัยการผลิตท่มี ีอยู่ในท้องถิน่ มาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ โดยไม่เสียเงนิ ทองซ้ือมา เม่ือลด รายจ่าย เพ่มิ รายได้ เกษตรกรก็สามารถอยู่ได้ ยืนอยู่บนขาของตัวเองโดยมีปจั จยั พืน้ ฐานสาหรบั ดารงชพี ทีผ่ ลติ ได้เอง ก็สามารถมคี วามสุขได้อย่าง ยัง่ ยนื 2. เพื่อเพมิ่ ผลผลติ ตอ่ พน้ื ทโ่ี ดยมีการจัดการเรือ่ งทนุ ทด่ี นิ และแรงงานอยา่ ง มปี ระสิทธิภาพ กอ่ ให้เกดิ ผลผลิตต่อหน่วยการผลิตสูง เช่น การเล้ยี งปลาในนาขา้ ว ทาใหไ้ ดท้ ้ังพืช ผลผลิตข้าวและปลา ในพนื้ ที่เดียวกนั 3. สรา้ งเสถียรภาพและความยั่งยืน ท้ังทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมให้ เกิดขน้ึ ในไร่นาและครอบครวั การเกษตร 4. เกษตรแบบผสมผสานลดความเสีย่ งในการผลติ ในด้านการผลติ ท่อี าจ เสยี หาย หรอื ความไม่แน่นอนและ กศน.ตาบลบา้ นเซิด สงั กดั กศน.อาเภอพนัสนิคม
สรปุ ผลการจดั กิจกรรม 14 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” เสยี เปรยี บเรือ่ งราคา ตลอดจนไม่แน่นอนของดินฟา้ อากาศ 5. ปรับปรงุ สภาพแวดลอ้ มท่ีเส่อื มโทรมให้กลับคืนส่สู ภาพท่ีอดุ มสมบรู ณ์ได้ เพราะการปลูกไม้ยืนตน้ ไมว่ ่าจะ เปน็ ไม้ผลหรอื ไม้ใชส้ อยในระบบเกษตรแบบผสมผสานจะช่วยใหเ้ กดิ ความร่มเยน็ มลู สัตวจ์ ะเป็นปยุ๋ แก่พืช เศษพืชเป็น อาหารสตั ว์และทาปุ๋ยอินทรยี ์ 6. เกษตรกรมีงานทาตลอดปี จะชว่ ยแก้ปัญหาการอพยพแรงงานจากชนบท เข้าสเู่ มือง ตัดปญั หาการขาย แรงงาน การกอ่ อาชญากรรม การคา้ มนุษย์ เป็นตน้ 7. ลดการใช้พลงั งานในการเกษตรลง เพราะปัจจัยการใช้พลังงานสามารถ จัดหาได้จากผลพลอยไดจ้ าก ผลผลิตในไรน่ า เชน่ กา๊ ซชีวภาพ ปยุ๋ อนิ ทรยี ์ ป๋ยุ หมกั และไมใ้ ชส้ อยที่ เกิดจากไม้โตเร็วตา่ ง ๆ แรงงานจากสตั วเ์ ลย้ี ง เช่น วัว ควาย 8. รักษาสภาพทางนิเวศวิทยา การทาเกษตรแบบผสมผสานเปน็ การเพ่ิมพูน ความอุดมสมบรู ณใ์ ห้กับคน รกั ษาความสมดุลใหก้ ับสภาพแวดล้อมซึง่ ความสมดุลจะเกดิ ขึน้ เอง ตามธรรมชาติ เช่น กา๊ ซไนโตรเจนในธรรมชาตจิ ะ ถูกเปลี่ยนเป็นอนิ ทรยี ว์ ตั ถุโดยจุลินทรยี ท์ ่อี าศัยอยู่ ในรากพืชตระกูลถั่วและสาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงนิ จนทาให้ ไนโตรเจนทอี่ ยูใ่ นรูปทพ่ี ืชจะสามารถ นาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ สว่ นธาตุอาหารอน่ื ๆ พชื สามารถสะสมพลงั งานแสงแดดใน รูปของเน้ือไม้ อาหารและโปรตนี เศษซากพืชทร่ี ่วงหลน่ บนพ้ืนดินจะเน่ากลายเป็นอาหารพชื หลักกำรของเกษตรผสมผสำน 1. ต้องมีกิจกรรมการเกษตรต้ังแต่ 2 กิจกรรมขึน้ ไป โดยการทาการเกษตรทั้งสองกจิ กรรมนนั้ ต้องทาในพนื้ ท่ี และระยะเวลาเดยี วกันหรือพื้นทเ่ี ดียวกันแต่เหล่ือมเวลากัน ซง่ึ กจิ กรรมเหลา่ นัน้ จะประกอบไปดว้ ยการปลกู พืชและ การเล้ยี งสัตว์ และสามารถผสมผสานระหว่างการปลกู พืชต่างชนิดหรอื การเลย้ี งสตั วต์ ่างชนดิ ก็ได้ 2. การเกือ้ กลู ประโยชน์ระหว่างกิจกรรมเกษตรตา่ งๆ และการใช้ประโยชน์จากทรพั ยากรในระบบเกษตรแบบ ผสมผสานนัน้ เกิดข้นึ ทั้งจากการใช้แรธ่ าตอุ าหารรวมทั้งอากาศและพลงั งาน เช่นการหมุนเวียนใช้ประโยชน์จากมลู สตั ว์ใหเ้ ปน็ ประโยชนก์ ับพืช และให้เศษพชื เป็นอาหารสัตว์ โดยมีกระบวนการใช้ประโยชน์ทงั้ โดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น ผ่านการหมักของจลุ นิ ทรีย์เสียก่อน ลกั ษณะกำรผสมผสำนในระบบกำรเกษตร แบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 กลุ่มใหญ่ ตามลักษณะกจิ กรรม คอื 1. การปลูกพชื แบบผสมผสาน เป็นการอาศยั หลกั การความสัมพนั ธ์ระหวา่ งพืช ส่ิงมีชวี ติ และจลุ นิ ทรยี ์ต่างๆ ท่ี เกิดขึ้นในระบบนเิ วศตามธรรมชาติ มาจัดการและปรบั ใช้ในระบบการเกษตร เชน่ การปลูกมะคาเดเมยี แซมปา่ การ ปลูกหวายแซมปา่ การปลูกพรกิ ไทยในสวนปา่ 2. การผสมผสานการเลีย้ งสตั ว์ เป็นการใช้หลักความสัมพันธร์ ะหวา่ งสัตว์กบั สัตว์ เช่นเดยี วกับการผสมผสาน กันระหว่างพืช เนอ่ื งจากสัตว์แตล่ ะชนิดสามารถจะมีความเก่ียวข้องและสัมพันธ์กันระบบนเิ วศได้ เช่น การเลยี้ งหมู ควบคู่กับการเล้ยี งปลา การเล้ียงเปด็ หรือไกร่ ่วมกับปลา การเลย้ี งปลาแบบผสมผสาน 3. การปลกู พืชผสมผสานกบั การเลี้ยงสตั ว์ เป็นรูปแบบการเกษตรที่สอดคล้องกบั สมดุลของแรธ่ าตุ พลงั งาน และมกี ารเก้ือกูลประโยชนร์ ะหวา่ งกิจกรรมการผลิตต่างๆ และใกล้เคียงกับระบบนิเวศตามธรรมชาตมิ ากย่งิ ขึน้ กศน.ตาบลบา้ นเซิด สงั กัด กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 15 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไรให้พอเพียง” ตวั อยา่ งเชน่ การเลีย้ งปลาในนาข้าว การเล้ยี งเปด็ ในนาขา้ ว การเล้ยี งหมแู ละปลกู ผัก การเล้ียงสัตวป์ ลูกพชื ไร่และ พืชผัก รูปแบบของระบบเกษตรผสมผสำน ระบบเกษตรผสมผสานน้นั ถงึ แม้วา่ เกษตรกรจะมกี ารดาเนินการกนั มาชา้ นานแล้วก็ตามแต่ลักษณะของการ ดาเนินการ ยงั มีความแตกต่างกนั ไป แลว้ แตก่ ารจะนาองค์ประกอบตา่ ง ๆ มาผสมผสานกันมากน้อยแค่ไหน และ ผสมผสานในรปู รูปแบบใดก็ตามยังมีความหมายหลากหลาย การศกึ ษารายละเอยี ดเชิงวชิ าการในด้านนกี้ ็ยังมีไม่มาก เม่ือเปรยี บเทียบ กบั การศึกษาในดา้ นกิจกรรมเดยี่ ว ๆ ไมว่ ่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือปลากต็ าม ฉะนน้ั การกาหนดรปู แบบ ดาเนนิ การเกษตร ผสมผสานกจ็ ะมหี ลายแบบเชน่ กนั ท้ังนี้อาจจะยดึ การแบง่ ตามวิธกี ารดาเนินการลกั ษณะพื้นท่ี กิจกรรมท่ีดาเนนิ ทรัพยากร เป็นต้น ซึง่ พอทจ่ี ะกลา่ วได้ดังน้ี 1. แบง่ ตามกิจกรรมที่ดาเนนิ การอยเู่ ปน็ หลัก 1.1 ระบบเกษตรผสมผสานท่ียดึ กจิ กรรมพชื เป็นหลกั ซ่ึงกจิ กรรมทด่ี าเนนิ การนีจ้ ะมีพชื เป็นรายได้หลกั 1.2 ระบบเกษตรผสมผสานท่ียดึ กิจกรรมเลีย้ งสัตว์เปน็ หลกั ซึง่ การดาเนินการเล้ยี งสัตวจ์ ะเปน็ รายไดห้ ลัก 1.3 ระบบเกษตรผสมผสานที่ยดึ กจิ กรรมประมงเป็นหลัก ซ่ึงจะมีกิจกรรมเล้ียงสัตวน์ ้าเป็นรายได้หลกั 1.4 ระบบเกษตรผสมผสานแบบไร่นาปา่ ผสมหรือวนเกษตรเป็นระบบทมี่ ีการจดั การปา่ ไมเ้ ป็นหลักรว่ มกบั การเกษตร ทุกแขนง อาจประกอบดว้ ยการปลกู พืชเกษตรในสวนปา่ การปลูกพืชเกษตรร่วมกับการเลีย้ งสัตว์ในสวนป่า ระบบน้ีมุ่ง หวังที่จะให้เปน็ ตวั กลางเพ่ือผ่อนคลายความต้องการท่ดี ินเพอ่ื การเกษตรกรรมกับความต้องการป่าไม้ เพื่อ ควบคุมสิ่ง แวดล้อมใหส้ ามารถดาเนนิ ควบคู่กนั ไปโดยคานงึ ถึงสภาพทางสงั คมเศรษฐกจิ และวัฒนธรรมประเพณี รวมท้ังชว่ ย พัฒนาความเป็นอย่ขู องราษฎรท่ีเกี่ยวข้อง ระบบวนเกษตรทีด่ ีควรสามารถเพิม่ การซมึ ซบั น้า รักษาน้าใต้ ดนิ ลดการสญู เสียดิน ลกั ษณะพนั ธุ์พืชท่ีใช้ควรเปน็ ทรงพุ่มเพ่ือลดความรนุ แรงของเม็ดฝนที่ตกกระทบผิวดนิ สามารถ รกั ษาสภาพดุลย์ ของสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมกับพชื ทป่ี ลกู ร่วม เชน่ บงั ร่มเงา พายุ ฝน อีกท้ังควบคุมสภาพความ ชุ่มชื้นและอณุ หภูมิ ใหด้ ี พันธ์ุไม้ทป่ี ลูกควรมีรากลึกพอท่สี ามารถหมุนเวียนธาตอุ าหารในระดับทลี่ ึกข้นึ มาสบู่ รเิ วณผวิ ดิน เปน็ ประโยชน์ตอ่ พืชรากต้ืนที่ปลกู รว่ ม โดยรวมทงั้ ระบบควรใหผ้ ลตอบแทนแก่เกษตรกรหลายด้าน เชน่ ผลผลิต ในรปู อาหาร ยารกั ษา โรค ไม้ฟืน ไมส้ ร้างบ้านและรายได้ สิ่งสาคญั ท่สี ุดควรเป็นระบบท่ีอนรุ ักษด์ ินและน้าได้ดีปลูกได้ หลายสภาพแวดลอ้ ม และง่ายตอ่ การปฏบิ ัติในสภาพของเกษตรกรวนเกษตรที่พอประยกุ ต์ใชใ้ นประเทศไทยมีอยู่ 3 ระบบใหญ่ คือ ระบบป่า ไม้-ไรน่ า, ระบบป่าไม-้ เล้ยี งสัตว์ และระบบเล้ียงสตั ว์-ป่าไม-้ ไรน่ า ซ่ึงวิธกี ารนาแต่ละระบบไป ประยกุ ต์ใช้ย่อมข้นึ อยู่กับ สภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ ของพน้ื ท่เี ปน็ เกณฑ์ 2. แบ่งตามวธิ กี ารดาเนนิ การ 2.1 ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีการใช้สารเคมี ในระบบการผลติ จะมีการใช้สารเคมใี นกจิ กรรมตา่ ง ๆ เพ่อื จดุ ประสงค์ ให้ได้ผลผลิตและรายไดส้ งู สดุ 2.2 ระบบการเกษตรอินทรีย์หลีกเลย่ี งการใช้สารเคมีทกุ ชนดิ เชน่ ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพชื ฮอรโ์ มน สารเคมี ในอาหาร สัตว์ คานึงถึงการสงวนรกั ษาอินทรียว์ ตั ถใุ นดินด้วยการปลูกพชื หมนุ เวยี นการปลกู พชื คลมุ ดิน ใชป้ ุ๋ยคอกปุ๋ย กศน.ตาบลบ้านเซดิ สังกดั กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจดั กจิ กรรม 16 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ ีวิตอยา่ งไรให้พอเพียง” หมกั ใช้ เศษอินทรียว์ ตั ถุจากไร่นา มงุ่ สรา้ งความแข็งแกร่งให้แกพ่ ืชดว้ ยการบารุงดินให้อุดมสมบูรณ์ ผลผลิตทีไ่ ด้ก็จะ อยูใ่ นรปู ปลอดสารพิษ 2.3 ระบบการเกษตรธรรมชาติ เปน็ ระบบการเกษตรท่ใี ช้หลกั การจัดระบบการปลูกพชื และเลย้ี งสัตว์ที่ ประสานความ รว่ มมือกับธรรมชาตอิ ย่างสอดคล้องและเก้ือกลู ซง่ึ กนั และกนั งดเวน้ กจิ กรรมท่ีไม่จาเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้แก่ ไม่มีการ พรวนดิน ไม่ใชป้ ุ๋ยเคมี ไม่กาจัดวัชพืช ไมใ่ ช้สารเคมีกาจัดศัตรพู ชื ท้งั น้จี ะมีการปลกู พืชตระกลู ถว่ั คลุม ดนิ ใชว้ สั ดเุ ศษ พืชคลมุ ดนิ อาศัยการควบคุมโรคแมลงศตั รูดว้ ยกลไกการควบคุมกนั เองของสง่ิ มชี ีวติ ตามธรรมชาติ การปลูกพืชใน ในสภาพแวดล้อมที่มคี วามสมดลุ ทางนิเวศวิทยา 3. แบง่ ตามประเภทของพืชสาคญั เปน็ หลกั 3.1 ระบบเกษตรผสมผสานที่มีขา้ วเปน็ พชื หลัก พืน้ ที่ส่วนใหญจ่ ะเปน็ ทนี่ าทาการปลูกขา้ วนาปีเปน็ พืช หลกั การผสม ผสานกจิ กรรมเข้าไปใหเ้ กื้อกลู อาจทาได้ท้ังในรูปแบบของพชื -พชื เช่นการปลูกพชื ตระกูลถ่ัว พืชผกั พืช เศรษฐกจิ อืน่ ๆ กอ่ นหรือหลังฤดูกาลทานา อีกระบบหนึง่ ที่นับไดว้ ่ามีความสาคัญเชน่ กัน แต่ยงั ไม่ไดม้ ีการกล่าวถึงมาก นักในแง่ของการ เกษตรผสมผสาน แต่จะมคี วามสัมพันธ์กับวิถชี ีวิตของเกษตรกรในชว่ งเวลาทผี่ า่ นมาอยู่ค่อนข้างมาก และมใี หเ้ หน็ อย่ทู ่วั ๆ ไปในพื้นทน่ี าดอนอาศัยน้าฝนในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ได้แก่ ระบบต้นไม้ในนาข้าว ตน้ ไม้ เหล่านม้ี ที ้ังเป็นป่าด้ัง เดิม และเป็นป่าไมท้ ช่ี าวบา้ นปลกู ข้นึ ใหมห่ รือเกิดจากการแพร่พันธ์ุตามธรรมชาติ ภายหลังตน้ ไม้ เหล่านจี้ ะอยูท่ ั้งในนา บนคนั นา ท่สี ูง เช่น จอมปลวก หรือบริเวณเถยี งนา เปน็ ตน้ ท่ีพบเห็นโดยท่ัว ๆ ไป ได้แก่ ยางนา ตะเคยี นทอง กะบาก สะแบง ไมร้ งั จามจุรี มะขาม มะม่วง เป็นตน้ นับได้วา่ เป็น ทรัพยากรเอนกประสงค์ใชเ้ ป็นอาหารและยาแก่มนุษย์ อาหารสตั ว์ เชอ้ื เพลงิ ไม้ก่อสรา้ ง ไม้ใชส้ อยขนาดเลก็ ผลิตภัณฑ์จากต้นไม้นาไปใชป้ ระโยชน์ เช่น นา้ ยาง ทาคบไต้ ครง่ั เคร่อื งจุดไฟ ให้รม่ เงา นอกจากนีย้ งั ชว่ ยรักษาคนั นา ใหค้ งรูป สามรถเกบ็ กักน้า ท้ังน้เี นือ่ งดว้ ยดนิ โดยทัว่ ไปมีเนอ้ื ดนิ เปน็ ทราย มโี ครงสร้างอ่อนแอ ไมส่ ามารถสรา้ งคันนา ให้ทนทาน เว้นเสยี แต่จะมีสง่ิ มาเสรมิ หรอื ยึดไว้ ต้นไมย้ งั ใช้เป็นหลกั ทีเ่ ก็บฟางข้าวมาสมุ ไว้ สาหรบั เอาไว้เลย้ี งสตั วใ์ น ฤดแู ล้ง ระบบพชื ในนาข้าวที่นบั วา่ เปน็ คูส่ มพงและมีความย่งั ยืนมา ชา้ นาน ไดแ้ กก่ ารปลกู ตาลร่วมกบั ระบบการปลูก ข้าว ท่พี บเหน็ กันในพ้ืนทบ่ี างส่วนของภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่างและ ภาคใต้ เปน็ ต้น เปน็ ลกั ษณะการปลูกตน้ ตาล บนคันนาเปน็ ส่วนใหญ่ และมีบางสว่ นทต่ี น้ ตาลขนึ้ อยู่ในกระทงนา เกษตรกร ได้ท้ังผลผลิตข้าวและผลติ ภัณฑจ์ ากตาล ซึ่งอาจอยู่ในรปู ของน้าหวานน้ามาเคีย่ วเปน็ น้าตาล ผลตาลอ่อน ผลตาลแกน่ ามา ทาขนมต่าง ๆ ได้ ตน้ ตาลที่มอี ายุ มาก ผลผลิตลดลง สามารถแปรสภาพเน้อื ไม้มาใชใ้ นอตุ สาหกรรมก่อสรา้ งได้ด้วย เช่น ทาเฟอร์นิเจอรต์ ่าง ๆ อีก รูปแบบหนง่ึ ที่ปจั จบุ ันมีการดาเนนิ การกันมากขน้ึ ในพ้ืนทีภ่ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนือได้แก่ การนา ปลาเข้ามารว่ มระบบ ซ่ึงทาได้ทั้งในลักษณะการเลยี้ งปลาในนาขา้ ว การผสมผสาน พืช-สตั ว์-ปลา เชน่ การแปรเปล่ยี น พืน้ ทน่ี าบางส่วนเปน็ ร่องสวนปลูกไมผ้ ลเลี้ยงปลาในร่องสวน เลย้ี งสัตว์ปกี โค โดยใชเ้ ศษอาหารจากพืชตา่ ง ๆ ในฟาร์ม ให้เป็นอาหารสัตว์ ได้ดว้ ย 3.2 ระบบเกษตรผสมผสานที่มีพชื ไรเ่ ปน็ พืชหลกั การผสมผสานกิจกรรม พืช-พืช เชน่ ลกั ษณะการปลกู พชื ตระกูลถวั่ แซมในแถวพชื หลัก เชน่ ขา้ วโพด มนั สาปะหลงั ฝา้ ย เปน็ ตน้ สาหรบั รปู แบบของกิจกรรม พืช-สัตว์ เช่น ปลูกพชื อาหาร สัตวต์ ่าง ๆ ควบคู่กับการเลยี้ งโค การปลกู หมอ่ นเลย้ี งไหม เป็นต้น กศน.ตาบลบ้านเซิด สงั กดั กศน.อาเภอพนัสนิคม
สรปุ ผลการจดั กจิ กรรม 17 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไรใหพ้ อเพียง” 3.3 ระบบเกษตรผสมผสานที่มีไมผ้ ล ไมย้ นื ตน้ เปน็ พืชหลกั การผสมผสานกจิ กรรม พืช-พืช เชน่ การใช้ไม้ ผลต่างชนดิ ปลูกแซม เชน่ ในกรณโี กโก้แซมในสวนมะพรา้ ว การปลกู พืชตระกูลถว่ั ในแถวไม้ผลยืนต้น การปลูกพืชตา่ ง ระดบั เป็นตน้ รปู แบบกจิ กรรม พืช-สตั ว์ โดยการเล้ยี งสัตว์ เชน่ โคในสวนไม้ผล สวนยางพารา การปลกู พืชอาหารสัตว์ ในแถวไมผ้ ล ไมย้ นื ต้น แลว้ เล้ยี งโคควบคูจ่ ะมีการเกอื้ กูลซ่งึ กนั และกัน 4. แบ่งตามลกั ษณะของสภาพพื้นทเ่ี ปน็ ตัวกาหนด 4.1 ระบบเกษตรผสมผสานในพ้ืนที่สงู ลกั ษณะของพน้ื ทจี่ ะอย่ใู นที่ของภูเขาซง่ึ เดมิ เปน็ พ้ืนทป่ี า่ แตไ่ ด้ถูก หักลา้ งถางพง มาทาพืชเศรษฐกจิ และพืชยงั ชีพต่าง ๆ สว่ นใหญพ่ ้นื ท่ีมคี วามลาดชันระหว่าง 10-50% ดั้งเดิมเกษตรกร จะปลกู พชื ใน ลักษณะเชงิ เดย่ี วอายสุ ้นั เช่น ข้าว ขา้ วโพด พืชตระกลู ถั่ว ผักตา่ ง ๆ ซ่งึ มกั จะเกดิ ปัญหาของการทาลาย ทรพั ยากรธรรม ชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม มกี ารชะล้างหนา้ ดนิ สูง ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลงรวดเรว็ มีผลกระทบตอ่ ผลผลติ พืชใน ระยะยาว ฉะน้ัน รูปแบบของการทาการเกษตรผสมผสานจะช่วยรกั ษาหรือชะลอความสญู เสียลงได้ ระดับหน่ึง การ ดาเนินการอาจทาในรูปของวนเกษตร การปลูกไม้ผลไม้เมืองหนาวชนดิ ต่าง ๆ ผสมผสาน เช่น ได้มี การศึกษาระบบพืช แซมของไม้ผลเมอื งหนาว ได้แก่ บ๊วยแซมด้วยท้อ บว๊ ยแซมดว้ ยพลบั พลับแซมด้วยท้อ และพลับ แซมดว้ ยพลับ ทงั้ น้ี การจดั การดินโดยทาขน้ั บันได เพื่อลดการพงั ทะลายของดนิ พร้อมทงั้ ทาการปลกู หญ้าแฝกตาม ขอบบันได ผลการศึกษา ในระยะแรกขณะทไ่ี มผ้ ลยังไม่ใหผ้ ลผลติ ไดน้ าพืชอายุส้นั ปลกู ในแถวไมผ้ ล ได้แก่ ถ่ัวแดง และขา้ วไร่ ซ่ึงไดผ้ ลผลติ ถว่ั แดง 82 กก./ไร่ ข้าวไรเ่ จา้ ฮอ่ และขา้ วเจา้ อาขา่ ให้ผลผลติ 302 และ 319 กก./ไร่ ตามลาดับ นอกจากนี้การเจริญ เติบโตของแฝกค่อนข้างดี มใี บแฝกปริมาณมาก ซ่ึงจะทาการเก่ยี วใบแฝกแล้วนามา กองเปน็ ระยะในระหวา่ งขน้ั บันได และให้สลายตวั ใช้เปน็ ปุ๋ยหมกั และเพิ่มอินทรีย์วัตถุ เกิดประโยชน์ตอ่ ไม้ผลหลกั มี การศกึ ษาในรปู แบบอ่ืน ๆ ที่เหมาะสม ไดแ้ ก่ การผสมผสานระบบปลกู พืชรว่ มกบั แถบไม้พ่มุ (Alley Cropping) หรือ แถบหญา้ (Grass Strip Cropping) ตามแนวระดับในพนื้ ที่ความลาดชนั 10-50% ตัวอย่างของไม้แถบ เชน่ กระถิน แคฝรงั่ แคบา้ น ถ่วั มะแฮะ ครามป่า ตน้ เสยี ว เปน็ ตน้ สาหรบั พืชแซมในแถวไมพ้ ุ่ม ได้แก่ พชื ตระกูลถวั่ พืชอาหารสตั ว์ เชน่ ถว่ั ดา ถ่วั เล็บมือนาง ถว่ั แปบ ถั่วนวิ้ นางแดง ถัว่ เหลือง ถวั่ ลสิ ง หญา้ รูซี่ เนเปียร์ กนิ ี บาเฮยี แฝกหอม เปน็ ตน้ 4.2 ระบบเกษตรผสมผสานในพื้นทีร่ าบเชิงเขา พนื้ ทีส่ ่วนใหญ่จะเปน็ ทด่ี อนอาศัยน้าฝน มีการปลกู พืชไร่ชนิด ต่าง ๆ เปน็ หลกั รองลงมาจะเป็นไมผ้ ลยนื ต้น ขา้ วไร่ การจัดการในรปู ผสมผสาน ไดแ้ ก่ การปลกู ไม้ผลไม้ยนื ต้น ตลอดจนไม้ ้ใช้สอยร่วมกนั เพ่อื ใหเ้ กดิ ประโยชน์ทง้ั ในด้านผลผลติ รายได้ ตลอดจนสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาตดิ ขี ึน้ ได้ การปลูก พชื เศรษฐกิจแซมดว้ ยพชื อาหารสัตว์ ซ่ึงมรี ายงานผลการดาเนนิ การปลูกข้าวไร่แซมด้วยพชื อาหารสัตว์ พวกเซ็นโตรซีมา และแกรมสไตโล จะทาใหท้ ั้งผลผลติ ขา้ วและถั่วต่าง ๆ ซ่งึ ใช้เปน็ อาหารสัตวไ์ ด้ต่อไป การปรับเปลีย่ น พ้นื ที่ปลูกพชื ไร่เศรษฐกิจอายุส้ันหรอื ข้าวไร่บางสว่ น มาทากจิ กรรมการเลีย้ งสตั วแ์ ละปลูกพชื อาหารสตั ว์ประเภทตา่ งๆ ควบคู่กันไป จะเปน็ การสร้างความหลากหลายของระบบได้มากขนึ้ และช่วยลดความเส่ียง 4.3 ระบบเกษตรผสมผสานในพื้นที่ดอน โดยทัว่ ไปในพน้ื ท่ีดอนจะมกี ารปลูกพชื ไรเ่ ศรษฐกิจตา่ ง ๆ เชิงเดีย่ ว เปน็ หลกั ลกั ษณะของการทาการเกษตรผสมผสานอาจทาไดห้ ลายรูปแบบ เช่น ลกั ษณะการปลกู พืชแซม โดยใช้พชื ตระกูลถ่ัวแซม ในแถวพชื หลกั ต่าง ๆ เชน่ ขา้ วโพด ฝา้ ย มันสาปะหลงั ฯลฯ การเปลยี่ นพื้นทีเ่ ปน็ ไมผ้ ล ไมย้ ืนตน้ ไม้ใช้ สอยผสมผสาน และอาจจะมีพชื ตระกูลถั่วแซมในแถวพืชหลกั ในระยะแรก ๆ อกี แนวทางหนึ่ง ไดแ้ ก่ การใช้พนื้ ทมี่ า ดาเนนิ การเล้ยี ง ปศุสัตว์ เช่น โค และปลูกพชื อาหารสัตว์ควบคู่กนั ไป เปน็ ต้น กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สังกดั กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจดั กจิ กรรม 18 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรให้พอเพียง” 4.4 ระบบเกษตรผสมผสานในพ้ืนทร่ี าบล่มุ พ้ืนทส่ี ่วนใหญ่จะเป็นนาข้าวแบบแผนการปลูกพืชส่วนใหญ่จะเป็น ขา้ ว อยา่ งเดยี ว ขา้ ว-ขา้ ว, ข้าว-พืชไรเ่ ศรษฐกิจ, ข้าว-พืชผกั เศรษฐกิจ, พชื ผัก-ข้าว-พชื ไร่, พชื ไร่-ขา้ ว-พืชไร่ เป็นตน้ การจะปลกู พชื ได้มากคร้ังในรอบปีขนึ้ อยูก่ ับระบบการชลประทานเปน็ หลกั การเกษตรแบบผสมผสานในพ้นื ทนี่ จ้ี ะมี ี รปู แบบและกิจกรรมทดี่ าเนินการเช่นเดียวกบั ท่ีกล่าวไวแ้ ลว้ ในขอ้ 3.1 (ระบบเกษตรผสมผสานที่มีขา้ วเป็นพชื หลกั ) สาหรับในพ้นื ท่ที ่ีมรี ะดับน้าสูง นอกจากจะทาการปลกู ขา้ วข้ึนนา้ แลว้ ยงั มีล่ทู างพฒั นาและปรบั เปลยี่ นพนื้ ทเี่ พ่ือทา กจิ กรรมการเล้ียงปลาในบ่อได้ด้วยรูปแบบการเกษตรผสมผสานหลัก ๆ ตามท่กี ล่าวมาแล้วน้ียังอาจแบง่ ย่อยออกไปได้ อกี หลายรูปแบบ ท้ังนข้ี ึ้นอยูก่ ับวา่ จะใชห้ ลักการอะไรมาเป็นตวั กาหนด ซง่ึ จะมีความคิดหลากหลายแตกตา่ งกันไป เชน่ การใชล้ ักษณะของทรพั ยากรนา้ เป็นตวั กาหนดกจ็ ะมีรปู แบบเกษตรผสมผสานแบง่ เป็น 2 ลักษณะ คือ เกษตร ผสมผสาน ในพ้นื ท่ีเขตใช้น้าฝนและเกษตรผสมผสานในพื้นทีเ่ ขตชลประทาน นอกจากนใี้ นเขตชลประทานก็สามารถ แบ่งเปน็ กลุ่ม ย่อยได้อีกตามระบบของชลประทาน คือ ชลประทานที่มีเข่ือนกักเกบ็ น้าและมีคลองส่งน้าไปในไร่-นา ชลประทานโดย การสบู น้าด้วยไฟฟ้าจากแหลง่ น้า ระบบบ่อบาดาลนา้ ตื้น นา้ ลึก ตลอดจนระบบการใช้น้าหยด เปน็ ตน้ นอกจากน้ี การใช้ คุณสมบตั ิของดนิ เปน็ ตัวกาหนด ก็จะสามารถกาหนดรูปแบบของการเกษตรผสมผสานไดด้ งั น้ี คือ เกษตรผสมผสานใน พน้ื ที่ดนิ เปรย้ี ว พื้นที่ดนิ เค็ม พน้ื ทดี่ นิ ด่าง และพื้นท่ดี นิ พรุ เป็นตน้ ถึงแมจ้ ะมกี ารแบ่งรูปแบบ การเกษตรผสมผสานได้ ห้ ลายอย่าง แต่การดาเนินการตามกจิ กรรมต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย พืช-พชื พชื -สัตว์ พชื -ปลา สัตว์-ปลาและพชื -สัตว์- ปลา จะมีลกั ษณะเปน็ ไปในทานองเดยี วกัน แลว้ แตว่ ่าในรปู แบบต่าง ๆ จะมศี ักยภาพในการ ดาเนนิ การมากน้อยแตกต่าง กันออกไปตามลักษณะพื้นท่ี ทรพั ยากร และสภาพเศรษฐกิจ สงั คม อยา่ งไรก็ตามการที่ จะนาองค์ประกอบด้าน พชื สัตว์ ประมง มาดาเนนิ การผสมผสานเข้าด้วยกนั ในระบบการเกษตรนน้ั ยอ่ มทจี่ ะมที ั้ง ปฏสิ มั พันธ์เชิงเก้อื กลู และเชงิ แขง่ ขนั ทาลายกัน ซ่งึ พอทีจ่ ะกล่าวได้ดังน้ี คำแนะนำกิจกรรมเกษตรผสมผสำนแต่ละดำ้ น 1. เกษตรผสมผสำนดำ้ นพชื กจิ กรรมการผสมผสานของพืชมอี ยู่หลายรูปแบบ การจะเลือกใชข้ ึน้ อยกู่ ับสภาพพื้นท่ี ความเหมาะสม ความ ชานาญ ความต้องการของเกษตรกร และรวมไปถึงการตลาด คา่ นยิ ม และประเพณวี ัฒนธรรมอกี ด้วย หากจะแบ่ง ประเภทของการเกษตรผสมผสานตามลักษณะกิจกรรมหรือพื้นทหี่ ลกั อาจแบง่ ได้ดังน้ี 1.1 ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีขา้ วเปน็ พชื หลกั พื้นทีท่ าการเกษตรสว่ นใหญ่จะเปน็ นาขา้ วการท่จี ะผสมผสาน กิจกรรมเขา้ ไปให้เกื้อกลู กนั อาจทาได้ท้ังในรูปแบบของพืชกับพชื เช่น การปลกู พืชตระกูลถ่ัว พืชผัก พืชเศรษฐกิจอื่นๆ ก่อนหรือหลงั ฤดูกาลทานา 1.2 ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีพืชไรเ่ ป็นหลกั กิจกรรมการเกษตรส่วนใหญ่เปน็ พชื ไร่ในลักษณะของการปลกู ร่วมกนั เชน่ การปลกู พชื ตระกูลถ่ัวแซมในแถวพชื หลกั เชน่ ขา้ วโพด มันสาปะหลงั ฝา้ ย หรอื การผสมผสานรว่ มกบั กิจกรรมการเลี้ยงสตั ว์ เช่น การปลกู พืชอาหารสตั ว์ ควบคู่กบั การเลี้ยงสัตว์ 1.3 ระบบเกษตรผสมผสานที่มีพืชผกั เป็นหลัก เป็นกิจกรรมการเกษตรทใ่ี ช้พ้ืนที่น้อยและใหผ้ ลผลติ ใน ระยะเวลารวดเร็ว สามารถทาใหเ้ กดิ การผสมผสานในลักษณะพืชกับพชื ท้ังรปู แบบการปลกู รว่ มและการปลูกเหล่ือมฤดู กับพชื ผกั ดว้ ยกนั เองหรือขา้ ว พชื ไร่ และไม้ผลต่างๆ เชน่ การปลูกหอมแดงกับผักชี การปลกู ถัว่ ฝักยาวกับคะน้า การ กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สงั กัด กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม 19 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรใหพ้ อเพียง” ปลกู ถ่ัวฝกั ยาวกับข้าวโพดหวาน การปลกู ผกั กาดกวางตุ้งแซมในสวนลาไย หรือกจิ กรรมผสมผสานกบั การเลย้ี งสัตว์ เช่น การปลูกผักบนขอบบ่อปลา 1.4 ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมีไมผ้ ลเปน็ พืชหลกั เปน็ การผสมผสานกจิ กรรมดา้ นพืชกับพชื เช่น การใช้ไม้ ผลต่างชนดิ ปลกู ร่วมและปลูกแซมกนั เช่น โกโก้แซมในสวนมะพรา้ ว ผกั หวานปา่ แซมลาไย การปลกู พชื ผกั และพืช ตระกลู ถัว่ ในแถวไมผ้ ลเปน็ ต้น หรอื รูปแบบการผสมผสานด้านพชื กบั สตั ว์เชน่ การเลีย้ งโคหรือแพะในสวนไมผ้ ล การ เลย้ี งไก่พ้นื เมืองในสวนลาไย 1.5 ระบบเกษตรผสมผสานท่ีมไี มป้ ่าหลากชนิดเปน็ หลกั หรือวนเกษตร ซึ่งเปน็ การผสมผสานสภาพแวดลอ้ ม ของปา่ และสภาพแวดลอ้ มทางการเกษตรของคนเขา้ ดว้ ยกัน เกิดความเก้ือกูลกันด้านนิเวศวิทยาของป่า มีการจดั สรร ห้วงเวลาทปี่ ลูก พ้นื ที่ และพนั ธุไ์ ม้ เพื่อพ่ึงพาอาศัยกนั ในระบบนเิ วศทั้งน้ีอาจมกี ารปลูกพื้นทหี่ ลากหลายชนิดตาม ระดับความสงู และประโยชนใ์ ชส้ อบ ดังนี้ 1) ระดบั บน เป็นไมย้ นื ตน้ ความสูงประมาณ 30 เมตร เชน่ ตะแบบ ประดู่ สักทองสาหรับเปน็ ไม้ใชส้ อยหรือ ทาทอ่ี ยู่อาศยั เปน็ หลัก 2) ระดบั สูง เปน็ พืชเศรษฐกิจ ความสงู ประมาณ 20 เมตร เชน่ มะพร้าว หมากยางพารา สะตอ สาหรับเปน็ ไมใ้ ช้บรโิ ภคเป็นหลกั 3) ระดบั ปานกลาง เป็นพืชพื้นบ้านและพชื ปา่ ทช่ี อบรม่ เงา ความสงู ประมาณ 7-10เมตร 4) ระดับต่า เปน็ ไมผ้ ลทรงพ่มุ สูงประมาณ 3-5 เมตร สาหรบั ใช้เปน็ อาหาร เช่นมะละกอ 5) ระดบั ลา่ ง เป็นไม้พุ่มและพืชผักสาหรบั ใชเ้ ปน็ อาหาร เช่น มะเขือพวง 6) ระดบั หนา้ ดนิ เปน็ พชื พนื้ บ้านยืนต้นหรอื พืชลม้ ลกุ เชน่ ผักหวานปา่ กาแฟ 7) ระดับผวิ ดนิ เปน็ พชื ผักกนิ ใบ ผล ลาต้น อาจเป็นพชื ผักอายุสนั้ หรอื พืชยืนต้นข้ามปีกไ็ ด้ 8) พืชเถาเล้ือย เปน็ พืชผักทก่ี ินได้ท้ังลาตน้ ใบ ผล และอยู่อาศัยกบั ไมห้ ลกั 9) ไมล้ ม้ ลุกทีม่ ีเหง้าหรือลาตน้ อยู่ใต้ดนิ สาหรบั ใช้บรโิ ภคเป็นอาหาร เชน่ ขา่ ขิงตะไคร้ กระชาย บุก 10) พืชในนา้ เป็นทั้งพชื อาหาร พชื ใช้สอยและไม้ประดบั เชน่ แห้ว บัว คลา้ โดยหลักปฏิบัตทิ ่วั ไปของวนเกษตรจะต้องรจู้ ัดเลือกชนดิ ต้นไม้ใหเ้ หมาะสมต่อสภาพแวดล้อมหาพันธุ์ได้ง่าย ดูแลรกั ษาได้ไม่ยากจนเกินไป และเป็นพนั ธ์ุไม้ที่แข็งแรง สามารถเล้ยี งตัวเองได้ มีหลักการเลอื กพันธ์ุไม้โดยทั่วไป ดังนี้ 1) มีระบบรากลกึ เพ่อื ชว่ ยดดู ธาตุอาหารจากดินด้านล่างสใู่ บ เม่อื ใบร่วงหลน่ สูพ่ ้นื ดิน จลุ ินทรียจ์ ะยอ่ ยสลาย ใหเ้ กิดธาตอุ าหารไปกับพชื ท่ีมีระบบรากต้ืนทีผ่ วิ ดนิ ไดถ้ ือได้ว่าเปน็ การเคล่อื นย้ายธาตอุ าหารในดินอยา่ งหน่ึง 2) เปน็ พชื ตระกูลถัว่ เพ่ือช่วยตรงึ ไนโตรเจนในอากาศมาชว่ ยเพ่มิ ธาตุไนโตรเจนแกด่ นิ รอบขา้ ง เป็นประโยชน์ ตอ่ พืชใกลเ้ คียง 3) เปน็ ตน้ ไม้โตช้า เพ่อื ชว่ ยเป็นแนวกนั ลมและทิ้งเศษซากพืชท่เี ปน็ ประโยชน์ได้เรว็ ขน้ึ 4) มีทรงพุม่ โปรง่ เพ่ือให้พืชที่อย่รู ะดบั ลา่ งลงไป มโี อกาสได้รบั แสง ทาให้เกิดการปรุงอาหารและการ เจริญเตบิ โตไดด้ ี 5) มใี บขนาดเล็ก เพอ่ื ให้มีการยอ่ ยสลายและเกดิ ประโยชน์ได้เร็วขึน้ ทงั้ ในแง่ของการให้ธาตอุ าหารคืนสู่ดนิ และปรบั ปรุงคุณสมบตั ิของดินใหด้ ีข้ึนดว้ ย กศน.ตาบลบา้ นเซิด สังกัด กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจดั กิจกรรม 20 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ ีวติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” 6) มีการทง้ิ ใบเสมอ เพ่ือให้เกิดการหมนุ เวยี นของธาตอุ าหารในระบบได้เร็วขน้ึ และเปน็ ไปอย่างต่อเน่อื ง สมา่ เสมอ 7) เศษซากพืชไม่มพี ิษ เพื่อไม่ใหค้ ณุ สมบตั ิทีด่ ขี องดินเปล่ยี นไป เชน่ ความเปน็ กรดเปน็ ด่าง เกดิ สารพิษ ตกคา้ งหรือย่อยสลายยาก ทาให้พชื อื่นโตช้า 8) มกี ารแตกหน่อดี ชว่ ยลดต้นทุนในการปลูกใหม่ เมื่อมีการตดิ ฟนื ไปใชป้ ระโยชน์ 9) ใหเ้ นอื้ ไม้คุณภาพดี เพื่อใช้ประโยชน์ในการบา้ นเรือน เฟอร์นเิ จอร์ เคร่ืองใช้ตา่ งๆก่อประโยชนไ์ ด้ดกี วา่ พชื อาหารในระยะทาง 10) ใหผ้ ลผลติ หลากหลาย เพ่ือประโยชนใ์ นแง่ของการใชส้ อยอยา่ งสงู สดู ทงั้ ในด้านอาหาร เชือ้ เพลงิ ยารักษา โรค และการใชส้ อยต่างๆ 2. เกษตรผสมผสำนด้ำนประมง 2.1 การเลย้ี งปลาน้าจดื แบบรวม 1) เปน็ ปลาท่ีหาพนั ธ์ุงา่ ย เล้ยี งง่าย โตเร็ว ทนทานตอ่ โรคและสภาพแวดลอ้ มได้ดเี ป็นท่ตี ้องการของตลาด 2) เป็นปลากนิ พชื สามารถใช้วสั ดหุ รือพชื ผกั ในท้องถ่ินเป็นอาหารเสรมิ ได้จะชว่ ยลดต้นทุนการผลิต อาจมีการ ใหอ้ าหารสมทบ เชน่ รา ปลายข้าวหรือข้าวโพดต้มสุกได้ 3) เปน็ ปลาทีห่ ากินในนา้ ตา่ งระดบั กนั ไม่รบกวนกนั กินอาหารตา่ งชนิดกัน เพ่ือใช้ประโยชนอ์ าหารในน้าได้ เตม็ ที่ 4) บอ่ ขนาด 1 ไร่ ขดุ ลึก 2 เมตร หรอื ไมน่ ้อยกว่า 400 ตารางเมตร เก็บน้าได้ไมน่ ้อยกว่า 8 เดอื น โดยเปน็ ท่ี ราบลุ่มใกลแ้ หล่งน้า ดินเป็นดินเหนียว 5) ชนดิ ปลาและสัดสว่ นตอ้ งสัมพนั ธก์ นั ตามคาแนะนา แตร่ วมแล้วตอ้ งไม่เกิน 3-4 ตัวต่อ พื้นทผี่ วิ น้า 1 ตาราง เมตร 2.2 การเล้ียงปลาร่วมกบั ไก่ไข่ 1) เป็นการใชป้ ระโยชนจ์ ากมูลไกใ่ นการเพ่ิมผลผลิตปลา เพือ่ ลดตน้ ทนุ การเล้ยี งปลาก่อให้เกิดกิจกรรมอย่าง ตอ่ เน่ืองรอบบ่อปลา เชน่ การปลกู พืชโดยใช้น้าจากบ่อปลา เปน็ การลองความเสยี่ งจากการทากจิ กรรมการเกษตร เพียงอย่างเดยี ว 2) จะต้องมบี ่อเลี้ยงปลาอยา่ งนอ้ ย 400 ตารางเมตร เกบ็ กักนา้ ได้ 3) ปรบั สภาพดินและนา้ โดยใชฟ้ างหรือปุย๋ หมัก มีการใส่ปยุ๋ คอก 100-200 กก./ไร่ 4) เลี้ยงไก่ไข่อายุ 20 สปั ดาห์ บนบ่อ ประมาณ 100-200 ตัว โดยใชร้ ะยะเวลาเลีย้ ง 10 เดือน 5) ปล่อยปลานลิ : ไน : ตะเพียน : นวลจันทร์ อัตรา 2 :1 : 2 : 1 จานวน 1,200-2,000 ตัวโดยใช้เวลาเล้ียง 5 เดอื น กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สงั กดั กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม 21 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ติ อยา่ งไรให้พอเพียง” 2.3 การเลี้ยงปลาร่วมกับการเลี้ยงเปด็ ไข่ 1) เปน็ การใช้ประโยชนจ์ ากมูลเป็ด ชว่ ยเพมิ่ อาหารธรรมชาตใิ ห้ปลา ช่วยเพิม่ ออกซเิ จนในน้าจากการวา่ ยนา้ ของเปด็ ช่วยกาจัดหอยทเ่ี ปน็ พาหนะของโรคพยาธแิ ละช่วยควบคมุ ปรมิ าณปลาให้อยใู่ นลักษณะสมดลุ 2) ต้องมพี ืน้ ทบี่ อ่ ปลาอยา่ งน้อย 400 เมตรขึ้นไป เกบ็ กักนา้ ได้ตลอดปี 3) ปรับสภาพดินและนา้ โดยใช้ปนู ขาว ฟางขา้ วหรือปยุ๋ หมัก มีการใสป่ ุ๋ยคอก 100 -200 กก./ไร่ 4) เลย้ี งเป็ดไข่พนั ธุ์กากแิ คมเบล จานวน 240 ตวั ต่อบอ่ ขนาด 1 ไร่ หรือ 30 ตวั ต่อพื้นท่ีบ่อปลา 200 เมตร2 5) เลยี้ งปลาท่กี ินอาหารไมเ่ ลือก เช่น ปลานิล ปลานวลจันทร์เทศ ปลาช่อน ขนาด5-7 เซนตเิ มตร อัตรา 3,000 ตวั ต่อไร่ 6) สร้างโรงเรอื นไวบ้ นบ่อปลาโดยตรง พ้ืนท่ี 1 ตารางเมตรใชเ้ ลย้ี งเปด็ ได้ 5 ตวั พืน้ เล้าไม่ควรมชี อ่ งวา่ งเกนิ 1 ตารางเซนติเมตร เพ่ือใหเ้ ปด็ เดนิ สะดวกและไข่ไมห่ ล่นลงไปในบ่อปลา 2.4 การเล้ยี งปลาร่วมกบั สุกร 1) เป็นการใช้ประโยชนจ์ ากมูลสุกรในการเพิ่มผลผลิตปลา เพ่ือลดตน้ ทนุ การเลีย้ งปลาและก่อใหเ้ กิดกิจกรรม อย่างต่อเน่ืองรอบบ่อปลา เช่น การปลูกพชื โดยใช้นา้ จากบ่อปลา ซงึ่ เปน็ การลดความเสีย่ งจากกิจกรรมการเกษตร เพียงอย่างเดียว 2) จะต้องมีพื้นที่บ่อเลย้ี งปลาอยา่ งน้อย 400 ตารางเมตร เก็บกักน้าไดต้ ลอดปี 3) ปรบั สภาพดินและน้าโดยใช้ฟางหรอื ปุ๋ยหมัก มีการใส่ป๋ยุ คอก 100-200 กก. ใสป่ นู ขาว 160 กก./ไร่ 4) เลยี้ งสกุ ร จานวน 3-5 ตวั 5) ปล่อยปลากินพชื เชน่ ปลานลิ ไน ตะเพียน นวลจันทร์ อัตรา 2 :1 : 2 : 1 จานวน 1,500-2,000 ตวั หรอื ปลากินเน้ือ เชน่ ปลาสวาย ดกุ อตั รา 10,000-16,000 ตวั ใช้เวลาในการเล้ยี ง 5-6 เดอื น 2.5 การเลี้ยงปลาในนาข้าว 1) เป็นการเพม่ิ ผลผลติ และใช้ประโยชนจ์ ากผืนนาทม่ี จี ากดั ไดอ้ ย่างสูงสุด และสง่ เสริมใหม้ ีรายได้เพิ่มขน้ึ นอกเหนือจากการทานา 2) แปลงนาควรมีขนาดต้งั แต่ 3-5 ไร่ และสามารถเก็บน้าในการเลย้ี งปลาได้มากกวา่ 3 เดือน 3) ขุดร่องรอบแปลง ขนาดกว้าง 2 เมตร ลึก 1 เมตร เพื่อนาดนิ มาทาคันนาใหส้ งู ข้ึน 4) ขดุ บ่อรวมปลาในแปลงนา ขนาด 20-50 ตารางเมตร ลึก 1.5 เมตร 5) ปลอ่ ยปลานิล : ไน : ตะเพียน ขนาด 5-7 ซม. อตั ราส่วน 3: 1 : 6 จานวน 700-800 ตัวตอ่ ไร่ ในช่วงต้น ขา้ วต้งั ตัวไดแ้ ล้ว 2.6 การเล้ยี งปลารว่ มกบั การปลกู พชื 1) เป็นการใช้ประโยชนจากอาหารปลาและปุ๋ยที่เหลือสะสมในบอ่ รวมทง้ั ซากปลา ซากสัตว์ พันธุไ์ มน้ ้าทสี่ ะสม ในดินกน้ บ่อในแตล่ ะปี ทง้ั ยังช่วยลดอนั ตรายจากก๊าชพิษสะสมและแบคทเี รียที่เป็นสาเหตขุ องโรคปลา กศน.ตาบลบ้านเซิด สงั กัด กศน.อาเภอพนัสนิคม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม 22 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ ีวิตอยา่ งไรให้พอเพียง” 2) ควรลอกโคลนเลนออกจากบอ่ ทุกปี ประมาณ 2 ใน 3 พื้นที่ 1 ไร่ จะได้เนือ้ ดินที่มธี าตุอาหารเทียบเทา่ ปุ๋ยเคมี 288.5 กโิ ลกรัม 3) ดินโคลนสด 121.2 ลกู บาศกเ์ มตร ใช้ปลูกข้าวในพื้นที่ 2.5 ไร่ ไดผ้ ลผลิตข้าว500 กโิ ลกรัมต่อปี และหากใช้ ปลูกหญา้ จะไดผ้ ลผลิต 14,544 กิโลกรัม/ไร่ 4) การเลี้ยงปลาโดยทว่ั ไปจะไมต่ ่อเน่ือง บ่ออนบุ าลและบ่อเลย้ี งจะพักตากบ่อชว่ งหน่งึ ซึ่งระยะเวลาดังกลา่ ว สามารถจะปลูกพชื ต่างๆ ในพื้นบอ่ โดยตรงได้ โดยเฉพาะพชื ผักท่ีจะเปน็ อาหารสาหรับมนุษย์ และเศษใบผกั จะเปน็ อาหารปลาบอ่ อืน่ ๆ ได้ 3. เกษตรผสมผสำนด้ำนปศสุ ัตว์ 3.1 ระบบเกษตรผสมผสานดา้ นปศสุ ัตวท์ ี่เนน้ สตั ว์ปกี เป็นระบบท่ใี ช้พน้ื ท่คี ่อนข้างมาก ต้องมีการจัดการที่ เหมาะสมระหวา่ งพชื และสัตว์ เชน่ การเลี้ยงไก่พน้ื เมืองหรอื เปด็ ในสวนผลไม้ จะได้ประโยชนจ์ ากผลผลติ ทีเ่ นา่ เสียเป็น อาหารสัตว์ สตั วช์ ว่ ยกาจัดแมลงท่ีทาลายไมผ้ ลบางชนิดและใหม้ ลู เป็นปยุ๋ คืนสู่ไม้ผลได้ แต่ต้องมีการจดั การไม่ให้ไกห่ รอื เปด็ เข้าไปจิกกนิ ผลไม้ในสวนไดโ้ ดยตรงหรอื การเลี้ยงเป็ดไข่ควบค่กู บั การเลยี้ งปลา ต้องปล่อยปลาขนาดโตและแขง็ แรง ขอเพยี งไม่ใหเ้ ป็ดจับกินได้ 3.2 ระบบเกษตรผสมผสานดา้ นปศุสัตวท์ ่ีเป็นสัตว์เลก็ การใช้พน้ื ทใ่ี นการเลยี้ งขน้ึ อยู่กับกิจกรรมแตต่ ้องมีการ บริหารจัดการท่ีเหมาะสมและสอดคลอ้ งกัน เชน่ การเล้ยี งสุกรบนบ่อปลาต้องใช้อตั ราสว่ นของจานวนสุกรกบั บ่อปลา และจานวนปลาทเ่ี ลย้ี งใหเ้ หมาะสม การเลย้ี งหมูหลุมตอ้ งจัดวางสถานทีใ่ ห้เหมาะสมและมีพชื เพื่อใชเ้ ป็นอาหารอย่าง เพยี งพอ การเลีย้ งแพะในสวนผลไมห้ รือสวนปา่ ตอ้ งระวงั ไม่ให้แพะเขา้ ไปทาความเสยี หายกับผลิตผล ขณะท่ีพชื บางอย่างอาจมสี ารพษิ หากปลอ่ ยใหส้ ตั ว์แทะเลม็ โดยไมจ่ ากดั ปริมาณอาจเกิดผลเสยี ได้ 3.3 ระบบเกษตรผสมผสานดา้ นปศุสตั ว์ทเ่ี น้นสัตวใ์ หญ่เปน็ กิจกรรมการเล้ียงสตั วใ์ หญใ่ ช้พ้นื ทม่ี าก เช่น การ เล้ยี งโคในป่าโปร่งหรือสวนไม้ผลขนาดใหญท่ ปี่ ลูกหญ้าเลีย้ งสัตว์ไว้ขา้ งลา่ ง เมื่อปล่อยใหโ้ คแทะเล็มหญ้าต้องระวงั ไม่ให้ เขา้ ไปทาลายหรอื รบกวนพืชผลต่างๆ และต้องมีการจดั การแปลงหญา้ ใหเ้ หมาะสมกบั การแทะเลม็ ของโคเนือ้ เปิด โอกาสให้หญา้ ได้เจริญเติบโตอย่างเหมาะสม 4. เกษตรผสมผสำนดำ้ นอ่ืนๆ เปน็ กจิ กรรมการเกษตรที่จะชว่ ยเกือ้ หนุนแต่ละกิจกรรมใหเ้ กิดการผสมผสานกันได้อยา่ งเหมาะสม ชว่ ยลด ตน้ ทนุ การผลิตมีการใชว้ ัตถดุ ิบที่มอี ยา่ งคมุ้ ค่าก่อใหเ้ กดิ รายได้เสรมิ แกค่ รอบครัวบนพืน้ ฐานของการอนรุ ักษแ์ ละมีการ พ่ึงพาตนเองได้อย่างยง่ั ยนื กจิ กรรมเหล่าน้อี าจช่วยเสริมกจิ กรรมหลักๆให้มคี วามสมบรู ณ์ยิ่งข้ึน เช่น การเลี้ยงจิ้งหรดี เพื่อเป็นอาหารมนษุ ย์ ไก่ และปลา การเพาะเล้ียงปลวก เพื่อลดต้นทนุ อาหารสตั ว์ การเลี้ยงไสเ้ ดือนเพื่อย่อยสลายขยะ และสรา้ งปุ๋ยอินทรยี ์ การเล้ยี งผงึ้ เพื่อชว่ ยผสมเกสรดอกไม้ การทาบ่อก๊าชชีวภาพเพ่ือลดปัญหามลภาวะและได้ ประโยชนจ์ ากพลังงานการทานา้ สกดั ชีวภาพดา้ นวัตถดุ ิบที่มีเพ่ือลดตน้ ทุน ลดการใชส้ ารเคมี การใช้ก้อนเห็ดเกา่ มา เพาะเห็ดฟางและทาปยุ๋ หมกั เปน็ ต้น อาจกล่าวไดว้ ่า “การเกษตรผสมผสานในรปู แบบเศรษฐกิจพอเพยี ง” เปน็ อีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกร เพ่ือ เสริมแนวคดิ การบริหารจัดการให้เป็นไปด้วยความระมดั ระวังรอบคอบ สร้างพืน้ ฐานการผลิตการเกษตรใหพ้ ง่ึ พา กศน.ตาบลบ้านเซิด สังกัด กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม 23 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” ตนเองได้บนพื้นฐานของการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมอย่างยั่งยนื และสง่ ผลใหเ้ กษตรกรได้รจู้ ักใช้ ชวี ติ บนความเหมาะสมสอดคล้องกับภมู ิสงั คมท่ีแตกตา่ งเม่ือเกษตรกรไดเ้ ข้าใจในแนวคิด มีความมนั่ คงของอาชพี แล้วก็ พรอ้ มจะรบั ส่งิ ใหม่ๆ ทจ่ี ะเปน็ ประโยชนแ์ ละก่อใหเ้ กิดการพัฒนาอยา่ งยัง่ ยนื ในอนาคตอนั ใกลน้ ้ี ข้อไดเ้ ปรียบของกำรทำระบบเกษตรผสมผสำน 1.1 ลดความเส่ียงเนอ่ื งจากความแปรปรวนของสภาพลมฟา้ อากาศ ราคาผลผลติ ท่ีไม่แนน่ อนและการระบาด ของศัตรู พืช 1.2 ลดต้นทุนการผลติ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรภายในฟารม์ ไดแ้ ก่ ท่ีดนิ แรงงานและเงนิ ทนุ 1.3 มีอาหารเพยี งพอแก่การบรโิ ภคภายในครวั เรือน และมรี ายไดอ้ ย่างต่อเนืองตลอดปี 1.4 การใชแ้ รงงานสมา่ เสมอตลอดปี จึงทาให้ลดปัญหาการเคลอ่ื นยา้ ยแรงงานจากภาคการเกษตรไปสู่ภาคอืน่ 1.5 เกษตรกรจะมีเศรษฐกจิ ท่ีพอเพยี ง จงึ เปน็ ผลใหม้ ีสภาพความเป็นอยู่และมีคณุ ภาพชวี ิตที่ดขี น้ึ 1.6 เป็นระบบการเกษตรท่ีเหมาะสมกบั เกษตรกรรายย่อย ขอ้ จำกดั ของกำรทำระบบเกษตรผสมผสำน คือ 2.1 เกษตรกรจะต้องมีท่ีดนิ ทุน แรงงาน ท่ีเหมาะสม 2.2 เกษตรกรจะต้องมีความมานะ อดทน และขยันขันแขง็ 2.3 ตอ้ งมีการวางแผนและการจัดการทรัพยากรภายในฟาร์มตลอดจนเทคโนโลยใี นการผลิตทเี่ หมาะสม สอดคลอ้ ง สอดคล้องกบั ระบบการตลาดในท้องถิ่นและในระดับภมู ิภาค กศน.ตาบลบ้านเซดิ สงั กดั กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจดั กจิ กรรม 24 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ิตอยา่ งไรให้พอเพยี ง” บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ งำน การดาเนนิ โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ิตอย่างไรให้พอเพียง”ไดด้ าเนนิ การตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ 1. ขัน้ เตรียมกำร กำรศึกษำเอกสำรทเี่ กี่ยวข้องกับโครงกำรอบรมใหค้ วำมรู้ “ใช้ชีวิตอยำ่ งไรให้พอเพียง” ผรู้ ับผิดชอบโครงการได้ศกึ ษาคน้ คว้าเอกสารทเี่ กย่ี วขอ้ งเพ่ือเปน็ ข้อมูลและแนวทางในการดาเนนิ การโครงการอบรมให้ ความรู้ “ใชช้ ีวิตอย่างไรใหพ้ อเพียง” ดังนี้ 1. ศึกษาเอกสาร / คู่มือ ข้อมูลจากหนังสือ เกี่ยวกับการดาเนินชวี ิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (COVID-19) เพื่อเป็นแนวทางเกี่ยวกับการจดั โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ติ อย่างไรให้พอเพยี ง” 2. ศกึ ษาขัน้ ตอนการดาเนนิ โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวิตอย่างไรใหพ้ อเพยี ง” เพื่อเป็นแนวทางในการ จัดเตรยี มงาน วสั ดุอปุ กรณ์ และบคุ ลากรใหเ้ หมาะสม กำรสำรวจควำมต้องกำรของประชำชนในพนื้ ท่ี (ตำมนโยบำยของรัฐบำล) กลมุ่ ภารกิจ การจัดการศึกษานอกระบบ มอบหมายให้ ครู กศน.ตาบล สารวจความต้องการของ กลมุ่ เป้าหมายเพ่ือทราบความต้องการทแ่ี ทจ้ ริงของประชาชนในตาบล และมีข้อมูลในการจัดกิจกรรมที่ตรงกบั ความ ต้องการของชมุ ชน กำรประสำนงำนผู้นำชมุ ชน / ประชำชน /วิทยำกร 1. ครู กศน.ตาบล ไดป้ ระสานงานกบั หัวหน้า/ผนู้ าชุมชนและประชาชนในตาบลเพื่อร่วมกัน ปรกึ ษาหารือในกลุ่มเก่ยี วกับการดาเนินการจัดโครงการให้ตรงกับความต้องการของชุมชน 2. ครู กศน.ตาบล ไดป้ ระสานงานกับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องเพื่อจัดหาวิทยากร กำรประชำสัมพันธ์โครงกำรฯ ครู กศน.ตาบล ไดด้ าเนนิ การประชาสัมพันธ์การจัดโครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ วี ิตอย่างไรให้ พอเพยี ง” เพือ่ ให้ประชาชนทราบข้อมลู การจดั กจิ กรรมดังกลา่ วผา่ นผ้นู าชุมชน ประชมุ เตรียมกำร / วำงแผน 1) ประชุมปรึกษาหารือผู้ที่เก่ียวขอ้ ง 2) เขียนโครงการ วางแผนมอบหมายงานใหฝ้ า่ ยต่างๆ เตรยี มดาเนนิ การ 3) มอบหมายหนา้ ที่ แต่งต้ังคณะทางาน กำรรบั สมัครผูเ้ ข้ำรว่ มโครงกำรฯ ครู กศน.ตาบล ไดร้ บั สมัครผู้เขา้ ร่วมโครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ติ อย่างไรให้พอเพยี ง” โดยให้ ประชาชนทัว่ ไปท่ีอาศยั อยู่ในพ้ืนที่ 3 ตาบล ๆ ละ 5 คน ได้แก่ ตาบลบา้ นชา้ ง ตาบลบ้านเซิด และตาบลหัวถนน รวมทัง้ สน้ิ 15 คน กำรกำหนดสถำนที่และระยะเวลำดำเนนิ กำร ครู กศน.ตาบล ได้กาหนดสถานทใี่ นการจดั อบรมคือ ศาลาการเปรยี ญวัดเซิดสาราญ ม.8 กศน.ตาบลบ้านเซิด สังกดั กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม 25 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ิตอยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” ต.บ้านเซดิ อ.พนสั นคิ ม จ.ชลบรุ ี ในวนั ท่ี 29 มิถนุ ายน พ.ศ. 2563 จานวน 1 วนั เวลา 08.00-15.00 น. 2. ขัน้ ดำเนนิ งำน กลุ่มเป้ำหมำย กลุ่มเป้าหมายของโครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” ประชาชน 3 ตาบล ๆ ละ 6 คน ไดแ้ ก่ ตาบลบ้านชา้ ง ตาบลบ้านเซิด และตาบลหวั ถนน รวมทัง้ สนิ้ 18 คน สถำนที่ดำเนนิ งำน ครู กศน.ตาบลบ้านชา้ งครู กศน.ตาบลบ้านเซดิ และครู กศน.ตาบลหัวถนน จัดกจิ กรรมโครงการ อบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” โดยจดั กิจกรรมอบรมให้ความรู้ ในวันท่ี 29 มถิ ุนายน พ.ศ. 2563 เวลา 08.00-15.00 น. ณ ศาลาการเปรียญวัดเซิดสาราญ ม.8 ต.บ้านเซิด อ.พนสั นิคม จ.ชลบุรี กำรขออนมุ ตั แิ ผนกำรจัดกิจกรรมกำรเรยี นรูต้ ำมหลักปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพยี ง กศน.ตาบลบา้ นช้าง ไดด้ าเนินการขออนุมัตแิ ผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามหลักปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพยี ง โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไรใหพ้ อเพียง” ต่อสานักงาน กศน.จังหวัดชลบรุ ี เพ่ือให้ ต้นสงั กดั อนุมัติแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง กำรจดั ทำเครื่องมอื กำรวัดควำมพึงพอใจของผรู้ ว่ มกิจกรรม เครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการติดตามประเมินผลโครงการ ไดแ้ ก่ แบบประเมินความพงึ พอใจ ข้ันดำเนนิ กำร / ปฏบิ ตั ิ 1. เสนอโครงการเพ่อื ขอความเหน็ ชอบ/อนุมตั ิจากต้นสงั กดั 2. วางแผนการจัดกจิ กรรมในโครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ิตอย่างไรให้พอเพียง” โดยกาหนด ตารางกจิ กรรมที่กาหนดการ 3. มอบหมายงานให้แก่ผูร้ ับผิดชอบฝา่ ยต่างๆ 4. แตง่ ตงั้ คณะกรมการดาเนินงาน 5. ประชาสมั พันธ์โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไรใหพ้ อเพียง” 6. จัดกิจกรรมโครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวติ อย่างไรให้พอเพียง” ตามตารางกิจกรรมที่ กาหนดการ 7. ติดตามและประเมินผลโครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ติ อย่างไรใหพ้ อเพยี ง” กศน.ตาบลบ้านเซิด สังกัด กศน.อาเภอพนสั นิคม
สรปุ ผลการจดั กิจกรรม 26 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ ีวติ อยา่ งไรใหพ้ อเพียง” 3. กำรประเมินผล วิเครำะห์ขอ้ มูล 1. บันทึกผลการสงั เกตจากผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรม 2. วิเคราะห์ผลจากการประเมินในแบบประเมินความพงึ พอใจ 3. รายงานผลการปฏิบัตงิ าน รวบรวมสรุปผลการปฏิบัตงิ านของโครงการนาเสนอตอ่ ผู้บรหิ าร นาปญั หา ขอ้ บกพร่องไปแก้ไขครงั้ ต่อไป ค่ำสถิติท่ใี ช้ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าสถิติร้อยละในการประมวลผลข้อมูลส่วนตัวและตัวช้ีวัดความสาเร็จของ โครงการตามแบบสอบถามคิดเป็นรายขอ้ โดยแปลความหมายค่าสถิตริ ้อยละออกมาได้ดงั น้ี ค่าสถิตริ อ้ ยละ 90 ข้ึนไป ดีมาก คา่ สถิตริ อ้ ยละ 75 – 89.99 ดี คา่ สถิติร้อยละ 60 – 74.99 พอใช้ ค่าสถิตริ ้อยละ 50 – 59.99 ปรับปรงุ คา่ สถติ ริ ้อยละ 0 – 49.99 ปรับปรุงเรง่ ด่วน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นรายข้อซ่ึงมีลักษณะเป็นค่าน้าหนักคะแนน และนามาเปรียบเทียบ ได้ระดบั คณุ ภาพตามเกณฑ์การประเมิน ดังน้ี เกณฑ์การประเมิน (X) คา่ น้าหนักคะแนน 4.50 – 5.00 ระดับคุณภาพ คอื ดมี าก ค่าน้าหนกั คะแนน 3.75 – 4.49 ระดบั คุณภาพ คอื ดี คา่ นา้ หนักคะแนน 3.00 – 3.74 ระดับคุณภาพ คือ พอใช้ ค่านา้ หนักคะแนน 2.50 – 2.99 ระดบั คุณภาพ คือ ต้องปรับปรงุ ค่าน้าหนักคะแนน 0.00 – 2.49 ระดบั คณุ ภาพ คือ ตอ้ งปรบั ปรุงเรง่ ด่วน กศน.ตาบลบา้ นเซิด สงั กดั กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม 27 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” บทท่ี 4 ผลกำรดำเนนิ งำนและกำรวิเครำะหข์ ้อมูล ตอนที่ 1 รำยงำนผลกำรจดั กจิ กรรมโครงกำรอบรมใหค้ วำมรู้ “ใช้ชวี ิตอยำ่ งไรให้พอเพยี ง” การจัดกจิ กรรมโครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ ีวิตอย่างไรให้พอเพยี ง” สรปุ รายงานผลการจดั กิจกรรมไดด้ งั น้ี ในการจัดกิจกรรมอบรมให้ความรูต้ ามโครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ิตอยา่ งไรให้พอเพยี ง” เปน็ การอบรมให้ความรู้ โดยมี นางสาวฉตั ราภรณ์ ฤทธพิ นั ธุ์วรกุล นกั วิชาการสง่ เสรมิ การเกษตร สานักงานเกษตรอาเภอพนัสนิคม เป็น วทิ ยากรในการบรรยายให้ความรู้ เรื่อง ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง หลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง จุดเริม่ ต้น เศรษฐกิจพอเพยี ง ประเทศไทยกบั เศรษฐกิจพอเพียง การดาเนนิ ชวี ิตตามแนวพระราชดารพิ อเพยี งและ การนาปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั ตอนท่ี 2 รำยงำนผลควำมพึงพอใจของโครงกำรอบรมให้ควำมรู้ “ใชช้ ีวิตอย่ำงไรให้พอเพียง” การจดั กิจกรรมโครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ ีวิตอยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” ซ่ึงสรุปรายงานผลจากแบบสอบถาม ความคิดเหน็ ข้อมลู ท่ีไดส้ ามารถวเิ คราะห์และแสดงคา่ สถติ ิ ดงั นี้ ตำรำงท่ี 1 ผู้เขา้ รว่ มโครงการที่ตอบแบบสอบถามได้นามาจาแนกตามเพศ รอ้ ยละ เพศ จานวน 11.11 ชาย 2 88.89 หญิง 16 100.00 รวม 18 จากตารางท่ี 1 พบวา่ ผ้ตู อบแบบสอบถามที่เข้ารว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ติ อยา่ งไรให้พอเพียง” จานวน 18 คน สว่ นใหญเ่ ป็นเพศหญิง จานวน 16 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 88.89 และเพศชาย จานวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 11.11 ตำรำงท่ี 2 ผู้เขา้ ร่วมโครงการทต่ี อบแบบสอบถามไดน้ ามาจาแนกตามอายุ อายุ จานวน รอ้ ยละ - 15 – 25 ปี - 5.56 26 - 39 ปี 1 - 40 – 49 ปี - 44.44 50.00 50 - 59 ปี 8 100.00 60 ปีขน้ึ ไป 9 รวม 18 จากตารางท่ี 2 พบวา่ ผ้ตู อบแบบสอบถามทเ่ี ขา้ รว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลบา้ นเซิด สงั กัด กศน.อาเภอพนัสนิคม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 28 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ ีวิตอย่างไรให้พอเพียง” จานวน 18 คน สว่ นใหญ่มอี ายุ 60 ปขี ึน้ ไป จานวน 9 คน คิดเปน็ ร้อยละ 50.00 รองลงมาคอื อายุระหวา่ ง 50-59 ปี จานวน 8 คน คดิ เป็นร้อยละ 44.44 และสุดท้ายคืออายุ ระหวา่ ง 26-39 ปี จานวน 1 คน คดิ เป็นร้อยละ 5.56 ตำรำงท่ี 3 ผเู้ ข้าร่วมโครงการทต่ี อบแบบสอบถามได้นามาจาแนกตามอาชพี ประกอบอาชีพ จานวน ร้อยละ รับจา้ ง 3 16.67 คา้ ขาย 1 5.56 เกษตรกร 12 66.67 ลกู จา้ ง/ขา้ ราชการหนว่ ยงานภาครัฐหรอื เอกชน - - อ่ืน ๆ 2 11.11 รวม 18 100.00 จากตารางที่ 3 พบว่าผ้ตู อบแบบสอบถามที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนร้ตู ามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ วี ิตอย่างไรให้พอเพยี ง” จานวน 18 คน สว่ นใหญป่ ระกอบอาชีพเกษตรกร จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 66.67 รองลงมาคืออาชพี รับจ้าง จานวน 3 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 16.67 อาชพี อน่ื ๆ จานวน 2 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 11.11 และสดุ ท้ายประกอบอาชพี ค้าขาย จานวน 1 คน คดิ เป็นร้อยละ 5.56 ตำรำงที่ 4 ผู้เข้าร่วมโครงการทต่ี อบแบบสอบถามไดน้ ามาจาแนกตามระดับการศึกษา ระดับการศกึ ษา จานวน รอ้ ยละ - ต่ากวา่ ป.4 - 11.11 ป.4 2 38.89 11.11 ประถมศกึ ษา 7 22.22 5.56 มัธยมศึกษาตอนตน้ 2 11.11 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 4 - 100.00 อนปุ ริญญา 1 ปรญิ ญาตรี 2 สูงกว่าปริญญาตรี - รวม 18 จากตารางท่ี 4 พบวา่ ผ้ตู อบแบบสอบถามทเ่ี ขา้ รว่ มกิจกรรมการเรียนรตู้ ามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรให้พอเพียง” จานวน 16 คน ส่วนใหญ่มกี ารศึกษาระดบั ประถม จานวน 7 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 38.89 รองลงมาคือระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จานวน 4 คน คดิ เป็นร้อยละ 22.22 ระดบั ประถมศึกษาปีที่ 4 จานวน 2 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 11.11 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น จานวน 2 คน คดิ เปน็ ร้อย ละ 11.11 ระดบั ปรญิ ญาตรี จานวน 2 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 11.11 สุดทา้ ยคือระดบั อนุปรญิ ญา จานวน 1 คน กศน.ตาบลบ้านเซิด สังกัด กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจดั กิจกรรม 29 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรให้พอเพียง” คิดเป็นรอ้ ยละ 5.56 ตำรำงท่ี 5 แสดงคา่ รอ้ ยละเฉลี่ยความสาเร็จของตัวชว้ี ดั ผลผลิต ประชาชนทวั่ ไปเข้ารว่ มโครงการจานวน 18 คน ผลสาเรจ็ ของโครงการ จานวน รอ้ ยละ เปา้ หมายโครงการ 15 100.00 ผ้เู ขา้ ร่วมโครงการ 18 100.00 จากตารางท่ี 5 พบวา่ ผลสาเร็จของตัวชี้วัดผลผลิตกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรให้พอเพียง” มีผเู้ ข้ารว่ มโครงการ จานวน 18 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 ซ่งึ บรรลเุ ป้าหมายดา้ นตวั ชว้ี ัด ผลผลิต ตำรำงท่ี 6 ค่าเฉลีย่ และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานความพึงพอใจของผูเ้ ข้ารว่ มกิจกรรมที่มีความพงึ พอใจต่อโครงการ อบรมให้ความรู้ “ใชช้ ีวติ อยา่ งไรใหพ้ อเพียง” ในภำพรวม รายการ ค่าเฉล่ยี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ระดับ ความพึงพอใจ ดา้ นการบรหิ ารจัดการ () () ความพึงพอใจด้านกระบวน 4.80 0.40 ดีมาก การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้/การอบรม 4.77 0.42 ดมี าก ด้านประโยชน์ทีไ่ ด้รับ รวมทกุ ดา้ น 4.67 0.48 ดมี าก 4.75 0.43 ดีมาก จากตารางที่ 6 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีความพึงพอใจต่อโครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ ีวิตอย่างไร ใหพ้ อเพียง” ในภาพรวม จานวน 18 คน อยู่ในระดบั ดีมาก (=4.75) เม่ือพิจารณาเปน็ รายดา้ น พบว่า ดา้ น การบริหารจดั การ อยู่ในระดับมากท่สี ุด มีคา่ เฉลีย่ (= 4.80) รองลงมาคือ ความพงึ พอใจดา้ นกระบวนการจัด กิจกรรมการเรยี นรู้/การอบรม มีอยูใ่ นระดับดมี าก มคี า่ เฉล่ีย (= 4.77) และสดุ ท้ายด้านประโยชน์ที่ได้รับ อยู่ในระดบั ดีมาก มีค่าเฉล่ยี (= 4.77) ตามลาดบั โดยมีส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน () อยรู่ ะหวา่ ง 0.40 - 0.48 แสดงว่า ผ้เู ขา้ รว่ มกจิ กรรมมีความพึงพอใจสอดคล้องกัน กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สงั กดั กศน.อาเภอพนสั นิคม
สรปุ ผลการจดั กิจกรรม 30 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไรใหพ้ อเพียง” ตำรำงท่ี 7 ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานความพึงพอใจของผู้เข้ารว่ มกจิ กรรมท่ีมีความพึงพอใจต่อ โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชวี ิตอยา่ งไรให้พอเพยี ง” ดำ้ นกำรบริหำรจดั กำร รายการ คา่ เฉลีย่ สว่ นเบีย่ งเบน ระดบั ความพึงพอใจ 1. อาคารสถานที่ () มาตรฐาน () 2. ส่ิงอานวยความสะดวก 4.78 0.43 ดมี าก 3. กาหนดการและระยะเวลาในการดาเนนิ โครงการ 4.72 0.46 ดมี าก 4. เอกสารการอบรม 4.78 0.43 ดมี าก 5. วทิ ยากรผู้ใหก้ ารอบรม 4.89 0.32 ดีมาก 4.83 0.38 ดมี าก รวม 4.80 0.40 ดมี าก จากตารางท่ี 7 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีความพึงพอใจต่อโครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ ีวิตอยา่ งไร ให้พอเพียง” ด้านการบริหารจัดการ ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ย (= 4.80) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า เอกสารการอบรม มีค่าเฉลี่ย (= 4.89) รองลงมา คือ วิทยากรผู้ให้การอบรม มีค่าเฉล่ีย (= 4.83) อาคารสถานท่ีและกาหนดการและระยะเวลาในการดาเนินโครงการ ค่าเฉลี่ย (= 4.78) และสุดท้ายส่ิงอานวย ความสะดวก มีค่าเฉล่ีย (= 4.72) ตามลาดับ โดยมีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน () อยู่ระหว่าง 0.32 - 0.46 แสดงว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมคี วามคิดเห็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั ตำรำงที่ 8 คา่ เฉลยี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมกจิ กรรมท่ีมีความพึงพอใจต่อโครงการ อบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ิตอย่างไรใหพ้ อเพียง” ดำ้ นกระบวนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรู้/กำรอบรม รายการ ค่าเฉล่ยี สว่ นเบีย่ งเบน ระดบั 6. การจัดกจิ กรรมโครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวิต () มาตรฐาน () ความพงึ พอใจ อย่างไรให้พอเพียง” 7. การใหค้ วามรเู้ ร่ืองการดาเนนิ ชีวติ ตามหลักปรชั ญา 4.78 0.43 ดีมาก ของเศรษฐกิจพอเพยี ง 8. การตอบข้อซักถามของวิทยากร 4.83 0.38 ดีมาก 9. การแลกเปลยี่ นเรยี นรขู้ องผเู้ ขา้ รับการอบรม 10. การสรปุ องค์ความรรู้ ว่ มกัน 4.89 0.32 ดมี าก 11. การวัดผล ประเมนิ ผล การฝกึ อบรม 4.67 0.49 ดมี าก 4.72 0.46 ดมี าก รวม 4.72 0.46 ดมี าก 4.77 0.42 ดีมาก กศน.ตาบลบ้านเซิด สงั กดั กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม 31 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชวี ิตอยา่ งไรให้พอเพียง” จากตารางที่ 8 พบวา่ ผตู้ อบแบบสอบถามมคี วามพงึ พอใจต่อโครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ ีวิตอยา่ งไรให้ พอเพียง” ดา้ นกระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้/การอบรม ในภาพรวมอยู่ในระดับดมี าก มีค่าเฉลยี่ (= 4.79) เมอื่ พจิ ารณาเป็นรายขอ้ พบว่า การตอบข้อซักถามของวิทยากร มีค่าเฉลีย่ (= 4.89) รองลงมาคือ การใหค้ วามรู้ เรอ่ื งการดาเนินชวี ิตตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มีคา่ เฉลี่ย (= 4.83 ) การจดั กจิ กรรมโครงการอบรม ให้ความรู้ “ใช้ชีวติ อย่างไรให้พอเพียง” มีคา่ เฉล่ีย (= 4.78) การสรุปองคค์ วามรูร้ ่วมกันและการวดั ผล ประเมินผล การฝกึ อบรม มีค่าเฉลยี่ (= 4.72) และสุดท้ายการแลกเปล่ยี นเรยี นรขู้ องผูเ้ ขา้ รับการอบรม มีค่าเฉลย่ี (= 4.67) ตามลาดับ โดยมีสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน () อยู่ระหวา่ ง 0.32 - 0.49 แสดงว่า ผตู้ อบแบบสอบถามมีความคดิ เห็น สอดคลอ้ งกนั ตำรำงที่ 9 คา่ เฉล่ียและสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานความพึงพอใจของผเู้ ข้าร่วมกจิ กรรมท่ีมีความพึงพอใจตอ่ โครงการ อบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” ดำ้ นประโยชน์ที่ได้รบั รายการ ค่าเฉล่ยี สว่ นเบี่ยงเบน ระดบั ความ () มาตรฐาน () พงึ พอใจ 12. การเรียนรู้และฝกึ ตนเองเกยี่ วกบั การดาเนินชีวิต 4.61 ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 0.50 ดีมาก 13. การนาความรทู้ ี่ไดร้ ับมาปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั 4.72 0.46 ดีมาก รวม 4.67 0.48 ดีมาก จากตารางที่ 9 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจต่อโครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไร ให้พอเพียง” ด้านประโยชน์ที่ได้รับ ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ย (= 4.67) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า การนาความรู้ท่ีไดร้ ับมาปรับใช้ในชีวิตประจาวัน มีค่าเฉลี่ย (= 4.72) และการเรียนรแู้ ละฝึกตนเองเก่ยี วกับ การดาเนนิ ชวี ติ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง มคี า่ เฉลย่ี (= 4.61) โดยมสี ่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน () อยรู่ ะหวา่ ง 0.46 - 0.50 แสดงว่าผู้ตอบแบบสอบถามมคี วามคดิ เห็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั สรปุ ในภำพรวมของกจิ กรรมคดิ เป็นรอ้ ยละ 95.00 มคี ำ่ น้ำหนกั คะแนน 4.75 ถือวำ่ ผู้รบั บรกิ ำร มคี วำมพึงพอใจทำงด้ำนต่ำงๆ อยู่ในระดับดมี ำก โดยเรียงลำดบั ดงั นี้ อนั ดบั แรก ดา้ นการบริหารจัดการ คดิ เปน็ ร้อยละ 96.00 มคี ่าน้าหนักคะแนน 4.80 อยู่ในระดับ คุณภาพดีมาก อนั ดบั สอง ดา้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้/การอบรม คดิ เป็นร้อยละ 95.40 มีค่าน้าหนกั คะแนน 4.77 อยูใ่ นระดบั คุณภาพดี อันดับสำม ด้านประโยชนท์ ี่ไดร้ ับ คดิ เปน็ ร้อยละ 93.40 มีคา่ น้าหนักคะแนน 4.67 อยู่ในระดบั คุณภาพดี กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สังกัด กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 32 โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชวี ิตอยา่ งไรให้พอเพียง” บทที่ 5 อภิปรำยและข้อเสนอแนะ ผลการจดั กจิ กรรมโครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ ีวิตอยา่ งไรให้พอเพียง” ไดผ้ ลสรปุ ดังนี้ วัตถุประสงค์ 1. เพือ่ ใหผ้ เู้ ข้าร่วมกจิ กรรมสามารถใช้ชีวติ ประจาวันตามหลักของความพอเพียงใชช้ วี ิตอย่างรอบคอบ ไมฟ่ ุ่มเฟือยและใชท้ รัพยากรท่ีมีอย่ใู หเ้ กิดประโยชนแ์ ละเกิดรายได้ในครัวเรือน 2. เพ่ือใหผ้ ู้เข้ารว่ มกจิ กรรมเกิดความสานึกถงึ พระมหากรุณาธิคุณและตระหนักถึงความห่วงใยของ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว (รัชกาลที่ 9) เปำ้ หมำย (Outputs) เป้ำหมำยเชิงปรมิ ำณ ประชาชน 3 ตาบล ๆ ละ 6 คน ไดแ้ ก่ ตาบลบ้านช้าง ตาบลบา้ นเซิด และตาบลหัวถนน รวมทัง้ สน้ิ 18 คน เปำ้ หมำยเชิงคุณภำพ - ผเู้ ข้าร่วมกจิ กรรมสามารถใช้ชวี ิตประจาวนั ตามหลักของความพอเพยี งใชช้ ีวติ อย่างรอบคอบ ไมฟ่ ุ่มเฟือยและใชท้ รัพยากรท่ีมอี ยใู่ ห้เกดิ ประโยชนแ์ ละเกิดรายไดใ้ นครวั เรือน - ผู้เขา้ ร่วมกิจกรรมเกดิ ความสานึกถึงพระมหากรณุ าธิคุณและตระหนกั ถงึ ความหว่ งใยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว (รัชกาลที่ 9) เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในกำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลในคร้งั นี้ คือ แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ กำรเก็บรวบรวมข้อมลู ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้มอบหมายให้ ครู กศน.ตาบลที่รับผิดชอบกจิ กรรมแจกแบบสอบถามความ พงึ พอใจให้กับผรู้ ่วมกิจกรรม โดยให้ผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรมประเมนิ ผลการจดั กิจกรรมตา่ งๆ ตามโครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ติ อยา่ งไรให้พอเพียง” สรปุ ผลกำรดำเนินงำน กศน.ตาบลบ้านช้าง กศน.ตาบลบา้ นเซดิ และกศน.ตาบลหัวถนน ไดด้ าเนนิ การจดั กิจกรรมตาม โครงการ อบรมให้ความรู้ “ใช้ชวี ติ อย่างไรใหพ้ อเพยี ง” โดยดาเนินการเสร็จสิ้นลงแลว้ และสรุปรายงานผลการดาเนินงานไดด้ ังนี้ 1. ผู้ร่วมกจิ กรรมจานวน 18 คน สามารถใช้ชวี ิตประจาวนั ตามหลกั ของความพอเพียงใช้ชีวิตอยา่ งรอบคอบ ไม่ฟุ่มเฟือยและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกดิ ประโยชน์และเกดิ รายได้ในครัวเรือน ตลอดจนเกดิ ความสานึกถึงพระมหา กรุณาธิคุณและตระหนกั ถงึ ความหว่ งใยของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั (รัชกาลท่ี 9) 2. ผรู้ ่วมกจิ กรรมรอ้ ยละ 93.40 นาความรู้ทไ่ี ดร้ ับมาปรับใชใ้ นชีวิตประจาวนั กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สังกัด กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม 33 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใช้ชีวิตอยา่ งไรให้พอเพยี ง” 3. จากการดาเนินกิจกรรมตามโครงการดงั กลา่ ว สรปุ โดยภาพรวมพบวา่ ผู้เข้ารว่ มกิจกรรมส่วนใหญม่ ีความ พงึ พอใจต่อโครงการ อยใู่ นระดับ “ดีมำก ” และบรรลุความสาเร็จตามเป้าหมายตัวชีว้ ัดผลลพั ธ์ท่ตี งั้ ไว้ โดยมีคา่ เฉลี่ย รอ้ ยละภาพรวมของกจิ กรรม 95.00 และค่าการบรรลุเป้าหมายคา่ เฉลยี่ 4.75 ขอ้ เสนอแนะ - อยากใหม้ ีการจัดกจิ กรรมนี้อีก เพราะสามารถนาความรู้ไปใช้ในการดาเนนิ ชวี ติ ประจาวันไดอ้ ยา่ งทนั ต่อ สถานการณ์ในปจั จบุ ัน กศน.ตาบลบ้านเซดิ สังกดั กศน.อาเภอพนสั นิคม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม 34 โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ ีวติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” บรรณำนกุ รม ทีม่ า กรมการศึกษานอกโรงเรยี น (2546) บุญชม ศรสี ะอาด และ บญุ ส่ง นิลแก้ว (2535 หนา้ 22-25) กระทรวงศกึ ษาธกิ าร . (2543). https://home.kapook.com/view44224.html กศน.ตาบลบ้านเซดิ สังกดั กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจัดกจิ กรรม โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวติ อยา่ งไรใหพ้ อเพยี ง” ภาคผนวก กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สังกดั กศน.อาเภอพนสั นคิ ม
สรปุ ผลการจดั กจิ กรรม โครงการอบรมใหค้ วามรู้ “ใช้ชีวติ อยา่ งไรให้พอเพียง” คณะผ้จู ดั ทา ทีป่ รึกษา หมื่นสา ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอพนัสนิคม 1. นางณัชธกญั การงานดี ครู 2. นางสาวมทุ ิกา เพชรประเสริฐ ครู กศน.ตาบลบา้ นเซดิ คณะทางาน นางสาวสุนทรี เพชรประเสริฐ ครู กศน.ตาบลบา้ นเซดิ บรรณาธกิ าร นางสาวสนุ ทรี กศน.ตาบลบา้ นเซดิ สังกดั กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
สรปุ ผลการจัดกิจกรรม โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรใหพ้ อเพียง” ภาพประกอบการจัดกจิ กรรม โครงการอบรมให้ความรู้ “ใชช้ วี ิตอยา่ งไรให้พอเพยี ง” วนั ที่ 29 มถิ นุ ายน 2563 ณ ศาลาการเปรียญวดั เซดิ สาราญ ม.8 ต.บ้านเซิด อ.พนัสนคิ ม จ.ชลบรุ ี วทิ ยากรคือนางสาวฉัตราภรณ์ ฤทธิพนั ธว์ุ รกุล นักวชิ าการส่งเสริมการเกษตร สานกั งานเกษตรอาเภอพนสั นคิ ม ผู้เขา้ รว่ มกจิ กรรมจานวน 18 คน กศน.ตาบลบ้านเซดิ สงั กัด กศน.อาเภอพนัสนคิ ม
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: