ค่มู ือการป้ องกนั ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น ประจำปี พ.ศ 2564 งานกฎหมาย ฝ่ ายนโยบายและแผน สานักงานปลดั องค์การบริหารส่วนตาบลคลองนา้ ไหล
คำนำ ปัญหำผลประโยชน์ทับซ้อน ถือเป็นกำรคอร์รัปชััน่ ประเภทหน่ึง ซึ่งเป็นกำรแสวงหำ ผลประโยชน์สัวนบุคคลโดยกำรัละเมิดกฎหมำยและจริยธรรม เม่ือผลประโยชน์สัวนตนเข้ำมำเกย่ั วข้อง สงผลให้มกำรใช้อำนำจไปแทรกแซงกำรใช้ัดุลพินจิ ในกระบวนกำรตัดสินใจ และทำให้ละทิ้งคัุณธรรมในกำร ปฏัิบตั หิ นำ้ั ท่ ขำดควำมเป็นอัิสระ ควำมเป็นกลำงัและควำมเป็นธรรม สงผลกระทบตอประโยชน์ทป่ ระชำชน จะได้รับทำให้ผลประโยชน์หลักั ขององค์กร หนวยงำนัโดยเฉพำะผลประโยชน์ของประชำชนในชัุมชนต้อง เสยหำยกำรแก้ไขปัญหำดังกลำวได้แก กำรใช้มำตรกำรทำงักฎหมำย โดยกำรกำหนดหลักกำรไวใั้ น รฐั ธรรมนูญ และมำตรกำรไว้ัในพระรำชบญั ญัตติ ำงัๆั ดังนั้นัคณะผู้บริหำร พนักงำนสัวนตำบลัและเจ้ำหน้ำท่ผู้ปฏิับัติรำชกำรัองค์กำรบริหำรสัวน ตำบลคลองนำ้ ไหลัจึงตอ้ งมควำมรู้ควำมเขำ้ ใจ เกย่ วกับกำรป้องกนัั ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น เพื่ัอใหร้ ู้เทำทันและ ไมตกเป็นเครอ่ื งมอื ให้บุคคลอ่นื แสวงหำผลประโยชน์ องค์กำรบริหำรสวั นตำบลคลองน้ำไหล จัดทำ“คูมือั กำรป้องกนัั ผลประโยชน์ทับซ้อน” เลัมน้ ข้ึนัเพอั่ื ประโยชน์แกคณะผู้บริหำร พนกั งำนสัวนตำบลัตลอดจนเจ้ำหน้ำท่ผู้ปฏิบั ัตริ ำชกำรในสังกัดองค์กำร บริหำรสวนตำบลคลองนำ้ ไหล ตอไป ัััั งำนกฎหมำยัฝ่ำยนโยบำยและแผนั สำนักงำนปลัด องค์กำรบริหำรสวนตำบลคลองน้ำไหล พ.ศ.ั2564
หนำ้ ั บทท่ 1 นิยำมศัพท์ผลประโยชนท์ ับซอ้ นและรูปแบบของผลประโยชน์ทับซอ้ นัััััััััััััััััััััััััััััััััั1ััััััััััััััััััััััั บทท่ 2 กฎหมำยเก่ยวกบั กำรป้องกัันผลประโยชน์ทับซ้อนััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััั 5 บทท่ 3 แนวทำงปฏบิ ตั ิเพ่ือป้องกนั “ผลประโยชน์ทับซ้อน” 10
1 บทท่ 1 นิัยำมศััพท์ัผลประโยชน์ทั ัับซ้ัอน ............................. ควำมหมำยของผลประโยชน์ัทับั ซ้ัอน (Conflict of Interests) ผลประโยชน์ัทัับซ้ัอน หรือควำมขัดั แยง้ กัันระหวัำงผลประโยชน์สวั นตัวและผลประโยชน์สัวนรวมหรือั ผลประโยชนข์ ดั กนัั หมำยถงึ กำรท่เจ้ำหน้ัำทร่ ัฐปฏิับตั หิ นั้ำท่โดยคำนงึ ถงึ ประโยชน์สัวนตนหรือพวกพ้ัองเปน็ หลักั ซัง่ึ ั ถือเปน็ ควำมผดิั เชิังจรยิ ธรรมและเปน็ ควำมผิดขัน้ แรกท่จะนำไปสกู ำรทุจริต ผลประโยชน์ัสวั นตััว Private Interest เป็นผลตอบแทนท่บุคคลได้รบั โดยเห็นวำั มคัุณคำั ท่จะสนองตอบั ควำมต้องกำรของตนเองหรือของกลุมท่ตนเองเก่ยวข้องผลประโยชน์เป็นสิั่งจูงใจให้คนเรำมพฤติกรรมตำงๆเพัอ่ื ั สนองควำมต้องกำรทั้งหลำยั ผลประโยชน์สัวนตนั ม ๒ ประเภทั คือ ท่เก่ัยวกับเงินั (pecuniary) และท่ไัมั เก่ยวกบั เงนิ (non-pecuniary) ๑. ผลประโยชน์สวั นตนท่เก่ยวกับเงิน ไมได้เก่ยวกับกำรได้มำซ่ึงเงินทองเทำนั้น แตยังเกั่ยวกับกำรเพ่ิมพัูนั ประโยชน์ หรอื ปกป้องกำรสูัญเสยของส่ิงท่มอยูแล้ว เชัน ทด่ ิน หัุ้น ตำแหนงในบรษิ ัทท่รบั งำนจำกหนวยงำนัรวมถังึ กำรได้มำซ่ึงผลประโยชน์อ่ืน ๆ ท่ไมได้อยูในรูปตัวเงิน เชัน สัมปทำนัสวนลดของขวัญ หรือของท่แสดงน้ำใจัไมตร อันื่ ๆ ๒. ผลประโยชน์ท่ไมเก่ัยวกับเงิน เกิดจำกควำมสัมพันธ์ระหวำั งบุคคล ครอบครัว หรือกจิั กรรมทำงสังคมั วััฒนธรรม อ่ืัน ๆ เชัน สถำบันกำรศึกษำ สมำคม ลัทธิัแนวคิด มักอยูในรูปควำมลำเอัยง /อคติั/เลือกท่รักมัักท่ชั ัังั และมขั อ้ สังเกตวำแม้แต ควำมเชอ่ัื /ควำมคดิ เหน็ สวนตัวกจ็ ดั อยใู นประเภทน้ ผลประโยชน์สั วั นรวมหรือั ผลประโยชน์ัสำธำรณะ Public Interest สิ่งใดก็ตำมท่ให้ประโยชน์สขุั แกกลุมั บุคคล ท้ังหลำยในสังัคมผลประโยชน์สำธำรณะยังหมำยถึงหลักประโยชน์ตอมวลสมำชิกกำรระบุผลประโยชน์ั สำธำรณะไมใชเร่อื งงำั ย แตในเบื้องต้นเจ้ำหน้ำท่ภำครฐั สำมำรถให้ควำมสำคญั อัันดบั ต้นแกสิง่ น้โดย - ทำงำนตำมหน้ำท่อยำงเตม็ ทแ่ ละมประสทิ ธิภั ำพ - ทำงำนตำมหน้ำทต่ ำมกรอบและมำตรฐำนทำงจรยิ ธรรม - ระบุผลประโยชนท์ บั ซอ้ นท่ตนเองมหรอื อำจจะมและจัดกำรอยำงมประสิทธิัภำพ - ให้ควำมสำคัญอัันดับต้นแกผลประโยชนส์ ำธำรณะัมควำมคำดหวงั วัำเจ้ำหนำ้ั ทต่ ้องจำกดั ขอบเขตทั่ ประโยชน์ สวนตนจะมำมัผลตอควำมเปน็ กลำงในกำรทำหน้ำท่
2 - หลักเล่ยงกำรตัดสินใจหรือกำรทำหน้ำท่ท่มผลประโยชน์ทับซ้อนหลักเล่ยงกำรกระทำ /กิจกรรมสัวนั ตนทอ่ ำจทำให้คนเหน็ วำัได้ประโยชนจ์ ำกขอ้ มูลภำยใน - หลกั เลย่ งกำรใชต้ ำแหนงหน้ำั ท่หรือทรัพยำกรของหนวยงำนเพอื่ ประโยชน์สัวนตน - ปอ้ งกันข้อั ครหำวำัได้รบั ผลประโยชนท์ ่ไมสมควรจำกกำรใช้ัอำนำจหน้ำท่ - ไมใช้ประโยชน์จำกตำแหนงหรือั ข้อมูลภำยในท่ได้ขณะอยูในตำแหนง ขณะท่ไปหำตำแหนงังำนใหมั หน้ัำทัส่ ำธำรณะ (public duty) หนำ้ ทส่ ำธำรณะของผู้ท่ทำงำนให้ภำครัฐคือ กำรใหค้ วำมสำคญั อนัั ดบั ต้น แกประโยชน์สำธำรณะั (public interest) คนเหลัำนไ้ มจั ำกดั เฉพำะเจำ้ หน้ัำทข่ องรัฐทง้ั ระดบั ทอ้ งถ่ินและ ระดับประเทศเทำน้ัน แตยงั รวมถึังคนอืัน่ ๆ ทำงำนใหภ้ ำครฐั เชนั ท่ปรึกษำ อำสำสมัคร สำนักั งำนัั ก.พ. ได้นิยำมควำมขัดแย้งกันระหวัำงผลประโยชน์ทับซ้อนและผลประโยชน์สัวนรวมหรือั Conflict of Interests หมำยถึงสถำนกำรณ์หรือกำรกระทำทั่บุคคลไมวำจะเป็นนักกำรเมือง ข้ำรำชกำร พนักงำนั บริษัท หรืัอผู้บริกำร มผลประโยชน์สัวนตัวมำกจนมผลตอกำรตัดสันิ ใจหรืัอกำรปฏิบััติหน้ำท่ในตำแหนงหน้ัำท่ท่ั บุคคลน้นัั รับผิัดชอบอยูและ สงัผลกระทบตอประโยชน์ของสวนรวม กลำวคือ กำรท่เจ้ำหนำ้ั ท่ของรัฐตัดสินใจหรือั ปฏัิบัติหนั้ำท่ในตำแหนงของตน อันกอให้เกิดประโยชน์ตอตนเอง หรือพวกพ้ัองมำกกวำประโยชน์สวั นรวม ซ่ึงกำรั กระทำดังกลำวจะเกัิดขึ้นอยำงรู้ตัวหรือไมรู้ตัว ทั้งเจตนำและไมเจตนำในรูปแบบท่หลำกหลำย จนกระทังั่ กลำยเป็นั ธรรมเนยมปฏิบตัั ิท่ไมเห็นวำั เป็นควำมผิัด ตัวอยำง กำรกระทำดังกลำวมให้พบเห็นได้มำกในสังคมสงผลให้บุคคลั นั้นขำดกำรตัดสินใจท่เท่ยงธรรม เน่ืองจำกกำรยึดผลประโยชน์ สวนตนเป็นหลัักได้สงผลเสัยหำยให้เกิดขึน้ั กับั ประเทศชำติ กอให้เกิดกำรกระทำท่ัผิดจริยธรรมและจรรยำบรรณของเจ้ำหน้ัำท่ ของรัฐท่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ั สำธำรณะ แตทำหน้ำทก่ ลับตัดสนิั ใจหรือั ปฏัิบตั ิหนั้ำทโ่ ดยคำนึงถึงประโยชน์สัวนตนหรือ พวกพ้อั งเป็นหลักั ควำมขัดั แยง้ััั Conflict สถำนกำรณท์ ข่ั ดั กันั ไมัลงรอยเปน็ เหตุกำรณ์อั ันั เกดิ ขัน้ึ เมอื่ บุคคลไมสำมำรถ ตัดสินใจกระทำอยำงใดอยำงหน่งึ ควำมขัดแย้งอำจเกิดขัึ้นไดจ้ ำกควำมไมลงรอยกัันในเรื่องควำมคิัดแนวทำงปฏบิ ตั ิั หรือผลประโยชน์ ั.2รปู แบบของผลประโยชน์ทบั ซอ้ นัแบงออกเปน็ ััรปู แบบั7ไดแ้ ก 1. กำรรับผลประโยชน์ตำงๆั(Acceptingัbenefits)ัคือกำรรับสินบนัหรือรับของขวัญหรือผลประโยชน์ใน รูปแบบอ่ืนๆัท่ไมเหมำะสมและมผลตอกำรปฏิบัติงำนของเจ้ำหน้ำท่ั เชนัหนวยงำนรำชกำรรับเงินบริจำคสร้ำง สำนักงำน จำกนักธุรกิจหรือบริษัทธุรกิจท่เป็นคสู ัญญำกับหนวยงำนักำรใชง้ บประมำณัของรฐั เพื่อจัดซื้อจัดจ้ำงแลว้ เจ้ำหน้ำท่ได้รับของ แถมหรอื ผลประโยชนอ์ น่ื ตอบแทน 2. กำรทำธุรกิจกับตัวเองั(Self-dealing) หรือเป็นคูสัญญำั(Contracts) หมำยถึงัสถำนกำรณ์ท่เจ้ำหน้ำท่ของรัฐ มสวนได้เสยในสัญญำท่ทำกับหนวยงำนท่ตนสังกัดัเชนักำรใช้ตำแหนงหน้ำท่ท่ทำให้หนวยงำนทำสัญญำซื้อสินค้ำจำก บริษทั ของตนเองหรอื จำ้ งบริษัทของตนเองเป็นท่ปรกึ ษำัหรือซ้อื ท่ดินัของตนเองในกำรจัดสรำ้ งสำนกั งำน 3. กำรทำงำนหลังจำกออกจำกตำแหนงสำธำรณะหรือหลังเกษยณั(Post-employment)ัหมำยถึงักำรท่ บุคลำกรออกจำกหนวยงำนของรัฐัและไปทำงำนในบริษัทเอกชนท่ดำเนินธุรกิจประเภทเดยวกับัท่ตนเองเคยมอำนำจ ควบคมุ ักำกับัดูแล 4. กำรทำงำนพิเศษั(Outside employment or moonlighting) เชนัเจ้ำหน้ำท่ของรัฐตั้งบริษัทดำเนินธุรกิจท่ เป็นกำรแขงขันกับหนวยงำนหรือองค์กรสำธำรณะท่ตนสังกัดัหรือกำรรับจ้ำงเป็นท่ปรึกษำโครงกำรโดยอำศัยตำแหนงใน รำชกำรสร้ำงควำมนำเชื่อถอื วำโครงกำรของผูว้ ำจ้ำงจะไมมปัญหำตดิ ขัดัในกำรพิจำรณำจำกหนวยงำนท่ตนสงั กัดอยูั
3 5. กำรรับรู้ข้อมูลภำยในั( Inside information) หมำยถึงัสถำนกำรณ์ท่ผู้ดำรงตำแหนงสำธำรณะ ใชป้ ระโยชน์จำกกำรรู้ข้อมูลภำยในเพื่อประโยชน์ของตนเองัเชนัทรำบวำจะมกำรตัดถนนไปตรงไหนก็รบไปซื้อท่ดินโดยใส ช่ือภรรยำัหรือทรำบวำจะมกำรซื้อท่ดินเพื่อทำโครงกำรของรัฐก็รบไปซ้ือท่ดินเพ่ือเก็งกำไรและขำยให้กับรัฐัในรำคำท่ สงู ขน้ึ 6. กำรใช้ทรัพย์สินของหนวยงำนเพ่ือประโยชน์ของธุรกิจสวนตัวั(Using your employer’s property for private advantage) เชน กำรนำเคร่ืองใช้สำนักงำนตำงๆกลับไปใช้ท่บ้ำนั กำรนำรถยนต์ในรำชกำร ไปใชเ้ พือ่ งำนสวนตัว 7. กำรนำโครงกำรสำธำรณะลงในเขตเลือกตั้งเพ่ือประโยชน์ในทำงกำรเมืองั(Pork-belling) เชนักำรท่นำยกั อบต.ัอนมุ ตั ิโครงกำรของกระทรวงไปลงในพื้นท่หรือบ้ำนเกิดของตนเองัหรอื กำรใช้งบประมำณสำธำรณะัเพ่ือกำรหำเสยง เลือกต้งั จำกรูปแบบประเภทตำงๆของปญั หำควำมขัดแยง้ กันในประโยชนส์ วนตวั และประโยชนส์ วนรวมั จะเห็นวำโอกำสควำมเป็นไปได้ทจ่ ะเกดิ ปัญหำมสงู มำกเพรำะปัญหำดงั กลำวมขอบเขตครอบคลุมพฤติกรรมทเ่ ข้ำขำยควำม ขัดแย้งอยำงกว้ำงขวำงัดังน้ันกลไกหรือเครื่องมือสวนใหญท่ใชใ้ นกำรจัดกำรกบั ปญั หำัควำมขัดแย้งัััััของผลประโยชน์ สวนตัวกบั ผลประโยชนส์ วนรวมัคอื ักำรมหลักคุณธรรมและจรยิ ธรรมัในกำรทำงำนของบคุ คลสำธำรณะรวมถงึ กำรม กฎหมำยท่สำมำรถครอบคลุมถงึ กำรกระทำผิดเกย่ วกบั ผลประโยชน์ทับซอ้ นทุกรูปแบบ
4 แผนภำพรูปแบบของผลประโยชน์ทบั ซอ้ น กำรรับประโยชนต์ ำงๆ รบั ของขวญั ัเงนิ / (Accepting benefits) เงนิ ัััััััััััััััััััั/สนบั สนนุ บริจำคจำกลกู คำ้ ของหนวยงำน กำรทำธรุ กิจกับตัวเองั(Self-dealing) หรือเป็นคูสัญญำั(Contracts) มสวนไดเ้ สยในสญั ญำท่ทำกับ หนวยงำนตน้ สงั กดั กำรทำงำนหลงั จำกออกจำกตำแหนง สำธำรณะหรือหลังเกษยณัััััััั ลำออกจำกหนวยงำนเพอ่ื ไปทำงำน ในหนวยงำนท่ดำเนินธุรกจิ ประเภท (Post-employment) เดยวกัน กำรทำงำนพเิ ศษั(Outside employment or moonlighting) ตั้งบรษิ ัทดำเนินธุรกิจทแ่ ขงขันหรอื ััั รับงำนจำกหนวยงำนต้นสงั กัด กำรรับรู้ข้อมูลภำยในััััััััััััั (Inside information) ใช้ประโยชนจ์ ำกขอ้ มูลภำยในเพอื่ ประโยชน์ของตนเอง กำรใช้สมบตั ิของหนวยงำนเพ่ือ ประโยชน์ของธรุ กจิ สวนตวั ัััััั นำทรพั ยส์ ินของหนวยงำนไปใชั้ ััััั ในงำนสวนตัว (Using your employer’s property for private advantage) นำยกัอบตอนุมัตโิ ครงกำรไปลงใน. พนื้ ท่ตนเองัหรือกำรใชง้ บ กำรนำโครงกำรสำธำรณะลงในเขต สำธำรณะัััััเพอ่ื หำเสยง เลอื กตง้ั เพื่อประโยชนใ์ นทำงกำรเมืองั (Pork-belling)
5 บทท่ 2 กฎหมำยเก่ยั วกับั กำรป้ัองกัันผลประโยชน์ัทัับซ้ัอน ---------------------------------------- กฎหมำยทเ่ักยั่ วข้ัอง ๑. พระรำชบัญั ญัตั ิัประกอบรัฐั ธรรมนูญั วัำด้ัวยกำรป้ัองกัันและปรำบปรำมกำรทุัจริัต พ.ศ. 2542 และั แก้ไัขัเพิมั่ เติมั พ.ศ. 2550 และแก้ัไขเพิมั่ เตัิม (ฉบัับท่ั๒) พ.ศ. 2554 มำตรำ 100 ห้ำมมิให้เจั้ำหน้ำท่ของรัฐั ผใู้ ดดำเนนิ กจิ กำรดงั ตอไปน้ (๑) เปน็ คูสัญญำหรือมสั วนไดส้ วนเสยั ในสญัั ญำท่ทำกับหนวยงำนของรัฐท่เจำ้ หน้ำทข่ องรัฐผู้นััน้ ปฏบิั ัติ หนำ้ ท่ ในฐำนะทเ่ ป็นเจำ้ หนัำ้ ทข่ องรฐั ซ่ึงมอำนำจกบั กับดูแลควบคุมตรวจสอบหรือดำเนินคด (๒) เป็นหนุั้ สวั นหรือั ผู้ถือหุ้นในห้ำั งหุ้นสวั นหรืัอบริษัทท่เขั้ำเป็นคูสัญญำกับหนวยงำนของรัฐท่เจ้ำหน้ำท่ั ของรฐั ผนู้ั ้ันปฏบัิ ตั ิหนั้ำท่ในฐำนะทั่เป็นเจั้ำหน้ำท่ของรัฐ ซึง่ มอำนำจกำกัับดูแลควบคุมตรวจสอบหรือดำเนนิ คดั (๓) รับสััมปทำนหรือคงถือไวั้ซึ่งสัมปทำนจำกรัฐหนวยรำชกำรหนวยงำนของรัฐัรฐั วิัสำหกจิ หรือรำชกำร สวนท้องถ่ินหรือเขัำ้ เป็นคูสัญญำกับรัฐหนวยรำชกำรหนวยงำนของรัฐัรัฐวสิั ำหกิจหรือรำชกำรสวั นท้องถิ่นอันั มั ลักษณะเป็น กำรผูกขำดตัดตอน ทั้งน้ไมวำโดยทำงตรงหรือทำงอ้ัอม หรือเป็นหุ้นสวนหรือั ผ้ถู ือหุ้นในห้ัำงหนุ้ สวั นั หรอื บรษิ ทั ทรั่ ับสมัั ปทำน หรือั เขำ้ เป็นคสู ญั ญำในลกั ษณะดงั กลำว (๔) เข้ำไปมสวนได้เสยในฐำนะเป็นกรรมกำรท่ปรึกษำ ตัวแทนพนักงำน หรืัอลูกจ้ำงในธุรั กิจของเอกชนั ซึ่งอยู ภำยใต้กำรกำกัับดูแลควบคุมหรือตรวจสอบของหนวยงำนของรัฐท่เจ้ำหน้ำท่ของรัฐผู้นัั้นสังักดัั อยูหรัือั ปฏับิ ัตหิ นัำ้ ทใ่ นฐำนะเปน็ เจำ้ หน้ำทข่ องรฐั ซง่ึ โดยสภำพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนัั้นอำจขัดั แย้งตอั ประโยชน์สัวนรวมหรือประโยชน์ ทำงรำชกำรหรือั กระทบตอควำมมอสัิ ระในกำรปฏัิบัติหน้ัำท่ของเจ้ำหนำั้ ทข่ องั รฐั ผู้นัั้น เจ้ำหน้ัำท่ของรัฐตำแหนงใดท่ต้องห้ำมมิให้ดำเนินกิจกำรตำมวรรคหน่ึง ให้เป็นไปตำมทัค่ ณะกรรมกำรั ป้องกันและปรำบปรำมกำรทุจริตแหงชำติ (ป.ป.ช.) กำหนดโดยประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำให้นำบทบัญญตั ใิ นั วรรคหนั่ึงมำใชบ้ั ังคับ กับคัูสมรสของเจ้ำหน้ัำท่ของรัฐตำมวรรคสอง โดยให้ถือวำั กำรดำเนินกิจกำรของคูสมรสั ดังกลำวเปน็ กำรดำเนินกจิ กำรของ เจำ้ หนำ้ ท่ของรัฐ
7 ฃ มำตรำ 101 ให้นำบทบัญญัติมำตรำ 100 มำใชับ้ ังคับกัับกำรดำเนินกิจกำรของผู้ซ่ึงพั้นจำกกำรเป็นั เจ้ำหน้ัำท่ ของรัฐมำแล้วยังไมถังึ สองปี โดยอนุโลมเว้นแตกำรเป็นผัู้ถือหุ้นไมเกิันร้อยละห้ำของจำนวนหุ้นท้ังหมดท่ั จำหนัำยได้ในบริษัท มหำชนจำกัด ซึ่งไมใัชบรษัิ ัทท่เป็นคูสัญญำกับหนวยงำนของรัฐตำมมำตรำั 100 (2) ท่ได้รับั อนุญำตตำมกฎหมำยวำั ดว้ ย หลกั ทรพั ย์และตลำดหลัักทรพั ย์ มำตรำั 102 บทบัญญตั ิมำตรำั 100 มิให้นำมำใชั้บังคบั กบัั กำรดำเนนิ กจิ กำรของเจ้ำหนั้ำทข่ องรัฐซง่ึ หนวยงำนท่มอำนำจกำกบัั ดูแล ควบคุม หรืัอตรวจสอบกำรดำเนินงำนของบริษัทจำกดัั หรือบริษัทมหำชนจำกดั ั มอบหมำยใหป้ ฏัิบัติ หน้ำท่ในบริษัทจำกดัั หรอื บริษทั มหำชนจำกัดท่หนวยงำนของรัฐถือหุ้นหรอื เขั้ำรวมทุน มำตรำ 103 ห้ำมมใิ หเ้ จั้ำหนำ้ ท่ของรัฐผใู้ ดรับทรัพย์สินหรอื ประโยชนอ์ นื่ ใดจำกบุคคลนอกเหนือจำก ทรัพย์สันิ หรือประโยชน์อันควรได้ตำมกฎหมำย หรือกฎข้อบังคับทั่ออกโดยอำศัยั อำนำจตำมบทบัญญัติแหงั กฎหมำยเว้นั แตกำรรับทรัพย์สันิ หรือั ประโยชน์อ่ืนใดโดยธรรมจรรยำตำมหลัักเกณฑแั์ ละจำนวนท่คณะกรรมกำรั ป.ป.ช. กำหนดบทบัญญตั ใิ นวรรคหน่ึงให้ใช้ับังคับกัับกำรรับทรัพย์สินหรอื ประโยชน์อื่นใดของผู้ทพ่ ั้นจำกกำรเป็นั เจำ้ หนัำ้ ทข่ องรัฐมำแล้วยงั ไมถัึงสองปดี ้วยโดยอนุโลม มำตรำ 103/1 บรรดำควำมผิดท่บัญญัติไว้ในหมวดนใ้ หถ้ ือเปน็ ควำมผดัิ ฐำนทุจริตตอหนำ้ ทห่ รือควำมผิดั ตอตำแหนงหนำั้ ท่รำชกำรหรอื ควำมผดิ ตอตำแหนงหนัำ้ ทใ่ นกำรยตุ ิธรรมตำมประมวลกฎหมำยอำญำด้วย บทลงโทษ มำตรำ 122 เจ้ำหนำ้ั ท่ของรัฐผู้ใดฝัำฝืนบทบัญญัติมำตรำ 100 มำตรำั101 หรือมำตรำ 103 ต้องั ระวำงโทษจำคุกไมเกิันสำมปีหรือปรับไมัเกินหกหมื่นบำทหรือท้ังจำทั้งปรับกรณควำมผิดตำมมำตรำั 100 วรรคั สำมหำกเจำ้ หนัำ้ ทข่ องรัฐผใู้ ดพสิ จู น์ได้วำตนมไิ ดร้ เู้ ห็นยินยอมดว้ ยในกำรทค่ ัูสมรสของตนดำเนินกำรตำมมำตรำ 100 วรรคหนง่ัึ ให้ถอื วำั ผู้น้นัั ไมมั ควำมผดิ ๒. ประกำศคณะกรรมกำรป้ัองกัันและปรำบปรำมกำรทุัจริัตแหงัชำติเัรัื่องหลัักเกณฑ์ักำรรัับทรััพย์ัสิันั หรืัอประโยชน์ัอน่ืั ใดโดยธรรมจรรยำของเจ้ัำหน้ัำทั่ของรัฐั ัพ.ศ. 2543 อำศัยอำนำจตำมควำมในมำตรำัั103 แหงพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวำั ด้วยกำรป้องกันั และั ปรำบปรำมกำรทุจรติ พ.ศ. 2542 คณะกรรมกำรป้องกันั และปรำบปรำมกำรทุจริตแหงชำติัจึงกำหนดหลัักเกณฑ์ั และจำนวน ทรพั ย์สนิั หรือั ประโยชนอ์ ่ืนใดทัเ่ จ้ำหนำ้ั ทข่ องรัฐจะรับจำกบคุ คลได้โดยธรรมจรรยำไวด้ ังน้ ขอ้ 1 ประกำศน้เรยกวำั “ประกำศคณะกรรมกำรป้องกัันและปรำบปรำมกำรทุจริตแหงชำติเร่ืองั หลกัั เกณฑ์ กำรรบั ทรัพย์สินหรือประโยชน์อน่ื ใดโดยธรรมจรรยำของเจ้ำหนัำ้ ท่ของรัฐ พ.ศ. 2543 ขอ้ 2 ประกำศนใ้ หใ้ ชบ้ ังคับตงั้ แตวันถัดจำกวันประกำศในรำชกิจจำนุเบกษำเปน็ ตน้ ไป
7 ฃ ข้อ 3 ในประกำศน้ “กำรรบั ทรัพย์สินั หรือั ประโยชนอ์ ่นื ใดโดยธรรมจรรยำ” หมำยควำมวัำกำรรับทรัพยส์ ันิ หรือั ประโยชน์อน่ื ใดจำก ญำติหรอื จำกบุคคลท่ใหก้ ันในโอกำสตำงๆโดยปกตติ ำมขนบธรรมเนยมประเพณหรือวัฒนธรรมหรืัอให้กันั ตำมมำรยำทท่ปฏบัิ ตั ิ กันในสงัั คม “ญำติั” หมำยควำมวัำผบู้ พุ กำรผสัู้ ืบสันดำน พ่นั อ้ งรวมบิดำมำรดำ หรอื รวมบิดำ หรือมำรดำเดยวกนั ลุง ป้ำ น้ำ อำ คูสมรส ผู้บุพั กำร หรอื ผู้สบืั สันั ดำนของคูสมรส บตุ รบุญธรรม หรือผู้รับั บตุ รบุญั ธรรม “ประโยชน์อื่นใด” หมำยควำมวำั สง่ิ ท่มมูลคำได้แกกั ำรลดรำคำักำรรับควำมบนั เทิงักำรรับบริกำรักำร รบั กำรฝึกั อบรมหรืัอส่งิ อ่นื ใดในลัักษณะเดยวกัน ข้อ 4 ห้ำมมิให้เจ้ัำหน้ำท่ของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สินัหรือประโยชน์อ่ืนใดจำกบุคคลนอกเหนือจำกทรัพย์สิันั หรือประโยชน์อันควรได้ตำมกฎหมำย หรือกฎข้อบังคับทอ่ั อกโดยอำศัยั อำนำจตำมบทบัญญัติแหงกฎหมำย เวัน้ ั แตกำรรบั ทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อืน่ ใดโดยธรรมจรรยำตำมทก่ ำหนดไวใ้ นประกำศน้ ข้อ 5 เจ้ำหนั้ำทข่ องรัฐจะรบั ทรพั ย์สันิ หรืัอประโยชน์อนื่ ใดโดยธรรมจรรยำไดด้ งั ตอไปน้ (๑) รับทรพั ยส์ นิ หรือประโยชน์อ่นื ใดจำกญำตซิ ง่ึ ใหโ้ ดยเสนหำตำมจำนวนทเ่ หมำะสมตำมฐำนำนัุรูป (๒) รบั ทรพั ย์สินหรือประโยชน์อ่นื ใดจำกบุคคลอ่นื ซ่ึงมิใชัญำติ มรำคำหรอื มัลู คำในกำรรับจำกแตละ บุคคล แตละ โอกำสไมเกิันสำมพันั บำท (๓) รบั ทรัพย์สินหรอื ประโยชนอ์ ื่นใดทกั่ ำรใหน้ ัน้ เป็นกำรใหใ้ นลัักษณะให้กบั บคุ คลทวั่ ไป ขอ้ 6 กำรรับทรัพย์สิันหรือั ประโยชน์อน่ื ใดจำกตำงประเทศ ซ่งึ ผู้ใหม้ ไิ ดร้ ะบใุ หเ้ ป็นของสวนตวั หรือมหรอื มูลคำเกินั กวำสำมพันั บำท ไมวำจะระบุเป็นของสวนตัวหรือไม แตมเหตุผลควำมจำเป็นท่จะต้องรับไว้เพื่อรักษำั ไมตรมิตรภำพหรือ ควำมสมัั พัันธ์ัอันั ดระหวำั งบุคคล เจ้ำหน้ัำท่ของรัฐผู้นันั้ รำยงำนรำยละเอยั ดข้อเท็จจริงเก่ยวกับั กำรรับทรัพย์สนัิ หรือั ประโยชน์ ดังกลำวให้ผู้บัังคับบัญชำทรำบโดยเร็ว หำกผู้บังคับบัญชำเห็นั วำั ไมมเัหตุท่จะั อนุญำตให้เจ้ำหน้ำท่ผู้น้ันยึดถือทรัพย์สัินหรืัอัประโยชน์ดังกลำวน้นั ไว้เป็นประโยชน์สัวนบุคคล ให้เจ้ำหนัำ้ ท่ของรฐั ั ผู้นัั้นสงัมอบทรัพยส์ ินให้หนวยงำนของรัฐท่เจ้ำหนำ้ ท่ของ รฐั ผู้นน้ัั สังักััดโดยทันท ขอ้ 7 กำรรับทรัพย์สิันหรืัอประโยชนอ์ ่ืนใดทไ่ัมเป็นไปตำมหลกั เกณฑั์ หรอื มรำคำหรอื มมัูลคำมำกกวำท่ กำหนดไว ในข้อ 5 ซ่ึงเจ้ำหน้ำท่ของรัฐได้รับมำแล้ว โดยมควำมจำเป็นอยำงยิ่งท่ต้องรับไว้เพื่อรักษำไมตรมิตรภำพั หรอื ควำมสมั พันั ธ์อั ัันด ระหวำงบุคคล เจัำ้ หน้ำท่ของรัฐผู้นัั้นต้องแจ้งรำยละเอยั ดข้อเท็จจริงเกย่ วกบั กำรรบั ัทรัพย์สิัน หรือประโยชน์น้ันตอ ผ้ัูบังคับบัญชำัั ซึ่งเป็นหัวหน้ำสวั นรำชกำรผู้บริหำรสงัู สุดของรัฐวัิสำหกิจัั หรือัผู้บริหำร สูงสัุดของหนวยงำนสถำบัน หรือองค์กร ท่เจ้ำหน่ึงของรัฐผู้น้นัั สัังกััดโดยทันทท่สำมำรถกระทำได้ั เพื่อั ให้ัวนิั ิจฉัย วัำมเหตุผลควำมจำเป็นควำมเหมำะสมและสมควรท่จะ ให้เจ้ำหน้ำั ท่ของรัฐผู้นน้ัั รับทรัพย์สินหรือประโยชน์ น้ันไว้ เป็นสิทธัิของตนหรือั ไม ในกรณทั ่ผู้บังคับบัญชำหรือผู้บรหัิ ำรสงัู สุดของรัฐวสัิ ำหกิจหนวยงำนหรืัอสถำบันหรือองค์กรท่เจ้ำหนำ้ั ท่ั ของรัฐ ผันู้ ั้นสัังกััดั มคำส่ังวัำไมสมควรรัับทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชนด์ ังกลำวั ก็ให้คืนทรัพย์สินหรอื ประโยชนน์ ้ันแกั ผู้ให้โดยทันท ในกรณทั ่ ไมัสำมำรถคืนให้ได้ ให้เจั้ำหน้ำท่ของรัฐผู้น้นัั สังมอบทรพั ย์สินหรอื ประโยชนด์ ังกลำวให้เป็นั สทิ ธิัของหนวยงำนท่เจ้ำหน้ัำท่ของรฐั ผู้นั้นั สัังกัดั โดยเร็ว เมอื่ ไดด้ ำเนนิ กำรตำมควำมในวรรคสองแล้วให้ถือวัำเจำ้ หน้ัำทข่ องรัฐผู้น้ัันไมัเคยได้รับทรัพย์สินหรือั ประโยชน์ดงั กลำวเลย ในกรณัท่เจ้ำหน้ำท่ของรัฐผู้ได้รับทรัพย์สินไว้ตำมวรรคหน่ัึงเป็นผดัู้ ำรงตำแหนงผัู้บังคับบัญชำ ซึ่งเป็นั หัวหน้ำสวั นรำชกำรระดับกระทรวงหรือเทยบเทำ หรือเป็นกรรมกำรหรืัอผู้บริหำรสูงสุดั ของรัฐวสัิ ำหกิจ หรืัอเปน็ ั กรรมกำรหรอัื ผบูั้ ริหำรสงูัสุดของหนวยงำนของรัฐ ให้แจ้งรำยละเอัยดข้อเท็จจริงเก่ยวกับกำรรับทรัพย์สินหรือั ประโยชนน์ ้ันตอผมู้ อำนำจ แตงตง้ั ถอดถอนสัวนผู้ัทด่ ำรงตำแหนงประธำนกรรมกำรและกรรมกำรในองค์กรอิสระั ตำมรฐั ธรรมนญู หรอื ผู้ดั ำรงตำแหนงทไ่ ม มผ้บู ังคบั บญั ชำทม่ ัอำนำจถอดถอน ใหแ้ จง้ ตอคณะกรรมกำร ป.ป.ช.
๘ ท้ังน้ เพื่อั ดำเนนิ กำรตำมควำมในวรรคหนังึ่ และวรรคสอง ในกรณทเั่ จ้ำหนำั้ ทข่ องรัฐผู้ได้รบั ทรัพยส์ นิ ไว้ัตำม วรรคหน่ึงเป็นผู้ดั ำรงตำแหนงสมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรั หรือสมำชกิั วุฒิสภำ หรือสมำชิกสภำท้องถ่ินั ให้แจ้งั รำยละเอยั ดข้อเท็จจริงเก่ยวกับกำรรับทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นตอประธำนสภำผู้แทนรำษฎร ประธำนวัุฒิสภำั หรือประธำนสภำท้องถิ่นทเั่ จ้ำหนำ้ั ท่ของรัฐผู้นันั้ เป็นสมำชกิ แล้วแตกรณ เพ่ืัอดำเนินกำรตำมวรรคหนงึ่ และั วรรคั สอง ข้อ 8 หลกัั เกณฑก์ั ำรรบั ทรัพย์สันิ หรืัอประโยชน์อื่นใดของเจ้ำหน้ัำทข่ องรัฐตำมประกำศฉบับน้ใหใ้ ช้บั ังคับั ผู้ซง่ึ พ้นจำกกำรเป็นเจั้ำหน้ำทข่ องรัฐมำแลว้ ไมถงัึ สองปีด้วย ๓. ประมวลจริัยธรรมข้ัำรำชกำรสัวนท้ัองถน่ัิ ัมำตรฐำนจรยิ ธรรมอนั เป็นคำนยิ มหลักสำหรบั ขำ้ รำชกำรขององค์กำร บริหำรสวั นตำบลหนองธงทุักคนมหน้ำท่ดำเนินกำรให้เป็นไปตำมกฎหมำย เพ่ือรักษำผลประโยชน์สัวนรวม เป็น กลำงทำงกำรเมือง อำนวยควำมสะดวกและให้บรัิกำรแกัประชำชนตำมหลัักธรรมำภิบำล โดยจะต้องยึดมั่นใน คำนิยมหลัก 9 ประกำร ดงั น้ 1. กำรยึดมน่ั ในระบบประชำธปัิ ไตยอนัั มพระมหำกษตัั รยิ ท์ รงเปน็ ประมัุข 2. กำรยดึ มน่ั ในคุณั ธรรมและจรยิ ธรรม 3. กำรมจิตสำนกึ ท่ด ซ่ือสัตย์ และรบั ผัดิ ชอบ 4. กำรยึดถอื ประโยชน์ของประเทศชำตเิ หนืัอกวำประโยชนส์ วั นตนและไมมัผลประโยชน์ทับซอ้ น 5. กำรยืนหยดัั ทำในสิั่งทถ่ ูักตอ้ ง เป็นธรรม และถกูั กฎหมำย 6. กำรใหบ้ รกิ ำรแกัประชำชนด้วยควำมรวดเร็ว มอัธั ยำศยั และไมเลือกปฏับิ ัติ 7. กำรให้ข้อั มูลขำวสำรแกประชำชนอยำงครบถ้วน ถูกตอ้ ง และไมบิดเบือนขอ้ เทจ็ จริง 8. กำรมงุ ผลสัมฤทธิ์ของงำน รักษำมำตรฐำน มคณุ ภำพ โปรงใส และตรวจสอบได้ 9. กำรยึดมั่นในหลกั จรรยำวิัชำชัพขององคก์ ร จรรยำวิชั ำชัพขององคก์ ร ดังน้ 1. ข้ำรำชกำรต้องจงรกั ภักดตอชำติ ศำสนำ และพระมหำกษัตั ริย์ 2. ข้ำรำชกำรตอ้ งเปน็ แบบอยำงทั่ดในกำรรักษำไวั้และปฏบิ ัติตำมรัฐธรรมนญู แหงรำชอำณำจกั รไทยทุก ประกำร 3. ข้ำรำชกำรตอ้ งเป็นแบบอยำงทั่ดในกำรเป็นพลเมืองดเคำรพและปฏิบัติตำมกฎหมำยอยำงเครงครัด 4. ขำ้ รำชกำรต้องไมประพฤติตนอันั อำจกัอใหเ้ กดิ ควำมเสื่อมเสยตอเกยรติภูัมขิ องตำแหนงหน้ำท่ 5. ข้ำรำชกำรต้องปฏบิั ัตหิ นั้ำท่อยำงเต็มกำลังควำมสำมำรถด้วยควำมเสยั สละ ทุมเทสติปััญญำ ควำมรู้ ควำมสำมำรถ ให้บรรลผุั ลสำเร็จั และมประสิทธิัภำพตำมภำระหน้ำท่ท่ได้รับมอบหมำย เพอัื่ ให้เกิดประโยชน์สงัู สุดั แกัประเทศชำตแิ ละประชำชน 6. ข้ำรำชกำรต้องมุงแก้ปัญหำควำมเดือดร้อนของประชำชนด้วยควำมเป็นธรรม รวดเร็ว และมุงั เสรมิั สรำ้ งควำมเข้ำใจอันั ดระหวัำงหนวยงำนและประชำชน 7. ข้ำรำชกำรต้องปฏิบั ตั ิหนำ้ั ทด่ ้วยควำมสุภำพเรยบร้ัอยมอััธยำศัย 8. ข้ำรำชกำรต้องรักษำควำมลับท่ได้จำกกำรปฏิบััติหน้ำท่ กำรเปิดเผยข้อมูลท่เป็นควำมลับั โดยั ข้ำรำชกำรจะกระทำได้ตอเม่ือมอำนำจหน้ำท่และได้รับอนุญำตจำกผู้บังคับบัญชำ หรือเป็นไปตำมกฎหมำยกำหนดั เทำนน้ั 9. ขำ้ รำชกำรต้องรักษำและเสริมสรำ้ั งควำมสำมัคคัระหวำงผัู้รวมงำนพร้อมกับใหค้ วำมชัวยเหลืัอเกื้อกูลั ซง่ึ กนัั และกันั ในทำงท่ชั อบ
10 10. ข้ำรำชกำรต้องไมใช้สถำนะหรือตำแหนงไปแสวงหำประโยชน์ท่มิควรได้สำหรัับตนเองหรือผู้อื่น ไมวำั จะเป็นประโยชนั์ในทำงทรัพย์สินหรือไมกตั็ ำม ตลอดจนไมรั ับของขวัญ ของกำนัล หรือประโยชน์อื่นใดจำกผู้ั ร้องเรยน หรือบุคคลท่เกย่ั วข้อง เพื่อประโยชน์ตำง ๆ อันอำจเกิดจำกกำรปฏิบั ัติหน้ัำท่ของตนเวั้นแตเป็นกำรให้ั โดยธรรมจรรยำหรอื กำรใหต้ ำมประเพณ 11. ข้ำรำชกำรต้องไมปิดบงั ข้อั มูลทจ่ ำเปน็ ในกำรปฏบัิ ัตงิ ำนของเพืั่อนรวมงำนและไมนำผลงำนของผู้อ่นื มำแอบอำ้ งเปน็ ผลงำนของตน
10 บทท่ 3 แนวทำงปฏิบั ัตั ิเัพัอื่ ป้อั งกันั “ผลประโยชน์ทั ับั ซ้ัอน” -------------------------------------- มำตรกำรป้อั งกันั ผลประโยชน์ทั ัับซ้ัอนัเพ่ือเป็นกำรป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนในกำรจัดซื้อจัดจ้ำงตำมระเบยบ กระทรวงมหำดไทย วัำด้วยกำรัพสัั ดุของหนวยกำรบริหำรรำชกำรสวนท้องถิ่น พ.ศ. 2538 และท่แั ก้ไัขเพัิ่มเติม จนถึงปัจจบัุ ัน รวมถงึักำรจัดหำัพััสดุด้วยวิธั ัตลำดอิเล็กทรอนิกส์ั (Electronic Market : e-market) และ กำรประกวดรำคำอเิัล็กทรอนิกส์ั(Electronic Bidding : e-bidding) องคกั์ ำรบริหำรสวนตำบลหนองธงัจึง กำหนดมำตรกำรป้องกันผลประโยชน์ัทบั ซอ้ น ดงั น้ 1. หำ้ มมใิ ห้เจั้ำหน้ำท่พัสดุจัดซ้ือจัดจ้ำงกัับผัู้เสนองำนท่มควำมเกั่ยวข้องกับั บุคคลภำยในองค์กำรบริหำรั สวนตำบลหนองธงท้งััประโยชน์สวั นตนและผลประโยชนส์ ำธำรณะท่มผลตอกำรปฏบิั ตั ิหน้ำั ท่ 2. ห้ำมมิให้บุคลำกรในองค์กำรบริหำรสัวนตำบลหนองธงใช้ัอำนำจในตำแหนงัหรือหน้ำท่ดำเนินงำนั หรอื โครงกำรท่เอ้ือั ผลประโยชน์กบั ตนเองทงั้ ทัเ่ กย่ วกบั เงนิ และไมเกัย่ วกับเงิน 3. หำ้ มมใิ หบ้ คุ ลำกรในองค์กำรบริหำรสวั นตำบลหนองธงดำรงตำแหนงท่ทำหนำ้ ท่ทับซ้อน 4. ในกรณทั ่บคุ ลำกรในองค์กำรบริหำรสัวนตำบลหนองธงมผั ลประโยชน์ทบั ซ้อนให้ใชั้หลัักปฏิบัติ ดังน้ - กำรเปดิ เผยั (Discloser) ตอหัวหน้ัำสวนรำชกำรและผู้บริหำรองค์กำรบริหำรสัวนตำบลหนองธง - กำรถอนตัว (Refusal) ออกจำกหน้ำทต่ ดั สนัิ ใจหรือั ทำงำนท่บุคลำกรมผลประโยชน์ทับซอ้ น - กำรแก้ัไขสถำนะของตำแหนงหรอื หน้ำท่ในกำรทำงำนทม่ ัผลประโยชนข์ ัดแยง้ กััน (Removal) เชนั ลำออกจำกตำแหนงหนำ้ั ท่ซ่ึงขัดั แย้งกััน เป็นต้น - ให้ผู้อำนวยกำรกองคลังมหน้ำท่ตรวจสอบบุคลำกรในองค์กำรบริหำรสัวนตำบลหนองธงถงึัควำมั เก่ยวข้องกบัั ผู้ัเสนองำนพร้อมท้ังรำยงำนผลกำรปฏิบััติงำนเพั่ือป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนตอนำยกองค์กำรั บริหำรสวั นตำบลหนองธงเป็นประจำ - กำรรับของขวัญเป็นของสวนตัวให้กระทำได้ในกรณมั มลูั คำไมเกัิน 3,000 บำท หำกสูงกวำนััน้ ั ต้องรำยงำนให้ผู้ับริหำรทรำบ และพิจั ำรณำดำเนินกำรตอไป แนวทำงกำรตรวจสอบบุัคลำกรในหนวั ยงำนถึงัควำมเก่ัยวข้ัอกัับผเ้ัู สนองำน 1. ตรวจสอบช่ืัอสกุลของผู้เสนองำนวัำมควำมสัมพนัั ธหั์ รือเกยั่ วข้องกัับบุคลำกรในหนวยงำนหรืัอไม เชนั ั ญำติ พ่ น้อง เพอ่ัื น คแู ขง ศตั รู 2. ตรวจสอบสถำนทอ่ ยู สถำนท่ปฏบิ ตั ิงำนของผเู้ สนองำนวัำมควำมสัมพันั ธห์ั รือเกยั่ วข้องกัับบคุ ลำกรใน หนวยงำนหรือั ไม 3. ตรวจสอบบุคลำกรในหนวยงำนวำั มสวนได้เสยกับงำน/โครงกำร ทั้งผลประโยชน์สวั นตนเองและั ผลประโยชนส์ ำธำรณะทม่ ผลตอกำรปฏับิ ตั หิ นัำ้ ทห่ รือไม 4. ตรวจสอบบุคลำกรในหนวยงำนวำั มผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้เสนองำนหรือั ไม เชนั กำรรับสินบนั กำรใช้ขอ้ มูลลบัั ของทำงรำชกำร กำรดำเนินธัุรกิจท่เกัย่ วข้องกัับกำรจัดซ้ือจดั จ้ำง กบั รับของขวญั หรือั อ่ืนั ๆ หำกฝัำฝืนั จะมัโทษอยำั งไร กำรมพฤติกรรมใด ๆ ก็ตำมท่เขั้ำขำยประเภทของผลประโยชนท์ ับซ้อน หรือมพฤติกรรมท่พร้อมฝำ่ ฝืนกำรั ปฏิับัติตำม ประมวลจริยธรรมข้ำรำชกำรสวนท้องถิ่น ยอมสงผลให้ถกู ลงโทษ ตกั เตือน ตดั เงินเดือน จนกระทััง่ ถงึ ขน้ั ไลออก ขนึ้ อยูกับควำมรำ้ ยแรงของกำรฝำั ฝืน หำกถูักตัดสนิ วำั ผดิ จริงผู้มสวั นเก่ยวขอ้ งทกุ คนอำจมสวนรวมในกำร รบั โทษทำงอำญำดว้ ย
๑๑ แนวทำงปฏิับัตั ิเัพอั่ื ป้อั งกัันมิใัห้ัมักำรฝำั ฝืนั บทบััญญัตั มำตรำ 100 แหงักฎหมำยประกอบรัฐั ธรรมนูัญวัำด้วั ยกำรั ป้อั งกันั และปรำบปรำมกำรทุจั รัติ 1) กำรเตรยั มตััวกัอนเข้ัำสัูตำแหนัง (กอั นเป็นั เจ้ัำหน้ำั ทขั่ องรัฐ) - กอนเข้ำมำรับตำแหนงเจ้ำหน้ัำท่ของรัฐบุคคลนันั้ ๆ จะต้องเตรยมตัวโดยตรวจสอบตนเอง คูั สมรส บุตรท่ ยังไมับรรลุนติั ภิ ำวะ วัำไดม้ กำรดำเนนิ กจิ กำรใด ๆ บำ้ ง - ในขณะท่ตนเองอยูในสถำนะของเอกชนท่ได้ทำธัรุ กิจหรือั ทำกำรค้ำไว้ักับรัฐ โดยจะต้องตรวจสอบั กำรเป็น คูสัญญำกับรัฐ กำรรับสััมปทำนจำกรัฐหรืัอกำรเป็นกรรมกำรผ้ัูจัดกำร กำรถือหุ้นหรือกำรเป็นหั้นุ สัวนั ผู้จัดั กำรหรือกำรเป็นหัุน้ สัวนในห้ำงหุ้นสวนตำง ๆัวัำมหรือไมอยำงไร และต้องสำรวจกิจกำรตำงัั ๆ ของ คูสมรสั รวมถังึ กำรศกึ ษำกฎหมำยท่เกั่ยวข้อง 2) กำรปฏิบั ััติัหน้ัำทห่ั รือั ดำรงตนในระหวัำงทั่เป็นั เจ้ำั หน้ำั ท่ัของรััฐ - เจ้ำหน้ัำทข่ องรัฐในตำแหนง เชัน ตำแหนงนำยกรัฐมนตร รััฐมนตรัผัู้บริหำรองค์กรปกครองสวน ท้องถน่ิ หรืัอผู้บริหำรหนวยงำนภำครัฐต้องไมดำเนนิ กิจกำรใด ๆ ท่เปน็ กำรขััดกันระหวัำงประโยชนส์ วั นบุคคลกับั ประโยชน์สวั นรวมััตำมทก่ั ำหนดไวั้ในมำตรำั 100 แหงกฎหมำยประกอบรัฐธรรมนูญวำั ด้วยกำรป้องกนัั และั ปรำบปรำมกำรทจุ รติ - คสู มรสของเจ้ำหน้ัำท่รฐั กฎหมำยประกอบรัฐธรรมนูญวัำด้วยกำรป้องกัันและปรำบปรำมกำรทุจริตั ไดห้ ำ้ ม คสู มรสมิใหด้ ำเนินกิจกำรใด ๆ ทเ่ ปน็ กำรขดัั กนั ระหวัำงประโยชนส์ วั นบุคคลและประโยชนส์ วั นรวมไวด้ั ว้ ย 3) กำรดำเนิันกิัจกำรในภำยหลังัท่ัพ้ันจำกตำแหนัง (พ้นั จำกกำรเป็ันเจ้ำั หน้ัำท่ัของรััฐ ยัังไมถั ึัง 2 ปั) กฎหมำยประกอบรัฐธรรมนูญวำั ด้วยกำรปูองกนัั และปรำบปรำมกำรทุจริตั ตำมมำตรำ 100 ได้บัญญัติั ห้ำมเจ้ำหน้ัำท่ของรัฐมิให้ดำเนินกิจกำรท่เป็นกำรขัดกัันระหวัำงประโยชน์สัวนบุคคลและประโยชน์สัวนรวม โดยั ห้ำมดำเนินกิจกำรนั้นตอไปอกเป็นเวลำ 2 ปี นับแตเจ้ำหน้ำท่ของรัฐผู้น้ัันได้พ้ันจำกตำแหนงเจ้ำหน้ำท่ ของรัฐในั ตำแหนงน้นั ๆ แล้ว ทัง้ น้ไดห้ ้ำมกำรดำเนนิ กจิ กำรของคสู มรสของเจำ้ หนัำ้ ทข่ องรัฐดว้ ย กรณกั ำรรัับของขวัญั หรืัอรับผลประโยชน์ ในกำรรบั ของขวัญหรืัอผลประโยชนใ์ ด ๆ ควรพิจำรณำตอบคำถำม 3 ข้อน้ เพัื่อใชใ้ นกำรตดั สินใจ วำั จะ รับหรอื ไมรับของขวัญหรือั ผลประโยชนน์ ้ัน ๆ คือ 1) เรำควรรัับหรือั ไม : ตำมหลักกำรทำงจริยธรรม แม้วำเรำไมคั วรรบัั แตมหลำยโอกำสท่เรำไมสำมำรถั ปฏัเิ สธได้ หรือเป็นกำรรบั ในโอกำสท่เหมำะสมตำมขนบธรรมเนยมประเพณััั วัฒั นธรรมหรือั ให้กันตำมมำรยำทท่ั ปฏบิั ัติกัน ในสัังคม อยำงไรกต็ ำม มหลำยโอกำสทไ่ มเปน็ กำรเหมำะสมท่จะรับอยำงยงิ่ ดงั น้ - ถ้ำั เป็นั กำรให้ัเงันิ ทัำนต้อั งปฏิเัสธ ไมัวัำจะเป็นั โอกำสใด ๆ หรือกำรรับเงินสดหรือสิ่งใด ๆ ท่ั สำมำรถ เปลั่ยนเป็นเงินได้ เชนั หุ้น พัันธบัตร หรือ ล็อตเตอร่ ฯลฯ ล้วนเข้ำขัำยกำรรับสันิ บน และเป็นกำรฝัำฝืันั ประมวลจรยิ ธรรมทัง้ สนิ้ - หำกได้รั ัับกำรเสนอส่ิงัใด ๆ นอกเหนือั จำกเงนัิ สัิ่งทัค่ วรนำมำเป็ันเหตุผั ลในกำรตััดสิันใจ คือให้ั พจิั ำรณำวัำ ทำไมเขำจึงเสนอของขวัญหรือั ผลประโยชน์ดังกลำวให้เรำ และกำรเสนอของดังกลำวนั้นมผล ตอกำรั ตัดสินใจในกำรปฏบิั ัติตนหรือไม หรืัอควรพิจำรณำบนหลักกำรปฏิบััติงำนในภำครัฐ ท่อยูบนพ้ืนฐำนวำั กำรกระทำั และกำรตัดสินั ใจใด ๆ จะต้องกระทำด้วยควำมเป็นกลำงปรำศจำกกำรมสวนได้สวนเสัยในกำรให้บริกำรัและั ปกปอ้ งผลประโยชน์ของสงั คมไทยโดยรวม ดงั นน้ั ั องคก์ รหรืัอบุคคลใดั ๆั ไมควรใชัข้ องขวัญหรืัอผลประโยชนม์ ำแสวงหำควำมชอบผลประโยชน์ั ใหก้ ับองค์กรของตนหรือั ตนเอง เหนือองค์กรหรือั บุคคลอ่นื ทำใหส้ น่ัั คลอนควำมเช่อื ถืัอไว้ัวำงใจทป่ ระชำชนมตอรัฐั และทำให้เกิดควำมไมเปน็ ธรรมในสงััคม
๑๒ 2) เรำควรรำยงำนกำรรับั หรืัอไม แนวทำงพิจั ำรณำ ดังน้ - ของขวััญทัง้ั หมดท่ัมคั ัำทำงประวัตั ิัศำสตร์หั รืัอวััฒนธรรมััััััั เชนั งำนศิลปะ พระพุัทธรัูป เครื่องประดับ โบรำณ ฯลฯ แม้จะมขนำดเลัก็ แตกัถ็ ือวัำ ของขวัญน้ัน ๆ เป็นทรัพย์สินขององค์กรไมวั ัำจะมัรำคำั เทำใด - ของขวััญหรืัอผลประโยชน์ัทั่ได้ัรับั เมัื่อเทยั บกับั รำคำตลำด มัคัำน้อั ยกวัำ 3,000 บำท ไมตอ้ ง รำยงำนัั หรืออำจเก็บเป็นของตนเองได้ ท้ังน้ เพ่ือปฏิับัติตำมประกำศคณะกรรมกำรป้องกนัั และปรำบปรำมกำรั ทจุ ริตแหงชำติ เรื่ัองหลัักเกณฑั์กำรรบั ทรัพยส์ นิั หรืัอประโยชน์อนื่ ใดััั โดยธรรมจรรยำของเจ้ำหน้ัำท่ของรัฐ พ .ศ. 2543 - ของขวัญั หรือั ผลประโยชน์ใัด ๆ เมัอ่ื เทัยบกับั รำคำตลำดมัคัำเกิัน 3,000 บำท ต้อั งรำยงำนั หนวั ยงำน และลงทะเบยั นไว้ - ถ้ำั ของขวัญั หรืัอผลประโยชน์ัท่ัมัคัำทำงกำรตลำดระหวัำง 3,000 – 15,000 บำท และ เจ้ำหน้ัำท่มัควำมจำเป็นต้องรบั ั ให้องค์กรโดยหัวั หน้ัำสัวนรำชกำรตััดสินั วัำ สมควรให้ข้ำรำชกำรหรือั เจำ้ หนั้ำทั่ ของ รฐั คนนน้ั ๆ รับทรัพย์สนิ ดังกลำวหรือไม - ถ้ำั ของขวััญหรือั ผลประโยชน์มั ัคัำทำงกำรตลำดมำกกวัำััั 15,000 บำทั ให้สั ังมอบเปั็น ทรััพย์ัสินั ขององค์กร เพั่ือใช้ประโยชน์สำธำรณะหรือตำมควำมเหมำะสม องค์กั รอำจพิจำรณำอนุญำตให้ขำ้ รำชกำรั หรือ เจ้ำหน้ำท่ของรัฐผู้น้ัันเก็บรักษำของไวเั้ ป็นกรณไป เชนั ของขวัญในกำรย้ำยหนวยงำน ขณะดำรงตำแหนงเดิมั ของขวญั ในโอกำสเกษัยณอำยุรำชกำร หรอื ลำออกจำกงำน เป็นต้น - ถ้ัำในปังบประมำณใด ๆ คุณั คำั ของของขวัญั และหรืัอผลประโยชน์ทั ่ัได้ัรับั จำกผ้ใูัห้ัคนเดัยวกัันั กลัมุ ัเดัยวกันั หรืัอผใู้ัห้ัมัควำมสัมั พันั ธ์กั ัันหลำย ๆ ครง้ัั เมอั่ื รวมกันั ท้ังปีมคัำมำกกวำ 3,000 บำท ต้อง รำยงำนั ของขวญั หรืัอผลประโยชนแ์ ตละอยำงทไ่ ดร้ ับ - ถ้ำั ในปังบประมำณใด ๆ ได้ัของขวััญและหรืัอผลประโยชน์ัท่ัได้ัรัับจำกผูร้ั ัับบริักำรแม้ัจะตัำงคนั ตัำงกลุมั เพอื่ั เป็ันกำรขอบคุัณในกำรให้บั ริักำรท่ดั ัั แตเม่ือรวมกันั แล้วมคัำมำกกวำั 3,000 บำท ต้องรำยงำนั ของขวญั หรือั ผลประโยชนแ์ ตละอยำงนั้น - ของขวััญและหรืัอผลประโยชน์ใัด ๆััััั ท่ได้รับกำรเพื่อเป็นกำรขอบคุณจำกผู้รับบริกำรั (ประชำชนและ องค์กรเอกชน ) ท่ได้อยำงสม่ำเสมอบอยคร้ัง อำจทำให้เกัิดข้อสงสยัั จำกประชำชนวัำมอัิทธิพลั บิดเบือน กอให้เกิดอคติในกำรให้บริกำรของข้ำรำชกำรหรือเจ้ำหน้ำท่ของรัฐ หรืออำจกอให้เกิดควำมรู้สึกชอบและั คำดหวังวำั จะไดร้ บั ของขวัญหรือั ผลประโยชน์เมอ่ื มผมู้ ำรบั บรกิั ำรควรปฏัิเสธกำรรบั - เงินั สดหรือั สงิ่ัใด ๆ ท่สำมำรถเปล่ยนเป็นเงินได้ต้องปฏัิเสธไมรับไมวำจะอยใู นสถำนกำรณใ์ ด ๆ 3) เรำสำมำรถเก็บั ไว้เัป็นั ของตนเองได้หั รืัอไม - ปกติสำมำรถเกบ็ั รักษำไวั้เอง หำกของขวัญหรืัอผลประโยชน์นั้นมคำั ไมเกนิั 3,000 บำทหำกั มรำคำทำงกำรตลำดระหวำงัั3,000 – 15,000 บำทั สวนรำชกำรต้องพจัิ ำรณำตัดสัิน วัำข้ำรำชกำรหรอืั ั เจำ้ หนำ้ั ทข่ องรฐั น้ัน ๆ จะเกบ็ั ไว้เองไดห้ รอื ไม - หำกรำคำมำกกวำ 15,000 บำท จะต้องให้เป็นทรัพย์สินของสวนรำชกำร และสวนรำชกำรั พจัิ ำรณำตดั สัินวำั จะใชป้ั ระโยชนอ์ ยำงไร
๑๒
๑๒
๑๒
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: