๑๐) โสมทตั ตชาดก๔๔ วา่ ดว้ ย ความเศรา้ โศกถึงผู้เป็นท่ีรกั สถานท่ีตรัส พระวิหารเชตวนั ทรงปรารภ หลวงตารปู หนึ่ง สาเหตทุ ี่ตรัส หลวงตารูปหน่ึงบวชสามเณรรูปหน่ึง สามเณรนั้น เป็นผ้อู ุปัฏฐากท่านไดม้ รณภาพ ดว้ ยโรคชนดิ นั้น. เมื่อสามเณรนั้นมรณภาพ หลวงตาเดินร้องไห้ คร่�ำครวญไปพลาง. ภิกษุทั้งหลายเห็นท่านแล้วตั้งเรื่องข้ึนสนทนากัน ในธรรมสภาวา่ “ดกู อ่ นอาวโุ ส หลวงตารปู โนน้ เดนิ รอ้ งไหค้ รำ่� ครวญ ไปพลาง เพราะการมรณภาพของสามเณร ทา่ นเหน็ จะเวน้ จากกรรมฐานขอ้ มรณานสุ สต.ิ ” พระศาสดาเสด็จมาถงึ ตรสั ถามวา่ ๔๔ ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาชาดก สตั ตกนบิ าตชาดก, ล.๕๙, น. ๓๗๕, มมร., (มชี อื่ ซำ้� กนั โสมทตั ตชาดก วา่ ด้วย อาการของผู้ขอ) ๑๐. โสมทัตตชาดก 101
“ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย บัดน้ีพวกเธอน่ังสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไรหรอื ?” เมื่อภิกษุท้ังหลายกราบทูลว่า “ด้วยเร่ืองชื่อน้ี” แล้วไดต้ รัสวา่ “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ไม่เฉพาะแต่ในบัดน้ีเท่าน้ัน แม้ในกาลก่อน เม่ือสามเณรมรณภาพแล้ว หลวงตาน้ัน กร็ ้องไหเ้ หมือนกัน.” ภกิ ษทุ ง้ั หลายทลู ออ้ นวอนแลว้ จงึ ไดท้ รงนำ� เอาเรอ่ื ง ในอดตี มาสาธกดังต่อไปน้ี :- เนอื้ หาชาดก ในอดีตกาล เม่ือพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยูใ่ นนครพาราณสี พระโพธิสตั วเ์ สวยชาติเปน็ ท้าวสักกะ. คร้ังนั้น พราหมณ์มหาศาลชาวกาสีนิคมคนหนึ่ง ละทิ้งกามทั้งหลายออกไปป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษี มีหัวมันและผลไม้ในป่าเป็นอาหารอยู่โดยการประพฤติ ดว้ ยการแสวงหา. วันหน่ึง ท่านไปเพื่อต้องการผลไม้น้อยใหญ่ เห็น ลูกช้างเชือกหนึ่ง จึงน�ำมาอาศรมของตน ให้ด�ำรงอยู่ใน ฐานเปน็ บตุ ร ตง้ั ชอื่ มนั วา่ ‘โสมทตั ตะ’ เลย้ี งดไู วใ้ หก้ นิ หญา้ และใบไม.้ มนั เติบโตข้ึนมีร่างกายใหญ่ 102 ชาดกคลายโศก
วันหนึ่ง กินเหยื่อมากไปได้อ่อนก�ำลังลง เพราะ ไม่ย่อย. ดาบสให้มันอยู่ใกล้อาศรม แล้วไปเพื่อต้องการ ผลไมน้ ้อยใหญ.่ เมื่อท่านยังไมม่ านนั่ เอง ลกู ชา้ งไดล้ ้ม. ดาบสถอื เอาผลไมน้ อ้ ยใหญม่ า สงสยั วา่ ‘ในวนั อน่ื ๆ ลกู ของเราทำ� การตอ้ นรับ วนั น้ไี ม่เหน็ ไปไหนหนอ ?’ เม่อื คร�ำ่ ครวญได้กลา่ วคาถาท่ี ๑ วา่ :- โสมทัตตมาตังคะ ซึ่งในวันก่อนมาต้อนรับเราไกล ถึงในป่า เปน็ เวลานาน เราไมเ่ หน็ ไปทไี่ หนเสียแล้ว. ดาบสเดินมาพลางคร่�ำครวญไปพลางอย่างน้ี เห็น ลูกช้างนั้นล้มอยู่ที่จงกรมแล้ว เม่ือจับคอคร�่ำครวญอยู่ จงึ กลา่ วคาถาที่ ๒ วา่ :- นี้เองคือช้างโสมทัตตเชอื กนัน้ นอนตายแล้ว มันนอนตายอยู่ท่พี ้นื ดนิ เหมือนยอดเถาย่านทราย ทถ่ี กู เดด็ ทง้ิ แลว้ โสมทตั ตกญุ ชรไดต้ ายไปแลว้ หนอ. ในขณะนน้ั ทา้ วสกั กะกำ� ลงั ตรวจดสู ัตว์โลกทรงเห็น เหตุการณ์นนั้ ทรงดำ� รวิ า่ ‘ดาบสนี้ละท้ิงลูกเมียไปบวชแล้ว บัดน้ียังมาสร้าง ความสำ� คญั ในลูกชา้ งวา่ ‘เป็นลกู ’ คร่�ำครวญอยู่ เราจกั ให้ ทา่ นสลดใจ แล้วไดส้ ต’ิ ดังนแ้ี ล้ว ๑๐. โสมทตั ตชาดก 103
จึงมายังอาศรมบทของท่านสถิตอยู่ท่ีอากาศนั่นเอง กลา่ วคาถาที่ ๓ วา่ :- เม่อื ทา่ นเปน็ อนาคาริก หลดุ พ้นไปแล้ว การทท่ี า่ นโศกเศรา้ ถงึ สัตว์ทตี่ ายไปแล้ว ไมเ่ ป็นการดีส�ำหรับทา่ นผู้เปน็ สมณะ. ดาบส ครนั้ ไดฟ้ งั คำ� นน้ั แลว้ จงึ ไดก้ ลา่ วคาถาที่ ๔ วา่ :- ขา้ แตท่ า้ วสักกะ ความรักใคร่ย่อมเกิดขน้ึ ในดวงใจ ของมนุษยห์ รอื มฤค เพราะการอยรู่ ว่ มกันโดยแท้ อาตมภาพจงึ ไมอ่ าจจะไมเ่ ศรา้ โศกถงึ สตั วท์ เี่ ปน็ ทรี่ กั ได.้ ล�ำดับนั้น ท้าวสักกะเมื่อจะโอวาท ท่านได้ภาษิต คาถา ๒ คาถาว่า :- เหล่าสัตว์ผู้ร้องไห้คร�่ำครวญ ก็ร้องไห้ถึงสัตว์ผู้ตาย ไปแลว้ และจกั ตาย เพราะฉะนน้ั ทา่ นฤษี ทา่ นอยา่ ไดร้ อ้ งไห้ เลย เพราะสตั บรุ ษุ ทงั้ หลายเรยี กการรอ้ งไหว้ า่ ‘เปน็ โมฆะ’ ขา้ แตท่ า่ นผปู้ ระเสรฐิ ถา้ คนทตี่ ายแลว้ ลว่ งลบั ไปแลว้ พึงกลับฟื้นขึ้นมาไซร้ พวกเราทุกคนก็จงมาชุมนุมกัน ร้องไหถ้ ึงญาติของกันและกนั เถดิ . 104 ชาดกคลายโศก
ดาบสได้ฟังค�ำน้ันแล้ว กลับได้สติ ปราศจากความ เศรา้ โศกเชด็ นำ�้ ตาแลว้ ไดก้ ลา่ วคาถาทเ่ี หลอื ดว้ ยการสดดุ ี ทา้ วสักกะว่า :- อาตมภาพถกู ไฟ คือความโศกแผดเผาแล้วหนอ มหาบพติ รทรงชว่ ยดบั ความรอ้ นรนทกุ อยา่ งใหห้ ายไป เหมอื นเอาน�้ำดับไฟทไ่ี หม้เปรียงกป็ านกนั มหาบพิตรได้ทรงถอนลกู ศรคอื ความโศก อันปกั อยู่ที่หัวอกของอาตมภาพออกไปแลว้ เม่ืออาตมภาพถกู ความโศกครอบง�ำ มหาบพติ รไดท้ รงบรรเทาความโศกถงึ บตุ รนน้ั เสยี ได้ ขา้ แต่ท้าวสกั กะ อาตมภาพนัน้ เป็นผู้มีลกู ศร คอื ความโศก อนั มหาบพติ รทรงถอนออกแล้ว หายโศกแล้ว ใจก็ไม่ขนุ่ มัว ทั้งจะไมเ่ ศร้าโศก ไม่รอ้ งไหต้ ่อไป เพราะได้ฟังเทพด�ำรัสของ มหาบพติ รแล้ว. ทา้ วสกั กะ ครน้ั ทรงโอวาทดาบสอยา่ งนแี้ ลว้ ไดเ้ สดจ็ ไปสทู่ ป่ี ระทับของพระองคน์ ั่นเอง. ๑๐. โสมทัตตชาดก 105
พระศาสดา ครั้นทรงน�ำพระธรรมเทศนาน้ีมา ประกาศสัจธรรมทั้ง ๔ ประชมุ ชาดก ลูกชา้ งในครงั้ นัน้ ไดแ้ ก ่ สามเณรในบัดน้ี ดาบส ไดแ้ ก่ หลวงตา ส่วนทา้ วสกั กะ ไดแ้ ก่ เราตถาคต ฉะนี้แล. 106 ชาดกคลายโศก
๑๑) มิคโปตกชาดก๔๕ วา่ ดว้ ย ค�ำพดู ทท่ี �ำใหห้ ายเศร้าโศก สถานท่ตี รัส พระวิหารเชตวนั ทรงปรารภ ภกิ ษแุ กร่ ปู หนึ่ง สาเหตทุ ี่ตรัส ภิกษุแก่รูปหน่ึงให้เด็กคนหนึ่งบวช สามเณรบ�ำรงุ ภกิ ษแุ กน่ น้ั โดยเคารพ ครนั้ กาลตอ่ มา ไดก้ ระทำ� กาละ โดยความไมผ่ าสกุ เพราะการทำ� กาละของสามเณร นน้ั ภิกษุแก่ถูกความโกรธครอบง�ำ เที่ยวร�่ำไห้ด้วยเสียง อันดงั . ภกิ ษุท้งั หลายไมอ่ าจใหย้ ินยอมได้ จึงส่งั สนทนากัน ในโรงธรรมสภาวา่ “อาวุโสท้ังหลาย ภิกษแุ กช่ อื่ โน้นเที่ยวรำ�่ ไห้ เพราะ การท�ำกาละของสามเณร ภิกษุแก่น่ันคงจักเหินห่าง การเจรญิ มรณัสสต.ิ ” ๔๕ ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาชาดก จตกุ กนบิ าตชาดก, ล.๕๘, น.๘๕๕, มมร. ๑๑. มคิ โปตกชาดก 107
108 ชาดกคลายโศก
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรสั ถามว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากัน ด้วยเรอ่ื งอะไร ?” เมอ่ื ภกิ ษทุ ง้ั หลายกราบทลู ว่า “เรือ่ งช่อื นี้ พระเจา้ ข้า.” จึงตรัสว่า “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย มใิ ชบ่ ดั นเ้ี ทา่ นน้ั แมใ้ นกาลกอ่ น ภกิ ษุแกน่ ้ี เมือ่ สามเณรนัน้ ตายแล้ว กเ็ ทย่ี วรำ่� ไหอ้ ยู่ แล้วทรงนำ� เอาเรอื่ งในอดีตมาสาธก ดังต่อไปน้ี :- เน้อื หาชาดก ในอดตี กาล เมอ่ื พระเจา้ พรหมทตั ครองราชสมบตั อิ ยู่ ในนครพาราณสี พระโพธสิ ัตว์ครองความเป็นท้าวสักกะ. คร้ังน้ัน มีบุรุษชาวแคว้นกาสีคนหนึ่ง เข้าไปยัง หิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วย ผลไมน้ อ้ ยใหญ่. วันหน่ึง ฤาษีน้ันเห็นลูกเนื้อ แม่ตายตัวหนึ่งในป่า จึงน�ำมายังอาศรมบท ใหเ้ หย่ือเล้ียงดไู ว้ ลกู เน้อื เตบิ โตข้ึน มรี ูปร่างงามถงึ ความงามอนั เลศิ . ดาบสกระทำ� ลกู เนื้อน้นั ให้เป็นลกู ของตนอย.ู่ ๑๑. มิคโปตกชาดก 109
วันหน่ึง ลูกเน้ือกินหญ้ามากไป ได้กระท�ำกาละ เพราะไม่ย่อย ดาบสเท่ยี วร่ำ� ไหว้ า่ ‘ลูกเราตายเสยี แล้ว’. ในกาลนัน้ ท้าวสกั กเทวราชทรงพจิ ารณาดูชาวโลก ทรงเหน็ ดาบสนั้น ดำ� รวิ ่า ‘จกั ท�ำดาบสนั้นให้สลดใจ’ จึงเสด็จมาแล้วประทับยนื ในอากาศ ตรัสคาถาที่ ๑ วา่ :- การทีท่ ่านเศร้าโศกถงึ ลูกเน้ือผู้ละไปแล้ว เป็นการไมส่ มควรแก่ท่านผ้หู ลีกออกจากเรอื น บวชเปน็ บรรพชติ สงบระงับ. ดาบสไดฟ้ งั ดงั นนั้ จึงกลา่ วคาถาที่ ๒ ว่า:- ดูกอ่ นท้าวสักกะ ความรกั ของมนษุ ย์หรอื เนือ้ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ ในใจเพราะอยรู่ ว่ มกนั มามนษุ ยห์ รอื เนอ้ื นน้ั อาตมภาพไม่สามารถท่ีจะไมเ่ ศรา้ โศกถึงได้. ลำ� ดบั น้ัน ทา้ วสกั กะไดต้ รัสคาถา ๒ คาถาวา่ :- ชนเหลา่ ใดรอ้ งไห้รำ� พนั บ่นเพอ้ ถงึ ผู้ตายไปแลว้ และผ้จู ะตายอยใู่ นบัดนี้ การร้องไห้ของชนเหล่าน้นั สตั บุรุษทง้ั หลายกลา่ วว่า ‘เปล่าจากประโยชน์’ ดูก่อนฤาษี เพราะฉะนน้ั ท่านอย่ารอ้ งไห้เลย. 110 ชาดกคลายโศก
ดกู อ่ นพราหมณ์ ผทู้ ี่ตายไปแลว้ ละไปแล้ว หากจะ กลบั เปน็ ขนึ้ ไดเ้ พราะการรอ้ งไห้ เรากจ็ ะประชมุ กนั ทงั้ หมด ร้องไห้ถึงญาตขิ องกนั และกัน. เม่ือท้าวสักกะตรัสไปๆ อยู่อย่างนี้ ดาบสก�ำหนด ได้วา่ ‘การร้องไห้ไร้ประโยชน์’ เมอื่ จะกระทำ� การชมเชยทา้ วสกั กะ จงึ ไดก้ ลา่ วคาถา ๓ คาถาวา่ :- มหาบพิตร มารดอาตมภาพผ้เู ดอื ดร้อนยิ่งนกั ให้หายรอ้ น ดับความกระวนกระวายไดท้ ้งั สนิ้ เหมอื นบคุ คลเอานำ้� รดไฟตดิ ทเี่ ปรยี งใหด้ บั ไปฉะนน้ั มหาบพิตรมาถอนลูกศร คือความโศกท่ีเสียบแน่น อยใู่ นหทยั ของอาตมภาพออกไดแ้ ลว้ หนอ เมอ่ื อาตมภาพ ถูกความโศกครอบง�ำ มหาบพิตรก็ได้บรรเทาความโศก ถงึ บุตรเสยี ได้ ดูก่อนท้าววาสวะ อาตมภาพเป็นผู้ถอนลูกศรออก ได้แล้ว ปราศจากความเศร้าโศก ไม่มีความมัวหมอง อาตมภาพจะไม่เศร้าโศกร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อยค�ำของ มหาบพิตร ๑๑. มคิ โปตกชาดก 111
ทา้ วสกั กะ ครน้ั ประทานโอวาทแกด่ าบสแลว้ กเ็ สดจ็ ไปเฉพาะยังสถานท่ีของพระองค์. ประชมุ ชาดก ดาบสในครง้ั นัน้ ได้มาเปน็ ภกิ ษุแกใ่ นบดั น้ี เนื้อในครั้งนน้ั ไดม้ าเป็น สามเณร ในบดั นี้ ส่วนทา้ วสกั กะในคร้งั นนั้ ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนแี้ ล. 112 ชาดกคลายโศก
๑๒) กามชาดก๔๖ ว่าด้วย กามและโทษของกาม สถานทีต่ รัส พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ พราหมณ์คนหนึ่ง สาเหตทุ ่ีตรัส เรอื่ งมวี า่ พราหมณช์ าวเมอื งสาวตั ถผี หู้ นง่ึ หกั รา้ งปา่ เพ่อื ต้องการทำ� เปน็ ไร่. พระศาสดาทรงเหน็ อปุ นสิ ยั ของเขา เมอ่ื เสดจ็ เขา้ ไป โปรดสัตว์ในพระนครสาวตั ถี ทรงแวะลงจากทาง กระทำ� ปฏสิ นั ถารกับเขา ตรสั วา่ “เธอท�ำอะไรเลา่ ? พราหมณ.์ ” ครนั้ กราบทลู ว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์หักร้างที่ไร่ พระเจา้ ข้า.” ตรัสวา่ ๔๖ ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาชาดก จตกุ กนบิ าตชาดก, ล.๖๐, น.๑๔๖, มมร. ๑๒. กามชาดก 113
114 ชาดกคลายโศก
“ดีละ พราหมณ์ กระทำ� การงานไปเถดิ ” แล้วเสด็จเลยไป พระองค์ได้เสด็จไปท�ำปฏิสันถารกับเขาบ่อยๆ คือ ในเวลาที่เขาขนต้นไม้ท่ีตัดแล้วและช�ำระท่ีไร่ ในเวลา ก่อคนั ในเวลาหว่าน โดยอุบายอย่างนี้นน้ั แล. วันรุ่งข้นึ พราหมณน์ ้ันกราบทลู วา่ “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ วันนี้เป็นมงคลในการ หว่านข้าวของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักถวายมหาทาน แกภ่ กิ ษสุ งฆม์ พี ระพุทธองค์เปน็ ประมขุ ในเมอื่ ขา้ วกล้านี้ ส�ำเร็จแล้ว” พระศาสดาทรงรบั ดว้ ยทรงดษุ ณภี าพ เสดจ็ หลกี ไป. รงุ่ ขน้ึ วนั หนง่ึ พราหมณย์ นื ดขู า้ วกลา้ อยู่ พระศาสดา เสด็จมาตรสั ถามวา่ “พราหมณ์ เธอกำ� ลังท�ำอะไรอยู่ตรงนนั้ ” เมือ่ เขากราบทูลว่า “ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ก�ำลังดู ข้าวกลา้ ” ตรัสว่า “ดี พราหมณ์” แล้วเสด็จหลีกไป. ในครั้งน้ัน พราหมณค์ ดิ ว่า ๑๒. กามชาดก 115
‘พระสมณโคดมมาเนืองๆ คงมีความต้องการภัตร อยา่ งไมต่ ้องสงสัย เราจักถวายภตั รแก่ท่าน’ ในวันที่พราหมณ์คิดอย่างนี้แล้วไปสู่เรือน ถึงพระ- ศาสดา ก็ไดเ้ สดจ็ ไป ณ ท่นี ั้น ครงั้ นนั้ ความพศิ วาส๔๗เกดิ ขน้ึ แกพ่ ราหมณล์ น้ เหลอื . ตอ่ มาครนั้ ขา้ วกลา้ แกแ่ ลว้ เมอ่ื พราหมณต์ กลงใจวา่ ‘พรุ่งน้เี ราจักเก่ียวไร’่ แล้วนอน ฝนลูกเห็บตกตลอดคืน ทางเหนือของ แม่น้�ำอจิรวดี ห้วงน้�ำใหญ่ไหลมาพัดเอาข้าวกล้าท้ังหมด เข้าไปสทู่ ะเล ไมเ่ หลือไว้ให้ แมม้ าตรว่าทะนานเดียว เมื่อห้วงน้�ำเหือดแห้งลงแล้ว พราหมณ์มองดูความ ย่อยยับแห่งข้าวแล้ว ไม่สามารถจะด�ำรงอยู่โดยภาวะ ของตนได้ ถูกความเสียใจอย่างแรงครอบง�ำ ยกมือตีอก คร่�ำครวญไปถึงเรอื น แล้วลงนอนบ่นพร�่ำ. ในเวลาใกลร้ งุ่ พระศาสดาทอดพระเนตรเหน็ พราหมณ์ ถกู ความเสียใจครอบงำ� ทรงด�ำริวา่ ‘เราตอ้ งเป็นทพี่ ึง่ ของพราหมณ์’ รงุ่ ขนึ้ เสดจ็ เทยี่ วโปรดสตั วใ์ นพระนครสาวตั ถี ภายหลงั จากเสวยเสรจ็ เสดจ็ กลบั จากบณิ ฑบาต ทรงสง่ พวกภกิ ษไุ ป สพู่ ระวหิ าร เสดจ็ ไปสปู่ ระตเู รอื นของเขากบั ดว้ ยสมณะตดิ ตาม ๔๗ ว. รกั ใคร,่ สเิ นหา 116 ชาดกคลายโศก
พราหมณไ์ ดย้ นิ ความทพ่ี ระศาสดาเสดจ็ มา กลา่ ววา่ “สหายของเราคงมาเยีย่ มเยียน.” คอ่ ยได้ความโปร่งใจ จดั แจงอาสนะไว้ พระศาสดา เสดจ็ เขา้ ไป ประทบั นงั่ เหนืออาสนะท่ีจัดไว้. ตรสั ถามวา่ “ดูก่อนพราหมณ์ เหตุไรจึงเศร้าหมองไปล่ะ ท่าน ไมส่ บายอะไรเลา่ ?” กราบทลู ว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์ย่อมทรงทราบ การงานทข่ี า้ พระองคก์ ระทำ� จำ� เดมิ แตต่ ดั ตน้ ไมท้ ฝ่ี ง่ั แมน่ ำ�้ อจริ วดี ขา้ พระองคเ์ คยกราบทลู ไวว้ า่ ‘เมอ่ื ขา้ วกลา้ นสี้ ำ� เรจ็ แลว้ ข้าพระองคจ์ ักถวายทานแด่พระองค’์ บัดน้ีห้วงน้�ำใหญ่พัดข้าวกล้าของข้าพระองค์ไปสู่ ทะเลเสียหมดเกล้ียงทีเดียว ข้าวกล้าไม่มีเหลือสักหน่อย ข้าวเปลือกประมาณ ๑๐๐ เกวียนเสียหายหมด เหตุน้ัน ความโศกอย่างใหญโ่ ตจงึ เกดิ แก่ขา้ พระองค์.” ตรัสวา่ “ดกู อ่ นพราหมณ์ กเ็ มอ่ื ทา่ นเศรา้ โศกอยู่ สง่ิ ทเี่ สยี หาย ไปแล้วจะกลับคืนมาไดห้ รือ ?” กราบทลู ว่า ๑๒. กามชาดก 117
“ขา้ แต่พระโคดมผ้เู จรญิ ขอ้ นน้ั เปน็ ไปไม่ได้แน่นอน พระเจ้าข้า.” ตรสั ว่า “แม้เมื่อเป็นอย่างน้ี ท่านเศร้าโศกเพราะเหตุไร ? ขึน้ ชื่อว่า ‘ทรพั ย์และขา้ วเปลือกของสัตวเ์ หล่านี’้ ถงึ คราว เกิด ก็บังเกิด ถึงคราวเสียหายก็เสียหาย สิ่งไรๆ ที่ถึง การปรุงแต่ง จะช่ือว่าไม่มีความเสียหายเป็นธรรมดาน่ะ ไม่มดี อก ทา่ นอย่าคิดไปเลย.” พระศาสดาทรงปลอบเขาดว้ ยประการฉะน้ี เมอื่ ทรง แสดงธรรมอนั เปน็ ทสี่ บายแกเ่ ขา ตรสั กามสตู ร๔๘เมอื่ พระ สตู รถงึ ปรโิ ยสาน พราหมณด์ �ำรงในโสดาปตั ตผิ ล พระศาสดาทรงท�ำให้เขาสร่างโศก เสด็จลุกจาก อาสนะไปสพู่ ระวหิ าร. ชาวพระนครทง้ั สนิ้ รทู้ ว่ั กนั วา่ ‘พระศาสดาทรงกระทำ� พราหมณ์ผู้โน้นผู้เพียบแปล้๔๙ด้วยโศกศัลย์ให้สร่างโศก ใหด้ �ำรงในโสดาปัตตผิ ลได้’ พวกภิกษุพากันยกเร่ืองขึ้นสนทนากันในธรรมสภา ว่า ๔๘ ปรมตั ถโชตกิ า อรรถกถาขุททกนิกาย สุตตนิบาต อรรถกถา อัฏฐกวรรคที่ ๔, ล.๔๗, น.๖๙๔, มมร. ๔๙ ว. เตม็ ที่ 118 ชาดกคลายโศก
“ผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย พระทศพลทรงทำ� ไมตรกี บั พราหมณ์ จนคุ้นเคยกัน ทรงแสดงธรรมแก่เขาผู้เพียบแปล้ไปด้วย ความโศกด้วยอุบายครั้งเดียว ทรงท�ำให้เขาสร่างโศกได้ ใหป้ ระดิษฐานในโสดาปตั ตผิ ลได.้ ” พระศาสดาเสดจ็ มา ตรสั ถามวา่ “เม่อื กพ้ี วกเธอก�ำลังสนทนากนั ด้วยเรอ่ื งอะไร ?” เมื่อพากันกราบทลู ใหท้ รงทราบแลว้ ตรสั ว่า “ดกู อ่ นภกิ ษุท้งั หลาย มิใช่แตใ่ นบดั น้เี ทา่ นัน้ แมใ้ น กาลก่อน เราก็ได้กระท�ำให้พราหมณ์นี้สร่างโศกแล้ว เหมอื นกัน” ทรงน�ำอดตี นทิ านมา ดังต่อไปนี้. เน้อื หาชาดก ในอดตี กาล พระเจา้ พรหมทัต ณ พระนครพาราณสี มีพระโอรส ๒ พระองค์ ทา้ วเธอประทานท่อี ปุ ราชแกพ่ ระ โอรสองคใ์ หญ่ พระราชทานตำ� แหนง่ เสนาบดแี กพ่ ระโอรส องคเ์ ลก็ ครน้ั ตอ่ มาพระเจา้ พรหมทตั สนิ้ พระชนม์ พวกอำ� มาตย์ พากนั ตงั้ การอภิเษกแกพ่ ระองค์ใหญ่ ๑๒. กามชาดก 119
ทา้ วเธอตรัสวา่ “ฉันไม่ต้องการครองราชสมบัติ พวกท่านจงพากัน ใหแ้ กน่ อ้ งชายของฉนั เถิด” แมไ้ ด้รับคำ� ทลู วงิ วอนบ่อยๆ กท็ รงห้ามเสยี ครน้ั พวกอำ� มาตยท์ ำ� การอภเิ ษกถวายพระเจา้ นอ้ งแลว้ ทรงด�ำริว่า ‘เราไม่ต้องการความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ ไม่ทรงปรารถนา แมแ้ ตต่ �ำแหน่งอุปราช เป็นอาทิ.’ ถึงเม่ือพระราชาตรัสวา่ “ถา้ เชน่ นนั้ เชญิ เสวยโภชนะทมี่ รี สดๆี ประทบั อยใู่ น พระนครน้เี ถดิ ” ตรัสวา่ “ฉนั ไม่มีเรอ่ื งทตี่ อ้ งกระทำ� ในพระนครนี้” เสดจ็ ออกจากพระนครพาราณสี ไปสชู่ นบทปลายแดน อาศัยสกุลเศรษฐีตระกูลหน่ึง ทรงกระท�ำการงานด้วย พระหัตถข์ องพระองค์เอง ประทับอยู่. ครั้นกาลต่อมา พวกเหล่าน้ันรู้ความท่ีท้าวเธอเป็น พระราชกมุ าร กพ็ ากนั ไมย่ อมใหท้ ำ� การงาน พากนั หอ้ มลอ้ ม ทา้ วเธอดว้ ยการบรหิ ารในฐานเป็นพระราชกมุ ารทีเดยี ว จำ� เนยี รกาลนานมา พวกขา้ ราชการพากนั ไปสชู่ นบท ปลายแดน ได้ไปถึงบา้ นนน้ั เพอ่ื รังวัดเขต 120 ชาดกคลายโศก
ทา่ นเศรษฐเี ขา้ ไปเฝา้ พระราชกมุ าร กราบทลู ว่า “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ ปน็ เจา้ นาย พวกขา้ พระองคพ์ ากนั บำ� รงุ เลย้ี งพระองค์ ขอพระองคท์ รงสง่ หนงั สอื ถงึ พระเจา้ นอ้ ง ใหท้ รงลดสว่ ยแกพ่ วกข้าพระองค์เถดิ พระเจา้ ขา้ .” ทา้ วเธอทรงรับว่า “ไดซ้ ”ิ ทรงส่งหนังสือไปว่า ‘ฉันอาศัยสกุลเศรษฐีช่ือโน้น พ�ำนักอยู่ โปรดเห็นแก่ฉันยกเว้นส่วยแก่พวกเหล่านั้น เถดิ .’ พระราชารบั สง่ั วา่ “ดแี ลว้ ” ทรงโปรดใหก้ ระท�ำอย่างนั้น. คร้ังนั้น พวกชาวบ้านทั้งหมดบ้าง ชาวชนบทบ้าง ชาวบ้านอื่นๆ บ้าง พากนั เข้าไปเฝา้ ทา้ วเธอ ทลู วา่ “พวกข้าพระองค์จักถวายส่วยแด่พระองค์เท่าน้ัน โปรดให้พระราชาทรงยกเว้นแกพ่ วกข้าพระองคบ์ ้างเถดิ ” ทา้ วเธอทรงสง่ หนงั สอื ไปเพอื่ ชว่ ยเหลอื พวกเหลา่ นนั้ ใหพ้ ระราชาทรงยกเวน้ สว่ ยให้ ตง้ั แตบ่ ดั นน้ั พวกเหลา่ นนั้ ก็พากนั ถวายส่วยแกท่ ้าวเธอ จึงบังเกดิ ลาภสักการะใหญ่ แกท่ ้าวเธอ ด้วยเหตนุ น้ั ความอยากของทา้ วเธอกพ็ ลอย เติบใหญ่ไปดว้ ย ๑๒. กามชาดก 121
กาลต่อมา ท้าวเธอทูลขอชนบทน้ันแม้ท้ังหมด แล้วทูลขอราชสมบัตกิ ึ่งหนง่ึ แม้พระเจา้ นอ้ งก็ได้ประทาน แกท่ า้ วเธอทัง้ นนั้ ท้าวเธอเม่ือความอยากพอกพูน ไม่ทรงพอพระทัย ด้วยราชสมบัติเพียงกึ่งน้ัน ทรงด�ำริจะยึดราชสมบัติ แวดล้อมด้วยชาวชนบท เสด็จไปสู่พระนครนั้น หยุดทัพ อย่ภู ายนอกพระนคร ทรงสง่ หนงั สอื แกพ่ ระเจา้ น้องว่า ‘จงให้ราชสมบตั แิ ก่เรา หรือจะรบกันกไ็ ด.้ ’ พระเจ้าน้องทรงดำ� รวิ า่ ‘พระพี่น้ีเป็นพาล เม่ือก่อนทรงห้ามราชสมบัติ แม้กระทั่งต�ำแหน่งอุปราชก็ทรงห้าม คราวน้ีตรัสว่า จักยึดเอาด้วยการรบ ก็ถ้าว่าเราจักฆ่าพระพี่น้ีให้ตาย ดว้ ยการรบ ความครหาจกั มีแก่เราได้ เราจะต้องการอะไร ด้วยราชสมบัติ’ จงึ ทรงสง่ สาสน์ แด่ท้าวเธอวา่ ‘ไมต่ อ้ งรบดอก เชญิ ทรงครองราชสมบตั เิ ถดิ พระเจา้ ขา้ .’ ท้าวเธอทรงครองราชย์สมบัติประทานท่ีอุปราชแก่ พระเจา้ นอ้ ง จ�ำเดิมแต่น้ัน ทรงครองราชสมบัติ ทรงตกอยู่ใน อ�ำนาจแห่งตัณหา มิได้ทรงพอพระหทัยด้วยราชสมบัติ 122 ชาดกคลายโศก
พระนครเดียว ทรงปรารถนาราชสมบัติ ๒-๓ นคร ไม่ทรงเห็นที่สดุ แห่งความอยากเลย ครัง้ นั้น ท้าวสกั กเทวราชทรงตรวจดูว่า ‘ในโลกชนเหล่าไหนบ้างล่ะ ที่บ�ำรุงมารดาบิดา เหล่าไหนทำ� บญุ ต่างๆ มีให้ทานเป็นต้น เหลา่ ไหนตกอยู่ ในอำ� นาจตณั หา’ ทรงทราบความท่ีท้าวเธอเป็นไปในอ�ำนาจตัณหา ทรงดำ� รวิ า่ ‘พระราชาองคน์ เี้ ปน็ พาล ไมท่ รงพอพระหทยั แมด้ ว้ ย ราชสมบัติในพระนครพาราณสี เราต้องให้ท้าวเธอศึกษา บา้ ง’ จำ� แลงเพศเปน็ มาณพ ประทบั ยนื ทพ่ี ระทวารหลวง. ให้กราบทูลว่า ‘มาณพผู้ฉลาดในอุบายผู้หนึ่ง ยืนอยู่ท่ี พระทวารหลวง’ คร้นั รับสั่งวา่ “เข้ามาเถดิ ” กเ็ สด็จเขา้ ไปกราบทูลถวายชัยพระราชา เม่ือตรัสวา่ “เจ้ามาดว้ ยเหตุไร ?” กราบทูลวา่ ๑๒. กามชาดก 123
“ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้อที่ข้าพระองค์กราบทูล มอี ยู่หนอ่ ย ขา้ พระองคต์ ้องการทรี่ โหฐานพระเจ้าข้า” ด้วยอานุภาพท้าวสักกะ ฝูงคนพากันหลบไปหมด ทนั ใดน้นั เอง คร้ังน้นั มาณพกราบทูลท้าวเธอว่า “ขา้ แตพ่ ระมหาราช ขา้ พระองคเ์ หน็ พระนคร ๓ แหง่ มั่งค่งั มีฝูงคนแออัด สมบรู ณด์ ว้ ยพลและพาหนะ ข้าพระองค์จักยึดราชสมบัติท้ังสามด้วยอานุภาพ ของตนถวายแด่พระองค์ ควรที่พระองค์จะไม่ทรงชักช้า รบี เสด็จไปเถอะ พระเจา้ ข้า.” พระราชานั้นทรงตกอยู่ในอ�ำนาจแห่งความโลภ ทรงรับว่า “ดีละ” แตด่ ้วยอานุภาพแห่งทา้ วสกั กะ มไิ ดท้ รงถามว่า “เจา้ เปน็ ใคร ? หรอื เจา้ มาจากไหน ? หรอื วา่ ควรทเ่ี จา้ จะได้สิ่งไร ?” ท้าวสักกะน้ันเล่าตรัสเพียงเท่าน้ีแล้ว ก็ได้เสด็จไป ดาวดงึ ส์พภิ พทีเดยี ว. พระราชาตรัสใหพ้ วกอ�ำมาตย์มาเฝ้า ตรสั ว่า “มาณพผ้หู นึ่งกล่าววา่ ‘จักยึดราชสมบัติ ๓ นครให้ พวกเรา’ พวกเธอจงเรยี กมาณพนนั้ มาทีเถิด จงนำ� กลอง 124 ชาดกคลายโศก
ไปเทยี่ วตปี ระกาศในพระนคร เรยี กประชมุ พลกาย พวกเรา ตอ้ งยึดครองราชสมบตั ิ ๓ นคร ไม่ต้องชกั ชา้ .” เมื่อพวกอ�ำมาตยพ์ ากันกราบทลู ว่า “ขา้ แตพ่ ระมหาราชเจา้ กพ็ ระองคท์ รงกระทำ� สกั การะ แกม่ าณพนน้ั อยา่ งไร ? หรอื ทรงถามทอี่ ยอู่ าศยั ของมาณพ น้ันไวอ้ ย่างไร ?.” ตรสั วา่ “เราไมไ่ ดท้ ำ� สกั การะเลย ไมไ่ ดถ้ ามทพ่ี กั อาศยั ไวเ้ ลย พวกเธอจงพากันไปคน้ หาเขาเถดิ .” พวกอำ� มาตยพ์ ากันคน้ ไมเ่ ห็นเขา กราบทูลวา่ “ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่เห็น มาณพนน้ั ท่ัวพระนคร พระเจา้ ข้า.” ทรงสดับค�ำน้ันแล้ว พระราชาทรงเกิดโทมนัส ทรงพระด�ำริเรื่อยๆ วา่ ‘ราชสมบัติในพระนครท้ัง ๓ เสื่อมหายแล้ว เรา เสอื่ มเสยี จากยศอนั ใหญ่ มาณพคงโกรธเราวา่ ไมใ่ หเ้ สบยี ง แกเ่ รา แลว้ ก็ไมใ่ หท้ ีอ่ ยอู่ าศัยด้วย เลยไม่มา.’ ครงั้ นนั้ ความรอ้ นบงั เกดิ ขนึ้ ในพระกายแหง่ พระองค์ ผทู้ รงตกอยู่ในอ�ำนาจตัณหา เมอื่ สรรี ะทุกสว่ นเรา่ ร้อนอยู่ กริยาทว่ี ง่ิ พลา่ นแห่งโลหิตกท็ �ำท้องใหก้ �ำเริบแลว้ พลุ่งข้นึ ๑๒. กามชาดก 125
ภาชนะอันหนึ่งเข้าอันหน่ึงออก พวกแพทย์สุดฝีมือท่ีจะ ถวายการรักษาได.้ ครั้งน้ัน การทีท่ ้าวเธอถูกความเจ็บปว่ ยเบยี ดเบยี น ไดเ้ ล่ืองลอื ไปทง้ั พระนคร. กาลนั้นพระโพธิสัตว์เรียนศิลปะส�ำเร็จจากเมือง ตักกสิลา มาสู่ส�ำนักบิดามารดา ในพระนครพาราณสี ฟงั เรอ่ื งของพระราชานัน้ คิดว่า ‘เราตอ้ งถวายการรักษา’ ไปสู่พระราชทวาร ใหก้ ราบทูลวา่ “ไดย้ นิ วา่ มาณพผหู้ นงึ่ มาจะถวายการรกั ษาพระองค.์ ” พระราชาตรัสว่า “แมถ้ งึ พวกแพทยผ์ ทู้ ศิ าปาโมกขใ์ หญๆ่ ยงั ไมส่ ามารถ รกั ษาเราได้ มาณพหนมุ่ จกั สามารถไดอ้ ยา่ งไร ? พวกทา่ น พากันใหเ้ สบยี ง แลว้ ปล่อยเขาไปเสียเถดิ .” มาณพฟังพระดำ� รสั นัน้ แลว้ กลา่ วว่า “ข้าพเจ้าไม่มีเร่ืองที่ต้องท�ำด้วยค่าก�ำนัลหมอเลย ขา้ พเจา้ จกั ขอถวายการรักษา โปรดใหเ้ พยี งค่ายาเทา่ น้นั แหละ.” พระราชาทรงสดบั ค�ำนั้นแลว้ ตรัสว่า “ลองดทู ี” รบั สงั่ ใหเ้ รยี กมาณพตรวจดพู ระราชาแลว้ กราบทลู วา่ 126 ชาดกคลายโศก
“ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงกลัวเลย ข้าพระองค์จักถวายการรักษา ก็แต่ว่าพระองค์ทรงโปรด บอกสมุฏฐานแหง่ โรคแก่ข้าพระองคเ์ ถดิ พระเจ้าขา้ .” พระราชาทรงพอพระหทัยตรสั วา่ “เจา้ จกั เอาสมฏุ ฐานไปทำ� ไม จงบอกยาเทา่ นน้ั เถดิ .” กราบทูลวา่ “ขา้ แตพ่ ระมหาราช ธรรมดาหมอทราบวา่ ‘ความเจบ็ นี้ เกิดข้ึนเพราะอาศัยเหตุน้ี’ ย่อมกระท�ำยาให้ถูกต้องกับ ความเจ็บนั้นได้พระเจา้ ขา้ .” พระราชาตรัสวา่ “ถกู ต้องละ พ่อ” เม่ือตรัสสมุฏฐานได้ตรัสเร่ืองท้ังหมด ตั้งต้นแต่ท่ี มาณพคนหนงึ่ มาบอกวา่ ‘จกั เอาราชสมบตั ใิ นสามพระนคร มาให’้ แลว้ ตรัสว่า “แน่ะพ่อ เราเจ็บคราวน้ีเพราะตัณหา ถ้าเจ้าพอจะ รักษาได้ ก็จงรกั ษาเถดิ ” มาณพทูลถามวา่ “ขา้ แตพ่ ระมหาราช พระองคอ์ าจไดพ้ ระนครเหลา่ นน้ั ด้วยการเศร้าโศกหรอื ?” ตรสั ว่า ๑๒. กามชาดก 127
“ไมอ่ าจดอก พอ่ .” กราบทูลว่า “ถา้ เชน่ นนั้ เหตไุ รพระองคจ์ งึ ทรงเศรา้ โศกพระเจา้ ขา้ ธรรมดาสัตว์ทั้งหลาย ย่อมละร่างกายของตนเป็นต้น ตลอดถงึ สวญิ ญาณกทรพั ยแ์ ละอวญิ ญาณกทรพั ยท์ ง้ั หมด ไป แม้พระองค์จะยึดครองราชสมบัติในพระนครท้ังสี่ได้ พระองค์ก็เสวยพระกระยาหารในสุวรรณภาชนะทั้งส่ี บรรทมเหนือพระที่ท้ังสี่ ทรงเคร่ืองประดับท้ังส่ีพร้อมกัน คราวเดียวไม่ได้ พระองค์ไม่ควรตกอยู่ในอ�ำนาจตัณหา เพราะตณั หานี้ เมอ่ื เจรญิ ขน้ึ ยอ่ มไมป่ ลอ่ ยใหพ้ น้ จากอบาย ทัง้ สีไ่ ปได.้ ” พระมหาสตั ว์ ครั้นถวายโอวาทพระราชาดงั น้แี ลว้ เม่ือจะแสดงธรรมแก่พระราชา ได้กล่าวคาถา ทัง้ หลายว่า เมือ่ บุคคลปรารถนากาม ถ้าส่งิ ที่ปรารถนาของ บคุ คลนนั้ ยอ่ มสำ� เรจ็ ได้ สตั วป์ รารถนาสง่ิ ใดไดส้ งิ่ นน้ั แลว้ ย่อมมใี จอิม่ เอบิ แท้. เมือ่ บุคคลปรารถนากาม ถา้ ส่ิงที่ปรารถนาของ บคุ คลนนั้ ยอ่ มสำ� เรจ็ ได้ ครน้ั สง่ิ ทปี่ รารถนานน้ั สำ� เรจ็ 128 ชาดกคลายโศก
บคุ คลยงั ปรารถนาตอ่ ไปอกี กย็ อ่ มไดป้ ระสบกามตณั หา เหมือนบุคคลทถ่ี กู ลมแดดแผดเผาในฤดูร้อน ย่อมจะเกดิ ความกระหายใครจ่ ะดม่ื น�้ำฉะนนั้ . ตัณหากด็ ี ความกระหายก็ดี ของคนพาล มปี ัญญานอ้ ย ไม่รู้อะไร ย่อมเจริญยิ่งขึน้ ทุกที เหมอื นเขาโคย่อมเจรญิ ขึ้นตามตวั ฉะน้ัน. แมจ้ ะให้สมบตั ิ ขา้ วสาลี ข้าวเหนยี ว โค มา้ ขา้ ทาสหญงิ ชายหมดท้ังแผน่ ดนิ ก็ยังไม่พอแก่ คนคนเดยี ว รู้อยา่ งนี้แล้วพึงประพฤตธิ รรมสมำ่� เสมอ. พระราชาทรงปราบชนะทว่ั แผ่นดิน ทรงครอบครองแผน่ ดนิ ใหญม่ มี หาสมทุ รเปน็ ขอบเขต ทรงครองมหาสมุทรฝงั่ น้ีแลว้ มพี ระทยั ไมอ่ ิ่ม ยังปรารถนาแมม้ หาสมทุ รฝ่งั โนน้ ตอ่ ไปอีก เมอ่ื ยงั ระลกึ ถงึ กามอยตู่ ราบใด กไ็ มไ่ ดค้ วามอมิ่ ดว้ ยใจ ตราบนนั้ ชนเหลา่ ใดบรบิ รู ณด์ ว้ ยปญั ญา มกี ายและใจ หลกี เว้นจากกามทั้งหลาย เหน็ โทษด้วยญาณ ชนเหล่านัน้ นน่ั แลชื่อว่าเป็นผู้อิ่ม. บรรดาความอม่ิ ทง้ั หลาย ความอมิ่ ดว้ ยปญั ญาประเสรฐิ เพราะผู้อ่มิ ด้วยปญั ญานั้น ยอ่ มไม่เดือดร้อนดว้ ยกาม ทง้ั หลาย คนผูอ้ ม่ิ ดว้ ยปัญญา ตณั หาย่อมกระทำ� ให้ ๑๒. กามชาดก 129
อยู่ในอำ� นาจไม่ได.้ ไมพ่ งึ สงั่ สมกามทง้ั หลาย พงึ เปน็ ผมู้ คี วามปรารถนา นอ้ ย ไมม่ ีความละโมบ บุรษุ ผ้มู ปี ญั ญาเปรียบดว้ ย มหาสมุทร ยอ่ มไมเ่ ดือดรอ้ นเพราะกามทง้ั หลาย. ช่างท�ำรองเทา้ หนังเลย้ี งชีพ เมอ่ื ประกอบรองเทา้ ส่วนใดควรเว้นก็เวน้ เลือกเอาแตส่ ว่ นทีด่ ีๆ มาทำ� รองเทา้ ขายไดร้ าคาแลว้ ยอ่ มมคี วามสขุ เรากฉ็ นั นน้ั เหมือนกนั พจิ ารณาดว้ ยปัญญาแล้ว ละท้งิ ส่วนแหง่ กามเสีย ย่อมถึงความสุข ถา้ พงึ ปรารถนาความสขุ ทง้ั ปวงกพ็ งึ ละกามทง้ั ปวงเสยี . กเ็ มอ่ื พระมหาสตั วก์ ำ� ลงั กลา่ วคาถานอ้ี ยู่ ไดเ้ กดิ ฌาน มโี อทาตกสณิ ๕๐เปน็ อารมณ์ เพราะหนว่ งเอาพระเศวตฉตั ร ของพระราชาเปน็ อารมณ์. แมพ้ ระราชากท็ รงหายจากโรค พระองคท์ รงมคี วาม ยินดี เสดจ็ ลุกจากพระทีบ่ รรทม มพี ระด�ำรสั ว่า “พวกแพทย์เท่านี้ยังไม่อาจรักษาได้ แต่มาณพ ผู้เป็นบัณฑิตได้ท�ำเราให้ปราศจากโรคด้วยญาณวิสัย ของตนได้” ๕๐ ตาเพง่ สีขาว แล้วหลบั ตานกึ ถงึ ภาพสีขาว 130 ชาดกคลายโศก
เมอื่ จะทรงปราศรยั กบั พระโพธสิ ตั ว์ ไดต้ รสั พระคาถา ท่ี ๑๐ วา่ คาถาท้ังหมด ๘ คาถาท่ีท่านกล่าวแล้ว ขอท่าน จงรับเอาทรัพย์ท้ัง ๘,๐๐๐ นเ้ี ถิด ค�ำท่ีทา่ นกล่าวน้ีเปน็ คำ� ยังประโยชน์ใหส้ �ำเร็จ. พระมหาสตั วไ์ ดส้ ดบั ดงั นั้นแลว้ จงึ กลา่ วคาถาท่ี ๑๑ วา่ ขา้ พระบาทไมต่ ้องการดว้ ยทรัพย์ร้อยทรพั ย์พนั หรอื ทรัพย์หมน่ื เมอื่ ขา้ พระบาทกล่าวคาถาสุดท้าย ใจของขา้ พระบาทไมย่ นิ ดีในกาม. พระราชาทรงยนิ ดอี ยา่ งเหลอื ประมาณ ในเมอ่ื จะทรง สรรเสริญพระมหาสตั ว์ ไดต้ รสั คาถาสดุ ทา้ ยว่า มาณพใดเป็นบัณฑิต ก�ำหนดรตู้ ณั หา อนั ยังความทุกข์ใหเ้ กิดแลว้ น�ำออกได้ มาณพน้ีเปน็ คนดี เป็นมุนีผรู้ แู้ จง้ โลกทั้งปวง. พระโพธสิ ตั วถ์ วายโอวาทพระราชาวา่ “ขา้ แตพ่ ระมหาราช ขอพระองคจ์ งเปน็ ผไู้ มป่ ระมาท ประพฤติธรรมเถดิ ” ๑๒. กามชาดก 131
แลว้ เหาะไปยงั หมิ วนั ตประเทศ บวชเปน็ ฤาษี เจรญิ พรหมวหิ ารอยจู่ นตลอดชนมายุ แลว้ ไปเกดิ ในพรหมโลก. พระศาสดา คร้ันทรงน�ำพระธรรมเทศนานมี้ าแสดง แล้วตรัสวา่ “ดกู ่อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย แมใ้ นกาลกอ่ น เราก็ไดท้ �ำให้ พราหมณ์นค้ี ลายความเศร้าโศกดว้ ยประการดงั นี้.” ประชมุ ชาดก พระราชาในครงั้ น้ัน ได้มาเป็น พราหมณ์น้ี สว่ นมาณพผเู้ ปน็ บัณฑิต ได้มาเปน็ เราตถาคต แล. 132 ชาดกคลายโศก
บทสรปุ ๑. ทสรถชาดก วา่ ดว้ ย ผู้มีปญั ญายอ่ มไม่เศรา้ โศกถึงสิ่งทเ่ี สียไปแลว้ สถานที่ตรสั พระเชตวันมหาวหิ าร ทรงปรารภ กุฎมุ พีผู้บดิ าตายแลว้ คนหนึง่ ในเวลาจบสจั จะ กฎุ มุ พีด�ำรงในโสดาปตั ตผิ ล ๒. สุชาตชาดก ว่าดว้ ย ค�ำคมของคนฉลาด สถานทีต่ รสั วัดเชตวัน เมอื งสาวตั ถี ทรงปรารภ กฎุมพีผู้ท่บี ิดาตาย ในเวลาจบสัจจะ กฎมุ พีกด็ ำ� รงอยใู่ นโสดาปัตติผล. ๓. มตโรทนชาดก วา่ ดว้ ย รอ้ งไหถ้ งึ คนตาย สถานท่ีตรัส พระวหิ ารเชตวัน ทรงปรารภ กฎุมพีในนครสาวัตถคี นหน่ึง ในเวลาจบสจั จะ กฏมุ พีด�ำรงอยแู่ ล้วในโสดาปตั ติผล. ๔. อรุ คชาดก วา่ ดว้ ย เปรยี บคนตายเหมอื นงลู อกคราบ สถานที่ตรัส พระวหิ ารเชตวัน ทรงปรารภ กฎมุ พีคนหนง่ึ ผมู้ บี ุตรตายแลว้ ในเวลาจบสัจจะ กฎุมพดี ำ� รงอยู่ในโสดาปตั ตผิ ล. บทสรปุ 133
๕. มฏั ฐกุณฑลิชาดก ว่าด้วย คนรอ้ งไห้ถงึ คนตายเปน็ คนโง่เขลา สถานที่ตรสั พระวหิ ารเชตวัน ทรงปรารภ กุฎุมพผี ูห้ นง่ึ ซ่งึ ลกู ตาย ในเวลาจบสัจจะ กุฎมุ พดี �ำรงอยูใ่ นโสดาปตั ติผล ๖. ฆตปณั ฑติ ชาดก วา่ ดว้ ย ความดบั ความโศก สถานทต่ี รสั พระวหิ ารเชตวัน ทรงปรารภ กุฎุมพีลกู ตาย เวลาจบสัจจะ อุบาสกดำ� รงอยูใ่ นโสดาปัตตผิ ล ๗. สิคาลชาดก วา่ ด้วย การท�ำโดยไมพ่ ิจารณา สถานที่ตรัส กูฏาคารศาลา ป่ามหาวนั เมอื งเวสาลี ทรงปรารภ บตุ รชา่ งกลั บกคนหนงึ่ ซง่ึ อยเู่ มอื งเวสาลี ในเวลาจบสัจธรรม อบุ าสกต้งั อยู่ในโสดาปตั ติผล ๘. อัสสกชาดก วา่ ด้วย ไม่รู้ของจรงิ เพราะมีสง่ิ ใหม่ๆ ปดิ ไว้ สถานทีต่ รสั พระเชตวันมหาวหิ าร ทรงปรารภ การเลา้ โลมของภรรยาเก่า เมอ่ื จบสจั ธรรม ภกิ ษผุ กู้ ระสนั ไดต้ ง้ั อยใู่ นโสดาปตั ตผิ ล. 134 ชาดกคลายโศก
๙. อนนุโสจยิ ชาดก ว่าด้วย ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากนั สถานท่ีตรสั พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ กฎมุ พีคนหน่งึ ผู้มีภรรยาตาย ในเวลาจบสจั จะ กฎุมพีได้ด�ำรงอยใู่ นโสดาปตั ตผิ ล. ๑๐. โสมทตั ตชาดก วา่ ดว้ ย ความเศรา้ โศกถงึ ผเู้ ปน็ ทีร่ กั สถานทต่ี รัส พระวหิ ารเชตวัน ทรงปรารภ หลวงตารปู หนง่ึ ๑๑. มคิ โปตกชาดก วา่ ดว้ ย คำ� พดู ทท่ี ำ� ใหห้ ายเศรา้ โศก สถานท่ตี รัส พระวิหารเชตวนั ทรงปรารภ ภิกษุแกร่ ปู หน่งึ ๑๒. กามชาดก วา่ ด้วย กามและโทษของกาม สถานที่ตรัส พระเชตวนั มหาวิหาร ทรงปรารภ พราหมณค์ นหน่ึง จากชาดก ๑๒ เร่ือง ส่วนใหญ่พระศาสดาตรัสท่ี วัดเชตวัน มีเพียงเร่ืองเดียว สิคาลชาดก ท่ีตรัสเล่าที่ กูฏาคารศาลา ปา่ มหาวนั เมอื งเวสาลี บทสรปุ 135
ปรารภเก่ยี วกบั บดิ าตาย ๒ เรอ่ื งคือ ๑. ทสรถชาดก และ ๒. สุชาตชาดก - ลูกตาย ๕ เร่ือง คอื ๓. มตโรทนชาดก, ๔. อุรคชาดก, ๕. มัฏฐกุณฑลิชาดก, ๖. ฆตปณั ฑิตชาดก และ ๗. สคิ าลชาดก - ภรรยาตาย ๒ เรือ่ งคือ ๘.อัสสกชาดก และ ๙. อนนุโสจิยชาดก - ลกู ศษิ ยต์ าย ๒ เรือ่ ง คอื ๑๐. โสมทัตตชาดก และ ๑๑. มิคโปตกชาดก ชาติในอดีตติดในสัตว์ท่ีตนเลี้ยงไว้ โดยคิดสมมติว่า เป็นลูก - พราหมณ์ท่ีการงานล้มเหลว ๑ เร่ือง (ไม่ได้ฟัง ชาดก แตบ่ รรลธุ รรมเพราะฟงั กามสูตร) ๓ เรื่องสุดท้าย ผู้ฟังชาดกไม่บรรลุธรรม มีเพียง ๙ เรอื่ งแรกทผ่ี ฟู้ งั บรรลเุ ปน็ โสดาบนั เพราะทกุ ขจ์ ากบดิ า, ลูกและภรรยา ซงึ่ เปน็ คนในครอบครัวไดต้ ายลง เรยี กวา่ ทุกข์มากจนเขา้ ถงึ ธรรม 136 ชาดกคลายโศก
แนะน�ำหนังสอื ธรรมะ ของสมาคมสมาธิเพ่ือการพฒั นาศีลธรรมโลก ๑) ประเภท ชาดก ปญั ญาบารมี หนทางการสร้างปญั ญา ISBN : 978-616-8103-09-8 จำ� นวนหน้า : ๑๔๔ หน้า ปที เ่ี ผยแพร่ : พ.ศ. ๒๕๕๖ คำ� บรรยาย : จุดเร่ิมต้นในการน�ำเสนอด้วย มุมมองใหม่ ควบคูก่ ับการศกึ ษาธรรมะแบบดง้ั เดิม เพื่อเป็นการแบ่งปันธรรมะประเภทมีตัวละครเป็น ตวั เดนิ เรอื่ ง ทเี่ รยี กวา่ ท้องนิทาน ให้ได้อ่านแบบ สบายๆ ทุกเพศทุกวัย โดยเน้นเนื้อหาในนิทาน ชาดกเปน็ หลัก แตล่ ะเร่อื งจะเป็นเรื่องสน้ั ๆ ไมย่ าว เกินไปนกั ชาดกเรื่องปญั ญา ISBN : 978-616-8103-02-9 จำ� นวนหนา้ : ๙๖ หนา้ ปีทีเ่ ผยแพร่ : พ.ศ.๒๕๖๐ (เฉพาะอีบคุ๊ ) ค�ำบรรยาย : เปน็ ฉบบั ตอ่ จาก ปญั ญาบารมี หนทาง การสรา้ งปญั ญา เปน็ ชาดกทพี่ ระศาสดาทรงปรารภ พระปญั ญาของพระองคเ์ อง มี ๘ เรอื่ ง เป็นนกั บวช ๑ เรอ่ื ง, เปน็ พญาวานร ๑ เรอ่ื ง, ทเ่ี หลอื เปน็ ฆราวาส ตั้งแต่เป็นพราหมณ์หนุ่ม, ปุโรหิต, ช่างท�ำเข็ม, ต้นหนเรอื , เดก็ ผูม้ ีปญั ญา, ยุวราชา แนะนำ� หนังสอื 137
ชาดกเรอ่ื งโปรด (ภาษาไทย-องั กฤษ) ISBN : 978-616-91637-5-6 จ�ำนวนหน้า : ๑๒๘ หน้า ปที ี่เผยแพร ่ : พ.ศ. ๒๕๕๘ (เฉพาะอีบคุ๊ ) ค�ำบรรยาย : ทั้งส่ีเรื่องมีท้องนิทานท่ีเป็น ไปในแนวทางเดียวกัน แม้จะอยู่ต่างหมวด ตา่ งนบิ าต เหตทุ ที่ รงปรารภตา่ งกนั หรอื แมแ้ ต่ ผลการฟงั ธรรมจะแตกตา่ งกนั เปน็ วธิ กี ารเรยี น แบบวิเคราะห์ เช่ือมโยง เพือ่ ชว่ ยในการจดจ�ำ เรอ่ื งราวและสาระตา่ งๆ ไดด้ ีย่งิ ขนึ้ ชาดก รูป-เสยี ง-กล่นิ -รส-สมั ผัส ISBN : 978-616-8103-09-8 จำ� นวนหนา้ : ๑๒๐ หน้า ปีท่ีเผยแพร่ : พ.ศ. ๒๕๖๑ (เฉพาะอีบุ๊ค) ค�ำบรรยาย : น�ำเสนอเร่ืองราวตัวอย่างจาก ชาดกในเร่ืองกามคุณ ๕ (รูป-เสียง-กล่ิน- รส-สัมผัส) ท่ีพระโพธิสัตว์เคยประสบมากับ ตนเองแล้วท้ังส้ิน, เป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษา และตดิ ตามการแกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในรปู แบบ ตา่ งๆ 138 ชาดกคลายโศก
ชาดก เร่อื งศิษย-์ อาจารย์ ISBN : 978-616-8103-08-1 จำ� นวนหน้า : ๒๐๐ หน้า ปีท่เี ผยแพร่ : พ.ศ. ๒๕๖๒ (เฉพาะอีบคุ๊ ) ค�ำบรรยาย : ชาดกความสัมพันธ์ระหว่าง ศิษย์กับอาจารย์จ�ำนวน ๒๔ เรื่อง, วิธีการ สอนศษิ ยป์ ระเภทตา่ งๆ, อาจารยส์ อนวธิ ใี นการ พิจารณาปัญหา, การแก้ไขปัญหาครอบครัว, รวมถงึ ศษิ ยก์ ส็ ามารถเตอื นอาจารยไ์ ด้ ชาดก เรอ่ื งทานบารมี ISBN : 978-616-9167-9-4 จ�ำนวนหนา้ : ๑๙๔ หน้า ปที เี่ ผยแพร่ : พ.ศ. ๒๕๖๒ (เฉพาะอบี ุ๊ค) ค�ำบรรยาย : เป็นการรวบรวมชาดกแบบยอ่ ท่ีพระโพธิสัตว์ทรงบ�ำเพ็ญบารมีในเร่ือง ทานบารมีระดับต่างๆ รวมถึงพระสาวก เช่น พระสารีบุตร, พระอานนท์, ภิกษุรูปอื่น, พระนางมัลลิกาเทวี, ชายผู้เข็ญใจและการ ถวายทานของมหาชน ในการทำ� ทานรปู แบบ ต่างๆ รวม ๒๐ เรอ่ื ง แนะนำ� หนงั สอื 139
ประเภทพระสูตร ภพนภ้ี พหนา้ (ภาษาไทย-องั กฤษ) พมิ พ์ปรับปรุงครัง้ ที่ ๒ ISBN : 978-616-91637-2-5 จ�ำนวนหนา้ : ๑๒๘ หนา้ ปีทเ่ี ผยแพร ่ : พ.ศ. ๒๕๕๗, ครง้ั ท่ี ๒ พ.ศ. ๒๕๕๘ ค�ำบรรยาย : เพ่ือให้ชาวพุทธไทยและต่างชาติ ได้มีโอกาสศึกษาเร่ืองชีวิตหลังความตาย ภพนี้ ภพหน้า ซึง่ มเี นื้อหาปรากฏในปายาสิราชัญญสตู ร เป็นบทสนทนาระหว่างพระเจ้าปายาสิกับพระกุมา รกสั สปะ ซึ่งเป็นพระอรหนั ตใ์ นยคุ นัน้ ความสงสยั ในเร่อื งชีวิตหลังความตาย นรก สวรรค์ มีมาทุกยคุ ทกุ สมยั เพียงแตว่ ่าใครจะแสวงหาคำ� ตอบหรือไม่ ทานบารมี สูตรลัดแห่งความสุข (ภาษาไทย-องั กฤษ) ISBN : 978-616-91637-3-2 จ�ำนวนหนา้ : ๑๒๐ หนา้ ปีที่เผยแพร่ : พ.ศ. ๒๕๕๗ ค�ำบรรยาย : สตู รลดั แหง่ ความสขุ อนั เกดิ จากการ ท�ำทาน ๓ ชุด รวมพระสูตรเก่ียวกับการท�ำทาน สน้ั บา้ งยาวบา้ ง ๑๐ พระสตู ร ภาษาไทยและองั กฤษ พรอ้ มบทสรปุ และขอ้ คดิ ทจี่ ะพลกิ ชวี ติ ของทา่ นใหม้ ี ความสขุ ทง้ั ในภพนีแ้ ละภพหน้า 140 ชาดกคลายโศก
ธรรมะคลายโศก ISBN : 978-616-8103-05-0 จำ� นวนหนา้ : ๑๙๒ หน้า ปที เ่ี ผยแพร ่ : พ.ศ. ๒๕๖๑ (เฉพาะอีบุค๊ ) ค�ำบรรยาย : ผลงานเรียบเรียงธรรมะจาก พระสูตรเล่มที่ ๓ ได้เรียบเรียงเนื้อหาจาก ๒๒ พระสูตร ที่เก่ียวข้องกับความเจ็บป่วย ความทุกขจ์ ากการพลดั พราก จัดท�ำ ๒ ส่วน คือ ธรรมะคลายโศกส�ำหรับฆราวาส และ ธรรมะคลายโศกสำ� หรบั พระ ประเภทแต่งขึ้นใหม่ หนนู ้อยวยั ใส ยกู ิเอะจัง ISBN : 978-616-8103-02-9 จำ� นวนหน้า : ๘๐ หนา้ ปที ่ีเผยแพร ่ : พ.ศ.๒๕๖๐ (เฉพาะอีบุ๊ค) ค�ำบรรยาย : เร่ืองราวของหนูน้อย ลูกครึ่ง ไทย-ญี่ปุ่น, เร่ืองราวการพัฒนาการของเธอ ที่มีโอกาสได้มาวัดกับม่าม้าต้ังแต่เด็ก, ความ สามารถในการเรยี นรภู้ าษาไทยและวฒั นธรรม ชาววัดชาวพุทธ ท�ำใหเ้ ธอคุ้นเคยกบั พระและ การทำ� บุญตง้ั แต่เด็ก แนะน�ำหนงั สอื 141
ประเภทคาถาธรรมบท เลา่ เร่ืองเศรษฐี ISBN : 978-616-91637-0-1 จำ� นวนหน้า : ๙๖ หนา้ สำ� นกั พิมพ ์ : บรษิ ทั พมิ พด์ ี จำ� กัด ปีทพี่ มิ พ ์ : ๒๕๕๖ ค�ำบรรยาย : คดั เลอื กมารวมในเลม่ นี้ มเี พยี ง ๕ เรื่อง, เป็นเรื่องเศรษฐีผู้มีความตระหนี่ ๑ เร่ือง, เศรษฐีใจบุญและเศรษฐีท่ีมีสมบัติ ตกั ไม่พรอ่ ง จ�ำนวน ๔ เรอื่ ง ทายาทเศรษฐี (ภาษาไทย-องั กฤษ) ISBN : 978-616-91637-7-0 จ�ำนวนหนา้ : ๑๑๒ หนา้ ปีที่พมิ พ ์ : ๒๕๕๘ (เฉพาะอีบุ๊ค) ค�ำบรรยาย : ฉบับนี้เน้นเรื่องของทายาท ได้แก่ บุตรและหลานเศรษฐี, เป็นเรื่องท่ี เนน้ ความประพฤติในปจั จบุ ัน ฝ่ายชาย มี ๓ เร่ือง ฝ่ายหญิง มี ๒ เรื่อง เรื่องทห่ี ยบิ ยกมา ศึกษา เป็นแค่ตัวอย่าง พอให้เห็นแนวทาง วา่ การสรา้ งฐานะของตนเองเพอื่ เปน็ เศรษฐี ที่ วา่ ยากแลว้ แตถ่ า้ สอนลกู ผเู้ ปน็ ทายาทไมเ่ ปน็ การสบื ทอดตอ่ ความเปน็ เศรษฐี กลบั ยากยง่ิ กวา่ 142 ชาดกคลายโศก
ดสุ ิตบุรี (ภาษาไทย-อังกฤษ) ISBN : 978-616-91637-4-9 จ�ำนวนหน้า : ๑๑๒ หนา้ สำ� นักพิมพ์ : บ. เอส.อาร์.ซ.ี เอน็ เวลอพ จ�ำกัด ปีทพี่ มิ พ์ : ๒๕๕๘ คำ� บรรยาย : รวมกรณศี กึ ษาในคาถาธรรมบท ๗ เรอ่ื งทลี่ ะโลกแลว้ ไปสวรรคช์ นั้ ดสุ ติ เปน็ พระ ๑ เรอื่ ง อบุ าสก ๓ เรือ่ ง อุบาสกิ า ๓ เร่อื ง ภาค ผนวก เปน็ การบรรยายเรอื่ งราวของสวรรคช์ นั้ ดุสติ โดยตรง วยั ใสใจใส (ภาษาไทย-อังกฤษ) ISBN : 978-616-8137-8-7 จำ� นวนหน้า : ๗๒ หน้า สำ� นกั พมิ พ ์ : บ. เอส.อาร์.ซ.ี เอ็นเวลอพ จำ� กัด ปีทพ่ี ิมพ ์ : ๒๕๕๘ คำ� บรรยาย : เป็นเรื่องราวของเยาวชนใน สมัยพุทธกาลท่ีใฝ่ในธรรม จ�ำนวน ๖ เรื่อง มีท้ังเดก็ ชาวพุทธ และเดก็ ตา่ งศาสนกิ แนะนำ� หนังสือ 143
อบุ าสิกา ฉบบั ราชนกิ ูล-พระเถรี ISBN : 978-616-8103-00-5 จ�ำนวนหน้า : ๑๗๖ หนา้ ปที เ่ี ผยแพร่ : พ.ศ.๒๕๖๐ (เฉพาะอบี ุ๊ค) ค�ำบรรยาย : จากต้นฉบับเรือ่ ง ธรรมบทเกีย่ ว กับอุบาสิกาที่จัดท�ำข้ึน ปลายปี พ.ศ.๒๕๕๓ ต่อมาจัดทำ� เปน็ เล่ม เมอ่ื ตน้ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ บัดน้ี ล่วงเลยเวลามาเกือบ ๖ ปี จึงคิดว่าจะท�ำการ ปรับปรุง เป็นรูปเล่มให้น่าอ่านย่ิงขึ้น เรียบเรียง ความต่อเน่อื งของเนอ้ื หา แตล่ ะเรือ่ งให้มากขึน้ อุบาสิกา ฉบับ สามัญชน ISBN : 978-616-8103-01-2 จำ� นวนหน้า : ๑๘๔ หน้า ปที เี่ ผยแพร่ : พ.ศ. ๒๕๖๐ (เฉพาะอีบ๊คุ ) คำ� บรรยาย : ฉบับน้ีต้ังใจจะให้เป็นเล่มต่อจาก ฉบับ ราชนิกูล-พระเถรีแนวคิดของหนังสือคือ ทำ� ใหอ้ ่านง่าย และน่าอา่ น อา่ นง่าย คอื ขดั เกลา ส�ำนวนให้เป็นส�ำนวนปัจจุบัน, อธิบายศัพท์ด้วย เชิงอรรถถึง ๘๐ ค�ำน่าอ่าน คือ การเรียบเรียง เร่ืองที่คล้ายคลึงกันไว้ด้วยกัน เพ่ือง่ายการ ติดตามและเปรียบเทียบ เพียบพร้อมไปด้วยรูป ประกอบ ในเล่มน้มี ี ๑๙ เร่ือง หลายเรื่องไม่ได้ใช้ เป็นชื่อเรือ่ ง 144 ชาดกคลายโศก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144