Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือศัตรูพริก

คู่มือศัตรูพริก

Description: เกษตร

Search

Read the Text Version

โ ร ค ใ บ ด่ า ง แ ต ง โรคใบดา่ งแตง (Cucumber Mosaic Disease) เชอ้ื สาเหต ุ Cucumber mosaic virus (CMV) Genus : Cucumovirus ลกั ษณะอาการ เปน็ ไวรสั ชนิดเดียวกับทพ่ี บในพชื ตระกลู แตง และมะเขือเทศ ทำให้ พืชแสดงอาการด่างหรือด่างเหลืองแต่ไม่ชัดเจนนัก บริเวณด่างเหลืองพบเป็นแต้ม สเี หลอื งจางกระจายบนใบ ถ้าพืชเป็นรนุ แรงใบจะลดรูป เรยี ว ต้นแคระแกรน็ การแพรร่ ะบาด สามารถถ่ายทอดโรคได้โดยแมลงพาหะ คือ เพลี้ยอ่อน Myzus persicae และการสัมผัส (mechanical) และเช้ือไวรสั สามารถตดิ ไปกบั เมล็ดได ้ การป้องกันกำจดั 1. ใช้พนั ธพุ์ รกิ ทีป่ ลอดโรค 2. ใชพ้ ันธุพ์ ริกทต่ี ้านทานโรค 3. พน่ สารเคมีปอ้ งกันกำจัดแมลงพาหะ 4. หม่ันตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ หากพบโรค ทำลายต้นพืชท่ีเป็นโรค โดย การถอนไปเผาทิ้งแลว้ เพอื่ ลดปริมาณของเชอ้ื สาเหต ุ 44

C u c u m b e r M o s a i c D i s e a s e อาการดา่ งเหลืองพบเป็นแตม้ สเี หลืองจางกระจายบนใบ 45

โ ร ค ใ บ ่ด า ง ป ร ะ พ ิร ก โรคใบด่างประพรกิ (Chili Veinal Mottle Disease) เชอื้ สาเหต ุ Chili Veinal Mottle Virus (CVMV) Genus : Potyvirus ลกั ษณะอาการ อาการของโรคข้ึนกับชนิดหรือพันธ์ุพริกและช่วงเวลาที่เกิดโรค อาการจะเกิดเร็วและรุนแรงในต้นพริกท่ียังเล็ก ใบพริกแสดงอาการด่างสีเขียวอ่อนหรือ เหลอื งสลบั สเี ขยี วเขม้ เนื้อใบมสี ีเขยี วซีดและมีจดุ สเี ขยี วบนใบ แต่เนอื้ เยอื่ รอบๆ เสน้ ใบ ยังคงเขียวเป็นปกติ ใบอ่อนของต้นพริกที่ถูกไวรัสเข้าทำลายจะมีขนาดเล็กกว่าต้นปกติ และใบแสดงอาการบิดเบี้ยว ต้นพริกแคระแกร็น ถ้าติดผลจะมีขนาดเล็กและผลบิด เบ้ียวเสียรูปทรง การแพรร่ ะบาด เพล้ยี อ่อนเปน็ แมลงพาหะ ไดแ้ ก่ Aphis craccivora, A. gossypii และ Myzus persicae แต่ไม่ถ่ายทอดผ่านทางเมล็ด พืชอาศัยส่วนใหญ่อยู่ในวงศ์ Solanaceae เช่น มะเขอื เทศ ยาสูบ การป้องกันกำจดั 1. ใช้พนั ธพ์ุ ริกท่ีต้านทานโรค 2. พน่ สารป้องกันกําจดั แมลงเพอื่ ป้องกันการแพร่ระบาดของเพล้ียออ่ น 3. หมน่ั ตรวจแปลงอยา่ งสมำ่ เสมอ หากพบโรค ทำลายต้นพชื ทีเ่ ป็นโรค โดย การถอนไปเผาท้งิ แลว้ เพ่ือลดปรมิ าณของเช้ือสาเหตุ 4. ปลูกพชื หมุนเวยี น เพอื่ ลดการสะสมของเชื้อไวรสั 46

C h i l i V e i n a l M o t t l e D i s e a s e 47 ใบพรกิ แสดงอาการด่างสีเขยี วอ่อนหรอื เหลอื งสลบั สเี ขียวเขม้

ท อ ส โ พ ไ ว ัร ส ข อ ง พ ิร ก ทอสโพไวรัสของพริก (Tospovirus) เชอ้ื สาเหต ุ Capsicum chlorosis virus (CaCV) Watermelon silver mottle virus (WSMoV) Melon yellow spot virus (MYSV) Tomato necrotic ringspot virus (TNRV) Genus : Tospovirus ลักษณะอาการ พบอาการได้ทุกส่วนของต้น ส่วนใหญ่พบอาการบนใบ คือ ใบเป็น จุดวงแหวนสีซีดหรือเป็นจุดสีน้ำตาล ใบไหม้ ด่างวงแหวน (ring spot) ด่างประ (mottling) แคระแกร็น (stunting) และใบจุด (local lesion) บนก้านใบ ผลพบ อาการเน้ือเยอ่ื ตายเปน็ สะเกด็ การแพร่ระบาด โรคน้ีแพร่ระบาดได้โดยเพล้ียไฟเป็นแมลงพาหะ ไวรัสสามารถ ถา่ ยทอด โดยวธิ ีกลและผา่ นทางเมล็ด และยงั มพี ชื อาศยั กว้าง เชน่ มะเขือเทศ ถว่ั ลสิ ง พชื ตระกลู แตง การป้องกันกำจดั 1. ใชพ้ ันธพุ์ รกิ ท่ปี ลอดโรค 2. ใชพ้ ันธพ์ุ ริกท่ตี า้ นทานโรค 3. ใชส้ ารป้องกนั กาํ จดั แมลง ควบคุมการระบาดของเพลีย้ ไฟ 4. ปลกู พืชหมนุ เวียนเพ่อื ลดการสะสมของเชอื้ ไวรสั สาเหตโุ รค 5. หม่ันตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ หากพบโรค ทำลายต้นพืชท่ีเป็นโรค โดย การถอนไปเผาทิ้งแล้ว เพอ่ื ลดปริมาณของเชอ้ื สาเหตุ 48

ใบเปน็ จดุ วงแหวนสซี ดี หรอื เปน็ จดุ สนี ำ้ ตาล ใบไหม ้ 49

โรคใบจุดทเ่ี กิดจากแบคทีเรยี ของพรกิ (Chili Bacterial Leaf Spot Disease) โ ร ค ใ บ ุจ ด ที่ เ ิก ด จ า ก แ บ ค ีท เ ีร ย ข อ ง พ ิร ก เชอื้ สาเหต ุ Xanthomonas vesicatoria (ex Doidge) Vauterin et al. ลักษณะอาการ ใบแสดงอาการจุดวงกลมขนาดเล็กหรือมีรูปร่างไม่แน่นอน สีน้ำตาลเข้มหรือสีดำเป็นมัน เมื่อจุดขยายขนาดใหญ่ข้ึนจะเห็นตรงกลางจุดสีจางล้อม รอบด้วยขอบแผลสีเข้ม หากจุดใกล้กันลามเช่ือมต่อกันจะทำให้เกิดแผลรูปร่างไม่ แน่นอน ในใบที่มีอาการรุนแรงใบจะเหลืองและร่วงจากต้น ถ้าเช้ือเข้าทำลายส่วนของ กา้ นใบและลำต้นจะทำให้เกิดอาการแผลสะเก็ดและกงิ่ เหย่ี วได้ อาการบนผลจะปรากฏ จุดฉ่ำน้ำ ขอบแผลเป็นสีเหลืองซีด จากนั้นจุดจะเปล่ียนเป็นสีน้ำตาล และอาจสังเกต เห็นหยดน้ำซ่ึงมีกลุ่มของเชอื้ แบคทีเรียอย่หู ากมีความช้นื เพยี งพอ การปอ้ งกนั กำจัด แช่เมล็ดพันธุ์ดว้ ยสารละลาย 0.1% mercuric chloride นาน 2-5 นาที หาก เป็นต้นกล้าสามารถพ่นด้วย 1% Bordeaux mixture หรือ ใช้ 0.25% copper oxychloride ไม่ควรพ่นด้วย streptomycin หลังจากที่เร่ิมติดผลแล้ว และควรกำจัด ต้นทเี่ ปน็ โรคออกจากแปลงเพอื่ ลดแหล่งแพรร่ ะบาดของโรคในแปลง 50

C h i l i B a c t e r i a l L e a f S p o t D i s e a s e 51 ใบแสดงอาการจดุ วงกลมขนาดเลก็ หรอื มีรปู รา่ งไม่แนน่ อน

โรคเห่ยี วเขียวของพริก (Chili Bacterial Wilt Disease) เชื้อสาเหตุ Ralstonia solanacearum (Yabuuchi et al., 1995) (Pseudomonas solanacearum) ลักษณะอาการ อาการของโรคจะพบกระจาย หรือเป็นกลุ่มในแปลงปลูก เร่ิมแรก ใบออ่ นหรอื ใบยอดจะเหย่ี วเฉพาะเวลากลางวันที่อากาศร้อนจดั และจะกลับมาปกติใน เวลาค่ำทอี่ ากาศเยน็ จากนั้นใบจะเร่มิ เหยี่ วเพ่มิ มากลามลงมา จนเหย่ี วทง้ั ต้นและเหี่ยว อย่างถาวรทันทีโดยท่ีใบยังคงเขียวอยู่ เมื่อถอนต้นขึ้นมาพบว่าเกิดอาการเน่าข้ึนที่ราก โ ร ค เ หี่ ย ว เ ีข ย ว ข อ ง พ ิร ก และถ้าตัดลำต้นออกตามขวางแช่ในน้ำใสภายใน 5-10 นาที จะมีเมือกสีขาวขุ่น (bacterial ooze) ไหลออกมาตามรอยตัดเป็นสายละลายปนกับน้ำออกมา เมื่อเป็น โรคมากภายในลำตน้ จะกลวงเน่ืองจากถูกเช้ือทำลายเน้ือเยื่อและตายในที่สดุ การป้องกันกำจัด เนื่องจากเช้ือ R. solanacearum เป็นเชื้อแบคทีเรียสาเหตุโรคในดิน การ ป้องกันกำจัดโรคน้ีค่อนข้างยาก ในปัจจุบันยังไม่มีสารเคมีใดที่สามารถใช้กำจัดโรคน้ี อย่างได้ผลสมบูรณ ์ แนวทางการป้องกันกำจัดจึงเน้นไปในแนวทางการหลีกเล่ียง และ ปอ้ งกนั การระบาดของโรค ดังแนวทางต่อไปนี้ 1. ควรหลีกเลีย่ งพนื้ ที่ทีม่ กี ารระบาดของโรคน้ีมาก่อน 2. ใชพ้ นั ธุต์ ้านทานโรคเห่ยี วเขียว 3. ฆา่ เช้อื สาเหตุในดนิ ปลูกโดยการอบดนิ ฆ่าเชอ้ื ดว้ ยยูเรีย อัตรา 80 กโิ ลกรัม และปูนขาว อตั รา 800 กโิ ลกรมั ต่อพื้นท่ี 1 ไร่ โดยอบทิง้ ไว้ 2-3 สปั ดาห์ ก่อนปลูกพชื 4. เครอื่ งมือเคร่ืองใช้ ควรจุม่ แอลกอฮอล์ 70% หรือ clorox 10% ทกุ ครง้ั ท่ีใช้เพือ่ ป้องกันไม่ใหเ้ ชอ้ื ระบาดตอ่ ไป 5. หมั่นตรวจและสังเกตแปลงปลูกเสมอ เม่ือพบต้นท่ีแสดงอาการของโรคให ้ ขุดออกนำไปเผาทำลาย ขุดดินบริเวณรอบต้นนำไปฝังทำลาย โรยปูนขาว บรเิ วณหลมุ ท่ีขดุ ออกเพ่อื ลดการแพร่ระบาดของเช้อื โรค 6. ทำลายเชื้ออาศยั อน่ื ๆ หรือวัชพืช เพอื่ ไม่ใหเ้ ป็นพืชทอ่ี าศัยขา้ มฤดู 7. ปรับระบบการใช้น้ำ ควบคุมความชื้นในดินไม่ให้มากเกินไป เพ่ือลดความ รุนแรงของโรค 8. ในพื้นท่ีท่ีเกิดโรคระบาดควรปลูกพืชหมุนเวียนท่ีไม่ใช่พืชอาศัยของเช้ือ สาเหตโุ รค เชน่ ขา้ วโพด ขา้ ว ฝา้ ย ถว่ั เหลอื ง สลบั กนั เปน็ เวลามากกวา่ 1 ป ี 52

C h i l i B a c t e r i a l W i l t D i s e a s e โรคเหย่ี วของพรกิ ท อ่ นำ้ ทอ่ อาหารถกู ทำลายเปน็ สนี ำ้ ตาล เมอ่ื ตดั ขวางลำตน้ ของตน้ พรกิ ทแี่ สดงอาการเหย่ี ว แชน่ ำ้ จะเหน็ Ooze ไหลออกมา 53

โ ร ค ร า ก ป ม โรครากปม (Root Gall Disease) เชอื้ สาเหต ุ Meloidogyne incognita (Kofoid and White) Chitwood Meloidogyne javanica (Treub) Chitwood ลักษณะอาการ พริกแสดงอาการเหี่ยว ต้นแคระแกร็น และทรุดโทรมหรือแห้งตาย ในท่ีสุด เมื่อถอนต้นพริกออกมาจะพบว่าส่วนใต้ระดับดินบริเวณรากเป็นปุ่มปม โดย จะพบได้ท้ังส่วนรากฝอย รากใหญ่และบริเวณโคนต้น เน่ืองจากไส้เดือนฝอยดูดกิน น้ำเลี้ยงของพืชบริเวณท่อน้ำ-ท่ออาหาร ทำให้เซลล์ของพืชบริเวณที่ถูกทำลายแบ่งตัว ผิดปกติ ไปปิดก้ันทางเดินน้ำและแร่ธาตุอาหารจากรากไปเลี้ยงลำต้นส่วนเหนือดิน ทำให้รากบรเิ วณน้ันบวมโต เป็นปม การแพร่ระบาด ไส้เดือนฝอยสามารถแพร่ระบาดได้ดีในเน้ือดินชนิดร่วนปนทราย ไปกับระบบการให้น้ำ หรือไหลไปกับน้ำฝน รวมทั้งติดไปกับดินเพาะกล้าและติดไปกับ เครื่องมอื เกษตรตา่ งๆ เชน่ ล้อรถไถ ดนิ ทต่ี ดิ ไปกับรองเทา้ ของเกษตรกร และเครอ่ื งมือ เกษตรอ่นื ๆ การปอ้ งกนั กำจดั 1.ปลูกพืชหมุนเวียน โดยปลูกพืชที่ไม่ใช่พืชอาหารของไส้เดือนฝอย หมุนเวียนสลับกับพริก 1-2 ฤดูปลูก เพื่อตัดวงจรชีวิตของไส้เดือนฝอย พืชทสี่ ามารถนำมาปลกู สลับ ไดแ้ ก่ ปอเทือง ถัว่ ลิสง และดาวเรือง 2. ใชก้ ลา้ พริกสะอาดปราศจากปมุ่ ปมทร่ี ะบบราก 3. เมอื่ พบระบบรากของตน้ พรกิ ในแปลงปลกู มปี มุ่ ปม ใหถ้ อนและเผาทง้ิ นอก แปลงปลกู 4. ควรระมัดระวังการแพร่ระบาดจากแปลงหนึ่งไปสู่แปลงอ่ืนๆ โดยไส้เดือน ฝอยสามารถตดิ ไปกบั ดนิ หรอื ไหลไปกบั ระบบการใหน้ ำ้ หรอื ไปกบั นำ้ ฝนได ้ 54

R o o t G a l l D i s e a s e พรกิ แสดงอาการเห่ียวเฉา ต้นแคระแกร็น และทรุดโทรมหรือแห้งตายในท่สี ุด เม่ือถอนต้นพริกออกมาจะพบวา่ สว่ นใตร้ ะดบั ดนิ บรเิ วณรากเปน็ ปุ่มปม 55

56

ัว ช ืพ ช W e e d s Weวeัชพdชื s 57

ห ้ญ า ีต น น ก หญา้ ตนี นก (southern crabgrass) ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Digitaria ciliaris (Retz.) Koeler ลักษณะ พชื อายปุ ีเดยี ว ลำต้น ทอดเลือ้ ยแล้วตง้ั ตรง สงู 20-60 เซนติเมตร กาบใบเล้ียงยกเว้นตามขอบใบมีต่อมขน ใบ ขอบใบขนานแคบ ยาว 20 เซนติเมตร กว้าง 3-10 มิลลิเมตร ลิ้นใบเป็นแผ่นบาง ดอก ออกเป็นช่อ มี 4-7 แขนง ยาวได้ถึง 12 เซนติเมตร ช่อดอกย่อยออกเป็นคู่ มีก้านและไม่มีก้าน รูปไข่ ยาว 3.2 มิลลิเมตร เรยี งตวั ดา้ นเดยี วของแกน กาบคลมุ ลา่ งรปู สามเหลย่ี ม กาบคลมุ บนรปู สามเหลยี่ มแคบขนาด ใหญ่กว่ากาบคลุมล่าง ช่อดอกย่อยประกอบด้วย 2 ดอก ดอกล่างเป็นหมัน ใบประดับ นอกมเี สน้ สัน 5 เสน้ ใบประดับในลดรปู ดอกยอ่ ยบนเป็นดอกสมบูรณเ์ พศ ใบประดับ นอกบางใส ใบประดับในมีรูปร่างเหมือนใบประดับนอก แต่มีเกสรเพศผู้ 3 อัน เกสร เพศเมยี ปลายแยกเป็น 2 แฉก ผล ยาว 3 มลิ ลเิ มตร มีส่วนของใบประดับนอกและใบ ประดบั ในทแี่ ขง็ ติดอยู่ 58 ภาพวาดลายเสน้ แสดงลกั ษณะทางพฤกษศาสตรข์ องหญา้ ตนี นก (www.proto4u.org)

southern crabgrass 59 ตน้ ตน้ กล้า และชอ่ ดอก หญ้าตีนนก

ห ้ญ า ป า ก ค ว า ย หญา้ ปากควาย (crowfootgrass) ช่อื วทิ ยาศาสตร ์ Dactyloctenium aegyptium (L.) Willd. ลกั ษณะ พืชอายุปีเดียว ลำต้น ทอดเลื้อยตั้งตรง แตกเป็นกอ สูง 15-50 เซนติเมตร กาบใบเป็นแผ่นหนาเนื้อหยาบ ใบ รูปขอบขนานปลายแหลม ยาว 7-15 เซนติเมตร กว้าง 0.5-1 เซนติเมตร ขอบใบมีขนกระจาย ลิ้นใบเป็นแผ่นบางมีขนเล็ก นอ้ ย ดอก ออกเป็นชอ่ แบบชอ่ เชิงลด มี 4-5 แขนง ออกจากจดุ เดยี วกัน แตล่ ะชอ่ ยาว 1.5-7 เซนตเิ มตร มกั มขี นสขี าวท่ีโคน แกนค่อนข้างแบน ช่อดอกยอ่ ยแบนทางด้านข้าง เรียงด้านเดียวบนแกน ช่อดอกซ้อนเหล่ือมกัน เป็นสองแถว กาบคลุมล่างเป็นแผ่นบาง ใสรูปท้องเรือ ปลายแหลมเป็นรยางค์ กาบคลุมบนเป็นแผ่นบางใส ปลายแหลมเป็นติ่ง มีขนแข็งบนเส้นสัน ดอกย่อยบนเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ใบประดับนอกบางใสรูปไข่ ใบประดับในเป็นแผน่ บางใส ผวิ เกล้ยี ง รูปไข่ ปลายเวา้ เปน็ 2 แฉก เกสรเพศผ้มู ี 3 อัน เกสรเพศเมยี ปลายแยกเปน็ 2 แฉก ผล รปู ไต สนี ำ้ ตาล ผิวเปน็ มนั 60 ภาพวาดลายเส้นแสดงลักษณะทางพฤกษศาสตรข์ องหญา้ ปากควาย (www.plants.usda.gov)

c r o w f o o t g r a s s ตน้ ต้นกล้า และชอ่ ดอก หญา้ ปากควาย 61

ห ้ญ า ข น เ ็ล ก หญ้าขนเล็ก (green summer grass) ชอื่ วิทยาศาสตร์ Brachiaria distachya (L.) Stapf ลกั ษณะ พืชอายุปีเดียว ลำต้น เลื้อยและชูส่วนยอดขึ้น แตกรากตามข้อท่ี แตะดิน ชอบข้ึนรวมเป็นกลุ่มแน่น สูง 50-120 เซนติเมตร ลำต้นเรียวเล็กไม่มีขน มขี นาดเส้นผา่ นศนู ย์กลาง 1.3 -2.7 เซนตเิ มตร ใบ เรยี วยาวไปทีป่ ลายใบคลา้ ยหอก ฐานใบมนโอบรอบลำต้น แผ่นใบกว้าง 0.7-1.2 เซนติเมตร ยาว 4.4-13.0 เซนติเมตร ใบด้านหน้ามีขนเล็กน้อย หลังใบมีขนปานกลางถึงมาก กาบใบยาว 3-7 เซนติเมตร ขอบกาบใบมีขนยาว 1-2 มิลลิเมตร มีล้ินใบลักษณะเป็นแผง เส้นขนยาว 1.0-1.5 มลิ ลิเมตร ใบ กาบใบ ลำตน้ และขอ้ มักมสี เี ขียวปนนำ้ ตาลแดง ตน้ ท่ีอายมุ ากมกั มีสีมว่ ง แดง ช่อดอก ยาว 17.6 - 31.6 เซนติเมตร มี 3 - 8 ช่อดอกย่อยแต่ละอัน ยาว 3-6 เซนตเิ มตร ดอกมสี เี ขยี ว และเขยี วปนนำ้ ตาลแดง อบั เรณมู สี เี หลอื งสดถงึ เหลอื งสม้ ยอดเกสรเพศเมยี มสี ีมว่ งเข้มเปลอื กมังคุด ออกดอกตลอดท้ังปี แต่ตดิ เมลด็ น้อย 62 ภาพวาดลายเส้นแสดงลกั ษณะทางพฤกษศาสตรข์ องหญา้ ขนเลก็ (www.ausgrass2.myspecies.info)

g r e e n s u m m e r g r a s s ตน้ ตน้ กล้า และชอ่ ดอก หญ้าขนเลก็ 63

หญ้าตนี กา (goosegrass) ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Eleusine indica (L.) Gaertn. ลกั ษณะ พืชอายุปีเดยี ว ลำต้น ทอดนอนแล้วต้ังตรง แตกเปน็ กอ สูง 30-60 เซนติเมตร กาบใบเล้ียงอาจพบขนบริเวณท่ีติดกับแผ่นใบ ใบ แคบยาว 10-35 เซนติเมตร ปลายแหลม กว้าง 7 มิลลิเมตร ลิ้นใบเป็นเย่ือบางๆ มีขนบริเวณเข้ียวใบ ดอก ออกเปน็ ช่อ ดอกย่อยมกี ้านส้นั มากหรอื ไม่มีก้าน มี 3-12 ช่อ ออกจากจดุ เดยี วกนั ยาว 3-15 เซนติเมตร และมักมี 1 ช่อ ที่อยู่ต่ำลงมา แกนกลางแบน ช่อดอกย่อยยาว 5-6 เซนติเมตร ไม่มีก้าน ผิวเกล้ียงเรียงแบบสลับบนแกน ประกอบด้วยดอกย่อย 4-6 ดอก ดอกทางดา้ นบนของชอ่ 1-2 ดอกเปน็ เพศผู้ กาบคลมุ ลา่ งรปู หอก ขอบมว้ น กาบ คลมุ บนยาวกวา่ เลก็ นอ้ ย รูปหัวใจ ใบประดับนอกยาว 2.6-4 มิลลเิ มตร รปู หัวใจปลาย แหลม ขอบม้วน ใบประดับในยาว 2-3 มิลลิเมตร ขอบไมม่ ว้ น เกสรเพศผูม้ ี 3 อัน เกสร เพศเมียปลายแยกเป็น 2 แฉก ผล ยาว 1.2 มิลลิเมตร มีรอยย่นตามผิว รูปไข่ปลาย ห ้ญ า ีต น ก า แหลม สีน้ำตาล 64 ภาพวาดลายเสน้ แสดงลกั ษณะทางพฤกษศาสตรข์ องหญา้ ตีนกา (www.wustl.edu)

g o o s e g r a s s ตน้ ต้นกลา้ และชอ่ ดอก หญา้ ตนี กา 65

ัผ ก ป ล า บ น าผกั ปลาบนา (spreading dayflower) ช่ือวทิ ยาศาสตร ์ Commelina diffusa Burm.f. ลักษณะ พืชอายุปีเดียว ลำต้น ทอดเลื้อยบนดิน ต้นกลม สีเขียว ยาวได้ถึง 40 เซนตเิ มตร มรี ากออกตามขอ้ ใบ เปน็ ใบเดีย่ วเรยี งเวยี นสลบั รูปหอกแกมขอบขนาน กวา้ ง 1-2 เซนติเมตร ยาว 4-7.5 เซนตเิ มตร โคนก้านใบแผเ่ ป็นกาบหมุ้ ลำต้น ขอบด้าน บนมขี น ดอก สนี ้ำเงนิ ฟา้ ออกเปน็ ช่อตามซอกใบ ยาว 2.5-3 เซนตเิ มตร มีใบประดับ รองรับสีเขียวอ่อนรูปเรือกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 4.5 เซนติเมตร ดอกย่อยขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร มีกลีบเล้ียงและกลีบดอกอย่างละ 3 กลีบ เกสรเพศผู้ 6 อนั เปน็ หมนั 3 อนั รปู รา่ งตา่ งกนั ปลายเกสรเพศเมยี สสี ม้ กา้ นชเู รยี วเกลยี้ ง ยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร ผล แก่แล้วแตกตามรอยตะเข็บ รูปไข่ปลายแหลมยาว 0.5 เซนติเมตร เมล็ด ค่อนข้างกลมผิวเรียบ 66 ภาพวาดลายเสน้ แสดงลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ของผักปลาบนา (www.ala.org.au)

s p r e a d i n g d a y f l o w e r ต้น ต้นกลา้ และดอก ผกั ปลาบนา (www.flickriver.com) 67

ห ้ญ า ย า ง หญา้ ยาง (wild poinsettia) ช่ือวิทยาศาสตร์ Euphorbia heterophylla L. ลักษณะ พืชอายุปีเดียว ลำต้น ตั้งตรง กลวง สูงได้ถึง 2.5 เมตร มีขน ปกคลุม มียางสีขาว ใบ เป็นใบเด่ียวแตกจากลำต้นแบบสลับ แผ่นใบรูปรีหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือจักเล็กๆ มีขนปกคลมุ ผวิ ใบ กา้ นใบสีมว่ งแดง มีขนขึ้น ปกคลุม ดอก เป็นช่อท่ีการเจริญเติบโตของช่อมีขีดจำกัด ดอกท่ีเกิดก่อนจะบานจาก กลางช่อ ออกที่ปลายยอดเป็นกลุ่ม ประกอบด้วยดอกเพศผู้และเพศเมียปนกัน ใบประดบั สขี าว กลบี ดอกสขี าวอมเขยี ว ดอกยอ่ ยมกี า้ นดอกสนั้ ผล เมอ่ื แกเ่ ปลอื กจะแหง้ และแตกออก รปู กลม ไมม่ ขี น ผลแตกออกเปน็ 3 กลบี แตล่ ะกลบี มี 1 เมลด็ รปู รา่ งกลม มสี ันขรุขระ ปลายแหลมข้างหน่งึ สีนำ้ ตาลหรอื ดำ ขยายพันธ์ุโดยอาศยั เมล็ด 68 ภาพวาดลายเสน้ แสดงลกั ษณะทางพฤกษศาสตรข์ องหญา้ ยาง (www.luirig.altervista.org)

w i l d p o i n s e t t i a ต้น ต้นกลา้ และดอก หญา้ ยาง 69

ส า บ ่ม ว ง สาบมว่ ง (praxelis) ชอ่ื วิทยาศาสตร ์ Praxelis clematidea (Griseb) R.M. King & H. Rob. ลกั ษณะ พชื อายปุ ีเดียว ลำตน้ ตงั้ ตรง แตกกิง่ กา้ น สงู 20-100 เซนติเมตร มขี นปกคลมุ ทั้งลำตน้ ใบ เปน็ ใบเดย่ี วออกจากลำตน้ แบบตรงขา้ มเป็นคู่ ใบมนั เรียวยาว รูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย จำนวน 5-8 ฟัน ดอก ออกเป็นช่อ จำนวนมาก 30-50 ดอก กลีบดอกมีสีม่วงหรือสีน้ำเงิน ยาว 7-10 มิลลิเมตร เกิดท่ี ปลายยอด ดอกย่อยเป็นรูปทรงกรวยสูง มีฐานรองดอกรองรับ ผล เมล็ดมีสีดำ ยาว 2.5-3 มลิ ลเิ มตร ตรงปลายเมลด็ มขี นแข็งสีขาว ยาว 3-4 มลิ ลิเมตร 70 ภาพวาดลายเส(น้wแwสwด.งeลnกั vษirณonะmทาeงnพtฤ.gกoษvศ.aาuส)ตรข์ องสาบมว่ ง

p r a x e l i s 71 ต้น ต้นกลา้ และดอก สาบม่วง

ัผ ก เ บี้ ย ิห น ผกั เบีย้ หิน (desert horsepurslane) ชื่อวิทยาศาสตร ์ Trianthema portulacastrum L. ลกั ษณะ พชื อายปุ เี ดยี ว ลำตน้ แผร่ าบไปตามพน้ื ดนิ กลมอวบนำ้ สเี ขยี วอมมว่ ง แตกก่ิงก้านโปร่ง มีขนละเอียด ใบ เป็นใบเดี่ยวออกจากลำต้นแบบตรงข้ามเป็นคู่ รูป ร่างค่อนข้างกลม รูปไข่หรือไข่กลับ ปลายใบมนหรือหยักเว้าต้ืนๆ ขอบใบเป็นคลื่น ขนาดของใบแต่ละคู่จะไม่เท่ากัน ใบหนึ่งจะใหญ่กว่าอีกใบหนึ่ง ก้านใบยาว โคนก้านใบ แผ่ออกเป็นกาบ ดอก เป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ ไม่มีก้านดอก กลับดอกสีขาว อมชมพู 5 กลบี ออกดอกตลอดปี ผล มลี กั ษณะเปน็ ฝกั ตดิ อยตู่ ามซอกใบ สว่ นลา่ งของฝกั จมอยู่ในง่ามใบ ภายในฝักมเี ม็ดสีดำรปู ไตขนาดเล็ก 72 ภาพวาดลายเสน้ แสดงลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ของผักเบ้ยี หิน (www.prota.org)

d e s e r t h o r s e p u r s l a n e ตน้ ต้นกลา้ และดอก ผกั เบีย้ หิน 73

ัผ ก เ ีบ้ ย ใ ห ่ญ ผกั เบ้ยี ใหญ่ (common purslane) ช่อื วิทยาศาสตร ์ Portulaca oleracea L. ลักษณะ พืชอายุปีเดียว ลำต้น อวบน้ำ ปลายต้ังชูข้ึน มักแผ่เป็นผืนใหญ่ สูง 5-10 เซนตเิ มตร ใบ เดีย่ วเกือบตรงข้าม รปู ไข่กลบั หรอื คลา้ ยรปู ช้อน กวา้ ง 1.5-2 เซนติเมตร ยาว 2-4 เซนติเมตร ดอก สีเหลืองก้านสั้น มีขนหรือเยื่อบางๆ รอบที่โคน ดอก กลีบเล้ียงเชอื่ มตดิ กัน ปลายแยกเปน็ 2 แฉก กลบี ดอก 5 กลีบ แต่ละกลีบรูปไข่ กลบั ปลายเวา้ เกสรเพศผู ้ จำนวน 8-12 อัน รงั ไขร่ ปู รีป้อม ยาว 2 มิลลเิ มตร ปลาย เกสรเพศเมยี แยกเปน็ 6 แฉก ผล รปู กลมหรือรูปรี เม่อื แกส่ ีเหลอื ง เมล็ดกลมหรอื รูปไต มีจำนวนมาก สีดำเปน็ เงา 74 ภาพวาดลายเส้นแสดงลักษณะทางพฤกษศาสตรข์ องผกั เบี้ยใหญ่ (www.prota4u.org)

c o m m o n p u r s l a n e ต้น ต้นกล้า และดอก ผักเบ้ียใหญ่ 75

ผักเสี้ยนขน (fringed spiderflower) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Cleome rutidosperma DC. ลักษณะ พืชอายุปีเดยี ว ลำต้น ลำต้นตั้งขน้ึ หรอื แผ่กระจาย มีขน สูง 20-50 เซนตเิ มตร ใบ เปน็ ใบประกอบแบบสามใบ ใบยอ่ ยรปู รี กวา้ ง 1-2 เซนติเมตร ยาว 2-4 เซนติเมตร ผิวใบมีขนกระจายค่อนข้างเหนียว ดอก สีม่วงแกมขาว ออกเดี่ยวที่ปลาย ยอดหรอื ตามซอกใบ สมมาตรด้านขา้ ง กลีบเลี้ยง 4 กลีบ มีขนเหนียว กลบี ดอก 4 กลีบ รูปรหี รอื รปู หอก กลีบสีมว่ ง โคนกลบี สขี าว เกสรเพศผแู้ ยกกนั 6 อนั รงั ไข่อยเู่ หนือกลบี ดอก รูปรี โค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ผล แบบฝักแห้งแก่แล้วแตก เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 มลิ ลเิ มตร ยาว 4-7 เซนตเิ มตร เมลด็ สีดำหรือสีนำ้ ตาลเข้ม แบนด้านขา้ ง ผวิ เป็น คล่ืนตามขวางชดั เจน ัผ ก เ สี้ ย น ข น 76 ภาพวาดลายเสน้ แสดงลกั ษณะทางพฤกษศาสตรข์ องผกั เสย้ี นขน (www.nt.gov.au/dpifm)

f r i n g e d s p i d e r f l o w e r ต้น ต้นกลา้ และดอก ผักเสยี้ นขน 77

น้ ำ น ม ร า ช ีส ์ห น้ำนมราชสีห์ (hairy spurge) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร ์ Euphorbia hirta L. ลกั ษณะ พืชอายุปีเดียว ลำต้น มีขนปกคลุม มีน้ำยางสีขาว แตกกิ่งก้าน สาขาจากโคนต้น ต้นสีแดงเรื่อๆ เล้ือยทอดไปตามผิวดิน ชูส่วนปลายยอดตั้งขึ้น ใบ เป็นใบเด่ยี วแตกเปน็ คตู่ รงข้าม รปู ร่างคลา้ ยปกี แมลงสาบ ยาว 2-4 เซนติเมตร ปลายใบ แหลม ฐานใบสองขา้ งโค้งเขา้ หาก้านใบไมเ่ ทา่ กัน ขอบใบหยกั เป็นฟันเลอ่ื ย บริเวณกลาง แผ่นใบมักมีจุดแต้มสีม่วง ก้านใบสั้น ด้านล่างของแผ่นใบมีขนสีน้ำตาลอมเหลือง ปกคลุม ดอก เป็นช่อดอกที่มีการเจริญของช่อมีขีดจำกัด ดอกที่เกิดก่อนจะบานจาก กลางช่อ แตกออกตามซอกใบและปลายยอด ไม่มีกลีบดอก ดอกย่อยจำนวนมากอัด แน่นกัน มีสีเขียวปนม่วงแดง ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ดอกย่อยไม่มี ก้านดอก ในช่อดอกหนึ่งมีดอกเพศผู้จำนวนมาก มีดอกเพศเมียดอกเดียว ออกดอก ตลอดปี ผล มขี นปกคลมุ เมื่อแก่เปลอื กจะแหง้ และแตกออกเป็น 3 ซีก ทรงกลมค่อน ข้างจะเป็นสามเหลีย่ ม ภายในมเี มลด็ สนี ำ้ ตาลเขม้ 78 ภาพวาดลายเสน้ แสดงลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของนำ้ นมราชสหี ์ (www.prota.org)

h a i r y s p u r g e 79 ตน้ ตน้ กล้า และดอก น้ำนมราชสีห ์

ผั ก โ ข ม ผกั โขม (slender amaranth) ชอ่ื วิทยาศาสตร ์ Amaranthus viridis L. ลักษณะ พืชอายุปีเดียว ลำต้น อวบ ต้ังตรง ผิวเรียบและมักมีรอยแตกเป็น ร่องยาว สเี ขียวเป็นมัน สมี ่วงและสแี ดงปนเขยี ว ทรงพุ่มสูง 20-60 เซนตเิ มตร ใบ เป็น ใบเดี่ยวออกจาก ลำต้นแบบสลับ รูปล่างค่อนข้างจะเป็นสามเหลี่ยมหรือรูปไข่ฐาน ใบกว้าง ปลายใบค่อนข้างมน มักมีรอยหยักเล็กน้อยบริเวณปลายใบ ขอบใบเรียบหรือ เปน็ คล่ืนเล็กน้อย กา้ นใบเรยี วเลก็ ยาวใกลเ้ คียงกบั ความยาวของใบ ยาวประมาณ 4-10 เซนติเมตร ดอก ออกเป็นช่อยาว 10-20 เซนติเมตร ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียเกิด แยกคนละดอก บนชอ่ ดอกเดยี วกนั ดอกย่อยขนาดเลก็ สีม่วงปนเขียว ใบประดบั สเี ขยี ว คล้ายใบรองรับแต่ส้ันกว่า กลับดอกหลอมรวมกัน มี 3 กลีบ เกสรเพศผู้ 3 อัน ผล รูปร่างกลมรี แก่แล้วอาจจะแตกหรือไม่แตกก็ได้ เมล็ดขนาดเล็ก รูปร่างเหมือนเลนส์ สีน้ำตาลแดงถึงสดี ำเป็นมนั 80 ภาพวาดลายเสน้ แสดงลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของผกั โขม (www.ifpindia.org)

s l e n d e r a m a r a n t h ตน้ ตน้ กล้า และช่อดอก ผักโขม 81

แหว้ หมู (purple nutsedge) ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Cyperus rotundus L. ลักษณะ พชื อายหุ ลายปี มีส่วนทีเ่ ปน็ ลำต้นใต้ดิน หวั และส่วนทีเ่ ป็นไหลทอด ไปตามพ้ืนดิน มีส่วนลำต้นที่เป็นกอสูง 30-70 เซนติเมตร ลำต้น เป็นรูปสามเหล่ียม ค่อนข้างเรยี วเล็ก สว่ นโคนหนา ใบ ยาว 5-20 เซนตเิ มตร พร้อมดว้ ยแผน่ ใบที่แผอ่ อก ช่อดอก ประกอบด้วยแถวของดอกเปน็ 3-8 แถว สว่ นของดอกย่อยค่อนขา้ งแบน ไม่มี ก้าน ยาว 1-3 เซนตเิ มตร จัดเรียงตวั เปน็ ช่อรูปไข่ ขยายพันธุโ์ ดยส่วนหัวใต้ดนิ แ ห้ ว ห ูม 82 ภาพวาดลายเสน้ แสดงลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของแห้วหมู (www.sdsu.edu)

p u r p l e n u t s e d g e ต้น หัว และชอ่ ดอก แห้วหมู 83

ก ก ท ร า ย กกทราย (ricefield flatsedge) ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Cyperus iria L. ลกั ษณะ พืชอายุปีเดียว ลำต้น ใต้ดินเป็นเหง้าสั้นๆ ลำต้นเหนือดินแตกกอ ประกอบดว้ ยใบและลำตน้ ทส่ี รา้ งชอ่ ดอก สงู 20-60 เซนตเิ มตร ใบ เรยี วยาวแคบมคี วาม ยาวนอ้ ยกวา่ สว่ นลำตน้ โคนกา้ นใบแผเ่ ปน็ กาบหมุ้ ลำตน้ ชอ่ ดอก เปน็ รปู รม่ ยาวประมาณ 20 เซนตเิ มตร ประกอบดว้ ยชอ่ ดอกทแี่ ตกแขนงจากจดุ เดยี วกนั 3-8 แขนง ดอกยอ่ ยอดั กนั แนน่ บนกา้ นชอ่ ดอกยอ่ ยเปน็ 2 แถว ประกอบดว้ ยดอกจำนวน 6-24 ดอก 84 ภาพวาดลายเส้นแสดงลกั ษณะทางพฤกษศาสตรข์ องกกทราย (www.idtools.org)

r i c e f i e l d f l a t s e d g e ต้น ต้นกลา้ และช่อดอก กกทราย 85

วัชพืชและการจดั การในพริก แปลงปลูกพริกต้องการความชื้นในปริมาณท่ีมาก สภาพดังกล่าวเป็นปัจจัย ส่งเสริมให้เมล็ดวัชพืชหรือส่วนของวัชพืชบางชนิดงอกและเจริญเติบโตได้ดีอย่างรวดเร็ว วัชพืชจะแข่งขันกบั พริกตง้ั แตเ่ ริม่ งอกจนถึงระยะเก็บเก่ยี ว วชั พืชนอกจากจะแก่งแยง่ น้ำ ธาตุอาหาร และแสงแดดแล้ว ยังเป็นแหล่งอาศัยของแมลงและโรคที่เข้าทำลายพริกอีก ด้วย ทำให้ต้นทุนการจัดการศัตรูพืชสูงข้ึน ส่งผลให้ปริมาณและคุณภาพของผลผลิต ลดลง จงึ ตอ้ งมีการป้องกนั กำจดั วัชพชื ตง้ั แตเ่ รมิ่ เตรยี มทป่ี ลกู จากการสำรวจแปลงปลกู พรกิ พนื้ ทภ่ี าคตะวนั ตก และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของประเทศไทย ปี 2555 พบวชั พชื หลกั ประเภทใบแคบ เชน่ หญา้ ตนี นก หญา้ ปากควาย หญา้ ขนเลก็ หญา้ ตนี กา และผกั ปลาบนา วชั พชื ประเภทใบกวา้ ง เชน่ หญา้ ยาง สาบมว่ ง ผักเบ้ียหิน ผักเบี้ยใหญ่ ผักเสี้ยนขน น้ำนมราชสีห์ และผักโขม และวัชพืชประเภทกก เช่น แห้วหมู และกกทราย วิธีการควบคมุ วชั พืชในพรกิ แบ่งออกเปน็ 2 วิธี คอื 1. การควบคมุ วชั พืชโดยไมใ่ ชส้ ารกำจัดวัชพืช สามารถทำได้หลายวธิ ี ดังน้ ี 1.1 การไถเตรียมดินก่อนปลูก อาจทำการไถ 1-2 คร้ัง ครั้งแรกไถกลบ กำจัดต้นวัชพืชท่ีข้ึนอยู่ ตากดินท้ิงไว้ 1-2 สัปดาห์ ทำการไถหรือคราดครั้งที่สอง เพื่อ กำจัดต้นอ่อนวัชพืชท่ีงอกขึ้นมาหลังการไถคร้ังแรก แล้วปลูกพริกทันทีจะช่วยลด ปรมิ าณวชั พชื ได้ระดับหน่ึง 1.2 การใช้วัสดุคลุม เช่น การใช้ฟางข้าว เศษพืช แกลบ หรือพลาสติก เป็นต้น คลุมดินก่อนการย้ายกล้าพริกปลูก จะช่วยควบคุมวัชพืชและรักษาความช้ืนใน ดนิ 1.3 การใช้แรงงานหรือเคร่ืองมือกล การใช้มือถอนหรอื จอบถาก อาจทำ 2-3 ครั้ง ในช่วงระยะแรกของการเจริญเติบโตของพริก ถ้าพบวัชพืชท่ีสามารถขยาย พันธด์ุ ว้ ยหวั หรือเหงา้ เช่น แหว้ หมแู ละหญ้าแพรก ต้องเก็บออกจากแปลง 2. การควบคุมวชั พชื โดยใชส้ ารกำจัดวชั พืช การผลิตพริกในพื้นท่ีขนาดใหญ่ มีความจำเป็นต้องวางแผนการจัดการ วัชพืชที่เหมาะสม การใช้สารกำจัดวัชพืชในพริกสามารถทำได้ โดยต้องคำนึงถึงปัญหา วชั พชื ท่พี บในแปลง และใช้สารกำจัดวชั พชื อยา่ งถูกวิธตี ามคำแนะนำ (ตารางที่ 1) 86

ตารางท่ี 1 คำแนะนำการใช้สารกำจัดวชั พชื ในพริก สา(รชกือ่ ำสจาัดมวัญัชพ) ืช (กรมั อสัตารรอากอากรฤใทชธ้ /์ิ ไร)่ ระยะเวลา/วธิ ีการใช้ วัชพชื ท่ีควบคมุ ขอ้ แนะนำเพม่ิ เตมิ เมทรบิ ูซนิ 84-105 พน่ คลมุ ดนิ กอ่ นยา้ ยกลา้ ปลกู (metribuzin) 7 วนั (อoอxกaซdาiไaดzอoะnซ)อน 120-160 อ(oอxกyซflฟ่ี uลoูอrfอeรnเ์ )ฟน 36-48 พน่ คลมุ ดนิ กอ่ นยา้ ยกลา้ ปลกู 3 วนั โคลมาโซน 172.8 พน่ คลมุ ดนิ กอ่ นยา้ ยกลา้ ปลกู วชั พชื ทง่ี อกจาก ชสพ้ืน่นาแรขลณผปกัะละขริทวา้ะ่ีงดไวเินปคังยีลมสงีะคั มอวผาอัมสง (clomazone) 360 เมลด็ ประเภท ไตรฟลรู าลิน 200-264 ใบแคบและ (trifluralin) ประเภทใบกวา้ ง เ(pพeนnดdิเมimทeาtลhินalin) อะลาคลอร์ 270-336 (alachlor) เมโทลาคลอร์ 270-300 พน่ คลมุ ดนิ กอ่ นยา้ ยกลา้ ปลกู (metolachlor) หรอื ทนั ทหี ลงั ยา้ ยกลา้ ปลกู ไดเมทีนามิด 243 (dimethenamid) ที่มา: กลุ่มวิจยั วชั พชื (2555) 87





ส�ำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร