โขน ชาญสมร
ค�ำ น�ำ โขน เปน็ ศลิ ปะการแสดงชน้ั สงู ของไทยทม่ี คี วามสงา่ งาม อลงั การและออ่ นชอ้ ย การแสดงประเภท หนึ่งที่ใช้ท่ารำ�ตามแบบละครในแตกต่างเพียงท่ารำ�ที่มีการเพิ่มตัวแสดงเปลี่ยนทำ�นอง เพลงท่ใี ช้ในการดำ�เนินเร่อื งไม่เหมือนกับละครแสดงเป็นเร่อื งราวโดยลำ�ดับก่อนหลังเหมือนละคร ทกุ ประการซง่ึ ไมเ่ รยี กการแสดงเหลา่ นว้ี า่ ละครแตเ่ รยี กวา่ โขนแทนมปี ระวตั ยิ าวนานตง้ั แตส่ มยั กรงุ ศรีอยุธยาจากหลักฐานจดหมายเหตุลาลูแบร์เอกอัครราชทูตฝร่งั เศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ไดม้ กี ารกลา่ วถงึ การแสดงโขนวา่ เปน็ การเตน้ ออกทา่ ทาง ประกอบกบั เสยี ง โขนเปน็ จดุ ศนู ยร์ วมของศาสตรแ์ ละศลิ ปห์ ลากหลายแขนงเชน่ วรรณกรรม วรรณศลิ ป์ นาฏศลิ ป์
สารบญั ๖ @0 โขน ก�ำ เนิดโขน ๑๕ ๑๙ ววิ ัฒนาการ หัวโขน โขน ๒๗ ๒๔ วงดนตรโี ขน ประเภทของ และเครือ่ งแตง่ กาย ตวั แสดงโขน
๑ โขน โขน เปน็ ศลิ ปะการแสดงชน้ั สงู ของไทยทม่ี คี วามสงา่ งาม อลงั การและออ่ นชอ้ ย การแสดง ประเภทหนึ่งที่ใช้ท่ารำ�ตามแบบละครใน แตกต่างเพียงท่ารำ�ที่มีการเพิ่มตัวแสดง เปลี่ยน ทำ�นองเพลงทใ่ี ชใ้ นการด�ำ เนนิ เรอ่ื งไมเ่ หมอื นกบั ละครแสดงเปน็ เรอ่ื งราวโดยล�ำ ดบั กอ่ นหลงั เหมอื น ละครทุกประการซ่งึ ไม่เรียกการแสดงเหล่าน้วี ่าละครแต่เรียกว่าโขนแทนมีประวัติยาวนานต้งั แต่ สมัยกรุงศรีอยุธยาจากหลักฐานจดหมายเหตุลาลูแบร์เอกอัครราชทูตฝร่งั เศสในสมัยสมเด็จพระ นารายณม์ หาราช ไดม้ กี ารกลา่ วถงึ การแสดงโขนวา่ เปน็ การเตน้ ออกทา่ ทาง ประกอบกบั เสยี ง โขน เปน็ จดุ ศนู ยร์ วมของศาสตรแ์ ละศลิ ปห์ ลากหลายแขนงเชน่ วรรณกรรม วรรณศลิ ป์ นาฏศลิ ป์ คตี ศลิ ปห์ ตั ถศลิ ปโ์ ดยน�ำ เอาวธิ เี ลน่ และการแตง่ ตวั บางชนดิ มาจากการเลน่ ชกั นาคดกึ ด�ำ บรรพม์ ที า่ ทาง การตอ่ สทู้ โ่ี ลดโผนทา่ ร�ำ ทา่ เตน้ เชน่ ทา่ ปฐมในการไหวค้ รขู องกระบก่ี ระบองรวมทง้ั การน�ำ ศลิ ปะการ พากยก์ ารเจรจาหนา้ พาทยแ์ ละเพลงดนตรเี ขา้ มาประกอบการแสดงในการแสดงโขนลกั ษณะส�ำ คญั อยทู่ ผ่ี แู้ สดงตอ้ งสวมหวั โขนซง่ึ เปน็ เครอ่ื งสวมครอบหมุ้ ตง้ั แตศ่ รี ษะถงึ คอเจาะรสู องรบู รเิ วณดวงตา ใหส้ ามารถมองเหน็ แสดงอารมณผ์ า่ นทางการรา่ ยร�ำ สรา้ งตามลกั ษณะของตวั ละครนน้ั ๆ เชน่ ตวั ยกั ษ์ ตวั ลงิ ตวั เทวดา ฯลฯ ตกแตง่ ดว้ ยสี ลงรกั ปดิ ทอง ประดบั กระจก บา้ งกเ็ รยี กวา่ หนา้ โขน
๒ ในสมัยโบราณตัวพระและตัวเทวดาต่างสวมหัวโขนในการ แสดงต่อมาภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงไม่ต้องสวมหัวโขน คงใช้ใบหน้าจริงเช่นเดียวกับละครแต่งกายแบบเดียวกับ ล ะ ค ร ใ น เ ค ร่ื อ ง แ ต่ ง ก า ย ข อ ง ตั ว พ ร ะ แ ล ะ ตั ว ยั ก ษ์ ใ น ส มั ย โบราณมักมีสองสีคือ สีหนึ่งเป็นสีเสื้อ อีกสีหนึ่งเป็นสีแขน โ ด ย ส ม มุ ติ แ ท น เ ก ร า ะ เ ป็ น ล า ย ห นุ น ป ร ะ เ ภ ท ล า ย พุ่ ม ห รื อ ลายกระจังตาอ้อยส่วนเครื่องแต่งกายตัวลิงจะเป็นลายวง ทักษิณาวรรตโดยสมมุติเป็นขนของลิงหรือหมีดำ�เนินเรื่องด้วย การกล่าวคำ�นำ�เล่าเรื่องเป็นทำ�นองเรียกว่าพากย์อย่างหน่ึง กับเจรจาเป็นทำ�นองอย่างหนึ่งใช้กาพย์ยานีและกาพย์ฉบัง
๓ โขนเป็นมหานาฏกรรมที่มีศิลปะเป็นแบบฉบับหน่ึงของไทยซึ่ง ไม่ปรากฏคำ�น้ีแน่ชัดในจารึกหรือเอกสารยุคโบราณของไทย แต่คำ�ว่าโขนปรากฏกล่าวไว้ในหนังสือของชาวต่างประเทศ ซ่ึงกล่าวถึงศิลปะแห่งการเล่นของไทยในรัชสมัยสมเด็จพระ นารายณ์มหาราชดูจะเป็นศิลปะการเล่นที่นิยมและยึดถือเป็น แบบแผนกันมาแล้วจึงเชื่อว่านาฏกรรมชนิดน้ีน่าจะมาก่อน สมัยนัน้ เปน็ เวลานาน ส่วนทางด้านภาษาน้นั ค�ำ วา่ โขน อาจ เป็นคำ�ซ่ึงบัญญัติใช้ข้ึนในภาษาไทยหรือยืมจากภาษาอ่ืนๆ ก็ยังไม่พบหลักฐานแต่อย่างใดแต่ภายหลังได้ค้นพบหลัก ฐานที่อ้างอิงได้บ้างว่าจะเป็นคำ�ท่ีมีรากฐานมาจากภาษาอ่ืน
๔ จึงมีลักษณะหรือความหมายคล้ายคลึงกับคำ�ว่า โขน ซึ่งเป็น นาฏศิลปช์ ้ันสงู ของไทยอยา่ งนอ้ ยกม็ คี วามหมายตา่ งกนั 3 ทาง คือ 1.คำ�ว่า โขละ หรือ โขล ในภาษาเบงกาลีหมายถึงเครื่อง ดนตรชี นดิ หน่งึ ขงึ ดว้ ยหนังและใช้ตีไดด้ ี ซ่งึ มรี ปู ร่างคล้ายตะโพน ของไทย 2.ค�ำ วา่ โกล หรอื โกลัม ในภาษาทมฬิ มคี วามหมายถึง การแต่งตัว หรือตกแต่งประดบั ประดาร่างกายผูแ้ สดงให้ทราบถงึ เพศวา่ เป็นเครอื่ งแต่งกายของผู้หญงิ หรือผชู้ าย 3. ค�ำ วา่ ควาน หรือ โขน ในภาษาอิหร่าน หรอื เปอรเ์ ซีย หมายถงึ ผอู้ ่านหรือ หรอื ผขู้ ับรอ้ งแทนตวั ต๊กุ ตาหรอื หนุ่ หรือหมายถึง ผพู้ ากย์ ผูเ้ จรจา แทนหรอื ตุ๊กตา
คนไทยเราศิลปะการเล่นหลายอย่างสืบมาแต่โบราณ และการ ๕ เล่นที่มาปรากฏเป็นมหรสพสำ�คัญในภายหลัง ก็น่าจะได้แก่การ เล่นทเี่ รยี กกันเปน็ ค�ำ รวม ๆ วา่ ระบ�ำ รำ�เต้น เต้น คำ�น้ี นายธนติ อยู่โพธิ์ ได้ให้ความหมายไว้ว่า ศิลปะแห่งการยกขาขึ้นลงให้ เปน็ จงั หวะ เช่น เต้นขา เต้นโขน เต้นรำ� เป็นต น้ และมีหลักบาน สมัยโบราณกล่าวถึงไว้อย่างชัดเจนทั้งในจารึกสมัยกรุงสุโขทัย หลกั ท่8ี ในหนงั สอื ไตรภมู พิ ระร่วง และกฎหมายมนเทียรบาลว่า ดงั น้ี จารึกหลักท่ี 8 ย่อมเรยี งขนั หมากขนั พลู บูชาพลิ ม ระบ�ำ รำ� เตน้ เล่นทุกฉัน ไตรภูมิพระร่วง บ้างเต้น บ้างร�ำ บ้างฟ้อน ระบำ� บนั ลือเพลงดุรยิ ดนตรี
๖ ก�ำ เนิดโขน เป็นการละเล่นอยา่ งหนึง่ ของไทย มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เปน็ การแสดง “เร่ืองการชักนาค” เพ่ือเอาน้�ำ อมฤต จากเกษยี รสมทุ ร ตามคติของฮินดู มักจะแสดงในงานมหรสพหลวง การละเล่นชักนาค มีกล่าวไว้ในกฎ มณเฑียรบาลสมัยกรุงศรอี ยุธยา ตอนทกี่ ลา่ วถงึ พระราชพิธีอินทราภเิ ษกวา่ มกี ารต้งั เขาพระสุเมรแุ ละภูเขา อ่นื ๆ ทีก่ ลางสนาม แลว้ ให้ต�ำ รวจเล็กแต่งตวั เป็นอสรู 100 ตน มหาดเล็กแตง่ ตวั เป็นเทวดา และวานรอยา่ ง ละ 100 และแต่งเปน็ สุครีพ พาลี และมหาชมพอู ย่างละหนึ่งตัว เขา้ ขบวนแห่ พรอ้ มด้วยเคร่อื งท�ำ พธิ ชี กั นาค ดกึ ด�ำ บรรพ์ โดยใหอ้ สรู ชกั หวั เทวดา และวานรชกั หาง ด้วยเหตนุ ี้โขนจึงได้นำ�เอาศลิ ปะการแสดงจากแบง่ ฝ่ายการเล่นและศลิ ปะการแต่งกายมาจากการเลน่ ชักนาคดกึ ด�ำ บรรพ์ ซึ่งลกั ษณะการแตง่ กายในการแสดง โขนน้นั ตัวละครแบง่ ออกเปน็ 3 ฝ่าย คือ ฝา่ ยยกั ษ์ ฝ่ายลิง ฝา่ ยมนษุ ย์ และเทวดา ซ่ึงแตล่ ะฝ่ายจะแต่ง กายตามแบบที่เรยี กว่า “ยืนเครอื่ ง” ทกุ ตวั แตจ่ ะลดหล่ันความงดงามไปตามฐานะของตัวละครในเรื่อง ตัว สำ�คญั จะแตง่ กายคลา้ ยคลงึ กัน แตต่ า่ งกันท่สี ขี องเครือ่ งแต่งกายและลักษณะของหวั โขน เครื่องแต่งกายฝา่ ย มนุษย์ และเทวดาจะเป็นการแต่งกายแบบยืนเครื่อง ตัวละครท่สี �ำ คญั มากจะระบุสเี สอื้ อยา่ งชัดเจน
๘ การแสดงชักนาคดึกดำ�บรรพ์ การเล่นชักนาคดึกดำ�บรรพ์ มีกล่าวไว้ในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนพระราชพิธี อินทราภเิ ษก วา่ ให้ตัง้ ภูเขาพระสเุ มรุ และภเู ขาอืน่ ๆ กลาง สนามและใช้ตำ�รวจเล็กแต่งตัวเป็นอสูรมหาดเล็กแต่งตัวเป็น เทวดา วานรอย่างละรอ้ ย และแตง่ สุครีพ พาลี อกี อยา่ งละ ตวั เข้ากระบวนแห่ ทำ�พิธีชักนาคโดยพวกอสูรชกั ทางหวั เทวดา และวานรชกั ทางหาง พร้อมดว้ ยพธิ ีต่าง ๆ ดว้ ยเหตนุ โ้ี ขนจึงได้ ลักษณะการแตง่ กายมาจากการเลน่ ชักนาคดกึ ดำ�บรรพ์
๙ การแสดงหนังใหญ่มหรสพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของชาวไทยในสมัย โบราณอีกอย่างหนึ่งก็คือ หนัง หรือที่เรียกกันภายหลังว่า หนัง ใหญ่เพราะมีหนังตะลุง ตัวหนังเขาใช้แผ่นหนังงัว ฉลุสลักเป็น รูปตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ด้วยลวดลายงดงามวิจิตรมีไม้ ผูกทาบตัวหนังไว้ทั้งสองข้างเพื่อให้ตัวหนังตั้งตรงไม่คดหรือ งอและไม้ที่ผูกทาบนั้นก็ทำ�ให้มีคันยื่นยาวพ้นลงมาใต้ตัวหนัง เป็นสองข้างเพื่อใช้มือทั้งสองจับถือและยกได้ถนัดสถานที่เล่น เขาปลูกโรงขึงจอโดยใช้ไม้ไผ่ถ้าไม่มีไม้ไผ่จะใช้ไม้อื่นถากเหลา ขนาดเท่าลำ�ไม้ไผ่ก็ได้ปักเป็นเสา ๔ ต้น และใช้ผ้าขาวคาดเป็น จอยาวราว ๙ วา สูงราว ๓ วา ส่วนด้านหลังของจอ เขาจุดไต้ และก่อไฟขึ้นไว้เพื่อให้เห็นเงาตัวหนังซึ่งมีลวดลายวิจิตรนั้นมา ติดอยู่ที่จอผ้าขาว ตนเล่นหนังก็จับไม้ทาบตัวหนังนั้น ๆ คน หนึ่งต่อตัวหนังหนึ่งตัวชูตัวหนังขึ้นพ้นศีรษะของตนแล้วเต้น ออกไปตามเพลงดนตรีและบทพากย์บทเจรจาตามที่กำ�หนด ไว้ในท้องเรื่องคนเล่นหนังนี้เรียกว่าคนเชิด คนเชิดหนังจะต้อง เชิดให้เงาของตัวหนังไปติดอยู่ที่จอผ้าขาวเพื่อคนดูจะได้เห็น รูปและลวดลายอันงดงามของตัวหนังได้เด่นชัดแต่คนเชิดไม่ ต้องพูดหรือร้อง เพราะมีคนพูดแทน เรียกว่า คนพากย์ คน พากย์จะต้องเป็นคนที่รอบรู้เรื่องราวที่จะเล่นหนังตอนนั้นๆดี และเป็นกวีอยู่ในตัวด้วย ส่วนเรื่องที่เล่นหนังของเราแต่โบราณ มาปรากฏว่าเล่นเรื่องรามเกียรติ์เป็นพื้น การเล่นหนังดูจะเป็น มหรสพที่เชิดหน้าชูตาอย่างหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาศิลปะ ของการเล่นหนังหลายอย่างในชั้นหลังมานี้ ได้ตกมาเป็นสมบัติ ของการเล่นโขน
๑0 การแสดงกระบี่กระบอง คนไทยแต่โบราณ ก็เช่นเดียวกับชาติ อื่น ๆ ทั้งหลายคือ จำ�เป็นต้องฝึกหัดวิชาการใช้อาวุธคู้มือไว้ ให้ต่อสู้ข้าศึกศัตรูและป้องกันตัว อาวุธที่ใช้เป็นคู่มือในการต่อ สู่ก็มีหลายชนิด มีทั้งอาวุธยาวและอาวุธสั้น เช่น กระบอง ไม้พลอง ดาบ กระบี่ ทวน หอก และ ง้าว เป็นต้น เครื่อง รับเครื่องป้องกันตัวก็มีหลายชนิด เช่น โล่ เขน ดั้ง เป็นต้น ศิลปะแห่งการใช้อาวุธคู่มือและเครื่องป้องกันกำ�บังตัวเหล่า นี้เรียกเป็นคำ�รวมเป็นท่หมายรู้กันว่าวิชากระบี่กระบองวิชา กระบี่กระบองเป็นวิชาที่ต้องฝึกหัดให้ชำ�นาญในการใช้ทั้งบน พื้นดินและอยู่บนพาหนะจึงปรากฏว่าวีรบุรุษของไทยผู้มีชื่อ เสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติ ล้วนแต่เป็นผู้ชำ�นาญในการ ใช้อาวุธเหล่านั้นเป็นอย่างดียิ่ง ซึ่งกล่าวถึงพ่อขุนรามคำ�แหง มหาราชองค์หนึ่งของไทย เมื่อครั้งเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ อยู่ในรัชกาลของสมเด็จพระราชบิดา คือ พ่อขุนศรีอินทราทิต ย์ได้ชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดและสมเด็จพระนเรศวร มหาราชอีกองค์หนึ่งของไทยเมื่อทำ�สงครามยุทธหัตถีกับพระ มหาอุปราชาทายาทแห่งราชบัลลังค์ของพม่าก็ทรงใช้พระแสง ของ้าวจ้วงฟันพระมหาอุปราชาทิวงคตในกลางสมรภูมิเมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕ เพราะปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า สมเด็จ พระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถราชอนุชาทรงชำ�นิ ชำ�นาญในการใช้อาวุธคู่พระหัตถ์เหล่านั้นได้แคล่วคล่องว่องไว เป็นอย่างดียิ่ง ทั้งนี้ย่อมแสดงว่าชาวไทยได้ฝึกหัดการใช้อาวุธ และเครื่องป้องกันกำ�บังเพื่อต่อสู้ข้าศึกศัตรู
๑๑ ววิ ฒั นาการโขน
๑๒ โขนกลางแปลง คือ การแสดงโขน บนพื้น และโขน กลางแปลง ก็คงจะเป็น แบบแรก ดินกลางสนามหญ้าไม่ต้องปลูกโรงให้เล่น ที่คิดขึ้น ก.ศ.ร. กุหลาบกล่าวไว้ว่า สมัยกรุง ปัจจุบันหาดูได้ยาก กรมศิลปากร เคยจัดแสดง ศรีอยุธยา มีการแสดง โขนกลางแปลง ๒ ครั้ง โขนกลางแปลง ณ พระราชอุทยาน รัชกาลที่ ๒ ครั้งแรกแสดงในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี จังหวัดสมุทรสงคราม ในโอกาสพิเศษ วันพระ ฉลองพระชนมายุครบ ๒๓ พรรษา ในปีวอก ราชสมภพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จุลศักราช ๘๓๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๒๙ เป็น นภาลัย การแสดง โขนกลางแปลงนี้ ในสมัย พระราชพิธีสะเดาะพระเคราะห์ มีมหรสพจับ กรุงศรีอยุธยาคงจะมีหลายครั้ง เพราะในสมัย ตอน หิรันต์ยักษ์ม้วนแผ่นดิน การแสดงในครั้ง กรุงศรีอยุธยาเพิ่งจะเริ่มเกิดมีการแสดงโขน นั้น จะแสดงในรูปแบบของละครหรือโขน ก็ไม่
๑๓ โขนนั่งราวหรือโขนโรงนอก พระบาทสมเด็จ พ ร ะ ม ง กุ ฎ เ ก ล้ า เ จ้ า อ ยู่ หั ว ท ร ง มี พ ร ะ บ ร ม ร า ช า ธิ บ า ย เ กี่ ย ว กั บ โ ข น นั่ ง ร า ว ว่ า ใ น ง า น มหรสพหลวง อย่างที่เคยมี ในงานพระเมรุ หรืองานฉลองวดั เปน็ ตน้ คือ ท่เี รยี กตาม ปาก ตลาดว่า โขนนั่งราว โขนนั่งราวนี้ มีชื่อเรียก อีกชอื่ หนงึ่ ว่า โขนโรงนอก เป็นการแสดงโขน ที่วิวัฒนาการมาจาก โขนกลางแปลง ซ่งึ แสดง บนพ้ืนดินกลางสนามหญ้ามีต้นไม้และใบไม้ เป็นฉากธรรมชาติเม่ือการแสดงโขนกลาง แปลงวิวัฒนาการมาเป็นโขนนั่งราวหรือโขน โรงนอก กม็ ีการปลกู โรงให้เลน่ เปน็ แบบ เวที ยกพ้ืน มีความกว้างยาวแบบสีเ่ หล่ยี มผนื ผา้ มี หลังคากันแดด กันฝนด้วย ตรงด้านหลังของ เวที ระหว่างทพ่ี ักผแู้ สดง กบั เวทีแสดงจะมีฉาก กั้น ฉากกั้นนี้ทำ�เป็น ภาพนูน ๆ รูปภูเขาสอง ข้าง เจาะช่อง ท�ำ เป็นประตเู ขา้ ออก ของตัวโขน (ในปัจจุบันนี้เวลา จะสาธิต การแสดงโขนนง่ั ราว มักจะใช้จอผ้าขาว โปรง่ ขงึ แทน ซง่ึ เปน็ ลักษณะของจอโขนหน้าจอ)สิ่งท่ีเป็นเอกลักษณ์ ที่ทำ�ให้คนเรียก การแสดงโขน ชนิดนี้ว่า โขน นั่งราวก็คือ ราว ตรงหน้าฉากห่าง ออกมา
ชักนาค ๑๔ โขนกลางแปลง โขนฉาก โชนน่ังราว โขนจอ โขนโรงใน โขนชกั รอก ประมาณ ๑ วา จะมรี าวไม้กระบอก พาดตาม สว่ นยาวของโรง ต้ังแต่ขอบประตูด้านหน่งึ จรดขอบประตอู ีกดา้ นหนึง่ ตวั โขนทีเ่ ปน็ ตวั เอกของเรื่อง จะนั่งบนราวไม้กระบอกนี้ แทน การนั่งเตียง เพราะโขนนั่งราว ไม่มีเตียงตั้ง เกี่ยวกับเรอื่ งเตียงน้ี ครอู าคม สายาคม เคย เล่าให้ผ้เู ขียนฟัง เม่ือครง้ั ทีท่ ่านยังมชี ีวติ อยู่วา่ โขนนง่ั ราว กม็ ีเตยี งตั้งเหมือนกนั สำ�หรบั ใหต้ ัวนางนั่ง แต่ท่านผ้รู ู้ ก็แยง้ ว่า โขนนั่งราวไมม่ ตี วั นาง เพราะฉะนนั้ จึงไม่ตอ้ งมีเตียง ให้ ตวั นางนั่ง ผู้เขยี นเคยอา่ นพบ เก่ยี วเรอื่ งการแสดงโขน ในสมยั รชั กาลที่ ๗ ทีจ่ ดั แสดงโขน แบบโขนหน้าจอผสม กับโขนนั่งราว จงึ มีทัง้ ราวไมก้ ระบอกและเตียง สำ�หรับน่งั ด้วยกัน ครู อาคม กร็ วมแสดงโขน ในครงั้ คงเปน็ เหตุให้ ครอู าคม จดจำ�น�ำ มาเลา่ ให้ผเู้ ขียนฟงั ว่า โขน น่งั ราวมเี ตยี งด้วย สว่ นการท่ีทา่ นผรู้ ู้ อา้ งว่า โขนนั่งราวไมม่ ตี ัวนาง ก็ไมน่ า่ จะเปน็ เชน่ นั้น เพราะโขนนง่ั ราว จะต้องแสดงตอน พระรามเข้าสวนพริ าพ เปน็ ประจ�ำ ทุกครั้ง ในตอนบา่ ย กอ่ นวันแสดง ๑ วนั การแสดงโขน ตอนพระรามเขา้ สวนพริ าพ เป็นตอน ท่ีพระราม นางสดี า และพระลักษณ์ ในเพศดาบสออกเดินปา่ แลว้ หลงเขา้ ไปในสวน ของพริ าพอสรู ดังน้ันการ แสดงในตอนนี้ จึงต้องมตี ัวนาง คือนางสีดา อย่าแน่นอน
๑๕ หวั โขน และศรี ษะทั้งหมด เจาะชอ่ งเปน็ รูกลมทีน่ ยั น์ตา ของหวั โขน ให้ตรงกับนยั น์ตาของผูแ้ สดงเพือ่ หัวโขน เป็นงานศิลปะช้นั สงู ใชส้ ำ�หรบั สวม การมองเห็น แบ่งเป็น 2 ประเภทคอื หวั โขน ครอบศีรษะปิดบังส่วนหน้าของผู้แสดงโขน สำ�หรับใช้ในการแสดงหมายความถึงหัวโขน อย่างมิดชิดเป็นศิลปวัตถุประเภทประณีต ทีส่ ือ่ ถงึ ตัวละครนัน้ ๆ เช่น พระ ยักษ์ เทวดา ศิลป์และงานศิลปะที่ได้รับการสร้างสรรค์ข้ึน วานรและสตั ว์ต่างๆ สร้างข้ึนดว้ ยกรรมวธิ ีแบบ อย่างวิจิตรตระการตาเช่นเดียวกับเคร่ืองแต่ง โบราณตามเอกลักษณ์ของหัวโขนที่ถูกต้องและ กาย ประณีตบรรจงตามแบบชา่ งไทย มีรูป สมบูรณ์แบบของศิลปะไทยและหัวโขนท่ีใช้ ลักษณะสวยงาม ลกั ษณะคลา้ ยหนา้ กาก แตก สำ�หรับเป็นของประดับตกแต่งหรือของที่ระลึก ต่างตรงที่เป็นการสร้างจำ�ลองรูปทรงใบหน้า หมายความถึงหวั โขนทท่ี �ำ ข้ึนโดยการหล่อ ป้ัน ฉดี และขึ้นรูปดว้ ยพลาสตกิ หรือกรรมวธิ อี นื่ ๆ ลงรักปดิ ทอง ประดบั กระจก
ประเภท ๑๖ ของหวั โขน ๑. หนา้ มนุษย์และหน้าเทพยดาลกั ษณะหน้า จำ�แนกตามสีหน้าหัวโขนแม้ว่าจะมีการ โขนพวกน้ีปั้นหน้าเป็นหุ่นที่มีลักษณะละม้าย จำ�แนกหัวโขนเป็นที่หมายให้รู้ช่ือและหน้าท่ี คลา้ ยมนุษยท์ ัว่ ไป แต่ผลติ หู ตา จมูก ปาก ด้วยแบบอย่างลักษณะของเคร่ืองประดับ ให้เป็นลักษณะกลางๆไม่อิงเค้าใบหน้าคน หัวโขนแล้วแต่ตัวโขนก็ยังมีจำ�นวนมากกว่า จริงๆคนใดคนหน่ึงฉะนั้นหน้าหุ่นหัวโขนที่ แบบท่ีคิดได้เมื่อเป็นเช่นนี้ช่างทำ�หัวโขน เป็นหน้ามนุษญย์และหน้าเทพยดาจึงมีเค้า คงจะได้แก้ปัญหาเพื่อความเข้าใจในการดู หนา้ เหมือนกนั ทกุ ๆ หัว และยงั นิยมเป็น โขนด้วยวิธีการเขียนระบายสีพื้นส่วนใบหน้า หุ่นและเขียนระบายให้ใบหน้าแสดงอารมณ์ หัวโขนให้เป็นสีต่าง ๆ กัน ออกไป ทำ�ให้มี ร่าเริงด้วยอาการยิ้มแย้มน้อยๆอยู่ในหน้าโดย หัวโขนแปลกขึ้น และจำ�แนกแยกออกไปได้ ใช้เส้นโค้งกลับขึ้นของส่วนปากกับไพรหนวด มากขึ้น อย่างไรก็ตามจำ�นวนสที ่ีใชแ้ ตก่ ่อนมี และดวงตาทง้ั 2 ซึ่งโค้งข้นึ โดยเฉพาะหน้า จำ�นวนจำ�กดั อูไ่ มก่ ส่ี ี เปน็ ตน้ วา่ สีด�ำ สีขาว ฤาษีจะสังเกตเห็นได้ชดั กว่าหน้าอืน่ ๆ สีแดง สีคราม และสีเหลือง เรียกกันว่า สี ๒ . ห น้ า อ ม นุ ษ ย์ ส่ ว น ใ ห ญ่ เ ป็ น ห น้ า ยั ก ษ์ เบญจรงค์ ก�ำ หนดไวเ้ ป็นสีหลกั อาจใช้ผสม อมนุษยต์ นอ่นื ก็มบี ้างแต่ไม่มาก หัวหนุ่ หน้า กนั ออกกันเป็นสีตา่ ง ๆ ได้มากหลายสี ขน้ึ อยู่ ยักษ์นั้นแท้ที่จริงก็อาศัยต้นเค้าโครงจาก กับความรู้ความชำ�นาญของช่างเขียนแต่ละ ใบหน้ามนุษย์ท่ัวๆไปแต่ภูมิหลังของยักษ์ คนซึ่งมักปกปิดหวงแหนถือเป็นความลับ ตามท้องเร่ืองเป็นพวกท่ีมีนิสัยดุร้ายโกรธ เปน็ ลกู เลน่ และไม้ตายประจ�ำ ตัว ง่ายนายช่างจึงคิดประดิษฐ์เลือกสรรค์เอา ลักษณะความโกรธซึ่งปรากฎเห็ฯได้บน ใบหน้ามาประดิษฐ์ป้ันและเขียนระบายใส่ลง บนใบหน้าของหวั หนุ่ ยกั ษ์ ๓. ลักษณะของปากยกั ษ์ ท�ำ เป็น 2 แบบ คอื ปากแสยะทำ�เป็นลักษณะแสยะปากยิงฟัน และเหน็ เข้ียว เชน่ หน้าโขน พิราพ ทศกณั ฐ์ กุมภกรรณ พิเภก ปากขบ ทำ�ปากในลักษณะ ขบฟันบนขม่ ริมฝีปากล่าง เช่น ตรีเศยี ร พญา ขร อนิ ทรชติ รามสรู มังกรกัณฐ์
๑๗ มงกุฏนก กายสมี ่วงอ่อน มี 1 พักตร์ 2 กร เ ป็ น โ อ ร ส ท้ า ว ม ห า ยั ก ษ์ กั บ น า ง จั น ท ร ประภาศรี น้องชายนางพิรากวน รู้มนต์ สะกดทัพและเครื่องสรรพยาเป่ากล้อง ถอดดวงจิตไว้ที่เขาตรีกุฏ ได้มัจฉานุไป เลีย้ งเปน็ บตุ รบุญธรรม ปากขบตาจระเข้
มยั ราพณ์ ๑๘ พญายกั ษ์ หน้ายกั ษส์ ีมว่ งออ่ น
๑๙ ประเภทของตัว แสดงโ๘น
๒0 ในการแสดงโขนนน้ั ไดน้ ำ�เรื่อง รามเกยี รติ์ มาแสดงซ่ึงมอี งคป์ ระกอบหลายอยา่ ง แต่ทขี่ าด ไมไ่ ดก้ ค็ ือตวั ละคร ซึ่งแตล่ ะตวั มบี ุคลิกภาพ ลักษณะนสิ ยั ท่แี ตกตา่ งกนั ซ่ึงมีคุณค่าท่ีผดู้ ู ควรน�ำ มาปฏิบัตเิ ป็นแบบอยา่ งตัวละครสำ�คัญในการแสดงโขนนน้ั ได้แบง่ เป็น 4 ประเภท คือตวั พระ ตวั นาง ตวั ยกั ษ์ และตัวลิง แต่ละประเภทก็จะมตี ัวละครอกี หลายตวั
พระราม ๒๑ พระนารายณ์ลงมาอวตารเป็นพระโอรสองค์ นางสดี า ใหญ่ของท้างทศรถและนางเกาสุริยาหน้าท่ีโย กำ�เนิดของพระรามคือลงมาปราบอธรรมโดย พระลักษมีจุติลงมาตามบัญชาของพระอิศวร เฉพาะอยา่ งย่ิงทศกณั ฐ์ พระรามมกี ายสเี ขยี ว บุคลิกลักษณะและคุณธรรมของนางสีดาใน บุคลิกลกั ษณะและคณุ ธรรมของพระราม ใน ฐานะลูกและลูกสะใภ้นางสีดาไม่ทราบว่าพ่อ ฐานะศษิ ย์ ไดใ้ หค้ วามเคารพต่อฤาษวี สิทธิแ์ ละ แม่ของตนท่ีแท้จริงเป็นใครแต่ก็รักและกตัญญู สรามิตรปรนนิบัติผู้เป็นอาจารย์อย่างดีมีความ ต่อพระชนกและพระมเหสีดุจดังบิดามารดา กตญั ญรู คู้ ณุ ในฐานะลกู การทีพ่ ระรามยอม ของตนในขณะที่อภิเษกสมรสอยู่กับพระราม ถูกเณรเทศ 14 ปีเพราะมีความรักและกตัญญู ก็มีความเคารพนับถือต่อบิดามารดาตลอดจน ต่อบิดาไม่ต้องการให้บิดาเสียสัตย์ท่ีให้ไว้แก่นาง มารดาเล้ียงของพระรามจนได้รับความเอ็นดู ไกยเกษีมีพฤตกิ รรมทแี่ สดงถึงความเปน็ ลูกที่ดี จากทุกคน ในฐานะภรรยา มีความจงรกั ภกั ดตี ่อ สามเี มอื่ พระรามถูกเณรเทศเดนิ ป่า 14 ปี กข็ อ พระลกั ษณ์ ตามเสด็จด้วยมีความห่วงใยในความปลอดภัย สังข์และบัลลังนาคของพระนารายณ์อวตาร นางมณโฑ มาเกิดเป็นโอรสท้างทศราและพระนางสมุทร ชา มีน้องร่วมท้องชื่อพระสัตรุต พระลักษณ์ เป็นมนุษย์ที่ฤาษี 4 องค์ชุบขึ้นมาจากนาง จงรักภักดีต่อพระรามมากเพราะเป็นเครื่องใช้คู่ กบ พระฤาษีชุบตัวนำ�ไปฝากเป็นข้ารับใช้ พระทัยในชาติก่อน พระลักษณ์มีกายสีเหลือง พระนางอุมา จนได้มาเป็นภรรยาของทศกัณฐ์ บุคลิกลักษณะและคุณธรรมของพระลักษณ์ใน บุคลิกลักษณะและคุณธรรมของนางมณโฑใน ฐานะน้องมีความจงรักภักดีต่อพระรามผู้เป็นพ่ี ฐานะภรรยา นางเปน็ แบบฉบับของภรรยาใน ไม่มีใครเสมอเหมือนเสียสละให้พ่ียอมลำ�บาก สมัยโบราณคือเป็นช้างเท้าหลังให้เกียรติ์และ กับพี่โดยปรนนิบัติรับใช้พระรามขณะเดินป่า เคารพสามีเป็นอย่างมากในฐานะมารดานาง เป็นเวลา 14 ปี มภี ัยอนั ตรายกค็ อยปกปอ้ ง มีความรักและห่วงใยลูกมากโดยเฉพาะตอน พระรามดว้ ยชีวติ ในฐานะนักรบ เปน็ ผู้มีปฏิภาน ที่อินทรชิตลูกชายไปรบแล้วถูกสอนปักติดอยู่ กับอกหลบหนีเข้ากรุงลงกานางมณโฑจึงให้ดื่ม ไหวพริบดี นำ้�นมจากต้นข้างซ้ายของนางซ่ึงเป็นน้ำ�นม อมฤต ศรจึงหลดุ ออกไป และเม่อื อินทรชติ ตอ้ ง ออกไปรบอกี นางไปทูลขอทศกัณฐ์ขออย่าให้ ลูกออกรบ แต่มิอาจทัดทานได้ ก็ได้แต่ร้องไห้ คร�่ำ ครวญ.
ทศกณั ฐ์ ๒๒ เป็นยักษ์กายสีเขียวมีสิบเศียรย่ีสิบกรเป็น หนมุ าน โอรสของท้าวลิสเตียนกับนางรัชฎาเดิมเป็นน นทกยักษ์ซ่ึงทำ�หน้าที่ล้างเท้าให้เทวดาอยู่ใน เป็นวานรเผือกเกิดจากการท่ีพระอิศวรแบ่ง เชิงเขาไกรลาสต่อมาตายไปเกิดเป็นทศกัณฐ์ กำ�ลังของตนเองแล้วให้พระพายนำ�เทพอาวุธ บุคลิกลักษณะของทศกัณฐ์ในฐานะพี่รักน้อง ไปซัดเข้าปากนางสวาหะหนุมานเป็นหลานของ พอสมควรแต่มีความเห็นแก่ตัวละมักใช้น้อง พาลีและสคุ รีพ บุคลกิ และลักษณะของหนุมาน เพื่อผลประโยชน์ของตนในฐานะพ่อรักลูก ในฐานะผู้นอ้ ย มคี วามอ่อนนอ้ มและมีความรบั เพราะใช้สอยได้ตามความต้องการแต่รักตนเอง ผิดชอบไม่ยุ่งเก่ียวกับข้อพิพาทส่วนตัวระหว่าง มากกว่า ในฐานะผู้ปกครอง เป็นนกั ปกครอง ผใู้ หญ่ แตบ่ างคร้ังชอบลองดี แต่เม่อื ถกู ก�ำ ราบ ท่ีเห็นแก่ประโยนช์ส่วนตนมากกว่าบ้านเมือง ก็ขอโทษและรับผดิ ในฐานะทหารพระราม รับ ใช้เจ้านายอย่างเต็มความสามารถแต่ชอบ หเู บาและไมร่ ู้เทา่ ทนั คน ปฏิบัติงานเกินคำ�สั่งด้วยเหตุที่อยากแสดงความ สามารถ มีความฉลาด รู้จักใช้เหตุผลให้เป็น กมุ ภรรณ ประโยชน์แก่ทางราชการ ซื่อสัตย์ จงรักภักดี ต่อพระรามกล้าหาญสามารถรับอาสาทำ�งาน เป็นยักษ์กายสีเขียวโอรสองค์ท่ีสองของท้างลิส เตียนนางรัชฎาเป็นน้องทศกัณฐ์มีนิสัยรักความ ยากที่ไมม่ ีใครกลา้ อาสา สะอาด ชอบรสกลน่ิ ทหี่ อมหวาน บคุ ลกิ ลกั ษณะ ของกมุ ภกรรณในฐานะนอ้ ง จงรักภักดีต่อพม่ี าก องคต แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ทำ�ผิดก็ยอมช่วยพพี่ในฐานะพี่ เป็นพี่ท่ีเข็มงวดหากเห็นว่าน้องทำ�ผิดก็ตำ�หนิ ลงิ กายสเี ขยี ว เป็นโอรสของพาลีและนางมณโฑ ตเิ ตยี นในฐานะนกั รบ มีความเฉลยี วฉลาด ใช้ แต่พระฤาษีอังคตนำ�องคตซึ่งอยู่ในท้องนา อุบายหลกี เลย่ี งการใช้กำ�ลงั มีฝมี อื และมคี วาม งมณโฑ ไปอยู่ในท้องแม่แพะ บุคลิกลักษณะ กล้าหาญในการรบกุมภกรรณเป็นยักษ์ที่มีความ ขององคต ในฐานะทหารของพระราม เป็น สัตย์ซื่อรักความเป็นธรรมแต่กุมภกรรณเลือก ทหารที่องอาจ กล้าหาญ เป็นผู้มีวาทศิลป์ดี เข้าข้างญาติพี่น้องจนต้องส้ินชีวิตด้วยศรของ จงึ มักให้เป็นผ้สู ง่ ราชสาร แต่ไม่เคยทำ�งานเกนิ พระราม ค�ำ สงั่ เลย มคี วามซ่ือสตั ย์และจงรกั ภกั ดี
๒๓ วงดนตรีโขน และเครอ่ื ง แตง่ กาย
๒๔ ในการแสดงโขนน้ันเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนต้องใช้วงป่ี พาทย์ ซ่ึงเป็นวงดนตรที ใี่ ช้ประกอบการเลน่ มหรสพไทยหลายประเภท เช่น หนงั ใหญ่ หนุ่ ละคร เปน็ ตน้ ซึ่งขนาดของวงกแ็ ลว้ แต่ อาจจะเป็นวงป่พี าทย์ เครื่องห้า เคร่ืองคู่ หรือเครือ่ งใหญ่ คำ�ว่า “ปีพ่ าทย์” (หรือ “พณิ พาทย”์ ) หมายถึง เครอื่ งประโคมอย่างหนกั อันมเี ครือ่ งตแี ละเครอ่ื งเป่า คือ ป-่ี ฆ้อง- กลอง เปน็ หลัก (ไมม่ เี ครื่องสาย) ที่เรียกวา่ ปพี่ าทย์เพราะใชป้ เ่ี ป็น ตัวนำ�วง (สจุ ติ ต์ วงษ์เทศ.๒๕๓๒:๑๑๘)
ถนมิ พิมพาภรณ์ ๒๕ ถนิมพิมพาภรณ์หรือเคร่ืองประดับต่างๆ เครอ่ื งแตง่ กายโขน ตามแตฐ่ านะของตัวละคร คำ�ว่าถนมิ พิมพา ภรณ์ มาจากค�ำ ว่า “พิมพา” และ “อาภรณ”์ เครอื่ งแต่งกายส�ำ หรบั ใชใ้ นการแสดงโขน ใช้ หมายถึงเคร่ืองประดับตกแต่งตามร่างกาย การแต่งกายแบบยืนเครื่อง ซึ่งเป็นการ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับท่ีถมและลงยา แต่งกายจำ�ลองเลียนแบบจากเครื่องทรงต้น เช่น ทับทรวง ซง่ึ เป็นโลหะประกอบกนั 3 ของพระมหากษัตริย์แบบโบราณที่มีความ ช้ิน ชุบเงนิ ประดับเพชรตรงกลาง ฝังพลอย สวยงามวจิ ติ รตระการตา แบง่ เป็น 3 ฝา่ ยคอื สีแดง ลกั ษณะของสายเปน็ เพชรจ�ำ นวน 2 ฝา่ ยมนษุ ย์ เทวดา พระ นาง ฝา่ ยยักษ์และ แถว มคี วามยาวประมาณ 28 นิ้ว เขม็ ขดั หรือ ฝ่ายลงิ สำ�หรับบง่ บอกถงึ ยศถาบรรดาศกั ด์ิ ปน้ั เหนง่ สงั วาล ตาบหน้า ตาบทิศ ตาบหลัง อินธนู ธ�ำ มรงค์ แหวนรอบ ปะวะหล�่ำ ทองกร และต�ำ แหน่ง กรองคอ สะอ้ิง พาหรุ ดั ก�ำ ไลเท้า เปน็ ต้น ศิราภรณ์ พสั ตราภรณ์ ศิราภรณ์หรือเครื่องประดับมาจากคำ�ว่า “ศีรษะ” และ “อาภรณ”์ หมายความถึง พัสตราภรณ์หรือเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเช่น เสื้อ เคร่ืองประดับสำ�หรับใช้สวมใส่ศีรษะเช่น หรือฉลององค์ ในสมัยโบราณการแสดงโขน ชฎามงกุฎซึ่งเป็นช่ือเรียกเครื่องประดับศีรษะ จะใช้เสื้อคอกลมผ่าด้านหน้าตลอดมีการต่อ ละครตวั พระ ทม่ี ีวิวัฒนาการมาจากการโพก แขนเสื้อแบบต่อตรงและเสริมเป้าสี่เหลี่ยม ผ้าของพวกชฏลิ ชฏาที่ใช้ในการแสดงโขน ตรงบริเวณใต้รักแร้ แต่ปัจจุบันได้มีการปรับ เปลี่ยนให้ทันตามยุคสมัย เป็นเสื้อคอกลม ละครในปัจจุบัน สำ�เร็จรูป มี 2 แบบคือแบบเสื้อแขนสั้นและ แขนยาว เว้าวงแขน สีเสื้อและสีแขนเสื้อแตก ต่างกัน ปักลวดลาย สำ�หรับตัวนางจะมีผ้าห่ม นางโดยเฉพาะลักษณะเป็นผ้าสไบแถบ ปัก ลวดลายตามความยาวของสไบเช่น ลายพุ่ม ลายกรวยเชิง ฯลฯ ห่มโอบจากทางด้านหลัง ให้ชายสไบทั้งสองข้างเสมอกัน
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: