Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดาร

สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดาร

Published by Guset User, 2023-06-30 18:26:13

Description: งานวิจัยสถาบันพุทธศาสตร์ ปีงบประมาณ 2559

Keywords: พุทธศาสนา, พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา

Search

Read the Text Version

๔๑ “สมเด็จพระนเรศวร ทรงพระกรุณาให้ชาวพ่อชุมนุมพราหมณาจารย์ เอาน่้าในบ่อพระ สยมภูวนาถ และเอาน่้าตระพังโพยศรีมาตั้งบูชาโดยพิธีกรรมเป็นน่้าสัตยาธิษฐาน และเอาพระศรีรัตนตรัย เจ้าเป็นประธาน ใหท้ า้ วพระยาเสนาบดีมนตรีมขุ อ่ามาตยท์ หารท้ังหลายกินน่า้ สัตยา” ๙๒ ข. ข้อสงั เกตเพ่มิ เตมิ การถือน้าพิพัฒน์สัตยาคร้ังน้ี ถือเป็นจุดเร่ิมต้นของการสร้างขวัญและกาลังใจให้เป็นหน่ึง เดยี ว พร้อมท่จี ะทาการใหญ่ คือกอบก้เู อกราชคนื จากพม่า ๒.๑๑.๗ หนภี ยั พึงพระ/วัด วัดถือเป็นเขตอภัยทาน ในอดีตนับต้ังแต่สมัยพุทธกาลมาแล้ว ผ้ากาสาวพัตร์ถือเป็นสัญลักษณ์ ของการสละตนจากโลกภายนอก มุ่งแสงหาทางแห่งความหลุดพ้น ผู้ที่ถือเพศดังกล่าวจึงได้รับการยกย่องไว้ ในฐานะสูงส่ง เหตุดงั กลา่ วจึงทาให้เกิดชอ่ งว่าง ใช้เป็นสถานที่หลบหนีความผิด ในสมัยอยุธยาก็มีเหตุการณ์ ทานองน้ี ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “พระยาสวรรคโลกก็หนีไปพ่ึงอยู่บนกุฏิพระสงฆ์ในวัดไผ่ใต้ และทหารก็ได้ตัวพระยา สวรรคโลกในวัดนน้ั มาถวาย สว่ นพระยาพชิ ยั หนีกจากเมืองสวรรคโลกไปเถิงแดนกระจุกจะไปเชียงใหม่ ชาว ด่านก็กุมเอาพระยาพิชัยมาถวาย สมเด็จพระนเรศวรบรมราชาธิราชบพิตรเป็นเจ้าก็ตรัสให้ทะเวนแล้วฆ่า พระยาทง้ั สองน้นั เสีย”๙๓ ข. ข้อสงั เกตเพิม่ เติม (๑) “ไปเถิงแดนกระจกุ จะไปเชียงใหม่” ฉบบั พระราชหัตถเลขว่า “ไปถึงแดนกะจุน จะไป พึ่งเมืองเชียงใหม”่ ๙๔ (๒) “ให้ทะเวนแล้วฆ่าพระยาท้ังสองนั้นเสีย” ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “ให้ตระเวนรอบ ทัพแลว้ ให้ฆ่าเสยี ”๙๕ ๒.๑๑.๘ การหล่ังน้าทักษโิ ณทก ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “เถิงวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ ข้ึน ๘ ค่า ก็ประกอบด้วยศุภฤกษ์ จึงฝังสีมาจารึก สัตยาธิษฐานลงในศิลาบาตร์ แล้วก็หลั่งน้่าษิโณทกตกเหนือมหาปฐพีเป็นสักขีพยาน เพ่ือให้พระราชไมตรี สีมาน้นั ทัง้ สองฝ่ายมั่นคงตรงเทา่ กลั ปวสานแล้ว กใ็ หอ้ ุปสมบทกรรมภกิ ษุ ๖ รปู ในทน่ี ้นั ”๙๖ ๙๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๑๔๗. ๙๓ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ ๑๔๙. ๙๔ พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หน้า ๑๑๘. ๙๕ เรอื่ งเดยี วกัน, หนา้ ๑๑๙. ๙๖ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๑๕๕.

๔๒ ข. ขอ้ สงั เกตเพิม่ เติม (๑) ในพระราชพงศาวดารใช้คาวา่ นา้ ษโิ ณทก (๒) การอุปสมบทตามพระวินัยทาเป็นสังฆกรรม และต้องทาในสีมา โดยนัยจึงเท่ากับว่า พ้นื ที่สาหรบั ลงสัตยาธิษฐานนน้ั ตอ้ งไดร้ บั การสมมตสิ มี าจากสงฆ์ด้วย จงึ ถอื เปน็ พื้นที่ศกั ดสิ์ ิทธิ์ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช มีบันทึกเรื่องราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ๘ เรื่อง ได้แก่ การปิดทองบูชา, สมโภชพระธาตุ , พระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์, การต้ังค่ายทหารพัก แรมใกล้วัด, พระมหาเถรคันฉองถวายคาแนะนาต่อพระนเรศวร,การอ้างพระรัตนตรัยทาน้าสาบาน, การ อาศยั วัดหลบหนภี ยั สงคราม, การพธิ ีทาสตั ยาธษิ ฐานดว้ ยการฝังสมี าจารกึ คาสตั ยาธษิ ฐาน ๒.๑๒ รัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช (สมเดจ็ พระสรรเพ็ชท่ี ๒) เป็นพระมหากษัตริย์องค์ท่ี ๑๘ แห่งกรุง ศรีอยุธยา เสวยราชสมบัติระหว่าง พ.ศ.๒๑๒๑-๒๑๓๖ รวมอยู่ในสิริราชสมบัติท้ังสิ้น ๑๕ ปี ระหว่างน้ีมี เหตกุ ารณเ์ กย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนาดงั รายละเอยี ดตามลาดบั ต่อไปน้ี ๒.๑๒.๑ การเสดจ็ บาเพญ็ พระราชกุศล สมเด็จพระเอกาทศรฐ ได้เสด็จไปบาเพ็ญพระราชกุศลในโอกาสต่าง ๆ เช่น เสด็จนมัสการ และ ปิดทองพระชินราช และพุทธสิหิงค์ เป็นต้น หลายครั้ง แสดงให้เห็นถึงพระราชศรัทธาของพระองค์ท่ีมีต่อ พระพทุ ธศาสนา ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ (๑) “พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรฐอิศวร บรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จ นมัสการพระชินราชในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุในเมืองพระพิษณุโลก แล้วก็เสด็จไปประพาสในจังหวัดเมือง พระพิษณโุ ลกนัน้ ทุกตา่ บล”๙๗ (๒) “เสด็จปิดพระพุทธปฏิมาพระชินราชด้วยพระหัตถ์ เสร็จบริบูรณ์ก็แต่งการฉลอง แล้วให้ เลน่ มหรสพบชู านมัสการแกพ่ ระพุทธเจ้านั้น ๗ วัน ๗ คืน เปน็ มหามโหฬารนกั หนา”๙๘ (๓) “พระเจ้าเชียงใหม่กราบทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวท้ังสอง พระองค์ เสด็จเข้าไปนมัสการพระพุทธสิหิงค์ในเมืองเชียงใหม่นั้น และต้ังทัพอยู่ในเมืองเชียใหม่น้ันเดือน หนึ่ง๙๙ ๙๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบับพนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๒๔๒. ๙๘ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๒๔๓. ๙๙ เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๑๔๕.

๔๓ ข. ข้อสังเกตเพ่มิ เตมิ ทง้ั สมเด็จพระนเรศวร และสมเดจ็ พระเอกาทศรฐ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธชินราช และชิน ศรมี าก ทกุ ครัง้ ทม่ี โี อกาส มกั จะเสด็จไปถวายสกั การะอย่เู นือง ๆ ๒.๑๒.๒ ปาฏิหาริยพ์ ระสารีรกิ ธาตุ พระสารรี กิ ธาตไุ ด้แสดงปาฏิหาริย์ให้เป็นที่ปรากฏแก่สมเด็จพระนเรศวรหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยที่ ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ การปรากฏของพระสารีริกธาตุแต่ละคร้ังจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล เพราะทกุ ครัง้ ท่ีเห็นก็มักจะนาความโชคดี หรือมีชัยอยา่ งใดอย่างหนึง่ มาใหเ้ สมอ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ (๑) “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเห็นพระสารีริกบรมธาตุเสด็จปาฏิหาริย์ ช่วงเท่าผล สม้ เกลย้ี งมาแตข่ ณิ ทศิ เวียนเป็นทักษณิ าวัฏแล้วเสด็จผา่ นไปอุดรทิศ ทรงพระปีติซ่านไปทั้งพระองค์ ยกพระ หัตถ์ถวายทัศนขั สโมธาน อธิษฐานขอสวสั ดชิ ัยแกป่ รปกั ษ์”๑๐๐ (๒) “เดชะพระบารมีสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ถ้ามีชัยแก่ข้าศึกคร้ังใด ก็ให้เห็นศุภนิมิต ประจกั ษ์ทุกครั้ง พอเพลา ๓ ยาม ๗ บาท พระสารรี กิ บรมธาตุใหญ่เท่าผลสม้ เกลีย้ ง เสด็จผ่านด้านตะดาวศรี มาแตท่ ศิ อดุ รไปเฉียงอาคเนย์ พระรัศมีสว่างวาบไปท้ังอากาศและปฐพี สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเห็นดังน้ัน ทรงพระปีติโสมนัสถวายทัศนัขสโมธาน เหนือพระศิโรตม์ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วสั่งปุโรหิตาจารย์ ท้ังหลาย ให้ประโคมแตรสังข์ดุริยดนตรี ปีพาทย์ฆ้องชัยในทันที ให้ฝรั่งแม่นปืนจุดจ่ารงคว่าทองท้ายท่ีน่ัง ๓ บอกไล่กันเป็นส่าคัญ ฝ่ายนายทัพนายกองได้ยินเสียงปืนใหญ่เป็นส่าคัญ ก็ให้ทหารรุดกันเอาบันไดพาด กา่ แพงเมอื ง จดุ พลุพะเนยี งเสยี งเป็นโกลาหล”๑๐๑ ข. ขอ้ สังเกตเพม่ิ เตมิ (๑) คาว่า “มาแต่ขิณทิศเวียนเป็นทักษิณาวัฏ” ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “มาแต่ทักษิณ ทศิ เวยี นเปน็ ทกั ขิณาวัฎ” ๑๐๒ (๒) กลายเป็นคติความเช่ือว่า ถ้าจะมีชัยแก่ข้าศึกครั้งใด ก็จะเห็นศุภนิมิตน้ีประจักษ์แจ้ง ทกุ คร้ัง ๒.๑๒.๓ พระพนรัตน์บิณฑบาตชีวิตทหาร พระพนรัตน์วัดป่าแก้ว และพระราชาคณะ ๒๕ รูป ช่วยชีวิตทหารซึ่งมีโทษต้องประหาร จากการตามเสด็จสมเดจ็ พระนเรศวรไม่ทัน ๑๐๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๑๗๔. ๑๐๑ เรือ่ งเดียวกนั , หน้า ๒๐๙. ๑๐๒ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หนา้ ๑๕๑.

๔๔ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “คราวสมเด็จพระนเรศวรทา่ ยทุ ธหตั ถกี บั พระมหาอปุ ราช นายทพั นายกองตามเสด็จไม่ทัน ท่าให้พระองค์ต้องอยู่ในท่ามกลางข้าศึก เม่ือมีชัย จึงใช้กฎอัยการศึกษาส่ังลงโทษนายทัพนายกองเหล่านั้น แตต่ ิดตรงทเี่ ป็นวนั พระ จึงทรงให้จองจา่ ไวก้ ่อน ความทราบถงึ พระพนรตั น์ จึงพร้อมด้วยพระราชาคณะ ๒๕ รูปได้มาทูลขอบิณฑบาตชีวิตเอาไว้ โดยยกเหตุผลว่า ท่ีเป็นเช่นน้ัน เพราะเทวดาดลใจต้องการโลกได้ทราบ เกยี รตยิ ศของให้ย่ิงยอด๑๐๓ “พระคณุ เจา้ ขอแล้วโยมกจ็ ะให้ แตท่ วา่ จะใหไ้ ปตเี มืองตะนาวศรี เมืองทวายแกต้ ัวกอ่ น “การซึ่งจะใช้ไปตีบ้านเมืองน้ัน สุดแล้วแต่พระราชสมภารเจ้าจะสงเคราะห์ ใช่กิจสมณะ” ๑๐๔ ข. ขอ้ สงั เกตเพม่ิ เติม ทาเนียมแตโ่ บราณ วนั พระจะงดเว้นการประหารชวี ิต ฉบบั พระราชหัตถเลขระบุว่า “บัดน้ี จวนวันจาตุททสีบัณณรสีอยู่ ให้เอานายทัพนายกองจาเรือนตรุไว้สามวัน พ้นแล้วจึงให้สาเร็จโทษโดยพระ ไอยการศกึ ” ๑๐๕ ๒.๑๒.๔ พระมหาเถรเสียมเพรียมวางแผนยุทธศาสตร์เสนอพระยาตองอู พระมหาเถรเสียมเพรียม เป็นพระพม่า และมีบทบาทสาคัญท่ีปลุกความรู้สึกของพระยาตองอู ใหเ้ กิดความเช่ือม่ัน ไมย่ อมละทิง้ เอกราชของชาติ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “พระมหาเถรเสยี มเพรียม ทราบขา่ ววา่ พระยาตองอจู ะสวามิภักด์ิต่อกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา จึงได้เข้าเฝ้า กล่าวให้ก่าลังใจพร้อมทั้งเสนอแนะหาทางออกให้กับประเทศในช่วงท่ีพระยาตองอูมองไม่เห็น ชอ่ งทางอน่ื ”๑๐๖ ข. ขอ้ สงั เกตเพ่ิมเตมิ (๑) พระมหาเถระเสียมเพรียมเป็นภิกษุชาวพม่า และมีบทบาทสาคัญในการช้ีนาการศึก หลายครง้ั จงึ ถอื เปน็ กรณตี ัวอย่างทีน่ า่ สนใจ (๒) ฉบับราชหัตถเลขาระบวุ า่ เปน็ “เจ้าอธิการ”๑๐๗ ๒.๑๒.๕ การกระทาสตั ยาถวายสตั ย์ ๑๐๓ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๑๘๒. ๑๐๔ เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ ๑๘๓. ๑๐๕ พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหัตถเลขา ภาค ๑, หน้า ๑๖๐. ๑๐๖ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๒๑๖-๒๑๗. ๑๐๗ พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หนา้ ๒๐๑.

๔๕ สมเด็จพระเอกาทศรฐ ได้ทรงปรับความเข้าใจระหว่างเจ้าเมืองเชียงใหม่ และเจ้าพระยาแสน หลวงแสนเมืองท้ังปวง มีหมื่นเพชรไพรี และพระรามเดโช เป็นต้น มิให้ผูกโกรธอาฆาตต่อกัน โดยวิธีให้ ท้งั หมดถอื นา้ พิพัฒนส์ ตั ยาต่อหน้าพระรัตนตรัย ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “พระเจ้าเชียงใหม่และท้าวพระยาลาวทั้งปวง กระท่าสัตย์ปฏิญาณถือน่้าพระพิพัฒน์ต่อ พระเจา้ เชียงใหม่ ๆ ก็ถวายสัตย์ต่อสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว จ่าเพาะพระพักตรพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆเ์ จา้ ”๑๐๘ ข. ขอ้ สงั เกตเพม่ิ เติม การกระทาสัตยา ถือเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทาให้เกิดความเชื่อมั่น ยิ่งหากได้กระทาโดยการ อ้างสิ่งศกั ด์สิ ิทธ์ิ หรือส่ิงเคารพสูงสดู ย่อมเปน็ อุบายให้คาสัตยามีความมั่นคงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นถึง ความสงู ส่งทางดา้ นคณุ ธรรมของคนในสังคมได้เปน็ อยา่ งดี สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระเรศวรมหาราช มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๕ เรื่อง ได้แก่ การเสด็จบาเพ็ญพระราชกุศล มีนมัสการ และสมโภชพระพุทธชินราช การเสด็จนมัสการพระพุทธ สิหิงค์ เป็นต้น, การแสดงปาฏิหาริย์ของพระสารีริกธาตุ, พระพนรัตน์และพระราชาคณะ ๒๕ รูป ช่วยชีวิต นายทัพ นายกองท่ีจะถูกประหารชีวิต, พระพม่าช่วยวางแผนการศึกษาสงคราม, และทาสัตยาธิษฐานโดย การอ้างพระพทุ ธปฏมิ าเปน็ สักขพี ยาน ๒.๑๓ รชั กาลสมเด็จพระเอกาทศรฐ สมเด็จพระเอกาทศรฐ (สมเดจ็ พระสรรเพช็ ท่ี ๓) เป็นกษัตริย์องค์ท่ี ๑๙ แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็น พระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชากับพระวิสุทธิกษัตรีย์ เป็นพระอนุชาในสมเด็จพระนเรศวร มหาราช ทรงดารงอยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๑๓๖-๒๑๔๔ รวมระยะเวลา ๘ ปี ระหว่างนี้มี เหตุการณเ์ กย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนาดงั รายละเอยี ดตามลาดบั ต่อไปนี้ ๒.๑๓.๑ การทะนุบารุงพระพุทธ ศาสนาด้วยการสร้างวัด สร้างพระ และสร้างคัมภีร์ทาง พระพทุ ธศาสนา สมเด็จพระเอกาทศรฐ ทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในการบาเพ็ญพระราชกุศลอยู่เป็นนิตย์ นับต้ังแต่ยังดารงตาแหน่งเป็นอุปราช คร้ันได้เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระนเรศวร ก็ยังคงดาเนิน รอยตามบพุ จริยาไมเ่ ปลย่ี นแปลง ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “สร้างโพธสิ มภารบ่าเพ็ญพทุ ธการกธรรมบารมี อาทิ สร้างพระวรเชษฐารามมหาวิหาร อัน รจนาพระพุทธปฏิมามหาเจดีย์บรรจุพระสารีริกธาตุส่าเร็จ กุฏิสถานปราการสมด้วยอรัญวาสีแล้ว ก็สร้าง ๑๐๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพนั จันทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๒๔๐.

๔๖ พระไตรปิฎกะธรรมจบบริบูรณ์ท้ังพระบาลีอรรถกถาฎีกาคันถีวิวรณ์ทั้งปวง จึงแต่งหอพระสัทธรรมเสร็จ ก็ นมิ นตพ์ ระสงฆ์อรัญวาสผี ้ทู รงศีลาธิคุณอนั วเิ ศษมาอยู่ครองพระวรเชษฐารามนั้นแล้ว ก็แต่งขุนหมื่นข้าหลวง ไว้ส่าหรบั อารามน้ัน แล้วจา่ หน่ายพระราชทรัพยไ์ วใ้ หแ้ ตง่ จตุปัจจัยไทยทานถวายแก่สงฆ์เป็นนิจกาล แล้วให้ แตง่ ฉทานศาลา แล้วประสาทพระราชทรัพย์ ให้แตง่ โภชนาหารจังหันถวายแก่พระภิกษุสงฆ์เป็นนิตยภัตมิได้ ขาด”๑๐๙ ข. ข้อสังเกตเพิ่มเตมิ ในราชกาลของสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นพระเชษฐามีการศึกและสงครามบ่อย ทาให้ขาด การทะนุบารงุ พระพทุ ธศาสนา ๒.๑๓.๒ การสร้างพระพทุ ธรปู ฉลองพระองค์ ประกอบพธิ ฉี ลองพระพทุ ธปฏิมา ๗ วนั ๗ คืน การสรา้ งพระพุทธรปู ฉลองพระองค์ เรม่ิ มีปรากฏใหเ้ ห็นบา้ งแลว้ ในหลายรชั กาล แสดงให้เห็นถึง ความศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นต่อพระพุทธศาสนาของพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้เป็นอย่างดี อีกทางหนึง่ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ให้รจนาพระพุทธปฏิมาเป็นพระพุทธรูป สนองพระองค์หา้ พระองค์ องคห์ นึ่งบทุ องนพคณุ ทรงเครื่องมงกุฏกุณฑล พาหุรัดย่อมประดับเนาวรัตน์ และ บัลลังก์นั้นบุทองจ่าหลักประดับเพชรรัตน์ องค์หน่ึงบุทองนพคุณ บัลลังก์น้ันบุทองจ่าหลัก องค์หน่ึงน้ันเป็น พระพุทธรูปปฏิมานาคาศนะ พระพุทธองค์น้ันรจนาด้วยนาคสวาด และเครื่องทรงน้ันทองจ่าหลักประดับ เนาวรัตน์ และบัลลังก์น้นั รจนาดว้ ยสวาด พระพุทธปฏิมาบเุ งิน ๒ องค์ และฐานเงินจ่าหลักสรรพางค์ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงเคร่ืองสุวรรณาภรณ์ บวรวิภูษิตากาญจน์เสร็จ แล้วเสด็จ ทรงพระทีน่ ่ังบุษบกรตั นมหาพมิ าน อันอลงั การกลางเรือสพุ รรณหงสพ์ ยุหยาตรา คลาเคล่ือนโดยขบวนเสด็จ ประเวศมาประทับท่าขนานมหาวาสุกรี คอยทอดพระเนตรขบวนแห่พระพุทธปฏิมากร อันมเหาฬาราด้วย เรือต้นทั้งปวง ครั้นเรือพระพุทธปฏิมากรบรรทับขนานแล้ว ก็อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรเสด็จทรงพระ คชาธาร แหก่ ลับไปประดษิ ฐาน ณ พระศรสี รรพเพชญดาราม แล้วให้แต่งการสมโภชเล่นมหรสพ ๗ วัน เป็น มโหฬารยิง่ นกั ”๑๑๐ ข. ข้อสงั เกตเพม่ิ เติม ความในพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ระบุทานองเดียวกันว่า มีการแห่ อญั เชญิ พระพุทธรปู ไปประดิษฐานทว่ี ัดพระศรสี รรเพชดาราม และทาการสมโภช ๗ วนั สรปุ ในรัชกาลสมเดจ็ พระเอกาทศรฐ มบี ันทึกเร่ืองราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๒ เร่ือง ได้แก่ การทะนุบารุงพระพุทธศาสนา มีการสร้างวัดวรเชษฐาราม สร้างพระพุทธปฏิมา สร้างพระเจดีย์บรรจุพระ ๑๐๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๒๕๒. ๑๑๐ เรื่องเดียวกัน, หนา้ ๒๕๘-๒๕๙.

๔๗ บรมสารีริกธาตุ และสร้างคัมภีร์พระพุทธศาสนา ๑ เร่ือง, การสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ๑ และการ ฉลองพระพุทธรูป ๑ เรื่อง ๒.๑๔ รชั กาลสมเด็จศรเี สาวภาค สมเด็จพระศรีเสาวภาค (สมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๔) เป็นกษัตริย์องค์ท่ี ๒๐ แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นราชโอรสในสมเด็จพระเอกาทศรฐ ทรงดารงอยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๑๔๔-๒๑๔๕ รวม ระยะเวลา ๑ ปี ๒ เดอื น ระหว่างน้ีมีเหตกุ ารณเ์ กี่ยวกับพระพุทธศาสนาดงั รายละเอยี ดตามลาดบั ต่อไปนี้ ๒.๑๔.๑ พระพิมลธรรม (พระศรีสนิ ) วัดระฆัง ยดึ อานาจพระเจ้าแผน่ ดนิ วัดระฆงั ตั้งอยู่ริมคลองท่อฝ่ังซ้ายตรงข้ามกับพระราชวังหลวง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้น ก่อนรัชกาลพระเจา้ ทรงธรรม พระศรีสิน นักประวตั ิศาสตรห์ ลายท่านตคี วามว่า น่าจะเป็นพระราชโอรสของ สมเด็จพระเอกาทศรฐ ไดบ้ วชพานกั อย่ทู ่ีวดั แหง่ น้ีจนไดส้ มณศกั ดเิ์ ป็นพระพิมลธรรม ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “จุลศักราช ๙๖๔ (พ.ศ.๒๑๔๕) พระศรีสินบวชอยู่วัดระฆัง รู้พระไตรปิฎกสันทัด ได้สมณ ฐานันดรเป็นพระพิมลธรรมอ์ นันตปรีชาชา่ นาญไตรเพทางคศาสตร์ราชศาสตร์ มีศิษย์โยมมาก ทั้งจมื่นศรีเสา รกั ษถ์ วายตัวเปน็ บุตรเล้ียง....คิดกันเป็นความลับ ซ่องสุมพวกได้มากแล้วก็ปริวัตรออกเพลาพลบค่า ก็พากัน ไปซุ่มพล ณ ปรางค์วัดศรีรัตนมหาธาตุ คร้ันได้เวลาอุดมนักขัตฤกษ์ ก็ยกพลมาฟันประตูมงคลสุนทร เข้าไป ไดใ้ นท้องสนาม พระพิมลธรรมเข้าพระราชวังได้ ก็คุมเอาพระเจ้าแผ่นดินไปให้พันธนาไว้ม่ันคง รุ่งขึ้น นิมนต์พระบังสุกุล ๑๐๐ ให้ธูปเทียนษมา แล้วก็ให้ส่าเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์ แล้วเอาศพไปฝัง ณ วัดโคก พระยา๑๑๑ ข. ข้อสังเกตเพิม่ เติม พงศาวดารบางฉบับระบุว่า สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ ถูกพระอินทราชา พระโอรสต่าง มารดาในสมเด็จพระเอกาทศรฐชิงราชสมบัติ เดิมทรงผนวชอยู่ท่ีวัดระฆังจนได้เป็นพระพิมลธรรมอนันต ปรชี า สรุป ในรชั กาลสมเด็จศรีเสาวภาค มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ๑ เรื่อง ไดแ้ ก่ เร่ืองพระพิมลธรรม วัดระฆัง ได้ก่อการกบฏยึดอานาจจากสมเด็จพระศรีเสาวภาค สถาปนาตน เป็นพระเจา้ ทรงธรรม ๑๑๑ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๕๘-๒๖๑.

๔๘ ๒.๑๕ รัชกาลสมเดจ็ พระบรมราชาท่ี ๑ (พระเจา้ ทรงธรรม) สมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ (พระเจ้าทรงธรรม) เป็นกษัตริย์องค์ท่ี ๒๑ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรง ดารงอยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๑๔๕-๒๑๗๐ รวมระยะเวลา ๒๕ ปีเศษ ระหว่างนี้มีเหตุการณ์ เก่ียวกบั พระพุทธศาสนาดงั รายละเอยี ดตามลาดบั ต่อไปนี้ ๒.๑๕.๑ พระสงฆ์วดั ประดูโรงธรรมช่วยปกป้องพระเจา้ ทรงธรรม ญี่ปุ่นท่ีมาทามาค้าขายสมัยกรุงศรีอยุธยา เกิดความไม่พอใจท่ีพระเจ้าทรงธรรมยึดอานาจจาก พระเจา้ แผน่ ดินพระองคก์ ่อน จึงหาชอ่ งทางในการลอบปลงพระชนม์ ได้อาศัยพระภิกษุที่มาเรียนหนังสือพา หนีรอดพ้นจากภยั ครั้งน้ี ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “ครั้งน้ัน ญ่ีปุ่นเข้ามาค้าขายหลายล่า ญี่ปุ่นโกรธว่าเสนาบดีมิได้เป็นธรรม คบคิดเข้าด้วย พระพิมลธรรมฆ่าพระมหากษัตริย์เสีย ญ่ีปุ่นคุ้มกันได้ประมาณ ๕๐๐ ยกเข้ามาในท้องสนามหลวง คอยจะ กุมเอาพระเจ้าอยู่หัวอันเสด็จออกมาฟังพระสงฆ์บอกหนังสือ ณ พระท่ีนั่งจอมทองสามหลัง ขณะนั้น พอ พระสงฆ์วัดประดู่โรงธรรมเข้ามา ๘ รูป พาพระองค์เด็จออกมาต่อหน้าญี่ปุ่น ครั้นพระสงฆ์พาเสด็จไปแล้ว ญีป่ ุ่นรอ้ งอือ้ อึงข้ึนว่า จะกุมเอาพระองคแ์ ล้วเป็นไรจงึ นิง่ เสยี เลา่ ญ่ปี ุ่นทุ่มเถียงเปน็ โกลาหล”๑๑๒ ข. ขอ้ สงั เกตเพ่มิ เติม (๑) ในยามท่ีมเี หตุการณข์ บั ขัน ไดอ้ าศัยพระสงฆช์ ว่ ย ทาใหพ้ ระเจ้าแผ่นดินรอดพ้นจากมือ ญี่ปุ่น และเพราะสาเหตุน้ีเอง พระเจ้าทรงธรรมจึงมีพระบรมราชโองการให้แต่งกัปปิยจังหันถวายพระสงฆ์ วัดประดู่โรงธรรมเป็นนจิ (๒) ตามเอกสารตา่ งชาติระบุว่าเหตกุ ารณ์ลักษณะดังกลา่ วเคยเกิดขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระ ศรีเสาวภาคยด์ ว้ ย ๑ ครัง้ ๒.๑๕.๒ ยา้ ยพระมงคลบพิตรจากตะวนั ออกมาไวฝ้ ง่ั ตะวนั ตก พระมงคลบพติ ร องค์พระก่อด้วยอิฐแลว้ หุ้มด้วยสาริดแผ่น เป็นพระพุทธรูปท่ีใหญ่ท่ีสุดองค์หนึ่ง ของไทย สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น แต่ไม่ปรากฏชัดว่าสร้างในรัชกาลใด เดิม ประดษิ ฐานอยู่ทางด้านตะวนั ออกของวังหลวง ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๙๖๕ ปีเถาะศก (พ.ศ.๒๑๔๖) สมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวได้ชักพระมงคลบพิตรอยู่ฝ่าย ตะวนั ออก มาไว้ฝา่ ยตะวนั ตก แลว้ ใหก้ อ่ พระมณฑปใสใ่ ห้”๑๑๓ ๑๑๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๒๖๒. ๑๑๓ เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๒๖๓.

๔๙ ข. ขอ้ สงั เกตเพมิ่ เตมิ เดิมอยู่ฝ่ังตะวนั ออกของพระราชวงั มาไวด้ า้ นทศิ ตะวนั ตกของพระราชวงั ซ่ึงประดิษฐานอยู่ ตราบเทา่ ปจั จบุ นั ๒.๑๕.๓ พบรอยพระพุทธบาททส่ี ระบุรี ในรัชกาลของพระเจ้าทรงธรรม ทางสระบุรี ได้แจ้งมาว่า พบรอยพระพุทธบาทที่เขาสุวรรณ บรรพต มีลายกงจักร ประกอบด้วยสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการตามพระบาลี และตรงกับท่ีทางศรีลังกา ให้ขอ้ มลู มา ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี (๑) “ศักราช ๙๖๘ ปีมะเมียศก (พ.ศ.๒๑๔๙) เมืองสระบุรีบอกมว่า พราน บุนพบรอยเท้าอัน ใหญ่บนไหล่เขาเป็นประหลาด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดีพระทัย เสด็จพระที่น่ังชัยพยุหยาตรา พร้อมด้วยเรือ ท้าวพระยาสามนตราราชดาษดาโดยชลมารคนทีธารประทับท่าเรือ รุ่งขึ้นเสด็จทรงพระท่ีนั่งสุวรรณ ปฤษฎางค์ พร้อมด้วย คเชนทรเสนางคนกิ รเป็นอนั มาก” “พรานบุญเป็นมัคคุเทศก์น่าทางลัดตัดดงไปเชิงเขา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัส ทอดพระเนตรเห็นแท้เป็นพระบรมพระพุทธบาทมีลายลักษณ์กงจักร แล้วต้องกับเมืองลังกาบอกเข้ามาว่า กรุงศรีอยุธยามีรอยพระพุทธบาทเหนือยอดเขาสุวรรณบรรพต ก็ทรงโสมนัสปรีดา ถวายทัศนัขเหนือเขา สุวรรณบรรพต ด้วยเบญจางคประดษิ ฐเ์ ปน็ หลายครา ทา่ สกั การบชู าด้วยธูปเทยี นคันธรสจะนบั มไิ ด้”๑๑๔ (๒) “ทรงใหส้ ร้างมณฑปสวมรอยพระพุทธบาท สร้างพระวิหาร สร้างกุฏิ สร้างทาง ใช้เวลา ๔ ปี จัดพธิ สี มโภช ๗ วนั ”๑๑๕ ข. ข้อสังเกตเพม่ิ เตมิ ทรงอุทิศที่ดินโดยรอบรอยพระพุทธบาท ๑ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร) ถวายพระพุทธศาสนา จากนนั้ ทรงสร้างมณฑปครอบพระพุทธบาท สร้างโบสถ์ พระอาราม ตาหนกั และถนนเช่ือมต่อเพ่ือใช้ในการ โดยเสร็จนมัสการพระพทุ ธบาท โดยใชร้ ะยะเวลาสรา้ ง ๔ ปี จึงแล้วเสร็จ ๑๑๔ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๒๖๓. ๑๑๕ เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๒๖๔.

๕๐ ๒.๑๕.๔ ทรงทะนุบารงุ พระพุทธศาสนา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แต่งมหาชาติคาหลวง และสร้างพระไตรปิฎก ถือเป็นการ ทะนุบารุงพระพุทธศาสนาอีกรูปแบบหนึ่ง และถือครั้งที่ ๒ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาท่ีปรากฏมีการแต่ง วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “ลศุ กั ราช ๙๘๙ ปมี ะแมศก (พ.ศ.๒๑๗๐) ทรงพระกรุณาแต่งมหาชาติค่าหลวง แล้วสร้าง พระไตรปิฎกธรรมไวส้ ่าหรับพระศาสนาจบบรบิ รู ณ์”๑๑๖ ข. ขอ้ สงั เกตเพมิ่ เตมิ มหาชาติคาหลวง พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ ระบุว่า สมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ “ทรงพระราชนิพนธ์” ระบุ พ.ศ.๒๐๒๕ ๑๑๗ ขณะที่พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุ มาศ (เจิม) ไม่มีระบุว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แต่มาปรากฏหลักฐานว่าพระเจ้าทรงธรรม โปรดให้สรา้ งขน้ึ ในปี ๒๑๗๐ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ (พระเจ้าทรงธรรม) มีบันทึกเร่ืองราวเกี่ยวกับ พระพทุ ธศาสนา ๔ เรอื่ ง ได้แก่ พระสงฆ์วดั ประดูโรงธรรมชว่ ยพระเจ้าทรงธรรมจากการจับกุมของกบฏชาว ญี่ปุ่น, การยา้ ยพระมงคลบพิตรจากฝ่ังตะวนั ออกมาประดษิ ฐานฝงั่ ตะวันตกของพระราชวัง, การพบรอยพระ พทุ ธบาทท่ีจงั หวดั สระบรุ ี, การแต่งมหาชาตคิ าหลวง และการสรา้ งพระไตรปิฎก ๒.๑๖ รชั กาลสมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ (สมเด็จพระเชษฐาธริ าช) สมเด็จพระบรมราชาท่ี ๒ (สมเด็จพระเชษฐาธิราช) เป็นกษัตริย์องค์ท่ี ๒๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงดารงอยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๐-๒๑๗๒ รวมระยะเวลา ๑ ปี ๗ เดือน ระหว่างน้ีมี เหตกุ ารณเ์ กยี่ วกับพระพทุ ธศาสนาดงั รายละเอียดตามลาดบั ต่อไปนี้ ๒.๑๖.๑ การใช้วดั เป็นสถานทปี่ ระหารชีวติ วัดโคกพระยา ถือเป็นวัดอีกวัดหน่ึงในสมัยกรุงศรีอยุธยาท่ีมักถูกใช้เป็นสถานท่ีสาหรับประหาร ชีวิต โดยเฉพาะเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ มีพระเจ้าแผ่นดิน เช้ือพระวงศ์ถูกประหารชีวิตที่จานวน ๕ พระองค์ เจา้ นายชัน้ ผใู้ หญ่อีกจานวน ๖ ท่าน๑๑๘ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “พระพันปีศรีสินคิดแย่งราชสมบัติจากพระเชษฐาธิราช จึงจัดแต่งก่าลังเตรียมก่อการ แต่ ไม่ทนั ไดล้ งมือ ถูกลอบจับเสียก่อน และถกู นา่ มาประหารชีวิตเสีย ณ วดั โคกพระยา”๑๑๙ ๑๑๖ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๒๖๔. ๑๑๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสรฐิ , หน้า ๔๐๐. ๑๑๘ ปวตั ร์ นวะมรัตน, อยุธยาทีไ่ มค่ ้นุ , หน้า ๑๒๑. ๑๑๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพนั จันทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๒๖๕.

๕๑ ข. ขอ้ สงั เกตเพิ่มเติม สาเหตุที่พระศรีศิลป์คิดยึดอานาจเพราะโกรธท่ีเสนาอามาตย์ไม่ยกราชสมบัติให้แก่ตนใน ฐานะเปน็ พระอนชุ า ๒.๑๖.๒ ปาฏิหารยิ ์พระธาตุ การแสดงปาฏหิ าริย์ของพระธาตใุ หป้ รากฏ ถูกตีความเป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นลางบอกเหตุดีแก่ ผู้พบเหน็ ถือเปน็ คติความเชอื่ ทีม่ ีมานาน และพบบอ่ ยครั้งในพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ “เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ รวบรวมก่าลังพลยึดราชบัลลังก์จากพระเชษฐาธิราช ก่อน ด่าเนนิ การไดต้ ้ังจิตอธิษฐานให้ส่าเร็จดังประสงค์ เพลาค่าจึงมาตั้งซุ่มพลอยู่ ณ วัดสุธาวาศ คร้ันเพลา ๘ ทุ่ม น่ิงคอยฤกษ์พร้อมกัน เห็นพระสารีริกธาตุเสด็จมาแต่ประจิมทิศผ่านไปปราจีนทิศ ได้นิมิตเป็นมหามงคล ฤกษอ์ นั ประเสรฐิ กย็ กพลเขา้ ประตมู งคลสุนทร”๑๒๐ ข. ข้อสงั เกตเพม่ิ เตมิ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาระบุถึงคาอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาพระ โพธญิ าณ ถ้าจะเสร็จแก่พระพุทธสมบัติเป็นแท้ จะยกเข้าไปลา้ งผู้อาสตั ยข์ อใหส้ าเร็จดงั ปรารถนา” ๑๒๑ สรปุ ในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ (สมเด็จพระเชษฐาธิราช) มีบันทึกเร่ืองราวท่ีเก่ียวข้อง กับพระพุทธศาสนา ๒ เรื่อง ได้แก่ การประหารชีวิตพระพันปีศรีสินท่ีวัดโคกพระยา, การแสดงปาฏิหาริย์ ของพระสารีรกิ ธาตุ ๒.๑๗ รัชกาลสมเดจ็ พระสรรเพชญท์ ี่ ๕ (พระเจา้ ปราสาททอง) สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๕ (พระเจา้ ปราสาททอง) เป็นกษัตรยิ ์องคท์ ี่ ๒๔ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรง ดารงอยใู่ นสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๙๘ รวมระยะเวลา ๒๖ ปี ระหว่างน้ีมีเหตุการณ์เก่ียวกับ พระพทุ ธศาสนาดังรายละเอียดตามลาดบั ต่อไปน้ี ๒.๑๗.๑ พระสงฆร์ ว่ มพธิ สี ถาปนากษัตรยิ ์ การสถาปนาพระมหากษัตริย์มีทั้งพิธีพราหมณ์ และพิธีสงฆ์ผสมผสานกันไป มีตัวแทนฝ่ายสงฆ์ เข้าร่วมพิธี แสดงให้เห็นถึงบทบาทของทั้งพราหมณ์ และพระพุทธศาสนาที่มีต่อราชสานักคู่กันมาตราบเท่า ถึงปจั จุบัน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ ๑๒๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๒๖๗. ๑๒๑ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๑, หน้า ๒๖๔.

๕๒ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จในหน้าฆ้องชัย ช่าระพระบาท พระยาธรมาบดีก็ลั่นฆ้องชัย ประโคมแตรสังข์ดุริยดนตรี ตีอินทเภรีเป็นทุติยวาร จึงเสด็จขึ้นไพชยนต์มหาปราสาท สถิตเหนือบัลลังก์ อาสน์อลังการ หมู่ทวิชาจารย์ก็เป่าสังข์ทักษิณาวรรต ประโคมแตรสังข์ดุริยดนตรี ตีอินทเภรีเป็นตติยวาร สมเด็จพระสังฆราชราชาคณะทั้งปวง ก็สวดพระพุทธมนต์ถวายชัย พระมหาราชครู พระครู ปุโรหิตสุภาวดี ศรีทชิ าจารย์ทั้งหลายก็แซ่ซอ้ งโอมอา่ นอศิ วรเวทวศิ ณุมนตถ์ วายชยั พร้อมเสร็จ”๑๒๒ ข. ขอ้ สงั เกตเพิ่มเติม สมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะเป็นผู้แทนฝ่ายศาสนจักรในพิธีสถาปนาพระเจ้า แผน่ ดนิ ๒.๑๗.๒ สถาปนาวัดพระศรสี รรเพชญ์ และทาการฉลอง วดั พระศรีสรรเพชญ์ เปน็ วดั สาคัญในราชสานกั กรุงศรอี ยธุ ยา อยู่ในพระราชวงั หลวง เป็นวัดท่ีไม่ พระสงฆจ์ าพรรษา เปรยี บได้กบั วดั พระศรรี ัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ หรือวัดมหาธาตุ ในสุโขทัย๑๒๓ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “ศักราช ๙๙๓ ปีมะแมศก (พ.ศ.๒๑๗๔) ทรงพระกรุณาให้ช่างถ่ายอย่างพระนครหลวง และปราสาทกรุงกัมพูชาประเทศเข้ามาให้ช่างกระท่าพระราชวังที่ประทับร้อน ต่าบลริมวัดเทพจันทร สา่ หรบั จะเสด็จข้นึ ไปนมัสการพระพุทธบาท จึงเอานามเดิมซ่ึงถ่ายมา ให้ชื่อว่าพระนครหลวง และในปีสร้าง พระนครหลวงนัน้ ก็สถาปนาวัดพระศรสี รรเพชญ์เสรจ็ และท่าการฉลอง มมี หรสพเปน็ อเนกทุกประการ”๑๒๔ ข. ข้อสังเกตเพิ่มเติม (๑) ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “มมี หรศพสมโภชเปนอเนกนปุ ระการ” ๑๒๕ (๒) เปน็ วดั ทใ่ี ช้ประกอบพระราชพธิ ตี ่าง ๆ เช่น พระราชพิธีถือนา้ พิพฒั นส์ ตั ยา เป็นที่เสด็จ ออกบาเพ็ญพระราชกุศล และเปน็ ที่บรรจพุ ระบรมอฐั พิ ระมหากษัตริย์อยุธยาเกือบทุกพระองค์๑๒๖ ๒.๑๗.๓ สถาปนาวัดไชยวัฒนาราม วัดชุมพลนิกายาราม เป็นวดั หลวงฝา่ ยอรัญวาสี ต้งั อยูท่ างทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้นอกเกาะเมือง ริมแม่น้าเจ้าพระยา หัน หน้าไปทางทศิ ตะวันออกตามคตินิยมในการสรา้ งวดั ทป่ี ฏิบัติเป็นประเพณีสืบกันมา ถือเป็นวัดประจารัชกาล ๑๒๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๒๗๑. ๑๒๓ กติ ติ โล่เพชรรัตน์, มรดกอยธุ ยา, (กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์กา้ วแรก, ๒๕๕๗), หน้า ๔๒. ๑๒๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๒๗๒. ๑๒๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว, พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๒. ๑๒๖ กิตติ โล่เพชรรตั น,์ มรดกอยุธยา, หน้า ๔๒.

๕๓ ของพระเจ้าปราสาททอง ถัดจากนั้นอีก ๒ ปี คือในปี ๒๑๗๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาวัดชุมนิ กายาราม ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี (๑) “ที่บา้ นสมเดจ็ พระพนั ปหี ลวงน้ัน พระเจ้าอยู่หัวให้สถาปนาสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ มีพระ ระเบยี งรอบและมุมพระระเบียงนั้น กระท่าเป็นทรงเมรุทิพเมรุรายอันรจนาและกอปรด้วยพระอุโบสถ พระ วิหารการเปรียญ และสร้างกุฏิถวายพระสงฆ์เป็นอันมากแล้วเสร็จ ให้นามชื่อวัดไชยวัฒนาราม เจ้าอธิการ น้ันถวายพระนามชอ่ื อชิตเถระ ราชาคณะฝ่ายอรัญญวาสี ทรงพระราโชทิศถวายนิตยภัตกัลปนาเป็นนิรันดร มิได้ขาด”๑๒๗ (๒) “ทรงพระกรุณาให้สร้างพระท่ีนั่งไอศวรรย์ทิพอาสน์ ณ เกาะบางนาอิน มีราชนิเวศน์ ปราการ ประกอบพฤกษาชาติร่มร่ืนเป็นท่ีส่าราญราชหฤทัย ประพาสราชตระกูลสุริยวงศ์อนงค์นารีทั้งปวง แล้วสร้างพระอารามเคียงพระราชนิเวศน์ถวายเป็นสังฆทาน มีพระเจดีย์วิหารเป็นอาทิส่าหรับพระศาสนา เสร็จบริบรู ณ์ แล้วให้นามช่ือวดั ชมุ พลนิกายาราม”๑๒๘ ข. ขอ้ สงั เกตเพ่ิมเติม (๑) ตาแหน่งพระราชาคณะในสมัยกรุงศรีอยุธยา ก็มีการแบ่งเป็นคามวาสี อรัญญวาสี สังเกตได้นามเจา้ อาวาสวัดไชยวฒั นาราม ระบเุ ปน็ พระราชาคณะฝา่ ยอรญั ญวาสี (๒) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระราชหัตถเลขาระบุว่า วัดไชยวัฒนารามน้ี สรา้ งข้นึ เมอื่ พ.ศ. ๒๑๗๓ (๓) การสร้างวัดชุมพลนิกายารามเคียงข้างพระราชนิเวศน์มีพระประสงค์เพ่ือเป็นที่เสด็จ บาเพ็ญพระราชกุศลดว้ ย ๑๒๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบบั พนั จันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๒๗๒. ๑๒๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพนั จนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๒๗๓.

๕๔ ๒.๑๗.๔ การเสด็จบาเพ็ญพระราชกศุ ล สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงเอาพระทัยในการเสด็จบาเพ็ญพระราชกุศลอยู่เนือง ๆ เท่าที่ พระองคม์ โี อกาส ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ (๑) “เมื่อวันอาสาฬหมาสเข้าพระวษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด่าเนินด้วยสนมราช กลั ยา ออกไปนมัสการจุดเทยี นพระวษา ถวายพระพุทธปฏิมากร ณ วดั สรรเพชญ์ พน้ เทศกาลราษฎร์เกย่ี วขา้ วแล้ว กเ็ สด็จไปนมัสการพระพุทธบาท”๑๒๙ (๒) “ในวันปัณรสีเพ็ญเดือน ๘ เสด็จออกไปปฏิบัติพระสงฆ์ ณ วัดชัยวัฒนาราม สมเด็จพระ เจ้าลูกยาเธอทรงพระเยาว์ก็ตามเสด็จไปหลายองค์ แต่พระนารายณ์ราชกุมารพระชนม์ได้ ๕ พระวษานั้น ประชวร จงึ ตรัสวา่ ปว่ ยอยู่แลว้ อยา่ ตามไปเลย”๑๓๐ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เติม ในปีเดยี วกนั นี้ (พ.ศ.๒๑๗๖) ทรงพระกรุณาให้สถาปนาพระปรางค์องค์เก่าวัดมหาธาตุข้ึน ใหม่ โดยใช้เวลา ๙ เดือน จึงแล้วเสร็จ และทาการฉลอง ๒.๑๗.๕ สร้างศาลากลางทางเสด็จพระราชดาเนนิ ไปวัดพระพทุ ธบาท การโปรดให้สรา้ งศาลา และขดุ บ่อไว้ระหว่างทางเดนิ ไปสู่วัดพระพุทธบาท สอดคล้องกับคตินิยม เร่อื งนิพทั ธกุศล ที่พระพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาเทวดาว่า ทาอยา่ งไร บุญจึงจะเจริญแก่บุคคลท้ังกลางวันและ กลางคนื ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “มีพระบรมราชโองการให้ขุดบ่อ ท่าศาลากลางทางเสด็จพระราชด่าเนินไปวัดพระพุทธ บาท ขณะด่าเนินการได้รับการแนะน่าจากสามเณรว่า ศาลา ๕ ห้อง ให้ก้ันเสีย ๒ ห้อง คนจะได้อาศัยนอน ได้ ไม่เป็นอันตรายสัตว์ป่ามารบกวน ช่างได้ท่าตามค่าแนะน่าของสามเณร จึงพากันต้ังช่ือว่า ศาลาเจ้า เณร”๑๓๑ ข. ข้อสังเกตเพ่มิ เติม ในรัชกาลของพระเจ้าปราสาททอง พระองค์ได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทอยู่เนือง ๆ จึงทรงดาหริสร้างศาลาทพ่ี กั และบอ่ นา้ ไวร้ ะหว่างทางเสดจ็ พระราชดาเนิน ๑๒๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพนั จันทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๒๗๔. ๑๓๐ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๒๗๗. ๑๓๑ เรื่องเดยี วกัน, หน้า ๒๗๔.

๕๕ ๒.๑๗.๖ พระราชทานเพลงิ ศพ การพระราชทานเพลิงพระศพในคราวครั้งน้ี สะท้อนให้เห็นคติความเชื่อเกี่ยวกับคุณไสย์ที่มีอยู่ ในสังคมอย่างกวา้ งขวาง ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “ลุศักราช ๙๙๗ ปีกุนศก (พ.ศ.๒๑๗๘) สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพระราชทาน เพลิงศพพระเจ้าลูกเธอฝ่ายใน ณ วัดชัยวัฒนาราม ได้เนื้อในท้องเผาไม่ไหม้สงสัยว่าต้องคุณ คร้ังนั้น ประชาราษฎร์ลือกันว่า จะให้ค้นต่ารับต่าราที่หมอผู้เฒ่าผู้แก่ ต่างคนกลัวความคิด บรรดามีต่ารับความรู่ วิชาการก็ทิ้งน่า้ เสยี ส้นิ ”๑๓๒ ข. ขอ้ สังเกตเพม่ิ เติม สิ่งท่ีมนุษย์ไม่เข้าใจ หรือไม่รู้ บางครั้งก็มักถูกยกให้เป็นเรื่องของคุณไสย์ หรือไม่ก็สิ่ง ศักดิ์สิทธ์ิ ๒.๑๗.๗ ประกอบพิธลี บศกั ราช พิธีลบศักราช อาจจะมาจากความคติท่ีว่า เมื่อจุลศักราชครบ ๑,๐๐๐ ปี จะเกิดกลียุค จึงทรง ดาริทจ่ี ะเสย่ี งบารมลี บศกั ราช เพือ่ เปน็ การแกเ้ คล็ดกลบั ร้ายใหก้ ลายเป็นดี ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี (๑) “ลุศักราช ๑๐๐๐ ปีขาลสัมฤทธิ์ศก (พ.ศ.๒๑๘๑) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรึกษาแก่เสนา พฤฒามาตย์ราชปุโรหิตทั้งหลายว่า บัดน้ีจุลศักราชถ้วน ๑,๐๐๐ ปี การกลียุคจะบังเกิดในภายหน้าท่ัว ประเทศธานีใหญ่น้อยเป็นอันมาก เราคิดว่าจะเสี่ยงบารมีลบศักราช บัดน้ีขาลสัมฤทธ์ิศกจะเอากุนเป็น สัมฤทธิ์ศกข้ึน ดิถีวารจันทร์เถลิงศก ให้กรุงประเทศธานีนิคมชนบททั้งปวง เป็นสุขไพศาลาสมบูรณ์ดุจ ทวาปรยุค” ๑๓๓ (๒) “ตัง้ พธิ ีไสยศาสตร์ ณ เชิงเขาสัตตภัณฑ์ท้ัง ๔ ทิศ รอบรายแตรสังข์ดุริยดนตรีป่ีพาทย์ฆ้อง ชัยเภรีบัณเฑาะว์กาหล แล้วเทียมขนัดพลต้ังกลาบาตรเป็นชั้น ๆ ออกมามากนัก และในจังหวัดไพชยนต์ มหาปราสาท ก็รจนาตกแต่งพระที่นั่งบัลลังก์อาสน์อันวิจิตรไว้เบญจราชกุกุธภัณฑ์ เชิญพระพุทธปฏิมากร และพระไตรปิฎกธรรมมาตั้งเป็นประธาน นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะคามวาสีอรัญญวาสีมาสวดพระพุทธ ปริตรมหามงคลสูตรอนั ประเสรฐิ ”๑๓๔ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เติม ๑๓๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๒๗๖. ๑๓๓ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๒๗๘. ๑๓๔ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๒๗๙.

๕๖ (๑) พธิ ลี บศกั ราชพิจารณาจากพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ถือเป็นพิธีใหญ่ มีท้งั พราหมณ์และพทุ ธผสมกนั ไป แต่รายละเอยี ดการพิธีดูจะหนักไปทางพราหมณ์ (๒) พิธีลบศักราชดังกล่าวน้ี ไม่ได้รับการยอมรับจากประเทศเพ่ือนบ้าน แม้จะทรงมีพระ ราชสาสน์ สง่ ไปขอให้ใช้ศักราชใหม่น้ี แตก่ ็ได้รบั การปฏิเสธ ๒.๑๗.๘ สตสดกมหาทาน ก่อนจะทรงกระทาสตสดกมหาทาน ได้ทรงช้างออกนอกเมือง วางพานทองสาหรับโปรยทาน เสด็จถึงต้นกัลปพฤกษ์ต้นใด ก็ให้หยุด ให้เจ้าพนักงานโปรยหว่านทานระหว่างต้นกัลปพฤกษ์นั้น โดยทาน โดยรอบพระนครเสรจ็ แล้วจึงเสดจ็ เข้าไปในพระนคร และกระทาสตสดกมหาทาน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ “ในล่าดบั เดือนน้ัน สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวบริจาคทรัพย์และราชพาหนะ กระท่าสัตสดกมหา ทานแก่พราหมณ์ทวิชาติ และยาจกวณิพกท้ังปวง...และแต่งการออกสนาม มีมหรสพสมโภชตรีวาร เป็น มโหฬาราธิการย่งิ นัก”๑๓๕ ข. ขอ้ สังเกตเพม่ิ เตมิ สตสดกมหาทานนี้ มีพรรณนาไว้ในคัมภีร์อรรถกถา ถือเป็นการทาทานท่ีต้องใช้ทุนมาก เพราะของที่จะทาจะนบั อยา่ งละ ๑๐๐ ๆ ๒.๑๗.๙ โหรทานายว่าจะเกดิ เพลิงไหมว้ งั จงึ ขนของไปไว้ทีว่ ัด แสดงให้เห็นว่า โหราจารย์ ปุโรหิตทั้งหลาย มีอิทธิพลต่อความเชื่อของคนในสังคมสมัยอยุธยา มาก ไมเ่ วน้ แม้กระท่งั พระมหากษตั รยิ ์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “โหรทา่ นายว่าจะเกดิ ไฟไหม้พระราชวงั จงึ มิไดว้ างพระทัย ใหข้ นของในพระราชวังออกไป อยู่วัดชยั วัฒนาราม---เกดิ ฟา้ ผา่ ลงที่เหมพระมหาปราสาทเพลิงลุกไหม้ถงึ ๑๑๐ หลังคาเรอื น”๑๓๖ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เตมิ เหม หมายถึง ทอง เขา้ ใจวา่ ยอดปราสาทจะมีทองเป็นเคร่อื งประดบั อยู่ดว้ ย สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวข้องกับ พระพทุ ธศาสนาจานวน ๑๐ เรอื่ ง ไดแ้ ก่ สมเด็จพระสังฆราชร่วมพิธีสถาปนาพระมหากษัตริย์, การฉลองวัด พระศรีสรรเพชญ์, การสถาปนาวัดชัยวัฒนาราม และวัดชุมพลนิกายาราม, การเสด็จนมัสการพระศรีสรร เพชญ์ วัดพระพุทธบาท และการปฏิบัติต่อพระสงฆ์, การสร้างศาลาพักริมทางขึ้นวัดพระพุทธบาท, การ ๑๓๕ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๒๘๐. ๑๓๖ เร่อื งเดียวกนั , หน้า ๒๘๒.

๕๗ ถวายพระเพลิงพระเจ้าลูกยาเธอท่ีวัดชัยวัฒนาราม, พิธีลบศักราช, การถวายสตสดกมหาทาน, และความ เชือ่ โหรทานายจะเกดิ เพลิงไหม้พระราชวัง ๒.๑๘ รชั กาลสมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ ๓ (สมเด็จพระนารายณ์) สมเด็จพระรามาธบิ ดที ่ี ๓ (สมเด็จพระนารายณ์) เป็นกษัตริย์องค์ท่ี ๒๗ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรง ดารงอย่ใู นสริ ิราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๒๕ รวมระยะเวลา ๒๖ ปี ระหว่างน้ีมีเหตุการณ์เกี่ยวกับ พระพทุ ธศาสนาดังรายละเอยี ดตามลาดบั ต่อไปน้ี ๒.๑๘.๑ พธิ ีกรรมเกี่ยวกบั การพระศพ พิธีศพของพระมหากษัตริย์ หรือเจ้านายช้ันผู้ใหญ่ในบ้านเมือง มักนิยมนิมนต์พระสงฆ์ท้ังฝ่าย คามวาสี อรัญวาสจี านวนมาก ๆ มาประกอบพิธี จากหลักฐานพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ถ้าเป็นพระศพของ พระมหากษตั ริย์ มักจะนับเริ่มตน้ ที่ ๑๐,๐๐๐ รูป เจ้านายช้นั ผูเ้ ร่ิมต้นท่ี ๕,๐๐๐ รูป ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “นิมนต์พระสงฆ์สบสังวาส ๑๐,๐๐๐ ถวายทักษิณาทานบูชาพระสงฆ์ทั้งปวงโดยบุราณ ราชประเวณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าแต่ก่อน จึงพระบาทสมเด็จพระบรมพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ถวาย พระเพลิงแล้วให้รับพระอัฐิธาตุเข้ามาไว้ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ นิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้วก็บรรจุอัฐิ ธาตุ๑๓๗ ข. ขอ้ สังเกตเพมิ่ เตมิ (๑) สบสังวาส หมายถึง ทัง้ คามวาสีและอรัญญวาสี (๒) กอ่ นนาอฐั ิไปบรรจุ มกั มีธรรมเนียมสวดมาตกิ าอกี ครั้ง ๒.๑๘.๒ การหลอ่ รปู เคารพ ในรัชสมยั ของสมเดจ็ พระนารายณ์ จะเหน็ ภาพคติความเชอื่ ของพราหมณ์เข้ามามีบทบาทสาคัญ ต่อสถาบันพระมหากษัตรยิ ค์ อ่ นขา้ งจะชัดเจน ทานองเดียวกนั กบั พระพุทธศาสนา เช่น การทรงโปรดให้หล่อ ทัง้ รูปพระอิศวร พระพิฆเณศ พระเทวกรรม และพระพุทธรปู เปน็ ต้น ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี (๑) “เดือนยี่ปีวอก พ.ศ.๒๑๙๙ บ่าเพ็ญพระราชกุศลนานาประการ และให้หล่อรูปพระอิศวร เป็นเจา้ ยืน สูงศอกคบื มีเศษพระองค์หน่ึง รูปพระษิวาทิตย์ยืนสูงศอกมีเศษพระองค์หนึ่ง รูปมหาวิคเนศวรพ ระองค์หน่ึง รูปพระจันทรธรณีพระองค์หนึ่ง และรูปพระเจ้าท้ังสี่พระองค์นี้ สวมด้วยทองนพคุณและเคร่ือง อาภรณ์ประดับนน้ั ถมราชาวดี ประดบั แหวนทกุ พระองค์ไวบ้ ูชาส่าหรบั การพระราชพธิ ี๑๓๘ ๑๓๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๒๙๒. ๑๓๘ เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า ๓๐๐.

๕๘ “ปีวอก พ.ศ.๒๑๙๙ นั้น ตรสั ให้หลอ่ รปู พระเทวกรรม สูงประมาณศอกมีเศษพระองค์หน่ึง สวมทองเครอ่ื งอาภรณป์ ระดับแหวนถมราชาวดี (๒) “พ.ศ.๒๒๐๐ ตรัสใหห้ ลอ่ พระเทวกรรมทองยืนสูงศอกหนึ่งหมุ้ ด้วยทองเหนือ”๑๓๙ (๓) “ประกอบด้วยศรทั ธาให้สถาปนาพระพุทธปฏิมาห้ามสมุทรพระองค์หนึ่งหุ้มทอง และทรง อาภรณป์ ระดับดว้ ยแหวนอนั มีค่า ทรงพระนามสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์สูง ๔ ศอกคืบมีเศษท้ัง ฐาน แล้วก็ทรงพระราชศรัทธาตรัสให้สถาปนาพระพุทธปฏิมาพระองค์หน่ึง หล่อด้วยทองนพคุณท้ังแท่ง ทรงพระนามสมเด็จบรมตรีภพนาถห้ามสมุทร”๑๔๐ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) สะท้อนให้เห็นวา่ สมเด็จพระนารายณ์ทรงนับถือเทพต่าง ๆ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ด้วย (๒) พระบรมไตรโลกนาถ และสมเดจ็ พระบรมตรีภพนาถเป็นพระพุทธรูปทรงอาภรณ์แบบ กษัตรยิ ์หรือแบบจกั รพรรดิ ไดร้ ับคติมาจากมหายาน ๒.๑๘.๓ สังฆราชกัมพูชามาขอพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร เกียรตศิ ัพทข์ องสมเดจ็ พระนารายณ์ได้แผ่ขจายไปถึงเมืองอ่ืน ๆ ในพระราชพงศาวดารได้ระบุ ถึงเมือง หรือผู้ปกครองเมืองเวลาน้ัน ได้เข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร หรือสวามิภักดิ์ เช่น กัมพูชา, มะ รีอลา,พระยากดุกศา, นางพระยาอาแจ เมืองมชลิปตา, ญาณมหมัด, พระยาแสนหลวงเมืองเชียงใหม่ เป็น ตน้ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “สังฆราชสคุ นธอ์ ันเปน็ ญาตสิ มัครพรรคพวกด้วยนักจันท์กับด้วยนักนี และนักวรอุทัย และ นักอ่าผู้หลาน ท้ังนี้หาที่พ่านักไม่ได้ ก็น่าสมัครพรรคพวกทั้งหลายมาสู่พระราชสมภาร ทรงพระกรุณาโปรด พระราชทานเครื่องอปุ โภคบริโภคทัง้ ปวงแกส่ งั ฆราชสคุ นธ์ และญาตสิ มัครพรรคพวกทั้งปวง ซึ่งมาสู่พระราช สมภารนั้น ไดร้ บั พระราชทานโดยอนั ดับถ้วนทง้ั ปวง และใหส้ ังฆราชสุคนธ์อยูอ่ ารามวัดพระนอน”๑๔๑ ข. ขอ้ สงั เกตเพม่ิ เติม ๑๓๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๓๐๒. ๑๔๐ เร่ืองเดียวกัน, หนา้ ๓๐๓. ๑๔๑ เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ ๓๐๓.

๕๙ ช่วงน้ีกัมพูชามีศึกสงคราม ภายใน ทาให้มีการอพยพของชาวกัมพูชามาพ่ึงพระบรมโพธิ สมภาร ๒.๑๘.๔ การเสยี่ งทายต่อหนา้ พระพุทธสิหงิ ค์ จีนฮ่อยกพลมาตีเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าเชียงใหม่ประเมินกาลังแล้วเห็นว่าจะสู้ไม่ไหว จึง แสวงหาพันธมิตร และยอมสวามิภักดิ์หากเจ้าเมืองใดสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลในยามน้ีได้ เบ้ืองต้นจึงได้ กระทาการเสี่ยงทายตอ่ หนา้ พระพทุ ธสิหงิ ค์ ให้พระพทุ ธสิหงิ คไ์ ด้ช่วยช้ีทาง ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ชาวจีนฮ่อยกร้ีพลมาจะล้อมเอาเมืองเชียงใหม่ และพระยาแสนหลวง และชาวเมือง เชยี งใหม่ทง้ั ปวงหาทพ่ี ่ึงพา่ นักไม่ได้ จงึ เสี่ยงทายในพระอารามพระพุทธสิหิงค์ซ่ึงอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่น้ัน ว่า ถา้ ประเทศใดจะเป็นท่ีพ่ึงพ่านักได้ไซร้ ขอพระพุทธเจ้าส่าแดงให้เห็นประจักษ์ และพระพุทธสิหิงค์นั้นก็บ่าย พระพักตรม์ ายังกรุงเทพพระมหานคร๑๔๒ ข. ขอ้ สงั เกตเพิม่ เติม ในสถานการณค์ บั ขัน คนเรามักนกึ ถึงสิ่งศกั ดท์ิ ตี่ นเคารพศรทั ธา และมักตามมาด้วยการบน บานศาลกล่าว ๒.๑๘.๕ การใช้พระเป็นทูตถือสาสน์ การใช้พระสงฆ์เป็นทูตสังเกตการณ์ทัพของข้าศึก แม้จะไม่ใช่กิจของสงฆ์โดยตรง แต่ในคราว บ้านเมืองตกอยู่ในสถานการณ์ขับขัน ท่านก็ไม่ได้เก่ียง เมื่อคราวทัพหลวงขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่ เจ้าเมือง เชียงใหมก่ ใ็ ชว้ ธิ นี เ้ี พอื่ ยับย้ัง หรอื ถว่ งเวลารอกองทพั จากพมา่ หนนุ มาชว่ ย ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “เมืองลา่ พนู และเมอื งเชียงใหม่คิดอบุ ายลอ่ ลวงหนว่ งกองทัพไทยไว้จะให้งดช้าลง จะได้คิด กระท่าการป้องกันเมืองล่าพูน เมืองเชียงใหม่ไว้ท่ากองทัพพม่าจะได้มาช่วยทัน จึงนิมนต์พระสงฆ์ผู้เป็น ปราชญ์ฉลาดเจรจา ๔ รปู ให้ถือหนงั สอื ไปหากองทพั ไทย”๑๔๓ ข. ข้อสงั เกตเพ่ิมเตมิ การใช้พระสงฆ์เป็นทูตในลักษณะนี้เช่นนี้ มีให้เห็นบ่อยครั้ง เมื่อครั้งพม่ายกทัพมาถึงเมือง พิษณุโลก เจ้าเมืองพิษณุโลกก็ทากระทาในลักษณะเดียวกัน และเม่ือทัพพม่ายกมาถึงศรีอยุธยา พระมหากษัตรยิ ์ไทยในสมยั นน้ั ก็กระทาในลักษณะเดียวกัน ๑๔๒ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๓๐๖. ๑๔๓ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๓๑๔.

๖๐ ๒.๑๘.๖ เสดจ็ สักการะพระพุทธชินราช และพระชนิ สีห์ทเี่ มอื งพิษณโุ ลก พระพทุ ธชนิ ราช และพระพุทธชนิ สีห์ เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกมาทุกยุคทุกสมัย พระราช พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาระบุถึงการเสด็จพระราชดาเนินไปนมัสการ และการจัดให้มีการมหรสพสมโภช หลายรัชกาล ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “วันอาทิตย์ แรม ๓ ค่า เดือน ๑ ก็เสด็จด้วยเรือพระที่นั่งสมรรถไชยไปโดยทางชลมารค สิบสี่เวนก็ถึงเมืองพระพิศณุโลก และต้ังต่าหนักต่าบลช่องตา แลถวายสักการบูชาพระชินราชพระชินสีห์ และถวายพทุ ธสมโภชดว้ ยการมหรศพสามวนั ”๑๔๔ ข. ขอ้ สงั เกตเพิ่มเตมิ ถ้าถือเอาตามนัยนี้ การจัดให้มีการมหรสพอย่างใดอย่างหนึ่ง ถือเป็นอามิสบูชา และมี ธรรมเนยี มปฏบิ ัติใหเ้ ห็นอยูเ่ นอื ง ๆ ๒.๑๘.๗ มีคนมีวชิ าชานาญในพระกรรมฐาน หลักฐานจากพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สะท้อนข้อเท็จจริงว่า มีการใช้วิชา กมั มฏั ฐาน โดยเฉพาะกสิณมาใชเ้ พือ่ ประโยชนใ์ นทางวชิ าอาคม กระทาในส่ิงทค่ี นปกติท่ัวไปไม่สามารถทาได้ ผู้ได้วิชาเหล่าน้ี จะเป็นท่ยี กย่องของคนในสงั คม ในการเยอื นฝรง่ั เศสครั้งแรก จึงมีการประกาศหาตัวบุคคลผู้ มลี ักษณะดงั กล่าวเพ่ือดูแลคุ้มครองคณะท่จี ะเดินทางไป ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “นายปานกราบทูลพระกรุณารับอาสาจะไปเมืองฝรั่งเศสสืบให้ได้ราชการตามรับสั่ง แล้ว ออกมาจัดแจงการท้ังปวงในก่าปั่น ให้เท่ียวหาคนดีมีวิชาก็ได้อาจารย์คนหนึ่ง ได้เรียนในพระกรรมฐาน ช่านาญในกระสินแล้วรูว้ ชิ ามาก”๑๔๕ ข. ขอ้ สังเกตเพ่ิมเติม (๑) การใชว้ ิชาพระกรรมฐานเป็นเคร่ืองมือในการทากิจท่อี ยู่เหนือวิสัยธรรมดา มีให้เห็นอยู่ เนอื ง ๆ ตราบเทา่ ปัจจบุ นั (๒) ฉบับพระราชหตั ถเลขาระบวุ ่าท่านใชว้ าโยกสินช่วยเรอื ให้พ้นจากวังน้าวนใหญ่ (๓) รัชสมยั ของพระนารายณ์ ทรงชุบเลย้ี งทหารดีท่มี วี ชิ าลกั ษณะอยา่ งนไี้ วม้ าก ๑๔๔ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เลม่ ๒, หน้า ๔๖. ๑๔๕ เร่ืองเดียวกัน, หนา้ ๖๑.

๖๑ ๒.๑๘.๘ การลาสิกขาของพระภกิ ษสุ ามเณรเพ่อื รบั ราชการ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานเรื่องการส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรลาสิกขาเพ่ือรับราชการ โดยผู้ทีเ่ ป็นตน้ คดิ เรื่องนี้คือเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ ซ่ึงเป็นขุนนางต่างชาติที่ได้เติบโตในราชสานักเป็นที่ไว้วาง พระราชหฤทยั ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “เจ้าพระยาวิไชเยนทร์เอาใจใส่ในราชกิจเปนอันมาก และสึกเอาภิกษุสามเณรมากระท่า ราชการคร้งั น้นั ก็มาก”๑๔๖ ข. ขอ้ สังเกตเพมิ่ เติม เจ้าพระยาวิไชเยนทร์เป็นชาวต่างชาติ แต่ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรลาสิกขามารับ ราชการ ทาให้เป็นท่เี พง่ เลง็ เกรงว่าจะกระทบตอ่ พระศาสนา ๒.๑๘.๙ เสดจ็ นมัสการพระพทุ ธบาทเป็นประจาทุกปี ท้งั ยังทรงให้ปฏสิ ังขรณ์มณฑป การเสดจ็ นมัสการพระพทุ ธบาท กระทาเปน็ ประเพณีมาหลายช่ัวรัชกาล สมเด็จพระนารายณ์ก็ ทรงมคี วามเลื่อมใส และมักจะเสด็จนมัสการ บางปีโปรดใหม้ กี ารบูรณปฏิสังขรณ์ และโปรดให้มีการมหรสพ สมโภช ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “ครงั้ น้นั พระบาทบรมนารถบรมบพติ รพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จทรงพระราชด่าเนินข้ึนไป นมัสการพระพุทธบาททุกปี ๆ มิได้ขาด แลเสด็จประทับอยู่ ณ พระราชนิเวศธารเกษม ทรงพระกรุณาให้ เลน่ การมหรศพถวายพระพทุ ธสมโภชสามวนั ตามบรุ าณราชประเพณ.ี ..แลว้ ทรงพระกรุณาให้ปฏิสังขรณ์พระ มรฎป (มณฑป-ผู้วิจัย) พระพุทธบาทที่ช่ารุดปรักนั้นแล้วเสร็จ และพระองค์บ่าเพ็ญพระราชกุศลเป็น สาสนูปประถมั ภกโดยอเนกนปุ ระการ”๑๔๗ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เตมิ แสดงถึงพระราชกิจ และพระราชศรัทธาที่มตี อ่ พระพุทธศาสนา สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๓ (สมเด็จพระนารายณ์) มีบันทึกเก่ียวข้องกับ พระพุทธศาสนา ๑๐ เรื่อง ได้แก่ การพระราชพิธีพระศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่, การหล่อรูปเคารพในศาสนา พราหมณ์, การหล่อพระบรมไตรโลกนาถ, สังฆราชกัมพูชามาขอพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร, การทาพิธีเสี่ยง ทายต่อหน้าพระพุทธชินราช และพระพุทธสิหิงค์, การใช้พระเป็นทูต, การใช้วิชาพระกัมมัฏฐานเพ่ือ ๑๔๖ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๑๐๓. ๑๔๗ เรื่องเดียวกนั , หนา้ ๑๓๙.

๖๒ ประโยชน์แก่บ้านเมือง, พระภิกษุสามเณรลาสิกขารับราชการ, และ การเสด็จพระราชดาเนินไปนมัสการ พระพุทธบาทเป็นประจาทกุ ปี ๒.๑๙ รชั กาลสมเด็จพระมหาบุรษุ (สมเด็จพระเพทราชา) สมเด็จพระมหาบรุ ุษ (สมเด็จพระเพทราชา) เป็นกษัตรยิ อ์ งค์ที่ ๒๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงดารง อยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. ๒๒๒๕-๒๒๔๐ รวมระยะเวลา ๑๕ ปีเศษ ระหว่างนี้มีเหตุการณ์เก่ียวกับ พระพทุ ธศาสนาดงั รายละเอยี ดตามลาดับต่อไปนี้ ๒.๑๙.๑ สถาปนาวดั บรมพุทธาราม วัดพระยาแมน สมเด็จพระเพทราชาทรงสถาปนาวัดบรมพทุ ธาวาสข้ึนเม่ือ พ.ศ.๒๒๓๒ มีฐานะเป็นอาราม หลวงฝ่ายคามวาสี สว่ นวดั พระยาแมน ไม่ปรากฏนามผสู้ รา้ ง และสร้างในรัชกาลใด ถือเป็นวัดสาคัญวัดหนึ่ง เพราะเปน็ วัดทสี่ มเดจ็ พระเพทราชาเสดจ็ ออกผนวชก่อนทจ่ี ะได้ข้ึนครองราชย์ สมเด็จพระเพทราชา เม่ือครั้งผนวชอยู่ เคยได้รับการพยากรณ์จากพระอธิการวัดพระยา แมนว่าภายภาคหน้าจะได้ข้ึนครองราชย์ เม่ือได้ขึ้นครองราชย์ จึงได้ระลึกถึงบุญคุณของอาจารย์ จึงได้ อุปถัมภ์วัดแห่งน้ีเป็นกรณีพิเศษหลายประการ เช่น ต้ังพระราชกัลปนาส่วนถวายพระอาราม สถาปนาพระ อาจารยเ์ ป็นพระราชาคณะ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี (๑) “ฝา่ ยสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวจงึ ทรงพระราชด่าริว่า บ้านป่าตองเป็นที่สิริราชมหามงคลสถาน ควรอาตมจกั สถาปนาเป็นพระอาราม จึงด่ารสั สงั่ ให้สถาปนาสร้างก่าแพงแก้ว พระอุโบสถ วิหาร การเปรียญ เสนาสนกุฎี ด่ารัสสั่งให้หม่ืนจันทราชช่างเคลือบ ให้เคลือบกระเบื้องสีเหลืองมุงหลังคาพระอุโบสถ วิหาร การเปรียญ จึงถวายพระนามอารามชื่อวัดบรมพุทธาราม เจ้าอธิการซึ่งให้นิมนต์เข้ามาอยู่นั้น ตั้งให้เป็น พระราชาคณะช่ือพระญาณสมโพธิ ทรงพระราชูทิศเป็นพระรัตนตรัยบูชา พระราชกัลปนาส่วยข้ึนแก่พระ อารามน้นั เปน็ อนั มาก คร้ันเสรจ็ ต้งั สมโภชฉลอง ๓ วัน ๓ คืน”๑๔๘ (๒) “ศักราช ๑๐๕๖ ปีจอฉอศก (พ.ศ.๒๒๓๗) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชด่าริเป็นมูล ธรรมกตัญญภู าพถงึ คณุ านคุ ณุ พระอาจารย์วัดพระยาแมนว่า ตั้งแต่คร้ังอาตมาอุปสมบทเป็นภิกขุภาวะอยู่ใน อารามนั้น พระอาจารยไ์ ดส้ ่ังสอนพระศาสนาพรหมจรรย์เปน็ อันมาก ประการหน่ึงก็ได้ท่านายเราไว้ว่า จะได้ ผ่านสมบัติเอกราช....แล้วมีพระราชบิดาบริหารด่ารัสส่ังให้สถาปนาพระอุโบสถ วิหาร การเปรียญ เสนาสน กุฎี ขจิตรจนาเป็นสามีทานแล้ว ทรงพระราชอุทิศถวายจตุปัจจัยแก่พระอาจารย์ และพระสงฆ์ส่าหรับพระ อารามเปน็ อันมาก คร้นั เสร็จสมโภชฉลอง ๗ วัน ๗ คนื ”๑๔๙ ๑๔๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๓๑๙. ๑๔๙ เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ ๓๒๑.

๖๓ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเตมิ (๑) ฉบับพระราชหตั ถเลขาว่า บา้ นหลวง ตาบลป่าตอง๑๕๐ (๒) วดั พระบรมพทุ ธาราม เป็นวดั ฝา่ ยคามวาสี (๓) ฉบับพระราชหตั ถเลขาว่า การสรา้ งอารามนนั้ ใชเ้ วลา ๓ ปกี ว่าจึงสาเรจ็ ภาพประกอบ: http://www.holidaythai.com/Thailand-Attractions-1160.htm ๒.๑๙.๒ พระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์ สมเด็จพระเพทราชา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระ บรมศพของสมเดจ็ พระนารายณ์อย่างสมพระเกียรติ มีการเล่นมหรสพถวายท้ัง ๗ วัน ๗ คืน ครั้นถวายพระ เพลิงเสรจ็ แล้วกน็ าพระองั คารไปลอยนา้ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “มีพระบรมราชโองการด่ารัสส่ังเจ้าพนักงานให้แต่งการพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์ เป็นเจ้า พระเมรุราชใหญ่สูง ๒ เส้น ขื่อ ๘ วา พระเมรุทิศ พระเมรุแซกขื่อ ๕ วา ให้อลังการประกอบแก้ว กาญจนารจนาแนมแกมกระสันรุ่งเรืองอร่ามวโรภาศ ส่าหรับขัตติยราชประเพณี แล้วจึงให้เชิญพระโกส ทองค่า ซ่ึงใส่พระบรมศพสู่มหาพิชัยราชรถอลงกตกอปรด้วยสุพรรณมาศมณีศรี...คร้ันได้มหุดิวาราชฤกษ์ ดีดตอี งึ อินทเพรฆี ้องชัย ท้ังแต่สังข์เสียงพิณพาทย์กึกก้อง เสียงคณานางก็ร้องร่าโศกาลัย ละห้อยหวนครวญ วิลาปร่าพันต่าง ๆ ก็เคลื่อนมหาพิชัยราชรถไปสู่พระเมรุยังหน้าพระศพ มีเครื่องเล่นสมโภชพร้อมท้ัง ๗ วัน ๗ คืน พระสงฆส์ ดับปกรณเ์ สรจ็ ถวายพระเพลิงแล้วอัญเชิญพระอัฐิเข้าสู่พระโกศ เชิญมาไว้โดยท่ีอันสมควร จงึ แหพ่ ระอังคารไปลอยยงั กระแสอุทกธารา”๑๕๑ ข. ข้อสงั เกตเพิม่ เติม ๑๕๐ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๑๐๓. ๑๕๑ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๑๙.

๖๔ (๑) คตพิ ระสงฆ์สดปั กรณ์ บรรจอุ ัฐิ ลอยพระอังคาร มมี าตราบเทา่ ปจั จุบนั (๒) งานศพบางแห่งมีการนามหรสพมาเล่นด้วย เข้าใจว่าน่าจะถือคติจากงานศพเจ้านาย ชัน้ ผู้ใหญ่ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระมหาบุรุษ (สมเด็จพระเพทราชา) มีบันทึกเรื่องราวเก่ียวกับ พระพุทธศาสนา ๓ เรื่อง ได้แก่ การสถานปนาวัดบรมพุทธาราม, การสถาปนาวัดพระยาแมน, และคติ นิยมเกย่ี วกับการพิธศี พ ๒.๒๐ รชั กาลสมเดจ็ พระสรรเพ็ชที่ ๘ (สมเดจ็ พระเจ้าเสือ) สมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒๙ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรง ดารงอยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ.๒๒๔๐-๒๒๔๙ รวมระยะเวลา ๙ ปี ระหว่างนี้มีเหตุการณ์เก่ียวกับ พระพุทธศาสนาดงั รายละเอยี ดตามลาดบั ตอ่ ไปน้ี ๒.๒๐.๑ การพธิ พี ระบรมศพ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระศพในสมัยพระเจ้าเสือ มีหลักฐานระบุไว้ใน พงศาวดารจานวน ๑ คร้ัง ได้แก่การพระราชทานเพลิงพระบรมศพพระเพทราชา กษัตริย์องค์ที่ ๒๘ แห่ง กรุงศรีอยุธยา ทาเนยี มการพระราชพธิ ีถวายพระเพลงิ ถือคตติ ามโบราณราชประเพณีทุกประการ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ณ เดือน ๕ ปีมะแมตรีศก ศักราช ๑๐๖๓ (พ.ศ.๒๒๔๔) จึงให้เชิญพระบรมศพขึ้นบน พระมหาพิชัยราชรถ แห่แหนเป็นกระบวนไปเข้าพระเมรุมาศ มีการมหรสพและพระสงฆ์ ๑๐,๐๐๐ สดับปกรณ์ค่ารบ ๓ วันตามอย่างทุกคร้ัง แล้วถวายพระเพลิง เชิญพระอัฐิโกศน้อยแห่เป็นกระบวนเข้ามา บรรจไุ ว้ทา้ ยจระน่าพระวิหารใหญ่วัดพระศรีสรรเพชญ์ แล้วสมเด็จพระพันปีหลวงมีครรภ์แก่อยู่ก็ขึ้นไปตาม ด้วย จ่ึงไปคลอด ณ โพธิ์ทับช้าง เอารกขึ้นไปฝังไว้ ณ โพธ์ิทับช้าง ครั้นเสด็จขึ้นราชาภิเษกแล้ว จึงทรงพระ กรุณาสัง่ ใหอ้ ัครเสนา ใหก้ ะเกณฑค์ นไปสรา้ งวัด ณ โพธิ์ทับช้าง”๑๕๒ ข. ขอ้ สงั เกตเพิม่ เติม (๑) งานศพเจา้ นายชั้นสงู นยิ มใหม้ ีการเล่นมหรสพ และประกอบพธิ ยี ่งิ ใหญ่ (๒) วดั โพธ์ิทับชา้ ง หรือโพธ์ิประทับช้าง ปัจจบุ นั อยู่ในจงั หวดั พจิ ิตร (๓) ทรงพระราชอทุ ศิ ถวายเลขข้าพระไวส้ าหรับอุปัฏฐากพระอาราม ๒๐๐ ครัว และถวาย พระกลั ปนาขน้ึ แก่พระอารามตามธรรมเนยี ม ๑๕๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบบั พันจันทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๓๔๓.

๖๕ ๒.๒๐.๒ การเสด็จพระราชดาเนินไปนมัสการพระพทุ ธบาท ในรัชกาลของสมเด็จพระสรรเพ็ชที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) มีการเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท ทรงราพระแสงดาบถวายเป็นพุทธบูชา โปรดให้มีการมหรสพสมโภช และถวายการบูชาพระพุทธบาทด้วย วธิ ีการตา่ ง ๆ ตามประเพณที ีเ่ คยทามาในรชั กาลก่อน ๆ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี (๑) “สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชโองการด่ารัสส่ังสมุหนายก ให้เจ้าพนักงานเตรียม ช้าง ม้า โค เกวียน และการสมโภช จะไปนมัสการพระพุทธบาท ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๓ แรม ๕ ค่า ปีขาลนพศก เพลาตี ๑๑ ทุ่ม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรือพระที่น่ังกิ่ง เรือพยุหยาตราข้าละอองท้ังปวง พร้อมตามอยา่ ง” ๑๕๓ (๒) “สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงขับพระคชาธารมาเถิงตรงหน้าลานพระเจ้า ทรงร่าพระ แสง ๓ เท่ียวเป็นพุทธบูชาแล้ว ตรัสเรียกนายช้างเข้ามาผัดพานบูชาพระพุทธบาทลายลักษณ์เจ้าถ้วน ๓ กลับ แล้วยอพระกรประชุมทัศนัขสโมธานกับพระเศียร กราบถวายนมัสการลงเหนือตระพองพระคชาธาร ถวายวนั ทนะประณามแล้วกข็ ับพระคชาธารไปสพู่ ระต่าหนกั ธารเกษม” ๑๕๔ (๓) “ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการด่ารัสสั่งให้เจ้าพนักงานท่าราชวิถีทางเสด็จ แตพ่ ระต่าหนักธารเกษมจนถึงลานพระพุทธบาท ให้ปราศจากหลักตอลุ่มดอน แล้วให้เอาน้่าประพรมทุบตีมิ ให้ผงฝุ่นละอองฟุ้งข้ึนได้ กรมพระนครบาลกับขุนโขลนก็ท่าตามรับส่ัง ครั้นเพลาเช้าให้เครื่องเล่นสรรพสิ่ง กรม สมโภชขึน้ พรอ้ มกนั ถวายเปน็ พทุ ธบชู า” ๑๕๕ ข. ข้อสังเกตเพมิ่ เติม (๑) การเสด็จพระราชดาเนินไปนมัสการพระพุทธบาทในคร้ังน้ี ทรงบาเพ็ญพระราชกุศล ถวายเป็นพุทธบูชาหลายประการด้วยพระองค์เอง เช่น ทรงจุดพเยียมาศแจ่มดวงผกา ธาดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด พะเนยี งนอ้ ยใหญ่ รวมถึงการราพระแสงถวาย (๒) การเสด็จไปครั้งนี้ โปรดให้มีการสมโภชพระพุทธบาทเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน จึงเสด็จ พระราชดาเนินกลับพระนคร ๑๕๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบบั พันจนั ทนมุ าศ (เจิม), หน้า ๓๒๔. ๑๕๔ เร่ืองเดียวกนั , หนา้ ๓๒๔-๓๒๕. ๑๕๕ เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ ๓๒๕.

๖๖ ๒.๒๐.๓ ตรัศน้อยราชบุตรผนวช ๕ พรรษา จึงลาผนวชเพ่ือศึกษาศิลปศาตร์ช้างม้าสรรพ ยทุ ธ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “ครั้งเม่ือปีมโรงโทศกน้ัน ตรัศน้อยราชบุตรพระชนม์ได้ค่ารบ ๑๓ ก็ให้กระท่ามหามงคล พิธีโสกันต์พระราชบุตร คร้ันโสกันแล้ว จึงให้ผนวชเป็นสามเณรอยู่ในส่านักพระพุทธโฆษาจารย์ราชาคณะ และตรัสน้อยนั้นทรงพระสติปัญญาเป็นอันมาก ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอันดี และทรงเรียนพระปริยัติไตร ปฎิ กธรรมและคัมภรี ์เลขยนั ตม์ นตรคาถาสรรพวทิ ยาคุณต่าง ๆ”๑๕๖ ข. ข้อสงั เกตเพิ่มเตมิ (๑) นับเป็นธรรมเนียมการบวชเรียนทส่ี บื ทอดมาจนกระทงั่ ถึงปัจจุบนั (๒) ตรัศน้อยเม่ือลาผนวช ทรงศึกษาเล่านี้สรรพวิชาต่าง ๆ แล้ว พระชนมายุครบ ก็ได้ อปุ สมบทอีกครั้ง ๒.๒๐.๔ วัดโคกพระยาถกู ใชเ้ ป็นสถานทปี่ ระหารชีวติ ตรัสน้อยเป็นที่รักใคร่ของประชาชน ยามเสด็จออกทรงม้า ณ ท้องสนามหน้าพระที่นั่ง จักรพรรดิ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอท้ังสองพระองค์เห็นประชาชนแสดงความรักต่อตรัสน้อยเช่นน้ันก็เกรงว่า ภายภาคหน้าถ้าปล่อยไว้ก็อาจจะได้เป็นใหญ่ จึงถูกได้วางแผนสังหารตรัสน้อยเสียด้วยพระราชโองการ ปลอม ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี ยา”๑๕๗ “ลวงตรสั นอ้ ยดว้ ยราชโองการมาสงั หารด้วยท่อนจันทร์ แล้วเชิญศพไปเสีย ณ วัดโคกพระ ข. ข้อสงั เกตเพมิ่ เตมิ ความในเร่ืองน้ีต้องการนาเสนอข้อเท็จจริงอย่างที่เคยเสนอไปแล้วเบ้ืองต้นคือ การใช้วัด เป็นสถานท่ีในการสาเร็จโทษกษัตริย์ หรือเชื้อพระวงศ์ในสมัยต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิง วัดโคกพระยา ถือ วา่ เปน็ วดั ทปี่ รากฏชื่อเกือบทุกครงั้ ที่มเี ร่อื งลกั ษณะอยา่ งนี้ ๑๕๖ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๑๗๕. ๑๕๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๓๔๔.

๖๗ ภาพประกอบ: https://www.gotoknow.org/posts/491930 ๒.๒๐.๕ ฟ้าผ่ายอดพระมณฑปพระสมุ งคลบพติ ร เกิดฝ่าผ่ายอดมณฑปพระสุมงคลบพิตร ทาให้เพลิงลุกไหม้ส่วนด้านบนพังลงมาถูกเศียร พระหกั ตกลงมา เหตุการณ์คร้งั นเ้ี ปน็ เหตใุ ห้ทรงพโิ รธถงึ กบั ส่งั จาพระเจา้ ลูกเธอเปน็ ระยะเวลา ๓ เดอื น ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี (๑) “ครั้น ณ ปีระกาตรีศก ศักราช ๑๐๖๕ (พ.ศ.๒๒๔๖) ไฟฟ้าลงติดยอดมณฑปพระวิหาร สุมงคลบพติ ร ไหม้เคร่อื งบนโทรมลง ถกู พระเศียรหกั เพยี งพระศอ ตกลงมาต้งั อยู่ ณ พ้ืนพระวิหาร”๑๕๘ (๒) “ในปีมะเมียจัตวาศกนั้น ทรงพระกรุณาให้ช่างต่ออย่างพระมรฎปพระพุทธบาท ให้มียอด ห้ายอด ให้ย่อเก็จมีบันแถลงแลยอดแทรกด้วย นายช่างต่ออย่างแล้วเอาเข้าทูลถวาย จึงมีพระราชด่ารัศสั่ง ให้ปรุงเคร่ืองบนพระมรฎกตามอย่างนั้นเสร็จ จึงเสร็จพระราชด่าเนินโดยขบวนพยุหบาตราชลมารค สถลมารค ขึ้นไปไปนมัสการพระพทุ ธบาทตามอย่างพระราชประเพณมี าแตก่ ่อน”๑๕๙ ข. ข้อสังเกตเพม่ิ เติม (๑) ทรงให้ช่างรื้อสร้างใหม่ แปลงเป็นพระมหาวิหาร เสร็จแล้วจึงให้มีการฉลอง ๓ วัน และทาบุญกบั พระสงฆ์หมมู่ าก (๒) พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ที่ทะนุบารุงพระพุทธศาสนา และทรงบาเพ็ญ พระราชกุศลอยเู่ นือง ๆ ๑๕๘ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๔๔. ๑๕๙ พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๑๗๗.

๖๘ (๓) ในรัชสมัยของพระองค์ ได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทเป็นประจาทุกปี บางครั้ง ก็ โปรดใหม้ ีมหรสพสมโภชติดต่อกนั หลายวนั สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) มีบันทึกเรื่องราวเก่ียวกับ พระพุทธศาสนา ๕ เร่ือง ได้แก่ ทาเนียมการพระราชพิธีพระบรมศพ และทรงสร้างวัดโพธิ์ทับช้างเป็น อนุสรณ์การประสูติ, ตรัสน้อยผนวช ๕ พรรษา, การใช้วัดโคกพระยาเป็นที่ประหารชีวิต, ฟ้าผ่ายอดมณฑป พระสมุ งคลบพติ ร และการปฏิสงั ขรณ์, และการสเด็จนมัสการพระพทุ ธบาท และสมโภชพระพทุ ธบาท ๒.๒๑ รัชกาลสมเดจ็ พระสรรเพ็ชที่ ๙ (สมเดจ็ พระเจา้ ท้ายสระ) รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) เป็นกษัตริย์องค์ท่ี ๓๐ แห่งกรุงศรี อยุธยา ทรงดารงอยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ.๒๒๕๒-๒๒๗๕ รวมระยะเวลา ๒๔ ปี ระหว่างน้ีมี เหตกุ ารณเ์ ก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนาดงั รายละเอียดตามลาดับต่อไปนี้ ๒.๒๑.๑ การจัดการพระบรมศพของพระมหากษัตรยิ ์ รายละเอียดของพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ทาให้เห็นถึงคตินิยมหลาย ประการในสังคมไทยสมยั อยุธยา และสะท้อนมาถึงปัจจุบัน เช่น การแห่อัฐิไปบรรจุไว้ในศาสนสถานมีวิหาร หรือเจดีย์ เปน็ ต้น ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ (๑) “ครัน้ ณ วันพฤหสั บดี ปีฉลู ศกั ราช ๑๐๖๘ (พ.ศ.๒๒๔๙) ให้เชิญพระบรมโกศขึ้นบนพระ มหาพิชัยราชรถแล้ว เสนอพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตสพ่ังพร้อมแห่แหนพระบรมศพ ไปตามรถยาราชวัติเข้าสู่ พระเมรุมาศให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ มีการมหรสพ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ค่ารบ ๓ วัน แล้วถวาย พระเพลิง คร้นั ดบั พระเพลิงแล้ว จึงนิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์อีก ๑๐๐ รูป เก็บพระอัฐิใส่พระโกศน้อย แห่ แหนไปบรรจุไว้ท้ายจระน่าพระวิหารใหญ่วัดพระศรีสรรเพชญ์ และพระมณฑปพระพุทธบาท ปิดทอง ประดับกระจกฝาผนังแล้ว เสด็จพระราชด่าเนินข้ึนไปฉลองสมโภชพระพุทธบาท ๗ วัน พระสงฆ์ฉัน ๕๐๐ รูป ถวายจวี รองค์ละผืน และเครื่องไทยทานทกุ รปู ”๑๖๐ (๒) “ณ ปีเถาะ สมเด็จพระอัยกีเจ้า กรมพระเทพามาตย์เสด็จนิพพาน จ่ึงมีพระราชโองการ ด่ารัสเหนือเกล้า ฯ สั่งอัครมหาเสนาธิบดี ให้ท่าพระเมรุมาศถวายพระเพลิง พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ตามอย่างทุกครง้ั แลว้ ”๑๖๑ (๓) ๑๖๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๓๔๗. ๑๖๑ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๔๘.

๖๙ “เจ้ากรมหลวงโยธทพิ เสด็จนิพพาน ทรงพระกรณุ าดา่ รัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ให้ท่า พระเมรุมาศหน้าพระศพ ขื่อ ๕ วา ๒ ศอก ครั้นท่าการพระเมรุมาศส่าเร็จแล้ว ให้เชิญพระศพขึ้นบนพระ มหาวิชัยราชรถ แห่แหนไปด้วยดุริยางคดนตรีแตรสังข์ฆ้องกลองไปยังพระเมรุมาศ และท้ิงทานต้น กัลปพฤกษ์ และให้เล่นการมหรสพ พระสงฆส์ ดบั ปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ค่ารบ ๓ วนั แล้วถวายพระเพลิง ครั้นดับ พระเพลิงแล้ว แจงพระรูป พระสงฆ์สดับปกรณ์อีก ๑๐๐ รูป เก็บพระอัฐิใส่พระโกศน้อย แห่เข้ามาบรรจุไว้ ทา้ ยจระนา่ ณ พระวิหารใหญว่ ัดพระศรสี รรเพชญ์”๑๖๒ ในการน้ี ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเตมิ อัฐิ (๑) ธรรมเนยี มพิธีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ มักทาอย่างย่ิงใหญ่ใหส้ มพระเกียรติ (๒) มที าเนียมการเล่นมหรสพในงานศพ (๓) ความนยิ มในการนาอัฐไิ ปบรรจุในศาสนสถาน บางครั้งก็สร้างสถูป เจดีย์ขึ้นใหม่เพื่อใช้ (๔) มีการนาคาว่า “นพิ พาน” มาใชก้ บั เจา้ นายช้นั ผู้ใหญ่ทเี่ สียชวี ติ (๕) “แจงรูป” น่าจะมีความหมายเดียวกับการ “แปรรูป” เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเก็บ ๒.๒๑.๒ ชาวกัมพูชาเข้ามาพึ่งพระบรมโพธสิ มภาร กัมพูชาเกิดความไม่สงบภายในประเทศ เพราะมีการแย่งอานาจกัน ทาให้ประชาชนได้รับ ผลกระทบจากการสู้รบด้วย พระสงฆ์ หรือประชาชนจึงอพยพหนีมาขอพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร พระมหากษตั รยิ ์ไทย ซึ่งกท็ รงพระกรุณาใหจ้ ดั หาสถานทอ่ี ยตู่ ามสมควร ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “นักเสด็จกับนักพระองค์ทองแตกหนี พาครอบครัวอพยพเข้ามาพ่ึงพระราชสมภาร ทรง พระกรณุ าโปรดใหไ้ ปปลูกต่าหนกั และเรอื นให้อยู่ ณ วดั ค้างคาว”๑๖๓ ข. ข้อสงั เกตเพม่ิ เติม วัดค้างคาว ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ ๑๓๘ หมู่ ๔ ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี สันนิษฐานว่า สร้างในสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยาตอนกลาง ในรัชสมัยของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ๑๖๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๓๕๑. ๑๖๓ เรื่องเดียวกัน, หนา้ ๓๔๘.

๗๐ ๒.๒๑.๓ สร้างพระตาหนกั ริมวดั พระราชประสงค์ทสี่ รา้ งพระตาหนกั ไวร้ มิ วดั จดุ มุง่ หมายเพ่ือต้องการเป็นที่สถานท่ีเสด็จไป บาเพ็ญพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ในพงศาวดารระบุไว้ว่า บางครั้งก็เสด็จไปประทับแรม ๑ เดือน บา้ ง ๒ เดอื นบา้ ง ๓ เดือนบา้ ง ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “วดั มเหยงคณ์ช่ารุดปรักหักพงั จง่ึ ทรงพระกรณุ าตรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมส่ังให้อัคร มหาเสนาธิบดีให้ปฏิสังขรณ์ข้ึนแล้ว ให้ต้ังพระต่าหนักริมวัด เสด็จพระราชด่าเนินออกไปอยู่คราวละหน่ึง เดือนบ้าง ๒ เดือนบ้าง ๓ เดือนบ้าง ฝ่ายสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ปฏิสังขรณ์วัดกุฎีดาว และตรัสส่ังให้ตั้งพระต่าหนักริมวัด ก็เสด็จออกไปอยู่คราวละหน่ึงเดือนบ้าง ๒ เดือน บ้าง ๓ เดอื นบา้ ง”๑๖๔ ข. ขอ้ สงั เกตเพิม่ เติม รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชที่ ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) ทรงบาเพ็ญพระราชกรณียกิจ ดา้ นพระพุทธศาสนามิได้ขาด ๒.๒๑.๔ การเสด็จพระราชกศุ ลในโอกาสต่าง ๆ รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) ได้เสด็จไปบาเพ็ญพระราชกุศล ต่าง ๆ อยู่สม่าเสมอ ในพระราชพงศาวดารระบุว่าได้เสด็จไปสมโภชพระพุทธบาท โปรดให้มีการมหรสพ สรา้ งวัดมเหยงค์และโปรดใหม้ กี ารฉลอง ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ (๑) “ครั้นเถิงเดือน ๔ เสด็จพระราชด่าเนินขึ้นไปสมโภชพระพุทธบาท ล้นเกล้าล้นกระหม่อม เสด็จเข้าไปนมสั การพระพุทธบาทอยู่ในพระมณฑป สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็ ตามเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทด้วย ครั้นสมโภชพระพุทธบาท ๗ วันแล้ว เสด็จพระราชด่าเนินกลับ กรงุ เทพพระมหานครศรอี ยธุ ยา”๑๖๕ (๒) “สร้างวัดมเหยงคณ์ส่าเร็จแล้ว ทรงพระกรุณาส่ังอัครมหาเสนาธิบดีให้แต่งการฉลอง สมโภชวัดมเหยงคณ์ อัครมหาเสนาธิบดีรับสั่งแล้ว ให้ตั้งโรงโขน โรงส่าเร็จแล้ว นิมนต์พระสงฆ์ ๓๐๐ รูป สวดพระพทุ ธมนต์แล้วฉนั ๓ วัน ถวายผา้ และเครื่องไทยทานทกุ รปู แลว้ มกี ารมหรสพค่ารบ ๓ วนั ”๑๖๖ ๑๖๔ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๓๔๘. ๑๖๕ เร่ืองเดยี วกนั , หน้า ๓๕๐. ๑๖๖ เรือ่ งเดยี วกัน, หน้า ๓๕๐.

๗๑ ข. ขอ้ สังเกตเพมิ่ เติม (๑) พระเจ้าอยู่หัวแต่ละพระองค์ในแต่ละสมัย ต่างก็เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทเป็น ประจาตลอดรชั กาล (๒) การเฉลิมฉลอง หรือสมโภชวัด เจดีย์ หรืออ่ืน ๆ นิยมให้มีการมหรสพเพ่ือถวายเป็น พุทธบชู า ๒.๒๑.๕ การย้ายพระพทุ ธไสยาสนว์ ัดปา่ โมกขใ์ ห้พ้นจากนา้ เซาะตลง่ิ พัง—วิธกี ารยา้ ย เนื่องจากพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกข์อยู่ริมฝั่งแม่น้า แต่ละปีน้าได้เซาะตล่ิงพังไปเร่ือย ๆ เกรงว่าเม่ือตลิ่งพัง จะทาให้องค์พระเสียหาย จึงได้นาความกราบบังคมทูลเพื่อแก้ปัญหา สุดท้ายมีรับสั่งให้ ยา้ ยไปประดษิ ฐาน ณ ท่ีปลอดภัย ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ (๑) “พระอธิการวัดป่าโมกข์มาว่าแก่พระยาราชสงครามว่า พระพุทธไสยาสน์ ณ วัดป่าโมกข์ นั้น สายน้่าแทงตลิ่งพังเข้าชิดพระวิหารอยู่แล้ว อีกสักปีหนึ่งพระก็ตกน้่าลง พระยาราชสงครามจ่ึงเอา เน้ือความเข้ากราบทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว คร้ันได้ทรงทราบแล้ว จึ่ง ทรงพระกรุณาตรัสว่า ท่าประการใด พระยาราชสงครามกราบทูลพระกรุณาว่า ยังไม่ได้เห็น จะขอ พระราชทานกราบทูลบงั คมลาไปดูก่อน คร้ันพระยาราชสงครามออกไปดูแล้ว กลบั มาเข้าเฝ้า จ่ึงกราบบังคม ทลู พระกรุณาวา่ เหน็ พอจะชลอพระพุทธไสยาสนเ์ ขา้ ไปให้พ้นพ้ืนที่ได้๑๖๗ (๒) “เจาะฐานพระเจ้าเปน็ ฟนั ปลา เจาะศอกหนงึ่ เวน้ ไว้ศอกหน่ึง เจาะให้ตลอดแนวแล้วเอาไม้ ยางหน้าศอกคืบยาว ๑๑ วา เป็นแม่สะดึงเข้าเคียงไว้แล้ว จ่ึงเอาไม้ยางท่าเป็นฟากหน้าใหญ่ศอกหน่ึง หน้า น้อยคืบหนึ่ง สอดไปตามช่องซ่ึงเจาะไว้น้ัน พาดข้ึนบนหลังตะเฆ่ทุกช่องแล้วตราดติง แล้วจ่ึงให้ขุดท่ีเว้นให้ ตลอด เอาไม้ฟากสอดทุกช่องแลว้ องคพ์ ระเจา้ จะลอยข้ึนไปอย่บู นตะเฆ่ ท่าทางท่ีจะชักไปตลอด ๔ เส้น ๑๐ วา”๑๖๘ ข. ข้อสงั เกตเพ่มิ เตมิ การย้ายพระขนาดใหญ่จากท่ีหนึ่งไปยังอีกท่ีหน่ึง ถือว่าเป็นภูมิปัญญาท่ีน่าสนใจ แสดงให้ เห็นถึงความฉลาดหลกั แหลมของคนโบราณ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) มีบันทึกเร่ืองราวเกี่ยวกับ พระพุทธศาสนา ๕ เร่ือง ได้แก่ เรื่องการจัดการพระศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่, โปรดให้ชาวกัมพูชามาพ่ึงพระ ๑๖๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบับพนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๓๕๑. ๑๖๘ เร่ืองเดยี วกนั , หน้า ๓๕๒.

๗๒ บรมโพธสิ มภารพักอยู่ท่ีวดั คา้ งคาว, การสรา้ งพระตาหนักริมวัดเพื่อสะดวกในการบาเพ็ญพระราชกุศล, การ สมโภชพระพุทธบาท และการฉลองวัดมเหยงค์, และการย้ายพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ให้พ้นจากน้ากัด เซาะตล่ิงพงั ๒.๒๒ รชั กาลสมเดจ็ พระบรมโกศ สมเด็จพระบรมโกศ เป็นกษัตริย์องค์ท่ี ๓๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงดารงอยู่ในสิริราชสมบัติ ระหว่าง พ.ศ.๒๒๗๖-๒๓๐๑ รวมระยะเวลา ๒๖ ปี ระหว่างน้ีมีเหตุการณ์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดัง รายละเอยี ดตามลาดับตอ่ ไปนี้ ๒.๒๒.๑ ถวายพระเพลงิ พระศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ในรัชกาลของสมเด็จพระบรมโกศ มีการถวายพระเพลิงพระศพเจ้านายช้ันผู้ใหญ่ ๒ ครั้ง ได้แก่ พระบรมศพสมเด็จพระเจ้าท้ายสระอยู่ และการพระศพกรมหลวงอไภยนุชิตพระราชบิดาของเจ้าฟ้า กรมขนุ เสนาพิทักษ์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ (๑) “ทรงพระกรุณาตรัสส่ังให้ท่าพระเมรุมาศขนาดน้อย ขื่อ ๕ วา ๒ ศอก พระสงฆ์ สดบั ปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ใหล้ ดเสยี เอาแต่ ๕,๐๐๐ ให้จบั การทา่ พระเมรุ ๑๐ เดือนจึงส่าเร็จ ครั้นเดือน ๔ ปีฉลู จงึ ได้เชญิ พระบรมศพออกไปถวายพระเพลงิ ณ พระเมรุแล้ว ทรงพระกรุณาตรัสว่า ท่าบุญน้อยนัก ไม่สบาย พระทัย ให้นิมนต์พระสงฆ์ขึ้นอีก ๑,๐๐๐ เป็น ๖,๐๐๐ สดับปกรณ์ ๓ วันแล้วถวายพระเพลิง แล้วดับพระ เพลงิ เกบ็ พระอฐั ิธาตุใสพ่ ระโกศนอ้ ย แหเ่ ขา้ มาบรรจไุ ว้ทา้ ยจระน่าวัดพระศรีสรรเพชญ์”๑๖๙ (๒) “คร้ัน ณ เดือน ๕ ปีมะเมียสมัมฤทธ์ิศก ศักราช ๑๑๐๐ (พ.ศ.๒๒๘๑) ท่าพระเมรุแล้ว เชิญพระศพขนึ้ มหาพิชยั ราชรถ แห่แหนเปน็ กระบวนเข้าไปในพระเมรุ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ค่ารบ ๓ วัน ถวายพระเพลิงแล้ว เก็บพระอัฐิใส่พระโกศน้อย แห่แหนเข้าไปบรรจุไว้ท้ายจระน่าพระวิหารใหญ่วัด ศรีสรรเพชญ์” ๑๗๐ ข. ข้อสงั เกตเพม่ิ เตมิ (๑) สมเด็จพระบรมโกศมีความไม่พอพระทัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระอยู่ แรกเริ่มจึงรับส่ัง ใหเ้ อาพระศพทิง้ ลงแม่นา้ แตถ่ ูกทดั ทานเอาไว้ (๒) เม่ือจาต้องจัดการพระบรมศพ จึงให้ลดจานวนพระสดัปกรณ์ลง ทั้งพระเมรุมาศก็ รับสงั่ ให้ทาขนาดเล็ก ๑๖๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๓๕๖-๓๕๗. ๑๗๐ เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๓๖๐-๓๖๑.

๗๓ ๒.๒๒.๒ การเสดจ็ บาเพญ็ พระราชกุศลในโอกาสตา่ ง ๆ หลักฐานการเสด็จไปบาเพ็ญพระราชกุศลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศปรากฏ ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับกษัตริย์พระองค์อื่นในสมัยอยุธยา แสดงให้เห็นถึงความเอาพระทัยใส่ในการ ทะนบุ ารงุ พระพทุ ธศาสนา และพระราชกรณียกิจในฐานะทรงเป็นศาสนปู ถัมภก ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “เกณฑใ์ ห้ไปท่าต่าหนักบ้านชีปะขาว และต้ังพลับพลา สัทธา ดอกไม้เพลิง โรงโขน โรงร่า ณ ทุ่งนางฟ้า ใหม้ หี กคะเมนใต่ลวด สามตอ่ โจนร่ม มีชา้ งบ่ารงู าด้วย ครั้นต่าหนักพลับพลาส่าเร็จแล้ว เดือน ๖ ข้างข้ึน เสด็จพระราชด่าเนินทรงเรือนพระท่ีน่ังก่ิง และดั้งกัน เป็นกระบวนพยุหยาตราขึ้นไปประทับ ณ ตา่ หนักวัดชปี ะขาว คร้นั รงุ่ ข้นึ เพลาบ่าย เสด็จพระราชด่าเนินข้ึนไปฟังพระพุทธมนต์ ๓ วัน แล้วจึงพระสงฆ์ ฉัน ๓๐๐ รูป ถวายผา้ และเครื่องไทยทานทุก ๆ รูป”๑๗๑ (๒) “ณ เดือน ๖ ปีมะเมีย สมั ฤทธิ์ศก ฉลองวัดหานตรา ถงึ ณ ปมี ะแมเอกศก (จ.ศ.๑๑๐๑ พ.ศ. ๒๒๘๒) เสดจ็ ขนึ้ ไปสมโภชพระพทุ ธบาท ครั้นเดือน ๑๒ ปีวอกโทศก (จ.ศ.๑๑๐๒ พ.ศ. ๒๒๘๓) พระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปสมโภช พระชนิ ราช พระชินศรี ณ เมืองพระพิษณุโลก ๓ วัน เสด็จพระราชด่าเนินขึ้นไปสมโภชพระสารีริกบรมธาตุ ณ เมอื งสวางคบุร ๓ วนั แลว้ เสด็จกลบั ยังกรุงพระนครศรอี ยธุ ยา”๑๗๒ (๓) “คร้ันเดือน ๕ ปีระกาตรีศก (จ.ศ.๑๑๐๓ พ.ศ.๒๒๘๔) ทรงพระกรณุ าสั่งกรมพระราชวังให้ ปฏสิ งั ขรณว์ ัดพระศรสี รรเพชญใ์ หม่ อน่ึงพระเศียรพระพุทธรูปพระสุมงคลบพิตร ซ่ึงหักลงตั้งอยู่น้ันให้ยกข้ึนต่อเสีย พระวิหาร น้ัน อยา่ ให้ทา่ เปน็ มณฑปเลย ใหท้ ่าเป็นหลังคาเหมอื นวหิ ารทง้ั ปวง ท่าอยู่ปีเศษจึงส่าเร็จท้ังสองวัด และพระ ท่ีน่ังพระวิหารสมเด็จช่ารุด ทรงพระกรุณาสั่งกรมพระราชวังให้รื้อลงท่าใหม่ ๑๐ เดือน จึงส่าเร็จ วัด พระรามช่ารดุ ใหป้ ฏสิ ังขรณป์ ีเศษจึงสา่ เร็จ”๑๗๓ (๔) “ปีนั้น ปฏสิ งั ขรณ์เจดยี แ์ ละอารามวดั ภูเขาทอง ๖ เดือนจึงส่าเรจ็ ”๑๗๔ (๕) ๑๗๑ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๓๕๖-๓๕๗. ๑๗๒ เรอื่ งเดียวกนั , หน้า ๓๖๐-๓๖๑. ๑๗๓ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๓๖๐-๓๖๑. ๑๗๔ เรื่องเดยี วกัน, หนา้ ๓๖๓.

๗๔ “เดอื น ๘ แรม ๑๐ ค่า พระเจ้าอยหู่ ัวทรงพระประชวรหนกั จนสะอึก ๓ ช้ัน ต่อกลางเดือน ๑๐ จงึ คลาย ครนั้ เดอื น ๑๒ ข้างขนึ้ เสดจ็ พระราชด่าเนนิ ไปสมโภชพระพุทธบาท”๑๗๕ (๖) “คร้ันสิ้นเดือน ๕ ปีมะโรงสัมฤทธ์ิศก (จ.ศ.๑๑๑๐ พ.ศ.๒๒๙๑) ได้ทองเข้ามาถวาย ๙๐ ช่ัง ผู้ร้ังเมืองกุยนั้น โปรดให้เป็นพระกุยบุรี แล้วพระราชศรัทธาให้แผ่ทองค่าร่อนเป็นประธากล้อง ปิดพระ มณฑปพระพทุ ธบาท และใหแ้ ผห่ ุ้มแต่เหมและนาคลงมา”๑๗๖ (๗) “ถึงวันแรม ๙ ค่า เสด็จไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์วัดพระนอนจักรศรี แรมอยู่เวนหนึ่ง จงึ ล่องมาตามทางแม่นา้่ นอ้ ย ขนึ้ ไปนมัสการพระพุทธไสยาสนว์ ดั ขุนอนิ ทป์ ระมลู ณ เดือน ๖ ปกี นุ สปั ตศก (จ.ศ.๑๑๑๗ พ.ศ.๒๒๙๘) ฉลองวดั พระยาค่า”๑๗๗ (๘) “ลุศกั ราช ๑๐๙๖ ปีขาลฉศกพระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่ จึงมีพระราช ด่ารัสส่ังท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายว่า วัดปากโมกนั้นการท้ังปวงส่าเร็จบริบูรณแล้ว ให้จัดแจงการฉลอง และเครือ่ งสกั การบชู าไวใ้ ห้พรอ้ มสรรพ คร้ันถึง วิสาขมาศศุกรปักษ์ดฤถีพิไชยฤกษ์ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่ หัวก็เสด็จทรงเรือพระที่น่ังไกรสรมุขพิมาน อันอลังการด้วยเคร่ืองพระอภิรุมรัตนฉัตรชุมสายบังแทรกสลอน สลับ ประดับด้วยเรือศีศะสัตวดั้งกันสรพอเนกนาวา ท้าวพระข้าทูลลอองธุลีพระบาทโดยเสด็จพระราช ดา่ เนินแหแ่ หน” ข. ขอ้ สงั เกตเพิม่ เตมิ (๑) ศาสนสถานท่ีถูกสร้างข้ึนในรัชสมัยก่อน ๆ ถึงเวลาชารุดทรุดโทรม จึงเป็นพระราช ภาระทะนุบารงุ และปฏิสังขรณ์ (๒) ทาเนียมการฉลอง สมโภช และโปรดให้มีการมหรสพได้รับการปฏิบัติสืบต่อ ๆ กันมา โดยลาดบั ๒.๒๒.๓ การใช้ผา้ สาวพตั รเ์ พือ่ หลบหลอี าญาแผน่ ดนิ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ลอบสังหารกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ แต่ไม่สาเร็จ หนีราชภัยด้วย การไปอาศยั ผา้ กาสาวพสั ตร์ ต่อมาไดร้ ับพระราชทานอภัยโทษ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี ๑๗๕ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๓๖๔. ๑๗๖ เรื่องเดยี วกัน, หน้า ๓๖๔. ๑๗๗ เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๓๖๕.

๗๕ “ครั้น ณ เดือน ๗ ปีเถาะสปั ตศก ศักราช ๑๐๙๗ (พ.ศ.๒๒๗๘) ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทรง พระประชวร ทรงพระผนวชกรมขุนสเุ รนทรพทิ กั ษ์คิดวา่ จริง จึงเสด็จเขา้ มา ใหเ้ สดจ็ ขึ้นหน้าพระชัย เจ้ากรม ขนุ เสนาพิทักษ๑์ ๗๘ “ทรงถือพระแสงดาบแอบประตูอยู่ คร้ันเจ้ากรมขุนสุเรนทพิทักษ์เสด็จเข้ามาประตูที่ เจ้ากรมเสนาพิทักษ์ ๆ ฟันถูกแต่ผ้าจีวรสังฆาฏิขาด หาเข้าไม่ เจ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์เข้าไปข้างใน เจ้ากรม ขุนสุเรนทรพิทักษ์เสด็จกลับลงจากพระชัยมา ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทอดพระเนตรเห็นจีวรสังฆาฏิจีวรขาด มพี ระราชโองการตรสั ถามว่า เป็นไรผ้าสงั ฆาฏจิ วี รจึงขาด กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ถวายพระพรว่า เจ้ากรมขุน เสนาพิทักษ์เอาพระแสงดาบฟัน จึงทรงพระกรุณาสั่งให้หาเจ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ไม่พบ ให้คนหาใน พระราชวัง และเจ้ากรมหลวงอภัยอนุชิตเสด็จออกมาตรัสกับเจ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ว่า พ่อมิช่วยก็ตาย และเจา้ กรมขนุ สเุ รนทรพิทักษต์ รสั วา่ จะชว่ ยได้แต่กาสาวพสั ตรอ์ ันเป็นธงชัยพระอรหันต์ เจ้ากรมหลวงอภัย นุชิตได้พระสติข้ึน จึงเสด็จออกไปขึ้นพระวอ ทั้งเจ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ ให้เปิดประตูฉนวนออกไปทรงพระ ผนวชเจ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ ณ วัดโคกแสง ทรงพระกรุณาค้นหาแต่พระองค์เจ้าเทิด พระองค์เจ้าช่ืน จึง ทรงพระกรุณส่งั ให้ประหารชวี ิตเสียดว้ ยท่อนจันทร์”๑๗๙ ข. ขอ้ สังเกตเพมิ่ เตมิ การใช้ผ้ากาสาวพัตร์เพ่ือหนีราชภัยบางคร้ังก็สาเร็จประโยชน์ แต่บางครั้งก็ไม่สาเร็จ ประโยชน์ เช่นกรณพี ระยาพไิ ชยราชา (เสม) และพระยายมราช (พูน) หนีไปบวชท่ีแขวงเมืองสุพรรณบุรี แต่ สุดท้ายก็ถูกมหาอุปราชใชใ้ ห้คนลอบฆา่ เสีย๑๘๐ ๒.๒๒.๔ พระมหาธาตวุ ัดวรโพธิถ์ กู พายพุ ัดพงั ลง พระมหาธาตุวัดวรโพธ์ิถือเป็นปรางค์ประธาน ถูกลมพัดพังทลายลงมาเมื่อเดือน ๑๒ แรม ๒ ค่า ในรัชกาลของสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวบรมโกศ เดิมวัดน้ีช่ือว่าวัดระฆัง ต่อมาเม่ือมีการอัญเชิญต้นพระศรี มหาโพธ์ิจากศรีลังกามาถวาย จงึ เปล่ียนชอ่ื วดั เป็น “วรโพธิ์” ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “คร้ัน ณ เดือน ๑๒ ข้ึน ๒ ค่า ปีฉลูนพศก เพลากลางคืน ลมว่าวพัดหนัก พระมหาธาตุ วัดวรโพธิโ์ ทรมลง”๑๘๑ ข. ข้อสังเกตเพม่ิ เตมิ (๑) ฉบับพระราชหตั ถเลขาระบวุ า่ เดือน ๑๐ แรม ๒ คา่ เพลากลางคนื ๑๗๘ สมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ เสนาพทิ กั ษ์ ๑๗๙ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา ฉบบั พนั จนั ทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๓๕๙. ๑๘๐ พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๒๑๖. ๑๘๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หนา้ ๓๖๘.

๗๖ (๒) ลมว่าว หมายถึง ลมที่พัดจากทิศเหนือไปทางทิศใต้ตอนต้นฤดูหนาว ส่วนคาว่า โทรม คืหมายถงึ หักทลายลงมา ๒.๒๒.๕ พระราชาคณะ ๕ รปู ไปเกล้ียกลอ่ มเจ้าสามกรมให้ยินยอมสวามภิ ักดิ์ พระราชาคณะ ๕ รูป ประกอบไปด้วย พระเทพมุนี พระพุทธโฆษาจารย์ พระธรรมอุดม พระธรรมเจดีย์ และพระเทพกวี ได้รับอาราธนาจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศให้ไปช่วยเกลี้ยกล่อมแก่เจ้าสาม กรม ประกอบดว้ ยกรมหม่ืนจิตรสนุ ทร กรมหมน่ื สุนทรเทพ และกรมหม่นื เสพภกั ดี ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “วันแรม ๕ ค่า เป็นวันพระ พระเทพมุนี พระพุทธโฆษาจารย์ พระธรรมอุดม พระธรรม เจดีย์ พระเทพกวี เข้ามาเตรียมจะถวายพระธรรมเทศนาอยู่ ณ ทิมสงฆ์ ประมาณเพลาทุ่มเศษ จึงมีพระ บณั ฑรู ใหน้ ิมนตเ์ ขา้ มา ณ ตา่ หนักสวนกระตา่ ย ตรัสอาราธนาให้ข้ึนไปว่ากล่าวแก่เจ้าสามกรมให้ลงมาสมาน สามัคร สมานกนั ถึง ๒ กลับต่อเพลา ๓ ยามเศษ เจ้าสามกรมจงึ มาเฝ้าท่าพระสตั ยถ์ วายท้งั สามองค์”๑๘๒ ข. ข้อสงั เกตเพ่มิ เติม ยามบ้านเมืองมีการถ่ายเปล่ียนอานาจ พระสงฆ์ได้รับการนิมนต์มาช่วยเป็น “กาวใจ” ประสานกล่มุ อานาจใหเ้ ป็นหนึ่งเดยี วเพอ่ื บา้ นเมอื งเดนิ ต่อไปได้ ๒.๒๒.๖ การใชผ้ า้ กาสาวพตั รหลบหนรี าชภัย พระยาพไิ ชยราชาและพระยายมราช นายสังราชาภิบาลหนีราชภัยไปบวช อย่างไรก็ตามก็ ไม่อาจพ้นจากราชภัย พระยาพิชัยราชา และพระยายมราช ถูกลอบสังหารท้ังผ้าเหลือง ขณะท่ีนายสังราชา ภบิ าล ถกู ตามตัวมาได้ บงั คบั ใหล้ าสกิ ขาแล้วถูกนาไปประหารชีวิต ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “ส่วนนายเสมพระยาพิไชยราชา แลนายพูนพระยายมราช คนทั้งสองนี้ครั้นเจ้าหนีไปแล้ว ก็พากันหนีไปบวชเป็นภิกษุอยู่ในแขวงเมืองสุพรรณบุรี ข้าหลวงทั้งหลายติดตามไปได้ตัวภิกษุทั้งสองน้ันมา ใหร้ ักษาคมุ ตัวไว้ในวัดฝาง นายสงั ราชาบริบาล หนีไปบวชนเป็นภิกษอุ ยู่แขวงเมืองบัวชุม ข้าหลวงติดตามไป ได้ตัวมาสึกแล้วให้ประหารชีวิตเสียท่ีหัวแตลงแกง พระมหาอุปราชให้แขกจามมาแทงภิกษุสองรูปภิกษุสอง รูปอันอยทู่ ่ีวัดฝางนั้นตายเวลากลางคนื ”๑๘๓ ข. ข้อสงั เกตเพิ่มเตมิ บา้ นเมอื งอยู่ในชว่ งผลัดเปล่ียนแผน่ ดนิ ผมู้ สี ่วนเกี่ยวข้องแมจ้ ะหนีไปบวชเป็นภิกษุก็ไม่อาจ พน้ ภยั ถูกจับสกึ นาไปประหารชวี ิตกม็ ี ถูกลอบฆ่าทั้งยังครองผา้ เหลอื งกม็ ี ๑๘๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพันจนั ทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๓๖๙. ๑๘๓ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๑๖.

๗๗ ๒.๒๒.๗ ศรีลังกาสง่ ทูตมาขอพระภิกษุไปสืบพระศาสนา ศรีลังกาไม่มีพระสงฆ์ มีเพียงสามเณรรูปเดียว พระเจ้ากิตติศิริราชสีห์จึงได้แต่งทูตมาขอ พระภิกษสุ งฆไ์ ปใหก้ ารอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวลังกา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังน้ี “ลุศักราช ๑๑๑๕ ปีรกาเบญจศก ฝ่ายพระเจ้ากิตติศิริราชสีห์ได้เสวยสมบัติในเมือง สิงขัณฑนคร เป็นอิศราธิบดีในลังกาทวีป และครั้งน้ันพระพุทธศาสนาในเกาะลังกาหาพระภิกษุสงฆ์มิได้ จึง แตง่ ให้ ศริ ิวัฒนอา่ มาตย์เปน็ ราชทตู กบั อุปทตู ตรที ูตจ่าทูลพระราชสาสน คุมเคร่ืองมงคลราชบรรณาการมี พระบรมสารกี ธาตเุ ป็นอาทมิ ากบั กา่ ปั่นลันขาพิชวิลนั ดา เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี ณ กรุงเทพมหานคร จะขอพระภิกษุสงฆอ์ อกไปให้อปุ สมบทแก่กุลบุตรสบื พระพทุ ธศาสนาในลงั กาทวปี ”๑๘๔ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เติม โปรดให้พระอุบาฬี พระอริยมุนี และพระสงฆ์อันดับอีก ๑๒ รูป ไปตามคาขอขอทูตศรี ลงั กา ๒.๒๒.๘ โปรดใหน้ มิ นต์พระผู้ทรงกรรมฐานมาห้ามฝน สมัยศรีอยุธยา มีพระผู้ทรงกสิณ อาศัยกัมมัฏฐานท่ีได้ฝึกฝนมาอย่างชานาญ จนสามารถ หา้ มฝนได้ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี “สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด่าเนินไปฉลองวัดนางค่า ครั้งนั้นฝนตกชุกหนัก จึงมีพระราชด่ารัสให้สังฆการีธรรมการไปนิมนต์พระอาจารย์วัดพันทาบ แขวงเมืองวิเศษไชยชาญลงมา ให้ เข้าสมาธิหา้ มฝน”๑๘๕ ข. ขอ้ สังเกตเพม่ิ เตมิ หลักฐานระบุว่า ได้พระญาณรักขิตวัดสังกทานเป็นผู้ดาเนินการห้ามฝนแทน โดยใช้วาโย กสินช่วยพัดเมฆฝนออกไป ๒.๒๒.๙ มีพระราชโองการให้กรมขุนอนรุ ักษม์ นตรไี ปบวชอยวู่ ัดลมดุ ปากจ่นั เม่ือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีพระราชประสงค์ยกเศวตฉัตรให้แก่กรมขุนพินิจ ทรงเกรงว่า อันตรายจะพึงเกิดแก่กรมขุนอนุรักษ์มนตรี จึงได้มีรับสั่งให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรีลาเพศภิกษุเสีย ท้ังน้ีเพื่อ หลบภัย และจะไดไ้ ม่เป็นอนั ตราย หรอื ทาให้การจัดการแตกประเดน็ เพิม่ ขนึ้ เร่ือย ๆ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั น้ี ๑๘๔ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๒๓๙. ๑๘๕ เร่อื งเดยี วกนั , หน้า ๒๔๑.

๗๘ “จึงมีพระราชโองการตรัศว่า กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาแลความ เพียรมิได้ ถ้าจะให้ด่ารงถานาศักด์ิมหาอุปราชส่าเร็จราชกิจกึ่งหน่ึงนั้น บ้านเมืองก็จะเกิดไภยพิบัติฉิบหาย เสีย เห็นแต่กรมขุนพรพินิต กอปรด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม สมควรจะด่ารงเสวตรฉัตรครอง สมบัติรักษาแผ่นดินสืบไปได้ เหมือนดังค่าปฤกษาท้าวพระยามุขมนตรีทั้งปวง จึงด่ารัศสั่งให้เจ้าฟ้ากรมขุน อนรุ กั ษ์มนตรวี ่า จงไปบวชเสียอยา่ ใหก้ ดี ขวาง”๑๘๖ ข. ข้อสังเกตเพมิ่ เตมิ กรมขุนอนุรักษ์มนตรีจาพระทัยต้องทูลลาผนวช ด้วยเกรงพระราชอาญา แสดงให้เห็นว่า ผา้ กาสาวพตั รถ์ ูกนามาใชเ้ ป็นเครือ่ งมือในการแกป้ ญั หาความขดั แยง้ ในบ้านเมืองด้วย ๒.๒๒.๙ ทรงถวายชา้ งเปน็ พทุ ธบชู า พระเจา้ อยู่หัวบรมโกศ ไดถ้ วายพระบรมจักรฬาฬหัตถี ซ่งึ เป็นช้างต้น เพ่ือเป็นพุทธบูชาแด่ พระพทุ ธบาท แสดงถึงพระราชศรัทธาของพระองค์ในพระพุทธบาทอย่างแน่นแฟ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการ สะทอ้ นให้เห็นถึงน้าพระทยั อนั ประกอบดว้ ยเมตตาของพระองค์ที่มตี ่อสรรพสัตว์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ “กรมหมื่นจิตรสุนทรกราบทูลพระกรุณาว่า ช้างต้นพระบรมจักรพาฬหัตถีน้ันงายาวออก ให้จ่าเริญเข้าไปเกือบถึงไส้งาอยู่แล้ว เกรงจะล้มเสีย จึงด่ารัสว่า เราจะเอาไปถวายพระพุทธบาทแล้วปล่อย ไปป่า” ข. ข้อสงั เกตเพ่ิมเติม คร้ังแรกท่ีพบหลักฐานว่ามีการนาสัตว์มงคลไปถวายเป็นพุทธบูชา แล้วนาไปปล่อยเข้าป่า คืน แตช่ ้างหาเข้าป่าไม่ กลบั เขา้ เมืองลพบุรี จึงโปรดใหร้ บั มายงั พระนครคนื ๒.๒๑.๙ กรมพระราชวงั บวรฯ สละราชสมบัตใิ หพ้ ระเชษฐาธิราชแล้วผนวชอยู่วดั ประดู่ เสนาอามาตย์ท้งั หลายยกประชุมพร้อมใจกนั ยกราชสมบัตถิ วายแด่กรมพระราชวังบวร แต่ พระเชษฐาซ่ึงร่วมอุทรเดียวกัน และมีความปรารถนาในราชสมบัติ ได้เสด็จไปประทับบนพระท่ีน่ังสุริยามิ นทร์ พระเจ้าแผ่นดินไม่ทราบว่าจะทาประการใด จึงยกราชสมบัติให้พระเชษฐา ส่วนพระองค์ก็เสด็จออก ผนวช เพื่อเปน็ การแก้ปัญหา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ ๑๘๖ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๔๕.

๗๙ “คร้ันถงึ ณ วันแรมคา่ หน่งึ เดือนเจด็ จึงเสด็จพระราชด่าเนินไปเฝา้ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิ ราช กราบทลู ถวายราชสมบตั ิแลว้ ก็ถวายบงั คมลาจะออกผนวช”๑๘๗ ข. ขอ้ สงั เกตเพ่มิ เตมิ การเสด็จออกผนวชของพระเจ้าแผ่นดินในครั้งน้ี ถือเป็นการแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้ ระดับหนึ่ง อย่างน้อยท่ีสุดก็ไม่ก่อให้เกิดการจลาจลนองเลือด ต้องห้าห่ันกันเองระหว่างพี่กับน้อง ซึ่ง สายเลอื ดเดยี วกนั สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระบรมโกศ มีบันทึกเร่ืองราวเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ๒๑ เร่ือง ได้แก่ การพิธีศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ๒ เร่ือง, การเสด็จพระราชดาเนินไปบาเพ็ญพระราชกุศล, การบวชหนี หรือหลบภัยจากบ้านเมือง ๔ เร่ือง, การเสด็จพระราชดาเนินไปนมัสการพระพุทธบาท แผ่ทองคาร่อนเป็น ประธากล้องปิดมณฑปพระพุทธบาท สมโภชพระพุทธบาท สมโภชวัดป่าโมก รวม ๔ เรื่อง, การปฏิสังขรณ์ ภูเขาทอง ปฏสิ ังขรณ์วัดพระศรีสรรเพชญ์ ปฏสิ ังขรณม์ ณฑปวัดสุมงคลบพิตร ๓ เร่ือง, เสด็จพระราชดาเนิน ไปนมัสการพระชินราช พระชินสีห์ พระพุทธไสยาสน์วัดจักรี วัดอินท์ประมูล ๒ เรื่อง, พระมหาธาตุวัดวร โพธิ์ถูกพายุพัดหัก, พระราชาคณะไปเกลี้ยงกล่อมเจ้าสามกรมให้สมานฉันท์, ศรีลังกาส่งทูตมาของภิกษุไป สบื ศาสนา, การนิมนตพ์ ระผู้ทรงกมั มฏั ฐานไปห้ามฝน, และการถวายช้างเปน็ พทุ ธบูชา ๒.๒๓ รชั กาลสมเดจ็ พระทีน่ ั่งสุริยาศนอ์ มรนิ ทร์ (พระเจา้ เอกทัศ) สมเด็จพระท่ีนั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) มีพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จ พระบรมราชาท่ี ๓ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๓๓ และถือเป็น องคส์ ดุ ท้ายแหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ทรงดารงอยใู่ นสริ ิราชสมบัติระหว่าง พ.ศ.๒๓๐๒-๒๓๑๐ รวมระยะเวลา ๙ ปี ระหว่างน้ีมเี หตุการณ์เก่ียวกับพระพทุ ธศาสนาดงั รายละเอียดตามลาดับต่อไปนี้ ๒.๒๓.๑ สง่ พระไปผลดั เปลี่ยนกับคณะเดิมท่สี ง่ ไปครัง้ รัชสมยั ของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ การส่งกรมหมื่นเทพพิพิธออกไปพร้อมคณะทูตคร้ังน้ี มีลักษณะเป็นการเนรเทศ เน่ืองจาก ทรงเห็นว่า ถ้ากรมหม่ืนเทพพิพิธยังอยู่ท่ีศรีอยุธยา ก็จะเป็นท่ีหวาดแวงเรื่องการชิงราชสมบัติ ด้วยขณะน้ัน กรมหมื่นพิพิธพร้อมด้วยขุนนางสี่คนได้วางแผนจะยึดอานาจมาถวายคืนแด่พระเจ้าแผ่นดินซ่ึงผนวชอยู่ แต่ ความร่วั ไหลก่อน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ งั นี้ “ขณะน้ัน ใหส้ ่งกรมหม่ืนเทพพพิ ธิ ออกไป ณ เกาะลังกาทวปี ”๑๘๘ ๑๘๗ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๕๐, อน่ึง กรมหม่ืนเทพพิพิธก็กรงว่าจะเป็น อันตรายแก่ชีวิต เน่ืองจากพระองค์ก็เป็นเจ้านายผู้ใหญ่ พระเจ้าแผ่นดินจะเพ่งเล็งเหมือนเจ้าสามกรม จึงถวายบังคมลา ผนวชอยทู่ ่ีวดั กระโจม, ดูรายละเอียดหน้า ๒๕๑. ๑๘๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๗๑. การส่งกรมหม่ืนเทพพิพิธไปใน ครงั้ นี้ นยั หน่งึ เป็นการเนรเทศให้พ้นจากอานาจ เพราะเคยรว่ มกบั พระยาอภัยราชา พระยายมราช พระยาเพชรบรุ ี หมน่ื ทพิ เสนา นายจุ้ย นายแพงจนั คิดทาการก่อกบฎ

๘๐ ข. ข้อสังเกตเพ่มิ เติม พระสงฆ์ท่ีถูกส่งไปศรีลังกาเที่ยวน้ี ประกอบด้วย พระวิสุทธาจารย์ พระวรญาณมุนี และ พระสงฆอ์ นั ดับอกี ๓ รปู ๒.๒๓.๒ สมเด็จพระอนุชาธริ าชลาผนวชมาชว่ ยบา้ นเมืองยามเกิดศกึ สงคราม น้าพระทัยของสมเด็จพระอนุชา แม้จะทรงผนวชอยู่ แต่เม่ือเห็นว่าบ้านเมืองกาลังจะมีภัย จากพม่า ก็เสียสละพระองค์ ยอมลาสิกขามาช่วยบัญการรบ ป้องกันทัพใหญ่จากพม่าที่ยกมาเพื่อตีกรุงศรี อยธุ ยา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบดุ ังนี้ “ขณะนั้น สมเด็จพระอนุชาธิราชลาพระผนวชออกว่าราชการแผ่นดิน ให้ถอดเจ้าพระยา อภัยราชา พระยายมราช พระยาเพชรบุรีออกจากสังขลิกแล้ว ด่ารัสให้เกณฑ์พลทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิง เทนิ รอบพระนคร” ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ขุนนางและอาณาประชาราษฎร์ได้ชวนกันกราบทูลวิงวอนพระเจ้าอยู่หัววัดประดู่ลา ผนวชมาช่วยบ้านเมอื ง (๒) ไทยรบพม่าว่า พระเจา้ เอกทศั ไปเชิญ ๒.๒๓.๓ พระอนชุ าเสดจ็ ออกผนวชอีกคร้ัง พระอนุชาเม่ือลาสิกขาออกมาช่วยรบสู้ข้าศึกจนได้รับชัยแล้ว กลับมาถึงพระราชวัง เห็น พระเชษฐาแสดงอาการเป็นนัยยะว่าไม่ต้องการให้ครองเพศฆราวาสเพราะจะเป็นท่ีหวาดระแวง เน่ืองจาก พระอนุชานนั้ มีสตปิ ญั ญาบารมี เป็นทชี่ ื่นชมมากกวา่ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั น้ี “ฝ่ายข้างกรุงเทพมหานครน้ัน ให้ขุดได้กระสุนปืน ๓-๔ น้ิว ณ ท่ีค่ายหลวงพระเจ้าอังวะ นั้น ๔๐ กระบอก แล้วเสด็จพระราชด่าเนินข้ึนเฝ้าสมเด็จพระเชษฐาธิราช ณ พระท่ีน่ังสุริยาศน์อมรินทร์ เนอื ง ๆ อน่ึงใหส้ ึกพระองค์แมงเม่าออกจากชี นา่ มาถวายเป็นบาทบรจิ าแห่งพระเชษฐาธริ าช คร้ันเดอื น ๘ ข้างขนึ้ ก็เสด็จพระราชดา่ เนนิ ออกไป ณ วัดโพธ์ิทองค่าหยาด ทรงผนวชแล้ว กบั เข้ามาวัดประดู่”๑๘๙ ข. ข้อสงั เกตเพ่มิ เติม ๑๘๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๗๔.

๘๑ มลู เหตตุ อ้ งออกผนวชอีกคร้ังเน่ืองจากตอนเข้าเฝ้า พระเชษฐาถอดพระแสงพาดพระเพลา ก็เข้าพระทัยวา่ ทรงรังเกยี จจะทารา้ ย มใิ หอ้ ยู่ในเพศฆราวาสอกี ต่อไป ๒.๒๓.๔ เสด็จนมสั การพระฉายทเ่ี ขาปัถวี และพระพุทธบาท คาให้การชาวกรุงเก่า ได้พรรณนาถึงเขาปัถวีว่า “อยู่ทางทิศเหนือพระพุทธบาทที่เขา สุวรรณบรรพต ข้ามฟากแม่น้าไป ระยะทางห่างวันหน่ึง มีเพิงเขาแห่งหนึ่ง เหมือนอย่างพังพานพระยานาค สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้เสด็จมาอาศัยบังฝนอยู่ที่เพิงเขาแห่งนี้ ซึ่งท่ีพระพุทธองค์ได้ ประทับอาศัยน้ัน มีรอยพระพุทธฉายบ่ายพระพักตร์ออกมาทางข้างหน้าติดอยู่ยังกระเพิงผานั้น โดยอานาจ พระพทุ ธปาฏิหารยิ ์” ๑๙๐ สมเด็จพระท่ีนั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) เสด็จนมัสการพระฉาย และพระพุทธ บาท เป็นระยะเวลา ๓ วนั กอ่ นเสด็จกลบั ยงั เมืองหลวง ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “ครั้นเดอื นอ้าย เสดจ็ ขึ้นนมสั การพระฉาย แรมอยู่ ๓ เวน แลว้ เสด็จกลับลงมาสมโภชพระ พทุ ธบาท ๗ วนั จงึ ดา่ เนนิ กลับยังกรงุ เทพมหานคร”๑๙๑ ข. ข้อสังเกตเพ่มิ เติม คาให้การชาวกรุงเก่าระบุว่า ฤดูนมัสการพระพุทธฉายนี้ กาหนดเดือน ๔ ของทุกปี มี พระมหากษัตริย์และเสนาอามาตย์ ราษฎร ชาวบ้านชาวเมือง ไปนมัสการกราบไหว้ และมีการมหรสพ สมโภชเปน็ งานประจาปเี สมอมิไดข้ าด๑๙๒ ๒.๒๓.๕ ชาวบางระจนั รวมตัวกันตอ่ สกู้ ับพมา่ โดยมพี ระอาจารย์ธรรมโชติเป็นแกนนา ช่วงเดือน ๓ ปีวอก ฉศก พระเจ้ากรุงอังวะให้มังมหานรธา พร้อมทัพใหญ่เข้ามาตีเมือง ทวาย เมืองตะนาวศรี เมืองมะริด เมอ่ื ยึดเมืองเหล่านไี้ ด้หมดแล้วก็ปรารถนาจะเข้าตีกรุงศรีอยุธยา จึงได้ยก พลเดินหน้าต่อเข้าตีเมืองเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี พิษณุโลก พิจิตร โดยลาดับ เมืองอื่น ๆ ที่เหลือก็เริ่ม หาทางปอ้ งกัน และตา้ นกาลงั ของพมา่ จงึ ไดถ้ อยมาตัง้ หลกั และอาศัยพระอาจารยธ์ รรมโชติ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “ขณะน้ันพระอาจารย์วัดเขานางบวชมาอยู่ ณ วัดบ้านระจัน ชาวบ้านแขวงเมืองวิเศษชัย ชาญ เมืองสุพรรณบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรี อพยพหนีเข้ามาพึ่งพระอาจารย์นั้นเป็นอันมาก ฝ่ายพม่า ๑๙๐ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา,คาใหก้ ารชาวกรุงเกา่ , หน้า ๖๐๘. ๑๙๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จันทนุมาศ (เจมิ ), หนา้ ๓๗๕. ๑๙๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา,คาให้การชาวกรงุ เกา่ , หนา้ ๖๐๘.

๘๒ ไปเกล้ียกล่อม ชาวค่ายบา้ นระจนั แต่งกันลงมา ฆ่าพม่าตายเสียกลางทางเป็นอันมาก พม่าจึงแบ่งกันทุกค่าย ยกขึ้นจะไปรบ ฝา่ ยชาวบ้านระจันยกออกไปตั้งอยู่นอกค่าย พอพม่ายกมาก็ขับกันออกไล่ตะลุมบอนฟันแทง พม่าล้มตายเปน็ อนั มาก”๑๙๓ ข. ข้อสังเกตเพม่ิ เติม ความจากพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาระบุดังนี้ “คร้ัน ณ เดือนสามปี รกาสับดศก พวกชาวเมืองวิเศษไชยชาญ และเมืองสิงคบุรี เมือง สวรรคบรุ เี ข้าเกลยี้ กล่อมพม่า พม่าเร่งเอาทรัพย์เงินทองและบุตรหญิง จึงชวนกันลวงพม่าว่าจะให้บุตรหญิง แลเงินทอง แล้วคิดกันจะสู้รบพม่า บอกกล่าวชักชวนกันทุก ๆ บ้าน แลนายแท่น ๑ นายโช ๑ นายอิน ๑ นายเมือง ๑ ชาวบ้านสีบัวทองแขวงเมืองสิงค์ นายดอกชาวบ้านตรับ นายทองแก้วชาวบ้านโพทเล คน เหลา่ นนมี้ ีสมัครพรรคพวกมาก เข้าเกลย้ี งกลอ่ มพมา่ ซงึ่ ยกทัพมาทางเมืองอุไทยธานี คร้ันพม่าตักเตือนเร่งรัด จะใหส้ ง่ บุตรหญงิ จงึ ให้นายโชคุมพรรคพวกเข้าฆ่าพม่าตาย ๒๐ เศษ แล้วพากันหนีมาหาพระอาจารย์ธรรม โชตวัดเขานางบวชมคี วามรู้วชิ าการดี มาอยูว่ ดั โพธเ์ิ กา้ ต้นในบางระจัน เอาเปน็ ทพี่ ่ึง”๑๙๔ ๒.๒๓.๖ เพลิงลุกไหม้ และไดเ้ ผาทาลายวดั วาอารามหลายแหง่ ช่วงเหตุการณป์ ระวตั ศิ าสตร์ตอนนีถ้ อื เป็นช่วงทีป่ ระเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากการศึก เพราะพม่าได้เผาทาลายวัดวาอารามต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็มีผู้คอยอาศัยช่องดังกล่าว ซ้าเติม แสวงผลประโยชนใ์ ส่ตวั ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ครัน้ ถึงเดือนย่ี ปีจออัฐศก เพลาค่า เกดิ เพลงิ ขึน้ ณ ท่าทราย ไหมล้ ามมาสะพานช้าง ข้าม มาติดป่ามะพร้าว ป่าโทน ป่าถ่าน ป่าทอง ป่าหญ้า จนวัดราชบูรณะ วัดพระมหาธาตุ เพลิงไปหยุดท่ีวัด ฉัททันต์” “อนงึ่ จีนคา่ ยคลองสวนพลู ๔๐๐ เศษ ชวนกันขน้ึ ไปทา่ ลายพระพุทธบาท เลิกเอาเงินดาด พืน้ ทองหุ้มพระมณฑปนอ้ ยลงสน้ิ ”๑๙๕ ข. ข้อสงั เกตเพ่มิ เตมิ ชว่ งจังหวะสงครามกับพม่า ก็มีกลุ่มจีนฉวยโอกาสหาประโยชน์ด้วยการขโมยของมีค่าตาม วดั ตา่ ง ๆ ๑๙๓ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๓๗๘. ๑๙๔ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หนา้ ๒๘๓. ๑๙๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๘๐.

๘๓ ๒.๒๓.๗ เสียกรุงศรีอยธุ ยาให้แก่พม่าเปน็ คร้ังที่ ๒ ก. หลกั ฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “คร้นั ณ วนั อังคาร เดือน ๕ ขนึ้ ๙ คา่ ปีกุนนพศก (จ.ศ.๑๑๒๙ พ.ศ.๒๓๑๐) เพลาบ่าย ๔ โมง พมา่ ยิงปนื ป้อมสงู วัดการอ้ ง วัดแม่นางปลม้ื ระดมเขา้ มาในกรุง แล้วเพลงิ จุดเชื้อท่ีรากก่าแพง คร้ันเพลา ค่า ก่าแพงทรุดลงหน่อยหนึ่ง พม่าก็เข้ากรุงได้ เข้าเผาพระราชวังและวัดพระศรีสรรเพชญ์ แล้วกวาดเอา กษัตริย์ขัตติยวงศ์และท้ายพระยาเสนาบดี อพยพครอบครัวท้ังปวงไป แต่พระเจ้าแผ่นดินนั้นหนีออกจาก พระนครแตพ่ ระองค์เดยี วไดร้ บั ความลา่ บาก ก็ถงึ ซ่ึงพริ าลยั ไปส่ปู รโลก ชนท้งั ปวงจึงเอาศพมาฝงั ไว้”๑๙๖ ข. ขอ้ สงั เกตเพม่ิ เติม การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ ไทยได้รับความบอบช้ามาก เพราะพม่าได้เผาทาลาย พระราชวัง วัดวาอารามต่าง ๆ เสียหายเปน็ จานวนมาก ๒.๒๓.๘ สืบพระพทุ ธศาสนาทศ่ี รลี ังกา พระสงฆ์ทเ่ี ดนิ ทางไปสบื พระพทุ ธศาสนาท่ศี รีลงั กาได้รับการตอ้ นรับจากศรีลังกา ได้ปฏิบัติ หน้าท่ีบวชชาวศรีลังเป็นจานวนมาก อยู่ได้ประมาณปีกว่าก็เดินทางกลับมายังกรุงศรีอยุธยา คงเหลือไว้แต่ พระอุบาลเี ท่านั้น ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดงั นี้ “ฝ่ายป่ันข้างหลวง ณ กรุงเทพมหานครซ่ึงออกไปลังกาทวีปน้ัน ครั้นถึงก็น่าพระสงฆ์และ เจ้ากรมหม่ืนเทพพิพิธข้ึนไป ณ เมืองสิงขัณฑนคร เข้าเฝ้าพระเจ้าลังกา ๆ ได้ทราบว่าเป็นขัติยวงษ์ในสยาม ประเทศก็ต้อนรับเล้ียงดูอยู่เป็นศุข และเม่ืองพระอุบาฬี พระอริยมุนี พระสงฆ์ออกไปคร้ังก่อนน้ัน พระเจ้า ลังกาให้อยู่ในวัดบุบผาราม ได้บวชกุลบุตรชาวสิงหฬเป็นภิกษุถึงเจ็ดร้อย สามเณรพันเศษ พระสงฆ์ซึ่ ง ออกไปคร้งั หลงั นี้ ได้บวชชาวสิงหฬเป็นภิกษุอีกสามร้อย สามเณรเจ็ดร้อย อยู่ได้ปีเศษพระอริยมุนีซึ่งไปครั้ง กอ่ นกับพระวิสุทธาจารย์ พระวรญาณมุนี ก็ถวายพระพรลาพระเจ้าลังกากลับมากับข้าหลวง แต่พระอุบาฬี นัน้ มิไดม้ า๑๙๗ ข. ขอ้ สังเกตเพิม่ เติม มกี ารส่งพระสงฆ์ไปสืบพระพุทธศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ๒ คร้ัง คร้ังแรกโดยการนาของ พระอุบาลี ครง้ั หลงั โดยการนาของพระวิสุทธาจารย์ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระที่น่ังสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) มีบันทึกเรื่องราวเก่ียวกับ พระพทุ ธศาสนา ๗ เรือ่ ง ได้แก่ การสง่ สมณทตู ไปผลัดเปลยี่ นกบั คณะเดมิ ท่เี ดนิ ทางไปก่อนหน้า, สมเด็จพระ อนุชาธิราชลาผนวชมาช่วยบ้านเมือง, สมเด็จพระอนุชาธิราชออกผนวชอีกคร้ังท่ี ๒, การเสด็จพระราช ดาเนินไปนมัสการพระฉายท่ีเขาปถวี และเสด็จนมัสการพระพุทธบาท, พระอาจารย์ธรรมโชติชักชวน ๑๙๖ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจมิ ), หน้า ๓๘๑. ๑๙๗ พระราชพงษาวดาร ฉบบั พระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๗๒.

๘๔ ชาวบ้านบางระจันต้านทัพพม่า, พม่าเผาวัดเสียหาย, และสมณะทูตท่ีเดินทางไปศรีลังกาเดินทางกลับ ประเทศไทย ๒.๒๔ สรุปท้ายบท จากการสบื คน้ พระพทุ ธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยาตลอด ๕ รัชกาล ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ ปกครอง ๓๓ พระองค์ ระยะเวลาในการปกครองบ้านเมืองของกษัตริย์แต่ละพระองค์สั้นบ้าง ยาวบ้าง ไม่ เท่ากัน ส้ันสุดคือ ๗ วัน (รัชกาลพระเจ้าทองลัน) ยาวสุดคือ ๔๐ ปี (รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒) ใน จานวนนีพ้ บวา่ มบี ันทกึ เรอ่ื งราวเกย่ี วกับพระพุทธศาสนาจานวนทั้งส้ิน ๒๓ พระองค์ เขียนตารางสรุปลาดับ เฉพาะเหตุการณส์ าคญั ๆ ดงั นี้ รัชกาล พุทธศักราช ลาดบั เหตกุ ารณ์ สมเด็จพระรามาธบิ ดีที่ ๑ ๑๘๙๖ สถาปนาวัดพุทไธศวรรค์ ๑๙๐๖ สถาปนาวดั ป่าแก้ว สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ที่ ๑๙๑๒ สร้างวัดพระราม ๑) ๑๙๑๗ สถาปนาพระศรรี ัตนมหาธาตุ สมเด็จพระราเมศวร ๑๙๒๗ ๑.เสดจ็ นมัสการพระชนิ ศรี พระชินราช ที่พิษณุโลก สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ท่ี ๒.พระสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ให้ทอดพระเนตรเห็น ๒) ๑๙๓๐ และสถาปนาวัดมหาธาตุ ๑๙๖๑ สถาปนาวดั ภูเขาทอง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๑๙๖๔ สถาปนาวดั ราชบรู ณะ ทรงโปรดให้เอารปู เคารพมโี ค สงิ ห์ และสตั ว์ทงั้ ปวงมาไว้ ๑๙๖๗ ท่ีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ และวัดพระศรีสรรเพชญ์ เพ่ือ บูชา ๑๙๗๗ ๑. สร้างวัดมเหยงค์ ๒. ทอดพระเนตรนา้ เนตรพระพทุ ธชินราชตกเป็นโลหิต ๑๙๘๗ ๑. สถาปนาวัดพระศรสี รรเพชญ์ ๒. สถาปนาวดั พระราม ๑๙๘๙ ให้บารุงพระพุทธศาสนา หล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๕๐ ๑๙๙๑ พระชาติ ทรงโปรดใหม้ กี ารเล่นมหรสพฉลองพระ สรา้ งพระวิหารวัดจฬุ ามณี

๘๕ ๑๙๙๒ เสดจ็ ออกผนวช และประทับอยูท่ ี่วัดจฬุ ามณี ๘ เดอื น ๒๐๐๗ ทรงโปรดให้มีการเล่นมหรศพฉลองพระศรีรัตนมหาธาตุ ๑๕ วัน ๒๐๐๙ พระบรมราชาผเู้ ปน็ พระราชโอรสทรงผนวช สมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี ๒ ๒๐๒๒ ๑. สร้างพระวหิ ารวดั พระศรสี รรเพชญ์ ๒. หล่อพระศรีสรรเพชญ์ ทองหล่อหนัก ๕๓,๐๐๐ ชั่ง ห้มุ ดว้ ยทองคา หนัก ๒๘๖ ชั่ง ๒๐๒๖ ฉลองพระศรีสรรเพชญ์ สมเดจ็ พระไชยราชาธิราช ๒๐๖๑ ๑. โปรดให้พนู ดินวัดชีเชงิ (ชีเชยี ง) ๒. สถาปนาพระพุทธเจา้ และพระเจดยี ์ ๒๐๗๐ พระเทียรราชาเสด็จออกผนวช เพ่ือไม่ให้เป็นท่ีระแวง พระทัย เหตุเป็นเชือ้ พระวงศช์ นั้ ผ้ใู หญ่ ขณะบวชประทับ อยู่ทวี่ ดั ราชประดิษฐาน ขุนวรวงศาธิราช ๒๐๗๒ ๑. ประหารชีวิตพระยอดฟ้าที่วัดโคกพระยา และ ประหารชีวิตขุนวรวงศากับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ท่ีวัด แรง้ ๒. ขุนพิเรนทร์เทพ ประชุมวางแผนลับท่ีวัดราช ประดิษฐาน เป้าหมายคือยึดอานาจขุนวรวงศาธิราช โดยก่อนการลงมือ ได้กระทาการเส่ียงเทียนต่อหน้าพระ ประธานอโุ บสถวดั ปา่ แกว้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ๒๐๗๒ พิธีสถาปนาพระมหากษัตริย์ กระทาในท่ีประชุมอันมี ราชาธิราช สมเดจ็ พระสังฆราช พระราชาคณะ คามวาสี อรัญญวาสี มุขมนตรี กวี อามาตย์ โหราราชครู พราหมณป์ ุโรหติ ๒๐๗๓ ๑. สถาปนาท่ีพระตาหนกั วงั เป็นพระอโุ บสถ ๒. สร้างพระวิหารอาราม ใหน้ ามว่า วดั วงั ชัย ๓. ถวายอากรหลวงบารุงเป็นค่าภัตตาหารแด่สงฆ์วัดวัง ชัย ๒๐๘๐ ถวายสตสดกมหาทาน ๒๐๘๖ ๑. มหานาควัดภูเขาทอง พาญาติโยมทาสหญิงชายขุดคู นอกคา่ ยกนั ทพั พม่า จงึ ได้นามว่า คลองมหานาค ๒. สถาปนาวดั ศพสวรรค์ เพอ่ื เปน็ อนสุ รณพ์ ระสุริโยทยั ๒๐๘๗ ประหารชีวิตพระนพรัต เนื่องจากให้ฤกษ์พระศรีสินก่อ

๘๖ กบฏ ๒๐๙๒ พม่ายกทัพมาตั้งตาบลวัดทุ่งโพธาราม, ตาบลวัดพุทไธ ศวรรค,์ วดั การ้อง, วดั ชยั วัฒนาราม, วัดมเหยงค์ สมเด็จพระมหินราธริ าช ๒๐๙๕ บูรณะวดั พระศรรี ัตนมหาธาตุ ๒๐๙๗ สมเด็จพระมหาจกั รพรรดริ าชาธริ าชเสดจ็ ออกผนวช ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ม ห า ธ ร ร ม ๒๑๑๒ สมเดจ็ พระนเรศวรเสดจ็ ปิดทองพระมหาธาตุ และถวาย ราชาธริ าช พระภูษาเป็นฉตั รธงบชู าพระธาตุ ๒๑๑๗ ๑. พระธาตุแสดงปาฏิหาริย์แก่สมเด็จพระนเรศวรคราว ยกทัพไปเมืองพษิ ณโุ ลก ๒. พระมหาเถรคันฉองบอกความลับการที่พระเจ้า หงสาวดีคิดกาจัดแก่สมเด็จพระนเรศวร เพ่ือจะได้ระวัง ตวั สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ๒๑๒๙ พระสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ให้สมเด็จพระนเรศวร ทอดพระเนตรเหน็ ๒๑๓๔ สมเดจ็ พระเอกาทศรฐ เสด็จเมืองพิษณุโลก ปิดทองพระ พุทธชินราช โปรดให้มกี ารมหรสพฉลอง ๗ วนั ๗ คนื ๒๑๓๕ เสดจ็ พร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรฐนมัสการพระพุทธ สิหิงค์ท่ีเชียงใหม่ ๒๑๓๕ สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว พร้อมพระราชาคณะ ๒๕ รูป บณิ ฑบาตชวี ติ ทหาร (ฉบบั หลวงประเสรฐิ ) สมเด็จพระเอกาทศรฐ ๒๑๓๖ ๑. สร้างวัดวรเชษฐาราม เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แด่ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ๒. สร้างพระไตรปิฎกบาลี อรรถกถา คัมภีร์วิวรณ์ และ สร้างหอธรรมอทุ ิศแดส่ งฆ์ ๒๑๓๗ สร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ๕ พระองค์บุด้วยทอง นพคุณทรงเคร่ือง พร้อมทั้งโปรดให้มีการฉลองมหรสพ ๗ วัน ๗ คืน สมเด็จพระศรเี สาวภาค ๒๑๔๕ ๑. พระศรีสินบวชอยู่วัดระฆัง เชี่ยวชาญพระไตรปิฎก ดารงสมณศกั ดิ์ที่ “พระพมิ ลธรรม” ๒. พระพิมลธรรม ซุ่มกาลัง และก่อการกบฏ จับพระ เจ้าแผ่นดินสาเร็จโทษ สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ ทรง พระนามว่า พระเจา้ ทรงธรรม

พระเจา้ ทรงธรรม ๘๗ พระเจา้ ทรงธรรม พระเจ้าปราสาททอง ๒๑๔๖ ยา้ ยพระมงคลบพิตรจากฝ่ังตะวันออก มาไว้ฝั่งตะวันตก และโปรดใหก้ ่อมณฑปประดิษฐานเอาไว้ สมเด็จพระนารายณ์ สมเด็จพระเพทราชา ๒๑๔๙ พรานบญุ พบรอยพระพทุ ธบาทที่สระบรุ ี พระเจา้ เสอื ๒๑๗๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้แต่งมหาชาติคาหลวง และ พระเจ้าทา้ ยสระ สร้างพระไตรปิฎก ๒๑๗๓ ๑. สถาปนาพระมหาธาตเุ จดยี ์ ๒. สถาปนาวัดไชยวฒั นาราม ๒๑๗๔ สถาปนาวดั พระศรสี รรเพชญ์ และโปรดให้มีการฉลอง มี การมหรสพ ๒๑๗๕ สร้างพระอารามเคียงพระราชนิเวศน์ ให้นามว่า วัดชุม พลนกิ ายาราม ๒๑๗๖ ๑. ใหส้ ถาปนาพระปรางค์วัดมหาธาตุซึ่งพังลง ซ่อมแซม ใหม่ ๒. เสด็จเวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ณ วัดสรร เพชญ์ ๒๑๘๑ ประกอบพิธีลบศักราช ทรงทาบุญใหญ่ ถวายสตสดก มหาทาน ๒๑๙๙ โปรดให้หล่อรูปเคารพทางศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู, ๒๒๐๑ โปรดให้หล่อพระปฏิมาถวายพระนามว่า สมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถ และพระบรมตรีภาพนาถ ปางห้าม สมทุ ร เป็นพระพทุ ธรูปทรงเครือ่ งตามคติมหายาน ๒๒๓๒ สถาปนาวดั บรมพทุ ธาวาส ๒๒๓๗ สถาปนาวัดพระยาแมน วัดน้ีเคยเป็นท่ีประทับของ สมเด็จพระเพทราชา เมอื่ ครง้ั ทรงผนวช ๒๒๔๖ ฟา้ ผ่ายอดมณฑปพระวิหารสุมงคลบพิตร ไหม้เครื่องบน ตกลงมาถกู เศียรพระหัก ๒๒๕๐ โปรดให้มีพิธีสมโภชพระพุทธบาท และเสด็จพระราช ดาเนินไปนมัสการ ทรงราพระแสงถวายเป็นพุทธบชู า ๒๒๕๔ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลปฏิสังขรณ์วัดกุฎีดาว และตรสั สั่งใหต้ ง้ั พระตาหนักรมิ วดั ๒๒๖๔ โปรดใหม้ ีการฉลองวดั มเหยงค์ มีมหรสพ ๓ วัน ๒๒๗๐ ยา้ ยพระพทุ ธไสยาสน์วดั ป่าโมกข์ใหพ้ ้นจากน้าริมตล่ิงกัด

๘๘ เซาะ แลว้ ทาการสมโภช ๓ วัน สมเดจ็ พระบรมโกศ ๒๒๗๗ ฉลองวัดป่าโมกข์ ๒๒๘๑ ฉลองวดั หานตรา ๒๒๘๒ สมโภชพระพุทธบาท ๒๒๘๔ ๑. ปฏสิ งั ขรณ์วัดพระศรีสรรเพชญ์ ๒. ปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปพระสุมงคลบพิตรซ่ึงพระ เศยี รหกั ๓. ปฏสิ งั ขรณว์ ดั พระรามซึง่ ชารุดทรดุ โทรม ๔. ปฏสิ ังขรณ์เจดยี แ์ ละวดั ภูเขาทอง ๒๒๙๑ มีพระราชศรัทธาให้นาทอง ๙๐ ช่ังแผ่ร่อนเป็นประธา กล้อง ปิดพระมณฑปพระพุทธบาท และให้แผ่หุ้มต้ังแต่ เหม และนาคลงมา ๒๒๙๖ ประเทศศรีลังกาทรง ทูตมาขอพระภิกษุไปสื บ พระพุทธศาสนา ๒๓๐๐ ลมพัดพระมหาธาตวุ ัดวรโพธิหัก สมเดจ็ พระเจา้ อุทุมพร ๒๓๐๑ เสดจ็ ออกผนวชวดั เดมิ แล้วไปประทับอยู่ ณ วดั ประดู่ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ที่ นั่ ง สุ ริ ย า ศ น์ ๒๓๐๒ ส่งกรมหมืน่ เทพพิพิธไปประเทศศรลี ังกา อมรินทร์ ๒๓๐๓ พม่ายกทัพมาประชิดเมือง พระอนุชาธิราชลาผนวชมา ชว่ ยว่าราชการแผน่ ดิน และนาทัพป้องกันทัพพม่า เสร็จ ภารกิจแลว้ ก็ทรงผนวชใหม่ ประทับอยทู่ ่ีวัดประดู่ ๒๓๐๙ พระอาจารยธ์ รรมโชติ วดั เขานางบวช เข้ามา ณ วัดบ้าน ระจัน รวบรวมกาลังชาวบา้ นตา้ นกองทัพพมา่ ๒๓๑๐ เสียกรงุ ศรอี ยุธยาใหแ้ กพ่ ม่าเปน็ คร้งั ท่ี ๒

๘๙ บทที่ ๓ วิเคราะหบ์ ทบาทและความสัมพันธ์ของพระพทุ ธศาสนาต่อสังคม บทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาต่อสังคม ผู้วิจัยวิเคราะห์ตามองค์ประกอบของ ศาสนาอนั ได้แก่ ศาสนธรรม ศาสนบคุ คล ศาสนพิธี และศาสนสถาน โดยอาศยั ฐานข้อมูลจากบทที่ ๒ ซึ่งได้ สารวจพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยาในแตล่ ะรชั กาล ขณะเดียวกันก็อาศัยฐานข้อมูลจากบันทึกอื่น ๆ ที่เก่ียวข้อง ประกอบเพือ่ ใหเ้ กดิ ความสมบูรณ์ยิง่ ขึ้น อย่างไรก็ตามการวเิ คราะหต์ ามองคป์ ระกอบดังกล่าวข้างต้น มีลักษณะเป็นการเทียบเคียงแบบ หลวม ๆ ไม่เคร่งครัดตามบทนิยามนัก เพราะไม่สามารถกาหนดเฉพาะตายตัวตามองค์ประกอบดังกล่าว ขา้ งต้นได้ท้งั หมด ทัง้ น้เี พราะเน้อื หาในพงศาวดารมีลกั ษณะเฉพาะเป็นของตนเอง ๓.๑ บทบาทและความสัมพนั ธ์ดา้ นศาสนธรรม ศาสนธรรมในที่นี้ หมายเอา คาส่ังสอน คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา งาน วรรณกรรมเกีย่ วกบั พระพุทธศาสนา ท้ังนี้รวมไปถึงการจัดการศึกษาลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ซึ่งส่งผลต่อท้ัง สังคมสงฆ์ และสังคมทวั่ ไป ๓.๑.๑ วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีกล่าวถึง ๒ คร้ัง ได้แก่ ในรัชสมัย ของสมเด็จพระเอกาทศรฐ ๑ ครง้ั ระบุถึงการสรา้ งพระไตรปฎิ กทงั้ บาลี อรรถกถา คัณฐี และวิวรณ์ พร้อม ท้ังโปรดเกล้าให้สร้างพระธรรมเพื่อเป็นท่ีเก็บคัมภีร์สาคัญเหล่านี้ไว้ในวัดวรเชษฐาราม๑ และในรัชกาล สมเด็จพระบรมราชาท่ี ๑ (พระเจา้ ทรงธรรม) ๑ ครั้ง ข้อความระบุว่า “พ.ศ. ๒๑๗๐ ทรงพระกรุณาให้แต่ง มหาชาติคาหลวง และสร้างพระไตรปฎิ กจบบริบูรณ์”๒ นอกจากมหาชาตคิ าหลวงแล้ว ยงั มพี ระนิพนธอ์ ีกชั้นหนึง่ ทถี่ อื วา่ แตง่ ขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาคือ พระมาลยั คาหลวง พระนพิ นธ์ของเจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศ หรอื เจา้ ฟ้ากุง้ เปน็ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของพระ เจา้ อย่หู ัวบรมโกศ ได้เป็นพระมหาอปุ ราช แตท่ ิวงคตก่อนจงึ ไมไ่ ด้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท๓ ในพระนิพนธ์เรื่อง ตานานคณะสงฆ์ สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงให้ข้อมูลเพ่ิมเติม ว่า ประมาณ พ.ศ.๒๒๑๘ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้แต่งราโชวาทชาดกถวายสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช และยังระบุอีกว่า เม่ือคร้ังแผ่นดินพระเพทราชา พระพุทธโฆษจารย์ก็ได้นิพนธ์หนังสืออรรถ ธรรมปฤศนาเพ่อื ถวายเปน็ พระราชปุจฉา๔ ๓.๑.๒ การศกึ ษาพระพุทธศาสนา ๑ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบับพันจันทนมุ าศ (เจมิ ), หน้า ๒๕๒. ๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบับพนั จนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๖๓. ๓ เจา้ ฟ้าธรรมธิเบศ, พระมาลยั คาหลวง, (กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๐๙),หน้า ค. ๔ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, ตานานคณะสงฆ,์ (พระนคร: โสภณพพิ รรฒธนากร, ๒๔๖๖), หนา้ ๒๐.

๙๐ การศึกษาของสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีครบทั้งฝ่ายคันถธุระ และฝ่ายวิปัสสนาธุระ ด้วยมี หลักฐานจากพงศาวดารในหลายรัชกาลมีเน้ือหาระบุถึงเช่นนั้น เช่น ในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรฐ (กษัตริย์องค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงศรีอยุธยา) ได้มีรับส่ังให้สร้างพระไตรปิฎก พระบาลี อรรถกถา ฎีกา คันฐี และ วิวรณ์ บรรจุไว้ในหอพระธรรมท่ีสร้างให้สร้างข้ึน๕ การได้จัดให้พระสงฆ์เล่าเรียนพระปริยัติธรรม ส่วน พระองค์เองก็ได้เล่าเรียนพระกัมมัฏฐานมิได้ขาด๖ ในรัชกาลสมเด็จศรีเสาวภาค (กษัตริย์องค์ท่ี ๒๐) มี ขอ้ ความระบุว่า พระศรีสินบวชอยู่วัดระฆัง รู้พระไตรปิฎกสัดทัด ได้สมณฐานันดรเป็นพระพิมลธรรม์อนันต ปรชี า๗ แมใ้ นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (กษัตริย์องค์ท่ี ๒๑) ทรงรอบรู้พระไตรปิฎกมาก ทรงพระราช ศรัทธาให้พระสงฆม์ าเรยี นหนังสือ ทรงบอกพระไตรปฎิ กแกพ่ ระภิกษุสามเณร ณ พระท่ีน่ังจอมทองสามหลัง เป็นประจา๘ คาให้การชาวกรุงเก่าระบุว่า ทรงบริจาคพระราชทรัพย์สร้างวัดสาหรับพระสงฆ์เล่าเรียนพระ ปริยัติธรรมข้ึนอีก ๒ วัด ได้แก่วัดพุทไธสวรรค์ และวัดรัตนมหาธาตุ๙ ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๘ (กษัตริย์องค์ที่ ๒๙ แห่งกรุงศรีอยุธยา) ระบุถึงตรัสน้อยได้ผนวช ท้ังมีสติปัญญามาก ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นอนั ดี และทรงเล่าเรยี นพระปริยตั ิ พระไตรปิฎก และคัมภีรเ์ ลขยนั ตม์ นตรคาถาสรรพวทิ ยาคุณตา่ ง ๆ๑๐ หลกั ฐานในพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ไม่พบรายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาบาลี หรือเปรียญ แต่ สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ ได้ต้ังข้อสังเกตว่า มหาเปรียญมีมาแล้วตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแน่นอน ไม่ ต้องสงสัย โดยให้เหตุผลว่า ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ทรงเล่ือมใสในพระพุทธศาสนามาก ทรงให้ความ อุปถัมภผ์ ู้ทบี่ วชเปน็ พระภกิ ษุ สามเณรเป็นอเนกประการ เป็นเหตุใหร้ าษฎรที่ต้องการเล่ียงราชการบ้านเมือง ไปบวชเป็นจานวนมาก จึงรับส่ังให้ออกหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ) มีการประชุมสงฆ์สอบความรู้พระภิกษุ สามเณร พระภิกษุคามวาสียอมทาตาม แต่ฝ่ายอรัญญวาสีไม่ยอมทาตาม ร้องว่าถ้าจะสอบความรู้กัน ก็ ขอให้สงั ฆนายกฝา่ ยอรญั ญวาสีเป็นแม่กองในการสอบ๑๑ ข้อเท็จจริงเร่ืองนี้ สอดคล้องกับบันทึกของนิโกลาส์ แซรแวส ซึ่งพรรณนาถึงการศึกษาในสมัย สมเดจ็ พระนารายณ์ ความตอนหนงึ่ วา่ “เมือ่ จงั หันแล้ว ภิกษผุ เู้ ฉลยี วฉลาดปราดเปรอ่ื งก็ใชเ้ วลาในระหวา่ งนั้นศึกษาบาลี ซึง่ เปน็ ภาษาที่ ยกยอ่ งกนั มากในราชอาณาจกั ร และจาเปน็ แกส่ มณภาพอยา่ งยิ่ง อย่างนอ้ ยทีส่ ุดจะต้องอ่านออกและอธิบาย ความหมายได้เพื่อที่จะได้รับเล่ือนข้ึนเป็นบาทหลวง (หมายถึงยศศักด์ิช้ันสูง ๆ จากพระภิกษุธรรมดา- ผู้วิจัย)......ภิกษุผู้เฉลียวฉลาดรูปหน่ึงจะได้รับมอบหมายให้ๆ การศึกษาแก่บรรดาออกเณร เริ่มลงเรียนกัน ๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยธุ ยา ฉบับพนั จันทนมุ าศ (เจิม), หนา้ ๒๕๒. ๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา,คาให้การชาวกรุงเกา่ , หนา้ ๕๑๗. ๗ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยา ฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจิม), หนา้ ๒๕๘. ๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา ฉบบั พันจนั ทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๖๒. ๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา คาใหก้ ารชาวกรงุ เก่า, หนา้ ๕๒๐. ๑๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระราชหตั ถเลขา ภาค ๒, หน้า ๑๗๔. ๑๑ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, ตานานคณะสงฆ,์ หน้า ๓๗.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook