ผีตาโขน ประเพณที ้องถิน่ ประจาภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื วชิ าหน้าที่พลเมือง ด้วงขวิด รหัสวชิ า ส. 30231 อาจารย์ ผสู้ อน อ. สุระศกั ดิ์
ประวัติความเป็นมา ผีตาโขน เปน็ เทศกาลที่จดั ข้นึ ในอาเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึง่ ตง้ั อยู่ทาง ภาคอีสาน ของประเทศไทย เปน็ เทศกาลทเ่ี กิดขนึ้ ในเดอื น 7 ซง่ึ มักจัด มากกวา่ สามวนั ในบางช่วงระหวา่ งเดอื นมีนาคม และกรกฎาคม โดยจัดข้นึ ใน วันที่ไดร้ บั เลือกใหจ้ ดั ขน้ึ ในแตล่ ะปีโดยคนทรงประจาเมือง ซึง่ งานบญุ ประเพณีพ้นื บ้านน้ีมีชือ่ เรียกวา่ บุญหลวง โดยแบง่ ออกเป็นเทศกาล ผีตา โขน, ประเพณีบญุ บั้งไฟ และงานบุญหลวง (หรือ บุญผะเหวด) ผีตาโขน น้ัน เดมิ มีช่ือเรียกวา่ ผตี ามคน เป็นเทศกาลทีไ่ ด้รบั อิทธิพลมาจาก มหาเวสสนั ดรชาดก ชาดกในทางพระพทุ ธศาสนา ที่ว่าถึงพระเวสสนั ดร และพระนางมัทรี จะเดินทางออกจากป่ากลบั สเู่ มอื งหลวง บรรดาสตั ว์ป่า รวมถงึ ภูตผิ ีที่อาศัยอยู่ในปา่ นน้ั ไดอ้ อกมาสง่ เสดจ็ ดว้ ยอาลยั ซงึ่ วนั แรกจะเป็นเทศกาลผตี าโขน ซ่งึ เรยี กวนั นวี้ ่า วนั รวม (วนั โฮม) โดย จะมีพิธีเบิก พระอุปคตุ ต์ ในบริเวณระหว่างลาน้าหมนั กับลานา้ ศอก สว่ น วันทส่ี องของเทศกาลดงั กลา่ วจะมพี ธิ ีจดุ บง้ั ไฟบชู า พรอ้ มดว้ ยเคร่อื งแตง่
กายท่หี ลากหลาย รวมถงึ การแขง่ ขนั เตน้ ราตลอดจนขบวนพาเหรด ส่วนใน วนั ทสี่ ามและวนั สุดท้ายจะมีการให้ชาวบา้ นฟงั เทศน์ ทงั้ นี้ ผีตาโขนยังได้รบั การนามาใชเ้ ป็นสัญลักษณ์ และฉายาประจาทมี สโมสรฟตุ บอลเลย ซติ ้ี เช่นกนั และประเพณียงั คงมคี วามเชอ่ื กันว่า สาหรับคนทีเ่ ลน่ หรือมีการ แต่งตัวเปน็ ผีตาโขนใหญ่ ต้องถอดเครอื่ งแต่งกายผตี าโขนใหญ่ออกให้หมด และนาไปทิง้ ในแมน่ า้ หมนั หา้ มนาเข้าบ้าน เป็นการทิง้ ความทกุ ขย์ ากและส่งิ เลวรา้ ยไป และรอจนถงึ ปหี น้าจึงคอ่ ยทาเล่นกันใหม ตน้ กาเนอดผีตาโขน กล่าวกันวา่ การแหผ่ ีตาโขนเกดิ ขึ้นเมื่อครงั้ ท่พี ระ เวสสันดรและนางมทั รจี ะเดินทางออกจากปา่ กลัสู่เมอื ง บรรดา ผปี า่ หลาย ตนและสตั ว์นานาชนิดอาลยั รักจงึ พาแหแ่ หนแฝงตัวแฝงตน มากับชาวบ้าน เพอ่ื มาสง่ ท้งั สอง พระองค์ กลับ เมอื ง \"ผีตามคน\" หรือ \"ผตี าขน\" จน กลายมาเป็น \"ผตี าโขน\" อยา่ งในปจั จบุ นั ชว่ งเวลา ช่วงเดือน พฤษภาคม-มถิ นุ ายน ของทุกปี
ความสาคญั การละเลน่ ผีตาโขนมีมานานแล้วแต่ไมม่ หี ลักฐานปรากฎแน่ชดั วา่ มี มาตั้งแต่เม่อื ใด แต่ชาวบ้านมีความเชือ่ วา่ การแห่ ผตี าโขน เกดิ ขึ้นเมอื่ คร้ังท่ี พระเวสสันดรและ นางมัทรี กาลงั จะออกจากปา่ กลับส่เู มือง บรรดาผีป่า และสตั วน์ านาชนิด มีความอาลัยจงึ แฝงตนมากบั ชาวบา้ น เพื่อมาสง่ พระ เวสสันดร และนางมทั รีกลบั เมืองซงึ่ เรยี กกันว่า ผีตามคน หรอื ผีตาขน ผีตาโขน : ประเพณที ้องถนิ่ จงั หวดั เลย พิธกี รรม มีการจดั ทาพธิ ี 2 วนั คือ วนั แรก (วนั โฮม) ขบวนผีตาโขนจะแห่ รอบหมูบ่ า้ นตง้ั แตเ่ ชา้ มืด เปน็ การทาพิธีอญั เชญิ พระอุปคุตเข้ามาอยทู่ ีว่ ดั ใน วันท่สี องเป็นพิธกี ารแห่พระเวสสนั ดรและนางมัทรเี ขา้ เมือง โดยสมมุตใิ ห้วัด เป็นเมือง สาหรบั วนั ทส่ี องของงานน้ี ชาวบ้านยังไดน้ าบงั้ ไฟมาร่วมในขบวน แหเ่ พอื่ เปน็ พิธีขอฝนโดยแหร่ อบวดั 3 รอบ ในขณะทีแ่ หอ่ ยนู่ ้นั เหล่าผตี าโขน ท้ังหลายก็จะละเล่นหยอกลอ้ ผ้คู นไปเรอื่ ย ๆ เพ่ือทาให้เกดิ ความสนกุ สนาน
หลังจากเสร็จพิธกี ารแหแ่ ลว้ บรรดาผลู้ ะเลน่ ผตี าโขนจะนาเครอื่ งเล่นผตี าโขน และอปุ กรณท์ ี่ใช้ในการประกอบพิธไี ปลอ่ งลงแมน่ ้าหมนั และในตอนค่าของ วันเดียวกนั จะมีการฟงั เทศนม์ หาชาติทั้ง 13 กณั ฑ์ ผีตาโขน จะแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ผตี าโขนใหญ่และผีตาโขนเลก็ ผีตาโขนใหญ่ จะสานมาจากไมไ่ ผม่ ขี นาดใหญ่กว่าคนประมาณ 2 เท่าแล้วจะประดบั ตกแตง่ หนา้ ตาด้วยเศษวสั ดทุ หี่ าได้ในทอ้ งถ่นิ ในการทาผี ตาโขนใหญ่ในแตล่ ะปจี ะทา 2 ตวั คือชายหนง่ึ ตวั และหญงิ อกี หนึ่งตวั เท่าน้ัน ผู้ทีม่ หี น้าท่ที าผีตาโขน ใหญจ่ ะต้องไดร้ บั อนญุ าตจากผหี รือเจ้าก่อน และเมอื ไดร้ ับอนุญาต แล้วตอ้ งทาผีตาโขนใหญ่ทกุ ๆ ปหี รือตอ้ งทาตดิ ต่อกนั อย่าง น้อย 3 ปีเพราะวา่ คนท่ีไม่ไดร้ บั อนญุ าตก็จะไมม่ สี ทิ ธิท์ าผตี าโขนใหญ่ เวลา แหจ่ ะตอ้ งมคี นเขา้ ไปอยูใ่ นตัวหุน่ ผตี าโขนเลก็ ไมว่ า่ จะเปน็ เดก็ หรอื ผูใ้ หญ่ก็มสี ิทธ์ิทาผตี าโขนเลก็ เพื่อ เขา้ รว่ มสนุกสนานกันไดท้ กุ คน การเลน่ ของผตี าโขนเล็กค่อนข้างผาดโผน ผูห้ ญงิ จึงไมค่ อ่ ยนิยมเขา้ ร่วม
การแตง่ กายของผูท้ เ่ี ขา้ ร่วมในพิธีแห่ผีตาโขน จะแต่งกายคลา้ ยกันกบั ผี ปศี าจ ทีส่ วมศรี ษะด้วยที่นงึ่ ข้าวเหนยี วหรือวา่ กระตบ๊ิ ขา้ วเหนยี วนนั่ เอง และ ใสห่ น้ากากท่ที าด้วยกาบมะพร้าวแกะสลัก มีการละเลน่ รอ้ งราทาเพลงกนั อยา่ งสนุกสนานในขบวนแห่ สาระ การละเลน่ ผตี าโขนนบั วา่ เป็นส่ิงท่ีแปลกสาหรบั ผู้พบเหน็ มีการ นาเอากา้ นทางมะพรา้ วที่แหง้ นามาตกแตง่ เปน็ หน้ากาก โดยการเจาะช่องตา จมกู ปาก และใบหู นาเอาหวดนึง่ ข้าว โดยกดดันหวดใหเ้ ป็นรอยบมุ๋ หงาย ปากหวดขน้ึ เพ่ือสวมศีรษะแต่งแตม้ สีสนั ให้นา่ ดู ส่วนชดุ ทส่ี วมใส่ทามาจาก เศษผา้ หลากหลายสมี าเย็บตอ่ กัน อุปกรณ์ในการละเล่นมี 2 ช้ิน คอื \"หมากกระแหลง่ \" มไี ว้เพอ่ื เขยา่ ทาให้เกดิ เสียงดงั ในเวลาเดิน และ \"อาวุธ ประจากาย\" ผีตาโขนสว่ นมากจะใช้ผชู้ ายแสดงเน่อื งจากตอ้ งกระโดดโลด เตน้ ไปเรอื่ ย ๆ จงึ ไมเ่ หมาะท่ีจะใช้ผหู้ ญิงเปน็ ตัวแสดง นอกจากเขา้ รว่ มใน งาน \"บญุ หลวง\" ยงั ได้เข้ารว่ มขบวนแหใ่ นวันเปดิ งานกาชาดดอกฝ้ายบาน
มะขามหวานเมืองเลย โดยขบวนผตี าโขนจะเดินรอบเมอื งเพื่อโชว์ใหแ้ ขก บา้ นแขกเมืองไดเ้ ห็น การอนรุ กั ษ์ . การค้นควา้ วิจยั ควรศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลภมู ิปญั ญาของไทย ในด้านตา่ งๆ ของทอ้ งถิ่น จังหวัด ภมู ภิ าค และประเทศโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ภูมิปัญญาท่ีเป็นภมู ิปัญญาของทอ้ งถ่นิ มงุ่ ศกึ ษาให้รูค้ วามเปน็ มาในอดตี และสภาพการณ์ในปจั จุบัน 2. การอนรุ กั ษ์ โดยการปลุกจิตสานกึ ใหค้ นในทอ้ งถน่ิ ตระหนกั ถึง คุณค่าแก่นสาระและความสาคญั ของภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน ส่งเสรมิ สนบั สนุน การจดั กจิ กรรมตามประเพณแี ละวัฒนธรรมต่างๆ สร้างจิตสานกึ ของความ เปน็ คนทอ้ งถ่นิ นน้ั ๆ ทจี่ ะตอ้ งร่วมกนั อนรุ ักษภ์ มู ปิ ัญญาทเี่ ป็นเอกลักษณ์ของ ทอ้ งถนิ่ รวมทงั้ สนับสนุนใหม้ ีพพิ ิธภณั ฑท์ อ้ งถนิ่ หรือพิพิธภณั ฑช์ มุ ชนข้นึ เพอ่ื แสดงสภาพชวี ติ และความเปน็ มาของชุมชน อนั จะสรา้ งความรู้และ ความภมู ใิ จในชมุ ชนท้องถ่นิ ดว้ ย
3. การฟนื้ ฟู โดยการเลอื กสรรภูมปิ ญั ญาท่กี าลงั สูญหาย หรอื ท่ีสูญ หายไปแล้วมาทาใหม้ คี ุณค่าและมคี วามสาคญั ตอ่ การดาเนินชีวิตในทอ้ งถ่ิน โดยเฉพาะพ้นื ฐานทางจรยิ ธรรม คณุ ธรรม และค่านิยม 4. การพฒั นา ควรริเรมิ่ สรา้ งสรรคแ์ ละปรับปรุงภมู ิปัญญาให้ เหมาะสมกบั ยคุ สมยั และเกิดประโยชน์ในการดาเนนิ ชีวิตประจาวนั โดยใชภ้ ูมิ ปญั ญาเปน็ พ้ืนฐานในการรวมกลุ่มการพัฒนาอาชพี ควรนาความรดู้ ้าน วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยมี าชว่ ยเพอื่ ต่อยอดใชใ้ นการผลิต การตลาด และการบริหาร ตลอดจนการปอ้ งกนั และอนรุ กั ษส์ ิ่งแวดลอ้ ม 5. การถา่ ยทอด โดยการนาภมู ิปญั ญาทผี่ ่านมาเลือกสรรกลัน่ กรอง ดว้ ยเหตแุ ละผลอย่างรอบคอบและรอบดา้ น แล้วไปถา่ ยทอดใหค้ นในสงั คม ได้รับรู้ เกิดความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่า คณุ ประโยชนแ์ ละปฏบิ ัตไิ ดอ้ ยา่ ง เหมาะสม โดยผ่านสถาบันครอบครวั สถาบันการศึกษา และการจัดกิจกรรม ทางวฒั นธรรมตา่ งๆ
6. สง่ เสรมิ กจิ กรรม โดยการสง่ เสรมิ และสนบั สนุนใหเ้ กดิ เครอื ขา่ ย การสบื สานและพัฒนาภมู ิปัญญาของชุมชนต่างๆ เพ่ือจดั กิจกรรมทาง วัฒนธรรมและภูมิปญั ญาทอ้ งถ่นิ อยา่ งต่อเนื่อง
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: